Tuesday, June 30, 2020

เครื่องจักรของ XCMG Foundation เสร็จสิ้นภารกิจก่อสร้างโครงการขนส่งสาธารณะสุดท้าทาย ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในภูมิภาค

ปั้นจั่นขุดเจาะแบบแกนหมุนรุ่น XR550D ทั้ง 7 ตัวของ XCMG (SHE: 000425) ได้เสร็จสิ้นการทำงานในโครงการสร้างสะพานหนิวเทียนหยาง หลังการขุดเจาะเสาเข็มแห่งสุดท้ายของท่าเรือหลักทางเหนือซึ่งเริ่มขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งโครงการขนส่งสาธารณะขนาดยักษ์ในเมืองซ่านโถว มณฑลกวางตุ้งแห่งนี้ แต่เดิมนั้นถึงกับถูกขนานนามว่าเป็น  "โครงการแห่งสหัสวรรษ" เนื่องจากมีความซับซ้อนในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก


การก่อสร้างฐานรากเสาเข็มหมายเลข 14 ถึง 23 ในท่าเรือหลักของสะพานหนิวเทียนหยางนั้นต้องอาศัยการเจาะเสาเข็มที่ยาวเป็นพิเศษโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2.45 จนถึง 3 เมตร มีความยาวประมาณ 89.7 เมตร และหลุมเสาเข็มลึกถึง 100 เมตร แต่ด้วยการดำเนินการของปั้นจั่นขุดเจาะแบบแกนหมุนรุ่น XR550 ทำให้ภารกิจนี้เสร็จสิ้นลงภายในเวลาเพียง 11 วัน พร้อมให้การรับรองว่าการเจาะเสาเข็มจะสามารถแล้วเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด
อุปกรณ์ขุดเจาะอุโมงค์ของ XCMG มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในตลาด ด้วยความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และสมรรถนะที่แม่นยำ โดยเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา เครื่องขุดขนาดยักษ์หลายตัวของ XCMG เพิ่งสิ้นสุดภารกิจการขุดเจาะในสถานที่ก่อสร้างอุโมงค์ลอดภูเขาฟูหนิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางด่วนเหยาซาน-หลวนซวน-ซีเซี่ย ความยาว 143 กิโลเมตร นับเป็นการก่อสร้างทางหลวงที่ยาก ยาว และแพงที่สุดในประวัติศาสตร์การพัฒนาทางหลวงของมณฑลเหอหนาน

ด้วยคุณสมบัติทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของภูเขาฟูหนิว ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์ขุดเจาะอุโมงค์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงอย่างต่อเนื่องยาวนานในพื้นที่ว่างขนาด 9 กิโลเมตรตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ในที่สุดทีมวิศวกรและช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญของ XCMG ก็สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยการก่อข้อผิดพลาดเพียงไม่ถึง 3 เซนติเมตร ซึ่งดีกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมที่ 20 เซนติเมตรเป็นอย่างมาก

กง ชิงหัว ผู้จัดการทั่วไปส่วนธุรกิจเครื่องจักรก่อสร้างของ XCMG Foundation ระบุว่า หลังจากการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมมานานนับ 10 ปี เครื่องจักรของ XCMG ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีหลักใหม่ ๆ หลายอย่าง และได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาแล้วหลายต่อหลายชิ้น ตั้งแต่เครื่องขุดเหมืองใต้ดิน เครืองขุดเจาะทางหลวง จนถึงวิศวกรรมการก่อสร้างแบบไฮดรอลิก

กง ชิงหัว อธิบายว่า "จุดเด่นของอุปกรณ์ขุดเจาะของ XCMG คือหัวตัดหลากหลายชนิดที่สามารถปรับใช้ได้ตามข้อคุณสมบัติทางธรณีวิทยาที่แตกต่างกัน กลไกการโหลดที่ปรับให้รับแผ่นเพลทที่มีความแข็งแกร่งสูงและทนต่อการสึกหรอช่วยยืดอายุการใช้งาน ขณะเดียวกันการออกแบบที่กะทัดรัดของเครื่องจักรก็ช่วยให้มีความเหมาะสมสำหรับการขุดเจาะอุโมงค์ที่มีระดับต่ำ"

XCMG Foundation ได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์การขุดเหมืองแบบคานยื่นหลายแบบ เช่น XTR4/180, XTR4/230, XTR6/260, XTR7/260 และ XTR7/360 เพื่อพัฒนาเครื่องจักรขุดเจาะอุโมงค์หินแบบใหม่ที่รวมการตัด การขนส่ง การบรรทุก และฟังก์ชันควบคุมฝุ่นมลพิษเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานในโครงการขุดเจาะอุโมงค์ในหลากหลายสถานการณ์

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.xcmg.com

รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200630/2844919-1

WeBank, Huawei and KPMG Share Insights on Fighting COVID - 19 with FinTech

As part of their efforts to promote fintech solutions in the post-pandemic era, the Financial Services Blockchain Consortium Shenzhen (FISCO), Singapore FinTech Association, FinTech Association of Hong Kong and Shenzhen FinTech Association organized the "Financial Digitalization & Fintech Evolution in the Wake of COVID-19" webinar on June 23. It was the first joint event conducted by FinTech associations in Shenzhen, Hong Kong and Singapore. Senior members from WeBank, Huawei and KPMG shared their insights on the trend of financial digitalization and FinTech evolution during the pandemic era.

Fighting COVID-19 with FinTech Webinar


In his keynote speech, Henry Ma, EVP and Chief Information Officer of WeBank, envisioned an emerging new pluralistic world paradigm, in which regionalization will become a new collaboration model besides globalization and localization. He suggested that digital banks based on leading-edge technologies would become a "new normal" of finance, regionalized fintech innovation would rise to the focus in the future and fintech could quickly promote and enable more inter-industry digitalization & integration in the era of pandemic.

Chen Kun Te, Chief Digital Transformation Officer of Global Business at Huawei laid importance on the trend of e-commerce, digital payment and super apps in terms of digital banking environment. "Banks should actively introduce new tech (5G, IoT, public cloud) on branch management and customer engagement with lower cost as well as higher efficiency".

Dennis Gao, partner of Management Consulting at KPMG Southern China, believed that fintech is entering the regulatory-driven 2.0 era, and opportunities outweigh challenges for fintech since the outbreak of COVID-19. He shared his vision on the future trend of fintech in China, and suggested that adoption of fintech would increase in scale, and changes in application scenes are awaiting.

In addition, FISCO and Singapore FinTech Association (SFA) signed a virtual strategic partnership agreement to enhance the cross-border FinTech collaboration between Shenzhen and Singapore. In the future, they plan to bring more insights from industry leaders on the development of the fintech to the audience.

ผลวิจัยของอเด็คโก้ กรุ๊ป คาดสถานที่ทำงานทั่วโลกเปลี่ยนแปลงมหาศาลหลังวิกฤตโควิด-19

ผลวิจัยเผยธุรกิจและพนักงานต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการให้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงทำงาน และพนักงานต้องการผู้บริหารที่มีความใส่ใจ 

- พนักงานต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นหลังวิกฤตโควิด โดยพนักงานทั่วโลกอยากทำงานที่ออฟฟิศควบคู่กับทำงานจากระยะไกลอย่างละครึ่ง
- มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับสัญญาจ้างที่ให้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงทำงาน โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 69% มองว่าสัญญาจ้างควรให้ค่าตอบแทนตามผลงานมากกว่าชั่วโมงทำงาน
- การล็อกดาวน์ทำให้พนักงานมีทักษะดิจิทัลมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด โดยผู้ตอบแบบสำรวจหกในสิบ (61%) ระบุว่ามีความรู้เรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่สองในสาม (69%) ต้องการเพิ่มทักษะดิจิทัลอีกหลังสถานการณ์คลี่คลาย
- บรรดาผู้บริหารต้องพัฒนาตัวเองให้มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน โดยมีไม่ถึงครึ่งที่พร้อมช่วยเหลือพนักงานในทุก ๆ ด้านท่ามกลางการแพร่ระบาด


ผลวิจัยใหม่ล่าสุดจากอเด็คโก้ กรุ๊ป (Adecco Group) เผยให้เห็นว่า การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้ทัศนคติและความคาดหวังของพนักงานและผู้บริหารเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบถาวรในส่วนของวิธีการและสถานที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน และทักษะในการรับมืออนาคต

อเด็คโก้ กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลชั้นนำระดับโลก เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดในหัวข้อ “Resetting Normal: Defining the New Era of Work” ซึ่งสำรวจผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวของโควิดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานในสถานที่ทำงาน โดยการวิจัยภาคสนามได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามประกอบด้วยพนักงานออฟฟิศ (อายุ 18-60 ปี) ในออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา รวม 8,000 คน

Alain Dehaze ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอเด็คโก้ กรุ๊ป กล่าวว่า “โลกของการทำงานไม่มีวันกลับสู่ “ภาวะปกติ” แบบที่เราคุ้นเคยก่อนเกิดการระบาดครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงมากมายและกะทันหันในที่ทำงานส่งผลให้เทรนด์ใหม่อย่างการทำงานด้วยความยืดหยุ่น ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหาร และการเพิ่มทักษะใหม่ กลายเป็นรากฐานความสำเร็จขององค์กร ในขณะที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤต พนักงานก็ได้โอกาส “รีเซ็ต” ธรรมเนียมปฏิบัติเดิมในสถานที่ทำงาน ซึ่งหลายอย่างแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลวิจัยนี้ตอกย้ำว่าทัศนคติของพนักงานเปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังเผยให้เห็นช่องว่างระหว่างความคาดหวังของพนักงานกับแนวทางปฏิบัติในตลาดแรงงาน ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการทำงาน ถึงเวลาแล้วที่ต้องกำหนดบรรทัดฐานที่ดีกว่าเดิม เพื่อสร้างแรงงานแห่งอนาคตที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ทำงานอย่างมีประสิทธิผล รู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับการยอมรับ”

ข้อมูลสำคัญจากการวิจัย

ผลวิจัยเผยให้เห็นว่า โลกของการทำงานพร้อมแล้วสำหรับการทำงานแบบ “ลูกผสม” โดยพนักงานสามในสี่ (74%) ที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า การทำงานที่ออฟฟิศควบคู่กับการทำงานจากระยะไกลคือวิธีที่ดีที่สุด ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจทุกประเทศ ทุกวัย ทั้งที่มีลูกและไม่มีลูก ต่างต้องการแบ่งเวลาทำงานที่ออฟฟิศ (51%) และทำงานจากระยะไกล (49%) อย่างละครึ่ง ซึ่งผู้บริหารบริษัทก็เห็นด้วย โดยผู้บริหารเกือบแปดในสิบ (77%) เชื่อว่าธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น 

อีกหนึ่งข้อมูลสำคัญได้ส่งสัญญาณถึงจุดจบของสัญญาจ้างที่ให้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงทำงานและการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยพนักงานกว่าสองในสาม (69%) ต้องการให้ดูที่ผลงานมากกว่า โดยมองว่าสัญญาจ้างควรให้ค่าตอบแทนตามผลงานมากกว่าชั่วโมงทำงาน ขณะที่ผู้บริหารจำนวนมาก (74%) ก็เห็นด้วยว่าควรมีการทบทวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์

การแพร่ระบาดของโควิดยังก่อให้เกิดความคาดหวังใหม่ต่อผู้บริหาร และความคาดหวังเหล่านี้จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้บริหารยุคใหม่ โดยความฉลาดทางอารมณ์กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน แต่ช่องว่างด้านทักษะทางอารมณ์และสังคมยังคงมีให้เห็นอย่างชัดเจน โดยพนักงานกว่าหนึ่งในสี่ (28%) ระบุว่าสภาพจิตใจแย่ลงเพราะโควิด และมีเพียงหนึ่งในสิบที่มองว่าผู้บริหารมีความสามารถในการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามทุกประเทศยังต้องการเพิ่มทักษะของตนเอง โดยหกในสิบระบุว่าตนเองมีทักษะดิจิทัลดีขึ้นช่วงล็อกดาวน์ ขณะที่สองในสาม (69%) ต้องการเพิ่มทักษะดิจิทัลอีกหลังสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งหลายทักษะพนักงานมองว่ามีความสำคัญ เช่น การบริหารพนักงานจากระยะไกล (65%), ทักษะทางอารมณ์และสังคม (63%) และการคิดเชิงสร้างสรรค์ (55%)

สุดท้ายนี้ ผลวิจัยตอกย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความเชื่อใจในโลกของการทำงานรูปแบบใหม่ การที่หลายบริษัทลุกขึ้นมารับมือกับความท้าทายเพื่อช่วยเหลือพนักงานในช่วงวิกฤต ส่งผลให้พนักงานมีความเชื่อใจในบริษัทมากขึ้น โดยพนักงาน 88% ระบุว่านายจ้างสามารถทำได้ตามที่คาดหวังหรือเหนือกว่าที่คาดหวังในส่วนของการรับมือกับความท้าทายจากโควิด แต่ความเชื่อใจที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ความคาดหวังเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ความจริงแล้วการทำงานเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย แต่พนักงาน 80% เชื่อว่านายจ้างต้องรับผิดชอบในการสร้างโลกของการทำงานที่ดีกว่าเดิมหลังวิกฤตโควิดและสร้างบรรทัดฐานใหม่ ขณะที่ 73% มองว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ส่วน 72% เห็นว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวบุคคล และ 63% เชื่อว่าเป็นความรับผิดชอบของสหภาพแรงงาน

ข้อมูลเพิ่มเติม

- ดาวนโหลดรายงาน Resetting Normal: Defining the New Era of Work ฉบับเต็มได้ที่ https://www.adeccogroup.com/reset-normal
- ติดตามข่าวสารล่าสุดทางโซเชียลมีเดีย #ResetNormal

เกี่ยวกับอเด็คโก้ กรุ๊ป

อเด็คโก้ กรุ๊ป คือบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลชั้นนำระดับโลก เราเชื่อมั่นในการสร้างโลกของการทำงานแห่งอนาคตเพื่อทุกคน เราช่วยจัดหางานกว่า 3.5 ล้านตำแหน่งทุกวัน นอกจากนั้นยังฝึกทักษะ พัฒนา และจ้างบุคลากรมากความสามารถใน 60 ประเทศ เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ พร้อมสำหรับโลกของการทำงานแห่งอนาคต ในฐานะองค์กร Fortune Global 500 เราเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างคุณค่าร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม วัฒนธรรมองค์กรของเรา ทั้งการยอมรับและให้พนักงานมีส่วนร่วม ความเป็นผู้ประกอบการ และการทำงานเป็นทีม ได้มอบพลังให้กับพนักงาน 35,000 คนของเรา และเราภูมิใจที่ติดอันดับ “สถานที่ทำงานที่ดีที่สุดในโลก” โดย Great Place to Work(R) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อเด็คโก้ กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ISIN: CH0012138605) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SIX Swiss Exchange (ADEN) บริษัทเป็นเจ้าของ 9 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ได้แก่ Adecco, Adia, Badenoch & Clark, General Assembly, Lee Hecht Harrison, Modis, Pontoon, Spring Professional และ Vettery

เว็บไซต์: adeccogroup.com
เฟซบุ๊ก: facebook.com/theadeccogroup
ทวิตเตอร์: @AdeccoGroup

Sweeping Workplace Changes Expected in a Post-pandemic World, Says Research From The Adecco Group

Businesses and workers call for greater flexibility, questions raised over the hours-based contract, and a new empathetic leadership profile emerges

- Workers demand greater flexibility after coronavirus, with a 50/50 split of remote and office time confirmed as the universal ideal
- Questions raised over the hours-based contract, with 69% saying contracts should be based on results delivered rather than hours worked
- Boom in digital skills an unintended consequence of lockdown, with tech knowhow improving for six in 10 (61%), and two thirds (69%) eager for further digital upskilling post-pandemic
- Leaders need to reinvent themselves as more emotionally intelligent, but they are not prepared, as less than half felt equipped to support employees holistically during the pandemic



The coronavirus pandemic has resulted in pivotal shifts in attitudes and expectations among workers and leaders, as both call for permanent changes in how and where we work, workplace relationships and future skills, according to new research from the Adecco Group.

The Adecco Group, the world's leading HR solutions company, today unveiled the results of its latest study, Resetting Normal: Defining the New Era of Work, examining the expected short- and long-term impact of the pandemic on resetting workplace norms. Fieldwork was conducted in May 2020, with 8,000 office-based respondents (aged 18-60) across Australia, France, Germany, Italy, Japan, Spain, the UK and the USA.

The Adecco Group's Chief Executive Officer, Alain Dehaze, said: "The world of work will never return to the 'normal' we knew before the pandemic struck. The sudden and dramatic change in the workplace landscape has accelerated emerging trends such as flexible working, high-EQ leadership, and re-skilling, to the point where they are now fundamental to organisational success. As many countries emerge from the acute crisis phase of the pandemic, employers have an opportunity to 'hit reset' on traditional workplace practices – many of which have remained largely unchanged since the industrial revolution. This research highlights that employee attitudes have shifted and gaps between workforce expectations and entrenched labour market processes have been exposed. As we step into the new era of work, now is the time to establish better norms that will enable a holistically healthy, productive and inclusive workforce into the future."

Key research highlights:

The research revealed that the working world is ready for a new "hybrid" model, with three quarters (74%) of workers surveyed saying a mix of office-based and remote working is the best way forward. The universal ideal of spending half (51%) of their time in the office and half working remotely (49%) transcends geographies, generations and parental status. And company executives agree, with almost eight in ten (77%) C-suite leaders saying businesses will benefit from increased flexibility.

Another stark finding could signal the end of the hours-based contract and 40-hour week. More than two thirds (69%) of workers are in favour of "results-driven work," whereby contracts are based on delivering against business needs rather than working a set number of hours. A high proportion of C-suite executives (74%) agree that the length of the working week should be revisited.

The pandemic has also demanded a new set of leadership competencies and these expectations are expected to accelerate a reinvention of the modern-day leader. Emotional intelligence has clearly emerged as the defining trait of today's successful manager, but the soft skills gap is evident. Over a quarter (28%) of those questioned said their mental wellbeing had worsened due to the pandemic, with only 1 in 10 rating their managers highly on their ability to support their emotional health. 

In a similar nature to flexible working, the findings demonstrate a universal appetite for mass upskilling. Six in 10 say their digital skills have improved during lockdown, while a further two thirds (69%) are looking for further digital upskilling in the post-pandemic era. A broad range of skills development were identified as important by the workforce, including managing staff remotely (65%), soft skills (63%) and creative thinking (55%).

Finally, the findings highlighted the importance of sustaining trust in the new working world. Companies have risen to the challenge of supporting their people during the crisis, and as a result, trust in corporations has increased. In fact, 88% say that their employer met or exceeded their expectations in adapting to the challenges of the pandemic. And with this increased trust comes increased expectations. While the future of work is a collective responsibility, 80% of employees believe their employer is responsible for ensuring a better working world post-COVID and resetting norms, compared with 73% who say the government is responsible, 72% who agree it is an individual responsibility, and 63% who believe it is in the hands of labour unions.

For more information:

- Download the Resetting Normal: Defining the New Era of Work full report here: https://www.adeccogroup.com/reset-normal.
- Follow us on social #ResetNormal for updates

About the Adecco Group

The Adecco Group is the world's leading HR solutions company. We believe in making the future work for everyone, and every day enable more than 3.5 million careers. We skill, develop, and hire talent in 60 countries, enabling organisations to embrace the future of work. As a Fortune Global 500 company, we lead by example, creating shared value that fuels economies and builds better societies. Our culture of inclusivity, entrepreneurship and teamwork empowers our 35,000 employees and we are proud to have been consistently ranked one of the 'World's Best Workplaces' by Great Place to Work(R). The Adecco Group AG is headquartered in Zurich, Switzerland (ISIN: CH0012138605) and listed on the SIX Swiss Exchange (ADEN) and powered by nine global brands: Adecco, Adia, Badenoch & Clark, General Assembly, Lee Hecht Harrison, Modis, Pontoon, Spring Professional and Vettery.

adeccogroup.com
Facebook: facebook.com/theadeccogroup
Twitter: @AdeccoGroup

SAMSUNG SDI ได้รับอนุญาตจาก CAMX ให้ใช้แพลตฟอร์มวัสดุแคโทดสำหรับแบตเตอรี่ GEMX(TM)

CAMX Power LLC (CAMX) แห่งเลกซิงตัน แมสซาชูเซตส์ (www.camxpower.com) ประกาศว่า SAMSUNG SDI ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์โดยไม่จำกัดแต่เพียงผู้เดียว ภายใต้ทรัพย์สินทางปัญญาของ CAMX ที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม GEMX และข้อเสนออย่าง gLNO(TM), gNMC(TM) และ gNCA(TM) ซึ่งทั้งหมดเป็นวัสดุแคโทดพลังงานสูงที่ใช้นิกเกิลสำหรับใช้ในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่รวมถึงในรถยนต์ไฟฟ้า



แพลตฟอร์ม GEMX เกิดขึ้นจากพื้นฐานการคิดค้นของ CAMX ซึ่งได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐ สหภาพยุโรป (EU) ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน โดยถูกนำมาใช้ในการสร้างวัสดุแคโทดหลากหลายประเภทที่มีการงานในวงกว้าง แพลตฟอร์มดังกล่าวนำเสนอผลิตภัณฑ์ 3 ชนิด ได้แก่ gLNO, gNMC และ gNCA ที่ครอบทับนิกเกิลคุณภาพสูงอย่าง NMC, NCA และ LNO ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีที่กำลังถูกใช้และคาดว่าจะต้องใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า GEMX ได้รับการคิดค้น ผ่านวิศวกรรมเชิงโมเลกุล ด้วยการวางโคบอลต์ที่จุดสำคัญในอนุภาคแคโทด จึงส่งผลให้ใช้โคบอลต์น้อยลง แต่มีความเสถียรมากขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น และลดต้นทุนสำหรับวัสดุนิกเกิลคุณภาพสูงทั้งหมด

สิทธิบัตรเหล่านี้มีอายุจนถึงปี 2573

“ในฐานะหนึ่งในบริษัทวัสดุและเซลล์ลิเธียมไอออนชั้นนำของโลก เราคิดว่า SAMSUNG SDI จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก” Dr. Kenan Sahin ผู้ก่อตั้งและประธาน CAMX กล่าว พร้อมเสริมว่า “แทนที่จะลองผลิตด้วยตัวเอง เราเลือกที่จะทำงานร่วมกับบริษัทที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่าง SAMSUNG SDI เพื่อที่เราจะได้มองเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นผลงานของเราเกิดขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเข้าถึงตลาดได้มากกว่าเพื่อประโยชน์ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากมลพิษ เพื่อให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการเดินทางเป็นหลัก และกลายมาเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ในตัวของมันเอง”

ผู้ได้รับอนุญาตใช้งาน GEMX ก่อนหน้านี้ได้แก่ Johnson Matthey และแพลตฟอร์มแคโทดก่อนหน้านี้ของ CAMX อย่าง CAM-7 ได้แก่ BASF และ Johnson Matthey

เกี่ยวกับ SAMSUNG SDI

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.samsungsdi.com  Samsung SDI เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จได้สำหรับอุตสาหกรรม IT ยานยนต์ และระบบการกักเก็บพลังงาน (ESS) รวมถึงวัสดุรุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จอแสดงผล และแผงเซลล์แสงอาทิตย์

Samsung SDI เป็นผู้นำในด้านความพยายามสร้างพลังงานและวัสดุที่ทันสมัยที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทั่วโลก

เกี่ยวกับ CAMX Power LLC

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.camxpower.com  CAMX Power LLC เป็นหนึ่งในบริษัทออกแบบเซลล์และวัสดุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนอิสระที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเลกซิงตัน แมสซาชูเซตส์ ใกล้กับเมืองบอสตัน

รูปแบบธุรกิจหลักและกลยุทธ์ทางเทคโนโลยีของบริษัทคือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ในขั้นต้นเพื่อจะกำจัดความเสี่ยง ปกป้อง IP และพร้อมกับการขยายขนาด จากนั้นจึงออกใบอนุญาตให้กับพันธมิตรผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงขนาดใหญ่ CAMX มีส่วนร่วมในการส่งผ่านเทคโนโลยีที่ลึกซึ่งกับพันธมิตร ช่วยให้ชุดการผลิตที่ช่วยพวกเขาขยาย สร้าง และขายได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถสร้างผลกระทบได้ยิ่งใหญ่และรวดเร็วกว่าเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม

ทั้งแพลตฟอร์มแคโทด GEMX และ CAM-7 ได้เข้าสู่ตลาดผ่านแอปพลิเคชันของรูปแบบธุรกิจหลักและเทคโนโลยีที่กล่าวมาของ CAMX

CAMX มีโรงงานสังเคราะห์วัสดุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน โรงงานผลิตแคโทดที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการพัฒนาและออกแบบ โรงงานผลิตเซลล์ชั้นสูงโดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม พร้อมเจ้าหน้าที่ชั้นยอด IP ที่แข็งแกร่ง และความรู้ที่ลึกซึ้ง ขณะเดียวกันบริษัทก็มีความตั้งใจที่จะเพิ่มพันธมิตรผู้ผลิตอย่างรวดเร็วและคุ้มค่าเข้าในภาคส่วนที่กำลังเติบโตนี้

SAMSUNG SDI obtains a license from CAMX for its GEMX(TM) advanced battery cathode material platform

CAMX Power LLC (CAMX) of Lexington, Massachusetts (www.camxpower.com)  announces that SAMSUNG SDI has obtained a non-exclusive license under the intellectual property of CAMX relating to the GEMX platform and its offers as gLNO(TM), gNMC(TM) and gNCA(TM), all nickel based high energy high power cathode materials for use in lithium ion batteries, for portable as well as electric vehicle applications.

The GEMX platform is based on a fundamental invention of CAMX for which patents have been granted in the US, EU, Japan, Korea and China. This invention creates a broad class of cathode active materials.  The platform is being offered as three products, gLNO, gNMC and gNCA overarching the high nickel classes of NMC, NCA and LNO, the chemistries currently used and expected to be used in the next ten years or more especially in lithium ion batteries for EVs. The GEMX invention, through molecular engineering, places cobalt at the critical places in the cathode particles resulting in use of less cobalt, yet with greater stability, higher performance and lower cost for all classes of high nickel materials. 



These patents have remaining lives beyond 2030. 

"As one of the foremost lithium ion cell and material companies in the world, SAMSUNG SDI is expected to very quickly and efficiently take the technology to very successful implementations" said Dr. Kenan Sahin, Founder and President of CAMX, who added, "Instead of attempting production ourselves, by working with eminent and well established companies like SAMSUNG SDI, we as CAMX can see our inventions rapidly and more broadly come to market for the benefit of society especially in the environmentally beneficial, non-polluting, connected and self-aware electric vehicles poised to dominate transportation and become a multi-trillion dollar industry in itself."

Previous licensees of GEMX include Johnson Matthey and of CAMX's earlier cathode platform CAM-7, BASF and Johnson Matthey.

About SAMSUNG SDI

See www.samsungsdi.com  Samsung SDI is a global leader in the manufacture of rechargeable batteries for IT industry, automobiles, and energy storage systems (ESS), as well as cutting-edge materials used to produce semiconductors, displays, and solar panels.

Samsung SDI is at the forefront of the effort to create energy and cutting-edge materials that enrich the quality of life around the world.

About CAMX Power LLC

See www.camxpower.com  CAMX Power LLC is one of the largest independent lithium-ion battery materials and cell design companies in the US, headquartered in Lexington, Massachusetts near Boston.

Its core business model and technology strategy is to mature early stage technologies to be de-risked, IP-protected, and scale-up ready, and then license them to large, established manufacturing partners. CAMX engages in deep technology transfer with our partners, enabling them with a manufacturing package to rapidly extend, make, and sell, thereby achieving far greater and quicker impact for the betterment of society and the environment.

Both the GEMX and CAM-7 cathode platforms have now reached markets through the application of these core business and technology models of CAMX.

The company maintains a lithium-ion battery material synthesis facility, a development-purposed cathode production plant, and design-purposed, advanced cell making facilities. With seasoned facilities, exceptional staff, strong IP, and deep know-how, CAMX is well poised to rapidly and economically launch additional manufacturing partners into this growing space.

สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส จับมือ Huawei Cloud เซ็น MOU ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

กาฐมาณฑุ เนปาล--30 มิ.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส (Himalaya Airlines) และ Huawei Cloud ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำนักงานหัวเว่ย เทคโนโลยี่ สาขาเมืองลาลิตปูร์ ประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยคุณ Zhou Enyong ซีอีโอของสายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส และคุณ Deng Shuigen ซีอีโอของหัวเว่ย เทคโนโลยี่ เนปาล เป็นผู้เซ็นสัญญาดังกล่าว ขณะที่คุณ Zhang Fan ที่ปรึกษาด้านการค้าของสถานทูตจีนประจำเนปาล คุณ Wang Ping รองอธิบดีกรมการค้าเขตปกครองตนเองทิเบต สาธารณรัฐประชาชนจีน คุณ Zhou Danjin ประธานธุรกิจ Cloud & AI ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของหัวเว่ย และตัวแทนภาคธุรกิจองค์กรรายอื่น ๆ ของเนปาล ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าว ผ่านระบบการประชุมทางวิดีโอออนไลน์ของหัวเว่ย

สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส เปิดเผยว่า ทางสายการบินมีความยินดีที่ได้เลือกผู้ให้บริการโซลูชันไอซีทีชั้นนำระดับโลกอย่างหัวเว่ยเป็นพันธมิตร ซึ่งมีประสบการณ์อย่างล้ำลึกในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลก และยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือทางกลยุทธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ปัจจุบันสายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส กำลังอยู่ระหว่างช่วงการพลิกโฉมสู่ดิจิทัล และการจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับหัวเว่ยและการประสานงานกับพาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศ จะช่วยให้สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส สามารถเร่งการเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมยกระดับบริษัทสู่ความก้าวหน้าอีกระดับหนึ่ง และร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานของหัวเว่ยในเนปาล เพื่อมอบคุณประโยชน์อันดีแก่อุตสาหกรรมการบินพลเรือนของเนปาลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอันล้ำสมัย

ด้านตัวแทนของหัวเว่ย เปิดเผยว่า เทคโนโลยีคลาวด์และ AI ของหัวเว่ย จะช่วยให้สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส สามารถยกระดับระบบบริหารจัดการและระบบการเงินของบริษัทให้มีความเป็นดิจิทัล ทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพภายในองค์กรเพิ่มขึ้นด้วย การอุทิศตนของทั้งทีมผู้ให้บริการจาก Huawei Cloud และทีมสนับสนุนของหัวเว่ยที่เนปาล จะช่วยให้สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส สามารถยกระดับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกโฉมธุรกิจ และทำให้ทางสายการบินแข่งขันในตลาดเนปาลได้ดียิ่งขึ้น

หัวเว่ยจะให้บริการคลาวด์แก่สายการบินหิมาลายา แอร์ไลน์ส ตามข้อตกลงระยะเบื้องต้นในความร่วมมือทางกลยุทธ์ระหว่างสองบริษัท โดยนับจนถึงวันนี้ HUAWEI CLOUD ได้ให้บริการคลาวด์กว่า 200 รายการ และโซลูชันสุดล้ำอีกกว่า 190 รายการ ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงิน อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ บริการสุขภาพ การศึกษา และอื่น ๆ

ผลการศึกษาบริการไอทีระดับองค์กรของเนปาลพบว่า 74% ของ 11 อุตสาหกรรม (สื่อ ความบันเทิง สายการบิน การค้าปลีกทั่วไป อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น) ได้เลือกบริการคลาวด์เป็นเครื่องมือพลิกโฉมบริการไอทีสู่ความเป็นดิจิทัล เพื่อลดการลงทุนในอุปกรณ์เครื่องมือที่ปกติแล้วใช้ต้นทุนสูง เลี่ยงการบำรุงรักษาที่ซับซ้อน และทำให้บริการมีความน่าเชื่อถือ และเพื่อทำให้มั่นใจว่าตลาดเนปาลจะมีบริการให้คำปรึกษาและส่งมอบเทคโนโลยีดิจิทัล ทางสำนักงานหัวเว่ยสาขาเนปาล จึงได้จัดตั้งทีม Cloud & AI ในเนปาลขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อให้บริการที่เกี่ยวข้องโดยเน้นที่หน่วยงานรัฐ ธุรกิจองค์กร และผู้ให้บริการขนส่งโดยเฉพาะ

เกี่ยวกับ Huawei Cloud:

HUAWEI CLOUD เป็นแบรนด์บริการคลาวด์ของหัวเว่ย มุ่งมั่นที่จะให้บริการคลาวด์ที่มีความเสถียร ปลอดภัย ไว้ใจได้ และยั่งยืน เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เติบโตในโลกยุคอัจฉริยะ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Huawei Cloud ได้ที่ www.huaweicloud.com

--

ไมโครชิพ เปิดตัว maXTouch(R) คอนโทรลเลอร์ขนาดเล็กที่สุดสำหรับยานยนต์ เพิ่มประสิทธิภาพควบคุมพื้นผิวอัจฉริยะและหน้าจอมัลติฟังก์ชัน

กรุงเทพฯ--30 มิ.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

- ตัวควบคุมหน้าจอสัมผัสตระกูลใหม่ รองรับการสัมผัสแบบหลายนิ้วและแม้สวมถุงมือหนา อีกทั้งทนทานต่อทุกสภาพอากาศ จึงนับเป็นโซลูชันแบบเบ็ดเสร็จที่รวมเข้ากับอุปกรณ์ปลายทางได้อย่างง่ายดาย


เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์และความสะดวกสบายในการขับขี่ยุคปัจจุบัน นอกเหนือไปจากหน้าจอแสดงผลหลัก (Center Infotainment Display หรือ CID) แล้ว บรรดาผู้ผลิตยานยนต์จึงติดตั้งหน้าจอเสริมเพิ่มเข้าไปอีกด้วย และเพื่อสนับสนุนการใช้จอเสริมเหล่านี้ให้ครบครันด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด (Nasdaq: MCHP) จึงประกาศขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์แถวหน้าของตลาดอย่าง maXTouch ด้วยตัวควบคุมหน้าจอสัมผัสในตระกูล MXT288UD ซึ่งถือเป็นคอนโทรลเลอร์หน้าจอสัมผัสขนาดเล็กที่สุดสำหรับใช้กับยานยนต์ ประกอบด้วย MXT288UD-AM และ MXT144UD-AM ซึ่งมาพร้อมโหมดพลังงานต่ำ ทนทานทุกสภาพอากาศ และรองรับการสัมผัสผ่านถุงมือ สำหรับดิสเพลย์แบบมัลติฟังก์ชัน ทัชแพด และพื้นผิวอัจฉริยะ (smart surface) ของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยานไฟฟ้า (e-bike) และบริการเช่ารถ (car-sharing)

พื้นผิวสัมผัสหรือจอเสริมสามารถวางไว้ได้ทั้งภายในและภายนอกของรถ เช่น แฮนด์รถ ประตู กระจกอิเล็กทรอนิกส์ ลูกบิด พวงมาลัย ตลอดจนวางไว้ระหว่างที่นั่ง หรือที่วางแขน โดย MXT288UD มาในแพ็กเกจ VQFN56 เกรดยานยนต์ขนาดเล็กเพียง 7x7มม. ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับ Tier 1 สามารถลดพื้นที่วางแผ่นวงจรลงได้ถึง 75% และลดรายการวัสดุ (Bill of Materials หรือ BoM) สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กเหล่านี้ลงให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการทำได้เกินกว่าข้อกำหนด เพื่อประสิทธิภาพการสัมผัสที่เสถียรและดีที่สุดในตลาด ขณะเดียวกัน คอนโทรลเลอร์ตระกูลใหม่ยังมาพร้อมโหมด wait-for-touch พลังงานต่ำซึ่งกินไฟไม่ถึง 50 ไมโครแอมแปร์ แต่ยังคงตอบสนองผู้ใช้แม้หน้าจอดับลง เพื่อประหยัดพลังงาน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนคนขับในเวลากลางคืน ระบบจะตื่นด้วยการสัมผัส ไม่ว่าจะสัมผัส ณ จุดใดบนพื้นผิว

นอกจากนี้ คอนโทรลเลอร์ MXT288UD-AM และ MXT144UD-AM ยังสามารถช่วยตรวจจับและติดตามการสัมผัสแบบหลายนิ้วมือแม้ใส่ถุงมือหนา ผ่านวัสดุหุ้มที่หลากหลายและมีความหนาหลายระดับ เช่น หนัง ไม้ หรือพื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และแม้แต่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้น โดยปกติแล้ว ค่าคงที่ไดอิเล็กทริก (dielectric constant) ของวัสดุหุ้มเหล่านี้จะตรวจจับการสัมผัสได้อย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เหล่านี้สามารถตรวจจับและติดตามการสัมผัสด้วยนิ้วมือหลายนิ้วได้อย่างเสถียรด้วยอัตราสัญญาณต่อคลื่นรบกวน (SNR) ในระดับสูง และผ่านทาง differential mutual acquisition scheme ตัวอย่างเช่นในการใช้งานคาร์แชร์ริง ฟังก์ชันการสัมผัสที่เชื่อได้นี้ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมหรือสั่งการรถจากภายนอกได้ด้วยการสัมผัสหน้าจอด้านนอกในทุกสภาพแวดล้อม เช่น ฝน หิมะ หรือความร้อนสูง ขณะที่รถจักรยานยนต์และยานยนต์แบบอื่น ๆ ก็ได้ประโยชน์จากการออกแบบให้ทนทุกสภาพอากาศด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกัน ในฐานะโซลูชันครบวงจร คอนโทรลเลอร์ตระกูล MXT288UD ยังทำหน้าที่เป็นเฟิร์มแวร์ซึ่งผ่านการพิสูจน์มาแล้ว เนื่องจากได้รับการพัฒนาตามกระบวนการ Automotive SPICE(R) และได้มาตรฐานคุณภาพ AEC-Q100 ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์ในปัจจุบันสามารถรวมคอนโทรลเลอร์ตระกูลใหม่จากไมโครชิพเข้ากับระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมได้อย่างสะดวกง่ายดาย จึงนำสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า

"ผู้ผลิตชิ้นส่วน (OEM) ยานยนต์ต่างต้องการที่จะยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ผ่านทางพื้นผิวอัจฉริยะและหน้าจอแบบมัลดิฟังก์ชัน ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและปราศจากสิ่งรบกวน" Fanie Duvenhage รองประธานกลุ่มงานงานสัมผัสและส่วนต่อประสานระหว่างมนุษย์กับเครื่อง (HMI) ของไมโครชิพ กล่าว "เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ในตลาด ไมโครชิพจึงต่อยอดกลุ่มโซลูชันทัชสกรีนสำหรับยานยนต์ที่เราเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว ด้วยคอนโทรลเลอร์ควบคุมจอสัมผัสตระกูลใหม่อย่าง MXT288UD ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ควบคุมการสัมผัสเกรดยานยนต์ขนาดเล็กที่สุดของอุตสาหกรรม ที่มาพร้อมประสิทธิภาพและการประหยัดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น"

เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาและบริการออกแบบ

ไมโครชิพมีเครื่องมือสนับสนุนทั้งในรูปแบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยเครื่องมือซอฟต์แวร์ ประกอบด้วย maXTouch Studio และ maXTouch analyser ส่วนเครื่องมือฮาร์ดแวร์สำหรับ MXT288UD ประกอบด้วย evaluation kit ที่มาพร้อมแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) หนึ่งแผ่น และแผงสัมผัสแบบคาปาซิทีฟขนาด 5 นิ้ว ขณะที่ evaluation kit ของ MXT144UD ประกอบด้วย PCB หนึ่งแผ่น และทัชแพดแบบคาปาซิทีฟขนาด 2.9 นิ้ว คอนโทรลเลอร์ทั้งสองรุ่นมี bridge PCB รวมมาด้วย พร้อมกับการเชื่อมต่อ USB สำหรับต่อประสานกับคอมพิวเตอร์เมื่อใช้ระบบ maXTouch Studio

ไมโครชิพมีวิศวกรกลุ่มงานสัมผัสและการใช้งานภาคสนามคอยให้บริการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้าทั่วโลก เพื่อช่วยในการพัฒนาและปรับการทำงานของเซ็นเซอร์สัมผัส และรวมเข้ากับอุปกรณ์การใช้งานปลายทาง

ราคาและการวางจำหน่าย

ตัวควบคุมหน้าจอสัมผัส MXT288UD เริ่มการผลิตในปริมาณมากแล้ววันนี้ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พนักงานขายของไมโครชิพ ตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับอนุญาต หรือเข้าชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ

แหล่งข้อมูลและภาพ

ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):

- ภาพ Full Application:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945887177
- ภาพ Door Module Display:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945590501
- ภาพ Handlebar Display:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945858067
- ภาพ Circular Touchpad:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945562186
- ภาพ ATMXT144UD Tool:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945529666
- ภาพ ATMXT288UD Tool:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945523351

เกี่ยวกับ ไมโครชิพ เทคโนโลยี

บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้นำด้านการจัดหาเซมิคอนดักเตอร์สำหรับโซลูชั่นควบคุมแบบฝังที่เป็นอัจฉริยะ เชื่อมต่อ และปลอดภัย เครื่องมือพัฒนาที่ใช้งานง่าย ตลอดจนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์งานออกแบบได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง ลดต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โซลูชั่นของบริษัทให้บริการลูกค้ามากกว่า 120,000 รายในตลาดอุตสาหกรรม ยานยนต์ ผู้บริโภค อวกาศและการป้องกันประเทศ การสื่อสารและการประมวลผล สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำเสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่ www.microchip.com

#

หมายเหตุ : ชื่อและโลโก้ The Microchip โลโก้ Microchip และ maXTouch เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ สำหรับเครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในที่นี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ

XCMG เปิดฉากการแข่งขัน 2020 China "Shovel Industry Heroes" Championship ในเมืองซีอาน

บริษัท XCMG (SHE: 000425) ผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างชั้นนำของจีน เปิดฉากการแข่งขัน 2020 "Shovel Industry Heroes" Championship ที่เมืองซีอาน ประเทศจีน เพื่อเฉลิมฉลองและสนับสนุนผู้ประกอบการด้านรถตัก พร้อมโชว์ความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จาก XCMG

ผู้ประกอบการรวม 22 รายจากเมืองซีอานและเมืองใกล้เคียงมาร่วมประชันในรอบแรกของการแข่งขัน ซึ่งจัดขึ้นเป็นฤดูกาลที่ 5 แล้ว สำหรับรถตักที่ได้รับคัดเลือกสำหรับใช้ในการแข่งขันครั้งนี้คือ รถตักรุ่น LW600KV ซึ่งเป็นรุ่นที่มีสมรรถนะสูงและประหยัดพลังงานจากซีรีย์ V ซึ่งจ่ายพลังงานอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปั้มคู่ขั้นสูง

“ปี 2563 ที่เริ่มต้นอย่างขลุกขลักทำให้โครงการก่อสร้างหลายโครงการต้องหยุดชะงัก การแข่งขันจึงทำให้เรามีพื้นที่ได้แสดงทักษะ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป” นาย Wang Baohui หนึ่งในผู้แข่งขันกล่าว “LW600KV ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ผมขับรถตักนี้เป็นครั้งแรก แต่ผมก็สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น ผมรู้สึกประหลาดใจกับประสิทธิภาพการทำงานที่หนักหน่วงของรถรุ่นนี้”

การแข่งขันจัดขึ้นในสนามจริง โดยแข่งเป็นรายบุคคลเพื่อปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้แข่งขันได้รับการตัดสินและจัดอันดับตามน้ำหนักที่ตักได้ พลังงานที่ใช้ไป และเวลาที่ปฎิบัติภารกิจจนสำเร็จ

“การแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันรายการแรกในอุตสาหกรรมนับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคงที่ และนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าฮีโร่รถตัก หรือ 'shovel heroes' ของเราได้มารวมตัวกันในปี 2563 ทาง XCMG มุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างชั้นนำ โดยเราหวังว่าจะเรียกความเชื่อมั่นและความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมรถตัก ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับวีรบุรุษที่เป็นคนธรรมดาในชีวิตจริง”  Wang Qingzhu รองประธานธุรกิจเครื่องจักรก่อสร้างของ XCMG และผู้จัดการทั่วไปฝ่ายเครื่องจักรขนย้ายดินของ XCMG กล่าว

การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การพัฒนาของ XCMG มาโดยตลอด XCMG จะจัดหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ประกอบการและบุคลากรในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ หลักสูตรอบรมผู้ประกอบการใหม่ของ XCMG จะฝึกอบรมผู้ประกอบการ 200 รายในสามรอบ ครอบคลุมรถเครน แท่นขุดเจาะแบบหมุน รถตัก รถขุด รถบด รถเกลี่ยดิน และรถปูถนน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าไปที่ www.xcmg.com หรือติดตามเพจ XCMG บน Facebook, Twitter, YouTube, LinkedIn และ Instagram

รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200629/2843506-2

คำบรรยายภาพ: XCMG เปิดฉากการแข่งขัน 2020 China "Shovel Industry Heroes" Championship ในเมืองซีอาน

The Alliance to End Plastic Waste and China Petroleum and Chemical Industry Federation Partner to Jointly Tackle Plastic Waste in China

SINGAPORE and BEIJING--30 Jun--PRNewswire/InfoQuest

New Partnership focuses on driving local solutions to end plastic waste in the environment

The Alliance to End Plastic Waste (the Alliance) today announced a strategic partnership with China Petroleum and Chemical Industry Federation (CPCIF) to jointly promote the reduction and elimination of plastic waste in the natural environment in China. The new partnership will bring together the Alliance's 47 leading global member companies and the strengths of CPCIF to jointly formulate a strategic approach to identify and collaboratively implement local solutions in China to address the plastic waste challenge.

"No one country, company or community can solve the plastic waste challenge on their own. The Alliance believes in the collaboration of governments through public-private partnerships and long term commitment focused on acting locally through projects that address a city's specific challenges," said Jacob Duer, President and CEO, Alliance to End Plastic Waste. "We are excited to have CPCIF as our partner and endeavour to make a meaningful and valuable contribution to China's national effort to eliminate plastic waste from leaking into the environment."

"Advocating green development and promoting circular economy is one of the key tasks of China's petroleum and chemical industry," said Li Shousheng, Chairman of China Petroleum and Chemical Industry Federation. "We firmly believe that since we invented plastic, we will also bound to find solutions to the plastic waste problem. CPCIF is willing to give full play to its industry advantages, work with stakeholders in the industry value chain and international partners, such as the Alliance, who shares the same vision as CPCIF, to jointly and effectively promote the plastic circular economy, improve and solve plastic waste problems.

A joint Steering Committee will be set up under the partnership to formulate a long-term strategic approach to achieve the following key objectives:

- Bring together technical expertise, global investments and locally-led solutions that will make a positive contribution to improving the management of plastic waste in China
- Identify and assess locally-relevant projects that can reduce and alleviate the waste management and recycling crises that many cities and communities are facing
- Engage, educate and promote sustainable practices in China on issues related to plastic waste management

In addition, the partnership will open up opportunities to prove and accelerate solutions that will unlock capital investments, which are necessary to tackle the plastic waste challenge in China.

About the Alliance to End Plastic Waste

The Alliance to End Plastic Waste is an international not-for-profit organization partnering with government, environmental and economic development NGOs and communities around the world to address the challenge to end plastic waste in the environment. Through programs and partnerships, we are focused on solutions in four core areas: infrastructure, innovation, education and clean up. As of May 2020, the Alliance has 47 members companies representing global companies of organizations located through the Americas, Europe, Asia, Southeast Asia, Africa, and the Middle East. We are headquartered in Singapore. For more information, visit: www.endplasticwaste.org

About China Petroleum and Chemical Industry Federation

The China Petroleum and Chemical Industry Federation (CPCIF) is a national, comprehensive, non-profit public organization with service and certain authorization and management functions. We have more than 500 members, which representing 70% of the petrochemical capacity in China. For more information, visit: http://www.cpcia.org.cn/cpcif/#/

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200630/2844137-1
Logo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200611/2826525-1LOGO

--

          Click for photo release at www.thaipr.net

Microchip Delivers the Smallest Automotive maXTouch(R) Controllers for Smart Surfaces and Multi-function Displays

BANGKOK--30 Jun--PRNewswire/InfoQuest

- New touch controller family offers multi-finger thick glove and weather-proof operation in a turn-key solution for easy integration

To help enhance and ease today's driving experience, automotive manufacturers are implementing additional touch displays beyond the center infotainment display (CID). Supporting the application of these secondary displays with advanced features, Microchip Technology Inc. (Nasdaq: MCHP) today announced the extension of its market-leading maXTouch portfolio with the new MXT288UD touch controller family, the industry's smallest automotive grade packaged touch screen controllers. The MXT288UD-AM and the MXT144UD-AM devices offer low power mode, weatherproof operation and glove touch detection in multi-function displays, touch pad and smart surfaces for vehicles, motorcycles, e-bikes and car-sharing services.

Secondary touch surfaces can be placed in both the interior of cars and exterior of a motor vehicle, such as handlebars, doors, electronic mirrors, control knobs, the steering wheel, between seats or in an armrest. With the MXT288UD family's small 7x7mm automotive grade VQFN56 package, tier one suppliers can now reduce board space by 75 percent and greatly minimize the overall Bill of Materials (BoM) for these compact applications — all while exceeding the requirements for excellent and reliable touch performance in the market. The family's low power wait-for-touch mode consumes less than 50 microamperes, remaining responsive for the user, even if the display switches off to save power or to avoid disturbing the driver at night. The system will wake by a touch event anywhere on the touch surface.

In addition, the MXT288UD-AM and the MXT144UD-AM devices enable detection and tracking of multi-finger thick gloves through a wide variety of overlay materials and thicknesses, like leather, wood or across uneven surfaces — even in the presence of moisture. Normally the dielectric constant of these overlay materials would limit the detection of the touch, however these devices provide a unique solution to reliably detect and track multi fingers with a high signal-to-noise ratio (SNR) and through a proprietary differential mutual acquisition scheme. For example, in car sharing applications, this reliable touch functionality helps users access a car from the outside by tracking touch coordinates on an exterior display in any environment, like rain, snow or extreme heat. Motorcycles and other motorbike vehicles also benefit from such weatherproof designs. As a turnkey solution, the MXT288UD family provides proven firmware, developed according to Automotive SPICE(R) processes and is AEC-Q100 qualified — making it easy for today's automotive manufacturers to integrate into existing systems at a lower risk with faster time to market.

"Automotive OEMs are looking to enhance the user experience through smart surfaces and multi-function displays, while still providing a convenient and distraction free environment," said Fanie Duvenhage, vice president of Microchip's human machine interface and touch function group. "Addressing these needs in the market, Microchip is building on its already leading portfolio of automotive touchscreen solutions with the new MXT288UD touch controller family — bringing increased performance and cost savings to the industry's smallest package of automotive grade touch controllers."

Development Tools and Design Services

Both software and hardware support are available. Software tools includes maXTouch Studio and a maXTouch analyzer. For the MXT288UD, the hardware offered includes an evaluation kit with a printed circuit board (PCB) and a 5" capacitive touch panel, while the MXT144UD's evaluation kit includes a PCB and a 2.9" capacitive touch pad. For both devices, a bridge PCB is included with a USB connection for interfacing to a computer when running maXTouch Studio.

To help with the development and tuning of touch sensors and integration into the final application, Microchip's touch function group and field application engineers provide best-in-class, worldwide support.

Pricing and Availability

The MXT288UD touch controller family is available today in mass production. For additional information, contact a Microchip sales representative, authorized worldwide distributor, or visit Microchip's website.

Resources

High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):

- Full Application image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945887177
- Door Module Display image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945590501
- Handlebar Display image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945858067
- Circular Touchpad image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945562186
- ATMXT144UD Tool image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945529666A
- TMXT288UD Tool image:
https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/49945523351

About Microchip Technology

Microchip Technology Inc. is a leading provider of smart, connected and secure embedded control solutions. Its easy-to-use development tools and comprehensive product portfolio enable customers to create optimal designs which reduce risk while lowering total system cost and time to market. The company's solutions serve more than 120,000 customers across the industrial, automotive, consumer, aerospace and defense, communications and computing markets. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com.

#

Note: The Microchip name and logo, the Microchip logo and maXTouch are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.

--

พบกับวีรชนตัวใหม่ 'รัน’ ใน Shadow Arena พร้อมกันวันที่ 2 กรกฎาคมนี้

กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้--29 มิ.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

บริษัท Pearl Abyss ได้ประกาศวันเปิดตัววีรชนตัวใหม่ 'รัน’ สำหรับเกม Shadow Arena พร้อมกับทักษะอันทรงพลังของเธอ ซึ่งวีรชนดังกล่าวจะมีการเปิดตัวในเกมอย่างเป็นทางการพร้อมกันในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้

พบกับวีรชนตัวใหม่ 'รัน’ ใน Shadow Arena พร้อมกันวันที่ 2 กรกฎาคมนี้

'รัน’ เป็นวีรชนตัวที่ 12 ของเกม Shadow Arena ผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้ ซึ่งมาพร้อมกับอาวุธ 'ลูกตุ้มขวาน’ อาวุธคู่กายของเธอที่สามารถช่วยดึงเหล่าศัตรูมาไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ จึงทำให้ 'รัน’ เป็นวีรชนที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านการต่อสู้ระยะไกลเป็นอย่างมาก และเธอพร้อมแล้วที่จะมาปรากฏตัวในโลกแห่ง Shadow Arena ให้เหล่าผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมกันหลังจากการอัพเดทในสัปดาห์ที่จะถึงนี้

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการอัพเดทต่างๆ อีกมากมายภายในเกม Shadow Arena อย่างเช่นการเพิ่มตัวละครจำลองเข้าไปในสนามรบทีม ในช่วงระยะเวลารอการต่อสู้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมสนามรบ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงและผสมผสานรูปร่างของอาวุธต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นจะไม่สามารถรับรู้ถึงเลเวลของอาวุธของคู่ต่อสู้ได้ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับการต่อสู้นั่นเอง

ในอีกด้านหนึ่ง การแข่งขัน “Shadow Arena Champions Showdown” ในรูปแบบทีม ก็ได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา และได้มีการตัดสินผู้ชนะจากคะแนนรวมทั้งหมดในการแข่งขันทั้ง 4 รอบเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทางทีมงานก็ได้ทำการมอบสกินพิเศษ พร้อมกับ 'บัตรเลือกรับวีรชน’ ทั้งหมด 5 ใบ ให้กับ 'โอโรรง' และ 'Banishing' ผู้ชนะทั้งสองท่านในการแข่งขันครั้งนี้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ทางการ, Discord, Facebook, YouTube และ Twitter

เกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss 

บริษัท Pearl Abyss ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 และได้พัฒนาเกม Black Desert เกมรูปแบบ MMORPG บน PC, มือถือ และคอนโซล ต่อเนื่องด้วยเกม Shadow Arena บน PC และคอนโซล ซึ่งล้วนเป็นเกมที่มีคุณภาพระดับโลก พร้อมกราฟิกที่สวยงามตระการตา ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ทุกอย่างในเกมถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือและโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัท และในปัจจุบันก็กำลังพัฒนาเกมต่างๆ อีกมากมาย เช่น Crimson Desert, DokeV และ PLAN 8 บวกกับความพยายามที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดเกม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss ได้ที่ www.pearlabyss.com



Himalaya Airlines signed Strategic Cooperation MOU with Huawei Cloud

KATHMANDU Nepal--30 Jun--PRNewswire/InfoQuest

Himalaya Airlines and Huawei Cloud signed a strategic cooperation Memorandum of Understanding in Huawei Technologies Nepal's office located in Lalitpur on June 28, 2020. Mr. Zhou Enyong, CEO of Himalaya Airlines and Mr. Deng Shuigen, CEO of Huawei Technologies Nepal signed the MOU. Mr. Zhang Fan, Commercial Counselor of Chinese Embassy in Nepal, Mr. Wang Ping, Deputy Director General - Department of Commerce of Tibet Autonomous Region, People's Republic of China, Mr. Zhou Danjin, president of Huawei Asian Pacific Region Cloud & AI Business and other representatives of Enterprises in Nepal participated in the event as witnesses by using Huawei online video conference system.

According to Himalaya Airlines, they are very glad to choose Huawei, the global leading ICT solution providers, which has rich experience in digital transformation of various industries around the world as the partner and build up the strategic cooperation relationship between each other. Himalaya Airlines is in key phase of digital transformation. By establishing strategic partnerships with Huawei and cooperating with its partners in the ecosystem, Himalaya Airlines will accelerate their digital transformation and push the company to a new stage of rapid development and work closely together with Huawei local team in Nepal to contribute in Nepal civil aviation industry with advanced digital technology.

Representative from Huawei stated that, Huawei's cloud and AI technology will help the Himalaya Airlines to digitalize management & financial system as well as improving internal efficiency. With dedication of both Huawei Cloud service team and Huawei Nepal local support team, the digital transformation of Himalaya Airlines will be improved and the company will be more competitive in Nepal market.

Huawei will provide cloud services to Himalaya Airlines as the initial part of two companies` strategic cooperation. Till today, HUAWEI CLOUD offers more than 200 cloud services with more than 190 specific industry solution from financial services, E-commerce, Logistic, healthcare, education and etc.

From the recent studies of Nepal's Enterprise IT Services, it is shown that 74% of 11 industries (media, entertainment, airlines, general retail, ecommerce, and etc.) have chosen cloud service as the tool to digitalize their IT service to reduce high equipment investment, avoid complicated maintenance and ensure service reliability. To ensure digital transformation's consultation and delivery services made available in Nepal market, on January 2020 Huawei Nepal office has established a Cloud & AI local team which provide related services dedicatedly only for local government, enterprises and carriers.       

About Huawei Cloud:

HUAWEI CLOUD is Huawei's signature cloud service brand. HUAWEI CLOUD is committed to providing stable, secure, reliable, and sustainable cloud services to help organizations of all sizes grow in today's intelligent world. For more information, please visit Huawei Cloud online at www.huaweicloud.com

--

Big Data Is Revolutionizing the Agricultural Sector in Guizhou, China

GUIYANG China--29 Jun--PRNewswire/InfoQuest

A news report by Huanqiu.com on Big data Revolutionizing the Agricultural Sector in China.

Having finished work for the day, a Shenzhen-based engineer, Luke Yang opens the refrigerator and grabs some sweetcorn. He smothers maize with a sauce of cream cheese and baked it in a preheated oven. In front of a tablet, Yang enjoys his tasty meal and giggles at the short videos.

At the same time, NadimTong, a farmer in Danzhai County, Guizhou Province also sits in front of the tablet, checking his online sales. Luke and Nadim have never seen each other before, but e-commerce makes possible the correlation between them.

The organization Nadim works for is Guizhou Yo Yo Green Agricultural Technology Co., Ltd. As a leading e-commerce company, it leverages technology, especially big data, to boost productivity and profitability. The ensuing revenue growth has hauled more and more local farmers out of poverty.

During the past few years, Guizhou has advocated the intersection of big data and the farming industry. Similar to Yo Yo Green, a multitude of rural enterprises in Guizhou have also embraced the data-driven solutions to run an agricultural business.

Basically, big data can assist the value chain optimization, plug the lacunae in the supply and demand gap. As for the traditional farming industry, peasants send their harvest to a grocer or department chain. Such a model may cause the supply-demand imbalance as it is not always possible to know precisely how much a particular crop should be ready.

However, a large volume of agricultural corporations in Guizhou now apply big data to tackle that challenge. Meitan Qinyuanchun Tea Co. LTD. could be a case in point. Equipped with big data, peasants better track the consumer trend and cushion themselves against the vagaries of markets.

"The highly-specific customer set tailors product offerings to satisfy consumers' needs, aiding our strategic decision-making. Our farmers can adjust their production based on market demand, or rather, cut excess waste by growing less tea in low demand and use the space to grow alternatives," Jiwei Zhao, the president of Meitan Qinyuanchun Tea Co. LTD told the reporter of Huanqiu.com.

Zhao continued, "Thanks to the database and e-commerce, one mu (666.67 square meters) of tea currently generates 5,000 yuan (706 US dollars), with an increase of 1,000 yuan (141 US dollars)."

In addition to value chain efficiency, the local farming industry also harnesses big data to boost productivity. Agriculture always involves risk factors, such as unexpected natural disasters and crop diseases, which may destroy entire harvests and cause irreversible damage.

By comparison, armed with big data, farmers may no longer need to bear the brunt of such events. An increasing number of rural enterprises in Guizhou now utilize a data-driven assessment system to track crop health and evaluate the chances of disruptive events. Xiuwen Kiwifruit Industrial Technology Zone can be a role model.

"Our zone utilizes IoT devices installed on a farm to collect data including temperature, humidity, and pH value. In this way, we can monitor the field conditions and react to emerging issues instantly. The possible damage to crops could diminish to a minimum," said a staffer of Xiuwen County State-Owned Assets Investment and Management Co. LTD to the reporter of Huanqiu.com.

Due to the valid data collection, local farmers can gain unprecedented visibility into their operations. He added, "Based on the average output of 1,500 kg per mu (666.67 square meters), the cost-saving per mu reaches 2,000 yuan (283 US dollars). The kiwifruit in the whole county can thus increase the output value by about 360 million yuan (51 million US dollars)!"

It notes that farmers can derive insights from real-time big data to maximize the harvests. The main links of the kiwifruit zone involve 57,400 farmers. Their disposable income per capita averages 26,000 yuan (3,676 US dollars), 52% higher than their counterparts outside the zone. Owing to the improvement of rural livelihoods, this model drives greater efficiency in poverty-reduction programs.

Actually, the successful utilization of big data in various aspects of Guizhou's farming industry is inseparable from the government support. In recent years, Guizhou has accelerated the advancement of smart agriculture.

As the capital, Guiyang unswervingly advocates the application of big data to agriculture and pilots the deployment of IoT. To pave the way for smart agriculture, the government takes pains to build e-commerce platforms, improve the communication infrastructure and expand the talent pool.

According to Cyberspace Administration of China, in 2019, Guizhou constructed 49 county-level e-commerce operation centers and 8,601 rural e-commerce service stations, hence reducing the logistics cost by over 20%. Additionally, 90% of natural villages with more than 30 households in the province currently have access to the 4G network. The recent years also witnessed the development of Alibaba College of Guizhou Institute of Technology.

"Big data reshapes the entire agricultural economy. Guiyang values the intersection of big data and the farming industry, which could be an effective solution to poverty alleviation. Thanks to China International Big Data Industry Expo, the data-enabled agricultural model can be generalized to broader areas," Jun Wang, the Deputy Secretary of China Foundation for Poverty Alleviation told Huanqiu.com.

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200629/2843218-1

Photo Caption: Xiuwen Kiwifruit Industrial Technology Zone harnesses big data to boost productivity.

Hisense Air Conditioner Getting World's First JQA's Fresh Air Certification

QINGDAO China--29 Jun--PRNewswire/InfoQuest

Recently, Quality Assurance Organization of Japan (JQA), the Japan's state-authorized certification organization, has concluded that Hisense Fresh Master Air Conditioner fully meets industry standards in the Japanese market after a series of professional tests of "Air Volume" and "CO2 Reduction Rate". Hisense, which is the Chinese home appliance leading brand, has become the first air conditioner brand in the world passing JQA's fresh air certification.

The test results of JQA show that, Hisense X8 Split floor type air conditioner and Hisense X8 Split wall type air conditioner can meet the "stringent" industry standards in the Japanese market in terms of the two core indicators of "Air Volume" and "CO2 Reduction Rate". Hisense Fresh Master air conditioner is also the world's first product getting JQA's Fresh Air certification.

Hisense Fresh Master X8 Split floor type air conditioner creatively combines air conditioning, fresh air and purification into one product. The fresh air volume can reach 150 m?/h. It can effectively reduce the indoor carbon dioxide concentration and increase the oxygen content in 3 minutes, and effectively remove the H1N1 influenza virus and HFMD EV71 virus. Since the outbreak of COVID-19 in 2020, more customers have realized the importance of indoor air health, and Fresh Master air conditioner has gradually become the first choice for people to buy.

It is well known that the Japanese market is very strict about the fresh air standard. In 2003, Japan incorporated fresh air ventilation systems into The Building Standards Law, requiring the installation of "24-hour ventilation system". Hisense air conditioners are able to pass the fresh air tests in Japanese market, which owns the mature technology and strict standard, undoubtedly showing the technical strength of Hisense Fresh Master air conditioner.

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200629/2843223-1-a
Photo Caption - JQA’s Fresh Air certification

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200629/2843223-1-b
Photo Caption - Hisense releases fresh air conditioning

--

          Click for photo release at www.thaipr.net

New Hero 'Lahn' Arrives in Shadow Arena on July 2

SEOUL South Korea--29 Jun--PRNewswire/InfoQuest

Pearl Abyss announced today that the new Hero Lahn will be available to play in Shadow Arena on July 2. The new Hero will allow players to battle against others using a new array of powerful skills.

Lahn, Shadow Arena's 12th Hero, is a martial artist able to manipulate the position of an enemy by pulling or dragging them with her Crescent Pendulum. She also has the ability to effectively target enemies from a distance by delivering long-range attacks. Players will be able to experience this Hero's unique skills upon next week's update.

Moreover, various updates have been introduced in Shadow Arena. AI Bots will now be added to Team mode when the wait time for sufficient participants is extended. The appearance of equipped weapons has also been standardized to create a tenser gameplay environment, as opponents can no longer judge a weapon's level based on visuals alone.

The Team mode competition "Shadow Arena Champions Showdown" was held on June 28th. After an intense 4 rounds, the winner was determined according to the total points earned throughout the competition. The winners Ororong and Banishing were rewarded with an exclusive skin along with 5 Hero Selection Coupons.

Visit the official website, Discord, Facebook, YouTube, and Twitter for more information.

About Pearl Abyss

Best known for the MMORPG franchise Black Desert, Pearl Abyss is a leading developer in the game industry. Established in 2010, Pearl Abyss has since developed Black Desert for PC, mobile, and console, and is developing Shadow Arena for PC and console. All of Pearl Abyss' games are built on the company's own proprietary engine and are renowned for their cutting-edge graphics. The company is also developing Crimson Desert, DokeV, and PLAN 8 and is poised to continue its growth through 2020 and maintain its position as one of Asia's leaders in game development. More information about Pearl Abyss is available at: www.pearlabyss.com

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200626/2842361-1
Caption - New Hero 'Lahn’ Arrives in Shadow Arena on July 2

--

          Click for photo release at www.thaipr.net

Locus Listed as a Representative Vendor in Gartner's Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling

- The Company was recognized as a Representative Vendor in the 2020 report

Locus, a global B2B SaaS company that automates human decisions in the supply chain, today announced that it has been identified as a Representative Vendor in the Gartner 'Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling' report1. Gartner is a leading research and advisory company.


The report gives an overview of the Vehicle Routing and Scheduling market and lists vendors. "Vehicle routing and scheduling (VRS) applications are evolving into solutions in which the routing algorithm is almost becoming a secondary feature. There is an increased focus on new technologies, such as machine learning (ML) and artificial intelligence (AI), and on functions such as last-mile fulfillment and customer experience," says the report.

The Locus platform uses deep machine learning and proprietary algorithms to offer smart logistics solutions like route optimization, real-time tracking, insights and analytics, beat optimization, efficient warehouse management, vehicle allocation and utilization. Locus also helps companies optimize their end-to-end supply chain network with its strategic consulting offering.

Locus presently works with top clients across Southeast Asia, North America, Europe, and India. It has offices in the USA, India, Indonesia, and Vietnam. The top management of the company includes executives from Amazon Web Services (AWS), Barclays Capital, Google, and BlueDart (a DHL company), and data scientists with PhDs from Carnegie Mellon University and the University of Illinois, among others.

"We believe being named by Gartner Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling as a Representative Vendor reinforces the value we add to our customers. Supply chains have become increasingly complex these days. On top of it, COVID-19 has made life tougher and exposed the lack of collaboration, coordination, and visibility in the supply chain. Locus' solutions help streamline supply chain operations, thereby bringing supply chain to the forefront of businesses," said Nishith Rastogi, Chief Executive Officer, Locus.

Locus has achieved a peak of 2 million+ orders processed in a day (200,000 orders an hour). The company's solutions are now tried and tested on over 500 million+ order deliveries, and its operations have expanded to 1000+ cities across the globe.

The company has so far raised $29 million from tier-1 investors including Tiger Global, Falcon Edge, Blume Ventures, Exfinity Venture Partners & growX ventures.

Gartner subscribers can log in to read the full research on the website.

1 Gartner, "Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling," Oscar Sanchez Duran, Bart De Muynck, 23 June 2020.

Gartner Disclaimer

Gartner does not endorse any vendor, product or service depicted in its research publications, and does not advise technology users to select only those vendors with the highest ratings or other designation. Gartner research publications consist of the opinions of Gartner's research organization and should not be construed as statements of fact. Gartner disclaims all warranties, expressed or implied, with respect to this research, including any warranties of merchantability or fitness for a particular purpose.

About Locus:

Locus is a deep-tech platform that automates human decisions in the supply chain to provide efficiency, transparency, and consistency in logistics operations.

The platform uses deep machine learning and proprietary algorithms to offer smart logistics solutions like route optimization, real-time tracking, insights and analytics, beat optimization, efficient warehouse management, vehicle allocation and utilization. Locus powers more than two million deliveries daily across Southeast Asia, the Indian Subcontinent, Europe, and North America. Visit www.locus.sh to know more.

Media Contact:

Please reach out to - Marketing@locus.sh

Locus ได้รับเลือกเป็น Representative Vendor ในรายงาน Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling ของ Gartner

- บริษัทได้รับการยอมรับในฐานะ Representative Vendor ในรายงานปี 2020

Locus บริษัทระดับโลกผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ B2B ที่ช่วยทำให้การตัดสินใจในห่วงโซ่อุปทานเป็นอัตโนมัติ ประกาศว่า บริษัทได้รับการยกย่องเป็น Representative Vendor ในรายงาน 'Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling'1 ของ Gartner ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาชั้นนำ


รายงานดังกล่าวให้ภาพรวมเกี่ยวกับตลาด Vehicle Routing and Scheduling และลิสต์รายชื่อเวนเดอร์ประเภทต่างๆ “แอปพลิเคชันจัดเส้นทางและตารางเวลาของยานยนต์ได้พัฒนาไปสู่โซลูชันที่อัลกอลิทึมจัดเส้นทางเป็นฟีเจอร์รอง ขณะที่มีการโฟกัสไปกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น การเรียนรู้ของเครื่องจักร (ML) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น การไปถึงจุดหมายไมล์สุดท้ายและประสบการณ์ของลูกค้า” รายงานระบุ

แพลตฟอร์ม Locus ใช้แมชชีนเลิร์นนิงและอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันโลจิสติกส์อัจฉริยะ เช่น การจัดการเส้นทาง การติดตามแบบเรียลไทม์ ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ การจัดการเวลา การจัดการโกดังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดสรรและใช้งานยานพาหนะ นอกจากนี้ Locus ยังให้ความช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในการปรับเครือข่ายซัพพลายเชนแบบครบวงจรให้เหมาะสมด้วยบริการมอบคำปรึกษาเชิงกลยุทธ์

Locua ทำงานร่วมกับลูกค้าระดับหัวแถวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อเมริกาเหนือ, ยุโรป และอินเดีย มีสำนักงานกระจายอยู่ในสหรัฐอเมริกา, อินเดีย, อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยบอร์ดบริหารระดับสูงของบริษัทประกอบด้วยผู้บริหารจาก Amazon Web Services (AWS), Barclays Capital, Google และ BlueDart (บริษัท DHL ), และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล เช่น ศาสตราจารย์จาก Carnegie Mellon University และ University of Illinois เป็นต้น

“เราเชื่อว่าการมีชื่อเป็น Representative Vendor ใน Gartner Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling จะช่วยเสริมคุณค่าที่เราเพิ่มให้กับลูกค้าของเรา ซัพพลายเชนได้กลายมาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้วิกฤตการระบาดของโควิด-19 ยังทำให้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น และส่งผลให้ขาดความร่วมมือ ประสานงาน และเกิดความพร่ามัวในซัพพลายเชน ซึ่งโซลูชันของ Locus จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงานของซัพพลายเชน ดังนั้นจึงสามารถนำซัพพลายเชนไปสู่ธุรกิจต่าง ๆ ได้” Nishith Rastogi ซีอีโอ Locus กล่าว

Locus ได้รับออร์เดอร์สูงถึง 2 ล้านรายการใน 1 วัน (200,000 ออร์เดอร์ต่อชั่วโมง) โดยโซลูชันของบริษัทได้ผ่านการทดลองใช้และทดสอบส่งมอบไปแล้วมากกว่า 500 ล้านออร์เดอร์ และมีขอบเขตการดำเนินงานครอบคลุม 1,000+ เมืองทั่วโลก

ปัจจุบันบริษัทสามารถระดมทุน 29 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนระดับ tier-1 ซึ่งรวมถึง Tiger Global, Falcon Edge, Blume Ventures, Exfinity Venture Partners & growX

สมาชิก Gartner สามารถล็อกอินเพื่ออ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้บนเว็บไซต์

อ้างอิง: 1 Gartner, "Market Guide for Vehicle Routing and Scheduling," Oscar Sanchez Duran, Bart De Muynck, 23 June 2020

การปฏิเสธความรับผิดของ Gartner

Gartner ไม่ได้ให้การรับรองผู้ผลิตหรือบริการใด ๆ ที่กล่าวถึงในรายงานวิจัยของบริษัท และไม่ได้แนะนำให้ผู้ใช้เลือกใช้เทคโนโลยีของผู้ผลิตที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับสูงสุด รายงานวิจัยของ Gartner ประกอบด้วยความคิดเห็นของฝ่ายวิจัยของ Gartner และไม่ควรถือว่าเป็นการระบุข้อเท็จจริง Gartner ขอปฏิเสธการรับประกันทั้งหมด ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันเกี่ยวกับความสามารถในการจัดจำหน่าย หรือความเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์

เกี่ยวกับ Locus:

Locus คือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้การตัดสินใจในห่วงโซ่อุปทานเป็นอัตโนมัติ เพื่อการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และต่อเนื่อง

Locus ใช้แมชชีนเลิร์นนิงและอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันโลจิสติกส์อัจฉริยะ ได้แก่ การจัดการเส้นทาง การติดตามแบบเรียลไทม์ ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ การจัดการเวลา การจัดการโกดังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดสรรและใช้งานยานพาหนะ โดย Locus ช่วยสนับสนุนการขนส่งกว่า 2 ล้านครั้งต่อวันทั่วเอเชียแปซิฟิก, อนุทวีปอินเดีย, ยุโรป และอเมริกาเหนือ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.locus.sh

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:       

กรุณาส่งอีเมลไปที่ Marketing@locus.sh

วิลเบอร์-เอลลิส ฉลองครบรอบ 100 ปี เปิดตัวเว็บไซต์ใหม่-โครงการช่วยเหลือสภากาชาด

มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ทำธุรกิจยาวนานถึง 100 ปี และวิลเบอร์-เอลลิส (Wilbur-Ellis) ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยบริษัทกำลังเริ่มนับถอยหลังสู่วาระครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2564


การเฉลิมฉลองจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอด 12 เดือนข้างหน้า โดยหนึ่งในกิจกรรมสำคัญคือการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ฉลอง 100 ปี และการเปิดตัวโครงการ Giving Program เพื่อช่วยเหลือสภากาชาดในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พนักงานของวิลเบอร์-เอลลิส อยู่อาศัยและทำงาน

พนักงานของวิลเบอร์-เอลลิส รวมถึงลูกหลาน และมิตรสหายของบริษัท (ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงานที่เกษียณแล้ว) ได้รับเชิญให้มาร่วมทำกิจกรรมบนเว็บไซต์ฉลอง 100 ปี โดยในแต่ละเดือนจะมีการโพสต์คำถามให้ผู้ใหญ่ตอบว่า เราจะเดินหน้าเติบโต พัฒนา เปลี่ยนแปลง และตอบแทนสังคมอย่างไร ซึ่งถือเป็นหัวข้อหลักของการเฉลิมฉลอง ส่วนเด็ก ๆ ก็มีคำถามที่เหมาะกับวัย โดยทุกคำตอบที่ส่งเข้ามา วิลเบอร์-เอลลิส จะเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคให้กับสภากาชาด   

รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ Giving Program สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ฉลอง 100 ปี นอกจากนี้ ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์จะได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของวิลเบอร์-เอลลิส และภาพสะท้อนในฐานะบริษัทที่มีอายุยาวนานถึง 100 ปี และยังคงบริหารงานโดยครอบครัวผู้ก่อตั้งบริษัท

“ตอนที่เราวางแผนฉลองครบรอบ 100 ปี เราตระหนักดีว่าเราต้องการทำมากกว่าการเฉลิมฉลองทั่วไป” จอห์น บัคลีย์ ประธานและซีอีโอบริษัท วิลเบอร์-เอลลิส กล่าว “เราต้องการบอกเล่าเรื่องราวของวิลเบอร์-เอลลิส เพราะเราภูมิใจมากกับประวัติความเป็นมาของเรา นอกจากนั้นเรายังต้องการให้พนักงาน ลูกหลาน และมิตรสหายของเราได้มีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่สดใสมากขึ้นให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ผู้คนต้องการความช่วยเหลือมากกว่าที่เคย โครงการ Giving Program มีเป้าหมายในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวก โดยต่อยอดมาจากการที่วิลเบอร์-เอลลิส บริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้สภากาชาดเมื่อเดือนเมษายน เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19”

จอห์น แทชเชอร์ ประธานบริหารคณะกรรมการบริษัทวิลเบอร์-เอลลิส อดีตซีอีโอ และหลานชายของเบรย์ตัน วิลเบอร์ ซีเนียร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท กล่าวถึงความท้าทายในปัจจุบันและบทเรียนที่ได้รับในอดีตว่า

“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกคน นับตั้งแต่ปู่ของผมและเพื่อนก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อปี 2464 เราก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาแล้วทุกรูปแบบ ทั้งสงคราม ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภัยธรรมชาติ ตลาดหุ้นร่วง และอีกมากมาย พนักงาน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจของเรา คือผู้ที่ทำให้เราผ่านพ้นสถานการณ์เหล่านี้มาได้ การทำงานร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกันทำให้เราข้ามผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากจนได้ฉลองครบรอบ 100 ปี และพร้อมที่ก้าวต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้า”

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Giving Program และประวัติความเป็นมา 100 ปีของวิลเบอร์-เอลลิส ได้ที่ www.wilburellis.com/100th-anniversary

เกี่ยวกับวิลเบอร์-เอลลิส

กลุ่มบริษัทวิลเบอร์-เอลลิส ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2464 เป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิต การจัดจำหน่าย และการทำตลาดสินค้าเกษตร อาหารสัตว์ รวมถึงส่วนผสมและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ การพัฒนาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง การลงทุนในตลาดที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ และการใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทวิลเบอร์-เอลลิส สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และมียอดขายกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉลองครบรอบ 100 ปี ได้ที่ www.wilburellis.com/100th-anniversary และดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทได้ที่ www.wilburellis.com

Wilbur-Ellis Kicks Off 100th Anniversary Celebration With New Website and Giving Program That Benefits the Red Cross

Only a handful of companies last 100 years, and Wilbur-Ellis is beginning the celebration of its 100th anniversary, as we count down to that milestone on June 29, 2021.

The celebration will continue over the next 12 months and includes a new 100th Anniversary website and a new Giving Program that will benefit the Red Cross in the U.S., Canada and Asia-Pacific – the areas where Wilbur-Ellis employees live and work.

Wilbur-Ellis employees, the children in their families, and friends of the company (including customers, business partners and retirees) are invited to participate. On the 100th Anniversary website, each month a question will be posted for adults about how we can continue to grow, innovate, give and evolve – the themes of our celebration. Kids will have a question tailored just for them. For each response submitted, Wilbur-Ellis will make a donation to the Red Cross.

Details about the Giving Program are posted on the 100th Anniversary website – and while visitors are there, they'll find stories about Wilbur-Ellis history and reflections on what it means to be a 100-year-old company that is still owned by its founding family.

"When we started the anniversary planning process, we knew we wanted to do more than just celebrate," said Wilbur-Ellis President and Chief Executive Officer John Buckley. "We wanted to tell the Wilbur-Ellis story, because we're very proud of our past. But we also wanted to give employees, our kids, and friends of the company a way to make the future a little brighter for people in need – especially now, when the needs are so great. Our Giving Program is intended to make a positive difference, and it also builds on a $100,000 donation Wilbur-Ellis made last April to support the Red Cross' response to the COVID-19 pandemic."

Executive Chairman of the Wilbur-Ellis Board of Directors, former CEO, and grandson of company founder Brayton Wilbur Sr., John Thacher, reflected on today's challenges and the lessons from our past.

"2020 has been a challenging year for us all. But since the company was founded by my grandfather and two friends back in 1921, Wilbur-Ellis has come through all kinds of difficulties … wars, recessions, natural disasters, stock market crashes and everything in between. Through it all, it has been the people of Wilbur-Ellis – our employees, customers and business partners – who've made the difference. By working together and supporting one another, we can manage through the tough times and celebrate the good ones, now and for the next 100 years."

To learn more about the Giving Program and Wilbur-Ellis' 100-year history, please visit www.wilburellis.com/100th-anniversary.

About the Wilbur-Ellis Companies

Founded in 1921, the Wilbur-Ellis companies are leading international marketers, distributors and manufacturers of agricultural products, animal nutrients and specialty chemicals and ingredients. By developing strong relationships, making strategic market investments and capitalizing on new opportunities, the Wilbur-Ellis companies have continued to grow the business with sales of over $3 billion. For more information about Wilbur-Ellis' 100th Anniversary celebration, please visit www.wilburellis.com/100th-anniversary. For information about the company, please visit www.wilburellis.com.

RevImmune ประกาศการทดลอง CYT107 เฟสสอง มุ่งศึกษาการสร้าง T-Cell เพื่อการรักษาโควิด-19

เริ่มทดลองในยุโรปมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และอยู่ระหว่างเตรียมการทดลองในสหรัฐอเมริกา

ถูกกำหนดให้เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนระดับชาติด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักร

RevImmune บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพผู้พัฒนา CYT107 ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับการรักษาโรคติดเชื้อและมะเร็ง ประกาศว่า บริษัทได้เปิดตัวการทดลองระยะที่ 2 สำหรับการรักษาโควิด-19 ซึ่งมีชื่อว่า "ILIAD"



การทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับโควิด-19 จำนวนมาก มุ่งเน้นไปที่การลดภาวะอักเสบมากผิดปกติ (hyper-inflammatory) ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 และอาจสร้างความเสียหายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีการรับรู้กันมากขึ้นว่าภาวะอักเสบมากผิดปกติโดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และบ่อยครั้งจะตามมาด้วยภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนล้าและการสูญเสียทีเซลล์ (T cell) การรักษาด้วย CYT107 จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนของทีเซลล์อย่างมีนัยสำคัญและแก้ไขการอ่อนล้าของภูมิคุ้มกัน

CYT107 เป็นรูปแบบการรักษาด้วยโกรทแฟคเตอร์ หรือกลุ่มโปรตีน Interleukin-7 (IL-7) เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างทีเซลล์ในมนุษย์ โดยมีการให้ CYT107 แก่ผู้ป่วยกว่า 440 คนในการทดลองทางคลินิก และพบว่า CYT107 ช่วยเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของทีเซลล์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยในไอซียูที่มีระดับทีเซลล์ต่ำและอ่อนล้าจากการติดเชื้ออย่างรุนแรง (overwhelming infections) CYT107 จึงมีข้อมูลด้านความปลอดภัย (safety profile) ที่ยอดเยี่ยม แม้ในกลุ่มผู้ป่วยหนัก

การทดลอง "ILIAD" ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการทดลอง CYT107 สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 นั้น ได้รับคัดเลือกจากระบบสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักรให้เป็น “วาระสำคัญเร่งด่วนระดับชาติด้านสาธารณะสุข” การทดลองเริ่มต้นขึ้นในสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม และกำลังเปิดรับสมัครผู้ป่วยเข้าร่วมการทดลอง ณ สถานที่ 10 แห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน การทดลองนี้ได้เริ่มขึ้นในฝรั่งเศสและเบลเยียมในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และกำลังอยู่ระหว่างเตรียมการทดลองในสหรัฐ

นอกจากการทดลองทางคลินิกแล้ว RevImmune ยังรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 12 รายที่ไม่ได้เข้าร่วมการวิจัยภายใต้การใช้โดยกุศลเจตนา (compassionate use) ซึ่งข้อมูลจากผู้ป่วยทั้ง 12 รายดังกล่าวสนับสนุนการออกแบบการทดลอง ILIAD และอยู่ในขั้นตอนของการเผยแพร่บทความวิชาการที่ได้รับพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ (peer reviewed publication)

ผลของการใช้ CYT107/IL-7 ในการฟื้นฟูระดับภูมิคุ้มกันนั้น ทั้งรวดเร็วและยั่งยืน การรักษาประกอบด้วยการให้ยาเพียง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ โดยในการทดลองทางคลินิกจนถึงปัจจุบัน สามารถเห็นผลลัพธ์ภายในไม่กี่วันหลังจากเริ่มให้ยา CYT107 และเห็นผลต่อเนื่องนานถึงหนึ่งปีหลังจากได้รับยา 2-4 สัปดาห์ ผลที่ยั่งยืนของ CYT107 ในการรักษาระดับการเพิ่มขึ้นของเซลล์ภูมิคุ้มกันเมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งนั้น มีความสำคัญในป้องกันการติดเชื้อภายหลัง (late infection) ซึ่งเป็นสาเหตุให้อาการกลับมากำเริบจนทำให้ผู้ป่วยต้องกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำ

CYT107 / IL-7 สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Remdesivir ยาต้านไวรัสอื่นๆ และ/หรือยาแก้อักเสบ ดังนั้น CYT107 จึงนำเสนอวิธีการใหม่ในการปรับปรุงผลลัพธ์ของการรักษาโรคโควิด-19 และโรคติดเชื้ออื่นๆ ด้วยการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองอย่างปลอดภัย

RevImmune กำลังร่วมมือกับทีมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการดูแลผู้ป่วยวิกฤตและภูมิคุ้มกันวิทยา ได้แก่ Dr. Manu Shankar-Hari นักวิจัยหลักผู้นำการทดลองในสหราชอาณาจักร Dr. Bruno Francois นักวิจัยหลักผู้นำการทดลองในฝรั่งเศสและเบลเยียม ตลอดจน Dr. Richard Hotchkiss และ Dr. Ken Remy จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองเซนต์หลุยส์ Dr. Lyle Moldawer และ Dr. Scott Brakenridge จากมหาวิทยาลัยฟลอริดาในเมืองเกนส์วิลล์ และ Dr. Martin A. Cheever "Mac" Cheever ผู้อำนวยการ Cancer Immunotherapy Trials Network (CITN) แห่งศูนย์วิจัยมะเร็งเฟรด ฮัทชินสัน

Dr. Remy กล่าวว่า "ข้อมูลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากประเทศจีน อิตาลี และสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 มีการสูญเสียเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องอันเนื่องมาจากการกดภูมิคุ้มกัน โดยผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 มีการสูญเสียเซลล์เม็ดเลือดขาวรุนแรงที่สุด และมีโอกาส 50% ในการพัฒนาการติดเชื้อซ้ำจากโรงพยาบาล"

Dr. Hotchkiss อธิบายว่า "IL-7 มีฤทธิ์ต้านไวรัสสำหรับผู้ป่วยที่ถูกกดภูมิคุ้มกันอย่างเช่น ผู้ป่วยเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบซี และไวรัสเจซี นอกจากนี้ ในการทดลองสหสถาบัน ระยะที่ 2 ที่เราดำเนินการร่วมกับ RevImmune ยังพบด้วยว่า CYT107 ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (ระดับทีเซลล์ต่ำ) กลับมาเพิ่มขึ้น และปรับปรุงภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต เราจึงเชื่อว่า IL-7/CYT107 เป็นแนวทางใหม่ที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยที่ถูกกดภูมิคุ้มกันจากโรคติดเชื้อชนิดต่างๆ”

เกี่ยวกับ RevImmune

RevImmune เป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของเอกชน ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร RevImmune อยู่ในระหว่างการทดลอง CYT107 ระยะที่สองสำหรับการรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรคติดเชื้อบางชนิดและมะเร็งบางชนิด โดยผู้ป่วยมากกว่า 440 รายในการทดลองก่อนหน้านี้ของ RevImmune ได้รับ CYT107 สำหรับการรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและโรคติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ซึ่งปรากฏว่า CYT107 แสดงข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในการทดลองเหล่านั้น

RevImmune Announces Phase II Trial of the T-Cell Growth Factor CYT107 for COVID-19

Under Way in Europe Since May, In Preparation in the U.S.

Designated As An Urgent Public Health National Priority In U.K.

RevImmune, a privately held biotechnology company developing CYT107 immune therapy for infectious diseases and cancer, announced today that it has launched the "ILIAD" Phase II trial for treatment of COVID-19. 


Many COVID-19 clinical trials have focused on decreasing the hyper-inflammatory phase that often occurs in COVID-19 patients and can cause substantial damage.  However, there is a growing recognition that the hyper-inflammatory phase is generally temporary, and is often followed by a stage of immune exhaustion and T cell loss. Therapy with CYT107 is designed to substantially increase the number of immune T cells and correct the immune exhaustion.

CYT107 is a therapeutic form of the master growth factor for human T cells: Interleukin-7 (IL-7). CYT107 has been administered to over 440 patients in clinical trials and is known to substantially increase the number and diversity of T cells, including in patients in the ICU with low and exhausted T cell levels from overwhelming infections. CYT107 has an excellent safety profile, even in very sick patients.

The "ILIAD" Phase II trial of CYT107 for COVID-19 was selected by the U.K. National Health System for designation as an "urgent public health national priority." The trial opened in the U.K. in mid-May and is enrolling patients at 10 sites across the U.K. The trial opened in France and Belgium in early June. Preparations for the trial are under way in the U.S.

In addition to the clinical trial in COVID-19, RevImmune has also treated 12 COVID-19 patients on a compassionate use basis.  The data from the compassionate use cases support the ILIAD trial design and are in the process of peer reviewed publication.

The effects of CYT107/IL-7 in restoring immune levels are both rapid and durable.  The treatment involves just two administrations per week for 2-4 weeks. In clinical trials to date, the effects have been seen within days of beginning administration of CYT107, and have been seen to continue for up to a year after the 2-4 week administration. This lasting effect of CYT107 to maintain the increase in immune cells over time is important in preventing late infections that are a frequent cause of patient relapse and hospital readmission.

CYT107/IL-7 can readily be combined with other treatments as well.  For example, CYT107/IL-7 can be combined with treatments such as Remdesivir, other anti-viral treatments and/or anti-inflammatory treatments.  Thus, CYT107 offers a novel means of improving outcomes in COVID-19 and other infectious diseases by safely strengthening the patient's own immune system.

RevImmune is collaborating with a team of leading experts in critical care and immunology, including: Dr. Manu Shankar-Hari, the Principal Investigator leading the U.K. trial cohort, Dr. Bruno Francois, the Principal Investigator leading the trial cohort in France and Belgium, as well as Drs. Richard Hotchkiss and Ken Remy at Washington University in St. Louis, Drs. Lyle Moldawer and Scott Brakenridge at the University of Florida Gainesville, and Dr. Martin A. "Mac" Cheever, Director of the Cancer Immunotherapy Trials Network (CITN) at the Fred Hutchinson Cancer Research Center.

Dr. Remy commented:  "data over the past few months from China, Italy, and the US have demonstrated that patients with COVID-19 infections have a sustained and severe loss of lymphocytes with a profound immune suppression.  Patients who succumb to COVID-19 have the most severe loss of lymphocytes and have a 50% incidence of developing secondary hospital-acquired infections." 

Dr. Hotchkiss explained that "IL-7 has well documented anti-viral activity in immuno-suppressed patients with HIV, hepatitis C, and JC virus.  In addition, in a multi-center Phase II trial that we conducted with RevImmune, CYT107 also reversed lymphopenia (low levels of T cells) and improved immunity in patients with life threatening sepsis. We believe that IL-7/CYT107 represents an important new approach for treating immune-suppressed patients with a variety of infectious diseases."

About RevImmune

RevImmune is a privately held biotech company based in France, the U.S. and the U.K.  RevImmune is in multiple Phase II trials with CYT107 for treatment of sepsis, certain infectious diseases and certain cancers.  Over 440 patients have been treated with CYT107 in RevImmune's prior trials for multiple different viral diseases and sepsis.  CYT107 showed an excellent safety profile and encouraging results in those trials.