Tuesday, April 30, 2019

เน็กเซ็นไทร์ ประกาศเปิดสถาบันวิจัยส่วนกลาง “THE NEXEN univerCITY”

          - สถาบันวิจัยส่วนกลางแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาสำหรับศูนย์วิจัยของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน

          - นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างศูนย์วิจัยและโรงงานเสร็จสมบูรณ์อีก 4 แห่ง ประกอบด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมถึงโรงงานในสาธารณรัฐเช็ก

          ในวันนี้ เน็กเซ็นไทร์ (Nexen Tire) ผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ได้ทำพิธีเปิดสถาบันวิจัยส่วนกลาง "THE NEXEN univerCITY" ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต


          พิธีเปิดครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน ซึ่งรวมถึงคุณคังบยองจอง ประธานบริษัทเน็กเซ็นไทร์ คุณทราวิส คัง ซีอีโอบริษัทเน็กเซ็นไทร์ คุณซอนคยองชิก ประธานสหพันธ์นายจ้างเกาหลี คุณคังโฮกับ ประธานสมาพันธ์บริษัทในตลาดขนาดกลางของเกาหลี รวมถึงคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยส่วนกลางแห่งนี้

          สถาบันวิจัยส่วนกลาง "THE NEXEN univerCITY" ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาก๊กในกรุงโซล และใช้เงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านวอนในการก่อสร้างตลอดสองปี อาคารนี้มีความสูง 8 ชั้นเหนือพื้นดิน มีชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น และมีเนื้อที่กว่า 57,000 ตารางเมตร โดยเป็นสถานที่สำหรับทำการวิจัยและการยดำเนินการธุรกิจครบวงจร

          พื้นที่ทำงานได้รับการออกแบบให้มีสภาพแวดล้อมแบบเปิดและทันสมัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีสมาธิและทำงานเป็นทีมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภายในสถาบันวิจัยส่วนกลางแห่งนี้ประกอบด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สามารถคาดการณ์และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยาง OE/RE เทคโนโลยี AI และเทคนิคการทดสอบยางเสมือนจริง รวมถึงศูนย์วิจัยสมรรถนะเพื่อประเมินสมรรถนะของยางและรถยนต์ ตลอดจนศูนย์วิจัยวัสดุเพื่อวิเคราะห์วัสดุลงลึกถึงระดับนาโนและมาโคร ซึ่งจะกรุยทางไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่อัจฉริยะกว่าเดิม

          เน็กเซ็นไทร์มีแผนที่จะยกระดับความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา ด้วยการตอบสนองต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศและทั่วโลก นอกจากนี้ สถาบันวิจัยส่วนกลางในมาก๊กแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาสำหรับศูนย์วิจัยของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในเมืองยางซันและเมืองชางเกียงของเกาหลีใต้ รวมถึงในเยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก สหรัฐอเมริกา และจีน

          "THE NEXEN univerCITY" ผสานแนวคิด "Nexen Universe" กับ "City" ที่ประกอบด้วยค่านิยมหลักของบริษัท นั่นคือ ความท้าทาย ความคิดสร้างสรรค์ และความร่วมมือ รวมถึงหลักปรัชญาทางธุรกิจที่สะท้อนความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดและคุณค่าที่บริษัทสามารถบรรลุได้

          ลานหน้าอาคารและพื้นที่สีเขียวบนหลังคาคือส่วนสำคัญของ "THE NEXEN univerCITY" ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรของเน็กเซ็นไทร์ที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการร่วมมือกัน

          ภายนอกของอาคารออกแบบให้เหมือนกับลายของดอกยางรถยนต์เพื่อสะท้อนถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนภายในล็อบบี้มีการติดตั้งจอขนาดยักษ์กว้าง 30 เมตร สูง 7 เมตร เพื่อถ่ายทอดแนวคิดเชิงสร้างสรรค์และเชิงศิลปะของ "THE NEXEN univerCITY" นอกจากนั้นอาคารแห่งนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีการใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบปรับอากาศใต้ดิน และระบบหลังคาเขียวป้องกันความร้อน ส่งผลให้อาคารแห่งนี้ผ่านการรับรองประสิทธิภาพการใช้พลังงานระดับ 1 จากทบวงพลังงานแห่งเกาหลี

          คุณทราวิส คัง ซีอีโอของเน็กเซ็นไทร์ กล่าวว่า "สถาบันวิจัยส่วนกลางในมาก๊กแห่งนี้สะท้อนถึงการเติบโตของเน็กเซ็นไทร์อย่างแท้จริง รวมถึงอัตลักษณ์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าบริษัทใดในโลก เราจะสานต่อบทบาทความสำคัญในระดับโลกเพื่อเพิ่มคุณค่าและพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และสร้างคุณค่าแห่งอนาคตในแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน"

          เน็กเซ็นไทร์อุทิศความสำเร็จของการเปิดสถาบันวิจัยส่วนกลางแห่งนี้ รวมถึงศูนย์วิจัยและโรงงานอีก 4 แห่งทั่วโลก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 77 ปีของการก่อตั้งบริษัทในปีนี้ โดยการขยายศูนย์วิจัยและพัฒนาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา การขยายโรงงานในสาธารณรัฐเช็ก และการเปิดสถาบันวิจัยส่วนกลางในกรุงโซล ถือเป็นการวางรากฐานเพื่อการเติบโตสู่สากลในอนาคต

          เกี่ยวกับ เน็กเซ็นไทร์

          เน็กเซ็นไทร์ เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลก บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2485 และมีสำนักงานใหญ่ในเมืองยางซัน จังหวัดคย็องซังใต้ และในกรุงโซลของเกาหลีใต้ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยางรถยนต์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก โดยร่วมมือกับดีลเลอร์ 491 ราย ใน 141 ประเทศทั่วโลก (ณ เดือนกรกฎาคม 2558) บริษัทมีโรงงานผลิตสามแห่ง โดยอยู่ในเกาหลีใต้สองแห่ง (ยางซันและชางเกียง) และอีกหนึ่งแห่งอยู่ในเมืองชิงเต่า ประเทศจีน ส่วนโรงงานอีกแห่งในเมืองซาเทค สาธารณรัฐเช็ก มีกำหนดเปิดดำเนินงานในปี 2562 ทั้งนี้ เน็กเซ็นไทร์ผลิตยางล้อสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (เอสยูวี) รถบรรทุกขนาดเล็ก-กลาง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการออกแบบที่เป็นเลิศ นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการผลิตยางรถยนต์สมรรถนะสูง (UHP) ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ทั้งยังผลิตยาง OE ป้อนผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลก ในปี 2557 บริษัทผงาดเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายแรกของโลกที่กวาดรางวัลด้านการออกแบบ 4 รางวัลใหญ่สุดของโลกมาครองได้ทุกรางวัล สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nexentire.com

          รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20190430/2451146-1
          คำบรรยายภาพ - ภาพมุมกว้างและภาพลานหน้าอาคาร "THE NEXEN univerCITY" (ที่มา: (C)L2 ARCHIVE)

“พีอาร์นิวส์ไวร์” คว้ารางวัลใหญ่เวที ASEAN PR Conference & PR Excellence Awards จากผลงานในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สื่อสารถึงทั้งโลก

          พีอาร์นิวส์ไวร์ ผู้ให้บริการกระจายข่าวสารและบริการติดตามสื่อชั้นนำของโลก ได้ขึ้นคว้ารางวัล Diamond Award สาขาบริษัทสื่อออนไลน์ยอดเยี่ยมในสายงานประชาสัมพันธ์ (PR) และการสื่อสารประจำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน จากเวที ASEAN PR Conference & PR Excellence Awards ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรม Hilton Kuching รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา

          รางวัล Diamond Award นี้ (ซึ่งเป็นรางวัลระดับสูงสุดจากทั้งหมด 4 ระดับ รวมถึง Gold, Silver และ Bronze) ให้การยกย่องบทบาทของพีอาร์นิวส์ไวร์ ในการสนับสนุนกิจกรรมประชาสัมพันธ์ออนไลน์ที่มีความโดดเด่นในแวดวงการสื่อสารของอาเซียน

          "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยอมรับจากผู้จัดงานอย่าง ASEAN Public Relations Network (APRN) และ Institute of PR Malaysia ต่อความเป็นเลิศของเราในการช่วยให้ลูกค้าในอาเซียน สามารถกระจายเรื่องราวให้กว้างไกลทั่วโลกผ่านการผลิตวิดีโอ ข่าวประชาสัมพันธ์แบบมัลติมีเดีย และการแสดงคลิปวิดีโอกลางแจ้งในสถานที่สำคัญ ๆ เช่นที่ย่านไทม์สแควร์ของมหานครนิวยอร์ก" Mai Anh Le ผู้จัดการประจำเวียดนามของพีอาร์นิวส์ไวร์ กล่าว "นอกจากนี้ เรายังต้องขอขอบคุณลูกค้าที่ได้เลือกใช้บริการด้านการสื่อสารของเรา เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างและโดดเด่นจนได้รับผลตอบรับดีทั้งในและต่างประเทศ"

คุณ Mai Anh Le ผู้จัดการประจำเวียดนามของพีอาร์นิวส์ไวร์ ขึ้นรับรางวัล Diamond Award สาขาบริษัทสื่อออนไลน์ยอดเยี่ยมในสายงานประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร


          การประชุมครั้งนี้มีหัวข้อใหญ่คือ "Communication, Attention, Tactics" และเพื่อให้สอดรับกับสิ่งนี้ จึงได้มีการเชิญวิทยากรผู้ทรงเกียรติ 9 รายจากทั่วโลก ให้เข้ามาร่วมแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์และเคล็ดลับในการสื่อสารของตน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในภูมิภาคอาเซียนที่ทรงพลัง มีความหลากหลาย และเชื่อมโยงถึงกัน อันเป็นภูมิภาคที่ถูกจัดว่าเป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับที่ 6 ของโลก ด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศรวมกันถึง 2.55 ล้านล้านดอลลาร์

          คุณ Mai Anh Le ได้กล่าวอธิบายถึงหัวข้อ "Communication, Attention, Tactics" ให้เห็นภาพยิ่งขึ้นว่า "เวียดนามเป็นประเทศที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 95% รับชมวิดีโอบนมือถือ ขณะที่ 91% ใช้ซอฟต์แวร์ส่งข้อความทางมือถือ และมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นประจำเดือนละ 61 ล้านคน[1] ด้วยเหตุนี้ ชาวเวียดนามจึงนิยมเสพคอนเทนต์แบบ 'on the go' และคอนเทนต์ที่ว่านี้มักถูกแชร์ทั้งบนเครือข่ายส่วนบุคคลและเครือข่ายสาธารณะ ธุรกิจต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องสื่อสารด้วยข้อความมัลติมีเดียที่มีชีวิตชีวา จนได้รับความสนใจและส่งต่อไปอย่างแพร่หลาย พร้อมอาศัยเครือข่ายการกระจายคอนเทนต์ที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด"

          เติบโตในอาเซียน แต่สื่อสารเรื่องราวออกไปทั่วโลก

          อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มียอดการส่งออกเป็นอันดับ 4 ของโลก เป็นรองเพียงสหภาพยุโรป อเมริกาเหนือ และจีนเท่านั้น การเผยแพร่ข่าวสารไปยังช่องทางสื่อระดับโลกจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการเร่งธุรกิจของอาเซียนให้ก้าวไกลในระดับสากล โดยการรวบรวมแหล่งที่มาจากหลากหลายช่องทาง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์และคุณค่าที่ส่งให้กับลูกค้า (ผ่านสื่อ Earned Media) จะเข้ามาสร้างพื้นฐานในโลกดิจิทัล เพื่อให้ว่าที่ลูกค้าต่างให้ความไว้วางใจเมื่อพวกเขาหาข้อมูลบนโลกออนไลน์

          นอกจากนี้ นักข่าวต่างประเทศยังถือเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนการยกระดับความสัมพันธ์ร่วมกับธุรกิจและพีอาร์มืออาชีพ โดยซิชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพีอาร์นิวส์ไวร์ ได้มีการเปิดเผยรายงาน 2019 State of Media Report รายงานดังกล่าวได้ออกสำรวจความคิดเห็นของนักข่าว 1,999 คนว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพีอาร์มืออาชีพเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างตลอดช่วงปีที่ผ่าน ผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 27% มองว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับพีอาร์มืออาชีพนั้นมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8%

          คุณ Royce Shih รองประธานฝ่ายขายและการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของพีอาร์นิวส์ไวร์ กล่าวว่า "เราให้บริการลูกค้าในอาเซียนที่มีความเป็นสากลหลายราย รางวัลนี้สะท้อนให้เห็นว่า โซลูชันการเผยแพร่ข่าวสารและติดตามสื่อที่มีความครอบคลุม บวกกับทีมงานในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถเพิ่มพลังให้กับธุรกิจของชาติในกลุ่มอาเซียน ในการบอกเล่าคุณค่าของพวกเขาสู่ผู้รับสารทั่วโลก"

         เกี่ยวกับพีอาร์นิวส์ไวร์

          พีอาร์นิวส์ไวร์ (PR Newswire) บริษัทในเครือซิชั่น (Cision) (NYSE: CISN) เป็นผู้ให้บริการเผยแพร่ข่าว รวมถึงซอฟต์แวร์และบริการสื่อแบบ Earned Media ชั้นแนวหน้าของโลก ด้วยการใช้ชุดผลิตภัณฑ์การสื่อสารระบบคลาวด์ของซิชั่น บริการของพีอาร์นิวส์ไวร์จึงเปิดทางให้นักการตลาด นักสื่อสารองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์สามารถเจาะจงอินฟลูเอ็นเซอร์หลัก ๆ พร้อมสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงสร้างและเผยแพร่คอนเทนต์เชิงกลยุทธ์ และวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พีอาร์นิวส์ไวร์เพิ่มพลังให้กับเรื่องราวข่าวสารของทุกองค์กรทั่วโลก ด้วยการผนวกรวมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในการเผยแพร่คอนเทนต์หลายวัฒนธรรมและหลายช่องทาง เข้ากับแพลตฟอร์มและเครื่องมือการทำงานที่มีความครอบคลุม พีอาร์นิวส์ไวร์ให้บริการลูกค้าหลายหมื่นรายผ่านทางสำนักงานที่กระจายอยู่ในอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.prnasia.com

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
          PR Newswire's Asia Marketing Team
          โทร: +852 2572 8228
          อีเมล: asia.marketing@prnasia.com

          [1] Digital 2019 Vietnam, We Are Social.

Nexen Tire Announces the Grand Opening of 'THE NEXEN univerCITY', Nexen Central Research Institute

          - Company's central research institute to act as an R&D hub for its global centers in the U.S., Europe, China

          - Completed four major facilities including R&D centers in Europe and the U.S. as well as the plant in the Czech Republic

          Nexen Tire, a leading global tire manufacturer, announced that it held the grand opening ceremony of 'THE NEXEN univerCITY' that is expected to be the driving force for future growth on Tuesday April 30, 2019.

          The grand opening ceremony was attended by more than 300 people, including Nexen Tire Chairman Kang Byeong Jung, Nexen Tire Global CEO Travis Kang, the Chairman of Korea Employers Federation Sohn Kyung Shik, the Chairman of Federation of Middle Market Enterprise of Korea Kang Ho Gab, executives and staff members of Nexen Central Research Institute.

          Located at the Magok Industrial Complex in Seoul, Nexen Tire invested KRW 200 billion over two years to develop 'THE NEXEN univerCITY' -- a building over 57,000 square-meters with eight floors above and two floors underground -- that includes research and business complexes.

          The workspace has been designed as an open innovation environment to maximize concentration and teamwork. To help pave the way for smarter technology, various facilities include a research and development (R&D) center that can predict and implement optimal performances such as OE/RE product manufacturing, AI technology and virtual tire technique, a performance research center to evaluate the performance of tires and vehicles, and a material research center to analyze diverse nano and macro dimensions on various materials.

          With the establishment of these facilities, Nexen Tire plans to advance its R&D capabilities by responding quickly to the rapidly changing market as well as the particular demands of the local and global automotive industry. Furthermore, the Magok Central Research Institute will act as an R&D hub for its local and global R&D centers that are located in Yangsan, Changnyeong, Germany, the Czech Republic, U.S., and China.

Panoramic view and Courtyard view of 'THE NEXEN univerCITY' (Source (C)L2 ARCHIVE)

          'THE NEXEN univerCITY' combined the concept of 'Nexen Universe' and 'City' that contains the company's core values -- Challenge, Creativity, and Collaboration -- and its business philosophy that displays the infinite possibilities and values that Nexen can accomplish.

          The courtyard and multi-helix green roof is the key space in 'THE NEXEN univerCITY' containing Nexen Tire's corporate culture that focuses on communication and cooperation.

          In addition, the exterior of the facility is materialized with tire tread patterns that defines the industry's attributes. At the lobby, an amazing media wall that is 30 meters wide and 7 meters high, is displayed through a video that represents the creative and artistic concept of 'THE NEXEN univerCITY'. The environment friendly building was designed with a solar power system, a cooling and heating ventilation ground system, and a green rooftop to prevent thermal heat damage that obtained a level 1 building energy efficiency rating certificate from the Korea Energy Agency.

          "The Magok Central Research Institute really defines Nexen Tire's growth DNA and its identity that has advanced quickly than any other company in the world," said Travis Kang, Global CEO of Nexen Tire. "We will carry out a pivotal and global role that will raise the value of the movement, shifting the paradigm in the tire industry by creating new changes and future values that no one has seen before."

          Meanwhile, as this year marks the 77th anniversary of the founding of the Nexen Tire, the company has dedicated the new Magok Central Research Institute and completed the establishment of four global facilities. Since the new expansion of the R&D centers in Europe and the U.S. including the operation of the plant in the Czech Republic and the opening of the Magok Central Research Institute in Seoul, Nexen Tire has established infrastructure for the future growth of 'Global Nexen'.

          About Nexen Tire

          Nexen Tire, established in 1942, is a global tire manufacturer headquartered in Yangsan, South Gyeongsang Province, and in Seoul, South Korea. Nexen Tire, one of the world's fastest growing tire manufacturers, works with 491 dealers based in 141 countries around the world (as of July 2015) and owns three manufacturing plants -- two in Korea (Yangsan and Changnyeong) and one in Qingdao, China. Another plant in Zatec, Czech Republic will be operational by 2019. Nexen Tire produces tires for passenger cars, SUVs, and light trucks with advanced technology and excellence in design. The company also focuses on producing UHP tires, which are based on advanced technologies. Nexen Tire supplies OE tires to global car makers in various countries around the world. In 2014, the company achieved a grand slam of the world's top 4 design awards for the first time amongst the various tire makers in the world. For more information, please visit http://www.nexentire.com.

คันทรี่ การ์เด้น ปลื้มโครงการ Forest City ดันโรงงาน IBS ขึ้นแท่นโรงงานพรีแฟบอัตโนมัติเต็มรูปแบบขนาดใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย

          โครงการ Forest City ของบริษัทคันทรี่ การ์เด้น (HK.02007) ได้รับรางวัลในประเทศมาเลเซียเพิ่มอีกหนึ่งรางวัลเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 โดยโรงงาน Industrialised Building System (IBS) Plant ของ Forest City ได้รับการบันทึกลงใน Malaysia Book of Records ขึ้นแท่นเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนก่อสร้างสำเร็จรูป (prefabrication) อัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย


          นาย Baru Bian รัฐมนตรีโยธาธิการของมาเลเซีย ได้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัล และมอบประกาศนียบัตรแก่ Forest City ร่วมกับหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณารางวัล ซึ่งเป็นอีกครั้งในระยะเวลาเพียงสองเดือนที่ Forest City ได้รับรางวัลจากรัฐบาลกลางของมาเลเซีย หลังจากที่ทางโครงการได้รับมอบประกาศนียบัตรจากนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จากการที่โรงงาน IBS ได้มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น และรางวัล Best Sustainable Green Development จากนาย YB Zuraida Kamarudd รัฐมนตรีการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น

          นาย Bian กล่าวในพิธีมอบรางวัลว่า "ผมรู้สึกประทับใจกับโรงงาน IBS ของ Forest City และขอแสดงความยินดีกับโครงการที่ยอดเยี่ยมนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ ทั้งยังเป็นตัวแทนของทิศทางอุตสาหกรรมอีกด้วย เราขอสนับสนุนความพยายามของ Forest City"

          นาย Ng Zhu Hann ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์ของ Forest City กล่าวว่า "รางวัลนี้เป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ Forest City เนื่องจากเป็นอีกครั้งที่ IBS ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลกลาง ทั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของนโยบายที่อยู่อาศัย 2.0 ของรัฐบาลมาเลเซีย รวมถึงแผนริเริ่มว่าด้วยการก่อสร้างระบบอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (BIM) ของกระทรวงโยธาธิการ เราจะสานต่อการปฏิรูปอุตสาหกรรมของมาเลเซียด้วยแนวคิดเหล่านี้ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีไฮเทค และยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมการก่อสร้างในท้องถิ่น"

          ในเดือนสิงหาคม 2560 โครงการเฟสที่ 1 ของโรงงาน IBS ได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ โรงงานแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Forest City กับบริษัท EBAWE จากเยอรมนี และ IMER ของอิตาลี และได้รับการรับรองจากผู้สังเกตการณ์อุตสาหกรรมหลายรายว่าเป็นโรงงานพรีแฟบชั้นนำของเอเชีย โครงการเฟส 1 ขนาด 73,000 ตารางเมตร ได้รับการออกแบบให้มีกำลังการผลิตคอนกรีต 260,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะครอบคลุมพื้นที่ก่อสร้าง 1 ล้านตารางเมตร หรือเทียบเท่ากับอาคารอพาร์ตเมนต์มาตรฐานขนาด 9,000 ห้อง IBS คือผู้นำในเอเชียด้วยกำลังการผลิตสูงสุดจากโรงงานเพียงแห่งเดียว ปัจจุบันโรงงานดังกล่าวสร้างงานมากกว่า 300 ตำแหน่ง และให้การฝึกอบรมวิชาชีพแก่แรงงานที่มีทักษะ ขณะที่เทคโนโลยีขั้นสูงของบริษัทได้รับการยอมรับอย่างมากจากภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง

          โรงงาน IBS ผลิตชิ้นส่วนก่อสร้างที่มีคุณภาพเดียวกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากระบบการผลิตตามมาตรฐานการก่อสร้างระดับสูงสุดของโลก ชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการก่อสร้างและการพัฒนาที่ต่อเนื่องของโครงการ Forest City ตลอดจนลดของเสียในกระบวนการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมปกป้องสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น โดยในฐานะที่เป็นโครงการนำร่องด้านระบบก่อสร้างสำเร็จรูป Forest City ประสบความสำเร็จในการก่อสร้างอาคารอพาร์ตเมนต์ 5 หลังโดยใช้ชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตจากโรงงาน IBS นาย Dzulkefly Ahmad ประธานคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียของการเคหะแห่งรัฐยะโฮร์ ได้เข้าตรวจสอบอาคารอพาร์ตเมนต์ 2 หลังของ Forest City และได้มอบหนังสือรับรองการเสร็จสมบูรณ์ของงานและเป็นไปตามข้อกำหนด (Certificate of Completion and Compliance: CCC) จากรัฐบาลมาเลเซียให้แก่ Forest City

          นอกจากตอบสนองความต้องการด้านการก่อสร้างของ Forest City แล้ว โรงงาน IBS ยังนำเสนอบริการต่าง ๆ แก่โครงการก่อสร้างอื่น ๆ ในท้องถิ่นอีกด้วย

          รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20190429/2448167-1

          คำบรรยายภาพ: นาย Edwin Yeoh หนึ่งในคณะกรรมการ Malaysia Book of Records (ซ้าย) นาย Baru Bian รัฐมนตรีโยธาธิการมาเลเซีย (กลาง) และนาย Wang Anhui ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริหารของ Forest City ร่วมถ่ายภาพหมู่ในพิธีมอบรางวัล

China Jiangsu Grand Canal International Photo Contest invites photographers to contribute

          On April 30, 2019, the "Rhyme of Water" -- Jiangsu Canal International Photo Contest hosted by the Department of Culture and Tourism of Jiangsu Province starts. The contest collects the cultural and tourism photography works of Jiangsu "Canal Village" from photographers around the world.

          Water and Jiangsu seem to be born together. The rhythm of water and the nourishment of water have brought prosperity to Jiangsu.

          Among all the water systems in Jiangsu, Grand Canal, the World Cultural Heritage, is undoubtedly the most powerful witness of human civilization and wisdom. Jiangsu is in the middle of the Grand Canal with many kinds of intangible cultural heritage along the canal, such as Kunqu, Guqin, Suzhou embroidery, brocade, jade carving, block printing, and traditional wood structure skills.

          Where there is water, there are people; where there are people, there are life and stories.

          The photos need to reflect the cultural traditions, folk customs, scenery and tourism development of the canal towns in Jiangsu. Each contestant can submit up to 6 works, single or group pictures; it should be color digital work. The size requires a pixel length of 1600-3000, with JPEG format. The resolution should be 300 dpi. The size of a single electronic file is 1.5 MB-5MB; PS and other processing changes to the original image are forbidden; the name of the work shall not display the author's name, nickname or logo, etc., and shall not be watermarked; the work shall be accompanied by the basic information of the contributor (real name, contact information, etc.) and basic description of the work (place, time, work name).

          The bonus is up to 5,000 yuan (including tax).

          The e-mail address is wonderful_js@163.com, and the submission deadline is May 15, 2019.

          For more information please click: http://t.cn/ESVH78D

          SOURCE: The Department of Culture and Tourism of Jiangsu Province

          AsiaNet 78507

โรงแรม Burj Al Arab Jumeirah คว้าตัว 3 เชฟคนดังร่วมงาน

          Jumeirah Group สานต่อพันธกิจในการก้าวขึ้นเป็นแบรนด์โรงแรมหรูชั้นนำระดับโลก ด้วยการเดินหน้าสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารอันเหนือระดับ



          รับชมข่าวในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ https://www.multivu.com/players/uk/8537451-celebrity-chefs-join-burj-al-arab-jumeirah/

          ด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอประสบการณ์อาหารที่ไม่เหมือนใคร โรงแรมหรูระดับโลก Burj Al Arab Jumeirah จึงประกาศคว้าตัว 3 เชฟคนดังมาเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารดัง 10 แห่งในเครือ โดยเชฟทั้งสามประกอบด้วย Francky Semblat, Kim Joinie-Maurin และ Kasper Kurdahl ซึ่งครองมิชลินสตาร์รวมกัน 7 ดวง

          ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางโรงแรมได้จ้าง Michael Ellis มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการทำอาหาร โดยเขาเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Michelin Guide

          Francky Semblat และ Kim Joinie-Maurin เป็นลูกศิษย์ในโรงเรียนทำอาหารของเชฟ Joel Robuchon ขณะที่ Kasper Kurdahl เคยทำงานกับเชฟระดับตำนานหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือเชฟ Roger Souvereyns ทั้งนี้ เชฟทั้งสามคนจะเข้ามาสร้างความแปลกใหม่ให้กับการรับประทานอาหารที่โรงแรม Burj Al Arab Jumeirah

          เชฟ Francky ทำงานที่ร้านอาหาร Al Muntaha ส่วนเชฟ Kim ทำที่ร้าน Sky View ขณะที่เชฟ Kasper ทำที่ร้าน Al Mahara

          Anthony Costa รองประธานประจำภูมิภาคของ Jumeirah Group และกรรมการผู้จัดการโรงแรม Burj Al Arab ผู้แต่งตั้งเชฟทั้งสามคน กล่าวว่า "ผมรู้สึกยินดีที่ได้ให้การต้อนรับเชฟ Kasper เชฟ Francky และเชฟ Kim สู่โรงแรม Burj Al Arab ประสบการณ์ของทั้งสามคนในการทำงานกับร้านอาหารชั้นนำระดับโลก รวมถึงภูมิหลังที่หลากหลายและความเป็นผู้ประกอบการ จะกรุยทางไปสู่โลกของการทำอาหารอันแสนวิเศษ"

          โรงแรม Burj Al Arab Jumeirah ตั้งใจมอบประสบการณ์อาหารเหนือระดับให้แก่แขกของโรงแรม ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ Jumeirah Group ในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า โดย Jose Silva ซีอีโอของ Jumeirah Group กล่าวเสริมว่า "เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทั้งสามสู่โรงแรมของเราในดูไบ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอสิ่งที่ทันสมัยและหลากหลายยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมสินค้าและบริการหรู นอกจากนี้ อาหารที่หลากหลายในดูไบจะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่มาเที่ยวชมงาน Expo2020 ในปีหน้า และเราพร้อมต้อนรับนักกินจากทั่วโลกด้วยร้านอาหารมากกว่า 60 ร้านในดูไบ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ลูกค้าและประสบการณ์อาหารอันน่าตื่นตาตื่นใจอีกมากมายที่เราจะประกาศในอนาคตอันใกล้นี้"

          วิดีโอ: https://www.multivu.com/players/uk/8537451-celebrity-chefs-join-burj-al-arab-jumeirah/

Three Celebrity Chefs Join the Iconic Burj Al Arab Jumeirah

          Further to Jumeirah Group's recent announcements to pursue its position as a leading international luxury hospitality brand, the group is further securing its prominence in the art of elevated dining experiences.



          To view the Multimedia News Release, please click: https://www.multivu.com/players/uk/8537451-celebrity-chefs-join-burj-al-arab-jumeirah/

          With a focus on delivering culinary sensations like no other, The Burj Al Arab Jumeirah, a well-known global icon, is proud to announce three new chefs to the group's current collection of ten celebrity restaurants; Francky Semblat, Kim Joinie-Maurin and Kasper Kurdahl, celebrating a combined total of 7 Michelin stars at their most recent culinary appointments.

          The news follows the recent milestone recruitment of Michael Ellis as Chief Culinary Officer, the former Managing Director of the Michelin Guide.

          Whilst Francky Semblat and Kim Joinie-Maurin are both proteges of the famed Jo?l Robuchon's school of excellence, Kasper Kurdahl worked alongside culinary legends like Roger Souvereyns. All three chefs add a unique touch to the dining scene at Burj Al Arab.

          The hotel's Al Muntaha restaurant welcomes Chef Francky and Sky View restaurant Chef Kim, whilst Chef Kasper joins Al Mahara restaurant.

          Anthony Costa, Regional Vice President of Jumeirah Group and Managing Director of Burj al Arab, who appointed the three celebrity Chefs said:

          "I am thrilled to be welcoming Chefs Kasper, Francky and Kim to Burj Al Arab. Their experience at some of the world's best restaurants coupled with their diverse backgrounds and entrepreneurial adventures will pave the path to a wonderful gastronomic journey."

          The Burj Al Arab Jumeirah aims to create elevated dining experiences for its guests, in line with Jumeirah Group's continued focus on raising the bar in the experience economy. Jose Silva, Jumeirah Group's CEO added: "We are very proud to announce the arrival of three new culinary experts at our flagship hotel in Dubai. This appointment reveals the start of a more diversified and innovative culinary offering, in addition to our continued focus on the guest experiences, which is a core element of the luxury industry. Dubai's diverse culinary scene will be a delight for Expo2020 visitors next year, and with over 60 restaurants in Dubai, we are ready to welcome its epicurean guests. This is the start of several other exciting culinary and customer experiences we plan to announce in the near future."

Country Garden Forest City's IBS honoured as the largest fully automated pre-fab construction facility in Malaysia

          Country Garden's (HK.02007) Forest City received another award in Malaysia on April 25, 2019. The city's Industrialised Building System (IBS) Plant entered the Malaysia Book of Records as the largest fully automated prefabrication facility in Malaysia.


          Malaysian Minister of Works Baru Bian attended the award ceremony and, in concert with one of the award judges, presented the certificate to Forest City. Following receipt of a certificate from Malaysia's Prime Minister Mahathir Mohamad for the facility's contribution to the local economy and IBS' Best Sustainable Green Development award presented by Housing and Local Government Minister YB Zuraida Kamarudd, Forest City was again recognized by the federal government within just two months.

          Mr Bian commented at the event, "I was impressed by Forest City's IBS. Congratulations to this excellent project, which is the pride of the country, while being highly representative of the direction of the industry. We support these efforts by Forest City."

          Forest City director of strategy Ng Zhu Hann said, "It's an encouragement for Forest City, as IBS wins another recognition from the federal government. Through understanding the intent of housing policy 2.0 put in place by the Malaysian government and the Ministry of Works' initiatives on the industrialisation of construction and on building information modelling (BIM) technology, we will continue to contribute to the industrial transformation of Malaysia based on these concepts, providing high-tech technology transfer, while improving the local construction industrial chain."

          In August 2017, phase I project of the IBS plant, co-built by Forest City, Germany-based EBAWE and Italy-based IMER, and noted by many industry watchers as the leading such facility across Asia, was formally put into operation. The 73,000-square-metre phase 1 project, with a designed annual capacity of 260,000 cubic metres of concrete, is enough to cover a construction area of 1 million square metres, equivalent to some 9,000 residential units a typical apartment building. IBS is the leader in terms of the capacity of a single facility in Asia. The facility currently provides over 300 jobs and offers professional training to skilled workers. Its advanced technologies have received substantial notice across the area's construction sector.

          Backed by a production system based on the world's highest construction standards, the same-quality components can contribute to the continued construction and development of Forest City, reducing any waste in the process of the completion of real estate projects while protecting the local environment. As a pilot project in modular assembly building, Forest City has already successfully completed the construction of five apartment buildings with components manufactured by the IBS plant. Johor State Housing, Communication and Multimedia committee chairman Dzulkefly Ahmad undertook an inspection tour of two apartment buildings which had been delivered by Forest City and presented the property developer with the Malaysian government Certificate of Completion and Compliance (CCC).

          In addition to meeting the construction demands of Forest City, the services of the IBS plant will be offered to other local construction projects.



Monday, April 29, 2019

อีลี่ บริษัทนมยักษ์ใหญ่จากจีน คาดรายได้ปี 62 ทะลุ 9 หมื่นล้านหยวน

          บริษัท อินเนอร์ มองโกเลีย อีลี่ อินดัสเทรียล กรุ๊ป จำกัด หรือ อีลี่ (600887.SH) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ของโลก คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทมีแนวโน้มพุ่งทะลุ 9 หมื่นล้านหยวนในปี 2562

          รายงานที่บริษัทเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า บริษัทมีรายได้ 2.313 หมื่นล้านหยวน (ราว 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในไตรมาส 1/2562 เพิ่มขึ้น 17.1% เมื่อเทียบรายปี และมีกำไรสุทธิ 2.28 พันล้านหยวน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าว นักวิเคราะห์เชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2562 หลังจากที่ทำรายได้ไป 7.96 หมื่นล้านหยวนในปี 2561

          ข้อมูลสถิติดัชนีผู้บริโภคของบริษัท กันตาร์ เวิล์ดพาแนล เผยให้เห็นว่า อีลี่ครองส่วนแบ่งในตลาดจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 25.6% และมีอัตราการเจาะตลาด 64.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างมาก

          คุณผาน กัง ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานกลุ่มบริษัทอีลี่ ระบุว่า การเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่องของบริษัทเป็นผลพวงมาจากกลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง โดยนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์นมแล้ว บริษัทยังเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพอีกหลายประเภท เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและสร้างค่านิยมใหม่ๆ ผ่านการบูรณาการทรัพยากรทั่วโลกทั้งในด้านอุตสาหกรรม ตลาด และนวัตกรรม

          เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อีลี่ได้ลงนามข้อตกลงแบบมีเงื่อนไขกับบริษัท เวสต์แลนด์ โคออปเปอเรทีฟ แดรี่ จำกัด จากนิวซีแลนด์ ซึ่งเปิดทางให้อีลี่เข้าซื้อหุ้น 100% จากผู้ถือหุ้นของเวสต์แลนด์ และเข้าบริหารกิจการของบริษัท

          ทีมนักวิเคราะห์จากบริษัท เกรทวอลล์ ซีเคียวริตี้ส์ กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะทำให้อีลี่เข้าถึงแหล่งน้ำนมคุณภาพเยี่ยมในนิวซีแลนด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอีลี่ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์อันหลากหลายของเวสต์แลนด์ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์โปรตีนนมและผลิตภัณฑ์เนย จะช่วยสนับสนุนอีลี่ในการขยายธุรกิจใหม่ๆ

          อีลี่วางเครือข่ายทรัพยากรทั่วโลกครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชีย ยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย ทั้งยังมีแบรนด์ในเครือมากกว่า 20 แบรนด์ โดยมี 3 แบรนด์ที่มียอดขายมากกว่า 1 หมื่นล้านหยวนต่อปี และมี 11 แบรนด์ที่มียอดขายมากกว่า 1 พันล้านหยวนต่อปี

นครหางโจวเตรียมจัดงานเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่นนานาชาติ สะท้อนเรื่องราวแห่งโลกตะวันออก

          เมืองหางโจวในภาคตะวันออกของจีน ได้รับสมญานามว่าเป็น "นครแห่งความรัก" ของประเทศจีน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เกิดเรื่องราวตราตรึงใจมากมาย เช่น "Liang Zhu" ซึ่งถือเป็นตำนาน "โรมิโอและจูเลียตแห่งโลกตะวันออก" ขณะเดียวกัน หางโจวยังมีอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและเศรษฐกิจดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนามากที่สุดในจีน ซึ่งด้วยความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและองค์ประกอบของเรื่องราวต่าง ๆ ดังกล่าว ประกอบกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำยุคที่สุด ตลอดจนการมีศิลปินวัยรุ่นและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก จึงทำให้หางโจวกลายเป็น "นครแห่งการ์ตูนและแอนิเมชั่น" ที่มีสไตล์เฉพาะตัว การพัฒนาวงการการ์ตูนและแอนิเมชั่นส่งผลให้เมืองหางโจวแห่งนี้สามารถสะท้อนพลังแห่งความคึกคักและมีชีวิตชีวาด้วยความหลากหลายที่มากขึ้น

          หางโจวได้เริ่มจัดงานมหกรรม "การ์ตูนและแอนิเมชั่น" มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 โดยจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมงานนี้เป็นจำนวนถึง 16.2 ล้านคน และสำหรับในปีนี้ หางโจวมีกำหนดจัดงานเทศกาล ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ตูน แอนด์ แอนิเมชั่น เฟสติวัล ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคมนี้ ซึ่งบริษัทดิสนีย์ และบริษัทโซนี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จากสหรัฐ เว็บตูน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการ์ตูนที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ตลอดจนบริษัทการ์ตูนและแอนิเมชั่น องค์กรต่าง ๆ และแขกผู้ร่วมงานจาก 86 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก จะเดินทางมาที่เมืองหางโจวเพื่อร่วมงานนี้ ซึ่งถือเป็นงานมหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชั่นระดับชาติเพียงงานเดียวในประเทศจีน ทั้งยังเป็นงานเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่นที่ใหญ่ที่สุด ได้รับความนิยมมากที่สุด และทรงอิทธิพลที่สุดของโลกอีกด้วย

          การโคจรมาพบกันระหว่างเมืองหางโจวกับการ์ตูน&แอนิเมชั่นนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ

          "The White Snake Enchantress" ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสีเรื่องยาวเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของญี่ปุ่น ออกฉายในปี พ.ศ. 2501 และใน 60 ปีต่อมา ทีมผู้สร้างภาพยนตร์จากจีนก็ได้เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นฉบับดั้งเดิมเรื่อง "White Snake" ซึ่งทั้งสองเรื่องสร้างจากตำนานที่ชาวจีนทุกคนรู้จักกันดี และเนื่องจากเหตุการณ์ของเรื่องอยู่ในเมืองหางโจว ฉากและสถานที่สำคัญส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงผูกพันกับชีวิตของชาวเมืองหางโจวมาตลอดหลายพันปี

          และเนื่องจากเป็นการโคจรมาพบกันในรอบกว่าครึ่งทศวรรษ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ต่างกวาดคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ผ่านการแสดงองค์ประกอบแบบตะวันออกที่สวยงาม และงานผลิตที่ทันสมัย ตำนานรักแห่งโลกตะวันออกโบราณเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์แอนิเมชั่นในเวลาที่แตกต่างกัน โดยบอกเล่าให้โลกรู้ถึงความงามและเสน่ห์ของ "the Little Mermaid" เวอร์ชั่นจีน ที่เกิดขึ้นในหางโจว

          อุตสาหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชั่นถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่มีอนาคตสดใสที่สุดของจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

          ในปี 2548 หางโจวจัดงานไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ตูน แอนด์ แอนิเมชั่น เฟสติวัล ขึ้นเป็นครั้งแรก และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หางโจวก็ได้เป็นสถานที่จัดงานถาวรสำหรับมหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชั่นระดับชาติงานเดียวของจีน พร้อมกับสร้าง "หางโจว โมเดล" สำหรับอุตสาหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชั่นของจีน ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยการออกนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชั่นอย่างต่อเนื่อง หางโจวได้ดึงดูดบริษัทและผู้สร้างการ์ตูนและแอนิเมชั่นชั้นยอดจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาดำเนินธุรกิจในหางโจวเป็นจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้ บรรดานักเขียนการ์ตูนและผู้สร้างแอนิเมชั่นของจีนจึงได้เริ่มภารกิจผลิตเรื่องราวและแบรนด์การ์ตูนและแอนิเมชั่นสัญชาติจีน

          หลิว เจียน นักเขียนการ์ตูนชาวจีน ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในงานประกาศรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส ประจำปี 2561 ซึ่งเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลออสการ์ ในฐานะผู้กำกับแอนิเมชั่นชาวจีน

          "ตามความเห็นของผม ภาพยนตร์ที่ดีต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และต้องแสดงโลกทัศน์ที่ดีด้วยเรื่องราวที่ดี" โดยในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทีมงานของหลิว เจียน พร้อมด้วยคณาจารย์และนักศึกษาได้สร้างผลงานแอนิเมชั่นเรื่อง "Liangzhu" ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของวัฒนธรรมเหลียงจู้ ผ่านทางองค์ประกอบต่าง ๆ ของอารยธรรมที่มีอายุยาวนานกว่า 5,000 ปี เช่น เขื่อน กำแพง หยก และการออกแบบ Taotie (สัตว์ในตำนานจีน)

          บรรดาผู้สร้างแอนิเมชั่น ซึ่งเกิดและเติบโตในเมืองวัฒนธรรมโบราณแห่งนี้ ต่างให้คำมั่นที่จะแสดงมรดกทางวัฒนธรรมที่ลุ่มลึก รวมทั้งนำเสนอความงามของโลกตะวันออก ผ่านทางการ์ตูนและแอนิเมชั่น และเนื่องจากความรุ่งโรจน์ของวงการการ์ตูนและแอนิเมชั่น บรรดาผู้สร้างภาพยนตร์จากต่างประเทศจึงหาทางร่วมมือกับจีน เพื่อสำรวจวัฒนธรรมจีนและคว้าโอกาสที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของจีน

          คุณมาร์ค แฮนด์เลอร์ กรรมการผู้จัดการของดิสนีย์ ประเทศจีน ได้แบ่งปันประสบการณ์การสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของดิสนีย์ "Stitch & Ai" (An Ling and Stitch) ในงาน ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ตูน แอนด์ แอนมิชั่น เมื่อปี 2560 โดยแทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่ทิวทัศน์ที่สวยงามของหวงซาน ทีมงานกลับเจาะลึกพื้นที่ในชนบทเพื่อเสาะหาเรื่องราวต่าง ๆ ของจีน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของจีน อาทิ เขาหวงซาน (Huangshan) หมู่บ้านซีตี้ (Xidi) และหมู่บ้านหงชุน (Hongcun) ในมณฑลอันฮุยทางใต้ของจีน

          ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเป็นภาษาและวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดไปทั่วโลก โดยคุณเซียะ เหยียน ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน กล่าวเมื่อหลายปีก่อนว่า "ภาพยนตร์เรื่องแรก ๆ ของจีนที่ออกฉายไปทั่วโลกแท้จริงแล้วคือการ์ตูน ซึ่งหลังจากที่สร้าง "เมืองแห่งการ์ตูนและแอนิเมชั่น" ของจีนมาร่วม 15 ปี บัดนี้หางโจวกำลังส่งเสียงของจีนออกไปทั่วโลก และเล่าเรื่องราวอันน่าหลงใหลแห่งโลกตะวันออกในรูปแบบของการ์ตูนและแอนิเมชั่น

          ที่มา: The Office of China International Cartoon & Animation Festival

งานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 125 ดึงดูดลูกค้าทั่วโลกด้วยสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพ


งานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 125 ดึงดูดลูกค้าทั่วโลกด้วยสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพ

          งานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกของจีน หรือแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 125 ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว โดยในเฟสที่ 2 ของงานมีการจัดแสดงอุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องครัว, เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการดูแลสุขภาพและความงาม, อุปกรณ์ใช้งานในห้องน้ำ และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงจากกว่า 3,600 บริษัท ซึ่งตั้งใจขนทัพสินค้าสุดไฮเทคจากการออกแบบคุณภาพสูงมานำเสนอบนพื้นที่จัดแสดง 150,000 ตารางเมตรในนครกว่างโจว

          ผลิตภัณฑ์เซรามิกและเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนเพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้น

          เทรนด์สำหรับสินค้าในครัวเรือนปีนี้ ประกอบด้วย:

          - นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง พร้อมรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ แฝงด้วยความสนุกสนาน และการออกแบบที่โดดเด่นสะดุดตา ได้กลายมาเป็นปัจจัยในการเพิ่มมูลค่าที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อทั่วโลก

          - สินค้าแนวฮิวแมนเมดที่มาจากธรรมชาติ: ผู้ซื้อต่างให้ความสนใจกับวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น เช่น สินค้าที่ทำมาจากไม้ วัสดุจักสาน และไม้ไผ่ แทนการใช้วัสดุที่เป็นโลหะและพลาสติก

          เทรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์เซรามิกปีนี้ ประกอบด้วย:

          - การใช้ศิลปะเพื่อการตกแต่งที่หลากหลาย

          - คอนเซปต์การออกแบบที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ ด้วยหลักการยศาสตร์สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ดียิ่งขึ้น

          - การกลับมาของดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการออกแบบที่เป็นไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว

          คุณ Jimkin Xie ผู้จัดการทั่วไปของ The Great Wall Aristocratic Family Ceramics Co., Ltd บริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น กล่าวว่า "การออกแบบและหัตถศิลป์คือปัจจัยสำคัญในการแข่งขันกับตลาดนานาชาติที่กำลังเปลี่ยนไป และงานแคนตันแฟร์ก็ช่วยให้เราสามารถดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ ตลอดจนผู้ซื้อที่ต้องการนวัตกรรมที่มีดีไซน์เฉพาะตัว"

          คุณ Liu Quandong รองผู้อำนวยการสำนักงานการต่างประเทศของงานแคนตันแฟร์ กล่าวว่า "ธุรกิจอุปโภคบริโภคทั่วโลกต่างกำลังเตรียมการรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ซึ่งหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์คุณภาพสูงจากผู้ผลิตที่ทุ่มเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากันมากขึ้น และเราก็ยินดีที่ได้เห็นตลาดหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมเพื่อมอบแก่ผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ใช้งานโดยตรง"

          คุณ Lui ยังเสริมต่อไปว่า "แนวโน้มเช่นนี้บ่งชี้ว่าบริษัทผู้ผลิตต่างพยายามแสดงสมรรถภาพในการผลิตสินค้าลักษณะเฉพาะเพื่อตอบสนองเทรนด์ดังกล่าว"

          กลุ่มเป้าหมายผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพและความงาม

          โซนจัดแสดงสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพและความงามในปีนี้ ประกอบด้วยเครื่องสำอางและเครื่องประดับสำหรับผิว ผม ช่องปาก และเรือนร่าง โดยคุณ Wu Bin ผู้จัดการทั่วไปบริษัท Hubei Crown Housewares Co., Ltd ผู้ผลิตแปรงสีฟันระดับแนวหน้าของจีน และเป็นหนึ่งในผู้มาร่วมจัดแสดงสินค้าในงานแคนตันแฟร์เปิดเผยว่า กลยุทธ์หลักของบริษัทคือการยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ด้วยการแนะนำสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

          บริษัทในกลุ่มนี้ต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รูปแบบ และสีสันที่หลากหลาย ซึ่งสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดที่แตกต่างกัน อีกทั้งบริษัทเหล่านี้ยังเน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย จึงมีการออกไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มย่อย อย่างเช่นอุปกรณ์ความงามสำหรับครอบครัว ตลอดจนผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผม และช่องปากระดับพรีเมียมในงานนี้ด้วย

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: http://www.cantonfair.org.cn/en/index.aspx



Dow Wins Two Prestigious 2019 Ringier Plastics Technology Innovation Awards





          - New PACACEL(TM) solvent-less adhesive and TUNABLE hand-wrap recognized for innovation and sustainability impacts

          Dow (NYSE: Dow) has been awarded two innovation awards in the Plastics Raw Materials & Additives category at the 2019 Ringier Plastics Technology Innovation Awards. Dow's new solvent-less adhesive, PACACEL(TM) 968/C-108 and TUNABLE hand-wrap products were among several innovations recognized at the awards.

          As part of Dow's 2025 Sustainability Goals, the company has pledged to help lead the transition to a sustainable planet and society with new innovative solutions that promise to minimize waste, increase product shelf-life and reduce material usage. Both of Dow's technologies recognized at the awards are designed to help meet these goals.

          "We are serious about our commitment to sustainability. Through breakthrough innovations like PACACEL(TM) adhesive and TUNABLE hand-wraps which result in less wastage, damage and contamination in the packaging process while complying with high testing standards, we are honoured to be recognized for our efforts in sustainability," said Bambang Candra, commercial vice-president for Dow's Packaging and Specialty Plastics business in Asia Pacific.

          PACACEL(TM) 968/C-108 -- The new sustainable standard for flexible packaging

          Conceptualized as a game-changing, eco-friendly solution, PACACEL(TM) enters the market at a time where climate change, and environmental consciousness governs business conversations and profit margins. As a solvent-less adhesive, PACACEL(TM) promises to reduce the amount of volatile organic compounds (VOCs) in the environment. The solution offers applications in medium and high performance segments which are generally dominated by solvent based adhesives which in turn have higher VOCs. PACACEL(TM) brings unparalleled speed, versatility, savings and efficiency to the flexible packaging process.

          "PACACEL(TM) 968/C-108 is an innovative solution specially developed for the flexible packaging market, providing improved operational efficiency and saving more than 30% of application costs compared with traditional solvent-based adhesives. With excellent chemical and heat resistant qualities, it can be used widely in various applications such as personal care products, seasoned food items, standing and heavy-duty packaging," said Hou Peimin, Deputy Secretary General, Shanghai Plastics Industry Association.

          TUNABLE Hand-wrap -- More strength and shelf life utilizing less material

          Utilizing a unique combination of proprietary DOWLEX(TM) Polyethylene linear low-density polyethylene (LLDPE) and LDPE Resins, Dow has produced a stretch cling hand-wrap film solution that has a "tunable" stiffness. The solution offers film extrusion at thin gauge (below 10 microns) on standard and fast cast stretch lines while delivering higher wrapping efficiency compared to conventional thick film.

          "TUNABLE Hand-wrap is a game-changing innovation. The solution provides a technical advantage for the cargo packaging industry with its cost effectiveness and sustainable development," said Zheng Zheng, President of China Synthetic Resin Association.

          The 2019 Ringier Plastics Technology Innovation Awards further validates the industry recognition received by Dow's Packaging & Specialty Plastics business over the years, adding on to recent accolades -- the 2019 Edison Awards for Breakthrough Technologiesand the 2018 R&D 100 Awards from R&D Magazine for ENGAGE(TM) PV Polyolefin Elastomers and Tenter Frame Biaxially Oriented Polyethylene (TF-BOPE) film.



Dairy giant Yili's revenue likely to top RMB90 billion in 2019


          Inner Mongolia Yili Industrial Group Co., Ltd. (600887.SH), one of the world's leading dairy producers, is expected to see revenue surpass 90 billion yuan by the end of 2019.

          According to a report released recently by the company, its revenue reached 23.13 billion yuan (about 3.4 billion U.S. dollars) in the first quarter of 2019, up 17.1 percent year on year, with net profits of 2.28 billion yuan. Based on the data, analysts believe that the group, after registering revenue of 79.6 billion yuan in 2018, is likely to see a much higher growth in the total year of 2019.

          Yili has steadily increased its market share to 25.6 percent in China, with a market penetration rate of 64.3 percent, much higher than the industry average, according to the consumer index statistics from Kantar Worldpanel.

          Pan Gang, chairman of the Board and President of the group, attributed the sustained high growth performance to its strategy of healthy ecosystem construction. Not restricted to the dairy industry, Yili has become a leading multi-category organic products distributor in the health food field, determined to promote healthy lifestyles with new values by integrating global resources of industry, market and innovation.

          In March, the group signed a conditional agreement with New Zealand's Westland Co-operative Dairy Company limited, which enables the former to purchase 100 percent the shares of Westland's existing shareholders and take over operation of the company.

          Analysts at Great Wall Securities said that the acquisition will enable Yili to master high-quality, stable New Zealand milk sources, thus further enhancing Yili's core competitiveness. In addition, Westland's broad product range, including milk protein products and butter products, will help Yili further expand its new businesses.

          Yili has built a global resource network covering developed dairy regions in Asia, Europe, America and Oceania, and has owned more than 20 sub-brands, among which, 3 brands have annual sales income of over 10 billion yuan, and 11 brands of more than 1 billion yuan.

125th Canton Fair Delivers Upgrade in Lifestyle to Global Customers

          Phase 2 of the 125th China Import and Export Fair (Canton Fair) has exhibited kitchen essentials, personal care appliances, bathroom products and pet supplies from more than 3600 companies across 150,000 square meters of exhibition space in Guangzhou. The exhibition demonstrates a lifestyle that matches high-tech elements with high-quality design.


          Household and Ceramics Products with improved User Experience

          Trends for household items buyers this year include:

          - Functional innovation married with unique, fun and eye-catching designs is fast becoming an essential value-added element for global buyers.
          - Human-made vs natural: Buyers are increasingly looking for eco-friendly raw materials such as wood, wicker reeds and bamboo to replace metals and plastics.

          Ceramics products supplier trends include:

          - The incorporation and use of diverse decorative art.
          - Humanized design concepts with integrated ergonomics for improved daily use.
          - A revival of cultural heritage designs for a more distinctive lifestyle.

          "Design and craftsmanship are key for us to compete in a changing international market," said Jimkin Xie, General Manager of The Great Wall Aristocratic Family Ceramics Co., Ltd, a Shenzhen listed ceramics company, "Canton Fair helps us attract international attention and connect with buyers looking for unique design innovations."

          "Global consumer business is looking to meet the fast-paced change in consumer demand for higher quality lifestyle products with greater investment in R&D," said Liu Quandong, Deputy Director General of Foreign Affairs Office of Canton Fair, "We are pleased to see this shift in focus to more creative and innovative products for end-consumers."

          "These trends indicate that companies are showing the capability to provide customized production as a response," added Liu.

          Personal Care Target Market Segments

          The personal care exhibition zone showcases cosmetics and accessories for skin, hair, oral and body care. Wu Bin, General Manager of Hubei Crown Housewares Co., Ltd, a leading Chinese manufacturer of toothbrushes and an exhibitor at the Canton Fair, noted that their core strategy is to improve living standards for consumers by introducing more eco-friendly products.

          Companies in this sector introduce products with multiple quality variations and style and colour options, which can target different market segments. Focusing on meeting the demands of various consumer groups, they are also creating sub-category product lines such as beauty Instruments for family use as well as developing premium skin, hair and oral hygiene care products.

          For more information, please visit: http://www.cantonfair.org.cn/en/index.aspx

          About Canton Fair

          The China Import and Export Fair, also known as the Canton Fair, is held biannually in Guangzhou every spring and fall. Established in 1957, the fair is now a comprehensive exhibition with the longest history, highest level, largest scale and largest number of products as well as the broadest distribution of buyer origins and the highest business turnover in China.



BD เปิดตัวโครงการ PRIME ในเอเชีย มุ่งพัฒนาแนวทางป้องกันการติดเชื้อและความปลอดภัยของยา

          BD (Becton, Dickinson and Company) บริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ชั้นนำของโลก ได้ประกาศเปิดตัวโครงการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ป่วยสำหรับโรงพยาบาลในชื่อ Preventing Risks of Infections and Medication Errors in IV Therapy (PRIME) โครงการใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อจัดการกับปัญหาท้าทายอันดับต้น ๆ 2 ประการที่ปรากฏให้เห็นในโรงพยาบาล นั่นคือการป้องกันการติดเชื้อและความปลอดภัยของยา โดยโครงการ PRIME พัฒนาขึ้นโดยองค์กร Joint Commission International for Patient Safety พร้อมด้วยการสนับสนุนจาก BD


          Dr. Marwa J. Zohdy รองประธานประจำ Global Consulting Services, Joint Commission Resources/Joint Commission International (JCI) กล่าวเกี่ยวกับการที่ JCI ได้ริเริ่มโครงการ PRIME ร่วมกับ BD ว่า "การเตรียมและจัดการยาถือเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยทั่วโลก JCI เล็งเห็นถึงความจำเป็นพื้นฐานในการเพิ่มพูนศักยภาพในเรื่องนี้โดยมีหลักฐานรองรับ ซึ่งโครงการ PRIME อันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ จะเข้ามารองรับความจำเป็นดังกล่าว โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าจาก JCI ร่วมด้วยการสนับสนุนจาก BD ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นหลักสูตรที่ใช้ได้จริงและนำทักษะจำเป็นต่าง ๆ มาใช้"

          แนวทางที่เป็นแผนการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ป่วยอันเป็นเอกลักษณ์นี้ จะมีการดำเนินการเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย ทบทวนความคืบหน้าเป็นประจำ การปรึกษาทางไกลร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญ และจัดเว็บบินาร์อัปเดทข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ โดยโรงพยาบาลต่าง ๆ จะได้รับการรับรองเมื่อสำเร็จโปรแกรมนี้

          คุณ Raymond Chow รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียกลางของ BD กล่าวว่า "การให้ยาผ่านช่องทางต่าง ๆ นั้นนำมาซึ่งปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกลุ่มเกิดใหม่ ที่ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้น เพราะขาดความตระหนักรู้ ขาดมาตรฐาน ไม่มีการประเมินทักษะ และไม่มีการนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ปลอดภัยมาใช้ ทั้งนี้ โครงการ PRIME มีขึ้นเพื่อจัดการปัญหาเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งมักไม่มีผู้พบเห็นเพราะให้ความสำคัญหรือไม่ก็มีความรู้ไม่เพียงพอเกี่ยวกับขั้นตอนในการบริหารจัดการยาอย่างเป็นระบบ"

          PRIME ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22-26 เมษายนที่ผ่านมาในประเทศตามรายชื่อดังต่อไปนี้: เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดีย และนับจนถึงขณะนี้มีโรงพยาบาลชั้นนำเข้าร่วมโครงการนี้แล้วทั้งสิ้น 21 แห่ง

         เกี่ยวกับ BD

          BD เป็นบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์รายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีบทบาทในการส่งเสริมวงการสุขภาพ ด้วยการยกระดับการศึกษาค้นคว้าทางการแพทย์ การวินิจฉัย และการดูแลสุขภาพ BD สนับสนุนผู้มากความสามารถในแถวหน้าของวงการดูแลสุขภาพ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี บริการ และโซลูชันต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับทั้งเทคนิคการรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยและขั้นตอนทางคลินิกสำหรับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพ BD และพนักงานของบริษัทราว 65,000 คน ต่างมีความหลงใหลและความทุ่มเท ในการช่วยยกระดับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการส่งมอบบริการดูแลสุขภาพของผู้เชี่ยวชาญในการรักษา พร้อมเปิดโอกาสให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการสามารถตรวจจับโรคได้ถูกต้องแม่นยำ และส่งเสริมศักยภาพของนักวิจัยในการพัฒนาเทคนิคการวินิจฉัยและรักษาโรคยุคใหม่ BD มีบทบาทในแทบทุกประเทศ โดยมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อจัดการกับประเด็นที่เป็นปัญหาท้าทายวงการสุขภาพระดับโลก นอกจากนี้ BD ยังมีการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อช่วยยกระดับผลลัพธ์ ลดต้นทุน เพิ่มพูนประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และขยายการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BD ได้ที่ bd.com



Best Quotes from HUAWEI CLOUD Summit Singapore on How Cloud + AI Are Injecting Newfound Levels of Intelligence

          From April 24-25, the 2019 HUAWEI CLOUD Summit themed "+AI, Grow with Intelligence" opened in Singapore. Nearly 2,000 partners and subject-matter experts gathered together to discuss how cloud + AI helps industries improve productivity and enterprises achieve their intelligent transformations. Plenty of cases were also shared to demonstrate the benefits of adoption.

          Full-stack innovation to power Singapore's smart blueprint

          AI is the new driver of industrial transformation. Enterprises are all vying for ways to take the lead in the intelligent era. With the development of new technologies, organizations of all types are choosing HUAWEI CLOUD for their cloud computing needs. Song Zhexuan, Chief Strategy Officer of HUAWEI CLOUD, said: "What makes HUAWEI CLOUD different? It is the exceptionally cost-effective cloud infrastructure with an open, intelligent application platform and the full-stack, all-scenario AI portfolio."

          During the event, customers, partners, and subject-matter experts from SAP, Intel, SHAREit, RFCx, NUS, and Cennavi Technologies shared their opinions and practices in digital transformation and AI adoption.

          Sumner Lemon, Regional Director for Digital Transformation and Enterprise Sales Asia-Pacific & Japan Territory, Intel, said: "The blending of traditional business with digital business has resulted in the emergence of a data-driven, digital economy. It is no longer 'business as usual', and organizations are realizing they cannot compete on old infrastructure. Business success now requires IT transformation from the data center to multiple clouds and to the edge."

          Jitu Agrawal, Vice President & GM of Digital Core Cloud SAP South East Asia, said: "The digital era is evolving into the intelligence era, and SAP strategy is to deliver the Intelligent Enterprise through the Intelligent Suite - the right solution for each customer situation."

          Jason Wang, Partner & CBO, SHAREit, said: "On our way to achieve our vision globally, HUAWEI CLOUD has become one of the most trustworthy partners supporting us to deliver satisfaction to our 1.8 billion users."

          During the Summit, Bourhan Yassin, the COO of Rainforest Connection (RFCx), delivered a speech titled "Guardians of the Forest: AI Powered Recycled Cell Phones." Bourhan Yassin said: "With the help of HUAWEI CLOUD AI, we are creating the world's largest soundscape of remote forest capable of detecting multiple calls within endangered species critical to the eco-system: Spider Monkey, Howler Monkey, Amazon Parrot, Orangutan Macaw, Leopard and more…"

          Ooi Beng Chin, Distinguished Professor Department of Computer Science School of Computing, NUS, said: "I am glad that Huawei has launched its cloud services in Singapore. Its presence should facilitate our researches related to the cloud, such as distributed deep learning and Apache SINGA, and promote our healthcare, security, and fintech systems for wider adoption. We look forward to exchanges of research ideas and future collaboration.

          Cennavi Technologies and HUAWEI CLOUD are cooperating in development of Traffic Intelligent Twins TrafficGo. At the summit, Song Huixing, Manager of Base Platform Dept, Cennavi Technologies, stated: "With powerful HUAWEI CLOUD infrastructure and AI, and our MineData platform, we've made progresses in several fields, especially on intelligent transportation, such as AI-based traffic capacity improvement and intelligent traffic management."

          Another crowd fav: the Hands-on Lab!

          The Hands-on Lab in the outdoor experience area allowed event-goers to experience ModelArts - the one-stop AI development platform powered on HUAWEI CLOUD. Developers experienced how quickly they can preprocess, mark, train, build, and deploy data models on the impressive platforming.

          Developers were able to set up a cloud database application in a little as one minute and even operated ModelArts to transform a stock car into a self-driving vehicle in a short time with the on-platform AI capabilities. After the adoption, the car was able to identify such things in the environment as traffic lights, obstacles, and lanes, and was able to follow specific targets.

          HUAWEI CLOUD is committed to building an open, robust ecosystem to power the smart world. The cloud arm offers a unique synergy in its chip-device-pipe-cloud capabilities to create an everybody-wins ecosystem featuring wide-open collaboration. HUAWEI CLOUD is opening up the China ecosystem to the world and bringing the global ecosystem to China as it continues to build the rich platforming for the fully intelligent ecosystem through open-minded cooperation. The HUAWEI CLOUD marketplace has already welcomed over 6000 partners to provide value-added services for customers in the full range of industries. HUAWEI CLOUD will continue to work with partners in promoting intelligent adoptions suited to the Singapore and Asia Pacific regions.



Belt and Road thematic-forum on Digital Silk Road held in Beijing

          The Thematic-Forum on Digital Silk Road of the Second Belt and Road Forum for International Cooperation was held on Wednesday in Beijing.

          The Thematic-Forum on Digital Silk Road was hosted by the NDRC and the Cyberspace Administration of China, co-organized by the Facilitating Center for Building the Belt and Road of the NDRC, China Center for Innovation-Driven Development of the NDRC and the International Cooperation Center (ICC) of the NDRC, and co-sponsored by China Center for Urban Development of the NDRC and the China Economic Information Service of Xinhua News Agency.

          Under the theme of "Co-building 21st Digital Silk Road", the forum brought together more than 200 participants from nearly 30 countries including Cuba, Egypt, France, Serbia, etc.

          During the thematic-forum, government officials and representatives of various international organizations actively introduced their experiences in developing the digital economy.

          More than 15 companies from 8 countries, including ZTE Corporation and Nigerian Television Authority, held a ceremony on exchanging contracts signed on eight new cooperation projects.

          A Chinese-English album focusing on international cooperation on building digital Silk Road, debuted on the thematic-forum.

          Named Digital Tech Lighting the Silk Road, the bilingual album, sourcing from Xinhua Silk Road Database and co-compiled by Department of Innovation and High-Tech Development under the National Development and Reform Commission (NDRC), Bureau of Information Technology Development of Cyberspace Administration of China, and China Economic Information Service of Xinhua News Agency, presents nine cases concerning the building of digital Silk Road, telling the irresistible trend of digital economy development and globalization, people's aspiration for sharing knowledge and technology, as well as good wishes for better life and fast economic development.

          "Digital Silk Road construction calls upon more countries and social efforts' participation and deeper commitment in terms of policy exchanges, dialogues and complementary cooperation," said an official with the NDRC.



Hikvision รายงานผลประกอบการตลอดปี 2561 และไตรมาสแรกปี 2562

          Hikvision ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยสุดล้ำ รายงานผลประกอบการทางการเงินตลอดปี 2561 โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 4.984 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 18.93% เมื่อเทียบรายปี ด้านกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.135 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 20.64%
เมื่อเทียบรายปี

          ในปี 2561 รายได้จากการดำเนินงานในประเทศอยู่ที่ 3.565 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 20.18% เมื่อเทียบรายปี ส่วนรายได้จากการดำเนินงานในต่างประเทศอยู่ที่ 1.419 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15.90% เมื่อเทียบรายปี

          ตลอดปี 2561 Hikvision เดินหน้าขยายธุรกิจในระดับมณฑลอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดบริษัทลูก 5 แห่งในต่างประเทศ และเปิดสำนักงานใหม่อีกหลายสาขา บริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในอนาคต จึงทุ่มลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยขณะนี้มีวิศวกรด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า
16,000 คน และมีพนักงานทั้งหมดเพิ่มขึ้น 31% สู่ระดับ 34,000 คน

          นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จในการเปิดตัวเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และโซลูชันใหม่ๆ เช่น แพลตฟอร์มแบบเปิดเทคโนโลยี AI ที่ช่วยเร่งการใช้งานแอปพลิเคชันอัจฉริยะต่างๆ และกล้องวงจรปิดอัจฉริยะรุ่นใหม่ DarkFighterX ที่จับภาพได้อย่างชัดเจนในที่มืด รวมถึงระบบจดจำใบหน้าที่ช่วยยกระดับการปฏิบัติงานภายในอาคาร การจัดการแรงงาน และการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย

          ในปี 2561 Hikvision เดินหน้าลงทุนในภาคส่วนใหม่ๆ โดยธุรกิจ EZVIZ Smart Home เติบโตอย่างแข็งแกร่งและทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจ HikRobotics ก็เริ่มทำกำไร นอกจากนั้นยังมีการลงทุนในธุรกิจใหม่อื่นๆ เช่น Hikvision Automotive Electronics และ Hikvision Intelligent Storage

          พร้อมกันนี้ Hikvision ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2562 โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 9.94 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 6.17% เมื่อเทียบรายปี ด้านกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.54 พันล้านหยวน ลดลง 15.41% เมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในประเทศ รวมถึงการเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดต่างประเทศ บริษัทจึงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการไตรมาส 2/2562

          เกี่ยวกับ Hikvision

          Hikvision คือผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัย โดยมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีทักษะสูงและมีความรู้กว้างขวาง บริษัทผลิตโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อรองรับตลาดแนวตั้งหลากหลายตลาด นอกเหนือจากอุตสาหกรรมการรักษาความปลอดภัยแล้ว Hikvision ยังขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม และระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของบริษัทอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ของ Hikvision มอบคุณสมบัติการวิเคราะห์ธุรกิจอันทรงพลังให้แก่ผู้ใช้งาน ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประสบความสำเร็จทางการค้ามากขึ้น Hikvision ยึดมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดของผลิตภัณฑ์ จึงสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มากมายที่บริษัทได้นำเสนอ ซึ่งรวมถึงศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของบริษัท สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hikvision.com



PHNIX เปิดตัวเครื่องอบแห้งสินค้าเกษตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประหยัดต้นทุนดำเนินงานสูงสุด 75%

          ข้อมูลจากอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงให้เห็นว่า การขยายตัวของปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในบางประเทศ ส่งผลให้ความต้องการเครื่องอบผักและผลไม้แห้งประหยัดพลังงานเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่ง PHNIX ผู้ผลิตเครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อน (heat pump dryer) ชั้นนำในประเทศจีน ได้ตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยเมื่อต้นปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวเครื่องอบแห้งสินค้าเกษตรแบบปั๊มความร้อนประสิทธิภาพสูง และส่งออกไปยังตลาดยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากที่แต่เดิมนั้น เครื่องอบแห้งรุ่นนี้พัฒนาขึ้นสำหรับตลาดยุโรป เครื่องอบแห้งแบบปั๊มความร้อนนี้มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน และสามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้ถึง 75% จากการเปิดเผยของ Mr. Jab Fan ผู้อำนวยการฝ่าย Heat Pump Drying and House Heating Division ของบริษัท PHNIX


          ขณะที่ Mr. Li Wei ผู้จัดการทั่วไปของ PHNIX กล่าวว่า ผู้ใช้งานจากอินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย ไทย และฟิลิปปินส์ มีความต้องการเครื่องอบแห้งสินค้าเกษตรเป็นอย่างสูง ซึ่งเครื่องอบแห้งแบบปั๊มความร้อนของ PHNIX ประสบความสำเร็จอย่างมากมาแล้วจากการใช้งานในจีน ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ มีพันธมิตรธุรกิจจำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงความสนใจที่จะนำเข้าเครื่องอบแห้งสินค้าเกษตรแบบปั๊มความร้อนของ PHNIIX ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติในการนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ และมีประสิทธิภาพพลังงานสูงด้วยค่า COP 3.8

          เกี่ยวกับ PHNIX Agriculture Heat Pump Dryer

          ใช้งานได้หลากหลาย : เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนของ PHNIX สามารถใช้อบผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก ถั่ว ผลิตภัณฑ์อาหาร และเมล็ดพืช นอกจากนี้ยังสามารถใช้อบอาหารทะเล หรือแม้แต่ไม้ และวัสดุก่อสร้าง

          ประหยัดต้นทุนดำเนินงานได้สูงถึง 75% : เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนของ PHNIX มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องอบแห้งแบบที่ใช้ถ่านหิน เชื้อเพลิง และแก๊ส โดยสามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้สูงถึง 75% ยืนยันจากลูกค้าที่ใช้งานจริง

          นำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ พร้อมด้วยค่า COP 3.8 : เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนของ PHNIX สามารถนำความร้อนจำนวนมากที่ถูกปล่อยทิ้งในระหว่างการลดความชื่นกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยการแลกเปลี่ยนความร้อน โดยมีประสิทธิภาพในการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้สูงกว่า 60% ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานลงได้มากกว่า 60% เมื่อเทียบกับเครื่องอบแห้งและทำความร้อนแบบใช้ไฟฟ้าทั่วไป และมีค่าประสิทธิภาพพลังงานสูงถึง 3.8

          ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ : เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนของ PHNIX ใช้อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิต่อเนื่องอัตโนมัติ เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมสำหรับการอบแห้ง ทั้งยังมาพร้อมจอแอลซีดีขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสร้างกราฟการอบแห้งที่แตกต่างกัน และปรับตั้งค่าการทำงานอย่างเป็นอัจฉริยะด้วยปุ่มเดียว



PHNIX Releases a New Agricultural Heat Pump Dryer with Saving up to 75% on Operating Costs in Southeast Asia

          Information from the agricultural products processing industry in Southeast Asia shows that with the growing scale of high value-added crops in some local countries, the demand for energy-saving drying equipment of fruits and vegetables is also increasing. Since the start of 2019, PHNIX, a leading heat pump dryer manufacture in China, has launched the high-efficiency agricultural heat pump dryer, which was previously developed for the European market and has been exported to Europe and the Southeast Asian market. This heat pump dryer is energy efficient and can save up to 75% on operating costs, according to Mr. Jab Fan, Director of PHNIX Heat Pump Drying and House Heating Division.


          Mr. Li Wei, PHNIX product manager, said that users from Indonesia, Vietnam, India, Thailand, and the Philippines have high demand for agricultural drying equipment. In fact, PHNIX heat pump dryers have many successful applications in China, Europe and Southeast Asia, and more and more Southeast Asian business partners have strong interest in importing new PHNIIX agricultural heat pump dryers with heat recovery and COP 3.8.

          About PHNIX Agriculture Heat Pump Dryer

          Wide range of applications : PHNIX heat pump dryer can be widely used in the drying of agricultural fields, including the drying of fresh fruits, vegetable, nuts, food products, and crop seeds. In addition, the unit can also be used for drying of seafood and even wood and building materials.

          Saving up to 75% on operating costs : PHNIX heat pump dryer is more energy efficient. Compared with coal, fuel and gas drying equipment, it can save operating costs up to 75% according to some customers.

          A unique heat recovery solution with a COP 3.8 : The unit recovers a large amount of waste heat released to the outside during dehumidifying by heat exchange, and the heat recovery efficiency is over 60%, which reduces the power consumption by more than 60% compared with the traditional electric heating and drying equipment. The energy efficiency ratio is as high as 3.8.

          Automatic temperature control : PHNIX heat pump unit adopts self-controlled constant temperature device to ensure reasonable temperature and humidity required for drying. The unit adopts 7-inch industrial liquid crystal display, which sets different drying curves and realizes intelligent management of one-key setting.



DEAC สร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในเมืองริกา ประเทศลัตเวีย พร้อมประกาศหาหุ้นส่วนระยะยาว

          DEAC ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลชั้นนำในยุโรป กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในเมืองริกา ประเทศลัตเวีย และกำลังมองหาองค์กรที่สนใจศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าของร่วมหรือหุ้นส่วนระยะยาวของศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ ทั้งนี้ เมืองริกามีชื่อเสียงด้านศูนย์ข้อมูล เพราะมีศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา มีศูนย์ปฏิบัติการและให้บริการร่วม เป็นศูนย์กลางด้านไอทีและแบคออฟฟิศ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีทักษะสูงมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก

          การสร้างศูนย์ข้อมูลเฟสแรกประกอบด้วยการวางระบบไฟ 4 เมกะวัตต์ และการเตรียมติดตั้ง 400 Server Rack ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่ำ 99.98% สำหรับเงินลงทุนทั้งหมดในการสร้างคาดว่าจะเกิน 10 ล้านยูโร ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้เป็นแห่งที่สามของ DEAC โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้สร้างศูนย์ข้อมูล 2 เมกะวัตต์สองแห่ง ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศกลุ่มบอลติก สหภาพยุโรป และเครือรัฐเอกราช

          สำหรับศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่คาดว่าจะให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรรายสำคัญโดยเฉพาะ หรืออาจเป็นศูนย์ข้อมูลแบ่งใช้งานสำหรับบุคคลที่สาม คุณ Andris Gailitis ซีอีโอของ DEAC กล่าวว่า "การสร้างศูนย์ข้อมูลแบบร่วมลงทุนกำลังได้รับความนิยม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมและมีส่วนในการพัฒนาศูนย์ข้อมูล"

          บริษัทระดับโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีแผนขยายธุรกิจ จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เพื่อนำเสนอคอนเทนต์และข้อมูลไปสู่ผู้ใช้งานปลายทางอย่างรวดเร็ว บริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศลัตเวียที่เร็วเป็นอันดับต้นๆของโลก "ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยโซลูชันไอทีที่เฉพาะเจาะจง ตลอดจนสร้างสมดุลระหว่างรายจ่ายลงทุน (CAPEX) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ปัจจุบัน เราได้รับความสนใจมากขึ้นจากลูกค้าในอังกฤษที่กำลังอยู่ระหว่างการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ลูกค้าต้องการกระจายความเสี่ยงจากแผน Brexit ฉบับ Plan B และเดินหน้าธุรกิจในยุโรปอย่างราบรื่นโดยใช้บริการจากศูนย์ข้อมูลสำรอง" ซีอีโอของ DEAC กล่าวเสริม

          เกี่ยวกับ DEAC

          DEAC คือผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่ในยุโรปเหนือ โดยให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ปลอดภัยแก่ลูกค้าในกว่า 40 ประเทศ DEAC มุ่งมั่นให้บริการศูนย์ข้อมูลครบวงจรและโซลูชันไอทีเฉพาะเจาะจงมาตั้งแต่ปี 2542 บริษัทมีศูนย์ข้อมูลสองแห่งในเมืองริกาซึ่งมี 330 Server Rack และกำลังจะเพิ่มเป็น 730 นอกจากนั้นยังมีจุดบริการในลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต สตอกโฮล์ม อัมสเตอร์ดัม มอสโก และเคียฟ DEAC นำเสนอโซลูชันไอทีเฉพาะเจาะจงที่ช่วยปกป้องธุรกิจและลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการวิเคราะห์ความต้องการทางธุรกิจร่วมกับกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัทนั้นๆ

          วิดีโอ - https://mma.prnewswire.com/media/877949/DEAC_in_Riga_Latvia.mp4

European Data Center (DEAC) in Riga, Latvia Looks for Long-term Partners of New Facility

          As the new data center is being built in Riga, Latvia, DEAC is searching for enterprises interested in large scalable data center capacities with the potential to become the facility's co-owner/long-term partner. Riga is a renowned data center location due to R&D, shared service and operation centers, back office and IT functions' consolidation hub, and home to highly skilled experienced IT professionals.

          The first phase was cabling power supply of 4MW (megawatts), and preparing to set up 400 racks at the new facility. These expect to serve customers with availability at a minimum of 99.98%. Total investments in new data center are planned to exceed 10m EUR. This is the third DEAC facility, which previously developed 2MW datacenters now utilized by Baltics, EU and CIS customers.

          The new data center's resources expect to be used exclusively by key enterprise customers or potentially as a multi-tenant data center for intermediary parties. "Creating data centers as a joint project is becoming a trend. This is a great opportunity to be one of the first, but also to act as co-owner of the new facility and influence developments," said DEAC CEO Andris Gail?tis.

          Fast growing international companies planning to extend business will require closer located IT infrastructure to accelerate content and data delivery to end-users. They can benefit from Latvia's internet infrastructure, one of the fastest in the world. "Increasing data volumes require IT infrastructure expansion, efficiency improvements with tailor-made IT solutions and balance between CAPEX and OPEX. Currently, we have seen higher interest from the UK due to Brexit. They are willing to diversify risks as part of their plan "B" and cover their European operations with services of backup data center," adds A.Gail?tis.

          About DEAC

          DEAC is one of the largest carrier-neutral data center operators in Northern Europe. It provides secure data center services to customers from over 40 countries. Since 1999, DEAC aims to provide complete data center services and individual IT solutions. DEAC operates two physical data centers in Riga with 330 server racks now, set to rise to 730 and POPs in London, Frankfurt, Stockholm, Amsterdam, Moscow and Kiev. DEAC offers a wide range of customized IT solutions that allow business protection and optimal cost reduction by analyzing business needs in accordance with company strategy and its business objectives.

          Video - https://mma.prnewswire.com/media/877949/DEAC_in_Riga_Latvia.mp4

งานจักสานไม้ไผ่จากเมืองเหมยซาน ไฮไลท์เด่นของมหกรรมพืชสวนนานาชาติ ณ กรุงปักกิ่ง

          รัฐบาลจีนประกาศจัดงานมหกรรมพืชสวนนานาชาติ (International Horticultural Exhibition) ระหว่างวันที่ 29 เมษายน ถึงวันที่ 7 ตุลาคม ณ กรุงปักกิ่ง โดยถือเป็นมหกรรมนานาชาติที่มีระดับสูงสุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในจีนในปีนี้

          ผู้จัดงานเปิดเผยว่า มหกรรมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจัดแสดงพืชสวนอันงดงามสู่สายตานักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงผลสำเร็จของการพัฒนาร่วมกันและการบรรลุวิถีชีวิตสีเขียวสู่สายตาชาวโลก โดยมีสวน INBAR Garden ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกในงานนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ

          ไฮไลท์ของสวน INBAR Garden คือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของเมืองเหมยซานอย่างเต็มที่ เมืองเหมยซานตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวนของจีน ห่างจากเมืองเฉิงตู 60 กิโลเมตร เมืองแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของ ซู ตงปอ กวีเอกของจีน นอกจากนั้นยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "ถิ่นกำเนิดของศิลปะการสานไม้ไผ่จีน" และ "เมืองหลวงแห่งการสานไม้ไผ่"

          ในมหกรรมที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Live Green, Live Better" เมืองเหมยซานได้ร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือด้านไม้ไผ่และหวายระหว่างประเทศ (INBAR) จัดอีเวนต์และกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำเสนอบทบาทที่สำคัญและโดดเด่นของไม้ไผ่และหวายในการยกระดับสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คน

          ผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่และหวายกว่า 3,000 รายการจากทั่วโลกได้รับการจัดแสดงในสวน INBAR Garden เช่น โคมไฟไม้ไผ่ ภาพวาดบนไม้ไผ่สาน งานสานไม้ไผ่คลุมเครื่องลายคราม และกระดาษไม้ไผ่ โดยกว่า 70% ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาจากเมืองเหมยซาน

          จูดี้ จู ผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ INBAR กล่าวว่า เมืองเหมยซานได้รับเลือกเป็นพันธมิตรเนื่องจากมีมุมมองที่สดใหม่และเป็นบวกต่อการเปิดกว้าง และเดินหน้าสู่เวทีโลกผ่านอุตสาหกรรมไม้ไผ่

          เมืองเหมยซานเป็นแหล่งไม้ไผ่ที่สำคัญของจีน ไม้ไผ่ในเมืองเหมยซานมีลำต้นยาว มีข้อต่อไม่มาก มีเนื้อไม้ยืดหยุ่นและแข็งแรง จึงเหมาะสำหรับทำงานจักสาน ในปี 2551 เขตฉิงเซิน ซึ่งมีศิลปะการสานไม้ไผ่เหมยซานที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้ร่วมมือกับ Hermes แบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศส โดยได้สร้างสรรค์งานสานไม้ไผ่คลุมเครื่องลายครามให้แก่ Hermes และมีการสานต่อความร่วมมือนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้ งานจักสานไม้ไผ่ของเขตฉิงเซิน รวมถึงงานทอผ้าไหมและงานเย็บปักถักร้อยของมณฑลเสฉวน ได้รับขนานนามว่าเป็น "สมบัติสามประการแห่งมณฑลเสฉวนตอนกลาง" และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภท Geographical Indications ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์กว่า 3,000 รายการใน 25 ประเภท เช่น งานจักสานไม้ไผ่แบบเรียบ งานจักสานไม้ไผ่แบบมีมิติ และงานสานไม้ไผ่คลุมเครื่องลายคราม เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ส่งออกไปยังกว่า 50 ประเทศและดินแดนในยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา เกาหลี และญี่ปุ่น

          งานจักสานไม้ไผ่แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองเหมยซานมีความเชี่ยวชาญในการสานไม้ไผ่ นอกจากนี้ ชาวเมืองยังมีความสามารถในการทำกระดาษเยื่อไผ่ BABO ซึ่งเป็นกระดาษสำหรับใช้ในครัวเรือนจากธรรมชาติแบรนด์แรกของจีน โดยผ่านการทดสอบการใช้กับอาหารตามมาตรฐาน FDA ของสหรัฐ และมาตรฐาน AP ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดยังเผยให้เห็นว่า เมืองเหมยซานมีกำลังการผลิตกระดาษไม้ไผ่ทะลุ 200,000 ตัน และครองส่วนแบ่งมากกว่า 20% ในตลาดจีน

          นอกจากงานจักสานไม้ไผ่และกระดาษไม้ไผ่แล้ว ชาวเมืองเหมยซานยังนำไม้ไผ่มาทำประโยชน์อื่นๆอย่างเต็มที่ เช่นในเขตหงหยา มีการทำไม้ไผ่ให้เป็นเหล็กโดยใช้กระบวนการทำให้แห้งและบีบอัดซ้ำๆ เหล็กไม้ไผ่มีความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกไฟเบอร์กลาส โดยสามารถนำไปใช้ทำโครงสร้างอาคาร พื้น ประตูและหน้าต่างภายในอาคาร และมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50 ปี ทั้งนี้ ประตูของสวน INBAR Garden ในมหกรรมครั้งนี้ และสวน Fruits Garden ก็สร้างจากเหล็กไม้ไผ่ของเมืองเหมยซาน

          อุตสาหกรรมไม้ไผ่ของเมืองเหมยซานเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักสามประเภท ได้แก่ "งานจักสานไม้ไผ่ กระดาษไม้ไผ่ และเหล็กไม้ไผ่" ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไม้ไผ่เมืองเหมยซานมีมูลค่าผลผลิตรวมสูงถึง 6 พันล้านหยวนในปี 2561

          ซู ตงปอ กวีเอกของจีน พรรณนาไว้ว่า "ยอมกินข้าวโดยไม่มีเนื้อ ดีกว่าต้องอยู่ในที่ที่ไม่มีไม้ไผ่" เขาเขียนกลอน วาดภาพ และรับประทานอาหารเกี่ยวกับไม้ไผ่มาตลอดชีวิต จึงถือได้ว่าเป็นตัวแทนของคนยุคเก่าและยุคใหม่ที่หลงใหลในไม้ไผ่เป็นที่สุด ปัจจุบัน เหมยซาน ซึ่งเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันโด่งดังในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน สามารถดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกด้วยไม้ไผ่ที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโลก

          ที่มา: INBAR

          AsiaNet 78498

รวมสุดยอดความคิดเห็นจากการประชุม HUAWEI CLOUD Summit ที่สิงคโปร์ ในหัวข้อเทคโนโลยี Cloud + AI สร้างโลกยุคอัจฉริยะได้อย่างไร

          งานประชุมสุดยอด HUAWEI Cloud Summit ประจำปี 2562 เปิดฉากขึ้นที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 24-25 เมษายนที่ผ่านมา ภายใต้ธีม "+AI, Grow with Intelligence" โดยมีพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วมงานนี้เกือบ 2,000 คน เพื่อหารือกันในประเด็นที่ว่า เทคโนโลยีคลาวด์ +AI จะช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและช่วยให้องค์กรธุรกิจประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคอัจฉริยะได้อย่างไร ซึ่งบรรดาผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนการปฏิบัติงานจริงหลากหลายกรณีเพื่อแสดงถึงข้อดีของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้

          นวัตกรรมแบบฟูลสแตก ส่งเสริมแผนแม่บทสู่การเป็นสมาร์ทเนชั่นของสิงคโปร์

          AI เป็นพลังใหม่ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรม องค์กรธุรกิจต่างกำลังแข่งขันกันเพื่อหาวิธีที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคอัจฉริยะ และด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ องค์กรทุกประเภทต่างเลือก HUAWEI CLOUD เป็นพันธมิตรในด้านการประมวลผลคลาวด์ คุณ Song Zhexuan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ HUAWEI CLOUD กล่าวว่า "อะไรทำให้ HUAWEI CLOUD แตกต่าง คำตอบคือโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ด้วยแพลตฟอร์มระบบอัจฉริยะแบบเปิด และเทคโนโลยี AI แบบฟูลสแตกที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์"

          ในงานประชุมสุดยอดครั้งนี้ ลูกค้า พันธมิตร และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจาก SAP, Intel, SHAREit, RFCx, NUS และ Cennavi Technologies ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันวิธีปฏิบัติในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล และการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน

          คุณ Sumner Lemon ผู้อำนวยการฝ่าย Digital Transformation and Enterprise Sales ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ของ Intel กล่าวว่า "การผสมผสานธุรกิจแบบดั้งเดิมกับธุรกิจดิจิทัลเข้าด้วยกันก่อให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจจึงไม่ใช่ 'ธุรกิจตามปกติ' อีกต่อไป และองค์กรต่าง ๆ ก็ตระหนักดีว่าจะมาแข่งขันกันบนโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าไม่ได้อีกแล้ว ความสำเร็จทางธุรกิจในตอนนี้จึงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานไอทีจากดาต้าเซ็นเตอร์ ไปเป็นระบบคลาวด์จากผู้ให้บริการที่หลากหลาย (multiple cloud) และไปสู่ระบบเอดจ์ (edge)"

          คุณ Jitu Agrawal รองประธานและผู้จัดการฝ่าย Digital Core Cloud ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ SAP กล่าวว่า "ยุคดิจิทัลกำลังค่อย ๆ พัฒนาเข้าสู่ยุคอัจฉริยะ ซึ่งแผนกลยุทธ์ของ SAP ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้คือ การส่งมอบองค์กรธุรกิจอัจฉริยะผ่านทาง Intelligent Suite ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ของลูกค้าแต่ละราย"

          คุณ Jason Wang พาร์ทเนอร์และซีอีโอของ SHAREit กล่าวว่า "บนเส้นทางในการบรรลุวิสัยทัศน์ของเราทั่วโลก HUAWEI CLOUD ได้กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่น่าเชื่อถือที่สุดที่สนับสนุนเราในการมอบความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้จำนวน 1.8 ล้านคน"

          คุณ Bourhan Yassin ซีโอโอของ Rainforest Connection (RFCx) ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "Guardians of the Forest: AI Powered Recycled Cell Phones" ที่งานซัมมิทครั้งนี้ โดยคุณ Bourhan Yassin กล่าวว่า "ด้วยความช่วยเหลือของ HUAWEI CLOUD AI เรากำลังสร้างภูมิทัศน์ทางเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อช่วยให้ป่าที่อยู่ห่างไกลสามารถตรวจจับเสียงต่าง ๆ ของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ อาทิ ลิงแมงมุม ลิงหอน นกแก้วอเมซอน มาคอว์อุรังอุตัง และเสือดาว เป็นต้น"

          คุณ Ooi Beng Chin ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัย NUS กล่าวว่า "ผมดีใจที่หัวเว่ยเปิดตัวบริการคลาวด์ในสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักวิจัยของเราที่ทำงานเกี่ยวข้องกับระบบคลาวด์ อาทิ distributed deep learning และ Apache SINGA ทั้งยังช่วยส่งเสริมระบบการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และฟินเทคของเราเพื่อการใช้งานในวงกว้างขึ้น เรามุ่งหวังที่จะได้แลกเปลี่ยนแนวคิดการวิจัยและความร่วมมือในอนาคตต่อไป"

          Cennavi Technologies และ HUAWEI CLOUD กำลังร่วมมือกันพัฒนา Traffic Intelligent Twins TrafficGo ซึ่งคุณ Song Huixing ผู้จัดการแผนก Base Platform จาก Cennavi Technologies กล่าวในที่ประชุมซัมมิตครั้งนี้ว่า "ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี AI ที่ทรงประสิทธิภาพของ HUAWEI CLOUD บวกกับแพลตฟอร์ม MineData ของเรา เราจึงมีความก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการขนส่งอัจฉริยะ อาทิ การยกระดับความสามารถในการรองรับการจราจรโดยใช้เทคโนโลยี AI และการบริหารจัดการจราจรอัจฉริยะ

          ห้องแล็บ Hands-on Lab สร้างความประทับใจให้ผู้เข้าร่วมงาน

          ห้องปฏิบัติการ Hands-on Lab แบบกลางแจ้ง เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์การทดลองใช้งาน ModelArts ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาเทคโนโลยี AI แบบวันสต็อปที่มี HUAWEI CLOUD เป็นขุมพลังขับเคลื่อน โดยเหล่านักพัฒนาพบว่า พวกเขาสามารถทำการประมวลผลล่วงหน้า ทำเครื่องหมาย ฝึกอบรม สร้าง และใช้โมเดลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มที่น่าทึ่งดังกล่าว

          นักพัฒนายังสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นฐานข้อมูลบนระบบคลาวด์ได้ในเวลาเพียง 1 นาที และยังใช้ ModelArts เพื่อเปลี่ยนรถที่ประกอบขึ้นเป็นรถแข่ง (stock car) ให้กลายเป็นรถยนต์ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยใช้เวลาสั้น ๆ ด้วยขีดความสามารถต่าง ๆ ของ AI บนแพลตฟอร์ม โดยหลังจากที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ รถยนต์ดังกล่าวสามารถระบุสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมใกล้เคียง เช่น ไฟจราจร สิ่งกีดขวาง และช่องทางเดินรถ ทั้งยังสามารถติดตามเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้

          HUAWEI CLOUD มีความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศแบบเปิดที่มีความเสถียรเพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะ โดยธุรกิจบริการคลาวด์ของหัวเว่ยนำเสนอการประสานกำลังระหว่าง chip-device-pipe-cloud ที่ไม่เหมือนใคร เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ทุกฝ่าย และมีจุดเด่นอยู่ที่ความร่วมมือแบบเปิดกว้าง โดย HUAWEI CLOUD กำลังเปิดระบบนิเวศของจีนไปสู่ทั่วโลก และนำระบบนิเวศทั่วโลกมาสู่จีน ขณะที่บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์สำหรับระบบนิเวศอัจฉริยะเต็มรูปแบบผ่านความร่วมมือที่กว้างขวาง ปัจจุบันตลาด HUAWEI CLOUD ได้ต้อนรับพันธมิตรแล้วกว่า 6,000 ราย เพื่อมอบบริการเพิ่มมูลค่าแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดย HUAWEI CLOUD จะทำงานร่วมกับพันธมิตรต่อไปเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะที่เหมาะกับสิงคโปร์ ตลอดจนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

การประชุมหารือโครงการ Belt and Road ในประเด็นเรื่องเส้นทางสายไหมดิจิทัลจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง

          การประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 2 ในหัวข้อเส้นทางสายไหมดิจิทัล ถูกจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ณ กรุงปักกิ่ง

          การประชุมว่าด้วยเรื่องเส้นทางสายไหมดิจิทัล จัดโดยคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน (NDRC) และ Cyberspace Administration of China ร่วมกับ Facilitating Center for Building the Belt and Road of the NDRC, China Center for Innovation-Driven Development of the NDRC และ International Cooperation Center (ICC) of the NDRC ภายใต้การสนับสนุนของ China Center for Urban Development of the NDRC และ China Economic Information Service (CEIS) ในเครือสำนักข่าวซินหัว

          งานประชุมครั้งนี้มีผู้มาร่วมงานกว่า 200 คนจากเกือบ 30 ประเทศ รวมถึง คิวบา อียิปต์ ฝรั่งเศส เซอร์เบีย และประเทศอื่นๆ ภายใต้แนวคิด "การร่วมกันสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลแห่งศตวรรษที่ 21"

          ระหว่างการประชุม เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลและตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศหลากหลายแห่งได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลกันอย่างกระตือรือร้น

          นอกจากนี้ บริษัทกว่า 15 แห่ง จาก 8 ประเทศ รวมถึง ZTE Corporation และ Nigerian Television Authority ก็ได้จัดพิธีลงนามแลกเปลี่ยนสัญญาโครงการความร่วมมือใหม่ๆ จำนวน 8 โครงการ ภายในงานนี้ด้วย

          ขณะเดียวกัน ในงานยังมีการเปิดตัวสมุดอัลบั้มภาษาจีน-อังกฤษที่มุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลออกมาเป็นครั้งแรก

          สำหรับสมุดอัลบั้มสองภาษาที่มีชื่อว่า Digital Tech Lighting the Silk Road นี้เป็นข้อมูลจาก Xinhua Silk Road Database ซึ่งรวบรวมมาร่วมกับ Department of Innovation and High-Tech Development ภายใต้การสนับสนุนของ National Development and Reform Commission (NDRC), Bureau of Information Technology Development of Cyberspace Administration of China และ China Economic Information Service of Xinhua News Agency เพื่อนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลใน 9 ประเด็น และบอกเล่าถึงแนวโน้มที่ไม่อาจต้านทานได้ของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและโลกาภิวัตน์ ความปรารถนาของผู้คนในการแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยี รวมถึงความปรารถนาดีเพื่อชีวิตที่ดีและการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็ว

          เจ้าหน้าที่จาก NDRC ระบุว่า "การก่อสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลนี้ต้องอาศัยความพยายามในการสร้างความมีส่วนร่วมทางสังคมและความร่วมมือจากนานาประเทศมากขึ้น ซึ่งรวมถึงความมุ่งมั่นอันลึกซึ้งในแง่ของการแลกเปลี่ยนนโยบาย การอภิปราย และความร่วมมือที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น"