Friday, April 28, 2023

ซ่ง ฉีเจียง ซีอีโอบริษัทเอสแอลคอร์ เผยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของย่านหัวเฉียงเป่ยในเซินเจิ้น

เมื่อไม่นานมานี้ คุณซ่ง ฉีเจียง (Song Shiqiang) ซีอีโอบริษัทเอสแอลคอร์ไมโคร เซมิคอน จำกัด (SlkorMicro Semicon Co., Ltd.) ได้เผยแพร่บทความเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคตของย่านหัวเฉียงเป่ยในเซินเจิ้น (Past, Present, Future of Shenzhen Hua Qiang Bei)

ในเดือนมกราคม 2535 จีนเปิดสู่โลกภายนอกมากขึ้นและปลุกพลังให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ หัวเฉียงเป่ย (Hua Qiang Bei) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตฟู้เตี้ยน ได้พัฒนาเป็นชุมชนธุรกิจหัวเฉียงเป่ย (Hua Qiang Bei Business Circle) โดยมีถนนอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู้นำอุตสาหกรรม สร้างความอัศจรรย์ทางเศรษฐกิจแห่งหัวเฉียงเป่ย และเผยฉากใหม่ของเศรษฐกิจจีน

หลังจากความสำเร็จของแวนการ์ด ซูเปอร์ ดีพาร์ทเมนต์ (Vanguard Super Department) ในหัวเฉียงเป่ย กว่า 40 อาคารในเขตอุตสาหกรรมชางปู้ (Shangbu Industrial Zone) ได้รับการเปลี่ยนเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทของคุณซ่ง ฉีเจียง มีชื่อว่าคิงเฮล์ม (Kinghelm) (www.kinghelm.net) ซึ่งสื่อถึงจิตวิญญาณของ "นักปราชญ์ที่ภายในและราชาที่ภายนอก" ประกอบกับความคาดหวังว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น

ในปี 2544 จีนได้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) และผนวกรวมเข้ากับเศรษฐกิจโลก ด้วยการสนับสนุนจาก "โรงงานโลก" ของจีน โดยตลาดอิเล็กทรอนิกส์ในเมโทรโพลิส ทาวเวอร์ (Metropolis Tower) เฟสแรกและเฟสสองของตลาดอิเล็กทรอนิกส์เอเชียใหม่ (New Asia Electronics Market) ตลาดอิเล็กทรอนิกส์เกาเต้เค่อ (Gaodeke Electronics Market) และตลาดหัวเฉียงใหม่ (New Huaqiang Market) (เฟส 3) ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งดึงดูดผู้ผลิตจากทั่วทั้งประเทศให้ย้ายเข้ามาด้วยโมเดล "ร้านค้าด้านหน้า โรงงานด้านหลัง" (Front Shop, Back Factory) กลุ่มลูกค้าของผู้ค้าหัวเฉียงเป่ยจึงได้เติบโตขึ้นทั่วโลกนับแต่นั้น

คุณซ่ง ฉีเจียง ได้ให้ความสนใจในหัวเฉียงเป่ยมาตลอด โดยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหัวเฉียงเป่ย และสนับสนุนการพัฒนาหัวเฉียงเป่ย บทความวิจัยของเขาเกี่ยวกับหัวเฉียงเป่ย ได้แก่ "วิจัยหัวเฉียงเป่ย" (Research on Hua Qiang Bei)"การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาหัวเฉียงเป่ย" (Transformation and Development of Hua Qiang Bei)"โต้แย้งข่าวบลูมเบิร์กเรื่องหัวเฉียงเป่ย" (Refuting Bloomberg News on Hua Qiang Bei) ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดยพีเพิลส์ เดลี (People's Daily), สำนักข่าวซินหัว (Xinhua News Agency), แอสโซซิเอเต็ด เพรส (Associated Press), ยาฮู นิวส์ (Yahoo News) และสื่อใหญ่อื่น ๆ

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.kinghelm.net/song-shiqiang_53553/515108.html

โกชัน ไฮเทค เผยแพร่รายงาน ESG ประจำปี 2565 ขณะที่เม็ดเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาพุ่งแตะ 2.416 พันล้านหยวน

โกชัน ไฮเทค (Gotion High-tech) บริษัทแบตเตอรี่ชั้นนำจากจีน เปิดเผยว่า บริษัทกวาดรายได้ 2.3052 หมื่นล้านหยวนในปี 2565 ขณะที่เม็ดเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 2.416 พันล้านหยวน และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้เผยแพร่รายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ประจำปี 2565 (2022 ESG Report) เพื่อแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น บรรษัทภิบาล การวางเค้าโครงอุตสาหกรรม การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การดำเนินงานแบบคาร์บอนต่ำ การพัฒนาพนักงาน และการทำประโยชน์ต่อสังคมตลอดปีที่ผ่านมา โดยผลงานที่โดดเด่นคือ การที่บริษัทมีสัดส่วนเม็ดเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 10.48% ของรายได้ ซึ่งนับว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในอุตสาหกรรม

ปี 2565 เป็นปีที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง แต่โกชัน ไฮเทค ก็สามารถเอาชนะสภาพตลาดที่ยากลำบากและกวาดรายได้มากถึง 2.3052 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 122.59% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีรายได้ในต่างประเทศสูงถึง 2.98 พันล้านหยวน พุ่งขึ้น 464.76% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งนี้ โกชัน ไฮเทค ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และถือว่านวัตกรรมคือจิตวิญญาณของบริษัท จึงทุ่มเงินลงทุนสูงถึง 2.416 พันล้านหยวนในด้านการวิจัยและพัฒนารวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีตลอดปีที่ผ่านมา โดยเม็ดเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของรายได้เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกันแล้ว ส่งผลให้บริษัทเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในส่วนของเทคโนโลยีสำคัญ ๆ เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) 210Wh/kg และเทคโนโลยีแบตเตอรี่กึ่งโซลิดสเตต 360Wh/kg

โกชัน ไฮเทค ดำเนินกลยุทธ์ "คาร์บอนคู่ขนาน" (Dual Carbon) อย่างแข็งขัน ส่งผลให้การใช้พลังงานจริงลดลงถึง 24.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี นอกจากนี้ บริษัทได้สร้างฐานการผลิตวัสดุแอโนดคาร์บอนเป็นศูนย์แห่งแรกของโลกในเมืองอู่ไห่ เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ประเทศจีน ขณะเดียวกัน บริษัทและพนักงานได้เติบโตไปด้วยกัน ประสานความร่วมมือกับชุมชน และทุ่มเงินลงทุนกว่า 23 ล้านหยวนให้กับงานสังคมสงเคราะห์ บริษัทได้ทำกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์พลังงานใหม่ 46 กิจกรรม โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100,000 คน ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ประเทศจีนหรือแม้กระทั่งทั่วโลกบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในท้ายที่สุด


Gotion High-tech Releases 2022 ESG Report: R&D Investment Reaches RMB 2.416 Billion for the Year

With a revenue of RMB 23.052 billion for the year, Gotion High-tech invested an impressive RMB 2.416 billion in research and development. As a leading enterprise in the field of power batteries, Gotion High-tech recently released its "2022 ESG Report," detailing the work and contributions made in key areas such as corporate governance, industrial layout, technological innovation, low-carbon operation, employee development, and social contribution over the past year. Among them, Gotion High-tech's R&D investment ratio of 10.48% leads the industry.

2022 was a challenging year, but Gotion High-tech overcame the tough market environment and achieved a revenue of RMB 23.052 billion, a year-on-year increase of 122.59%, with overseas revenue reaching RMB 2.98 billion, a year-on-year increase of 464.76%. As a technology-based battery company, Gotion High-tech adheres to innovation as its soul and invested RMB 2.416 billion in R&D and technological innovation for the year, with R&D investment accounting for over 10% of revenue for four consecutive years. The company leads the industry in key technologies such as 210Wh/kg LFP and 360Wh/kg semi-solid-state battery technology.

Gotion High-tech actively implements its "dual carbon" strategy, with actual unit energy consumption for the year down 24.6% year-on-year. It has built the world's first zero-carbon anode material base in Wuhai, Inner Mongolia. Over the past year, the company and its employees have grown together, resonating with the community, and invested over RMB 23 million in public welfare. It has conducted a total of 46 new energy science popularization education activities, with an audience of over 100,000 people, contributing to the achievement of China's and even the world's carbon neutrality goals.


นักพุทธปรัชญาและนักสร้างสันติภาพชาวญี่ปุ่นเรียกร้องให้ผู้นำกลุ่ม G7 ผลักดันนโยบายอาวุธนิวเคลียร์ "No First Use" ในการประชุมสุดยอดที่ฮิโรชิมา

ในวันที่ 27 เมษายน 2023 ไดซาขุ อิเคดะ (Daisaku Ikeda) นักพุทธปรัชญาและนักสร้างสันติภาพ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมสร้างคุณค่าสากล หรือ เอสจีไอ (Soka Gakkai International หรือ SGI) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ผู้นำกลุ่มประเทศ G7 ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่เมืองฮิโรชิมา ระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนและรับประกันความปลอดภัยของมวลมนุษยชาติ ด้วยการเป็นผู้นำในการหารือเกี่ยวกับนโยบายการไม่เป็นฝ่ายแรกที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนเมื่อเกิดความขัดแย้ง หรือ "No First Use"

อิเคดะสนับสนุนการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์อย่างแข็งขันมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 และมองว่าการประชุมสุดยอดกลุ่ม G7 ที่เมืองฮิโรชิมาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการสานต่อการเคลื่อนไหวอย่างแน่วแน่มั่นคงของฮิบากุฉะ (Hibakusha) หรือผู้รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ รวมถึงความมุ่งมั่นของคนกลุ่มนี้ที่จะไม่ยอมให้ผลพวงอันน่าเศร้าจากอาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้นอีก

เขากล่าวว่า "ในขณะที่ผู้นำกลุ่ม G7 ได้กลับมาทบทวนผลพวงที่แท้จริงของการใช้อาวุธนิวเคลียร์และบทเรียนอันขมขื่นของยุคนิวเคลียร์นั้น ผมขอให้พวกเขาเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังเรื่องการให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามนโยบาย No First Use เพื่อให้การรับรู้ร่วมกันถึงความร้ายแรงของอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่อาจยอมรับได้นั้น สามารถสะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง"

เขาเตือนว่า ความตั้งใจในการห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์ในกลุ่มประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์กำลังสั่นคลอน ขณะที่กรอบการทำงานเพื่อจัดการและลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ก็ใกล้จะพังทลาย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นยิ่งกว่าที่เคยที่จะต้องผลักดันนโยบาย No First Use ให้เกิดขึ้น

ในกรณีของยูเครนนั้น อิเคดะเรียกร้องให้การประชุมสุดยอดที่ฮิโรชิมาช่วย "สร้างความหวัง" ด้วยการหาทางยุติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนทันที และจัดทำแผนการเจรจาที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปสู่การยุติการสู้รบ

เขาเน้นย้ำว่าตัวแทนจากภาคประชาสังคม เช่น แพทย์และนักการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องชีวิตและอนาคตของประชาชน ควรได้เข้าร่วมการเจรจาในฐานะผู้สังเกตการณ์ด้วย

อิเคดะได้อ้างอิงผลงานของแพทย์ทั้งสองฝ่ายในสงครามเย็น ซึ่งร่วมกันก่อตั้งสมาพันธ์แพทย์นานาชาติเพื่อยับยั้งสงครามนิวเคลียร์ (International Physicians for the Prevention of Nuclear War หรือ IPPNW) ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 และได้มารวมตัวกันที่เมืองฮิโรชิมาภายใต้สโลแกน "ใช้ชีวิตไปด้วยกัน ไม่ใช่ตายไปด้วยกัน" (Let us Live Together, Not Die Together) และด้วยจิตวิญญาณเดียวกันนี้ เขาได้สรุปว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปสู่ "ความมั่นคงร่วมกัน" ของมวลมนุษยชาติ

ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีที่ผ่านมาที่อิเคดะ นักเคลื่อนไหวผู้สนับสนุนการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์มาอย่างยาวนาน ได้เรียกร้องให้ใช้นโยบาย No First Use โดยเขาผลักดันให้มีการประกาศนโยบายนี้เป็นครั้งแรกในปี 1975 หลังจากเดินทางไปพบบรรดาผู้นำและนักคิดที่มีบทบาทสำคัญใน 5 ประเทศที่ประกาศตัวว่ามีอาวุธนิวเคลียร์

สามารถอ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.daisakuikeda.org/sub/resources/works/lect/2023apr27-g7-hiroshima-stmt.html

สมาคมสร้างคุณค่า (Soka Gakkai) เป็นองค์กรชาวพุทธระดับโลกที่ส่งเสริมสันติภาพ วัฒนธรรม และการศึกษา โดยไดซาขุ อิเคดะ (ค.ศ. 1928-ปัจจุบัน) เป็นประธานสมาคมสร้างคุณค่าสากล (Soka Gakkai International) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกของสมาคมสร้างคุณค่า และเป็นองค์กรนอกภาครัฐที่มีสถานะเป็นที่ปรึกษาของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN ECOSOC) ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา อิเคดะได้เขียนข้อเสนอและแถลงการณ์มากมายเพื่อแนะแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนที่มวลมนุษยชาติต้องเผชิญ

สามารถอ่านข้อเสนอของอิเคดะได้ที่ https://www.daisakuikeda.org/sub/resources/works/props/

ที่มา: สมาคมสร้างคุณค่า

ติดต่อ:
ยูกิ คาวานากะ (Yuki Kawanaka)
สำนักงานประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สมาคมสร้างคุณค่า
โทร: +81-80-5957-4919
อีเมล: kawanaka[at]soka.jp

"โตชิบา ทีวี" นำสิ่งที่ดีจากสองยุคมารวมกันในรุ่น X9900L

 


โตชิบา ทีวี (Toshiba TV) รุ่น X9900L ใหม่ล่าสุดจากโตชิบา โดดเด่นท่ามกลางโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ทีวีรุ่นไฮเอนด์สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์อันประณีต สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบ

X9900L โดดเด่นด้วยเร็กซา เอ็นจิน โอแอลอีดี (REGZA Engine OLED) เพื่อภาพที่น่าทึ่งเหนือชั้นและสีสันสดใส นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงที่น่าประทับใจด้วยทรูเบสโปรเซสเซอร์ (Tru Bass Processor) ในตัว ช่วยเพิ่มเสียงความถี่ต่ำเพื่อเสียงเบสที่ทรงพลังยิ่งขึ้น และเทคโนโลยีเสียงทรูสกรีน (Tru Screen) ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเสียงคมชัดจะออกมาจากหน้าจอโดยตรง มอบประสบการณ์การฟังที่ดื่มด่ำยิ่งขึ้นและสมจริงยิ่งกว่า

โตชิบา ทีวี รุ่น X9900L เสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ในด้านทาคูมิ (Takumi) ความเป็นของจริง และความรับผิดชอบ ผ่านแคมเปญใหม่สไตล์ยุค 90 เพื่อนำความคลาสสิกในยุคทองของวันวานกลับมาอีกครั้ง จุดประกายความทรงจำอันน่าประทับใจในช่วงทศวรรษที่ 1990

ด้วยแนวทางนี้ โตชิบา ทีวี พยายามอย่างยิ่งที่จะให้แบรนด์กลายเป็นชื่อติดปากไปทั่วโลกยิ่งกว่าที่เคยด้วยการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างยิ่งขึ้นไปอีก

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้นไปกับแคมเปญใหม่ของโตชิบา ทีวี คือการนำสิ่งที่ดีที่สุดของยุค 90 สมัยก่อนและยุค 2020 สมัยนี้มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของโตชิบา ทีวี ที่มีต่อความเป็นช่างฝีมือที่หายากและนวัตกรรมที่เหนือชั้น

เกี่ยวกับโตชิบา ทีวี

โตชิบา ทีวี (Toshiba TV) มีประวัติยาวนานถึง 71 ปีในการผลิตทีวี ด้วยจิตวิญญาณในการคิดค้นสิ่งใหม่และความคิดสร้างสรรค์ บริษัทได้ผลิตทีวีหลายรุ่นพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เป็นครั้งแรกของโลก รวมทั้งมอบประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนและรูปแบบการรับชมใหม่ ๆ ให้กับผู้คนจำนวนมากทั่วโลกด้วยภาพคุณภาพสูง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดตามโตชิบา ทีวี ทางเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์, ยูทูบ

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2065037/image_1.jpg

The Past, Present, Future of Shenzhen Hua Qiang Bei -- Slkor, Song Shiqiang

Recently, Song Shiqiang, CEO of SlkorMicro Semicon Co., Ltd. published an article regarding the Past, Present, Future of Shenzhen Hua Qiang Bei: 

In January 1992, China further opened up to the outside world and invigorated the domestic economy. Hua Qiang Bei, located in Futian District, developed into the Hua Qiang Bei Business Circle with the electronics street as the industry leader, created the economic miracle of Hua Qiang Bei, and unfolded a new picture of China's economy.

After the success of Vanguard Super Department in Hua Qiang Bei, more than 40 buildings in the Shangbu Industrial Zone were transformed into commercial areas one after another. Mr. Song Shiqiang's company was named Kinghelm (www.kinghelm.net), which implies the spirit of "inner sage and outer king" and expectation for the company to grow bigger and stronger.

In 2001, China joined the WTO and integrated into the global economy. With the support of China's "world factory", the electronics market in the Metropolis Tower, the first and second phases of the New Asia Electronics Market, the Gaodeke Electronics Market, and the New Huaqiang Market (Phase III) were launched, attracting manufacturers from all over the country to move in with the model of "Front Shop, Back Factory". The customer group of Hua Qiang Bei merchants have been growing worldwide since then.

Mr. Song Shiqiang has been paying attention to Hua Qiang Bei, researching Hua Qiang Bei, and cheering for the development of Hua Qiang Bei. His research articles on Hua Qiang Bei "Research on Hua Qiang Bei""Transformation and Development of Hua Qiang Bei" and "Refuting Bloomberg News on Hua Qiang Bei" were reprinted by People's Daily, Xinhua News Agency, Associated Press, Yahoo News and other major media.

To read the full text, click the link: https://www.kinghelm.net/song-shiqiang_53553/515108.html

CONTACT: Adele Sun, sunmiao@ailion.group

"ทรินา โซลาร์" จัดส่งโมดูลรวมกันได้ 140 กิกะวัตต์แล้ว ขณะที่โมดูลขนาด 210 มม. เกิน 65 กิกะวัตต์ ณ ไตรมาสที่ 1/2566 ครองอันดับหนึ่งของโลก

 


เมื่อวันที่ 24 และ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ทรินา โซลาร์ (Trina Solar) เผยแพร่ผลประกอบการตลอดปี 2565 และไตรมาส 1 ของปี 2566 โดยระบุว่า บริษัทฯ มีรายได้ทั้งปีแตะ 1.2645 หมื่นล้านดอลลาร์ (8.5052 หมื่นล้านหยวน) เพิ่มขึ้น 83.41% จากปี 2564 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์เซลล์แสงอาทิตย์ ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ และพลังงานอัจฉริยะ ล้วนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยอดจัดส่งโมดูลยังเดินหน้าต่อไป

ยอดจัดส่งโมดูลของทรินา โซลาร์ ในปี 2565 นั้นอยู่ที่ 43.09 กิกะวัตต์ ส่วนยอดจัดส่งโมดูลสะสมนับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2566 เกิน 140 กิกะวัตต์แล้ว

เทรนด์ฟอร์ซ (TrendForce) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระด้านการวิจัยพลังงานใหม่ เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ยอดจัดส่งสะสมของโมดูลขนาด 210 มม. เกิน 120 กิกะวัตต์ ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยทรินา โซลาร์ คิดเป็น 65 กิกะวัตต์ ซึ่งคว้าอันดับหนึ่งในการจัดส่งโมดูล 210 มม. ทั่วโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50%

โมดูลเวอร์เท็กซ์ (Vertex) สมรรถนะสูง 600 วัตต์ ของทรินา โซลาร์ ซึ่งใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ขนาด 210 มม. ได้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีเซลล์ไอ-ท็อปคอน (i-TOPCon) ขั้นสูงและเทคโนโลยี 210 มม. ทำให้ทรินา โซลาร์ ได้สร้างระบบนิเวศแบบเอ็นไทป์ (n-type) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ที่ยอดเยี่ยม

ความจุของโมดูลแตะ 95 กิกะวัตต์ เร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดเอ็นไทป์

บริษัทฯ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แท่ง เซลล์ และโมดูลไอ-ท็อปคอน ชนิดเอ็นไทป์ ขนาด 210 มม. ของทรินา โซลาร์ ได้เข้าสู่กระบวนการผลิตจำนวนมาก ภายในสิ้นปีนี้ ความจุของเซลล์จะอยู่ที่ 75 กิกะวัตต์ และความจุของโมดูลจะอยู่ที่ 95 กิกะวัตต์ รวมถึงเซลล์ชนิดเอ็นไทป์ 40 กิกะวัตต์

เทคโนโลยีชั้นยอด มอบประโยชน์ที่มากขึ้นแก่ลูกค้า

ทรินา โซลาร์ ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างมากในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยได้รับสิทธิบัตรใหม่ 173 ฉบับในปีที่ผ่านมา และปัจจุบันเป็นเจ้าของสิทธิบัตร 1,159 ฉบับ ทรินา โซลาร์ ยังคงผู้นำระดับโลกและผู้สร้างสถิติระดับโลก และในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ทุบสถิติโลกถึง 3 ครั้ง จากการบรรลุค่าประสิทธิภาพของเซลล์ PERC และค่าประสิทธิภาพของเซลล์และโมดูลไอ-ท็อปคอนขนาดใหญ่เชิงอุตสาหกรรม

พลเมืองโลกต้นแบบในการลดการปล่อยคาร์บอน

ทรินา โซลาร์ มุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำแก่ลูกค้าทั่วโลก และยึดมั่นกับแนวปฏิบัติที่ปล่อยคาร์บอนต่ำในทุกแง่มุมของการพัฒนา ผลิต และใช้ผลิตภัณฑ์ โมดูลเวอร์เท็กซ์ของทรินา โซลาร์ ลดการปล่อยคาร์บอนได้ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม จึงได้รับการรับรอง LCA และใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์เมื่อปี 2565 นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนนี้ ที กรุ๊ป (Ti Group) ได้มอบใบรับรองโรงงานคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero Carbon Factory) แก่โรงงานของทรินา โซลาร์ ในเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งนับเป็นใบรับรองแรกที่มอบให้กับบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์

ความไว้วางใจจากสถาบันทรงอิทธิพลระดับโลก

ทรินา โซลาร์ ได้รับการยอมรับจากสถาบันทรงเกียรติในระดับสากลมาแล้วมากมาย บริษัทฯ ได้คะแนนเต็ม 100% ในรายงานการสำรวจความน่าเชื่อถือทางการเงินจาก BNEF ตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และคว้าอันดับสูงสุด AAA เป็นเวลา 4 ไตรมาสติดต่อกัน ในรายงานประเมินความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีโมดูลแสงอาทิตย์ (PV ModuleTech Bankability) จากพีวีเทค (PV-Tech) เมื่อนับจนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2566

นับตั้งแต่ที่ทรินา โซลาร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว บริษัทฯ ได้จัดส่งโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 140 กิกะวัตต์ทั่วโลก และมีการดำเนินงานในกว่า 150 ประเทศและภูมิภาค บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างคุณูปการมากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่โดดเด่น และผลประกอบการทางการเงินที่มั่นคง

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2065079/image_1.jpg

CGTN: World Data Forum calls for data governance for sustainable development

 


The United Nations (UN) World Data Forum (WDF) that concluded on Thursday in Hangzhou City, east China's Zhejiang Province, called for better data governance and more cooperation between governments to help create a sustainable future.

"Today, in the twenty-first century, data represents what oil represented in the twentieth century - a driver of development and progress," said UN Secretary-General Antonio Guterres. "Data - when used responsibly - is the bedrock of a sustainable future."

China shared its experience with data governance at the forum and promised to contribute more to global data governance by organizing more international trainings and promoting the development of the UN Global Platform for Big Data China Hub.

In his congratulatory message to the forum, Chinese President Xi Jinping said the country is willing to work with other countries to help implement the 2030 Agenda for Sustainable Development through data governance.

China is also willing to deepen international data cooperation within the framework of the Global Development Initiative, Xi said.

Digital transformation that works

The Chinese government has been working on digital transformation and helping enterprises to do the same with big data.

The National Bureau of Statistics (NBS) of China has been carrying out censuses about the country's population, agriculture, economy, among other fields. The collected data enables the bureau to pinpoint the key social problems, analyze the economy and provide key facts for policymaking.

Data technology has also provided great convenience for China's logistics industry, enabling the enterprises to predict future workloads, and allocate personnel and equipment even before the orders arrive. As a result, the logistics chain is optimized to transport more goods with the same resources.

China is not only putting resources on data technology domestically, but also providing technical support for other countries, according to Shaida Badiee, managing director and co-founder of Open Data Watch, a U.S.-based non-profit of data experts.

Cooperate for a greener future

A greener future for the world will not be achieved with only one country's effort, and China's strategy on big data requires solid cooperation with the rest of the world.

China has been a strong partner of the UN Statistics Division, helping the division implement data projects and training sessions, according to Francesca Perucci, assistant director of the division.

Kang Yi, head of NBS, said China is serious on the opening up of statistics and will share advanced data technology with other developing countries.

China will hold more international training sessions through investment trusts and get deeply involved in the research and development of the UN Global Platform for Big Data, so as to make China's contribution to global data governance more prominent, he added.

Link: https://news.cgtn.com/news/2023-04-27/World-Data-Forum-calls-for-data-governance-for-sustainable-development-1jlJGCwgVTa/index.html  

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2065585/image_5009787_3174463.jpg

"หัวเว่ย" จัดการประชุมใหญ่ สร้างศูนย์ข้อมูลมุ่งสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมสีเขียว เรียบง่าย อัจฉริยะ และเชื่อถือได้

 


หัวเว่ย (Huawei) จัดงานประชุมสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูลระดับโลก (Global Data Center Facility Summit) ภายใต้ธีม "ศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ สร้างอนาคตสีเขียว" ในโมนาโก ผู้นำในอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญเชิงเทคนิค และคู่ค้าในระบบนิเวศจากทั่วโลกเกือบ 200 รายร่วมแบ่งปันมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการพัฒนาของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลและการปฏิบัติเชิงนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ตัวเลือกที่เป็นที่ต้องการสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ พาวเวอร์พีโอดี 3.0 และตู้พัดลมอัจฉริยะ

หัวเว่ยได้เปิดตัวพาวเวอร์พีโอดี 3.0 (PowerPOD 3.0) รุ่นใหม่และโซลูชันตู้พัดลมระบายความร้อนด้วยน้ำเย็น (Smart Fan Wall Chilled Water Cooling Solution) เพื่อให้เกิดแหล่งจ่ายพลังงานสีเขียวและการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตลอดจนขับเคลื่อนการพัฒนาคาร์บอนต่ำ

หัวเว่ยพัฒนาพาวเวอร์พีโอดี 3.0 เพื่อสร้างระบบแหล่งจ่ายพลังงานแบบบูรณาการที่มีความหนาแน่น ประสิทธิภาพ และความเชื่อถือได้สูงสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

  • สีเขียว: มีการใช้แหล่งจ่ายพลังงานต่อเนื่องหรือยูพีเอส (UPS) ความหนาแน่นสูงพิเศษและสวิทช์โหลดชนิดปีกกระพือในการบูรณาการส่วนประกอบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำนวนตู้ลดจาก 18 เหลือ 10 ตู้ ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากกว่า 30% เมื่อแหล่งจ่ายพลังงานต่อเนื่องทำงานในโหมดเอส-อีโค (S-ECO) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตลอดทั้งวงจรจาก 95.4% เป็น 98.4%
  • เรียบง่าย: มีการใช้บัสบาร์สำเร็จรูปแทนสายเคเบิล โดยสั่งทำขึ้นล่วงหน้าในโรงงานและเสียบต่อเชื่อมเข้าด้วยกันในสถานที่ตั้ง ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการจัดส่งจากสองเดือนเป็นสองสัปดาห์
  • อัจฉริยะ: มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอัจฉริยะเพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อทั้งหมดมองเห็นได้ จัดการได้ และควบคุมได้ ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเครื่องและบำรุงรักษา และทำให้ระบบแหล่งจ่ายพลังงานเป็นอัตโนมัติ
  • เชื่อถือได้: ฟีเจอร์ไอพาวเวอร์ (iPower) อัจฉริยะวัดอุณหภูมิในมากกว่า 150 จุด และพยากรณ์อายุการใช้งานของส่วนประกอบหลักเพื่อดำเนินการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์

โดยปกติแล้วระบบระบายความร้อนใช้พลังงานเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของพลังงานทั้งหมดที่ต้องใช้ในศูนย์ข้อมูล หัวเว่ยใช้สถาปัตยกรรมเชิงนวัตกรรมและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานหลายตัว เพื่อสร้างโซลูชันตู้พัดลมระบายความร้อนด้วยน้ำเย็นรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ทำให้ระบบระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ใช้พลังงานน้อยลง

  • สีเขียว: อุณหภูมิน้ำเข้าสามารถอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส ช่วยลดการใช้พลังงานของตัวทำความเย็นได้ 15%
  • เรียบง่าย: ชิ้นส่วนหลักสามารถสับเปลี่ยนได้ทันทีระหว่างเดินเครื่อง (hot-swappable) และสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ภายใน 1 นาทีโดยไม่รบกวนการทำงาน
  • อัจฉริยะ: การวินิจฉัยความผิดพร่องด้วยตนเองช่วยในการระบุลักษณะ ระบุตำแหน่ง และวิเคราะห์ความผิดพร่องอย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งการฟื้นฟูบริการ
  • เชื่อถือได้: ตัวควบคุมตัวประกอบกำลังไฟฟ้า หรือพีเอฟซี (PFC) ฝังอยู่ในพัดลมเพื่อให้มีค่าความเพี้ยนฮาร์มอนิก (THDi) น้อยกว่า 5% และมีค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าสูงกว่า 0.99

สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัล เพื่อโอบรับโลกอัจฉริยะ

คุณซุน เสี่ยวเฟิง (Sun Xiaofeng) ประธานกลุ่มธุรกิจสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูลและระบบจ่ายพลังงานหลักของหัวเว่ย (Huawei Data Center Facility and Critical Power Business Unit) กล่าวบรรยายเปิดงานเกี่ยวกับโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาศูนย์ข้อมูลระดับโลก พร้อมนำเสนอกลยุทธ์ของหัวเว่ยในด้านสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูล

คุณซุนชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลและคาร์บอนต่ำ ทำให้อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลเผชิญกับโอกาสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หัวเว่ยพร้อมที่จะร่วมมือกับสมาชิกทั้งหมดในชุมชน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงศูนย์ข้อมูลสู่การมีคุณสมบัติสีเขียว เรียบง่าย อัจฉริยะ และเชื่อถือได้ ประกอบกับส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล

คุณลี หุยยง (Li Huiyong) ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดด้านสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ย กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของพลังการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล ในแง่นี้ หัวเว่ยเสนอแนวคิด "จีเอสเอสอาร์" (GSSR) หมายถึงสีเขียว เรียบง่าย อัจฉริยะ และเชื่อถือได้ (Green, Simple, Smart, Reliable) เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของยุคใหม่ เพื่อช่วยลูกค้าสร้างศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนและโอบรับอนาคตสีเขียว หัวเว่ยได้เปิดตัวนวัตกรรมโซลูชันพาวเวอร์พีโอดี 3.0 และตู้พัดลมอัจฉริยะ

บรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมทั่วโลกได้นำเสนอแนวโน้มเทคโนโลยีศูนย์ข้อมูล กลยุทธ์องค์กร และแนวปฏิบัติเชิงนวัตกรรม เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของศูนย์ข้อมูล

คุณสตีเวน เบียร์ด (Stephen Beard) หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายศูนย์ข้อมูลระดับโลกของไนท์ แฟรงค์ (Knight Frank) ชี้ว่า ในแง่ของคาร์บอนแฝงและรูปแบบการก่อสร้างโดยทั่วไป หลายคนยังไม่รู้ แต่ในปัจจุบัน 90% ของสถานปฏิบัติการใหม่ที่เป็นการเช่าพื้นที่วาง (colocation) สามารถบรรลุความเป็นเลิศตามมาตรฐานบีอาร์อีอีเอเอ็ม (BREEAM) และแอลอีอีดี (LEED) ขณะนี้มีการเปลี่ยนจากการใช้คอนกรีตไปสู่รูปแบบการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปมากขึ้น รวมไปถึงไม้กลูลัมครอสลามิเนต  ซึ่งใช้โดยอีโคดีซี (EcoDC) ในสวีเดน

คุณไซมอน แมคคอร์มิค (Simon McCormick) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของเอเชอลอน ดาต้า เซ็นเตอร์ส (Echelon Data Centers) ระบุว่า เอเชอลอน ดาต้า เซ็นเตอร์ส มุ่งที่จะเป็นผู้บริโภคพลังงานระดับมืออาชีพที่ยั่งยืน โดยครอบคลุมสามเสาหลักของความยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม

คุณคาร์โล มาลานา (Carlo Malana) ซีอีโอของเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซ็นเตอร์ส (ฟิลิปปินส์) (ST Telemedia Global Data Centers (Philippines)) กล่าวว่าขณะนี้ฟิลิปปินส์กำลังเป็นที่ประจักษ์ในความเหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางด้านศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเติบโตสูง เทคโนโลยีสำคัญอย่างเช่นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและตู้พัดลมออกแบบและติดตั้งเพื่อความยั่งยืน ความยืดหยุ่น และความต้องการของลูกค้าในการขยายตัวขนาดใหญ่ระดับไฮเปอร์สเกล

ผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมนำเสนอในการประชุมอภิปราย ประกอบด้วย คุณซานเจย์ เคอาร์ ไซนานี (Sanjay Kr Sainani) รองประธานอาวุโสระดับโลกและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของธุรกิจศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ย คุณจอห์น เบลตัน (John Belton) ผู้อำนวยการระดับโลกฝ่ายการพัฒนาของโคลท์ ดาต้า เซนเตอร์ (Colt Data Centre) คุณคาร์โล มาลานา (Carlo Malana) ซีอีโอของเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซ็นเตอร์ส (ฟิลิปปินส์), คุณมาร์เทียน อาร์ทส์ (Martien Arts) ผู้อำนวยการฝ่ายสถานประกอบภารกิจหลักของรอยัล แฮสโคนิ่งดีเอชวี (Royal HaskoningDHV) และคุณมาร์ค แอคตัน (Mark Acton) หัวหน้าฝ่ายการสอบทานเชิงเทคนิคของฟิวเจอร์-เทค (Future-Tech) บุคคลเหล่านี้แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นอย่างเช่นเรื่องแนวโน้มศูนย์ข้อมูล ความยั่งยืน และเทคโนโลยี

ข้อมูลสำคัญของงานประชุมดาต้าคลาวด์ โกลบอล คองเกรส

ในงานประชุมดาต้าคลาวด์ โกลบอล คองเกรส (DataCloud Global Congress) หัวเว่ยได้จัดแสดงพาวเวอร์พีโอดี 3.0, โซลูชันระบบจัดการสภาพแวดล้อม หรืออีเอชยู (EHU) ระบบทำความเย็นแบบระเหยแบบโดยอ้อม โซลูชันฟิวชันโมดูล2000 (FusionModule2000) และโซลูชันอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดจีเอสเอสอาร์สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ การจัดแสดงนี้สะท้อนการพัฒนานวัตกรรมและการสำรวจเชิงเทคโนโลยีของหัวเว่ยในด้านสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูล ในงานประชุมดังกล่าวนี้ คุณซานเจย์ เคอาร์ ไซนานี รองประธานอาวุโสระดับโลกและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของธุรกิจศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ย และคุณริชาร์ด พิมเพอร์ (Richard Pimper) รองประธานอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของธุรกิจสถานปฏิบัติการศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ยในยุโรป ได้นำเสนอความคิดเกี่ยวกับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมท่านอื่น ๆ

ในอนาคตข้างหน้า หัวเว่ยจะทำงานร่วมกับลูกค้าและคู่ค้าในระบบนิเวศ เพื่อสำรวจความเป็นไปได้เพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน หัวเว่ยจะพัฒนาโซลูชันศูนย์ข้อมูลสีเขียวที่ก้าวหน้าจากความเชี่ยวชาญเชิงเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนต่ำและอัจฉริยะ ซึ่งจะเร่งความเป็นกลางทางคาร์บอนในทั้งอุตสาหกรรม

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2065038/image_5003324_35642265.jpg

นครฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน จัดการประชุมสุดยอด ดิจิทัล ไชนา ซัมมิต ครั้งที่ 6

 


การประชุมสุดยอด ดิจิทัล ไชนา ซัมมิต (Digital China Summit) ครั้งที่ 6 เปิดฉากขึ้นที่นครฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกของประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 ซึ่งงานนี้ร่วมกันจัดโดยสำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีน คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจจีน และรัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน

คณะกรรมการจัดงานเปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในหัวข้อ "เร่งก่อสร้างดิจิทัล ไชน่า และส่งเสริมความทันสมัยของจีน" (Accelerating Digital China Construction and Promoting Chinese Modernization) การประชุมสุดยอดในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จล่าสุดและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของจีนดิจิทัล และแบ่งปันประสบการณ์ความก้าวหน้าต่าง ๆ ทั้งนี้ การประชุมประกอบด้วยพิธีเปิด ฟอรัมหลัก และฟอรัมย่อยอีก 20 ฟอรัม โดยเน้นหัวข้อต่าง ๆ เช่น เส้นทางสายไหมดิจิทัล แหล่งข้อมูล รัฐบาลดิจิทัลและพลังงานอัจฉริยะ นอกจากนี้ การประชุมนี้ยังเปิดพื้นที่ให้กับนิทรรศการความสำเร็จของดิจิทัล ไชนา (Digital China Achievement Exhibition), มหกรรมสินค้าดิจิทัล (Digital Product Expo), การประกวดนวัตกรรมของดิจิทัล ไชนา (Digital China Innovation Contest) และกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย เช่น การประชุมระบบนิเวศคลาวด์ และการประชุมระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการทำงานร่วมกัน และพัฒนาห่วงโซ่ระบบนิเวศในอุตสาหกรรมหลัก ๆ ไปด้วยกัน

นครฝูโจวได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด ดิจิทัล ไชนา ซัมมิต มา 5 ปีติดต่อกันแล้ว และในช่วง 5 ครั้งที่ผ่านมานั้น การประชุมสุดยอดรายการนี้ได้เผยแพร่นโยบายระดับชาติและรายงานที่สำคัญเกือบ 100 รายการ ได้เชิญผู้จัดแสดงเกือบ 1,500 ราย ได้จัดฟอรัมและสัมมนาเกือบ 150 รายการ และได้ร่วมเป็นสักขีพยานเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการกว่า 1,300 คนมากล่าวสุนทรพจน์ประเด็นสำคัญ ๆ ในขณะเดียวกัน การประชุมสุดยอดนี้ได้จัดการเจรจาเกือบ 100 ครั้ง และได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการลงนามสัญญาและดำเนินโครงการเศรษฐกิจดิจิทัล 1,976 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมเกือบ 1.4 ล้านล้านหยวนอีกด้วย

ที่มา: คณะกรรมการจัดงานการประชุมสุดยอด ดิจิทัล ไชนา ซัมมิต ครั้งที่ 6

ลิงก์ภาพประกอบข่าว:

ลิงก์: https://iop.asianetnews.net/view-attachment?attach-id=440482

คำบรรยายภาพ: ภาพการประชุมสุดยอด ดิจิทัล ไชนา ซัมมิต ครั้งที่ 6

แอสโทรเนอร์จีเพิ่มกำลังการผลิตโมดูลท็อปคอนเป็น 28 กิกะวัตต์

ฐานการผลิตของบริษัทแอสโทรเนอร์จี (Astronergy) มีกำลังการผลิตโมดูลและเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน (TOPCon) ชนิดเอ็นไทป์ (n-type) เพิ่มขึ้นเป็น 28 กิกะวัตต์ เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่บริษัทได้เสริมแกร่งการผลิตโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน ชนิดเอ็นไทป์ ของตัวเองขึ้นอีกขั้น หลังจากที่มีกำลังการผลิตโมดูลท็อปคอน 5 กิกะวัตต์ในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้

ในโครงการขั้นที่ 4 ของฐานการผลิตของแอสโทรเนอร์จีได้มีการเพิ่มอุปกรณ์การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน ชนิดเอ็นไทป์ ขนาด 8 กิกะวัตต์ และอุปกรณ์การผลิตโมดูลท็อปคอน ขนาด 12 กิกะวัตต์ เข้าสู่เวิร์กชอปเซลล์แสงอาทิตย์แห่งใหม่ 1 แห่งและเวิร์กชอปโมดูลใหม่อีก 2 แห่งเมื่อวันที่ 27 เมษายน และในวันเดียวกัน อุปกรณ์การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 8 กิกะวัตต์ ก็ได้ส่งมาถึงเวิร์กชอปของฐานการผลิตแอสโทรเนอร์จี เฟิ่งหยาง (Astronergy Fengyang Manufacturing Base) และได้เตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบการใช้งานเรียบร้อยแล้ว

การเพิ่มกำลังการผลิตท็อปคอนที่ฐานการผลิต 2 แห่งติดต่อกันในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งอันเป็นที่สุดของแอสโทรเนอร์จีในด้านเทคโนโลยีท็อปคอนและโมดูลท็อปคอน

กำลังการผลิตท็อปคอนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ฐานการผลิตไห่หนิง (Haining Manufacturing Base) ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ระดับโลกรวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาของแอสโทรเนอร์จี ทำให้ฐานการผลิตมีกำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์มากกว่า 17 กิกะวัตต์ และโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์มากกว่า 24 กิกะวัตต์

คุณไห่ยาน หวง (Haiyan Huang) รองประธานกรรมการบริหารและซีเอสโอของแอสโทรเนอร์จีกล่าวว่า อุปกรณ์การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอนขนาด 8 กิกะวัตต์และอุปกรณ์การผลิตโมดูลท็อปคอนขนาด 12 กิกะวัตต์ คาดว่าจะค่อย ๆ เดินเครื่องทำงานอย่างเต็มกำลังได้ภายใน 60 วันหลังจากนี้ และฐานการผลิตไห่หนิงจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นและมูลค่าการผลิตเป็นเท่าตัวได้ก่อนปี 2568

ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นฐานการผลิตแห่งใหม่และเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 6 ของแอสโทรเนอร์จี ฐานการผลิตเฟิ่งหยางซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลอานฮุยของจีนได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน และไม่นานหลังจากที่ติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ฐานการผลิตจะสามารถสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอนชิ้นแรกได้ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และคาดว่าจะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตในเดือนมิถุนายนนี้

ในฐานะผู้บุกเบิกโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน ชนิดเอ็นไทป์ แอสโทรเนอร์จีมีเป้าหมายที่จะทำให้โมดูลท็อปคอนกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท การเพิ่มกำลังการผลิตท็อปคอนในด้านเซลล์แสงอาทิตย์และโมดูลจึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเป็นซัพพลายเออร์โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2065546/A_n_type_TOPCon_PV_module_manufacturing_equipment_moved_a_workshop.jpg
คำบรรยายภาพ - ภาพถ่ายอุปกรณ์ผลิตโมดูลท็อปคอนตัวใหม่ที่เข้ามาติดตั้งในเวิร์กชอปโมดูลในฐานการผลิตแอสโทรเนอร์จีไห่หนิง [รูปภาพ/แอสโทรเนอร์จี] 

J&T Express Vietnam helps local craft villages expand their reach

Global logistics service provider J&T Express today announced the signing of a Memorandum of Understanding (MOU) with Hue City, Thua Thien Hue province, to collaborate on developing the local logistics industry and accelerating its digital transformation. As part of the company's strategy to enhance its global ESG initiative, J&T Express Vietnam will tap on its nationwide coverage to promote the facilitate the growth of the local traditional handicraft startups, and promote the rich cultural heritage and legacy embodied in the craftsmanship.

J&T Express will be participating as a gold sponsor in the Hue Traditional Craft Festival 2023, held from today to 5 May 2023. J&T Express will undertake the responsibility of transporting exquisitely designed handicraft products to the Creative Handicraft Design Exhibition of the festival which brings together 350 artisans from across 69 craft villages and establishments.

Meanwhile, J&T Express, together with Hue City's People's Committee, will also organize a workshop on Saturday for the owners of the traditional handicraft businesses. Themed "Creating Success on a Digital Business Platform", the workshop will bring together representatives from TikTok, Le Media Group, and local business owner, and feature experience sharing on topics from products to sales activities on digital platforms as well as a complete delivery journey.

Mr Nguy?n Anh Tu?n, Chief Strategy Officer, J&T Express Vietnam said: "The cooperation with Hue city marks an important milestone in the development strategy and ESG initiatives of J&T Express in Vietnam. With our experience and capacity in logistics, we want to make positive impact for the local communities we operate in, by optimizing the supply chain in terms of transportation, distribution and forwarding. We also want to support the local businesses and enhance their competitiveness through the application of high-tech transportation solutions."

Commenting on the partnership, Mr. Truong Dinh Hanh, Vice Chairman of the People's Committee of Hue city, said: "Hue city welcomes the initiatives and solutions of J&T Express. It opens up opportunities for businesses in the city to access advanced and high-tech delivery services, improve transportation capacity and supply products to a wide range of customers across the country as well as internationally. This will not only help local businesses to flourish but will also in turn improve the livelihood of many in the community."

To ensure that the business owners of traditional craft products have access to the support they need, a cooperation alliance had also been formalised between Hue Institute of Development Research, Le Media Group, J&T Express Vietnam and TikTok Vietnam. The alliance provides a platform to foster greater cooperation between local businesses in Hue city and the necessary expertise to give them a good head start as they transit to operating their businesses online.

Mr Nguy?n Anh Tu?n said: "The Company is honored to join hands with local authorities and artists to contribute to bringing the beauty of traditional Vietnamese handicrafts. In addition to spreading the cultural values of craft villages, this is also an outreach opportunity for craft villages to introduce products to more tourists, creating greater opportunities for traditional villages."

As J&T Express approaches its fifth anniversary in Vietnam, it seeks to tap on its extensive network and continuously adapt its offerings to develop solutions to promote traditional handicraft across the country and beyond. By joining forces with Hue city, J&T Express aims to play a part in enabling the digitalisation of local businesses while spreading Vietnamese heritage and culture. 

About J&T Express

J&T Express is a global logistics service provider with leading express delivery businesses in Southeast Asia and China, the largest and fastest-growing market in the world. Founded in 2015, J&T Express' network spans thirteen countries, including Indonesia, Vietnam, Malaysia, the Philippines, Thailand, Cambodia, Singapore, China, Saudi Arabia, the UAE, Mexico, Brazil and Egypt. Adhering to its "customer-oriented and efficiency-based" mission, J&T Express is committed to providing customers with integrated logistics solutions through intelligent infrastructure and digital logistics network, as part of its global strategy to connect the world with greater efficiency and bring logistical benefits to all.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2065745/J_T_Express_logistics_support_handicraft_businesses.jpg

Caption - J&T Express provides logistics support for handicraft businesses 

ซานี่ เฮฟวี่ อินดัสทรี เผยแพร่รายงานความรับผิดชอบทางสังคม ประจำปี 2565

ซานี่ เฮฟวี่ อินดัสทรี (SANY Heavy Industry) หรือ "ซานี่" (SSE: 600031) ผู้ผลิตเครื่องจักรกลหนักชั้นนำระดับโลก เผยแพร่รายงานความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท (CSR) ซึ่งเผยรายละเอียดความคืบหน้าและความสำเร็จของกลุ่มบริษัทฯ ในเรื่องกลยุทธ์และแนวปฏิบัติด้านความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเน้นไปที่การแบ่งปันประสบการณ์ของซานี่ในการรับมือกับความท้าทายเกี่ยวกับสภาพอากาศ และยึดมั่นในพันธกิจ "คุณภาพเปลี่ยนโลก"(Quality Changes the World) โดยซานี่ยังคงยึดมั่นในปฏิธานและมุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่ดีขึ้นร่วมกับลูกค้าและพันธมิตร

ซานี่ยึดมั่นในกลยุทธ์ "การเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัลเชิงอัจฉริยะ การใช้พลังงานไฟฟ้า และความเป็นสากล" โดยได้ปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการและการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และบรรลุเป้าหมายด้านธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ซานี่ยังได้ส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goal) เพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนถึงเพดานสูงสุดและความเป็นกลางทางคาร์บอนของจีน ไปพร้อม ๆ กับการดูแลพนักงานให้ดียิ่งขึ้น มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถและการลงทุนอย่างจริงจัง และมีส่วนรวมในกิจกรรมสวัสดิการสังคม

คุณเซียง เหวินป๋อ (Xiang Wenbo) ประธานของซานี่ เฮฟวี่ อินดัสทรี กล่าวว่า "ซานี่เติมเต็มด้านความรับผิดชอบทางเศรฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแน่วแน่มาโดยตลอด เพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 2566 เราจะเดินหน้าคว้าโอกาสและร่วมมือกับพันธมิตรของเราและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อสำรวจเส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และรับมือกับความท้าทายระดับโลก สร้างคุณค่าที่ดียิ่งขึ้นให้แก่พนักงงาน ผู้ถือหุ้น และสังคม และมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก"

ซานี่เผยแผนแม่บทสำหรับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัลเชิงอัจฉริยะ การใช้พลังงานไฟฟ้า และความเป็นสากล  

แผนงานการพัฒนาทั่วโลกของซานี่เน้นการใช้ประโยชน์จากระบบดิจิทัลอัจฉริยะ เพื่อบรรลุเป้าหมาย "การลดคาร์บอนควบคู่สองประการ" (Dual Carbon) โดยเดินหน้าพัฒนาพลังงานไฟฟ้าเพื่อกำหนดเป้าหมายโอกาสด้านพลังงานสะอาดและเร่งดำเนินการโครงการอุตสาหกรรมทั่วโลก

ทางกลุ่มบริษัทฯ กำลังเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคแบบเดิม ไปสู่การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน และการพัฒนาแบบหมุนเวียน ทั้งนี้ กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัลเชิงอัจฉริยะขับเคลื่อนอนาคตด้วยพลังของข้อมูล เพื่อเป็นผู้นำในเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ผสานการเพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยีสะอาดสำหรับอุปกรณ์เครื่องจักรก่อสร้าง รวมถึงเทคโนโลยีไฟฟ้าบริสุทธิ์และพลังงานไฮโดรเจน

ซานี่ยังเพิ่มความมุ่งมั่นในการจัดสรรทรัพยากรให้มากขึ้น เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศและเครือข่ายการขาย โดยซานี่กวาดรายได้ทั่วโลกทั้งปีไปได้ 3.6571 หมื่นล้านหยวน (5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2565

เสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยี การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร และความรับผิดชอบต่อสังคม

ซานี่ได้กำหนดโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในที่เป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ไปพร้อม ๆ กับการปรับปรุงระบบวิจัยและพัฒนา การควบคุมคุณภาพ และการจัดการซัพพลายเออร์ด้วยความยั่งยืน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในกระบวนการกำกับดูแลกิจการ

ในปี 2565 ซานี่ลงทุนไป 7.826 พันล้านหยวน (1.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.68% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคิดเป็น 9.78% ของรายได้จากการดำเนินงาน

ซานี่กำลังใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากร เพิ่มการรีไซเคิล และลดมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2565 บริษัทฯ ได้ลงทุนไป 3.22 ล้านหยวน (466,673.31 ดอลลาร์สหรัฐ) ในโครงการเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 900,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี โดยมีการใช้พลังงานสะอาดรวมทั้งสิ้น 16.013 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้แล้ว ซานี่ยังได้ลงทุนกว่า 140 ล้านหยวน (20.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซและลดการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) 134.83 ตัน

ซานี่ได้ปรับปรุงระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและการผลิตเพื่อความปลอดภัย เพื่อรับประกันและสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีและความปลอดภัยของพนักงานและซัพพลายเออร์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับพนักงานเพื่อส่งเสริมความผูกพันและการสื่อสาร ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานและชีวิตที่ดีขึ้น

ในปี 2565 พนักงานของซานี่ทำงานอาสาสมัครครบ 687.4 ชั่วโมง การลงทุนร่วมของทางกรุ๊ปในโครงการสวัสดิการสังคมต่าง ๆ สูงถึง 45.769 ล้านหยวน (6.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงการบรรเทาความยากจน การบรรเทาภัยพิบัติ และการริเริ่มด้านสวัสดิการสาธารณะ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซานี่ กรุ๊ป (SANY Group) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของซานี่ เฮฟวี่ อินดัสทรี โปรดเยี่ยมชมที่ www.sanyglobal.com หรือติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊กหรือยูทูบ

สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ

โยลันดา (Yolanda) อีเมล: rongy@sanyglobal.com
สายด่วนฝ่ายขาย: +86-731-85835199

วิดีโอ - https://mma.prnewswire.com/media/2065533/SANY_Dream.mp4

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1518641/4010419/logo_Logo.jpg 

CGTN: การประชุมเวิลด์ ดาต้า ฟอรัม เรียกร้องยกระดับธรรมาภิบาลข้อมูลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

การประชุมเวิลด์ ดาต้า ฟอรัม (World Data Forum หรือ WDF) ขององค์การสหประชาชาติ ปิดม่านลงไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ณ นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน โดยได้มีการเรียกร้องให้ยกระดับธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาลให้มากขึ้น เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

"ข้อมูลในศตวรรษที่ 21 มีบทบาทเช่นเดียวกับน้ำมันในศตวรรษที่ 20 โดยทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาและความก้าวหน้า" นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กล่าว "เมื่อใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ข้อมูลจะเป็นรากฐานของอนาคตที่ยั่งยืน"

จีนได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมาภิบาลข้อมูลในการประชุมครั้งนี้ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการส่งเสริมธรรมาภิบาลข้อมูลทั่วโลก ด้วยการจัดฝึกอบรมระหว่างประเทศให้มากขึ้น และส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มโลกแห่งสหประชาชาติด้านบิ๊กดาต้าในจีน (UN Global Platform for Big Data China Hub)

ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้ส่งสารแสดงความยินดีกับการประชุม โดยระบุว่า จีนยินดีที่จะทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 ด้วยธรรมาภิบาลข้อมูล

นายสี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนยังเต็มใจที่จะกระชับความร่วมมือด้านข้อมูลระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภายใต้กรอบของข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (Global Development Initiative หรือ GDI)

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างสัมฤทธิ์ผล

รัฐบาลจีนดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และกำลังช่วยเหลือภาคเอกชนให้ทำเช่นเดียวกันโดยอาศัยบิ๊กดาต้า

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนได้ดำเนินการสำรวจประชากร การเกษตร เศรษฐกิจ และภาคส่วนอื่น ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลที่รวบรวมมาได้ช่วยให้สำนักงานสถิติแห่งชาติสามารถระบุปัญหาสังคมที่สำคัญ รวมถึงวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจ และให้ข้อเท็จจริงที่มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบาย

นอกจากนี้ เทคโนโลยีข้อมูลยังอำนวยความสะดวกให้กับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของจีน โดยช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถคาดการณ์ปริมาณงานในอนาคต และจัดสรรบุคลากรและอุปกรณ์ได้แม้คำสั่งซื้อยังมาไม่ถึง ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่โลจิสติกส์ได้รับการปรับปรุงให้สามารถขนส่งสินค้าได้มากขึ้นด้วยทรัพยากรเท่าเดิม

คุณไชดา บาดิอี (Shaida Badiee) กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง โอเพน ดาต้า วอทช์ (Open Data Watch) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า จีนไม่เพียงทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูลในประเทศเท่านั้น แต่ยังให้การสนับสนุนทางเทคนิคแก่ประเทศอื่น ๆ อีกด้วย

ร่วมมือกันเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่นเดียวกับกลยุทธ์บิ๊กดาต้าของจีนที่จำเป็นต้องมีการร่วมมืออย่างเต็มที่กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

คุณฟรานเซสกา เปรุชชี (Francesca Perucci) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งสหประชาชาติ เปิดเผยว่า จีนเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของสำนักงานสถิติแห่งสหประชาชาติ โดยจีนได้ให้ความช่วยเหลือทั้งในส่วนของการดำเนินโครงการด้านข้อมูลและการจัดฝึกอบรมต่าง ๆ

นายคัง อี้ (Kang Yi) ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน กล่าวว่า จีนจริงจังกับการเปิดกว้างด้านข้อมูลสถิติ และพร้อมที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีข้อมูลขั้นสูงกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ

เขากล่าวทิ้งท้ายว่า จีนจะจัดการฝึกอบรมระหว่างประเทศให้มากขึ้นผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุน ตลอดจนมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งในการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มโลกแห่งสหประชาชาติด้านบิ๊กดาต้า เพื่อผลักดันให้การมีส่วนร่วมของจีนในด้านธรรมาภิบาลข้อมูลโลกมีความเด่นชัดยิ่งขึ้น

ลิงก์: https://news.cgtn.com/news/2023-04-27/World-Data-Forum-calls-for-data-governance-for-sustainable-development-1jlJGCwgVTa/index.html

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2065585/image_5009787_3174463.jpg 

ผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอของอินทีกรา คว้ารางวัลผู้นำในด้านนวัตกรรม ประเภทผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มเทคโนโลยี จากแนสคอม เอสเอ็มอี อินสไปร์ อวอร์ดส์

อินทีกราได้รับรางวัลจากแพลตฟอร์มการประเมินภาษาและคำแนะนำในการแก้ไขที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ หรือ ไอเอ็นแอลพีของบริษัท

อินทีกรา ซอฟต์แวร์ เซอร์วิสเซส (Integra Software Services) ผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันเทคโนโลยีและคอนเทนต์ ได้รับรางวัลผู้นำในด้านนวัตกรรม ประเภทผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มเทคโนโลยี (Leadership in Innovation - Tech Products and Platforms) อันทรงเกียรติจากแนสคอม เอสเอ็มอี อินสไปร์ อวอร์ดส์ ประจำปี 2566 (nasscom SME Inspire Awards 2023) สำหรับนวัตกรรมที่โดดเด่นและความเป็นผู้นำทางความคิดในโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ (AI) ที่ทันสมัย หรือ ไอเอ็นแอลพี (iNLP)

แนสคอม เอสเอ็มอี อินสไปร์ อวอร์ดส์ เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้โดยคณะกรรมการตัดสินซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม รางวัลเหล่านี้เป็นการยกย่ององค์กรที่แสดงนวัตกรรมและผลกระทบที่โดดเด่นในการนำเสนอโซลูชันที่ชาญฉลาดและเปลี่ยนแปลงได้

"เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยอมรับจากแนสคอมในด้านนวัตกรรม เรามีความภาคภูมิใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางซึ่งใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และการเรียนรู้เชิงลึก (DL) เพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการพัฒนาภูมิทัศน์ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ผมขออุทิศรางวัลนี้ให้กับลูกค้าของเราทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวเราและทีมงานที่ยอดเยี่ยมของเราที่อินทีกราซึ่งพยายามอย่างต่อเนื่องในการสร้างโซลูชันที่ล้ำสมัยสำหรับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ" คุณศรีราม สุพรหมรัญญา (Sriram Subramanya) ผู้ก่อตั้ง กรรมการผู้จัดการและซีอีโอของอินทีกรา ซอฟต์แวร์ เซอร์วิสเซสกล่าว

อินทีกราเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีอัจฉริยะด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอที่ล้ำสมัยแก่องค์กรของลูกค้าทั่วโลก แพลตฟอร์มการประเมินภาษาและคำแนะนำในการแก้ไขบนคลาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ หรือ ไอเอ็นแอลพี ที่ได้รับรางวัลนี้ เป็นตัวอย่างที่สำคัญของนวัตกรรมนี้ โดยได้ใช้เทคนิค NLP และการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อดำเนินการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างชาญฉลาดเพื่อระบุข้อผิดพลาดที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดายและให้คำแนะนำภาษาตามบริบท

นอกจากนี้ อินทีกรายังนำเสนอชุดผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอที่ครอบคลุมซึ่งช่วยเร่งเวิร์กโฟลว์ของเนื้อหาและการผลิตสำหรับผู้เผยแพร่ ช่วยสร้างข้อได้เปรียบสำคัญในแง่ของเวลา ต้นทุน และประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับอินทีกรา

อินทีกราเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันเทคโนโลยีและคอนเทนต์สำหรับผู้เผยแพร่ สถาบันการศึกษา องค์กรด้านการดูแลสุขภาพ และบริษัทที่ให้บริการทางการเงินทั่วโลก อินทีกราได้สร้างชื่อเสียงในด้านนวัตกรรม ความน่าเชื่อถือ และความเป็นเลิศ ผ่านประสบการณ์เกือบ 30 ปีในการนำเสนอโซลูชันล้ำสมัย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.integranxt.com

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/2064565/IntegraAI_SME_Inspire_Awards.jpg
โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/1953706/Integra_Logo.jpg


Integra's AI-powered product wins the Leadership in Innovation - Tech Products and Platforms Award at the nasscom SME Inspire Awards

Integra was recognized for its AI-based language assessment and guided editing platform - iNLP

Integra Software Services, a leading provider of technology and content solutions, has been awarded the prestigious Leadership in Innovation - Tech Products and Platforms award at the nasscom SME Inspire Awards2023 for its outstanding innovation and thought leadership in cutting-edge AI-powered solution - iNLP.

The nasscom SME Inspire Awards are a prestigious recognition, conferred by the judging panel composed of leading industry experts. These awards acknowledge organizations that have shown exceptional innovation and impact in offering intelligent, transformative solutions.

"We are honoured to be recognized by nasscom for innovation. We take pride in developing customer-centric products that leverage Artificial Intelligence (AI), Natural Language Processing (NLP) and Deep Learning (DL) techniques to help them succeed in a rapidly evolving digital landscape. I dedicate this recognition to all our customers for believing in us and our exceptional team at Integra, who continuously strive to build innovative solutions for different segments of businesses," said Mr. Sriram Subramanya, Founder, MD & CEO of Integra Software Services.

Integra has been leading the transformation brought about by intelligent technologies by delivering cutting-edge, AI-powered products to client organizations worldwide. Their award-winning AI-powered, cloud-based language assessment and guided editing platform - iNLP is a prime example of this innovation. It utilizes NLP and Deep Learning techniques to intelligently carryout in-depth analysis to easily identify complex errors and provide contextual language recommendations.

Integra also offers a comprehensive suite of AI-powered products and platforms that expedite content and production workflows for publishers, providing them with significant advantages in terms of time, cost, and efficiency.

About Integra:

Integra is a leading provider of technology and content solutions for publishers, educational institutions, healthcare organizations, and financial services companies worldwide. With nearly three decades of experience in delivering cutting-edge solutions, Integra has built a reputation for innovation, reliability, and excellence. For more information, please visit www.integranxt.com.

Photo: https://mma.prnewswire.com/media/2064565/IntegraAI_SME_Inspire_Awards.jpg
Logo: https://mma.prnewswire.com/media/1953706/Integra_Logo.jpg


"หัวเว่ย" ร่วมกับ "ส่านซี โคล อินดัสทรี" พิสูจน์ประสิทธิภาพโซลูชันเหมือง 5G อัจฉริยะ


หัวเว่ย (Huawei) และบริษัท ส่านซี โคล อินดัสทรี จำกัด (Shaanxi Coal Industry Co., Ltd.) หรือส่านซีโคล (Shaanxi Coal Company) ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชันเหมืองอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 5G และอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม ซึ่งมีอายุการใช้งานอย่างต่อเนื่องครบรอบหนึ่งปีเมื่อไม่นานมานี้ โซลูชันดังกล่าวใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น 5G การประมวลผลคลาวด์ และเอไอ รวมถึงการทำงานเชิงดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและความปลอดภัยในการดำเนินงานภายในเหมืองของส่านซีโคล นับเป็นกรณีการใช้งานตัวอย่างสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองอัจฉริยะทั่วโลก และสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการนำอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมไปใช้ร่วมกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ

โซลูชันดังกล่าวได้ผสานรวมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ากับทุกขั้นตอนของกระบวนการทำเหมืองถ่านหิน เพื่อกำจัดการแยกส่วนของข้อมูลและแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน โดยสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ทั้งในเรื่องการรับประกันความปลอดภัย การผลิต การดำเนินงาน การอนุรักษ์พลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และระบบอื่น ๆ รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพการสำรวจทางธรณีวิทยา การขุดอุโมงค์ การทำเหมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย โซลูชันดังกล่าวยังเป็นโซลูชันแรกที่ใช้แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตเชิงอุตสาหกรรมที่ประกอบด้วยสถาปัตยกรรม 3 ระดับ ได้แก่ ส่านซีโคล บริษัทในเครือ และตัวเหมืองถ่านหินเอง แพลตฟอร์มนี้เปิดโอกาสให้จัดการและควบคุม ตรวจจับอัจฉริยะ และตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันได้

คุณสวี่ จวิน (Xu Jun) ซีทีโอประจำหน่วยธุรกิจเหมืองของหัวเว่ย เปิดเผยว่า หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับเหมืองถ่านหินหงลิ่วหลิน (Hongliulin) และเซียวเป่าตัง (Xiaobaodang) ของบริษัทส่านซีโคล เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติและการใช้งานใหม่ที่ตรงตามข้อกำหนดของการผลิตถ่านหินโดยเฉพาะ ในกระบวนการนี้ หัวเว่ยได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาทั้งในด้าน 5G เอไอ คลาวด์ บิ๊กดาต้า และเทคโนโลยีอื่น ๆ รวมถึงความสามารถในการบูรณาการทรัพยากรทั่วโลก ความร่วมมือครั้งนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเหมืองอัจฉริยะให้แก่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดโซลูชันเหมืองอัจฉริยะที่สามารถจำลองภาพเหมืองเสมือนจริงที่ทำหน้าที่เป็นฝาแฝดดิจิทัลของเหมืองใต้ดิน สร้างมูลค่าที่มากขึ้นด้วยข้อมูลการขุดจำนวนมหาศาลด้วยวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังนำโซลูชันดังกล่าวมาใช้ เหมืองถ่านหินหงลิ่วหลินลดจำนวนคนงานที่ปฏิบัติงานใต้ดินลงได้ถึง 18% นอกจากนี้ กว่า 97.7% ของหน้าเหมืองในปัจจุบันยังรองรับการทำเหมืองอัจฉริยะ รวมถึงมีการจัดการอัจฉริยะสำหรับหน้าเหมืองใต้ดิน โดยการต่อวิดีโอ (video splicing) และการสนทนาทางวิดีโอแบบ 5G อุปกรณ์มากกว่า 2,700 ชุดในเหมืองสามารถเชื่อมต่อถึงกันโดยใช้มาตรฐานข้อมูลแบบรวม โดยมีข้อมูลกว่า 170 ล้านชิ้นที่สตรีมไปยังส่วนกลางทุกวัน ข้อมูลเหล่านี้ใช้สร้างแบบจำลองดิจิทัลมากกว่า 100 แบบ รวมถึงนำไปใช้ในการตัดสินใจด้านการผลิตและการดำเนินงาน และพัฒนาการใช้งานเชิงดิจิทัลใหม่ ๆ ด้วยเครื่องมือพัฒนาที่ "ไม่ต้องใช้โค้ด"

ในขณะเดียวกัน เหมืองถ่านหินเซียวเป่าตังยังใช้ 5G และเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่นกัน เพื่อสร้างกระบวนการ อุปกรณ์ และการจัดการเหมืองอัจฉริยะ ซึ่งช่วยยกระดับความปลอดภัยในการดำเนินงานและประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมาก รวมถึงลดจำนวนคนงานใต้ดินลงถึง 42% สถานที่สำคัญภายในเหมือง เช่น ห้องสูบน้ำใต้ดินและสถานีไฟฟ้าย่อย สามารถดำเนินงานอย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องมีผู้คุมได้ โดยอาศัยการตรวจสอบเครื่องจักรและการทำงานร่วมกันผ่านวิดีโอ ในแง่ของความปลอดภัยในการผลิตนั้น อุปกรณ์ตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่ตรวจจับและแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อมีการสะสมตัวของแก๊ส การเกิดไฟไหม้ น้ำท่วม ปัญหาการระบายอากาศ และเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา รวมถึงสร้างการเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้สามารถทำการตัดสินใจด้วยข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น และยกระดับการจัดการความปลอดภัยภายในเหมืองได้อย่างมาก

คุณสวี่ กล่าวว่า "อินเทอร์เน็ตเชิงอุตสาหกรรมเป็นรากฐานของเหมืองอัจฉริยะ หน่วยธุรกิจเหมืองของหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรและองค์กรด้านเหมือง เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่เหมืองทุกแห่ง และสร้างเหมืองอัจฉริยะด้วยอินเทอร์เน็ตเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น" และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว หัวเว่ยกำลังเดินหน้าให้บริการดิจิทัลแก่องค์กรเหมืองถ่านหินและเหมืองโลหะรายใหญ่ ๆ ทั่วโลก เพื่อให้จัดการเหมืองอัจฉริยะได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้คนงานใต้ดินน้อยลง

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2064709/1.jpg

คำบรรยายภาพ - โซลูชันเหมืองอัจฉริยะทำหน้าที่จำลองสภาพของเหมืองจริง โดยเปรียบเสมือนฝาแฝดดิจิทัลของเหมืองที่อยู่ใต้ดิน

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2064710/2.jpg

คำบรรยายภาพ - คุณสวี่ จวิน ซีทีโอประจำหน่วยธุรกิจเหมืองของหัวเว่ย



The Sixth Digital China Summit Opens in Fuzhou, Fujian


The 6th Digital China Summit will take place in the city of Fuzhou in East China's Fujian province on April 27, 2023. The event is co-hosted by the Cyberspace Administration of China, the National Development and Reform Commission, the Ministry of Science and Technology, the Ministry of Industry and Information Technology, the State-owned Assets Supervision and Administration Commission of the State Council and the Fujian Provincial People's Government.


Themed "Accelerating Digital China Construction and Promoting Chinese Modernization", the summit of this year will focus on the latest achievements and best practices of digital China, and share development experiences, according to the Organizing Committee. The program of the summit includes the opening ceremony, the main forum and 20 sub-forums, highlighting on various topics such as digital silk road, data resources, digital government and smart energy. The summit will also host the Digital China Achievement Exhibition, the Digital Product Expo, the Digital China Innovation Contest, and a series of special events such as the Cloud Ecosystem Conference and the Artificial Intelligence Ecosystem Conference, aiming at further promoting the collaborative innovation and common development of the eco-chain in key industries.


The Digital China Summit has been successfully held in Fuzhou for five consecutive years. Over the past five sessions, the Summit has released nearly 100 major national policies and key reports, invited almost 1,500 exhibitors, held nearly 150 forums and seminars, and witnessed more than 1,300 experts and scholars delivering keynote speeches. At the same time, the Summit has organized almost 100 negotiations, facilitating the contract signing and the implementation of 1,976 digital economy projects with a total investment of nearly RMB 1.4 trillion.


Source: The Organizing Committee of the 6th Digital China Summit


Image Attachments Links:


Link: https://iop.asianetnews.net/view-attachment?attach-id=440482


Caption: A Glance at the 6th Digital China Summit

MMA Global Asia Pacific Welcomes Entries for 2023 SMARTIES(TM) Awards, Expands to The Philippines & Thailand

 MMA Global Asia Pacific, a not-for-profit marketing trade body, today began welcoming entries for the 2023 SMARTIES(TM) Awards in Asia Pacific, encouraging outstanding, accomplished brands, agencies, and marketers in the region's marketing ecosystem to submit their best work. This year, SMARTIES(TM) is also expanding into two new dynamic, future-forward markets: The Philippines and Thailand. According to Statista, the Philippines and Thailand digital ad spending is expected to surpass $1.6 billion and $1.5 billion, respectively, in 2023.

"SMARTIES(TM) APAC has established itself as a strong platform for the industry to showcase the most inspirational campaigns and case studies. It's inspiring to see a treasury of marketing and advertising geniuses come together on one of the most prestigious platforms of all times," said Rohit Dadwal, Managing Director for MMA Global in Asia Pacific. "The world of marketing aided by technology adoption is evolving at a rapid pace. To keep up with the changing times, SMARTIES(TM) is continuously being reshaped, reworked, and refined with emphasis on innovations, e-commerce, social, and MarTech enabling excellence in business results and impacting human lives. Winners of SMARTIES(TM) 2022 will be featured in the MMA Business Impact Index (BII) - a globally acclaimed index that identifies, ranks, and awards top agencies, advertisers, brands, and solution providers in the industry."

"The world of marketing aided by technology adoption is evolving at a rapid pace. To keep up with the changing times, SMARTIES(TM) is continuously being reshaped, reworked, and refined with emphasis on innovations, e-commerce, social, and MarTech enabling excellence in business results and impacting human lives. Winners of SMARTIES(TM) 2022 will be featured in the MMA Business Impact Index (BII) - a globally acclaimed index that identifies, ranks, and awards top agencies, advertisers, brands, and solution providers in the industry."

Back for its 11th season this year, the SMARTIES(TM) Awards is an annual competition honouring marketing innovation and creativity that results in significant business impact. Last year, SMARTIES(TM) debuted the world's first advertising and innovation award on blockchain in the form of NFT trophies, and this year promises to be an even bigger year. Constantly growing and innovating, the SMARTIES(TM) APAC awards have nonetheless remained focused on a core mission — delivering the world's only innovation award recognizing leaders, brands, agencies, and tech providers that use technology to pioneer new approaches in modern marketing.

A ward submission process

Entries for SMARTIES(TM) 2023 are now open until July 17th, and MMA Global encourages everyone from the marketing and advertising ecosystem to participate. Gold, Silver, and Bronze awards will be awarded for each of the 24 categories, and leading performers will receive the highest honours, including Advertiser, Publisher/Media Company,  Enabling Technology Company, Best in Show, and Agency of the Year.

Marketers and agencies can concurrently submit campaigns in country-level, regional, and global awards, and submissions are welcome from across a range of categories under seven different genres: Marketing Impact, Impact Media, Purpose-Driven Marketing, Emerging Tech Marketing, E-commerce Marketing, Creative Awards, and Industry Awards. For a full list of award categories, please visit:  www.mmaglobal.com/smarties/awards/programs/apac/categories.

More information on the submission can be found at: www.mmaglobal.com/smarties/awards/programs/apac.

All Finalists will be evaluated by a panel comprising of senior brand marketers and distinguished agency leaders from across the industry and announced at the SMARTIES(TM) APAC 2023 gala ceremony on December 14, 2023 in Singapore.

The Awards will be presented in conjunction with the MMA leadership, and with several featuring a creative Forum that gathers the region's top marketers to discuss key industry insights, inspire future innovations, and encourage companies to transform their business. The Forums and Awards showcases will take place on the following dates:

  • China: 23rd September 2023
  • India: 5th October 2023
  • Vietnam: October 2023
  • Indonesia, Thailand and Philippines: November 2023
  • APAC (Singapore): 14th December 2023

For more information, please visit the MMA Global website:

China | India | Vietnam | Indonesia | Thailand | Philippines | APAC

About the MMA Global:

Comprised of over 800-member companies globally and 15 regional offices, MMA Global is the only marketing trade association that brings together the full ecosystem of marketers, martech and media companies working collaboratively to architect the future of marketing, while relentlessly delivering growth today. For more information, please visit: www.mmaglobal.com.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2064691/image_5027947_37028458.jpg