Thursday, July 31, 2025

Bridgestone Named Exclusive Technical Tyre Partner “POTENZA SPORT” for “Lamborghini Temerario”, Making Grand Debut in Thailand Reinforcing as a Premium Tyre Brand for World-Class Luxury Super Sports Car


 – Bridgestone has taken another step forward in its success as the exclusive technical tyre partner by providing high-performance sports tyres customized exclusively for the Lamborghini Temerario.

– This partnership also includes exclusively developed tyres; the POTENZA SPORT for the Lamborghini Revuelto. In addition, the partnership extends to the POTENZA SPORT and POTENZA RACE for the Lamborghini Huracán Tecnica, Lamborghini Huracán STO, and Lamborghini Huracán STJ, as well as the first-ever Dueler All-Terrain A/T002 RFT , developed exclusively for the Lamborghini Huracán Sterrato.

On June 25, 2025, Bridgestone participated in the grand debut of the “Lamborghini Temerario”, a high-performance V8 twin-turbo plug-in hybrid super sports car equipped with three electric motors. The super sports car stands out with its engine innovation capable of revving up to 10,000 RPM, delivering over 920 horsepower. It sets a new benchmark in powerful performance, thrilling driving experiences, and elevated travel sophistication. This first time in Southeast Asia debut took place in Thailand at the Four Seasons Hotel Bangkok, marking a significant moment for the region. Bridgestone has once again been selected as the exclusive technical tyre partner, developing the high-performance sports tyre, “POTENZA SPORT” for the Lamborghini Temerario. With cutting-edge technology, POTENZA SPORT delivers outstanding driving experience, pushing the excitement of sporty driving to the limit.

Mr. Akihito Ishii, Managing Director of Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd., with the POTENZA SPORT (left)

The exceptional performance of the POTENZA SPORT unleashes the full driving potential of the Lamborghini Temerario

  • Optimized Tyre Compound: Uses innovative mixing technology to maximize performance on dry and wet roads
  • Sporty Carcass Package: Supports steering response and stability
  • Reinforcement Technology: Supports tyre reactiveness and creates more stability when travelling at speed (New hybrid crown reinforcement)
  • Sporty Profile Shape: Increases contact area and maximizes dry performance
  • Asymmetric Tread DesignIncreases lateral stiffness and reduces block deformation
  • Optimized Rib and Void Distribution:  For more contact pressure and wet friction efficiency 
  • Innovative 3D Sipes: Increases shear stiffness with benefits in braking and abrasion resistance

Developed virtually to deliver greater efficiency and sustainability

The POTENZA SPORT for the Lamborghini Temerario developed at Bridgestone’s R&D Centre in Italy, leveraged by the company’s unique Virtual Tyre Development (VTD) technology. VTD improves both the efficiency and sustainability of the tyre development process. It eliminates around 200 physical prototypes, cuts physical vehicle tests by 80 percent, and reduces development time by up to 50 percent. The technology also leads to a reduction of up to 60 percent in raw material consumption and CO2 emissions in the development phase of original equipment tyres.

The Lamborghini Temerario is equipped with POTENZA SPORT in size 255/35ZR20 for the front wheels and 325/30ZR21 for the rear wheels.

Mr. Akihito Ishii, Managing Director of Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd., said “Bridgestone is truly honored to have been selected by Lamborghini as the exclusive technical tyre partner, bringing our motorsport heritage through the powerful POTENZA SPORT tire development, specifically designed to enhance performance and elevate the thrilling driving of the Lamborghini Temerario. This marks another milestone in our ongoing successful collaboration and reinforces Bridgestone’s position as a premium tire brand trusted by the world-class luxury super sports car brand.”

Mr. Akihito Ishii, Managing Director of Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd.(3rd right) with Beer Baiyoke, a top automotive YouTuber and owner of the iconic TOP SECRET THAILAND car tuning shop (1st left) and Bridgestone dealers participated in the grand debut
of the Lamborghini Temerario

About Bridgestone in Thailand:   
Bridgestone is a global leader in tires and rubber building on its expertise to provide solutions for safe and sustainable mobility. In Thailand, Thai Bridgestone Co., Ltd. (TBSC) is a leading manufacturer in the Thai automotive industry, while Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd. (BSTL) is the exclusive importer & distributor, and supervises the marketing strategy for Bridgestone, Firestone and Dayton branded tires in Thailand. Bridgestone is a brand trusted by its customers, dealers and business partners. Bridgestone offers a diverse product portfolio of premium tires and advanced solutions backed by innovative technologies, improving the way people around the world move, live, work and play. 

Bridgestone ได้รับเลือกจาก Lamborghini ในฐานะพันธมิตรร่วมพัฒนายางสปอร์ตสมรรถนะสูง ด้วยผลิตภัณฑ์ “POTENZA SPORT” ให้ “Lamborghini Temerario” เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ตอกย้ำแบรนด์ยางรถยนต์คุณภาพพรีเมียมสำหรับรถซูเปอร์สปอร์ตหรูระดับโลก


 – Bridgestone ต่อยอดความสำเร็จอีกขั้นในฐานะพันธมิตรร่วมพัฒนาด้านเทคนิคอย่างเป็นทางการด้วยผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงซึ่งตอบโจทย์รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario

– ความร่วมมือที่ผ่านมารวมถึงการพัฒนายางรถยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORT สำหรับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Revuelto ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORT และ POTENZA RACE สำหรับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Huracán Tecnica, Lamborghini Huracán STO และ Lamborghini Huracán STJ และผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ Dueler All-Terrain A/T002 RFT รุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Huracán Sterrato

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา Bridgestone ได้เข้าร่วมงานเปิดตัว “Lamborghini Temerario” รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ปลั๊กอินไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบสมรรถนะสูงล่าสุด พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดดเด่นด้วยนวัตกรรมเครื่องยนต์ที่เร่งรอบได้สูงถึง 10,000 รอบต่อนาที มอบสมรรถนะกว่า 920 แรงม้า พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านประสิทธิภาพอันทรงพลัง ประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ และสุนทรีย์แห่งการเดินทางอย่างเหนือชั้น ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทย ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ โดย Bridgestone ได้รับเลือกอีกครั้งในฐานะพันธมิตรร่วมพัฒนาด้านเทคนิคอย่างเป็นทางการด้วยผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง “POTENZA SPORT” ด้วยนวัตกรรมที่ยกระดับความเร้าใจในการขับขี่สไตล์สปอร์ตให้รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario ได้ถึงขีดสุด

คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORT (ซ้าย)

สมรรถนะเหนือชั้นของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORT ช่วยปลดปล่อยศักยภาพในการขับขี่ให้รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario ได้เต็มพิกัด

  • ที่สุดแห่งนวัตกรรมกับสูตรเนื้อยางแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีการผสมเนื้อยางที่แข็งแรงขึ้น
    เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะขั้นสุด และการขับขี่เต็มเสถียรภาพทั้งบนถนนแห้งและถนนเปียก
  • โครงสร้างยางออกแบบมาเพื่อรถสปอร์ตโครงสร้างของยางได้รับการออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพของแรงยึดเกาะถนน จะเร็วแค่ไหนก็แม่นยำทุกการหักเลี้ยว เข้าโค้ง ตอบสนองอย่างฉับไวทุกการขับขี่
  • เทคโนโลยีเสริมพลังแห่งการขับขี่: รวบรวมที่สุดแห่งเทคโนโลยีเพื่อศักยภาพขั้นสุดของยางรถสปอร์ตโดยการผสานกำลังเส้นใยเหล็กและดอกยางแบบไฮบริด ตอบสนองการควบคุมอย่างเหนือชั้นบนทุกความเร็ว
  • เต็มสมรรถนะหน้าสัมผัสยางสไตล์สปอร์ต: ด้วยหน้ายางที่ออกแบบมาให้กว้างขึ้นเพื่อเพิ่ม
    การยึดเกาะถนนอันทรงพลัง ในขณะเดียวกันยังเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ที่สนุกและควบคุมได้ดีขึ้นบนถนนแห้ง
  • ลายดอกยางแบบไม่สมมาตรเพิ่มการขับขี่ขั้นสุดเสริมความแข็งแรงของแก้มยาง ลดการบิดตัวของบล็อกดอกยาง ยึดเกาะกับพื้นถนนได้ดี และเพิ่มเสถียรภาพทุกการเข้าโค้ง
  • จัดวางร่องรีดน้ำให้เหมาะสม พร้อมทุกความท้าทายนอกจากจะให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำได้เร็วขึ้นแล้วยังเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับพื้นถนน ยึดเกาะ เข้าโค้ง และเบรกบนถนนเปียกได้ดียิ่งขึ้น
  • เทคโนโลยีใหม่ออกแบบร่องดอกยางแบบ 3 มิติ: พัฒนาดอกยางแบบ 3 มิติ เพื่อช่วยลดการบิดตัว เพิ่มความแข็งแรงของร่องดอกยาง ต้านทานการสึกหรอ และเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกในย่านความเร็วสูงให้ดียิ่งขึ้น         

พัฒนายางรถยนต์เสมือนจริงเพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการใช้งานและขับเคลื่อนความยั่งยืน

ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORTสำหรับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario ได้รับการพัฒนาที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริดจสโตนในประเทศอิตาลี โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Tyre Development (VTD) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Bridgestone เทคโนโลยี VTD ช่วยส่งมอบประสิทธิภาพและขับเคลื่อนความยั่งยืนในกระบวนการพัฒนายางรถยนต์ โดยสามารถลดจำนวนยางรถยนต์ต้นแบบลงได้ประมาณ 200 เส้น ลดการทดสอบยานพาหนะจริงลง 80% รวมถึงลดระยะเวลาการพัฒนายางรถยนต์ลงได้ถึง 50% นอกจากนี้เทคโนโลยี VTD ยังช่วยลดการใช้วัตถุดิบ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการพัฒนายางมาตรฐานติดรถยนต์ได้ถึง 60%

ซึ่งรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario ได้รับการติดตั้งด้วยผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ POTENZA SPORT ขนาด 255/35ZR20 สำหรับล้อหน้า และขนาด 325/30ZR21 สำหรับล้อหลัง

คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “Bridgestone รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจาก Lamborghini ในฐานะพันธมิตรร่วมพัฒนาด้านเทคนิค ด้วยการถ่ายทอดมรดกทางมอเตอร์สปอร์ตผ่านยางรถยนต์ทรงพลัง POTENZA SPORT ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเสริมสมรรถนะและยกระดับความเร้าใจในการขับขี่ให้รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario นับเป็นอีกก้าวของความร่วมมือที่สำเร็จอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำแบรนด์ยางรถยนต์คุณภาพพรีเมียมที่แบรนด์รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตหรูระดับโลกเชื่อมั่นและไว้วางใจ”

คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากขวา) พร้อมด้วยคุณเบียร์ ใบหยก ยูทูบเบอร์สายรถยนต์ตัวท็อปเจ้าของสำนักแต่งรถยนต์ TOP SECRET THAILAND (ที่ 1 จากซ้าย) และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์บริดจสโตนเข้าร่วมงานเปิดตัวรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini Temerario

เกี่ยวกับบริดจสโตน ประเทศไทย:

บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นด้านการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และสำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด คือหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาดยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์บริดจสโตน, ไฟร์สโตน และเดย์ตันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมที่หลากหลายและโซลูชั่นขั้นสูงซึ่งพัฒนาจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาการเดินทาง, การใช้ชีวิต, การทำงาน และการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก

Preparing for a Healthy and Safe Academic Year: Comprehensive Guidelines for Educational Institutions


 As the new academic year approaches and educational institutions prepare to welcome students back to campus, International SOS, the world’s leading health and security company, underscores the critical importance of robust measures to ensure a healthy and safe campus environment.

The education sector has navigated a complex landscape of challenges in the past few years, ranging from public health emergencies to heightened security concerns. It is estimated that over 246 million children and adolescents experience school violence every year.1 Additionally, approximately 6,000 reported attacks on schools, universities, students and educators took place in 2022 and 2023, a nearly 20% increase compared with the previous two years.2 International SOS assistance data reported a 9% increase in requests for information and assistance within the education industry in 2023 relative to the year prior. Meanwhile, in just the first half of this year, the firm has already observed a 6% increase in requests, indicating a persistent need for vigilance and adaptive strategies within the sector.3

Dr Rodrigo Rodriguez-Fernandez, Global Health Advisor, Wellness & Mental Health at International SOS, comments,

“Amidst the complexities of the current global health scenario, it is crucial for educational institutions to adopt a multifaceted approach to campus health, wellbeing and safety. This means not only being reactive to emerging health risks but also being strategic in cultivating a campus environment conducive to students and staff’s physical health and psychological wellbeing. By understanding and pre-empting the changing health risks, institutions can create robust systems that support resilience and adaptability within the campus community.”

Dr Rodrigo adds, “To achieve this, educational institutions must invest in comprehensive health education programmes that empower students, faculty and staff with the knowledge and skills to make informed health decisions. This includes regular health screenings, mental health support services and promoting a culture of wellness through physical activities and healthy eating options.”

In addition to ensuring on-campus health and safety, the education sector must also tackle the risks related to school trips and international programmes. The forthcoming ISO 31031 standard will provide comprehensive guidance for managing these risks, covering both domestic and international travel and addressing the specific vulnerabilities of minors. This standard includes guidelines for creating emergency response plans and ensuring the safety and security of young travellers. By adopting ISO 31031, educational institutions can better safeguard their students during off-campus activities, promoting a safer and more secure learning environment.                 

Henning Snyman, Security Director at International SOS, comments,

“Educational institutions must proactively address the evolving landscape of campus security risks, especially in light of the rising tide of student activism and campus protests across the globe. As on-campus activities and study abroad programmes resume, staying informed and adapting to new risk environments is crucial. Regular updates to security protocols and training programmes are essential to ensure a safe learning environment. Thorough risk assessments and careful vetting of third-party providers are also key to safeguarding student safety.

Institutions must adopt comprehensive security strategies that protect their community in all settings, from campus life to international study programmes. This strategy should include robust physical security measures and the capability to respond swiftly and effectively to any crisis. Cultivating a culture of preparedness, where staff and students are trained to recognise and respond to potential threats, is vital. This proactive approach to security is fundamental to maintaining a secure and resilient learning environment.”

As educational institutions plan their return to campus, International SOS shares key health and safety recommendations:

  1. Comprehensive risk assessments and security measures: Conduct thorough risk assessments regularly to identify potential hazards and vulnerabilities on campus and ensure that all areas are safe for students, faculty, and staff.
  2. Health guidelines and enhanced hygiene: Collaborate closely with local health authorities and experts to implement comprehensive health guidelines. Promote good hygiene practices through educational campaigns, encouraging regular handwashing, proper respiratory etiquette and overall personal health awareness.
  3. Emergency preparedness and response training: Provide ongoing training for staff and students on emergency response procedures, including fire drills, lockdown protocols, and first aid, to ensure everyone is prepared for any situation. Establish clear emergency response plans, ensuring everyone knows the correct actions to take in case of health crises or other emergencies.
  4. Mental health support: Offer mental health support and counselling services and resources to address the challenges that may arise during the return to campus life. Regularly communicate to students, faculty and staff about the support available and how to access it.
  5. Develop a comprehensive safety plan: Institutions should create a detailed safety plan that includes protocols for various scenarios, such as natural disasters, health emergencies, and security threats. This plan should be regularly updated and communicated to all staff and students.
  6. Foster a safe and inclusive environment: Addressing bullying and violence through educational programmes and strict anti-bullying policies can create a safer school environment. Promoting inclusivity and respect among students and staff is key to fostering a positive campus culture.

For more information on how International SOS can assist with your campus reopening plans, click here. To assess your return-to-campus readiness and identify gaps that reside within your current Return-to-campus plan, click here.

  1. Plan International estimates that at least 246 million boys and girls suffer from school violence every year. This is based on the following calculation: the 2006 UN Study on Violence against Children reported that 20-65% of schoolchildren are affected by verbal bullying, the most prevalent form of violence in schools. Based on UNESCO’s 2011 Global Education Digest report, 1.23 billion children are in primary or secondary school on any given day, so 20% of the global student population is 246 million children. Source: UNESCO Institute for Statistics (2011). Global Education Digest 2011: Comparing Education Statistics Across the World.
  2. Global Coalition to Protect Education from Attack | Education Under Attack 2024
  3. International SOS Assistance Tracker (January 2022 – June 2024)

About the International SOS Group of Companies 

The International SOS Group of Companies is in the business of saving lives and protecting your global workforce from health and security threats. Wherever you are, we deliver customised health, security risk management and wellbeing solutions to fuel your growth and productivity. In the event of extreme weather, an epidemic or a security incident, we provide an immediate response providing peace of mind. Our innovative technology and medical and security expertise focus on prevention, offering real-time, actionable insights and on-the-ground quality delivery. We help protect your people, and your organisation’s reputation, as well as support your compliance reporting needs. By partnering with us, organisations can fulfil their Duty of Care responsibilities, while empowering business resilience, continuity, and sustainability.  

Founded in 1985, the International SOS Group, headquartered in London & Singapore, is trusted by over 9,000 organisations. This includes the majority of the Fortune Global 500. As well as mid-size enterprises, governments, educational institutions, and NGOs. Nearly 12,000 multi-cultural security, medical, logistics and digital experts stand with you to provide support & assistance from over 1,200 locations in 90 countries, 24/7, 365 days. Between them, International SOS employees speak nearly 100 languages and dialects in our Assistance Centres, Clinics, and offices.  

To protect your workforce, we are at your fingertips: www.internationalsos.com  

อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส แนะสถานศึกษาเตรียมพร้อมรับเปิดเทอม ด้วยแนวทางส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยรอบด้าน


ในขณะที่สถานศึกษาต่างเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับนักเรียนและนักศึกษากลับเข้าสู่รั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในภาคเรียนใหม่ที่กำลังจะมาถึง อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส (International SOS) บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านสุขภาพและความปลอดภัย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยในรั้วสถานศึกษา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการการศึกษาต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน ตั้งแต่ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ไปจนถึงปัญหาด้านความปลอดภัยที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีการประเมินว่าในแต่ละปี เด็กและเยาวชนมากกว่า 246 ล้านคนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในสถานศึกษา1 ขณะเดียวกัน มีรายงานเหตุโจมตีโรงเรียน มหาวิทยาลัย นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา มากถึง 6,000 ครั้งในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงสองปีก่อนหน้า2 นอกจากนี้ ข้อมูลจากระบบให้ความช่วยเหลือของอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ยังเผยให้เห็นว่ามีการขอข้อมูลและการสนับสนุนภายในวงการการศึกษา เพิ่มขึ้นถึง 9% ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พบว่ามีการขอข้อมูลคำเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นต่อเนื่องที่แวดวงการศึกษาต้องดำเนินกลยุทธ์การเฝ้าระวังและปรับตัว3

นพ. โรดริโก โรดริเกซ-เฟอร์นันเดซ (Dr. Rodrigo Rodriguez-Fernandez) ที่ปรึกษาด้านสุขภาพระดับโลก แผนกสุขภาวะและสุขภาพจิตของอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส แสดงความเห็นว่า

“เนื่องจากสถานการณ์ด้านสาธารณสุขโลกในปัจจุบันมีความซับซ้อนนานัปการ สถานศึกษาจึงจำเป็นต้องประยุกต์ใช้แนวทางที่หลากหลายและครอบคลุม เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และความปลอดภัยในรั้วสถานศึกษา ไม่ใช่เพียงแค่รับมือกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องวางกลยุทธ์เชิงรุกในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรอีกด้วย การทำความเข้าใจและการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยที่มีความเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นพ.โรดริโก กล่าวเสริมว่า “เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สถานศึกษาจำเป็นต้องลงทุนในโครงการให้ความรู้ด้านสุขภาพอย่างรอบด้าน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็นแก่นักเรียน นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากร เพื่อให้สามารถตัดสินใจด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดังกล่าวควรครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การให้บริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต ไปจนถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างสุขภาวะ ผ่านกิจกรรมการออกกำลังกายและการสร้างเสริมพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ”

นอกจากการส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยภายในสถานศึกษาแล้ว วงการการศึกษายังควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายนอกสถานศึกษาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทัศนศึกษาหรือโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ โดยเร็ว ๆ นี้จะมีการประกาศใช้มาตรฐาน ISO 31031 เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารความเสี่ยงอย่างครอบคลุม ทั้งการเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยคำนึงถึงความเปราะบางของผู้เยาว์เป็นหลัก มาตรฐาน ISO 31031 จะช่วยกำหนดแนวทางในการจัดทำแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน รวมถึงมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมนอกสถานที่ การนำมาตรฐานดังกล่าวมาใช้จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถยกระดับความปลอดภัยของนักเรียนและนักศึกษาได้อย่างรอบด้าน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เฮนนิง สไนแมน (Henning Snyman) ผู้อำนวยการฝ่ายความปลอดภัยของอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส แสดงความเห็นว่า

“สถานศึกษาควรดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยภายในสถานศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเคลื่อนไหวและการชุมนุมในสถานศึกษาทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สถานศึกษาต้องเตรียมพร้อมรองรับทั้งกิจกรรมในสถานที่และกิจกรรมนอกสถานที่ในภาคเรียนใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและการปรับตัวให้เท่าทันความเสี่ยงรูปแบบใหม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน สถานศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยและการจัดฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ การประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ควบคู่กับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการจากภายนอกอย่างรัดกุม ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัยของนักเรียนและนักศึกษาในทุกมิติ

สถานศึกษาจำเป็นต้องดำเนินกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยอย่างครอบคลุม เพื่อปกป้องนักเรียนและนักศึกษาในทุกบริบท ตั้งแต่การใช้ชีวิตภายในรั้วสถานศึกษา ไปจนถึงการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ โดยกลยุทธ์ดังกล่าวควรครอบคลุมถึงมาตรการความปลอดภัยทางกายภาพที่เข้มแข็ง และความสามารถในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการเตรียมพร้อม ด้วยการจัดฝึกอบรมให้แก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถระบุและรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม แนวทางเชิงรุกด้านความปลอดภัยเช่นนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มั่นคง ปลอดภัย และมีความยืดหยุ่นพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์”

ในขณะที่สถานศึกษากำลังเตรียมความพร้อมสำหรับภาคเรียนใหม่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ขอเสนอคำแนะนำด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ควรพิจารณา ดังนี้

  1. มาตรการความปลอดภัยและการประเมินความเสี่ยงที่ครอบคลุม: ดำเนินการประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและละเอียดถี่ถ้วน เพื่อระบุอันตรายและช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานศึกษา สร้างความมั่นใจว่าทุกพื้นที่ในสถานศึกษามีความปลอดภัยสำหรับนักเรียน นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรทุกคน
  2. แนวทางการดูแลสุขภาพและสร้างเสริมสุขอนามัย: ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานสาธารณสุขและผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ เพื่อนำแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมมาปรับใช้ภายในสถานศึกษา พร้อมกับสร้างเสริมสุขอนามัยผ่านการให้ความรู้เรื่องการล้างมืออย่างถูกวิธี มารยาทในการไอและจาม และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพส่วนบุคคล
  3. การฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมและรับมือเหตุฉุกเฉิน: จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องสำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคลากร เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนการรับมือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ เช่น การฝึกซ้อมดับเพลิง การดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความพร้อมให้กับทุกฝ่ายในการรับมือกับทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่มีความชัดเจน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตด้านสาธารณสุขหรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ
  4. การสนับสนุนด้านสุขภาพจิต: จัดให้มีบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสม ทั้งการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ การจัดหาเครื่องมือและข้อมูลที่จำเป็นต่อการรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเปิดเทอม และควรมีการสื่อสารกับนักเรียน นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตที่สามารถเข้ารับบริการได้
  5. การพัฒนาแผนความปลอดภัยที่ครอบคลุม: สถานศึกษาควรจัดทำแผนความปลอดภัยอย่างละเอียด โดยระบุแนวทางการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยแผนความปลอดภัยดังกล่าวควรได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ และต้องมีการสื่อสารกับนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทุกคนให้รับทราบอย่างทั่วถึงและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
  6. การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและปราศจากการแบ่งแยก: ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้งและความรุนแรงภายในสถานศึกษาอย่างจริงจัง ผ่านโครงการให้ความรู้และการกำหนดนโยบายต่อต้านการกลั่นแกล้งที่เข้มงวด เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาที่ปลอดภัยมากขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการไม่แบ่งแยกและการเคารพซึ่งกันและกันในหมู่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนวัฒนธรรมเชิงบวกภายในสถานศึกษา

หากสถานศึกษาต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ในการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ กรุณาคลิกที่นี่ และหากประสงค์จะประเมินระดับความพร้อม รวมถึงระบุช่องโหว่ของการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ กรุณาคลิกที่นี่

  1. องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล (Plan International) ประมาณการว่า ในแต่ละปีมีเด็กชายหญิงอย่างน้อย 246 ล้านคนตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในโรงเรียน โดยการคำนวณตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากรายงานการศึกษาของสหประชาชาติว่าด้วยความรุนแรงต่อเด็ก (UN Study on Violence against Children) ประจำปี 2549 ที่ระบุว่า นักเรียน 20-65% ได้รับผลกระทบจากการกลั่นแกล้งทางคำพูด ซึ่งเป็นรูปแบบของความรุนแรงที่พบได้บ่อยที่สุดในโรงเรียน ประกอบกับรายงานวิเคราะห์การศึกษาระดับโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Education Digest) ประจำปี 2554 ที่ระบุว่า วันหนึ่ง ๆ มีเด็กนักเรียน 1.23 พันล้านคนศึกษาอยู่ในโรงเรียนระดับประถมหรือมัธยมศึกษา ดังนั้น 20% ของจำนวนนักเรียนทั่วโลกจึงเท่ากับ 246 ล้านคน ที่มาสถาบันสถิติแห่งยูเนสโก (2554). รายงานวิเคราะห์การศึกษาระดับโลกประจำปี 2554: เปรียบเทียบสถิติการศึกษาทั่วโลก.
  2. แนวร่วมระดับโลกเพื่อปกป้องการศึกษาจากการโจมตี (Global Coalition to Protect Education from Attack) | การศึกษาภายใต้การโจมตี ประจำปี 2567 (Education Under Attack 2024)
  3. เครื่องมือติดตามความช่วยเหลือของอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส (International SOS Assistance Tracker) (มกราคม 2565 – มิถุนายน 2567)

About the International SOS Group of Companies 

The International SOS Group of Companies is in the business of saving lives and protecting your global workforce from health and security threats. Wherever you are, we deliver customised health, security risk management and wellbeing solutions to fuel your growth and productivity. In the event of extreme weather, an epidemic or a security incident, we provide an immediate response providing peace of mind. Our innovative technology and medical and security expertise focus on prevention, offering real-time, actionable insights and on-the-ground quality delivery. We help protect your people, and your organisation’s reputation, as well as support your compliance reporting needs. By partnering with us, organisations can fulfil their Duty of Care responsibilities, while empowering business resilience, continuity, and sustainability.  

Founded in 1985, the International SOS Group, headquartered in London & Singapore, is trusted by over 9,000 organisations. This includes the majority of the Fortune Global 500. As well as mid-size enterprises, governments, educational institutions, and NGOs. Nearly 12,000 multi-cultural security, medical, logistics and digital experts stand with you to provide support & assistance from over 1,200 locations in 90 countries, 24/7, 365 days. Between them, International SOS employees speak nearly 100 languages and dialects in our Assistance Centres, Clinics, and offices.  

To protect your workforce, we are at your fingertips: www.internationalsos.com  

Wednesday, July 30, 2025

10 แบรนด์เมคอัพไทยสุดปัง! พร้อมไอเท็มฮิต ใช้ดีบอกต่อ

เครื่องสำอางแบรนด์ไทยใช้ดีไม่แพ้แบรนด์นอก! เสียงสะท้อนจากผู้ใช้ในโซเชียลมีเดีย 10 แบรนด์มาแรง! + 5 ไอเท็มเด็ดที่ใครใช้ก็บอกต่อ

เครื่องสำอางแบรนด์ไทยกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพ ราคาที่เข้าถึงง่าย และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจผิวคนไทยอย่างแท้จริง ทั้งการพัฒนาสีสันที่เข้ากับโทนผิว ความติดทน สูตรที่เหมาะกับสภาพอากาศ และที่สำคัญคือการสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ การสื่อสารที่ทันสมัย จนกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจับตามองในวงการความงามของไทย

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้รวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ dxt:360 ระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2568 เพื่อติดตามความคิดเห็นของผู้บริโภคในสังคมออนไลน์ (Social Listening) เกี่ยวกับประสบการณ์การใช้สินค้า ความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอแนะ และแนวโน้มที่มีต่อเครื่องสำอางแบรนด์คนไทยในปัจจุบัน

Top 10 เมคอัพแบรนด์ไทยที่ได้รับความสนใจ (by Engagement) 

LA GLACE (ลากลาส) ได้รับ Engagement สูงที่สุดบนโซเชียลมีเดีย อยู่ที่ 24.3% จากคอนเทนต์สุดไวรัลเบื้องหลังการถ่ายแบบสินค้า “คอเรคเตอร์” รวมถึงกระแสการปล่อยสินค้าใหม่ ๆ อย่าง “มาสคาร่าคิ้ว” และ “ลิปไอติม” หลายเฉดสีให้เลือก แถมราคาจับต้องได้ นอกจากนี้ “โทนเนอร์แพด” ตัวช่วยเตรียมผิวให้พร้อมก่อนลงเมคอัพ และ “บลัชออนสีดำ” ในตำนานยังคงถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่องบนโซเชียลมีเดีย

DEESAY (ดีเซ้ย์) ได้รับ Engagement สูงถึง 18.6% โดยผลิตภัณฑ์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ “กันแดดไดฟูกุ” และ คุชชั่น ที่มีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์มารีวิวเป็นจำนวนมากทั้งวัยเรียนและวัยทำงาน ด้วยการใช้กันแดดในการแต่งหน้าจนฟินิชลุค โดยชาวโซเชียลได้เข้ามาให้ความสนใจและชื่นชมผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 

4U2 (โฟว์ยูทู) ได้รับ Engagement สูงถึง 15.4% ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ยอดฮิตอย่างลิปบาล์มและลิปสติกสีใหม่ ๆ ที่ทั้งสีสวย ราคาน่ารัก คนเลยพูดถึงกันไม่หยุด โดยเฉพาะในคอนเทนต์รีวิว ที่บรรดาอินฟลูเอนเซอร์สายบิวตี้ และผู้ใช้ทั่วไปโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ทั้งการเทียบสี ทาบนริมฝีปาก หรือแนะนำ  “สีที่ต้องมี” ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และกระตุ้นการบอกต่อแบบปากต่อปาก

JOVINA (โจวีน่า) ได้รับ Engagement สูงถึง 12.0% โดยส่วนใหญ่มาจากช่องทาง Tiktok ด้วยคอนเทนต์ให้คนเดินสยามเข้ามามีส่วนร่วมในคลิปวิดีโอ พร้อมกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไปในตัว และยังมีคอนเทนต์เบื้องหลังการเปิดตัวสินค้าใหม่ “ลิปแมตต์โจวีน่า” อีกด้วยที่ดึงความสนใจจากสาว ๆ ในโซเชียลได้เป็นอย่างดี

SRICHAND (ศรีจันทร์) ได้รับ Engagement สูงถึง 6.6% โดยผลิตภัณฑ์ที่ถูกกล่าวถึงในโซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ “ไพรเมอร์ล็อคผิว” เมคอัพเบสที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้ใช้พูดถึงเมื่อทาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทาแป้ง ควบคุมความมันได้ดี แถมยังได้ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” เป็นพรีเซ็นเตอร์ล่าสุด และการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง “แป้งฟิลเตอร์เบลอผิว” ที่ระบุว่าใช้แล้วหน้าผ่องดูเป็นธรรมชาติ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นอกจากนี้ กันแดดศรีจันทร์ก็เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่มีคนพูดถึงเป็นอย่างมากว่าป้องกันแสงแดดได้ดี เนื้อบางเบา ราคาจับต้องได้ และที่สำคัญคือ เหมาะกับทุกสภาพผิวของคนไทย 

นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่ได้รับการพูดถึงอยู่ใน 10 อันดับ ได้แก่ SASI (5.9%), BEAUTILAB (5.7%), MILLE (5.1%), CATHY DOLL (4.1%) และ SUPERMOM (2.3%) ตามลำดับ

Top ไอเท็มยอดฮิตที่คนพูดถึงเมื่อแต่งหน้า (by Mention)

เครื่องสำอางจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าใจว่าผู้บริโภคใช้เครื่องสำอางเพื่อต้องการเสริมความมั่นใจส่วนไหน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจผู้บริโภค และยังเป็นแนวทางให้แบรนด์สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง โดยเครื่องสำอางที่เป็นไอเท็มยอดฮิต! ได้รับการกล่าวถึง (Mention) เป็นอันดับต้น ๆ ในช่วงที่เก็บข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย มีดังนี้

For tamlpate1.png

ผลิตภัณฑ์ “ลิปสติก”  หนึ่งในไอเท็ม ติดตัว ได้รับการกล่าวถึง สูงถึง 39% โดยลิปนั้นมีหลายรูปแบบ ผู้บริโภคกล่าวชื่นชมรูปแบบลิปสติกที่เหมาะกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ลิปแมตต์,  ลิปกลอส, ลิปทินท์, ลิปออยล์ และลิปเนื้อกำมะหยี่ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่นแตกต่างกันตามเนื้อสัมผัสและลุคที่ต้องการ โดยการรวบรวมข้อมูลรอบนี้ ลิปสติกของ 4U2 ได้รับความสนใจมากที่สุด ด้วยเฉดสีที่หลากหลาย ราคาน่ารัก และออกคอลเลกชันใหม่อย่างต่อเนื่อง

ผลิตภัณฑ์ “แป้ง” ตัวช่วยผิวเป๊ะ ได้รับการกล่าวถึง สูงถึง 15% ผลิตภัณฑ์ตัวช่วยควบคุมความมัน เบลอผิว และล็อคผิวให้เมคอัพติดทน ทั้งแป้งฝุ่น แป้งผสมรองพื้น ไปจนถึงแป้งบำรุงผิว เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีติดตัว โดยเฉพาะแป้งของศรีจันทร์ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ด้วยจุดเด่นเรื่องคุมมันดี หน้าผ่องดูเป็นธรรมชาติ และเหมาะกับทุกสภาพผิว 

ผลิตภัณฑ์ “กันแดด” ด่านปกป้องผิว ได้รับการกล่าวถึง สูงถึง 13% ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนส่วนใหญ่ จึงทำให้มีผู้บริโภคกล่าวถึงกันแดดที่ตอบโจทย์สภาพอากาศเมืองไทย คุมมัน กันเหงื่อ พบว่า ศรีจันทร์ และ Deesay ดึงดูดความสนใจจากชาวโซเชียลได้เป็นอย่างดี 

ผลิตภัณฑ์ “Eyebrow” คิ้วคือมงกุฎของหน้า ได้รับการกล่าวถึง 11% โดยที่เขียนคิ้วนั้นมีหลายรูปแบบที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในการเลือกใช้ให้เข้ากับลุค เช่น ที่เขียนหัวตัด, ดินสอเหลา, หัวเรียว รวมไปถึงใช้แปรงแบบฝุ่น 

ผลิตภัณฑ์ “รองพื้น” ปรับผิวก่อนปัง ได้รับการกล่าวถึง สูงถึง 9% ผลิตภัณฑ์เสริมความมั่นใจ ปรับสภาพผิวก่อนแต่งหน้า ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อเฉดสีที่เข้ากับ Undertone ของตน รวมถึงเนื้อสัมผัสที่เหมาะสมกับสภาพผิว

ผลิตภัณฑ์ “บลัชออน” ได้รับการกล่าวถึง สูงถึง 8% ตัวช่วยเพิ่มสีสันและทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ดูสุขภาพดี พบว่าผู้บริโภคกล่าวชื่นชมเฉดสีต่าง ๆ ที่เข้ากับตนเอง ทำให้ตัวเองดูดียิ่งขึ้น 

“เฉดสี” เรื่องสำคัญ? ของคนรักเมคอัพ

Word Cloud แสดงคำที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด สะท้อนถึงความสนใจของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีต่อเครื่องสำอางในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลิตภัณฑ์ 

พบคำที่ปรากฏเกี่ยวกับ สี เฉดสี ชมพู แดง น้ำตาล ส้ม ที่ปรากฏใน Word cloud อาจบ่งบอกได้ว่าผู้บริโภคให้ความสนใจในเรื่องของสี ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกของสีที่หลากหลาย การเลือกเฉดสีที่เหมาะสมกับตนเอง รวมถึงผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับสี เช่น undertone, สีที่เข้ากันได้, การผสมผสานสี เห็นได้จากเทรนด์การทำ Personal Color ในช่วงที่ผ่านมา

อินฟลูฯ ผู้เชื่อมโยงเสียงของ “ผู้บริโภค” กับ “ผลิตภัณฑ์”

จากข้อมูลพบว่า มีหลายโพสต์ของ Influencer ได้รับ Engagement สูง และ Comment จำนวนมาก ในหลายช่องทาง สะท้อนให้เห็นว่า ในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญ อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่เพียงแค่ผู้นำเสนอสินค้า แต่กลายเป็น “เพื่อน” ที่ผู้บริโภคเชื่อใจและพึ่งพาในการขอคำแนะนำเรื่องความงาม ความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นระหว่าง “อินฟลูเอนเซอร์” กับผู้ติดตามไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงการค้า แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีนัยยะ สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ผู้ติดตามเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เกิดการสนทนาในส่วนคอมเมนต์ ทั้งการแนะนำแบรนด์และผลิตภัณฑ์ให้แก่กัน รวมถึงการแบ่งปันเคล็ดลับในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “อินฟลูเอนเซอร์” ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชนคนรักความงาม

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก dxt:360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 18 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2568

เกี่ยวกับ dxt:360

dxt:360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหลียวหนิงต้อนรับเยาวชนฮ่องกง-มาเก๊า ร่วมโครงการศึกษาดูงาน สำรวจรากเหง้าแผ่นดินแม่


 ศูนย์ข่าวและข้อมูลของสำนักข่าวซินหัว สาขาเหลียวหนิง


เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมืองเฉาหยาง มณฑลเหลียวหนิง ได้จัดการประชุมพันธมิตรโครงการศึกษาดูงานจีนแผ่นดินใหญ่สำหรับเยาวชนฮ่องกง-มาเก๊า ประจำปี 2568 ในหัวข้อ "Search for Root, Chase Dream, Explore the Future Together" (ตามหารากเหง้า ไขว่คว้าฝัน สำรวจอนาคตร่วมกัน) โดยมีเยาวชนจากเขตปกครองพิเศษมาเก๊าและเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเกือบร้อยคนเดินทางศึกษาดูงานในเหลียวหนิงเป็นระยะเวลา 5 วัน


โครงการศึกษานี้มุ่งเจาะลึกวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมสีแดง วัฒนธรรมอุตสาหกรรม และองค์ประกอบอื่น ๆ ของมณฑลเหลียวหนิง และใช้ประโยชน์จากเฉาหยางและเฉิ่นหยางในฐานะ "ห้องเรียนภาคสนาม" โดยมีหลักสูตรศึกษาดูงาน 8 หัวข้อด้วยกัน เช่น "นครโบราณแห่งสามอาณาจักรหยาน ความลับเส้นทางสายไหม", "หยกหงซาน รุ่งอรุณแห่งอารยธรรม", "ความทรงจำเมืองหลวงเซิ่งจิง เสียงสะท้อนจากประวัติศาสตร์" และ "สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของมหาอำนาจ สู่อนาคตขับเคลื่อนด้วยปัญญา" เป็นต้น ขณะที่เยาวชนจากฮ่องกงและมาเก๊าจะได้เรียนรู้ผ่านการบรรยาย การสังเกต การอภิปราย และการสัมผัสประสบการณ์ เพื่อเข้าใจถึงภูมิทัศน์ภูเขาสูงและชายฝั่งของเหลียวหนิง ประวัติศาสตร์อันยาวนาน อารยธรรมอุตสาหกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ สังคมพหุชาติพันธุ์ที่หลากสีสัน และโอกาสการพัฒนาที่เต็มไปด้วยพลังในภูมิภาคนี้


มณฑลเหลียวหนิงเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่สะท้อนกรอบความหลากหลายแต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของอารยธรรมจีน โดยนำทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอันอุดมสมบูรณ์มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เปิดโอกาสให้เยาวชนจากมาเก๊าและฮ่องกงได้ก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 5,000 ปี สัมผัสรากเหง้าของอารยธรรมจีน เชื่อมโยงสายใยความผูกพัน และเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของความรักชาติ ในอนาคต มณฑลเหลียวหนิงจะใช้กิจกรรมนี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ พร้อมพัฒนาโครงการศึกษาดูงาน ขยายการแลกเปลี่ยนกับเขตปกครองพิเศษฮ่องกงและเขตปกครองพิเศษมาเก๊า ดึงดูดเยาวชนจากทั้งมาเก๊าและฮ่องกงให้มาค้นพบเหลียวหนิงและเข้าใจมาตุภูมิให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่นใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรมค่อย ๆ เติบใหญ่และหยั่งรากผ่านการเดินทางและการเพลิดเพลินโครงการศึกษาดูงาน


ที่มา: ศูนย์ข่าวและข้อมูลของสำนักข่าวซินหัว สาขาเหลียวหนิง

Thematic Study Tour for Hong Kong and Macao Youths in Liaoning


The Liaoning Branch of Xinhua News Agency's News & Information Center

On July 25, the 2025 Hong Kong and Macao Youth Mainland Study Tour Alliance Conference was held in Chaoyang City, Liaoning Province under the theme of "Search for Root, Chase Dream, Explore the Future Together". Nearly a hundred youths from Macao SAR and Hong Kong SAR embarked on a five-day study tour in Liaoning.

This study tour program delved into Liaoning's historical culture, red culture, industrial culture and other elements, and took advantage of Chaoyang and Shenyang as "city classrooms". Eight thematic study tour courses were offered, such as "Ancient City of the Three Yan Kingdoms, Secrets of the Silk Road", "Jade from Hongshan, Dawn of Civilization", "Memories of Capital Shengjing, Resonance from History", and "Inventions and Innovations of Superpower, Intelligence-driven Future", among others. Through lectures, observations, discussions and experiences, Hong Kong and Macao youths will have the opportunity to understand Liaoning's alpine and seaside sceneries, time-honored history, inspiring industrial civilization, colorful multi-ethnic society and vibrant development opportunities.

As one of the core areas exemplifying the pluralistic yet integrated framework of Chinese civilization, Liaoning Province, by leveraging its abundant cultural and tourism resources, enabled Macao and Hong Kong youths to step into history more than five thousand years old, touch the roots of Chinese civilization, rejoice in the ties of kinship, and comprehend the profundity of patriotism. In the future, Liaoning Province will use this event as a new start, continue to roll out study tour products, expand exchanges with Hong Kong SAR and Macao SAR, attract more Macao and Hong Kong youths to discover Liaoning and deepen their understanding of the motherland, and enable the seeds of cultural confidence to naturally grow and take root during the travels and appreciations of study tour programs.

Source: The Liaoning Branch of Xinhua News Agency's News & Information Center



Source:  Xinhua-AsiaNet/Dataxet

Tuesday, July 29, 2025

เอ็กซ์เจ อิเล็กทริก เจาะลึกการผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ พาชมโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

ในระหว่างวันที่ 23-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา การประชุมสุดยอดสื่อและคลังสมองขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization Media and Think Tank Summit) ได้จัดขึ้น ณ มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน โดยในโอกาสนี้ ผู้แทนจากหลากหลายประเทศได้เข้าเยี่ยมชมบริษัท เอ็กซ์เจ อิเล็กทริก คอร์ปอเรชัน (XJ Electric Corporation) ณ เมืองสวี่ชาง ในมณฑลเหอหนาน เพื่อศึกษาการดำเนินงานด้านระบบอัจฉริยะและระบบดิจิทัลของ "โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ" (Lights-Out Factory) พร้อมกับสัมผัสด้วยตนเองว่า มิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะตัวเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวก็สามารถสะท้อนถึงความก้าวหน้าของจีนในด้านการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าและเทคโนโลยีขั้นสูงได้


"ผมเคยอ่านรายงานข่าวเกี่ยวกับ 'โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ' จากสื่อต่าง ๆ มาแล้วมากมาย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่จริง" ขิ่น หม่อง ซอ (Khin Maung Zaw) เลขาธิการสถาบันยุทธศาสตร์และการต่างประเทศแห่งเมียนมา (MISIS) กล่าว

"โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ" ที่ขิ่น หม่อง ซอ กล่าวถึง คือสายการผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบบ 1 เฟสของบริษัท เหอหนาน เอ็กซ์เจ มิเตอริง จำกัด (Henan XJ Metering Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอ็กซ์เจ อิเล็กทริก โดยภายในโรงงานมีการใช้รถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGV) เพื่อขนส่งวัสดุด้วยความแม่นยำ ขณะเดียวกัน แขนกลมากกว่าสิบตัวก็ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบในการประกอบชิ้นส่วนบนสายพานลำเลียง โดยเฉลี่ยแล้วสามารถผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบบ 1 เฟสได้หนึ่งตัวต่อวินาที

"สายการผลิตอัจฉริยะของเราผสานรวมข้อมูลคำสั่งซื้อ วัสดุ และอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ผ่านระบบการจดจำส่วนประกอบอัตโนมัติ การตรวจสอบสถานะการประมวลผลแบบเรียลไทม์ และการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยอัตโนมัติ โดยพนักงานสามารถตรวจสอบกระบวนการผลิตทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์จากหน้าจอควบคุม" หลิว หลี่ปิง (Liu Libing) ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปของบริษัท เอ็กซ์เจ มิเตอริง จำกัด อธิบาย พร้อมกับเสริมว่า ภายหลังการเปลี่ยนผ่านมาใช้ระบบดิจิทัล ประสิทธิภาพการทำงานเฉลี่ยต่อพนักงานหนึ่งคนเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า ขณะที่รอบการส่งมอบผลิตภัณฑ์ก็สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจุบัน มิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะและระบบการใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะของจีน ซึ่งกำลังขยายการใช้งานออกไปในระดับสากล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก

"เราได้จัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาค 3 แห่งในเอเชียและยุโรป อเมริกาใต้ และแอฟริกา พร้อมทั้งร่วมมือกับ 5 ประเทศ และขยายการดำเนินงานไปยังกว่า 20 ประเทศ นอกจากนี้ เรายังนำเสนอโซลูชันระบบ AMI แบบครบวงจร และประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการอัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าในหลายประเทศ" หลิว หลี่ปิง กล่าว

ประเทศจีนยังคงมุ่งมั่นที่จะแบ่งปันความสำเร็จในการพัฒนาให้กับทั่วโลกผ่านการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ในฐานะองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าของจีน บริษัท เอ็กซ์เจ อิเล็กทริก จึงได้มีส่วนร่วมพัฒนาโครงการระดับนานาชาติมากมาย เช่น โครงการระบบสายส่งกระแสตรงแรงดันสูงขนาด ?660kV ระหว่างเมืองมาเตียรีกับเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน รวมถึงโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม-พลังงานแสงอาทิตย์-ระบบกักเก็บพลังงานของบริษัท ปามีร์ เอเนอร์จี (Pamir Energy Company) ในประเทศทาจิกิสถาน และโครงการสถานีไฟฟ้าย่อยเคลื่อนที่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น

"โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางการค้าที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามที่เป็นรูปธรรมของจีนในการพัฒนาโครงสร้างพลังงานโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปล่อยคาร์บอนต่ำ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานในระดับโลก พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน" ขิ่น หม่อง ซอ กล่าว