นายฮิชามมุดดิน ฮุสเซน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของมาเลเซีย เรียกร้องให้ประชาชนในชาติร่วมกันผนวกรวมทุกเชื้อชาติให้เป็นหนึ่งเดียวและสร้างความก้าวหน้าแก่ประเทศ
ในจดหมายที่เปิดผนึกต่อสื่อมวลชน นายฮุสเซนระบุว่า "ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยกันถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวจากทุกขั้วการเมือง ไม่ว่าจะในแง่ของความร่วมมือทางการเมืองหรือความเป็นเอกภาพของชาวมาเลย์ ผมมีความยึดมั่นมาโดยตลอด ผมสนับสนุนความพยายามใด ๆ ที่ต้องการหลอมรวมความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของชาวมาเลเซียในทุกระดับ ไม่ว่าจะเริ่มที่ระดับสังคมหรือระหว่างชาวมาเลย์ก่อนก็ตาม เราต้องตระหนักว่าความพยายามเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ก่อนวันประกาศอิสรภาพของเรา" เขาเสริมว่า "เมื่อปี 1946 ดาโต๊ะ อันจาฟาร์ (Dato Onn Ja'afar) ซึ่งเป็นคุณปู่ของผม ได้เรียกประชุมองค์กรชาวมาเลย์กว่า 40 แห่ง เพื่อผนึกกำลังของชาวมาเลย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษและก่อตั้งสหภาพมาลายา จนนำไปสู่การก่อตั้งพรรคอัมโน (UMNO) ทว่าเขาตระหนักว่ามาเลเซียที่เสรีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จากแค่การรวมตัวของชาวมาเลย์ เขาจึงลาออกจากพรรค UMNO เมื่อปี 1951 เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอในการเปิดรับสมาชิกพรรค UMNO จากทุกเชื้อชาติ"
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเตือนว่า "แม้จะไม่ตรงเสียทีเดียว ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าจะจากความร่วมมือ Muafakat Nasional หรือ Kongres Maruah Melayu จุดสนใจหลักของเหตุการณ์เหล่านี้อาจเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เพาะขึ้นเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพในวงกว้างขึ้น ซึ่งครอบคลุมเชื้อชาติอื่นที่มีส่วนสร้างชาติของเราให้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติเช่นวันนี้"
เขาเสริมว่า "ผมทราบดีว่าคำพูดที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติจากเหตุการณ์เหล่านี้ อาจทำให้คนจากเชื้อชาติอื่นรู้สึกถูกกีดกันและโจมตี บดบังความตั้งใจดีที่เหตุการณ์เหล่านี้ต้องการทำให้สำเร็จ สิ่งนี้อาจเผยให้เห็นถึงความเปราะบางในสังคมของเรา ดังนั้น เราควรมุ่งความสนใจของเราไปที่การต่อสู้และความมุ่งมั่นของเหล่าผู้นำในการหลอมรวมชาวมาเลย์ให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่ใช่ชาวมาเลย์ไม่ต้องรู้สึกกังวล เพราะเราเข้าใจดีว่าความเป็นเอกภาพของชาวมาเลย์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการต้องสูญเสียความหนึ่งเดียวกันของชาวมาเลเซียทุกคน สิ่งนี้เป็นรากฐานของความพยายามที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและครอบคลุมอย่างทั่วถึง เพื่อหลอมรวมประเทศที่แตกแยกของเรา"
นายฮุสเซน กล่าวว่า "มาเลเซียเหมือนจะติดอยู่ในวังวนของคำพูดที่แสดงความเกลียดชังและข่าวปลอม ที่เติมเชื้อเพลิงจากความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติที่ย่ำแย่ อันเป็นผลจากการแบ่งแยกขั้วทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย แต่ใครจะเป็นผู้นำในการแก้ปัญหานี้กัน พวกเราในฐานะผู้นำทางการเมืองของประเทศนั้นต้องรับผิดชอบ และตระหนักว่าเราต้องแก้ปัญหานี้ก่อนที่จะแย่ไปกว่าเดิม ผมยอมรับว่านี่อาจไม่ใช่เส้นทางที่เรียบง่าย แต่เราต้องอดทน อาจมีเหตุการณ์อีกมากมายที่ความอาฆาตดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด แต่โปรดจงอย่ายอมแพ้ ความดีและความจริงใจจะต้องมีชัยเหนือเพื่อให้มาเลเซียก้าวไปข้างหน้า หากเราในฐานะผู้นำมีความใส่ใจต่อคนดีของชาติเราอย่างแท้จริง เราต้องมีความเป็นผู้นำและเยียวยาคนที่ได้รับความเจ็บปวด"
นายฮุสเซ็น แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันของประเทศว่า "ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ อัตราว่างงานสูงขึ้น ผู้คนไม่รู้สึกถึงเงินที่เพิ่มขึ้นในกระเป๋าตามที่คาดหวัง มาตรการรัดเข็มขัดหรือการอดออมเป็นเพียงมาตรการอุดช่องว่างระยะสั้นเท่านั้น และไม่สร้างประโยชน์ใดแก่ประเทศในระยะยาว ผมเชื่อว่านโยบายใดก็ตามที่ดำเนินการในตอนนี้จะถูกบดบัง และไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คน จนกว่าเสถียรภาพและความแน่นอนทางการเมืองจะกลับคืนมา" เขาเสริมว่า "นอกจากนี้ เราต้องไม่มองข้ามความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งอาจมีอิทธิพลไม่พึงประสงค์ฉวยโอกาสในช่วงที่สังคมของเรากำลังแตกแยก ภัยคุกคามต่อเอกภาพของชาติ ตลอดจนเศรษฐกิจที่ระส่ำระส่าย และภัยคุกคามด้านความมั่นคง ถือเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงต่ออนาคตของมาเลเซีย"
สำหรับวิธีในการสร้างความก้าวหน้าแก่มาเลเซีย นายฮุสเซ็น กล่าวว่า "เราต้องหยุดและตระหนักว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเยียวยารักษา สิ่งนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วอาจไม่เป็นที่นิยม แต่ก็เป็นส่วนสำคัญและจำเป็นที่จะต้องแก้ไขและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ เราต้องลงมือทำให้มากขึ้นเพื่อสร้างชาติที่ลูกหลานของเรารู้สึกภูมิใจที่ได้อาศัยอยู่ พลเมืองดีของมาเลเซียอยากเห็นเหตุผลท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้ และพวกเขาต้องตระหนักถึงความพยายามเหล่านี้ในฐานะรากฐานเพื่ออนาคตที่สดใส"
เขาเสริมว่า "เราปฎิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้ต้องเริ่มต้นจากสักแห่ง และชาวมาเลย์ก็ได้นำร่องกับครัวเรือนของพวกเราเอง แต่สิ่งนี้จะต้องไม่หยุดอยู่แค่นั้น เราจะต้องมองโลกในแง่บวกต่อการขับเคลื่อนแนวทางเชิงบวกไปข้างหน้า เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นในการหลอมรวมชาวมาเลเซียทุกคน ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อแบบใดก็ตาม"
อดีตรัฐมนตรีผู้นี้ ได้เปล่งถ้อยคำที่ว่า Malaysia Deserves Better (มาเลเซียสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้) เพื่อกระตุ้นให้พลเมืองของชาติ "ทำงานด้วยความอดทน ผนึกรวมประเทศที่แตกหักของเรา เยียวยาการแบ่งแยก ทนกับสิ่งที่จะมาถึงในอนาคต"
No comments:
Post a Comment