Tuesday, September 30, 2025

ชวนเที่ยว "เฉิงตู" ตุลาคมนี้ ร่วมฉลองวันชาติจีนและเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท่ามกลางสีสันฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดพา นครเฉิงตู เมืองที่หลอมรวมเสน่ห์อันยาวนานนับพันปีเข้ากับความทันสมัยอย่างกลมกลืน ได้เตรียมเปิดม่านต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสประสบการณ์อันน่าประทับใจหลากหลายรูปแบบ ท่ามกลางสีสันฤดูใบไม้ร่วงอันงดงาม

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติจีนควบคู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์ในเดือนตุลาคมนี้ นครเฉิงตูเตรียมจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวกว่า 300 รายการ ครอบคลุมทั้งเทศกาลศิลปะ งานเฉลิมฉลอง และการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด รวมถึงเปิดเส้นทางท่องเที่ยวตามธีมที่หลากหลาย พร้อมมอบบัตรกำนัลที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวรอบที่สอง รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านหยวน เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ในเส้นทางท่องเที่ยวที่ยากจะมีโอกาสได้สัมผัส พร้อมดื่มด่ำกับเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของนครเฉิงตู ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "เมืองแห่งอุทยาน" ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติอันเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์

สำนักวัฒนธรรม วิทยุ โทรทัศน์ และการท่องเที่ยวเทศบาลนครเฉิงตู เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนเป็นต้นไป นครเฉิงตูจะแปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ของคนรักศิลปะ โดยจะมีการจัดเทศกาลระดับชาติสองงานใหญ่ ได้แก่ เทศกาลศิลปะจีน ครั้งที่ 14 และงานประกาศรางวัลระฆังทองจีน ครั้งที่ 15 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเชิดชูความสำเร็จสูงสุดในวงการศิลปะของจีน ขณะเดียวกันยังมีการจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นอีกหลายรายการ อาทิ เทศกาลดนตรีนานาชาติเฉิงตู "ฤดูใบไม้ร่วงในหรงเฉิง" ครั้งที่ 31, เทศกาลดนตรีคลาสสิกจีน-ฝรั่งเศส ณ เมืองไป๋ลู่ และการแสดงละครเวทีสองนคร เฉิงตู-ฉงชิ่ง เพื่อถ่ายทอดความหลากหลายของโลกศิลปะ ตั้งแต่ดนตรีคลาสสิกอันไพเราะ ไปจนถึงบทเพลงร่วมสมัยที่ได้รับความนิยม

เทศกาลดนตรีพื้นบ้านถนนอวี่หลิน จะบรรเลงบทเพลงที่ชวนให้ผู้ฟังหวนรำลึกถึงความทรงจำอันงดงามของเมือง ขณะเดียวกัน เทศกาลเพลงประสานเสียงชนบท ประจำปี 2568 "เหนือท้องทุ่งแห่งความหวัง" จะร่วมขับขานท่วงทำนองอันไพเราะให้ก้องกังวานไปทั่วชนบท นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการศิลปะและการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อีกกว่า 40 รายการ รวมถึงการแสดงคอนเสิร์ต ละครเวที และดนตรีอีกกว่า 60 รายการ ทำให้ทั่วทั้งเมืองอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะและวัฒนธรรมตลอดทั้งฤดูกาล

นครเฉิงตูจะจัดเทศกาลวัฒนธรรมหลากหลายในมุมมองใหม่ที่สร้างสรรค์ ภายใต้ธีม "เฉลิมฉลองสองเทศกาล" (วันชาติจีนและเทศกาลไหว้พระจันทร์) โดยเตรียมจัดกิจกรรมฉลองวันหยุดมากกว่า 100 รายการ อาทิ เทศกาลสื่อสร้างสรรค์และวัฒนธรรมดิจิทัลนานาชาติเฉิงตู ประจำปี 2568 ที่จะผสานทรัพย์สินทางปัญญาของเกมชื่อดัง "Honor of Kings" เข้ากับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่อาคารแฝดเทียนฝู่จะกลายเป็นผืนผ้าใบขนาดใหญ่สำหรับการแสดงแสงสี "ร้อยเรียงบทกวีบนดวงเดือน" ที่ตีความบทกวีคลาสสิกผ่านงานทัศนศิลป์ร่วมสมัย ส่วนงานสัปดาห์ มิวนิก อ็อกโทเบอร์เฟสต์ เทียนฝู่ คาร์นิวัล จะนำเสนอสีสันความสนุกสนานสไตล์เยอรมัน ขณะเดียวกัน งานคาร์นิวัลทะเลสาบตงอัน และเทศกาล "กั๋วเฉา" (China-Chic) ณ ย่านศิลปะตงเจียว เมมโมรี จะผสมผสานวัฒนธรรมพื้นบ้านดั้งเดิมเข้ากับเทรนด์ร่วมสมัยอย่างลงตัว นักท่องเที่ยวที่เดินเที่ยวไปตามย่านต่าง ๆ ของเมืองจะได้ตื่นตาตื่นใจในทุกย่างก้าว พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตแบบ "สโลว์ไลฟ์" ที่กลมกลืนไปกับความคึกคักของนครเฉิงตู

เสน่ห์ของฤดูใบไม้ร่วงในนครเฉิงตูอยู่ที่ความงดงามของธรรมชาติที่ผสานกับภูมิทัศน์เมืองอย่างลงตัว สำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ นครเฉิงตูได้เปิดตัวเส้นทางท่องเที่ยวจำนวน 40 เส้นทาง ภายใต้แนวคิด "แสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงาม" ครอบคลุมประสบการณ์หลากหลายถึง 8 รูปแบบ ตั้งแต่การชมดอกไม้ตามฤดูกาลในชนบท ชมทิวทัศน์ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะจากระยะไกล ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงแสงสีในเมือง เดินป่าท่ามกลางธรรมชาติ เดินเล่นใต้แนวต้นแปะก๊วยสีทองอร่าม ตั้งแคมป์ใต้แสงดาว ลิ้มรสอาหารท้องถิ่นสูตรต้นตำรับ ไปจนถึงสำรวจย่านกลางคืนอันคึกคัก เส้นทางเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงทรัพยากรธรรมชาติอันงดงามเข้ากับเขตเมืองที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของนครเฉิงตู เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ค้นพบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ที่หลงใหลในความเงียบสงบของธรรมชาติ และผู้ที่มองหาจังหวะชีวิตอันมีสีสันในเมือง

เพื่อยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นครเฉิงตูเตรียมมอบบัตรกำนัลที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวรอบที่สอง รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านหยวน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ อาทิ "ท่องเที่ยวเฉิงตูผ่านการแสดง นิทรรศการ และการแข่งขัน" ตลอดจนมอบชุดของขวัญส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม "เฉลิมฉลองสองเทศกาล เฉิงตูส่งคำอวยพร" ทั้งนี้ นครเฉิงตูติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติบนแพลตฟอร์มท่องเที่ยวชั้นนำของจีนหลายแพลตฟอร์ม โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม แคนาดา สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติอย่างแท้จริง

ที่มา: สำนักวัฒนธรรม วิทยุ โทรทัศน์ และการท่องเที่ยวเทศบาลนครเฉิงตู

October: Wandering the Streets of Chengdu -- A Dual Festival Celebration Opens a Golden Autumn Cultural Feast

As autumn deepens, Chengdu -- a city renowned for its millennia-old charm and modern vibrancy -- is preparing a spectacular array of experiences for global travelers this golden season.

Coinciding with the dual celebration of China's National Day and the Mid-Autumn Festival, Chengdu will launch over 300 cultural and tourism activities and themed itineraries. These offerings span art festivals, celebratory events, and natural scenery. The city will also issue a second round of tourism accommodation vouchers worth 5 million yuan, inviting visitors from around the world to explore its hidden lanes and experience the unique allure of this "park city".

The Chengdu Municipal Bureau of Culture, Radio, Television and Tourism noted that from late September onward, Chengdu will transform into a paradise for art lovers. Two national-level events -- the 14th China Art Festival and the 15th China Gold Bell Awards for Music -- will be held in the city, showcasing the pinnacle of Chinese artistic achievement. Meanwhile, established local events like the 31st "Autumn in Rongcheng" Chengdu International Music Season, the Bailu Sino-French Classical Music Art Festival, and the Chengdu-Chongqing Theatre Dual-City Series will present diverse performances spanning classical and popular genres.

The Yulin Road Folk Music Season will strum the chords of urban memory, while the "On the Hopeful Fields" 2025 Rural Chorus Season will fill the countryside with melody. Additionally, more than 40 museum and art exhibitions, alongside over 60 concerts, dance dramas, and musical performances, will ensure the artistic atmosphere lingers throughout the season.

Traditional festivals are being celebrated in innovative new ways. Under the "Dual Festival Celebration" theme, Chengdu will host over 100 holiday events. The 2025 Chengdu International Digital Culture & Creative Season will integrate the "Honor of Kings" IP into unique cultural tourism experiences. The Tianfu Twin Towers will present a "Writing Poems on the Moon" light show, interpreting classical poetry through modern visual art. The Munich Oktoberfest Tianfu Carnival Week will bring German-style exuberance, while the Dong'an Lake Carnival and Dongjiao Memory's "Guochao" (China-Chic) events will blend traditional folk culture with contemporary trends. As visitors wander the city, they'll encounter delightful surprises at every turn, experiencing the unique collision of Chengdu's laid-back "slow living" and dynamic creativity.

The beauty of a Chengdu autumn lies in the harmony between nature and the urban landscape. Centered on the "Seeking Beautiful Sights" theme, the city has introduced 40 golden autumn itineraries covering eight types of experiences: from viewing seasonal flowers in the countryside and gazing at distant snow-capped mountains to chasing urban light shows and hiking forested trails; from strolling under ginkgo trees and camping under the stars to savoring authentic local cuisine and exploring vibrant nighttime districts. These routes connect the ecological gems and lively urban spaces of the park city, allowing every traveler to find their ideal experience -- whether seeking tranquil nature or bustling street life.

To enhance the travel experience, Chengdu will issue its second round of 5 million yuan in tourism accommodation vouchers. It will also launch promotional activities like "Travel Chengdu Through Its Shows, Exhibitions, and Competitions" and a "Dual Festival Celebration, Chengdu Sends Its Regards" cultural tourism gift pack. On major Chinese travel platforms, Chengdu already ranks as a top destination for international visitors, with key source markets including Japan, South Korea, the United States, Malaysia, Australia, Vietnam, Canada, Singapore, and the United Kingdom.

Source: The Chengdu Municipal Bureau of Culture, Radio, Television and Tourism

“คนละครึ่ง” รีบูต 2568 ส่อง Insight โซเชียล แบบไหนโดนใจคนไทย


นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกโครงการคนละครึ่ง ได้กลายเป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมและอยู่ในความทรงจำของคนไทย ด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่ายและตอบโจทย์การลดภาระค่าครองชีพรายวัน พร้อมๆ กับการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานรากผ่านร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ

และล่าสุดกระแสของโครงการ “คนละครึ่ง ได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากที่ “รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ประกาศนำนโยบายนี้กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากยิ่งขึ้น

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ dxt:360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 4 กันยายน – 21 กันยายน 2568 เพื่อถอดรหัสว่า ประชาชนอยากเห็นโครงการ “คนละครึ่ง” ในรูปแบบใดเมื่อมีการนำกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งจะเผยให้เห็น Insight ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการพูดคุยในสังคมออนไลน์ครั้งนี้

เสียงโซเชียลสะท้อน “คนละครึ่ง” ในมุมมองประชาชน

จากการรวบรวมข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย พบว่าเสียงส่วนใหญ่แสดงความต้องการให้โครงการกลับมาอย่างชัดเจน โดยมีข้อเสนอและความคาดหวังที่น่าสนใจใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

1.วงเงินและระยะเวลา (50%)

  • ประชาชนจำนวนมากคาดหวังว่าโครงการจะกลับมาพร้อมวงเงินที่เหมาะสมและไม่น้อยไปกว่าเฟสก่อน ๆ และมีการปรับเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายในแต่ละวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
  • นอกจากจำนวนเงินแล้ว ประเด็นเรื่อง ระยะเวลาและความต่อเนื่อง ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยมีเสียงเรียกร้องให้โครงการมีระยะยาวนานขึ้นหรือแบ่งเป็นหลายเฟสย่อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง

2.เงื่อนไขและการลงทะเบียน (40%)

  • ไม่ควรให้สิทธิ์ซ้ำกับผู้ที่เคยได้รับ “เงินหมื่นดิจิทัล” มีเสียงเสนอว่า ผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ “เงินหมื่นดิจิทัล” ไปแล้วไม่ควรได้รับสิทธิคนละครึ่งซ้ำอีก โดยให้เหตุผลว่า ควรกระจายความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับโอกาส เพื่อไม่ให้งบประมาณของประเทศไปกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มเดิม
  • ไม่ควรตัดสิทธิ์ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) เนื่องจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการ “แบ่งแยกประชาชน” และ “ซ้ำเติมกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุด” ในสังคม กลุ่มที่มีความเห็นนี้จึงเสนอให้คนไทยทุกคนได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน
  • ควรใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่มีอยู่แล้ว เป็นข้อเสนอที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องเสียเงินไปกับการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ที่ซ้ำซ้อน และประชาชนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับระบบเดิมอยู่แล้ว 

3.ร้านค้าและผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วม (10%)

  • ประชาชนส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับการจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านหาบเร่แผงลอยที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อให้เม็ดเงินกระจายไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง และไม่กระจุกตัวอยู่กับร้านสะดวกซื้อหรือนายทุนรายใหญ่
  • มีเสียงเสนอให้เพิ่มเงื่อนไขเพื่อส่งเสริมการซื้อสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย (Made in Thailand) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นน้ำและช่วยเหลือเกษตรกรหรือผู้ผลิตในประเทศโดยตรง

ศึกนโยบายเรือธง: คนละครึ่ง vs เงินหมื่น แบบไหนโดนใจโซเชียล

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อพูดถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชื่อของ คนละครึ่ง มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ เงินหมื่นดิจิทัล อยู่เสมอจากการวิเคราะห์บทสนทนาพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มประชาชนออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ซึ่งเผยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่า นโยบายไหนครองใจคนไทยมากกว่ากัน

1.ทีม “คนละครึ่ง” (60%)

ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมออนไลน์เห็นว่าโครงการ คนละครึ่ง มีความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพมากกว่าโครงการเงินหมื่นดิจิทัล โดยอิงจากประสบการณ์ตรงที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ มุมมองของคนกลุ่มนี้เชื่อว่าคนละครึ่งเป็นโครงการที่จับต้องได้และเห็นผลชัดเจน โดยเสียงสะท้อนส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “คนละครึ่ง” สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และทำให้เงินหมุนเวียนไปยังร้านค้ารายย่อยได้จริง

2.ทีม “เงินหมื่นดิจิทัล” (22%)

เป็นกลุ่มประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังคงชื่นชอบและต้องการโครงการในรูปแบบ “เงินหมื่นดิจิทัล” มากกว่า “คนละครึ่ง” ความเห็นที่ปรากฏในกลุ่มนี้ยังคงเชื่อว่าการได้รับเงินก้อนจำนวนหนึ่งหมื่นบาทตรงกับความต้องการมากกว่า เพราะสามารถนำไปใช้กับภาระหนี้สินหรือซื้อของชิ้นใหญ่ที่จำเป็น หรือสามารถใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้ในยามจำเป็น ขณะที่โครงการคนละครึ่งมีข้อจำกัดในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง

ทั้งนี้ มุมมองดังกล่าวสะท้อนความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งในสังคมออนไลน์ที่มองว่ารูปแบบการได้รับเงินสดจำนวนมากตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีกว่า

3.ทีมไม่เชื่อมั่นนโยบายรัฐ (18%)

จากการวิเคราะห์บทสนทนาออนไลน์ พบว่ามีกลุ่มประชาชนส่วนหนึ่งที่แสดงความไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่งหรือเงินหมื่นดิจิทัล

ความเห็นในกลุ่มนี้สะท้อนถึงความผิดหวังและสูญเสียความไว้วางใจต่อนโยบายภาครัฐ โดยอ้างอิงถึงนโยบายหลายอย่างที่เคยประกาศไว้แต่ยังไม่เป็นจริงหรือประสบปัญหาในการดำเนินการ เช่น โครงการเงินหมื่นดิจิทัล โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น กลุ่มนี้จึงมองว่าไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม โอกาสที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จริงยังคงไม่แน่นอน ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกจากประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

เสียงแตก! ประเด็นสัดส่วนร่วมจ่าย ใครควรได้สิทธิพิเศษ?

จากการติดตามบทสนทนาออนไลน์ พบว่าหนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างร้อนแรง คือแนวคิดการปรับสัดส่วนการร่วมจ่าย โดยมีข้อเสนอให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา   รัฐ 60 : ประชาชน 40 เทียบกับประชาชนทั่วไปที่เป็น 50:50 ซึ่งความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝั่ง   

ฝั่งสนับสนุน: การวิเคราะห์บทสนทนาออนไลน์ พบว่ามีกลุ่มหนึ่งที่แสดงความเข้าใจและยอมรับแนวคิดการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เสียภาษี กลุ่มนี้มองว่าการปรับสัดส่วนการร่วมจ่ายนั้น มีความสมเหตุสมผล เป็นการตอบแทนพลเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่เสียภาษีอย่างครบถ้วน และอาจเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น

ฝั่งคัดค้าน: ในการทางกลับกัน มีกลุ่มหนึ่งที่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยมองว่า หลักการสำคัญของโครงการคนละครึ่งคือ “ความเท่าเทียม” และสิทธิประโยชน์ควรเป็น 50:50 เหมือนเดิมสำหรับทุกคน กลุ่มนี้เห็นว่าการสร้างเงื่อนไขใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์แตกต่างกันนั้นไม่ต่างอะไรกับการ “แบ่งแยกชนชั้น” และสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์เสียงสะท้อนบนสื่อสังคมออนไลน์ จะเห็นได้ว่า “คนละครึ่ง” ยังคงเป็นโครงการที่อยู่ในใจและมีความคาดหวังจากประชาชนต่อการกลับมาในปี 2568 โดยบทสนทนาในโลกออนไลน์สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมและเหมาะสมกับทุกกลุ่ม

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก dxt:360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 4 กันยายน – 21 กันยายน 2568

เกี่ยวกับ dxt:360

dxt:360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Monday, September 29, 2025

เมืองชิ่งหยาง มณฑลกานซู จัดการประชุมวัฒนธรรมฉีหวง มุ่งสืบสานการแพทย์แผนจีนอย่างสร้างสรรค์

 ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองชิ่งหยาง

การประชุมวัฒนธรรมฉีหวง (Qihuang Cultural Forum) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ณ เมืองชิ่งหยาง มณฑลกานซู ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในสาขาการแพทย์แผนจีนจากทั่วประเทศจีนมารวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการสืบทอดและการพัฒนาวัฒนธรรมการแพทย์แผนจีนอย่างสร้างสรรค์

เมืองชิ่งหยางเป็นบ้านเกิดของ ฉีโป (Qibo) บุคคลสำคัญผู้วางรากฐานให้กับการแพทย์แผนจีน และเป็นสถานที่ที่ตำราแพทย์ "หวงตี้เน่ยจิง" (The Yellow Emperor's Inner Canon) ถูกรวบรวมขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมการแพทย์แผนจีน ตลอดจนเป็นหนึ่งในฐานส่งเสริมและศึกษาวัฒนธรรมการแพทย์แผนจีนระดับชาติแห่งแรก ๆ จนได้รับการขนานนามว่า "บ้านเกิดฉีหวง" (Qihuang Hometown) ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งรวมสมุนไพรป่าถึง 527 สายพันธุ์ โดยมี 69 ชนิดที่ถูกบรรจุอยู่ในตำรามาตรฐานยาแห่งชาติ (National Pharmacopoeia) และ 25 ชนิดที่เป็นผลิตภัณฑ์ส่งออก

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมืองชิ่งหยางมุ่งมั่นศึกษา ส่งเสริม สืบทอด และพัฒนาวัฒนธรรมฉีหวงอย่างสร้างสรรค์ โดยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานต่าง ๆ เป็นประจำ เช่น การประชุมวัฒนธรรมฉีหวง, หอบรรยายฉีหวง (Qihuang Lecture Hall) และการประชุมนิเวศวิทยาอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และการแพทย์แผนจีน (AI+TCM Industry Ecology Conference) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างให้ "บ้านเกิดฉีหวง" เป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงวิชาการและแวดวงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการแพทย์แผนจีน

ที่มา: ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองชิ่งหยาง

Qihuang Cultural Forum Held in Qingyang, Gansu

 Publicity Department of Qingyang Municipal Party Committee

The 2025 Gansu Qingyang Qihuang Cultural Forum was successfully held on September 27 th. Renowned experts and scholars in traditional Chinese medicine field from across China gathered to exchange views on the inheritance and innovative development of TCM culture.

Qingyang is the birthplace of Qibo, a legendary founding figure of traditional Chinese medicine, and the place where the monograph The Yellow Emperor ' s Inner Canon  was compiled. It's also the cradle of TCM culture and is among the first national bases for TCM cultural promotion and education, earning it the title "Qihuang Hometown". The region is home to 527 species of wild medicinal herbs, 69 of which are listed in the National Pharmacopoeia and 25 included in export products.

Qingyang has long been committed to the study, promotion, inheritance, and innovative development of Qihuang culture. It regularly hosts events such as Qihuang Cultural Forum, the Qihuang Lecture Hall, and the "AI+TCM Industry Ecology Conference", helping establish "Qihuang Hometown" as a widely recognized cultural brand in both the academic and historical cultural circles of TCM.

Source: Publicity Department of Qingyang Municipal Party Committee

เจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จการท่องเที่ยวฤดูร้อน "เมืองรื่อจ้าว" ปีนี้ กับกลยุทธ์เปลี่ยนนักท่องเที่ยวขาจรให้กลับมาเที่ยวซ้ำ


 หนังสือพิมพ์รื่อจ้าวเดลี

ในช่วงฤดูร้อนปี 2568 เมืองรื่อจ้าว ในมณฑลซานตงของจีน ต้อนรับนักท่องเที่ยวเกือบ 18.3 ล้านคน สู่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 19 แห่งทั่วเมือง สร้างรายได้รวมกว่า 309 ล้านหยวน ขณะเดียวกัน กระแสความนิยมของเมืองรื่อจ้าวบนแพลตฟอร์มโต่วอิน (ติ๊กต๊อกเวอร์ชันจีน) ก็พุ่งทะลุ 2 พันล้านวิว ด้านยอดจองโรงแรมและบริการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นถึง 123% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ทว่าเมืองรื่อจ้าวไม่ได้หยุดอยู่แค่ข้อมูลผิวเผินอย่าง "จำนวนนักท่องเที่ยว" เพียงเท่านั้น หากยังมุ่งมั่นแปลงตัวเลขเหล่านี้ให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างมูลค่าที่วัดผลได้อย่างแท้จริง

จาก "ชมทะเล" สู่ "เล่นสนุกกับทะเล": ต้นแบบการบูรณาการวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองรื่อจ้าว

ฤดูร้อนปีนี้ เมืองรื่อจ้าวได้ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วย "แนวคิดนอกกรอบ" ที่ผสานทรัพยากรทางทะเลเข้ากับดนตรี กิจกรรมสร้างสรรค์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างลึกซึ้ง ก่อให้เกิดระบบนิเวศการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว "ทุกเพศทุกวัย ทุกช่วงเวลา และทุกสถานการณ์" จากทะเลผืนเดียว เมืองรื่อจ้าวสามารถเนรมิตกิจกรรมหลากหลายที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเพลิดเพลินอย่างเต็มที่

เมืองรื่อจ้าวได้จัดกิจกรรมหลากหลายที่สร้างสีสันให้กับฤดูร้อน อาทิ เทศกาลดนตรี "Soda Music Chill Party", เทศกาลและการแข่งขันดนตรี "Sunrise Oriental" Wind Music Carnival & the 10th "Zhonghua Cup" National Woodwind Solo Exhibition และการแข่งขันบาสเกตบอล 2025 Rizhao City Basketball Super League ซึ่งสะท้อนถึงการนำดนตรีและกีฬามาเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวอย่างกลมกลืน ขณะเดียวกัน เมืองรื่อจ้าวยังส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและทรัพย์สินทางปัญญาด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ ผ่านการจัดกิจกรรมทัวร์ชมสถานที่ถ่ายทำ และ "Heritage Night Markets" ที่ผสมผสานประเพณีเข้ากับสุนทรียภาพสมัยใหม่อย่างลงตัว นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เช่น "Xingdao Blue Carbon Project" และ "Coffee & The Sea" ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับเมืองรื่อจ้าวอย่างมีมิติ พลิกโฉมจาก "แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นกระแสชั่วคราว" ไปสู่ "ระบบนิเวศการท่องเที่ยวครบวงจร" ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง จนเปลี่ยนจากการท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียว สู่การกลับมาเที่ยวซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

จาก "การบริหารจัดการ" สู่ "การเอาใจใส่": ปรัชญา "แขกต้องมาก่อน" ของเมืองรื่อจ้าว

ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวก็คือการพบปะผู้คนและสัมผัสกับบรรยากาศอันอบอุ่นของเมือง ฤดูร้อนปีนี้ เมืองรื่อจ้าวได้ยกระดับการให้บริการจากรูปแบบดั้งเดิมที่เน้นเฉพาะ "จุดชมวิว" ไปสู่การพลิกโฉมทั้งเมืองให้กลายเป็น "พื้นที่บริการแบบไร้พรมแดน"

สำนักบริหารเมืองรื่อจ้าวได้นำร่องโครงการ "ที่จอดรถอัจฉริยะเมืองรื่อจ้าว" ตามแหล่งท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่ง ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถจองที่จอด ชำระเงิน และใช้งานได้อย่างสะดวกสบายผ่านมินิโปรแกรมที่ไม่ซับซ้อน ขณะเดียวกัน สำนักความมั่นคงสาธารณะยังได้บังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงรุกแบบ "Tidal Policing" ซึ่งประกอบด้วยการเฝ้าระวังด้วยกล้องวงจรปิด การลาดตระเวนตามท้องถนน และการใช้โดรนทำหน้าที่เป็น "ผู้เฝ้าระวังทางอากาศ" คอยเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญอย่างใกล้ชิด พร้อมตอบสนองและจัดการกับความเสี่ยงอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ สถานีดับเพลิงและกู้ภัยซันไชน์โคสต์ยังคงรักษามาตรฐาน "ตอบสนองภายใน 1 นาที มาถึงภายใน 3 นาที และช่วยเหลือภายใน 5 นาที" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ตลอดฤดูร้อนนี้ไม่เกิดเหตุร้ายกับนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่กรณีเดียว

จาก "การมาเยือน" สู่ "ประสบการณ์": เครือข่ายหลายมิติรองรับ "การเดินทางรวดเร็ว พักผ่อนไม่เร่งรีบ"

การพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวย่อมไม่อาจแยกขาดจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการขับรถเที่ยวเองในเมืองรื่อจ้าวช่วงฤดูร้อนนี้ เป็นผลลัพ์โดยตรงจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการวางรากฐาน "เครือข่ายการขนส่งหลายมิติ + เส้นทางสีเขียว"

การสร้าง "เครือข่ายรถไฟความเร็วสูงระยะเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง" ช่วยให้นักท่องเที่ยวจากเมืองอื่นเดินทางเยือนเมืองรื่อจ้าวได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์และการเดินทางระยะสั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา ขณะเดียวกัน การเปิดสถานีรถไฟความเร็วสูงรื่อจ้าวยิ่งเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้านการเดินทางทางอากาศ สนามบินรื่อจ้าวรองรับผู้โดยสารในช่วงฤดูร้อนสูงถึง 206,000 คน เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนศักยภาพของเมืองในการขยายช่องทางการเข้าเมืองผ่าน "เส้นทางการบิน" นอกจากนี้ เมืองรื่อจ้าวได้เชื่อมเส้นทาง Sunshine Coast Greenway กับ Mountain-Sea Romance Greenway ก่อเกิดเส้นทางธรรมชาติความยาวกว่า 61.8 กิโลเมตร ที่มีทั้งภูเขา ทะเล และเมือง ผสานทัศนียภาพทางธรรมชาติเข้ากับความมีชีวิตชีวาของเมืองได้อย่างลงตัว

แม้สายลมจากทะเลพัดพาความเย็นมา และฤดูร้อนลาลับไปตามกาลเวลา ทว่าเรื่องราวของวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเมืองรื่อจ้าวยังคงดำเนินต่อไป พร้อมเดินหน้าสร้างความประทับใจอย่างไม่รู้จบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์รื่อจ้าวเดลี

Decoding Drivers Behind Rizhao's Summer 2025 Tourism Boom


 Rizhao Daily

During the summer of 2025, Rizhao's 19 key tourist attractions welcomed nearly 18.3 million visitors, generating RMB 309 million in revenue. Topics related to Rizhao on Douyin (TikTok) surpassed 2 billion views, and hotel and travel bookings grew 123% month-over-month. However, Rizhao has never focused merely on surface-level data like "visitor numbers," ; instead, the city emphasizes translating these figures into tangible results and measurable value.

From "Seeing Sea" to "Playing with Sea": Rizhao Model of Cultural and Tourism Integration

This summer, Rizhao reshapes its tourism offerings with a "boundary-breaking mindset," deeply integrating marine resources with music, events, intangible cultural heritage, and technology. This created a new tourism ecosystem catering to "all ages, all times, and all scenarios," turning a single stretch of sea into countless ways to explore and enjoy.

Rizhao hosted a series of events -- including the "Soda Music Chill Party," the "Sunrise Oriental" Wind Music Carnival & the 10th "Zhonghua Cup" National Woodwind Solo Exhibition, and the 2025 Rizhao City Basketball Super League -- using music and sports to turn interest into tourism. The city also activated intangible cultural heritage and film/TV IPs through filming-location tours and "Heritage Night Markets," blending tradition with modern aesthetics. New attractions like the "Xingdao Blue Carbon Project" and "Coffee & The Sea" further boosted appeal. Moving from "single viral hits" to a full "ecosystem matrix," visitors became active participants, shifting from one-time consumption to repeat experiences.

From "Management" to "Empathy": A City's "Guest-First" Philosophy

Tourism is ultimately about human encounters and the warmth of a city. This summer, Rizhao went beyond traditional "scenic spot services," transforming the entire city into a "borderless service zone."

The Rizhao City Urban Administration piloted "Rizhao Smart Parking" at coastal attractions, enabling visitors to reserve spaces, pay seamlessly, and navigate intelligently via a mini-program. The Public Security Bureau implemented a "tidal policing" model -- combining video surveillance, street patrols, and drones as "aerial sentinels" -- to dynamically monitor key areas and address risks early. Meanwhile, the Sunshine Coast Station of the Fire and Rescue Brigade maintained a "one-minute response, three-minute arrival, five-minute rescue" system, achieving zero tourism-related safety incidents all summer.

From "Arrival" to "Experience": A Multi-dimensional Network Supports "Quick Travel, Slow Stay"

The development of the cultural and tourism industry is inseparable from infrastructure support. The popularity of self-drive tours in Rizhao this summer is closely linked to the city's sustained efforts in recent years to build a "multi-dimensional transport + greenway network."

The establishment of a "3-hour high-speed rail circle" brought source markets closer, making weekend getaways and short trips the norm. The opening of Rizhao High-Speed Rail Station further accelerated tourism growth, while summer passenger throughput at Rizhao Airport reached 206,000 -- a 7% year-on-year increase -- expanding the city's reach via "air corridors." Rizhao also connected the Sunshine Coast Greenway with the Mountain-Sea Romance Greenway, forming a 61.8-kilometer ecological corridor that integrates mountains, sea, and city, blending natural scenery with urban vitality.

As the sea breeze cools and summer ends, Rizhao's cultural and tourism story continues to unfold.

Source: Rizhao Daily

เมืองรื่อจ้าวของจีนเดินหน้าสร้างเครือข่ายการขนส่งสามมิติแบบบูรณาการ "อากาศ-อวกาศ-ภาคพื้นดิน"

บริษัท รื่อจ้าว โลว์-อัลติจูด อีโคโนมิก ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (Rizhao Low-Altitude Economic Development Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท รื่อจ้าว ทรานสปอร์เทชัน เอเนอร์จี ดีเวลลอปเมนต์ กรุ๊ป (Rizhao Transportation Energy Development Group) ได้เปิดตัวเส้นทางบินตรวจการณ์ 125 เส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,187.36 กิโลเมตร ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นการวางรากฐานของเครือข่ายบริการบินตรวจการณ์ระดับต่ำ ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วเมืองรื่อจ้าว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญด้านการบินระดับต่ำตามสถานการณ์ต่าง ๆ และเป็นหมุดหมายสำคัญของเมืองรื่อจ้าวในการเร่งพัฒนาพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ (Low-Altitude Economy) อย่างเป็นรูปธรรม



นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท รื่อจ้าว โลว์-อัลติจูด อีโคโนมิก ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด ได้ดำเนินภารกิจในการ "เร่งพัฒนาเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ และส่งเสริมพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ" โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและการขยายบริการด้านการบินระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ปรัชญาการดำเนินงาน "หนึ่งโดรน หลายความสามารถ หนึ่งโดรน หลายการใช้งาน" บริษัทได้คัดเลือกจุดให้บริการ 38 แห่งทั่วเมือง พร้อมติดตั้งสถานีฐานสำหรับโดรนอัตโนมัติเกือบ 30 แห่ง ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้ครอบคลุมการให้บริการในรัศมี 4 กิโลเมตรจากจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ทั่วเมือง ทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนจุดให้บริการตามความต้องการของลูกค้าและขีดความสามารถในการบิน

ตลอดเส้นทางบินตรวจการณ์ความยาวรวมกว่า 1,000 กิโลเมตร โดรนได้ถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางใน 12 สถานการณ์หลัก อาทิ การลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยสาธารณะ การจัดการจราจรบนทางด่วน การตรวจสอบระบบขนส่ง การกำกับดูแลงานวิศวกรรมทางหลวง การบำรุงรักษาและตรวจสอบถนน การตรวจสอบชายแดนและท่าเรือ รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงนิเวศ นอกจากนี้ บริษัทได้เสริมสร้างศักยภาพทางเทคโนโลยีด้วยการบุกเบิกแพลตฟอร์มบริการโดรนรูปแบบใหม่ ที่บูรณาการทรัพยากรการบินระดับต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ และประยุกต์ใช้ในหลากหลายสถานการณ์อย่างราบรื่น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการบริหารจัดการเมือง การให้บริการสาธารณะ และภาคส่วนอื่น ๆ อย่างมีคุณภาพสูง

ธุรกิจหลักของบริษัทครอบคลุมการลงทุน การก่อสร้าง และการดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการบินระดับต่ำ รวมถึงการให้บริการและสนับสนุนด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการบินระดับต่ำ บริการตามสถานการณ์ใช้งานต่าง ๆ ของการบินระดับต่ำ และการลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมการบินระดับต่ำ นอกเหนือจากความสำเร็จที่โดดเด่นในด้านบริการตามสถานการณ์ใช้งานแล้ว บริษัทยังพัฒนาธุรกิจส่วนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ

ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการบินระดับต่ำ บริษัท รื่อจ้าว โลว์-อัลติจูด อีโคโนมิก ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด กำลังดำเนินการขยายธุรกิจอย่างแข็งขัน โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งฐานทดสอบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในเขตตงกั่ง รวมถึงพัฒนาสนามบินสองแห่งในอำเภอจู่และอำเภออู่เหลียน ภายใต้แนวคิด "สร้างฐานทดสอบก่อน สนามบินตามมาทีหลัง" ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเครือข่ายศูนย์กลางการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมของกลุ่มบริษัทแม่ เพื่อวางแผนสร้างจุดขึ้น-ลงสำหรับอากาศยานไฟฟ้า eVTOL อย่างเป็นระบบทั่วทั้งเมือง ความพยายามเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือข่ายการขนส่งแบบบูรณาการ "อากาศ-อวกาศ-ภาคพื้นดิน" อย่างครบวงจร

ที่มา: หนังสือพิมพ์รื่อจ้าวเดลี

Rizhao Builds Integrated "Air-Space-Ground" Three-Dimensional Transportation Network

Rizhao Low-Altitude Economic Development Co., Ltd., a subsidiary of Rizhao Transportation Energy Development Group, recently announced the launch of 125 inspection routes spanning a total distance of 1,187.36 kilometers. This achievement marks the preliminary establishment of a low-altitude inspection service network covering key urban areas, representing a substantial advancement in Rizhao's application of low-altitude scenarios and a milestone in the city's efforts to accelerate the development of new quality productive forces and expand its low-altitude economy.



Since its establishment, Rizhao Low-Altitude Economic Development Co., Ltd. has pursued the mission of "accelerating the development of the low-altitude economy and fostering new quality productive forces," with a strong focus on the innovation and expansion of low-altitude scenario services. Guided by the operational philosophy of "one drone, multiple capabilities; one drone, multiple applications," the company has selected 38 sites across the city and deployed nearly 30 automated drone nests. These efforts achieve comprehensive coverage within a 4-kilometer radius of key urban areas, while maintaining the flexibility to adjust service locations based on client needs and flight capacity.

Along these 1,000-plus kilometers of routes, drones are extensively deployed across 12 core application scenarios, including public security patrols, expressway traffic management, transportation inspections, highway engineering supervision, road maintenance and inspections, border and port inspections, and ecological environment governance. Through technological empowerment, the company has pioneered a new model for drone service platforms, achieving efficient integration of low-altitude resources and seamless application across diverse scenarios. This provides convenient and high-quality support for urban governance and public services, among other fields.

The company's core business encompasses investment, construction, and operation of low-altitude transportation infrastructure; low-altitude regulatory services and support; low-altitude application scenario services; and low-altitude industrial project investment. In addition to its notable achievements in scenario services, the company is steadily advancing other business segments, laying a solid foundation for the growth of the low-altitude economy.

In the realm of low-altitude infrastructure development, Rizhao Low-Altitude Economic Development Co., Ltd. is proactively expanding its presence. The company is conducting feasibility studies for a medium-to-large UAV test base in Donggang District; advancing the construction of two general aviation airports in Ju County and Wulian County under a "base first, airport later" model; and leveraging the advantage of its parent group's extensive public transportation hub network to systematically plan eVTOL takeoff and landing sites across the city. These efforts are aimed at building a comprehensive "air-space-ground" integrated transportation network.

Source: Rizhao Daily

จีนจัดการประชุมสุดยอดเป่ยโต่ว ครั้งที่ 4 นำเสนอรูปแบบการประยุกต์ใช้งานและรูปแบบธุรกิจใหม่สำหรับระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่ว


คณะกรรมการจัดการประชุมสุดยอดนานาชาติว่าด้วยการประยุกต์ใช้ระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วในระดับมหภาค ครั้งที่ 4

เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา พิธีเปิดการประชุมสุดยอดนานาชาติว่าด้วยการประยุกต์ใช้ระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วในระดับมหภาค ครั้งที่ 4 หรือ 4th International Summit on the Large-scale Application of Beidou (ต่อไปนี้เรียกว่า "การประชุมสุดยอดเป่ยโต่ว") ได้จัดขึ้น ณ เมืองจูโจว มณฑลหูหนาน ประเทศจีน โดยภายในงานได้มีการนำเสนอรูปแบบการประยุกต์ใช้งานและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่น่าทึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ระบบเป่ยโต่วไม่เพียงแต่ก้าวข้าม "จากระบบดาวเทียมในอวกาศ สู่ชีวิตประจำวันของประชาชน" หากยังขยาย "จากการใช้งานเฉพาะทาง สู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม" และกำลังเร่งผลักดันการใช้งาน "จากจีนสู่เวทีโลก" อีกด้วย งานนี้แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นสองโซนหลัก ได้แก่ โซนในร่มและโซนกลางแจ้ง โดยมีการสาธิตรูปแบบการใช้งานมากกว่า 1,000 สถานการณ์ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และแอปพลิเคชันใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเป่ยโต่วรวมทั้งสิ้น 33 รายการเป็นครั้งแรกภายในงาน

"สมุดปกน้ำเงินว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเป่ยโต่ว (พ.ศ. 2568)" (ต่อไปนี้เรียกว่า "สมุดปกน้ำเงิน") ซึ่งเผยแพร่ในการประชุมสุดยอดเป่ยโต่ว แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบัน ระบบเป่ยโต่วได้พัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ โดยในปี 2567 มูลค่าผลผลิตรวมของอุตสาหกรรมเป่ยโต่วอยู่ที่ระดับ 5.758 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 7.39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

"สมุดปกน้ำเงิน" ระบุว่า ในปี 2568 ระบบดาวเทียมเป่ยโต่วมีสัญญาณครอบคลุมกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีการให้บริการแล้วในกว่า 140 ประเทศและภูมิภาค ปัจจุบัน อุปกรณ์เคลื่อนที่ทั่วโลกกว่า 50% รองรับการใช้งานระบบเป่ยโต่วแล้ว และยังมีความก้าวหน้าในการปรับใช้ตามมาตรฐานสากล โดยระบบเป่ยโต่วได้รับการบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบมาตรฐานขององค์กรระหว่างประเทศ 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO)

ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ มีการลงนามในโครงการสำคัญ 22 โครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการระดับนานาชาติหลายโครงการ สะท้อนให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้ระบบเป่ยโต่วในระดับมหภาคกำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ และก้าวข้ามจาก "การเจาะตลาดภายในประเทศเชิงลึก" ไปสู่ "การขยายมูลค่าในระดับโลก" นอกจากนี้ ในการประชุมยังมีการประกาศโครงการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 21 โครงการในสองอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมอวกาศ และเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ (Low-Altitude Economy) โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 3.198 หมื่นล้านหยวน

องค์กรที่ร่วมลงนามในโครงการต่าง ๆ ภายในงานนี้มีความหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่องค์กรระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐในประเทศ สมาคมอุตสาหกรรม ไปจนถึงบริษัทชั้นนำ โดยโครงการจากต่างประเทศและจากมณฑลอื่น ๆ ของจีนรวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึง 61.9% ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมระบุว่า โครงการเหล่านี้ไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถานศึกษา และสถาบันวิจัยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงพัฒนาการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีเป่ยโต่ว จาก "โซลูชันของจีน" ไปสู่ "การแบ่งปันในระดับโลก" อย่างแท้จริง

ที่มา: คณะกรรมการจัดการประชุมสุดยอดนานาชาติว่าด้วยการประยุกต์ใช้ระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วในระดับมหภาค ครั้งที่ 4


The 4th Beidou Summit Opens: New Applications and New Business Formats Shine Brilliantly

 


The Organizing Committee of the 4th International Summit on the Large-scale Application of Beidou

On September 24th, at the opening of the 4th International Summit on the Large-scale Application of Beidou (hereinafter referred to as the "Beidou Summit") in Zhuzhou City, Hunan Province, various new Beidou applications and business formats were amazing. They witnessed that Beidou has not only moved "from the sky to people's side" but also "from application to industry", and is accelerating its expansion "from China to the world". This summit set up two major exhibition areas, namely "indoor + outdoor", and displayed more than 1,000 application demonstration scenarios; 33 new Beidou-related products, technologies and applications were released for the first time on site.

The "Blue Book on the Development of the Beidou Industry (2025)" (hereinafter referred to as the "Blue Book") released at the Beidou Summit shows that Beidou has now built a complete industrial chain covering the upper, middle and lower reaches. In 2024, the total output value of China's Beidou industry reached 575.8 billion yuan, a year-on-year increase of 7.39%.

According to the "Blue Book", by 2025, Beidou services have covered more than 200 countries and regions around the world, providing products and services to more than 140 countries and regions, and the global coverage rate of Beidou-enabled mobile terminals has exceeded 50%. Progress has also been made in the alignment with international standards, and Beidou has been incorporated into the standard systems of 11 international organizations, including the International Civil Aviation Organization and the International Maritime Organization.

The 22 major signed projects of this summit include a number of international projects, which marks that the large-scale application of Beidou is accelerating to break through geographical restrictions and moving from "in-depth domestic penetration" to "global value expansion". This summit also released 21 investment promotion projects, including two categories: aerospace and low-altitude economy, with a total investment scale of 31.98 billion yuan.

The entities of the signed projects at this summit are diverse, covering international organizations, domestic local governments, industry associations and leading enterprises. Among them, the total number of international projects and projects from other provinces accounts for 61.9%. Industry insiders pointed out that these projects not only deepen the cooperation among industry, universities and research institutions, but also reflect the leap of Beidou technology from a "Chinese solution" to "global sharing".

Source: The Organizing Committee of the 4th International Summit on the Large-scale Application of Beidou

Covestro and SoA+D KMUTT Join Forces to Nurture Young Designers for a Sustainable Future


Covestro Thailand has partnered with the School of Architecture and Design (SoA+D), King Mongkut’s University of Technology Thonburi (KMUTT), to launch the Creative Solutions for Circularity Awareness initiative. The program aims to promote practical learning in sustainable design and circular economy principles among university students.

This initiative integrates academic knowledge with real-world industry experience through a variety of activities, including expert-led lectures, off-site field visits, and hands-on workshops. Covestro has supported the learning journey throughout the program, offering insights from its experts and organizing field trips to Covestro’s production center in Map Ta Phut and local communities in Rayong.

In addition, students were given the opportunity to showcase their potential through the Creative Design for Sustainability Contest 2025, which challenged participants to develop concepts based on circularity. Covestro sponsored a total of 60,000 THB in scholarships for the contest, which attracted over 50 submissions.     

A panel of esteemed judges, comprising faculty members and Covestro professionals, selected three outstanding projects based on creativity, practical feasibility, alignment with sustainability principles, and the effectiveness of their presentation and communication.

The Best Design Award – Winner was presented to “Coral Wave”, a project by architecture students inspired by marine life struggling with plastic pollution. The design features an experiential space with physical barriers that simulate the challenges sea creatures face in polluted environments. It aims to raise awareness about plastic waste and coral bleaching, while using recycled plastic bottles as the primary material—demonstrating circularity in action and contributing to waste reduction. The Design Excellence Award – 1st Runner-Up went to “Reform – Plastic Waste into Wearable Art”, created by students from the Communication Design program. This project transforms plastic waste into artistic accessories, reflecting the idea of turning discarded materials into meaningful, wearable design. The Distinction Award – 2nd Runner-Up was awarded to “Second Nature”, another project by architecture students. The design features a modular structure that can be folded and easily relocated, incorporating reused plastic bags that have been cut, woven, and reshaped into sunshades. Installed in the faculty’s central courtyard, the piece explores the relationship between nature and human impact through its interaction with wind and natural light.

All three winning projects received scholarships sponsored by Covestro, with prizes of 20,000 THB, 15,000 THB, and 10,000 THB respectively. In addition, several recognition awards were granted, each accompanied by a 5,000 THB scholarship.

“Sustainable design is a core focus of our faculty, as our students will one day shape the built environment. Through this collaboration with Covestro, they gained valuable insights into circular design, material selection, and carbon footprint reduction—skills essential for responsible architecture,” said Asst. Prof.Waraluk Pansuwan, the Dean of SOA+D, KMUTT. “we’re grateful to Covestro for their support in enriching our curriculum and inspiring our students to turn ideas into real-world solutions.”

Khawissara Wattanapisit, Head of Corporate Communications – Covestro Thailand added, “this collaboration is more than just a competition—it’s a platform to shape future leaders in sustainable design. By working closely with KMUTT, we’re helping students connect classroom knowledge with real-world impact, ensuring they’re equipped to drive change in their communities and industries.”

This initiative reflects Covestro’s global commitment to sustainability, which is embedded in its vision to become fully circular. Through innovation and collaboration, Covestro aims to reduce environmental impact across industries and empower future generations to build a more resilient and resource-efficient world. We believe that great design doesn’t just shape spaces — it inspires change, drives impact, and builds a better future.

About Covestro:

Covestro is one of the world’s leading manufacturers of high-quality polymer materials and their components. With its innovative products, processes and methods, the company helps enhance sustainability and the quality of life in many areas. Covestro supplies customers around the world in key industries such as mobility, building and living, as well as the electrical and electronics sector. In addition, polymers from Covestro are also used in sectors such as sports and leisure, telecommunications and health, as well as in the chemical industry itself.

The company is geared completely to the circular economy. In addition, Covestro aims to achieve climate neutrality for its Scope 1 and Scope 2 emissions by 2035, and the Group’s Scope 3 emissions are also set to be climate neutral by 2050. Covestro generated sales of EUR 14.2 billion in fiscal year 2024. At the end of 2024, the company had 46 production sites worldwide and employed approximately 17,500 people (calculated as full-time equivalents).

Find more information at the Covestro Homepage.

Follow us on Facebook:  Covestro Thailand

Forward-looking statements

This news release may contain forward-looking statements based on current assumptions and forecasts made by Covestro AG. Various known and unknown risks, uncertainties and other factors could lead to material differences between the actual future results, financial situation, development or performance of the company and the estimates given here. These factors include those discussed in Covestro’s public reports, which are available at www.covestro.com. The company assumes no liability whatsoever to update these forward-looking statements or to conform them to future events or developments.

โคเวสโตร และ มจธ. ร่วมผนึกกำลังปั้นนักออกแบบรุ่นใหม่ สู่อนาคตแห่งความยั่งยืน


โคเวสโตร ประเทศไทย ร่วมมือกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ (SoA+D) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สร้างสรรค์โครงการ Creative Solutions for Circularity Awareness เพื่อผลักดันการเรียนรู้ด้านการออกแบบเพื่อความยั่งยืน และแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เป็นรูปธรรมให้กับนักศึกษา มจธ. ที่เข้าร่วมโครงการ

โครงการนี้ผสมผสานองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ากับประสบการณ์จริงจากภาคอุตสาหกรรมและการออกแบบ ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาดูงานนอกสถานที่ และเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติ โดยมีโคเวสโตรร่วมสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดหลักสูตร เช่น การให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากโคเวสโตร และการนำน้องๆ ไปทัศนศึกษาที่ศูนย์การผลิตโคเวสโตร   มาบตาพุด และชุมชนใน จ.ระยอง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงศักยภาพผ่านการประกวด “Creative Design for Sustainability Contest 2025” โดยมีโจทย์หลักคือการออกแบบภายใต้คอนเซปท์ Circularity ซึ่งโคเวสโตรได้สนับสนุนรางวัลเป็นทุนการศึกษารวม 60,000 บาท   มีผลงานส่งเข้าประกวดกว่า 50 ชิ้น ซึ่งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากคณาจารย์และจากโคเวสโตร ได้ร่วมกันคัดเลือก 3 ผลงานที่โดดเด่นที่สุด โดยพิจารณาจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ในการใช้งานจริง และการออกแบบที่สอดคล้องกับหลักการความยั่งยืน รวมถึงการนำเสนอและการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม

ผลงานที่โดดเด่นและคว้ารางวัลชนะเลิศ Best Design Award ด้แก่ “Coral Wave” จากนักศึกษาหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่ต้องเผชิญกับปัญหาขยะพลาสติก ผลงานนี้ออกแบบเป็นพื้นที่เชิงประสบการณ์ที่มี “สิ่งกีดขวาง” เพื่อจำลองความยากลำบากของสัตว์ทะเลในการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษพร้อมกระตุ้นให้ผู้ใช้งานตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติกและการฟอกขาวของปะการัง โดยใช้ขวดพลาสติก         รีไซเคิลเป็นวัสดุหลัก เป็นการหมุนเวียนการใช้ประโยชน์และลดขยะพลาสติกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยรางวัลรองชนะเลิศ Design Excellence Award เป็นผลงาน “Reform – Plastic Waste into Wearable Art”  จากนักศึกษาหลักสูตรการออกแบบนิเทศศิลป์ (Communication Design) ที่นำขยะพลาสติกมาสร้างสรรค์เป็นเครื่องประดับเชิงศิลปะ สะท้อนแนวคิดการเปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นงานออกแบบที่มีคุณค่าและสามารถสวมใส่ได้ และรางวัลที่สาม Distinction Award ได้แก่ผลงาน “Second Nature” จากนักศึกษาหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยออกแบบเป็นโครงสร้างลักษณะ modular สามารถพับเก็บและเคลื่อนย้ายได้ง่าย พร้อมนำถุงพลาสติกใช้แล้วนำมาตัด ถัก และดัดแปลงอย่างสร้างสรรค์ และใช้เป็นร่มบังแดดได้ สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติและผลกระทบที่เกิดจากมนุษย์ โดยผลงานที่ได้รับการคัดเลือกทั้งหมดนี้ ได้รับทุนการศึกษาจากโคเวสโตร เป็นจำนวน 20,000, 15,000 และ 10,000 บาท ตามลำดับ และนอกจากนี้ยังมีรางวัลชมเชยพร้อมทุนกันศึกษารางวัลละ 5,000 บาท

ผศ. วราลักษณ์ แผ่นสุวรรณ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. กล่าวว่า “การออกแบบอย่างยั่งยืนถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนการสอนของคณะเรา ความร่วมมือกับโคเวสโตรในครั้งนี้ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้เรื่องการออกแบบเชิงหมุนเวียน การเลือกใช้วัสดุ และการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับการเป็นนักออกแบบที่มีความรับผิดชอบ”

“ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขัน แต่เป็นเวทีในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน การทำงานร่วมกับ มจธ. ช่วยให้นักศึกษาเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนกับผลกระทบในโลกจริง และเตรียมความพร้อมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและอุตสาหกรรมในอนาคตได้” คุณกวิสรา วรรธนะพิศิษฐ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท     โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติม

ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงพันธกิจระดับโลกของโคเวสโตรในการขับเคลื่อนความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจของวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านนวัตกรรมและความร่วมมือ พร้อมส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทในการสร้างโลกที่แข็งแกร่งและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่า การออกแบบที่ดีไม่เพียงเปลี่ยนพื้นที่ แต่สามารถเปลี่ยนอนาคตได้

เกี่ยวกับโคเวสโตร

โคเวสโตร คือหนึ่งในผู้ผลิตวัสดุพอลิเมอร์และส่วนประกอบพอลิเมอร์คุณภาพสูงชั้นนำของโลก ด้วยผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และวิธีการที่เป็นนวัตกรรม บริษัทฯ มีส่วนช่วยยกระดับความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตในหลากหลายด้าน โคเวสโตรจัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าทั่วโลกในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การขนส่ง การก่อสร้างและการอยู่อาศัย รวมถึงภาคไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ พอลิเมอร์จากโคเวสโตรยังถูกนำไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ เช่น กีฬาและสันทนาการ โทรคมนาคม และสุขภาพ รวมถึงในอุตสาหกรรมเคมีเองด้วย

บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ โคเวสโตรตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี พ.ศ. 2578 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 3 ของกลุ่มบริษัทฯ จะบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี พ.ศ. 2593 โคเวสโตรสร้างยอดขายได้ 14.2 พันล้านยูโรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ณ สิ้นปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ มีฐานการผลิต 46 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานประมาณ 17,500 คน (คำนวณเป็นจำนวนเทียบเท่าเต็มเวลา)

ดูข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่Covestro Homepage

ติดตามเราได้ทางโซเชียลมีเดียCovestro Thailand