"DITP" Unveils New Logo, Enhancing Thailand's International Trade Image under "3E CREATE POSSIBILITIES" Concept to Promote Thai Entrepreneurs on Global Stage

          The Department of International Trade Promotion (DITP), Ministry of Commerce, Thailand, unveiled its new logo and hosted an event to promote Thailand's international trade image under the "3E CREATE POSSIBILITIES" concept on March 12, 2025. The event, held at the Manopakorn Nitithada Room on the 12th floor of the Department of International Trade Promotion, reinforced DITP's role as a leading organization in trade promotion, brand building, and enhancing Thai entrepreneurs' competitiveness globally.
          Ms. Sunanta Kangvalkulkij, Director-General of the Department of International Trade Promotion, chaired the event alongside Ms. Natiya Suchinda and Mr. Pornvit Silaon, Deputy Directors-General, and senior executives from the Ministry of Commerce and private sector.
          The new DITP logo embodies the organization's vision as a "creator of possibilities" in international trade through the "3E" concept: 1. Expand: expanding trade opportunities by maintaining existing markets while pioneering new ones, and enhancing the image of Thai products and services globally; 2. Enable: enabling Thai entrepreneurs' potential by strengthening both traditional and modern knowledge to thrive in the digital era and evolving global economy; and 3. Empower: empowering value creation for Thai products through business and brand development to compete successfully in international markets.

          "This transformation goes far beyond a new logo - it marks a new chapter for the Department of International Trade Promotion, where we're committed to create possibilities for Thai entrepreneurs to step onto the global stage in a strong and sustainable way," Ms. Sunanta stated.

          Event highlights included a Thai Soft Power exhibition featuring products that showcase Thailand's international potential, from Muay Thai and cartoon characters to Pop Art, Thai cuisine, lifestyle products, and fashion. A special seminar brought together global experts, business leaders, designers, and international trade specialists to share insights on building successful Thai brands in global markets. The Networking & Business Matching session enabled Thai entrepreneurs to forge connections with DITP executives and trade partners. The event concluded with performances by the Ministry of Commerce band (MOC Band) and The 38 Years Ago band from LOVEiS+ record label.

          Speaking about DITP's 73rd anniversary, Ms. Sunanta Kangvalkulkij noted that the department continues to advance its entrepreneur development initiative through more than 100 training courses, available both online and onsite. The program has already reached over 8,000 participants through onsite training and 25,000 through online courses. DITP is ready to collaborate with public and private sector partners to strengthen Thai entrepreneurs' competitiveness in international trade. DITP not only helps drive trade, but also serves as a partner ready to grow alongside all Thai entrepreneurs. For more information, visit www.ditp.go.th or contact DITP Hotline 1169.

"DITP" เปิดตัวโลโก้ใหม่ เสริมภาพลักษณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ภายใต้แนวคิด "3E CREATE POSSIBILITIES" ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสู่เวทีโลก

 

          กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวตราสัญลักษณ์ใหม่ พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้แนวคิด "3E CREATE POSSIBILITIES" เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อตอกย้ำบทบาทของ DITP ในการเป็นองค์กรชั้นนำด้านการส่งเสริมการค้า การสร้างแบรนด์ และเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในระดับโลก โดยมี นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธาน และ นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน ร่วมด้วย
          โดยตราสัญลักษณ์ใหม่ DITP นี้ สะท้อนภาพลักษณ์ของ DITP ในฐานะ "ผู้สร้างความเป็นไปได้" บนเวทีการค้าระหว่างประเทศ ผ่านแนวคิด "3E" ได้แก่ 1.Expand: ขยายโอกาสการค้า รักษาตลาดเดิม และบุกเบิกตลาดใหม่ พร้อมเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าและบริการของไทยในตลาดโลก 2.Enable: ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทย เสริมองค์ความรู้ทั้งดั้งเดิมและสมัยใหม่ รองรับยุคดิจิทัลและเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง และ 3.Empower: สร้างพลังและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทย ผ่านการพัฒนาธุรกิจและแบรนด์ พร้อมแข่งขันในตลาดสากล

          "การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของโลโก้ แต่คือยุคใหม่ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมสร้างความเป็นไปได้ให้กับผู้ประกอบการไทย ก้าวไปสู่เวทีโลกอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน" นางสาวสุนันทากล่าว

          สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการ Soft Power ไทย นำเสนอสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทยและมีศักยภาพระดับสากล เช่น มวยไทย คาแรกเตอร์การ์ตูน Pop Art อาหารไทย ไลฟ์สไตล์ และแฟชั่น การสัมมนาพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกรวมตัวนักธุรกิจ นักออกแบบ และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ ร่วมถ่ายทอดความรู้และแนวทางการสร้างแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก กิจกรรม Networking & Business Matching เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้บริหาร DITP และพันธมิตรทางการค้า การแสดงดนตรีสุดพิเศษจาก MOC Band ของกระทรวงพาณิชย์ และวง The 38 Years Ago จากค่าย LOVEiS+ ด้วย

          นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสครบรอบ 73 ปีของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ DITP ยังเดินหน้าสานต่อโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผ่าน หลักสูตรอบรมกว่า 100 หลักสูตร ที่เปิดสอนทั้งออนไลน์และออนไซต์ ที่ผ่านมามีผู้ผ่านการอบรมออนไซต์กว่า 8,000 ราย และออนไลน์กว่า 25,000 ราย ซึ่ง DITP พร้อมจับมือพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ซึ่ง DITP ไม่เพียงแต่ช่วยผลักดันการค้า แต่ยังเป็นพาร์ทเนอร์ที่พร้อมเติบโตไปพร้อมกับผู้ประกอบการไทยทุกคน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หรือ DITP Hotline 1169

สำนักงานสถิติแห่งชาติ แจ้งกรณีเกิดการส่งต่อข้อความที่สร้างความเข้าใจผิด เกี่ยวกับโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568

 

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานสถิติพบว่ามีการส่งต่อข้อความผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE และการแชร์ทางโซเชียลมีเดียว่า “ประกาศความปลอดภัย: เรียนประชาชน โปรดทราบ: *ประกาศด้านความปลอดภัยขั้นสูง: *โปรดทราบว่ามีกลุ่มคนซึ่งปลอมตัวเป็นพนักงานของกระทรวงมหาดไทยออกไปตามบ้าน พวกเขามีเอกสารและหัวจดหมายจากโฮมออฟฟิศ และอ้างว่าจำเป็นต้องตรวจสอบว่าทุกคนมีบัตรประจำตัวที่ถูกต้องสำหรับการสำรวจสำมะโนประชากรที่กำลังจะมาถึง พวกเขาขโมยบ้าน มีทุกที่และดูมีสไตล์ จะมีคนมาที่บ้านของคุณแล้วพูดว่า ฉันต้องการถ่ายรูป/ลายนิ้วมือของคุณตามแผนการบางอย่าง พวกเขามีแล็ปท็อป เครื่องไบโอเมตริกซ์ และรายการทุกอย่าง พวกเขาแสดงเมนูและถามข้อมูลทั้งหมดนี้ โปรดทราบว่ารัฐบาลไม่มีมาตรการดังกล่าว โปรดทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปลอมอย่าให้ข้อมูลใดๆ แก่พวกเขา ทุกคนต้องระมัดระวังและ*ตระหนัก*! ส่งสิ่งนี้ไปยังกลุ่มชุมชนทั้งหมดของคุณ กรุณาแจ้งให้ครอบครัวและเพื่อนของคุณทราบ”

สำนักงานสถิติมิได้นิ่งนอนใจ โดยได้ดำเนินการตรวจสอบ และชี้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 โดยสำนักงานสถิติขอชี้แจ้งว่า ข้อความดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ โครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่เพียงหน่วยงานเดียว และจะเริ่มดำเนินการเก็บข้อมูลทางช่องทางออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 – 20 เมษายน 2568 ทางเว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ www.nso.go.th และแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ทางรัฐ และตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน – 19 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติในนาม ‘คุณมาดี’ จะลงพื้นที่เก็บข้อมูลทั่วประเทศ ข้อมูลของทุกท่านจะถูกรักษาอย่างปลอดภัย และนำไปใช้เพื่อการวางแผนพัฒนาประเทศเท่านั้น พร้อมกันนี้ยังได้ผลิตสื่อในรูปแบบอินโฟกราฟฟิกชี้แจ้งเรื่อง 10 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 เผยแพร่ไปยังช่องทางของสำนักงานสถิติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานสถิติแห่งชาติขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการก่อนแชร์ต่อ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเลือกแชร์สื่อทางช่องทางอย่างเป็นทางการของสำนักงานสถิติ ได้แก่ www.nso.go.th, Facebook: NSOOFTHAILAND, X: NSOOFTHAILAND, LINE Official: @nsoofthailand, Instagram: NSOOFTHAILAND และ Youtube: NSOOFTHAILAND เพื่อจะได้มั่นใจว่าเป็นข้อมูลจริงที่เชื่อถือได้ไม่ใช่ข่าวปลอม และไม่สร้างความสับสนแก่สังคม ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2142 1254-6

อินเทลเลียนเสริมทัพสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบครบไลน์ โดยเปิดตัวชุดแผงสำหรับองค์กรบนเครือข่าย OneWeb LEO ของยูเทลแซท

 อินเทลเลียน เทคโนโลจีส์ อิงค์

          อินเทลเลียน เทคโนโลจีส์ อิงค์ (Intellian Technologies Inc.) ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลกสำหรับสถานีลูกข่าย (user terminal) ดาวเทียมที่มีความยืดหยุ่น รองรับหลายกลุ่มดาวเทียม และมีคุณสมบัติครบครัน จับมือยูเทลแซท กรุ๊ป (Eutelsat Group) ผู้ให้บริการดาวเทียมรายเดียวที่ดำเนินงานทั้งระบบ GEO-LEO ได้ร่วมกันประกาศว่า สถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กร (Enterprise Flat Panels) พร้อมให้บริการแล้ว เฉพาะบนเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) วันเว็บ (OneWeb) ของยูเทลแซทเท่านั้น
          ชุดผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ ประกอบด้วยรุ่น OW11FL (ติดตั้งประจำที่บนบก), OW11FV (ยานพาหนะบนบก) และOW11FM (สำหรับใช้งานทางทะเล) โดยใช้เทคโนโลยีเสาอากาศล้ำสมัยของอินเทลเลียน เพื่อมอบการเชื่อมต่อระดับองค์กรที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ทุกที่ทั่วโลก สำหรับการสื่อสารที่สำคัญต่อธุรกิจ
          สถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรนี้ ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้รองรับปริมาณข้อมูลสูงสุดที่เครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำวันเว็บมีให้บริการในปัจจุบัน โดยสามารถสั่งซื้อได้ผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกของยูเทลแซท ครอบคลุมทั้งการติดตั้งประจำที่บนบก ยานพาหนะ การใช้งานทางทะเล และหน่วยงานภาครัฐ
          ด้วยเทคโนโลยีการติดตามสัญญาณขั้นสูง จึงรับประกันประสิทธิภาพการทำงานในมุมกวาดที่กว้างและแม้ในมุมต่ำสุด ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้จะได้รับการเชื่อมต่อที่ราบรื่นไม่ติดขัด โดยสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรนี้อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีมากมายในรูปทรงที่บางเพรียว ทั้งยังรองรับระบบดาวเทียมนำทางทั่วโลกแบบยืดหยุ่น (R-GNSS) เป็นตัวเลือกเสริมด้วย
          การเปิดตัวสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรทั่วโลกนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่อินเทลเลียนเปิดตัวสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบขนาดกะทัดรัดร่วมกับยูเทลแซทเมื่อปลายปี 2567 ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของอินเทลเลียน ในการพัฒนาสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบที่คาดว่าจะเติบโตเร็วที่สุด สำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และการเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยม
          เบน สวอลโลว์ (Ben Swallow) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของอินเทลเลียน เทคโนโลจีส์ อิงค์ กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่สถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรรุ่นใหม่ของเราพร้อมให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว บนเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำวันเว็บของยูเทลแซท ซึ่งเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าตามความต้องการในการใช้งาน สถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยนี้ได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตเพื่อมอบประโยชน์และประสิทธิภาพเหนือระดับให้แก่ผู้ใช้งาน เมื่อรวมกับสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบขนาดกะทัดรัดแล้ว ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นซีรีส์แผงเรียบของเรา ที่ครอบคลุมการใช้งานหลายร้อยรูปแบบ ด้วยผลิตภัณฑ์ทั้ง 6 รุ่นสำหรับตลาดทางทะเล ภาคพื้นดิน และการใช้งานเคลื่อนที่บนบก"
          ฟิลิเป เดอ โอลิเวียรา (Filipe De Oliveira) รองประธานฝ่ายพาณิชย์ของยูเทลแซท วันเว็บ (Eutelsat OneWeb) กล่าวว่า "การเพิ่มสถานีลูกข่ายแบบแบนเรียบสำหรับองค์กรรุ่นใหม่นี้ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ความร่วมมือกับอินเทลเลียน และเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอสถานีลูกข่ายสำหรับพันธมิตรด้านการจัดจำหน่ายของยูเทลแซท อุปกรณ์เหล่านี้ออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูง รองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า พร้อมทั้งส่งมอบการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูง ทั้งบนบกสำหรับการติดตั้งประจำที่และการเคลื่อนที่ และในทะเล โดยเราหวังว่าจะได้เห็นการผสานรวมแผงแบนเรียบเหล่านี้เข้ากับโซลูชันครบวงจรของเราได้อย่างราบรื่น"
          ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซีรีส์แผงเรียบของอินเทลเลียนได้ที่ intelliantech.com
       

          เกี่ยวกับอินเทลเลียน เทคโนโลจีส์ อิงค์
          อินเทลเลียน (Intellian) ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นในนวัตกรรม และการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นตัวกลางสำคัญระหว่างเครือข่ายดาวเทียมกับผู้คนหลายล้านทั่วโลก เทคโนโลยีและเสาอากาศชั้นนำของอินเทลเลียนช่วยให้การเชื่อมต่อทั่วโลกเป็นไปได้อย่างราบรื่น ทั้งทางทะเลและภาคพื้นดิน สำหรับองค์กรและชุมชนต่าง ๆ โดยการคิดเชิงกลยุทธ์ การให้ความสำคัญกับคุณภาพ และความสามารถในการส่งมอบที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ช่วยให้อินเทลเลียนสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่ออนาคต สร้างความสำเร็จร่วมกันสำหรับพันธมิตรและลูกค้าได้ ในขณะที่ความต้องการด้านการเชื่อมต่อของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป
          ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ @intellian และ www.intelliantech.com
          อินเทลเลียน เทคโนโลจีส์ อิงค์ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกาหลี KOSDAQ (189300:KS)
          

Intellian's Flat Panel Series Complete as Enterprise Flat Panels Go Live on Eutelsat's OneWeb LEO Network

Intellian Technologies, Inc.

          Intellian Technologies Inc., a global technology solutions provider of resilient multi-constellation, feature-rich satellite user terminals and Eutelsat Group, the only GEO-LEO operator in satellite communications, announced today that the new Enterprise Flat Panels are now available exclusively on Eutelsat's OneWeb LEO network.
          Featuring the OW11FL (Land Fixed), OW11FV (Land Mobility) and OW11FM (Maritime) - the new series usesIntellian's innovative antenna technology to deliver enterprise-grade connectivity, enabling end users to receive fast, dependable connectivity anywhere in the world for business-critical communications.
          The Enterprise Flat Panels are designed and engineered to deliver the maximum throughput currently offered on the OneWeb LEO network and are available for purchase through Eutelsat's network of distribution partners worldwide targeting the land fixed, land mobility, maritime, and government sectors. 
          Featuring advanced tracking technology, performance is guaranteed over wide scan and at the lowest elevation angles, ensuring seamless and undisrupted connectivity for end users. The Enterprise Flat Panels have a huge amount of technology packed into such a sleek form factor and come with support for optional Resilient Global Navigation Satellite System (R-GNSS).
          Global availability of the Enterprise Flat Panels follows on the heels of Intellian's Compact Flat Panels, which were launched with Eutelsat at the end of 2024. This marks the latest development in what Intellian considers will become the fastest growing range of flat panel solutions for critical environments where performance, reliability and connectivity are key.
          Ben Swallow, Chief Commercial Officer, Intellian Technologies Inc, said: "We are excited that our new Enterprise Flat Panels are now fully available and live on Eutelsat's OneWeb LEO network, providing customers even greater choice for their operational requirements. The truly innovative Enterprise Flat Panels have been designed, engineered and manufactured to deliver exceptional operational benefits and performance for end users. Together with the Compact Flat Panels, they form our Flat Panel Series which extends across hundreds of use cases with our six variants for Maritime, Land Fixed and Land Mobility markets."
          Filipe De Oliveira, Vice President for Commercial, Eutelsat OneWeb commented: "The addition of the new Enterprise Flat Panels strengthens our partnership with Intellian and enriches Eutelsat's user terminal portfolio to our distribution partners. These terminals are designed to offer flexibility, addressing a broad spectrum of customer needs while delivering high performance connectivity across land for fixed and mobility applications and at sea. We look forward to the seamless integration of the flat panels into our end-to-end solutions."
          To find out more about Intellian's Flat Panel Series visit intelliantech.com.
      

          About Intellian Technologies, Inc.
          Intellian is driven by a passion for innovation and an agile responsiveness to customer needs. As the crucial link between satellite networks and millions of people on Earth, Intellian's leading technology and antennas empower global connectivity across oceans and continents, organizations, and communities. Strategic thinking, an obsession with quality, and a proven ability to deliver enable Intellian to invent for the future, creating mutual success for partners and customers as the world's connectivity needs evolve.
          For more information, follow @intellian and visit www.intelliantech.com.
          Intellian Technologies Inc. is listed on the Korean Stock Exchange, KOSDAQ (189300:KS)
     

NT ขยายบริการ GDCC บริหารจัดการ multi-cloud รวมศูนย์ ครอบคลุมบริการคลาวด์ระดับโลก ตอบสนองนโยบาย Cloud First พร้อมสนับสนุน BDI ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

 

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ผู้ให้บริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ  (Government Data Center and Cloud Service : GDCC)  ร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิเช่น AWS, HUAWEI, Alibaba Cloud, INET และ Cloud HM เป็นต้น ขยายบริการ GDCC รองรับระบบงานภาครัฐที่จัดเก็บข้อมูลสาธารณะทั่วไป บริหารจัดการโดย Cloud Management Platform (CMP) ช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถเลือกใช้บริการคลาวด์ที่เหมาะสมตามความต้องการและชั้นความลับของข้อมูล โดยปัจจุบัน GDCC ได้ให้บริการกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Institute: BDI) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีด้านการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

ศูนย์รวมข้อมูลกลางเพื่อสร้างชาติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นของ BDI คืออยากมีส่วนร่วมช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยที่ข้อมูลจะเป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดนโยบาย การวางแผน และการพัฒนาองค์กร ในฐานะศูนย์กลางข้อมูลสำหรับภาครัฐ BDI ทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และผสานข้อมูลเพื่อให้เกิดข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ตัดสินใจในหลากหลายภาคส่วน เป้าหมายคือการช่วยให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง”

เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ในปัจจุบันการดำเนินงานของ BDI แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนงานด้านเทคนิค BDI ให้บริการด้าน Data Integration และ Analytic Services แก่ลูกค้าภาครัฐในทุกระดับ ตั้งแต่หน่วยงานท้องถิ่นไปจนถึงส่วนกลาง โดยมีการทำงานร่วมกับเอกชนบางส่วน ซึ่งงานในส่วนนี้เน้นไปที่การรวบรวมและบูรณาการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในภาคเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI, Generative AI, Data Science และ Data Mining เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สามารถตอบโจทย์เชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพส่วนงานด้านธุรกิจ BDI ยังขยายการให้บริการไปยังกลุ่ม SME และภาคเอกชน โดยการจัดฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการ Upskill และ Reskill ผ่านหลักสูตรที่ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในเทคโนโลยีดาต้าสำหรับภาคธุรกิจ

การนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้เป็นกลยุทธ์สำคัญ

เทคโนโลยีคลาวด์ถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ของ BDI ด้วยการตระหนักถึงข้อดีของการประมวลผลแบบคลาวด์ เช่น ความยืดหยุ่น ความคุ้มค่า และความพร้อมใช้งาน BDI ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำหลายราย ในขณะที่ NT มีบทบาทสำคัญในการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการคลาวด์กับ BDI

รศ.ดร.ธีรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า “BDI เชื่อมั่นว่า “Cloud First Policy” จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้สนับสนุนการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การผลักดันนโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องมีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมเพื่อรองรับทิศทางนี้ ด้วยเหตุนี้ BDI จึงได้พัฒนาหลักสูตรการเพิ่มทักษะ (Upskilling) และปรับทักษะใหม่ (Reskilling) สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐและบุคลากรในภาคเอกชน รวมถึงคอร์สอบรมที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับความต้องการของอุตสาหกรรม เพื่อให้บุคลากรทุกระดับสามารถเข้าใจและใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล”

การสร้างระบบดิจิทัลที่ยั่งยืน

ในอนาคต BDI ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างระบบดิจิทัลที่ยั่งยืนโดยการร่วมมือกับ NT ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ สถาบันการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี BDI มั่นใจว่าประเทศไทยจะยังคงอยู่ในแนวหน้าของนวัตกรรมดิจิทัล

ด้วยความมุ่งมั่นในความร่วมมือ การพัฒนาทักษะ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลของประเทศไทย แต่ยังวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอีกด้วย

ETDA ลุยต่อ EDC Pitching Season 3 ชูคอนเซปต์ 'Digital Connect Space' ชิงรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท เปิดรับสมัคร 10 มี.ค.นี้

 

          สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลุยต่อกิจกรรม EDC Pitching Season 3 ชวนเหล่าเทรนเนอร์ดิจิทัลร่วมประชันไอเดีย เพื่อเฟ้นหาต้นแบบแคมเปญหรือโมเดล ช่วยสร้างสรรค์สังคมและสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด 'Digital Space Connect: เชื่อมต่อพื้นที่การเรียนรู้สู่การพัฒนาพลเมืองดิจิทัล พร้อมชิงรางวัลกว่า 200,000 บาท เปิดรับสมัครวันที่ 10 มีนาคมนี้

          นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า "ทักษะดิจิทัล" คือหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิต การเรียนรู้ และการทำงาน ประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายด้านทักษะดิจิทัล แม้การสร้าง ETDA Digital Citizen Trainer หรือ EDC Trainer ของ ETDA เดินหน้ามาถึงปีที่ 4 แล้ว แต่ก็ยังสร้างกำลังคนที่มีทักษะพร้อมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลคุณภาพได้ไม่ครอบคลุม โดยข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ปี 2567 คนไทยกว่าร้อยละ 60 อยู่ในระดับที่ต้องพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเยาวชนและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ชี้ว่า มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลมีมูลค่า 4.44 ล้านล้านบาท มีการขยายตัวร้อยละ 5.7 จากปี 2566 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากคนไทยได้รับการส่งเสริมด้านทักษะที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม
          ETDA มุ่งส่งเสริมให้คนไทยมีความพร้อมต่อการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน ลดความเสี่ยง สร้างโอกาสและรายได้อย่างยั่งยื่น ผ่านโปรเจกต์สำคัญ อย่าง ETDA Digital Citizen (EDC) เพื่อพัฒนาทักษะคนไทยให้พร้อมสู่กำลังคนด้านดิจิทัลที่รู้เท่าทัน (Digital Workforce & Literacy) โดยนอกจากการเดินหน้าต่อเนื่องกับโครงการ EDC Trainer เพื่อสร้างเทรนเนอร์ดิจิทัล ส่งต่อความรู้ Digital Literacy ไปสู่ระดับท้องถิ่น ชุมชน และองค์กรต่าง ๆ มาถึงปีที่ 4 แล้ว ETDA ยังได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ลุยจัดกิจกรรม EDC Pitching เพื่อเป็นเวทีในการสร้างสรรค์ พัฒนาให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ที่จะเป็นเครื่องมือให้เทรนเนอร์ดิจิทัล หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง ETDA นำไปต่อยอดพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลแก่กลุ่มเป้าหมาย ให้พร้อมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัล สู่การร่วมสร้างสังคมที่ดีให้เติบโตไปพร้อมกัน
           ในปี 2568 นี้ ETDA สานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับ EDC Pitching Season 3 ที่มาในแนวคิด "Digital Space Connect เชื่อมต่อพื้นที่การเรียนรู้สู่การพัฒนาพลเมืองดิจิทัล" เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่ผ่านการอบรม EDC Trainer ได้มาร่วมประชันไอเดียในการสร้างสรรค์แคมเปญ กิจกรรม หรือแผนประชาสัมพันธ์ ซึ่งต่อยอดจากแผนการสอนที่ EDC Trainer ได้ทำขึ้นระหว่างการอบรม และต้องสะท้อนถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา (Solution) สามารถระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข วิธีแก้ไข และวิธีการวัดผลที่ชัดเจน เพื่อต่อยอดสู่โมเดลในการช่วยสร้างสรรค์สังคมและสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลอย่างรู้เท่าทันได้อย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีความปลอดภัยทางดิจิทัลอย่างยั่งยืน สอดรับกับแนวคิด Digital Space Connect ที่ประกอบไปด้วยโจทย์การแข่งขันสุดท้าทายถึง 3 โจทย์ย่อย ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องเลือกนำมาพัฒนาต่อยอดไอเดียให้สอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสังคมที่เข้มแข็งเพื่อต่อต้านภัยคุกคามทางเทคโนโลยี (Stronger Community Against Digital Abuse) การเสริมทักษะการสื่อสารบนโลกดิจิทัล (Digital Communication Booster) และ การพักจอมาฮีลใจ ใช้แต่พอดี มีสมดุลชีวิต (Healthy Digital Life Balance)
          สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัคร จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมภายใต้โครงการ EDC Trainer และหลักสูตร EDC Plus โดยรวมทีม ทีมละ 2-3 คน แบ่งเกณฑ์การแข่งขันออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. มัธยมศึกษา-อุดมศึกษา อายุตั้งแต่ 15-24 ปี และ 2. กลุ่มวัยทำงานและบุคคลทั่วไป อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ที่สำคัญต้องพร้อมเข้าร่วมกิจกรรม Workshop และการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทั้งนี้ สำหรับทีมผู้ชนะจากทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท

          กิจกรรม EDC Pitching Season 3 จะเริ่มเปิดรับสมัคร EDC Trainer เข้าร่วมการแข่งขัน ในวันที่ 10 มีนาคม-16 มิถุนายน 2568 นี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dek-d.com/activity/66294 โดยจะประกาศชื่อทีมผู้ผ่านเข้ารอบในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โครงการ "EDC Pitching" LINE: @edctrainer หรือ E-mail: event@dek-d.com หรือ Facebook: ETDA Thailand
          "การแข่งขัน EDC Pitching ไม่ใช่แค่เวทีสำหรับประชันไอเดีย แต่เป็นโอกาสให้คนที่มีใจรักการสอนและการแบ่งปันความรู้ด้านดิจิทัลได้พัฒนาและนำเสนอแนวทางที่สามารถช่วยคนไทยใช้เทคโนโลยีอย่างมั่นใจ มั่นคงปลอดภัย สร้างโอกาสใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ" ดร.ชัยชนะกล่าวทิ้งท้าย

บริดจสโตนรับรางวัลทรงเกียรติ “BEST SELLING TYRE โดยกรังด์ปรีซ์” 27 ปีซ้อน จากเวที “CAR & BIKE OF THE YEAR 2025” ครองความแข็งแกร่งต่อเนื่องในตลาดยางรถยนต์

 

บริดจสโตนตอกย้ำการเป็นผู้นำและครองความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดยางรถยนต์ของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ คว้ารางวัลทรงเกียรติ “แบรนด์ที่มียอดจำหน่ายยางรถยนต์สูงสุดในประเทศ โดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “BEST SELLING TYRE” เป็นปีที่ 27 นำโดยคุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลจากคุณพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีคุณอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล “CAR & BIKE OF THE YEAR 2025” ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

พิธีมอบรางวัล “CAR & BIKE OF THE YEAR”จัดขึ้นโดยบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีทางด้านธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยคัดสรรรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ซึ่งโดดเด่น ในด้านต่าง ๆ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมทั้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง เพื่อศึกษาเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อให้เหมาะสมตามเป้าหมายของการใช้งาน

คุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริดจสโตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล BEST SELLING TYRE อีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นพัฒนาของทีมงานคุณภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม บริการ และโซลูชั่นที่ทันสมัยด้วยมาตรฐานความคุ้มค่าและปลอดภัยให้ตอบสนองกับ ไลฟ์สไตล์การเดินทางที่หลากหลายของสังคมไทย ควบคู่กับการให้ความสำคัญเรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เรายังคงเดินหน้าด้วยคำมั่นสัญญาที่จะไม่หยุดยั้งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเดินทางตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนนับตั้งแต่วันนี้สู่อนาคตต่อไป”

เกี่ยวกับบริดจสโตน ประเทศไทย:

บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นด้านการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และสำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด คือหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาดยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์บริดจสโตน ไฟร์สโตน และเดย์ตันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมที่หลากหลายและโซลูชั่นขั้นสูงซึ่งพัฒนาจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาการเดินทาง การใช้ชีวิต การทำงาน และการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก

Bridgestone Wins Honorary “BEST SELLING TYRE Award by Grand Prix” for 27 Consecutive Years in “CAR & BIKE OF THE YEAR 2025”, Maintaining Leadership in Thailand’s Automotive Tyre Industry

Bridgestone has fortified its leadership position in Thailand’s automotive tyre industry, winning the prestigious “BEST SELLING TYRE” award by Grand Prix International PCL. for 27 consecutive years. Mr. Shotaro Kitamura, Consumer Group Director of Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd., was the company’s representative to receive this award from Mr. Pongpol Yodmuangcharoen, Secretary to the Minister of Industry, together with Mr. Anothai Eamlumnow, President of the “CAR & BIKE OF THE YEAR 2025”, who presided over the award ceremony at the Royal Jubilee Ballroom, Challenger Hall, IMPACT Muang Thong Thani.

The “CAR & BIKE OF THE YEAR” award ceremony is held by Grand Prix International PCL. to promote an outstanding image and support Thailand’s automotive industry under the selection from experts on cars, motorcycles, and car-related products in various categories. It is aimed to provide accurate and reliable information for consumers before their purchasing decisions.

Mr. Shotaro Kitamura, Consumer Group Director of Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd., stated, “Bridgestone is honored to receive the BEST SELLING TYRE award once again this year. This achievement is a testament to our dedicated team’s commitment to continuously developing premium tire products, services, and innovative solutions that uphold high standards of value and safety. We strive to meet the diverse mobility needs of Thai society while emphasizing social responsibility, environment and sustainability. We are committed to delivering new and enhanced travel experiences, improving our customers’ quality of life, and driving the sustainable growth of Thailand’s automotive industry from today to the future.”

About Bridgestone in Thailand:           

Bridgestone is a global leader in tires and rubber building on its expertise to provide solutions for safe and sustainable mobility. In Thailand, Thai Bridgestone Co., Ltd. (TBSC) is a leading manufacturer in the Thai automotive industry, while Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd. (BSTL) is the exclusive importer & distributor, and supervises the marketing strategy for Bridgestone, Firestone and Dayton branded tires in Thailand. Bridgestone is a brand trusted by its customers, dealers and business partners. Bridgestone offers a diverse product portfolio of premium tires and advanced solutions backed by innovative technologies, improving the way people around the world move, live, work and play.          

อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สำรวจพบร่องรอย "เมืองโบราณอีกเมือง ตั้งซ้อนทับ เมืองเก่านครราชสีมา"

 

          "อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สำรวจพบร่องรอยแนวคันดิน บ่งชี้ว่าอาจจะมีอีกชุมชนโบราณขนาดใหญ่ เคยอยู่อาศัยมาก่อน และซ้อนทับกับ เมืองเก่านครราชสีมา"

จุดเริ่มต้นการค้นพบ

          สืบเนื่องจาก โครงการวิจัย "การสังเคราะห์ภูมิสารสนเทศและสถิติของ คูเมืองโบราณ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย" ศ.ดร. สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบร่องรอยการเคยมีอยู่ของแนวคันดินโบราณในพื้นที่ เมืองเก่านครราชสีมา อ. เมือง จ. นครราชสีมา ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของชุมชนโบราณ ก่อนที่จะมีการสร้างแนว คูเมืองเก่านครราชสีมา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231)

ศ.ดร. สันติ ภัยหลบลี้

          การค้นพบนี้เกิดจากการสำรวจและแปลความหมายภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ. 2497 โดยกรมแผนที่ทหาร ซึ่ง ศ.ดร. สันติ พบว่าในทางภูมิศาสตร์ พื้นที่โดยรอบเมืองเก่านครราชสีมา เป็นที่ราบน้ำท่วมถึงของ คลองตะคองเก่า ที่ไหลมาจากลำตะคองทางทิศตะวันตก ผ่านทางตอนเหนือของแนวคูเมือง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนปัจจุบันอย่างหนาแน่น
          แต่เมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ. 2497 ศ.ดร. สันติ พบแนวคล้ายคันดินที่ทอดยาวเป็นเส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ทางตอนเหนือ ตะวันตกและทางตะวันออกของคลองตะคองเก่า จึงแปลความว่า อาจจะเป็นขอบเขตของอีกชุมชนโบราณ ทางตอนเหนือของพื้นที่เมืองเก่านครราชสีมา ซึ่งมีคูเมืองล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน

ภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ. 2497 พื้นที่โดยรอบเมืองเก่านครราชสีมา
(ที่มา : กรมแผนที่ทหาร)

แนวคิดการแปลความ

          ถึงแม้ว่าสภาพปัจจุบัน พื้นที่โดยรอบเมืองเก่านครราชสีมา จะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากกิจกรรมการอยู่อาศัยของชุมชนเมืองในปัจจุบัน แต่จากการแปลความ แนวที่คาดว่าเป็นแนวคันดินโบราณ พิจารณาร่วมกับพฤติกรรมการไหลของคลองตะคองเก่า พบว่าไม่เป็นไปตามธรรมชาติของกระบวนการทางน้ำปกติทั่วไป ซึ่งมีตัวบ่งชี้ความผิดปกติทางภูมิศาสตร์อยู่ 2 ประเด็น คือ

1. ในฤดูน้ำหลาก เมื่อมวลน้ำจากลำตะคองเก่าไหลหลากจากทิศตะวันตก เข้ามาปะทะแนวคันดินทางทิศตะวันตก (ปัจจุบันคือ แนวถนนซอยประปา) มวลน้ำจะถูกกั้นด้วยคันดิน ทำให้น้ำเอ่อนองอยู่บริเวณนอกคันดิน ซึ่งในเวลาต่อมา ผลจากการที่มวลน้ำทั้งหมดต้องทยอยไหลเข้าช่องแคบ ๆ ตามร่องน้ำที่แนวคันดินเปิดระบายไว้ พื้นที่ร่องน้ำนอกคันดินจึงถูกกัดกร่อนสูง ตะกอนถูกพัดพาไปตามร่องน้ำมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ จนกลายเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ และพัฒนาเป็นบึงหรือหนองน้ำในเวลาต่อมา อยู่หน้าแนวคันดิน (ปัจจุบันคือ อ่างอัษฎางค์)
2. มวลน้ำจำนวนมากที่ขังอยู่นอกคันดิน จะถูกคันดินบังคับให้ไหลผ่านเข้ามาหลังแนวคันดิน ด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลำตะคองเก่าเมื่อเข้ามาภายในพื้นที่หลังแนวคันดิน (พื้นที่ชุมชนโบราณ) จะถูกกัดก่อนในแนวราบอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ธารน้ำมีความคดโค้งมากกว่าปกติ (กวัดแกว่งมากกว่าธารน้ำทั่วไป) ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมวลน้ำจำนวนมากที่ควรไหลหลากทั่วทั้งพื้นที่เท่า ๆ กัน ถูกรวมไว้นอกคันดินและถูกบีบถูกรีด ให้ฉีดเข้ามาตามร่องลำตะคองเก่าเพียงอย่างเดียว

ตัวอย่างชุมชนโบราณที่กำหนดขอบเขต
โดยแนวคันดินรูปร่าง 4 เหลี่ยม

          ขอบเขตพื้นที่จากการรังวัดแนวคันดิน พบว่าแนวคันดินดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วยคันดินที่เห็นได้ชัดเจนด้านทิศเหนือยาว 2 กิโลเมตร ส่วนคันดินทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ในเบื้องต้นไม่สามารถประเมินความยาวได้ เนื่องจากแนวคันดินเดิม ต่อเนื่องล้อไปกับแนวคูเมืองนครราชสีมา
          ซึ่งจากสมมุติฐานตั้งต้นที่ว่า ขอบเขตทางทิศใต้คือถนนจอมพล จะประเมินได้ว่า ชุมชนโบราณนี้มีรูปร่างใกล้เคียงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ช่วยสนับสนุนในอีกแง่มุมว่า แนวคันดินนี้ไม่ใช่ บาราย (Baray) หรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่นิยมสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในอัตตราส่วน กว้าง : ยาว มักมีสัดส่วน 1 : 2 แทบทั้งสิ้น
          นอกจากนี้ จากการตรวจวัดขนาดพื้นที่ กว้าง 2 กิโลเมตร x ยาว 1.7 กิโลเมตร คำนวณได้ว่าชุมชนนี้ มีพื้นที่ 3.4 ตารางกิโลเมตร หรือ เทียบเท่ากับ 2,125 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าเมืองเก่านครราชสีมาถึง 2 เท่า และใหญ่กว่าชุมชนโบราณอื่น ๆ ที่กล่าวมาในข้างต้น
          จากการค้นพบดังกล่าว ศ.ดร. สันติ ภัยหลบลี้ ให้ความเห็นว่า เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้นจากข้อมูล โทรสัมผัส (remote sensing) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติมในรายละเอียด เพื่อพิสูจน์ทราบความถูกต้องจากการแปลความนี้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าผลการแปลความนี้จะช่วยเป็นแนวทางตั้งต้นในการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีในพื้นที่ และเป็นข้อมูลจุดประกายให้พี่น้องชาว จ. นครราชสีมา มีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ความเป็นมา ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานในท้องถิ่นของตน
          อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.chula.ac.th/news/219708/

"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่สร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงติด 100 อันดับแรกของโลกด้านชื่อเสียงทางวิชาการ โดย (QS) World University Rankings 2021-2022"

Chulalongkorn University's Geology Professor Discovers Evidence of "Another Ancient City Overlapping the Old City of Nakhon Ratchasima"

          "A professor at the Department of Geology, Faculty of Science, Chulalongkorn University, has discovered evidence of an earthen embankment indicating another large ancient community in the location overlapping the old city of Nakhon Ratchasima.

The Beginning of a Discovery

          A research project headed by Prof. Dr. Santi Pailoplee from the Department of Geology, Faculty of Science, Chulalongkorn University, titled "Synthesis of Geoinformation and Statistics of Ancient Moats in Northeastern Thailand" has led to the discovery of evidence of an ancient earthen embankment around the old city of Nakhon Ratchasima, Muang District, Nakhon Ratchasima Province. These traces may indicate the existence of ancient communities before the construction of the old moat in Nakhon Ratchasima during the reign of King Narai the Great in the Ayutthaya period (B.E. 2199-2231).

Prof. Dr. Santi Pailoplee from the Department of Geology,
Faculty of Science, Chulalongkorn University

          This discovery is a result of surveying and interpreting aerial photographs taken in 1954 by the Royal Thai Survey Department. Prof. Dr. Santi found that geographically, the area surrounding the old city of Nakhon Ratchasima was a floodplain of the Old Takhong Canal, which flows from Lam Takhong in the west, passing through the northern part of the city moat. This area is currently densely populated.
          However, when examining the aerial photographs taken in 1954, Prof. Dr. Santi discovered what appeared to be an earthen embankment that extended continuously in a straight line to the north, west, and east of the Old Takhong Canal. This led to the interpretation that the embankment might be the boundary of another ancient community north of the old city of Nakhon Ratchasima, which was clearly surrounded by a square moat.

An aerial photograph taken in 1954 of the area surrounding the old city of Nakhon Ratchasima (Source: The Royal Thai Survey Department)

The Idea behind the Interpretation

          Although the current condition of the area surrounding the old city of Nakhon Ratchasima has been significantly altered by present-day urban community activities, the interpretation of what is believed to be ancient earthen embankments, when considered together with the flow behavior of the Old Takhong Canal, shows that it does not follow the natural patterns of water movement. There are two geographical anomaly indicators:

1. During the flood season, when water masses from the Old Lam Takhong flow in from the west and hit the earthen embankment on the western side (currently the Soi Prapa Road), the water is blocked by the embankment, causing flooding outside the embankment. Later, as all the water gradually flows through narrow channels left in the embankment for drainage, the water channels outside the embankment experience severe erosion. Sediments are carried along these channels more than in other areas, eventually creating lowlands that later developed into ponds or swamps in front of the embankment (currently the Assadang Reservoir).
2. The large mass of water retained outside the embankment is forced by the embankment to flow through behind it at continuously high speeds. As a result, when the Old Lam Takhong enters the area behind the embankment (the ancient community area), it also experiences severe horizontal erosion, causing the stream to be more meandering than usual (more winding than typical streams). This is because the large volume of water that should flow evenly across the entire area is instead concentrated outside the embankment and is compressed and forced to shoot through only the Old Lam Takhong channel.

Examples of ancient communities with boundaries  
indicated by 4-sided earthen embankments

          The survey of the earthen embankment shows that the embankment covered a rectangular area, with a clearly visible northern embankment stretching 2 kilometers. The length of the western and eastern embankments could not be initially assessed as the original embankments overlapped with the Nakhon Ratchasima city moat.
          Based on the initial hypothesis that the southern boundary is Chompol Road, it can be concluded that the shape of this ancient community was something close to a square. This helps support another perspective that this earthen embankment is not a baray (a large water reservoir in ancient Khmer culture), which was typically rectangular in shape with a width:length ratio of approximately 1:2 in almost all cases.
          Furthermore, from measuring the area's dimensions of 2 kilometers wide x 1.7 kilometers long, it can be calculated that this community had an area of 3.4 square kilometers or equivalent to 2,125 rai. This is considered a large community—twice the size of the old city of Nakhon Ratchasima and larger than other ancient communities mentioned above.
          From this discovery, Prof. Dr. Santi Pailoplee commented that this is only a preliminary study based on remote sensing data, which will require additional archaeological surveys and excavations in detail to verify the accuracy of this interpretation. However, he hopes that these interpretative findings will serve as an initial guideline for archaeological research in the area and inspire the people of Nakhon Ratchasima Province to take pride in their great and long-standing local history.
          Read the full article at https://www.chula.ac.th/en/news/221730

"Chulalongkorn University sets the standard as a university of innovations for society and is listed in the World's Top 100 Universities for Academic Reputation, in the Quacquarelli Symonds (QS) World University Rankings 2021-2022."

LANXESS presents comprehensive biosecurity portfolio at VIV ASIA 2025

• LANXESS at VIV ASIA 2025: Hall 3, Booth 4642
• Showcasing Innovative Biosecurity Products for Livestock and Aquaculture
• Technical seminar on March 13: The importance of biosecurity & LANXESS contribution to animal health

          Global specialty chemicals company LANXESS will showcase its broad portfolio of biosecurity solutions at VIV ASIA 2025, Asia's leading trade show for the livestock and animal husbandry industry, from March 12 to 14 at IMPACT, Bangkok, Thailand.
          As biosecurity remains a key factor in safeguarding animal health and optimizing farm productivity, LANXESS will present its high-performance solutions for livestock, poultry, and aquaculture farms, emphasizing the crucial role of disinfection in disease prevention at Hall 3, Booth 4642.
          Comprehensive Biosecurity Solutions for Livestock, Poultry, and Aquaculture
          LANXESS Biosecurity Solutions specializes in the development, manufacturing, and supply of premium biosecurity products designed for pig, poultry, and aquaculture farms. The company offers a range of cleaners and disinfectants designed to safeguard farms from viruses and bacteria responsible for infectious diseases, helping to enhance public health, improve production results, and strengthen the overall economic performance of animal farms.
          "Ensuring biosecurity in animal farming is fundamental to preventing the spread of highly infectious diseases," said Stefanie Gschwandner, Head of Market Segment Biosecurity Solutions, Material Protection Products (MPP) business unit at LANXESS. "With our expertise in scientific development and sustainable disinfection solutions, we are committed to supporting farmers and industry professionals in reducing antibiotic use, mitigating economic losses, and improving food safety and animal welfare."
          Key Solutions at VIV ASIA 2025
          At VIV ASIA 2025, LANXESS will introduce several innovative products designed to address hygiene challenges in farming environments, including DeterKlyn(R), a versatile foaming alkaline cleaner; Virkon(R) AQUATIC, a specialized disinfectant for shrimp farming; Virkon(R) S, a globally trusted disinfectant since 1986; Virkon(R) LSP, a synthetic phenolic disinfectant; TH4+(R), a broad-spectrum disinfectant; Glutex(R) GQ1, a multi-purpose glutaraldehyde-based disinfectant; and Mentofin(R), a feed additive composed of 100% natural essential oils aimed at optimizing animal performance and well-being.
          Active Ingredients: Powerful Solutions for Broad-Spectrum Disinfection
          In addition to its finished products, LANXESS offers a range of powerful active ingredients under the Ucarcide(R), Preventol(R), and Oxone(TM) brands. These active ingredients are known for their broad-spectrum efficacy and rapid pathogen elimination, making them ideal for applications such as spraying, fogging, dipping, and fumigation in animal health settings.
          To further support disinfection solution providers and distributors, LANXESS offers a comprehensive Formulation Support Program. This initiative assists in enhancing their formulations to meet specific requirements and supports the registration process of new products, ensuring compliance with regulatory standards and efficacy in diverse operational settings.
          Technical Seminar on Biosecurity
          LANXESS will host a technical seminar titled "The Importance of Biosecurity & LANXESS' Contribution to Animal Health" on March 13, 2025, from 3:00 PM to 3:45 PM in Room Jupiter 8 at IMPACT. Jasintha Sivalingam, Technical Application Manager Disinfection, will discuss the latest biosecurity trends and demonstrate how LANXESS' solutions enhance animal health and farm productivity. The seminar will also highlight the benefits of LANXESS's Formulation Support Program in developing effective biosecurity measures.
          Further information on LANXESS Biosecurity Solutions can be found at https://lanxess.com/en/products-and-brands/industries/biosecurity-solutions.
          LANXESS is a leading specialty chemicals company with sales of EUR 6.7 billion in 2023. The company currently has about 12,400 employees in 32 countries. The core business of LANXESS is the development, manufacturing and marketing of chemical intermediates, additives and consumer protection products. LANXESS has achieved leading positions in the Dow Jones Sustainability Index and the MSCI ESG and ISS ESG ratings, among others, for its commitment to sustainability.
          Forward-Looking Statements
This company release contains certain forward-looking statements, including assumptions, opinions, expectations and views of the company or cited from third party sources. Various known and unknown risks, uncertainties and other factors could cause the actual results, financial position, development or performance of LANXESS AG to differ materially from the estimations expressed or implied herein. LANXESS AG does not guarantee that the assumptions underlying such forward-looking statements are free from errors, nor does it accept any responsibility for the future accuracy of the opinions expressed in this presentation or the actual occurrence of the forecast developments. No representation or warranty (expressed or implied) is made as to, and no reliance should be placed on, any information, estimates, targets and opinions contained herein, and no liability whatsoever is accepted as to any errors, omissions or misstatements contained herein, and accordingly, no representative of LANXESS AG or any of its affiliated companies or any of such person's officers, directors or employees accepts any liability whatsoever arising directly or indirectly from the use of this document.
          Information for editors:
          All LANXESS news releases and their accompanying photos can be found at http://press.lanxess.com. Recent photos of the Board of Management and other LANXESS image material are available at http://photos.lanxess.com.
          You can find further information concerning LANXESS chemistry at http://lanxess.com/en/Media/Stories.
          Follow us on X (Twitter), Facebook, LinkedIn and YouTube:
          http://www.x.com/LANXESS
          http://www.facebook.com/LANXESS
          http://www.linkedin.com/company/lanxess
          http://www.youtube.com/lanxess