Friday, March 31, 2017
Airborne Wireless Network ยื่นเรื่องต่อ FCC ขอใบอนุญาตทดสอบระบบ
นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการให้บริการโซลูชั่น Infinitus Super Highway(TM) ในเชิงพาณิชย์ หลังจากที่มีการจดสิทธิบัตรระบบดังกล่าวมาแล้ว
Airborne Wireless Network (OTCQB: ABWN) ได้ยื่นเอกสารหมายเลข 0378-EX-ST-2017 เพื่อขอใบอนุญาตทดลองจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งสหรัฐอเมริกา (FCC) เพื่อเริ่มประเมินการทำงานของระบบเครือข่ายแบบตาข่ายในลักษณะ air-to-air และ air-to-ground ซึ่งหากได้รับการอนุมัติแล้ว ใบอนุญาตดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถทดสอบเทคโนโลยีที่บริษัทได้จดสิทธิบัตรไว้อย่าง Infinitus Super Highway (TM) ในแง่ของการรับส่งความถี่วิทยุภาคพื้นและบนเครื่องบิน
ระบบสาธิตนี้ได้รับการทดสอบแล้วในห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่งของพันธมิตรที่ทำสัญญากับ Airborne Wireless Network โดยบริษัทจะประเมินผลการทดสอบที่ประสบความสำเร็จ และนำไปผนวกเข้ากับเครื่องบินตัวทดสอบรุ่น Boeing 757 เพื่อดำเนินการติดตั้งภาคพื้น ทดสอบบนลานจอด และประเมินผลขณะบิน
สำหรับการทดสอบขณะบินนั้น บริษัทมีแผนส่งผ่านข้อมูลบรอดแบนด์ระหว่างเครื่องบินบนอากาศกับสถานีภาคพื้น เพื่อประเมินผลการทำงานของเครือข่ายแบบตาข่ายในลักษณะ air-to-air และ air-to-ground
เจสัน เดอ มอส รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการปฏิบัติตามข้อกาหนด บริษัท Airborne Wireless Network กล่าวว่า "เรามีความยินดีอย่างยิ่งกับความคืบหน้าในการเริ่มทดสอบระบบเครือข่ายของเรา เมื่อการทดสอบระบบขณะบินประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว เราก็จะเดินหน้าในระดับที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่การทดสอบบนเครื่องบิน 20 ลำเหนือหมู่เกาะ ซึ่งเรามีแผนจำลองบริการบรอดแบนด์ทั่วโลกแก่ผู้โดยสารบนเครื่องบิน เช่นเดียวกับบนพื้นดิน เรือ และแท่นน้ำมัน Infinitus Super Highway(TM) เป็นเทคโนโลยีแถวหน้าที่ช่วยสร้างเครือข่ายระดับโลก ยกระดับการเชื่อมต่อเหนือขีดจำกัดเดิมๆ ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีแววทำเงินได้กว่าหลายพันล้านจากการอุดช่องว่างด้านการเชื่อมต่อทั่วโลกนี้ เราเชื่อว่า เทคโนโลยีของเราจะเป็นสะพานเชื่อมเครือข่ายภายในศูนย์กลางทางอากาศทั้งหลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Single Point of Failure (เหตุการณ์ที่จุดบกพร่องหรือขัดข้องจุดเดียวทำให้ระบบขัดข้องหรือล่มทั้งระบบ) ลดค่าความหน่วง และกำจัดผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือช่วงกำไรขาลง"
Infinitus Super Highway (TM) เมื่อติดตั้งแล้วจะทำหน้าที่เป็นระบบสื่อสารลักษณะ air-to-air โดยจะกลายเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับฝูงเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ (ที่ให้บริการอยู่แล้ว) เพื่อนำไปแทนที่ดาวเทียมสื่อสารวงโคจรระยะต่ำ Infinitus นำเสนอโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสื่อสารไร้สายบรอดแบนด์ต้นทุนต่ำในลักษณะจุดต่อจุด ด้วยการใช้และดัดแปลงอุปกรณ์ในสถานีถ่ายทอดขนาดเล็ก น้ำหนักเบา กินไฟน้อย และต้นทุนต่ำ ซึ่งได้รับการติดตั้งไว้อยู่แล้วบนเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ เครื่องบินโดยสารที่ติดตั้งโซลูชั่นของบริษัทจะมีช่องทางการสื่อสารไร้สายแบบบรอดแบนด์ (ครอบคลุมในระยะเส้นสายตา) เชื่อมต่อกับเครื่องบินลำอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง หรือสถานีภาคพื้น ซึ่งจะร้อยเรียงกันเป็นห่วงโซ่เครื่องทวนสัญญาณทางอากาศอย่างแนบเนียน คอยทำหน้าที่เป็นเกตเวย์การสื่อสารไร้สายบรอดแบนด์ตลอดเส้นทางบิน โดยเมื่อติดตั้ง Infinitus Super Highway (TM) แล้ว ผู้โดยสารบนเครื่องบินจะสามารถใช้บริการสื่อสารไร้สายแบบบรอดแบนด์ เช่นเดียวกับผู้ใช้งานบนพื้นดิน ตลอดแนวเส้นสายตาของเส้นทางบินจากเครื่องบินโดยสารพาณิชย์
เกี่ยวกับ Airborne Wireless Network
Airborne Wireless Network มุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายทางอากาศความเร็วสูง ด้วยการเชื่อมต่อเครื่องบินพาณิชย์ขณะทำการบิน โดยบริษัทฯ ได้วางแผนว่าเครื่องบินแต่ละลำที่อยู่ในเครือข่ายจะทำหน้าที่เป็นเครื่องทวนสัญญาณ (repeater) หรือเราเตอร์ (router) เพื่อรับ-ส่งสัญญาณบรอดแบรนด์จากเครื่องบินลำหนึ่งไปอีกลำหนึ่ง และสร้างดิจิทัลซูเปอร์ไฮเวย์ในอากาศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังตั้งใจที่จะทำให้เครือข่ายดังกล่าวเป็นช่องทางของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้การเชื่อมต่อครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ได้ให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยหรือผู้ใช้ทั่วไป แต่เจาะจงลูกค้ารายใหญ่อย่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและบริษัทด้านการสื่อสาร เป็นต้น
ปัจจุบัน การเชื่อมต่อทั่วโลกอาศัยสายเคเบิลใต้ทะเล โครงข่ายใยแก้วนำแสงภาคพื้นดิน และดาวเทียม อย่างไรก็ดี Airborne Wireless Network เชื่อว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไฮเวย์ทางอากาศเป็นโซลูชั่นสำคัญที่จะช่วยอุดช่องว่างด้านการเชื่อมต่อทั่วโลก เมื่อเครือข่ายได้รับการพัฒนาและใช้งานอย่างเต็มที่ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และจะทำให้การเชื่อมต่อความเร็วสูงมีต้นทุนต่ำลงทั้งสำหรับพื้นที่ชนบท เกาะต่างๆ เรือที่ล่องอยู่ในทะเล และสถานีขุดเจาะน้ำมัน นอกเหนือไปจากเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนตัว
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.airbornewirelessnetwork.com
ประกาศเรื่องข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต:
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคต ดังที่นิยามไว้ในบทบัญญัติการจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบ (safe harbor provisions) ภายใต้กฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 (Private Securities Litigation Reform Act of 1995) ข้อความคาดการณ์อนาคตอ้างอิงจากความเชื่อและการคาดการณ์ ณ ปัจจุบันของคณะผู้บริหาร อันมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมาย ในกรณีที่สมมติฐานเกิดความคลาดเคลื่อน หรือความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากข้อความคาดการณ์อนาคต
ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ได้แก่ แต่ไม่จำกัดเพียง ความพร้อมของเงินทุน ความไม่แน่นอนจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ และจากการดำเนินงานในฐานะบริษัทที่อยู่ในขั้นของการพัฒนา ความสามารถในการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อนำไปขยายธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความสามารถในการพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีของเราเอง การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เราทำธุรกิจ สภาพอุตสาหกรรมโดยทั่วไป ปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป ผลกระทบของกฎระเบียบในอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และสิทธิบัตรใหม่ของคู่แข่ง อุปสรรคหรือความล่าช้าในการผลิต การพึ่งพาสิทธิบัตรของบริษัท รวมถึงการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งการฟ้องร้องด้านสิทธิบัตร และ/หรือการดำเนินการทางกฎหมาย
ติดต่อ:
Robert Haag
IRTH Communications
โทร: 1-866-976-4784
อีเมล: ABWN@irthcommunications.com
Airborne Wireless Network Files for FCC Experimental License for System Demonstration
- Marking Significant Progress in the Commercialization of Company 's Patented Infinitus Super Highway(TM)
Airborne Wireless Network (OTCQB: ABWN) has filed for an experimental Federal Communication Commission license file number 0378-EX-ST-2017 to begin air-to-air and air-to-ground meshed network system evaluations. Once approved, this license will allow the company to begin ground and flight radio frequency transmission testing of its patented technology, the Infinitus Super Highway(TM).
The demonstration system has been lab tested at one of Airborne Wireless Network's contracted partner facilities. The Company will now take these successful results and bring them to its test bed Boeing 757 aircraft for ground fitting, testing on the tarmac, and eventual flight evaluation.
During this flight demonstration, the Company intends to pass broadband data between airborne aircraft and a ground station, demonstrating the air-to-air and air-to-ground meshed network.
Jason de Mos, Vice President of Business Development and Compliance, said, "We are extremely pleased with the progress we've made to begin testing our network systems. Upon successful completion of this flight demonstration, we will follow up with a larger scale, twenty aircraft test over an island community, where we intend to emulate global broadband services to users onboard the aircraft as well as on the ground, onboard ships and oil platforms. Our Infinitus Super Highway(TM) is on the forefront of creating a global pipeline that takes connectivity beyond current limitations, which is an untapped multi-billion addressable market filling the world's connectivity void. We believe our technology will bridge the network within the airborne hubs to eliminate single points of failure, reduce latency, and virtually eliminate the effect of severe weather, natural disaster or economic downtime."
Once implemented, the Infinitus Super Highway(TM) will be an air-to-air communication system. It will be a new use for the (already existing) fleets of commercial airline aircraft to replace low-earth orbit communication satellites. Infinitus should provide low-cost, broadband wireless communication infrastructure from points-to-points, accomplished by using and modifying existing, small, lightweight low-power, low-cost relay station equipment onboard the commercial airline aircraft. Each equipped aircraft would have a broadband wireless communication link (within line-of-sight coverage ranges) to one or more neighboring aircraft or ground stations, which will form a chain of seamless airborne repeaters providing broadband wireless communication gateways along the entire flight path. Infinitus Super Highway(TM), when implemented, will provide broadband wireless communication services for customers in-flight as well as customers on land, along the line-of-sight ranges of flight path from the commercial airline aircraft.
About Airborne Wireless Network
The Company intends to create a high-speed broadband airborne wireless network by linking commercial aircraft in flight. It is projected that each aircraft participating in the network will act as an airborne repeater or router, sending and receiving broadband signals from one aircraft to the next and creating a digital superhighway in the sky. The Company intends the network to be a high-speed broadband internet pipeline to improve coverage connectivity. The Company does not intend to provide retail customer coverage to end users, but, instead, act as a wholesale carrier with target customers, such as internet service providers and telephone companies.
Currently, the world's connectivity is achieved by use of undersea cables, ground based fiber and satellites. The Company believes that the Company's airborne digital highway may be a solution to fill the world's connectivity void. Once the network is developed and fully implemented, its uses may be limitless. The Company's network, once developed, should provide low-cost, high-speed connectivity to rural areas, island nations, ships at sea, oil platforms, in addition to connectivity to commercial and private aircraft in flight.
For further information see: www.airbornewirelessnetwork.com
Notice Regarding Forward-Looking Statements:
This release includes "forward-looking statements" within the meaning of the safe harbor provisions of the United States Private Securities Litigation Reform Act of 1995. These statements are based upon the current beliefs and expectations of the company's management and are subject to significant risks and uncertainties. If underlying assumptions prove inaccurate or risks or uncertainties materialize, actual results may differ materially from those set forth in the forward-looking statements.
Risks and uncertainties include, but are not limited to, availability of capital; the inherent uncertainties associated with developing new products or technologies and operating as a development stage company; our ability to raise the additional funding we will need to continue to pursue our business and product development plans; our ability to develop and commercialize products based on our technology platform; competition in the industry in which we operate and market; general industry conditions; general economic factors; the impact of industry regulation; technological advances; new products and patents attained by competitors; manufacturing difficulties or delays; dependence on the effectiveness of the company's patents; and the exposure to litigation, including patent litigation, and/or regulatory actions.
Contact:
Robert Haag
IRTH Communications
Phone 1-866-976-4784
ABWN@irthcommunications.com
Airborne Wireless Network (OTCQB: ABWN) has filed for an experimental Federal Communication Commission license file number 0378-EX-ST-2017 to begin air-to-air and air-to-ground meshed network system evaluations. Once approved, this license will allow the company to begin ground and flight radio frequency transmission testing of its patented technology, the Infinitus Super Highway(TM).
The demonstration system has been lab tested at one of Airborne Wireless Network's contracted partner facilities. The Company will now take these successful results and bring them to its test bed Boeing 757 aircraft for ground fitting, testing on the tarmac, and eventual flight evaluation.
During this flight demonstration, the Company intends to pass broadband data between airborne aircraft and a ground station, demonstrating the air-to-air and air-to-ground meshed network.
Jason de Mos, Vice President of Business Development and Compliance, said, "We are extremely pleased with the progress we've made to begin testing our network systems. Upon successful completion of this flight demonstration, we will follow up with a larger scale, twenty aircraft test over an island community, where we intend to emulate global broadband services to users onboard the aircraft as well as on the ground, onboard ships and oil platforms. Our Infinitus Super Highway(TM) is on the forefront of creating a global pipeline that takes connectivity beyond current limitations, which is an untapped multi-billion addressable market filling the world's connectivity void. We believe our technology will bridge the network within the airborne hubs to eliminate single points of failure, reduce latency, and virtually eliminate the effect of severe weather, natural disaster or economic downtime."
Once implemented, the Infinitus Super Highway(TM) will be an air-to-air communication system. It will be a new use for the (already existing) fleets of commercial airline aircraft to replace low-earth orbit communication satellites. Infinitus should provide low-cost, broadband wireless communication infrastructure from points-to-points, accomplished by using and modifying existing, small, lightweight low-power, low-cost relay station equipment onboard the commercial airline aircraft. Each equipped aircraft would have a broadband wireless communication link (within line-of-sight coverage ranges) to one or more neighboring aircraft or ground stations, which will form a chain of seamless airborne repeaters providing broadband wireless communication gateways along the entire flight path. Infinitus Super Highway(TM), when implemented, will provide broadband wireless communication services for customers in-flight as well as customers on land, along the line-of-sight ranges of flight path from the commercial airline aircraft.
About Airborne Wireless Network
The Company intends to create a high-speed broadband airborne wireless network by linking commercial aircraft in flight. It is projected that each aircraft participating in the network will act as an airborne repeater or router, sending and receiving broadband signals from one aircraft to the next and creating a digital superhighway in the sky. The Company intends the network to be a high-speed broadband internet pipeline to improve coverage connectivity. The Company does not intend to provide retail customer coverage to end users, but, instead, act as a wholesale carrier with target customers, such as internet service providers and telephone companies.
Currently, the world's connectivity is achieved by use of undersea cables, ground based fiber and satellites. The Company believes that the Company's airborne digital highway may be a solution to fill the world's connectivity void. Once the network is developed and fully implemented, its uses may be limitless. The Company's network, once developed, should provide low-cost, high-speed connectivity to rural areas, island nations, ships at sea, oil platforms, in addition to connectivity to commercial and private aircraft in flight.
For further information see: www.airbornewirelessnetwork.com
Notice Regarding Forward-Looking Statements:
This release includes "forward-looking statements" within the meaning of the safe harbor provisions of the United States Private Securities Litigation Reform Act of 1995. These statements are based upon the current beliefs and expectations of the company's management and are subject to significant risks and uncertainties. If underlying assumptions prove inaccurate or risks or uncertainties materialize, actual results may differ materially from those set forth in the forward-looking statements.
Risks and uncertainties include, but are not limited to, availability of capital; the inherent uncertainties associated with developing new products or technologies and operating as a development stage company; our ability to raise the additional funding we will need to continue to pursue our business and product development plans; our ability to develop and commercialize products based on our technology platform; competition in the industry in which we operate and market; general industry conditions; general economic factors; the impact of industry regulation; technological advances; new products and patents attained by competitors; manufacturing difficulties or delays; dependence on the effectiveness of the company's patents; and the exposure to litigation, including patent litigation, and/or regulatory actions.
Contact:
Robert Haag
IRTH Communications
Phone 1-866-976-4784
ABWN@irthcommunications.com
US Stock Guru Jim Rogers to Invest in Tiger Brokers
Leading international securities company Tiger Brokers announced that Jim Rogers, the world-renowned investment expert, has signed agreements to become one of the firm's investors.
The investment marks the first attempt of the Wall Street billionaire to ever invest in a Chinese technology startup.
"What Tiger has been doing, which is use technology to trade around the world, reserve a bright future," said Rogers. He is bullish on the growth momentum of China's fintech industry, claiming that the internet-driven transformation across the financial sector will bring benefits to the ever-growing Chinese investors who are demand to optimize their asset allocation. "Everybody will be able to trade in everywhere and Tiger appears in the right place, at the right time," Rogers added.
Wu Tianhua, founder and CEO of Tiger Brokers said: "Tiger Trade is a fintech product designed by the company as a one-stop stock trading platform for global Chinese-speaking investors to conveniently access to cross-border investment portfolio." According to Wu, in addition to access to US stocks, Hong Kong stocks, and China A-shares, the platform, which is available to logon through smartphones or PCs, supports transactions involving securities margin trading in addition to 13,000 US stocks, share options and ETF products.
According to the company, more than $100 million in transactions were booked through Tiger Trade in the first month following the initial launch of the platform in 2015.
In addition to the explosive growth in the number of subscribers, the monthly dollar value of transactions handled through Tiger Trade jumped 22 times by the end of last year, topping $2.2 billion a month.
As a leading online securities broker serving Chinese communities worldwide, Tiger Brokers has been proving its strength in the global investment market. Its initial major shareholders include Xiaomi Technology and China Growth Capital.
The investment marks the first attempt of the Wall Street billionaire to ever invest in a Chinese technology startup.
"What Tiger has been doing, which is use technology to trade around the world, reserve a bright future," said Rogers. He is bullish on the growth momentum of China's fintech industry, claiming that the internet-driven transformation across the financial sector will bring benefits to the ever-growing Chinese investors who are demand to optimize their asset allocation. "Everybody will be able to trade in everywhere and Tiger appears in the right place, at the right time," Rogers added.
Wu Tianhua, founder and CEO of Tiger Brokers said: "Tiger Trade is a fintech product designed by the company as a one-stop stock trading platform for global Chinese-speaking investors to conveniently access to cross-border investment portfolio." According to Wu, in addition to access to US stocks, Hong Kong stocks, and China A-shares, the platform, which is available to logon through smartphones or PCs, supports transactions involving securities margin trading in addition to 13,000 US stocks, share options and ETF products.
According to the company, more than $100 million in transactions were booked through Tiger Trade in the first month following the initial launch of the platform in 2015.
In addition to the explosive growth in the number of subscribers, the monthly dollar value of transactions handled through Tiger Trade jumped 22 times by the end of last year, topping $2.2 billion a month.
As a leading online securities broker serving Chinese communities worldwide, Tiger Brokers has been proving its strength in the global investment market. Its initial major shareholders include Xiaomi Technology and China Growth Capital.
Starcor Launched HVS 2.0 (Hybrid Video Solution) at CCBN2017 in Beijing
Starcor, a major international supplier of video solution and video big data service for global operators, launched its HVS 2.0 (Hybrid Video Solution) at CCBN2017 (China Content Broadcasting Network) held in Beijing, China. As the largest event for broadcasting and networking in Asia, CCBN attracted more than 1,000 companies from 30 countries. Starcor has aroused great interest to its flexible and customizable solution based on its rich industry experience. This has laid a good foundation for the upcoming BroadcastAsia2017 happening in Singapore this May.
Starcor's HVS 2.0 provides a convergent solution of DVB, IPTV and OTT services on unified platform which offers consumers a consistent user experience across multiple content sources, networks, applications and devices. It can also help operators increase market penetration, grow revenues and build customer loyalty. Based on Apache Hadoop architecture, HVS 2.0 offers an innovation solution of video big data analysis for operators, propels transformation from traditional operation to intelligent operation with data-driven decision.
Up to now, Starcor's HVS 2.0 has been successfully deployed in CNTV, MANGO TV, TOPWAY TV and more, which are highly regarded by operators in China. With Starcor's HVS 2.0, endeavoring to promote development and evolution of media convergence technology, operators have eliminated technical barrier of convergent service expansion.
About Starcor
Founded in 2009, Starcor ( www.starcor.com ) devotes to developing end-to-end OTT/IPTV solutions for broadcasters, telecom operators and content providers. Operators around the world deliver compelling television service powered by Starcor platforms every day. Starcor empowers customers to maximize profit and monetize business.
About CNTV
As a subsidiary of CCTV, CNTV specializes in OTT and IPTV services which owns the exclusive IPTV operation license in China. It adopts the uniform IPTV management platform controlling different provinces.
About MANGO TV
MANGO TV is one of the seven OTT license owners in China which contains exclusive, legal, HD programs as well as rich favorable variety shows with more than 20 million OTT users.
About TOPWAY TV
TOPWAY is a triple-play operator in Shenzhen, China, developed from traditional DVB business including Internet access, DVB-C and OTT.
Photo caption: Starcor at CCBN2017 in Beijing |
Starcor's HVS 2.0 provides a convergent solution of DVB, IPTV and OTT services on unified platform which offers consumers a consistent user experience across multiple content sources, networks, applications and devices. It can also help operators increase market penetration, grow revenues and build customer loyalty. Based on Apache Hadoop architecture, HVS 2.0 offers an innovation solution of video big data analysis for operators, propels transformation from traditional operation to intelligent operation with data-driven decision.
Up to now, Starcor's HVS 2.0 has been successfully deployed in CNTV, MANGO TV, TOPWAY TV and more, which are highly regarded by operators in China. With Starcor's HVS 2.0, endeavoring to promote development and evolution of media convergence technology, operators have eliminated technical barrier of convergent service expansion.
About Starcor
Founded in 2009, Starcor ( www.starcor.com ) devotes to developing end-to-end OTT/IPTV solutions for broadcasters, telecom operators and content providers. Operators around the world deliver compelling television service powered by Starcor platforms every day. Starcor empowers customers to maximize profit and monetize business.
About CNTV
As a subsidiary of CCTV, CNTV specializes in OTT and IPTV services which owns the exclusive IPTV operation license in China. It adopts the uniform IPTV management platform controlling different provinces.
About MANGO TV
MANGO TV is one of the seven OTT license owners in China which contains exclusive, legal, HD programs as well as rich favorable variety shows with more than 20 million OTT users.
About TOPWAY TV
TOPWAY is a triple-play operator in Shenzhen, China, developed from traditional DVB business including Internet access, DVB-C and OTT.
New milestones confirm IELTS as the world's leading test of English for international migration and higher education
The number of organisations accepting IELTS (International English Language Testing System) results has reached 10,000, cementing the test's position as the world's leading English language test for education and global migration purposes.
Global recognition is one of the reasons why the number of people taking IELTS continues to grow, with 2.9 million tests taken in 2016.
The growth in recognising organisations -- which include universities, schools, employers, immigration authorities and professional bodies -- is an indication of how these bodies trust and value IELTS results as a secure, valid and reliable indication of a test taker's English language proficiency.
James Shipton, Head of IELTS at the British Council, said: "The world-leading expertise of the three IELTS partners delivers ever-higher standards in test development and delivery, to ensure that IELTS continues to meet the needs of our customers worldwide."
Warwick Freeland, Managing Director at IDP IELTS Australia, said: "Around the world people are choosing to take IELTS to help achieve their lifelong learning, career and migration goals. We are committed to continually improving our customers' experiences especially as IELTS is often taken at a significant juncture of their lives."
IELTS is jointly owned by the British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
Notes to editor
International English Language Testing System (IELTS)
IELTS is the International English Language Testing System, the world's most popular English language proficiency test for higher education and global migration with over 2.9 million tests taken in the last year. Over 10,000 organisations trust and accept IELTS as a secure, valid and reliable indicator of true to life ability to communicate in English for education, immigration and professional accreditation. IELTS is jointly owned by British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
British Council is the United Kingdom's international organisation for education and cultural relations. Dedicated to building trust through the exchange of knowledge between people worldwide, the British Council is represented in over 100 countries.
IDP: IELTS Australia is a subsidiary of IDP Education, one of the world's leading international education organisations offering student placement in Australia, United States of America, Canada, New Zealand and United Kingdom. IDP Education is an ASX listed company that is 50% owned by 38 Australian universities and has more than 47 years' experience in international higher education. IDP: IELTS Australia manages a network of more than 100 IELTS test centres in over 60 countries.
Cambridge English Language Assessment is the world's leading provider of exams for learners of English. Each year these exams are taken by more than 5 million people in 130 countries.
IELTS USA is the American division of IELTS located in Los Angeles, California, responsible for US stakeholder relations, as well as the management and delivery of the IELTS test centre network throughout the United States.
About the test
Test takers are measured in listening, reading, writing and speaking. All tests are scored on a banded system from 1 (the lowest) through to 9 (the highest band).
IELTS offers a choice of two test versions, to serve both academic and non-academic purposes. IELTS Academic measures English language proficiency needed for an academic, higher learning environment. The tasks and texts are accessible to all test takers, irrespective of their subject focus. IELTS General Training measures English language proficiency in a practical, everyday context. The tasks and texts reflect both workplace and social situations. IELTS General Training is suitable for immigration purposes to Australia, Canada, New Zealand and the United Kingdom and Ireland.
A sample of government and professional associations who recognise or require applicants to hold an IELTS test result include:
- Citizenship and Immigration Canada
- Australian Department of Immigration and Border Protection
- UK Visas and Immigration
- Commission on Graduates of Foreign Nursing Schools and National Council of State Boards of Nursing, USA
- International Monetary Fund
Global recognition is one of the reasons why the number of people taking IELTS continues to grow, with 2.9 million tests taken in 2016.
The growth in recognising organisations -- which include universities, schools, employers, immigration authorities and professional bodies -- is an indication of how these bodies trust and value IELTS results as a secure, valid and reliable indication of a test taker's English language proficiency.
James Shipton, Head of IELTS at the British Council, said: "The world-leading expertise of the three IELTS partners delivers ever-higher standards in test development and delivery, to ensure that IELTS continues to meet the needs of our customers worldwide."
Warwick Freeland, Managing Director at IDP IELTS Australia, said: "Around the world people are choosing to take IELTS to help achieve their lifelong learning, career and migration goals. We are committed to continually improving our customers' experiences especially as IELTS is often taken at a significant juncture of their lives."
IELTS is jointly owned by the British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
Notes to editor
International English Language Testing System (IELTS)
IELTS is the International English Language Testing System, the world's most popular English language proficiency test for higher education and global migration with over 2.9 million tests taken in the last year. Over 10,000 organisations trust and accept IELTS as a secure, valid and reliable indicator of true to life ability to communicate in English for education, immigration and professional accreditation. IELTS is jointly owned by British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
British Council is the United Kingdom's international organisation for education and cultural relations. Dedicated to building trust through the exchange of knowledge between people worldwide, the British Council is represented in over 100 countries.
IDP: IELTS Australia is a subsidiary of IDP Education, one of the world's leading international education organisations offering student placement in Australia, United States of America, Canada, New Zealand and United Kingdom. IDP Education is an ASX listed company that is 50% owned by 38 Australian universities and has more than 47 years' experience in international higher education. IDP: IELTS Australia manages a network of more than 100 IELTS test centres in over 60 countries.
Cambridge English Language Assessment is the world's leading provider of exams for learners of English. Each year these exams are taken by more than 5 million people in 130 countries.
IELTS USA is the American division of IELTS located in Los Angeles, California, responsible for US stakeholder relations, as well as the management and delivery of the IELTS test centre network throughout the United States.
About the test
Test takers are measured in listening, reading, writing and speaking. All tests are scored on a banded system from 1 (the lowest) through to 9 (the highest band).
IELTS offers a choice of two test versions, to serve both academic and non-academic purposes. IELTS Academic measures English language proficiency needed for an academic, higher learning environment. The tasks and texts are accessible to all test takers, irrespective of their subject focus. IELTS General Training measures English language proficiency in a practical, everyday context. The tasks and texts reflect both workplace and social situations. IELTS General Training is suitable for immigration purposes to Australia, Canada, New Zealand and the United Kingdom and Ireland.
A sample of government and professional associations who recognise or require applicants to hold an IELTS test result include:
- Citizenship and Immigration Canada
- Australian Department of Immigration and Border Protection
- UK Visas and Immigration
- Commission on Graduates of Foreign Nursing Schools and National Council of State Boards of Nursing, USA
- International Monetary Fund
Sasol Receives Best Corporate Taxpayer Award in Mozambique for Second Time
Sasol Petroleum Temane (SPT) received the award for Best Corporate Taxpayer for 2016 at the Mozambique's Tax Authority's annual event held on 22 March 2017.
The event acknowledged various corporate companies who received certificates of recognition from the Tax Authority Chairperson Amelia Nakhare. This is the second year that SPT has been presented with the award, having received the same award in 2015.
At the event, the Republic of Mozambique Pipeline Company (ROMPCO) received first place in the IRPC (corporate income tax) payable on profit category, ROMPCO is a joint venture between Sasol, Companhia Mocambicana de Gasoduto S.A (CMG), and South African Gas Development Company (SOC) Limited (iGas).
Additionally, Central Termica de Ressano Garcia (CTRG) was awarded first prize in the overall best tax payer in the medium tax payers' group. The CTRG power plant is a partnership between the Mozambican state power utility, Electridade de Mozambique (EDM) - EDM holds (51%) and Sasol (49%) currently producing 175MW which benefits two million Mozambicans.
"We are honoured to have received this acknowledgement from the Mozambican Tax Authority and are proud to have played a pioneering role in the development of the country's gas industry," said Peter Manoogian, Acting Senior Vice President: Exploration and Production International at Sasol.
"Mozambique lies at the center of our growth strategy for Southern Africa, we remain resolute in nurturing our investments in the country and partnering with the Mozambican government and other stakeholders to help stimulate growth to improve the quality of life of Mozambicans," he concluded.
Sasol's commitment to Mozambique began well over a decade ago when, together with its partners, Companhia Mocambicana de Hidrocarbonetos CMH and the International Finance Corporation (IFC) developed the Pande/Temane natural gas project. This project pioneered the monetisation of the Pande and Temane gas fields which had been effectively 'stranded' for over 30 years.
To date, more than $1 billion was delivered to the government of Mozambique. This includes corporate taxes, royalties and social investments, as well as profit share and dividends paid out to state-owned entities by the upstream gas processing and midstream gas transportation projects.
About Sasol:
Sasol is an international integrated chemicals and energy company that leverages the expertise of our 30 100 people working in 33 countries. We develop and commercialise technologies, and build and operate world-scale facilities to produce a range of high-value product streams, including liquid fuels, chemicals and low-carbon electricity.
The event acknowledged various corporate companies who received certificates of recognition from the Tax Authority Chairperson Amelia Nakhare. This is the second year that SPT has been presented with the award, having received the same award in 2015.
At the event, the Republic of Mozambique Pipeline Company (ROMPCO) received first place in the IRPC (corporate income tax) payable on profit category, ROMPCO is a joint venture between Sasol, Companhia Mocambicana de Gasoduto S.A (CMG), and South African Gas Development Company (SOC) Limited (iGas).
Additionally, Central Termica de Ressano Garcia (CTRG) was awarded first prize in the overall best tax payer in the medium tax payers' group. The CTRG power plant is a partnership between the Mozambican state power utility, Electridade de Mozambique (EDM) - EDM holds (51%) and Sasol (49%) currently producing 175MW which benefits two million Mozambicans.
"We are honoured to have received this acknowledgement from the Mozambican Tax Authority and are proud to have played a pioneering role in the development of the country's gas industry," said Peter Manoogian, Acting Senior Vice President: Exploration and Production International at Sasol.
"Mozambique lies at the center of our growth strategy for Southern Africa, we remain resolute in nurturing our investments in the country and partnering with the Mozambican government and other stakeholders to help stimulate growth to improve the quality of life of Mozambicans," he concluded.
Sasol's commitment to Mozambique began well over a decade ago when, together with its partners, Companhia Mocambicana de Hidrocarbonetos CMH and the International Finance Corporation (IFC) developed the Pande/Temane natural gas project. This project pioneered the monetisation of the Pande and Temane gas fields which had been effectively 'stranded' for over 30 years.
To date, more than $1 billion was delivered to the government of Mozambique. This includes corporate taxes, royalties and social investments, as well as profit share and dividends paid out to state-owned entities by the upstream gas processing and midstream gas transportation projects.
About Sasol:
Sasol is an international integrated chemicals and energy company that leverages the expertise of our 30 100 people working in 33 countries. We develop and commercialise technologies, and build and operate world-scale facilities to produce a range of high-value product streams, including liquid fuels, chemicals and low-carbon electricity.
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ (Renesas Electronics) สิงคโปร์ เปิดตัว เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ เพื่อการออกแบบต้นแบบชนิดฝังตัวอย่างง่ายสำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ที่งานไอโอที เอเชีย 2017
เนรมิตสภาพแวดล้อมการสร้างต้นแบบ End-to-End เพื่อเชื่อมต่อการออกแบบกับสำหรับแอปพลิเคชั่นที่มีพื้นฐานวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ มีเกณฑ์กำหนดและการคาดการณ์
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ สิงคโปร์ ผู้นำโซลูชั่นเซมิคอนดัคเตอร์ขั้นสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และโอเชียเนีย ประกาศวานนี้ว่าจะเปิดตัวเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ณ งานไอโอที เอเชีย 2017 ที่บูธ D05 วันที่ 29-30 มีนาคม 2560 ที่ประเทศสิงคโปร์ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) เป็นสภาพแวดล้อมบนพื้นฐานของเครือข่ายคลาวด์ที่ครอบคลุมเพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สร้างโซลูชั่นต้นแบบเพื่อการใช้งาน IoT และสามารถเร่งรัดพัฒนาไอเดียนวัตกรรมระดับใหญ่และใหม่สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ทำให้นักพัฒนาระบบสามารถประมวลข้อมูลอัจฉริยะที่เป็นแบบเฉพาะของตนได้ โดยทำงานร่วมกับเรเนซัส ซินเนอร์จี้(TM) แพลตฟอร์มและไมโครคอนทรอลเลอร์ (MCUs) ตระกูล RL78 และตระกูล RX ของเรเนซัส กับไมโครโพรเซสเซอร์ (MPUs) ตระกูล RZ ของเรเนซัส และโดยที่นักพัฒนาระบบสามารถใช้งานเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) เพื่อพัฒนาต้นแบบ end-to-end prototype ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุปกรณ์สวมใส่ระบบควบคุมอัตโนมัติภายในอาคาร และผลิตภัณฑ์ IoT อื่นๆ ด้วยข้อมูลแบบเกือบเรียลไทม์เพื่อรองรับกิจกรรมอัจฉริยะที่เป็นแบบเฉพาะของตนได้
"ในอุตสาหกรรมไอโอทีที่กำลังมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วกลุ่มคนที่ไม่สามารถนำสินค้าที่มีมูลค่าความแตกต่างลงสู่ตลาดก่อนจะเกิดการเสียเปรียบโดยทันที" มร.รอนนี่ โฮ (Ronnie Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดทั่วไป บริษัท เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศ สิงคโปร์ กล่าวเพิ่มเติม "เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ให้บริการกล่องเครื่องมือที่ง่ายต่อการใช้งาน ที่ช่วยเปลี่ยนไอเดียของสินค้า ให้กลายเป็นต้นแบบ ในรูปแบบที่ปลอดภัยและทำให้ลูกค้าสามารถผสมผสานเข้าไปกับคลาวด์ พร้อมทั้งฝังลงไปในอุปกรณ์ เพื่อที่จะสามารถนำข้อมูลอันชาญฉลาดที่มีขนาดใหญ่ให้เชื่อมต่อสู่แอพพลิเคชั่น"
เรเนซัสและพันธมิตรโซลูชั่นจะได้แสดงการสาธิตภายใต้แนวคิด "เรเนซัส ผู้เปิดทางไอเดียใหญ่ๆ สำหรับทุกพื้นที่ หรือ "Renesas – Enabler of Big Ideas for Every Space" ภายในงานไอโอที เอเชีย 2017นอกเหนือจาก เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) แล้วยังจะมีการสาธิตโซลูชั่น IoT ที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเครือข่าย LoRaWAN(TM) โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เรเนซัสได้เข้าร่วมพันธมิตร LoRa Alliance(TM) เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโซลูชั่นที่ใช้ MCU ด้วยเทคโนโลยีของ LoRaWAN สำหรับระบบ IoT1ที่หลากหลาย[1]
ไฮไลต์ของบูธ เรเนซัสที่ใช้เทคโนโลยี IoT และ LoRaWAN ใหม่ล่าสุดรวมไปถึง:
- PLC Smart Sockets (สาธิตร่วมกับพันธมิตรบริษัท อาร์เอฟคอม เทคโนโลยี จำกัด) ระบบการตรวจสอบการใช้พลังงานภายในบ้านแบบอัจฉริยะบนพื้นฐานโซลูชั่นโมเด็ม PLC ที่ยืดหยุ่นของเรเนซัส และ RL78/I1C Group ที่สามารถวัดการบริโภคพลังงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในขณะที่สามารถให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลนั้นบนสมาร์ทโฟนผ่านเครือข่ายคลาวด์
- โซลูชั่นการจัดการของเสีย (สาธิตร่วมกับพันธมิตร บริษัท เน็กซ์แทน จำกัด) ด้วยระบบซอฟต์แวร์ข้อมูลอัฉริยะบนเครือข่ายคลาวด์และเซ็นเซอร์อุลตร้าโซนิคแบบไร้สายเพื่อตรวจสอบปริมาณของเสียในระบบ เส้นทางการขนย้าย ประวัติการจัดเก็บ และการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย โดยเป็นโซลูชั่นที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ เรเนซัส ซินเนอร์จี้แพลตฟอร์ม (Renesas Synergy Platform)
- ระบบจอดรถอัจฉริยะ (สาธิตร่วมกับพันธมิตร บริษัท เน็กซ์แทน จำกัด) สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ เรเนซัส ซินเนอร์จี้แพลตฟอร์ม (Renesas Synergy Platform) สามารถระบุตำแหน่งที่จอดรถที่ว่างแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟแวร์อัจฉริยะบนเครือข่ายคลาวด์ที่รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่จอดรถแบบไร้สายซึ่งใช้เทคโนโลยีล่าสุดด้าน IoT และเครือข่าย LoRaWAN
[1] LoRa Alliance(TM) คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งให้การสนับสนุน LoRaWAN ให้ได้มาตรฐานและผลักดันการนำ LoRaWAN มาใช้ในวงกว้าง
เกี่ยวกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox)
ด้วยการใช้บริการทางคลาวด์ที่เหนือชั้นจาก Medium One หนึ่งในบริษัทบริการอัจฉริยภาพข้อมูล (Data Intelligence) และผู้นำด้านInternet of Things หรือ IoT เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ได้บูรณาการไมโครคอนทรอลเลอร์ (MCUs) แบบฝังตัวของเรเนซัส กับซอฟต์แวร์เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์ที่หลากหลาย อีกทั้งควบคุมผลของข้อมูลออกของอุปกรณ์รอบข้างเช่น จอแสดงผลแบบสัมผัสและตัวขับ รวมทั้งเชื่อมต่อกับวิทยุไร้สายและอินเตอร์เฟสตัวต่อประสานแบบใช้สายเพื่อให้มีการสื่อสารแบบสองทางกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ที่เป็นศูนย์กลางประมวลข้อมูล ซึ่งองค์ประกอบทั้งหลายจะได้ถูกนำมาด้วยกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ IoT แบบend-to-end ฉะนั้น เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) จะช่วยให้นักออกแบบและนักพัฒนาสามารถทำงานได้อย่างชัดเจนจากขั้นต้นแบบถึงการผลิตจริง
ส่วนการสร้างความมั่นคงในการเชื่อมต่อได้ใช้โพรโทคอล MQTT บน TLS สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเรเนซัส ดีไวท์กับชุดอุปกรณ์อื่นๆ และกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) อีกทั้งยังสนับสนุนการเชื่อมต่อหลายรูปแบบรวมทั้งบลูทูธ (Bluetooth (R)), LoRa (R), อีเธอร์เน็ต, ไวไฟ และ เครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ LTE โดยคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่นสำหรับนักพัฒนาระบบในการเลือกสรรแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการประยุกต์แต่ละงาน
ความพร้อมใช้งาน
ใบอนุญาตแบบประเมิน (evaluative license) พร้อมให้ทดลองใช้สำหรับเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.renesas.com/iotsandbox ผู้ใช้ที่สนใจย้ายจากต้นแบบไปยังการผลิตจริงสามารถย้ายได้อย่างราบรื่นไปยังเครือข่ายคลาวด์การผลิตด้วยใบอนุญาตการผลิต (production license) ผ่าน MediumOne (รายละเอียดและเงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า)
เกี่ยวกับ LoRa Alliance(TM)
LoRa Alliance(TM) คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่เปิดให้ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสมาชิกมากกว่า 400 รายนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือนมีนาคม 2558 ปัจจุบัน LoRa Alliance(TM) เป็นหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเติบโตรวดเร็วที่สุดในภาคเทคโนโลยีสมาชิกของสมาคมมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อสนับสนุนโปรโตคอล LoRaWAN(TM) ให้เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบเปิด IoT LPWA ที่มีความปลอดภัยชั้นนำของโลก
ด้วยความยืดหยุ่นทางเทคนิคเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน IoT ที่หลากหลายทั้งแบบคงที่และเคลื่อนที่ พร้อมมีโครงการการรับรองที่ยืนยันประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน LoRaWAN(TM) กำลังถูกติดตั้งใช้งานทั่วโลกโดยบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และจะมีการขยายให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในปี พ.ศ. 2560
เกี่ยวกับLoRaWAN(TM)
เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่าย LoRaWAN ได้รับการออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และมีต้นทุนต่ำในระยะไกลท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้หรือมีต้นทุนสูงเกินกว่าที่จะเชื่อมต่อได้ ด้วยศักยภาพการเจาะผ่านแบบพิเศษ เกตเวย์ LoRaWAN ที่ติดตั้งในอาคารหรือตึกสูงสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ได้ไกลกว่า 10 ไมล์หรือมิเตอร์น้ำที่ติดตั้งอยู่ในชั้นใต้ดิน โปรโตคอล LoRaWAN มอบคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะและมีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านการเชื่อมต่อสองทิศทาง ความปลอดภัย ความสามารถในการเคลื่อนที่ และความแม่นยำในการปรับใช้งานที่เทคโนโลยี LPWAN แบบอื่นๆไม่สามารถทำได้ คุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยรองรับการใช้งานและโมเดลธุรกิจที่หลากหลายซึ่งส่งเสริมการใช้งานเครือข่าย LPWAN IoT ทั่วโลก
ติดต่อ:media@LoRaAlliance.org
เกี่ยวกับเรเนซัสอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสิงคโปร์ (Renesas Electronics Singapore)
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสิงคโปร์ (Renesas Electronics Singapore) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัทเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ (Renesas Electronics) (หมายเลขที่ตลาดหุ้นโตเกียว TSE: 6723) ผู้จัดจำหน่าย เซมิคอนดัคเตอร์ โซลูชั่น (semiconductor solutions) ที่สามารถรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อมากมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นอยู่และการทำงาน ให้มั่นคงและปลอดภัย เป็นอันดับหนึ่งของผู้นำด้านการจัดจำหน่ายไมโครคอนโทรลเลอร์ (microcontroller) และยังเป็นผู้นำนวัตกรรมโลกในการเลือกใช้ อนาล็อก พาวเวอร์ (Analog & Power) และสินค้าจำพวก เอสโอซี (SoC) ชั้นเยี่ยม เรเนซัส (Renesas) ครอบคลุมตลาดการวางระบบอัตโนมัติ ด้านอุตสหากรรม ที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน รวมถึงแอพพลิเคชั่นเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อช่วยพัฒนาให้อนาคตก้าวไกลอย่างไร้ขีดจำกัด
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ สิงค์โปร์ (Renesas Electronics Singapore) ครอบคลุมตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดียและโอเชียเนีย รวมถึงบริษัทในเครืออย่างเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศอินเดีย (Renesas Electronics India Pvt. Ltd.) และเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศมาเลเซีย (Renesas Electronics Malaysia Sdn. Bhd.) ข้อมูลเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่ renesas.com
(หมายเหตุ) Renesas Synergy เป็นเครื่องหมายทางการค้าของ Renesas Electronics CorporationLoRa, LoRa Alliance และ LoRaWAN เป็นเครื่องหมายทางการค้าจดทะเบียน หรือ เครื่องหมายทางการค้าแต่เพียงผู้เดียวของ Semtech Corporation (หรือ"Semtech") บลูทูธ (Bluetooth) เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Bluetooth SIG, Inc. Renesas Synergy เป็นเครื่องหมายทางการค้าของ Renesas Electronics Corporation ทั้งนี้เครื่องหมายทางการค้าจดทะเบียน และเครื่องหมายทางการค้าอื่นใดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเครื่องหมายทางการค้านั้นๆ
สำหรับสื่อมวลชน
ลิลลี่ ลิม (Lily Lim)
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์
+65 6213 0234
Lily.lim.yk@renesas.com
นาตาชา จายา
Porter Novelli สำหรับเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์
+65 8360 1287
Natashia.jaya@porternovelli.com
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ สิงคโปร์ ผู้นำโซลูชั่นเซมิคอนดัคเตอร์ขั้นสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และโอเชียเนีย ประกาศวานนี้ว่าจะเปิดตัวเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ณ งานไอโอที เอเชีย 2017 ที่บูธ D05 วันที่ 29-30 มีนาคม 2560 ที่ประเทศสิงคโปร์ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) เป็นสภาพแวดล้อมบนพื้นฐานของเครือข่ายคลาวด์ที่ครอบคลุมเพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สร้างโซลูชั่นต้นแบบเพื่อการใช้งาน IoT และสามารถเร่งรัดพัฒนาไอเดียนวัตกรรมระดับใหญ่และใหม่สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ทำให้นักพัฒนาระบบสามารถประมวลข้อมูลอัจฉริยะที่เป็นแบบเฉพาะของตนได้ โดยทำงานร่วมกับเรเนซัส ซินเนอร์จี้(TM) แพลตฟอร์มและไมโครคอนทรอลเลอร์ (MCUs) ตระกูล RL78 และตระกูล RX ของเรเนซัส กับไมโครโพรเซสเซอร์ (MPUs) ตระกูล RZ ของเรเนซัส และโดยที่นักพัฒนาระบบสามารถใช้งานเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) เพื่อพัฒนาต้นแบบ end-to-end prototype ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุปกรณ์สวมใส่ระบบควบคุมอัตโนมัติภายในอาคาร และผลิตภัณฑ์ IoT อื่นๆ ด้วยข้อมูลแบบเกือบเรียลไทม์เพื่อรองรับกิจกรรมอัจฉริยะที่เป็นแบบเฉพาะของตนได้
"ในอุตสาหกรรมไอโอทีที่กำลังมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วกลุ่มคนที่ไม่สามารถนำสินค้าที่มีมูลค่าความแตกต่างลงสู่ตลาดก่อนจะเกิดการเสียเปรียบโดยทันที" มร.รอนนี่ โฮ (Ronnie Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดทั่วไป บริษัท เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศ สิงคโปร์ กล่าวเพิ่มเติม "เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ให้บริการกล่องเครื่องมือที่ง่ายต่อการใช้งาน ที่ช่วยเปลี่ยนไอเดียของสินค้า ให้กลายเป็นต้นแบบ ในรูปแบบที่ปลอดภัยและทำให้ลูกค้าสามารถผสมผสานเข้าไปกับคลาวด์ พร้อมทั้งฝังลงไปในอุปกรณ์ เพื่อที่จะสามารถนำข้อมูลอันชาญฉลาดที่มีขนาดใหญ่ให้เชื่อมต่อสู่แอพพลิเคชั่น"
เรเนซัสและพันธมิตรโซลูชั่นจะได้แสดงการสาธิตภายใต้แนวคิด "เรเนซัส ผู้เปิดทางไอเดียใหญ่ๆ สำหรับทุกพื้นที่ หรือ "Renesas – Enabler of Big Ideas for Every Space" ภายในงานไอโอที เอเชีย 2017นอกเหนือจาก เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) แล้วยังจะมีการสาธิตโซลูชั่น IoT ที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเครือข่าย LoRaWAN(TM) โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เรเนซัสได้เข้าร่วมพันธมิตร LoRa Alliance(TM) เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโซลูชั่นที่ใช้ MCU ด้วยเทคโนโลยีของ LoRaWAN สำหรับระบบ IoT1ที่หลากหลาย[1]
ไฮไลต์ของบูธ เรเนซัสที่ใช้เทคโนโลยี IoT และ LoRaWAN ใหม่ล่าสุดรวมไปถึง:
- PLC Smart Sockets (สาธิตร่วมกับพันธมิตรบริษัท อาร์เอฟคอม เทคโนโลยี จำกัด) ระบบการตรวจสอบการใช้พลังงานภายในบ้านแบบอัจฉริยะบนพื้นฐานโซลูชั่นโมเด็ม PLC ที่ยืดหยุ่นของเรเนซัส และ RL78/I1C Group ที่สามารถวัดการบริโภคพลังงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในขณะที่สามารถให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลนั้นบนสมาร์ทโฟนผ่านเครือข่ายคลาวด์
- โซลูชั่นการจัดการของเสีย (สาธิตร่วมกับพันธมิตร บริษัท เน็กซ์แทน จำกัด) ด้วยระบบซอฟต์แวร์ข้อมูลอัฉริยะบนเครือข่ายคลาวด์และเซ็นเซอร์อุลตร้าโซนิคแบบไร้สายเพื่อตรวจสอบปริมาณของเสียในระบบ เส้นทางการขนย้าย ประวัติการจัดเก็บ และการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย โดยเป็นโซลูชั่นที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ เรเนซัส ซินเนอร์จี้แพลตฟอร์ม (Renesas Synergy Platform)
- ระบบจอดรถอัจฉริยะ (สาธิตร่วมกับพันธมิตร บริษัท เน็กซ์แทน จำกัด) สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ เรเนซัส ซินเนอร์จี้แพลตฟอร์ม (Renesas Synergy Platform) สามารถระบุตำแหน่งที่จอดรถที่ว่างแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟแวร์อัจฉริยะบนเครือข่ายคลาวด์ที่รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่จอดรถแบบไร้สายซึ่งใช้เทคโนโลยีล่าสุดด้าน IoT และเครือข่าย LoRaWAN
[1] LoRa Alliance(TM) คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งให้การสนับสนุน LoRaWAN ให้ได้มาตรฐานและผลักดันการนำ LoRaWAN มาใช้ในวงกว้าง
เกี่ยวกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox)
ด้วยการใช้บริการทางคลาวด์ที่เหนือชั้นจาก Medium One หนึ่งในบริษัทบริการอัจฉริยภาพข้อมูล (Data Intelligence) และผู้นำด้านInternet of Things หรือ IoT เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ได้บูรณาการไมโครคอนทรอลเลอร์ (MCUs) แบบฝังตัวของเรเนซัส กับซอฟต์แวร์เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์ที่หลากหลาย อีกทั้งควบคุมผลของข้อมูลออกของอุปกรณ์รอบข้างเช่น จอแสดงผลแบบสัมผัสและตัวขับ รวมทั้งเชื่อมต่อกับวิทยุไร้สายและอินเตอร์เฟสตัวต่อประสานแบบใช้สายเพื่อให้มีการสื่อสารแบบสองทางกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) ที่เป็นศูนย์กลางประมวลข้อมูล ซึ่งองค์ประกอบทั้งหลายจะได้ถูกนำมาด้วยกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ IoT แบบend-to-end ฉะนั้น เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) จะช่วยให้นักออกแบบและนักพัฒนาสามารถทำงานได้อย่างชัดเจนจากขั้นต้นแบบถึงการผลิตจริง
ส่วนการสร้างความมั่นคงในการเชื่อมต่อได้ใช้โพรโทคอล MQTT บน TLS สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเรเนซัส ดีไวท์กับชุดอุปกรณ์อื่นๆ และกับ เรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) อีกทั้งยังสนับสนุนการเชื่อมต่อหลายรูปแบบรวมทั้งบลูทูธ (Bluetooth (R)), LoRa (R), อีเธอร์เน็ต, ไวไฟ และ เครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ LTE โดยคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่นสำหรับนักพัฒนาระบบในการเลือกสรรแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการประยุกต์แต่ละงาน
ความพร้อมใช้งาน
ใบอนุญาตแบบประเมิน (evaluative license) พร้อมให้ทดลองใช้สำหรับเรเนซัส ไอโอที แซนบ๊อกซ์ (Renesas IoT Sandbox) สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.renesas.com/iotsandbox ผู้ใช้ที่สนใจย้ายจากต้นแบบไปยังการผลิตจริงสามารถย้ายได้อย่างราบรื่นไปยังเครือข่ายคลาวด์การผลิตด้วยใบอนุญาตการผลิต (production license) ผ่าน MediumOne (รายละเอียดและเงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า)
เกี่ยวกับ LoRa Alliance(TM)
LoRa Alliance(TM) คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่เปิดให้ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสมาชิกมากกว่า 400 รายนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือนมีนาคม 2558 ปัจจุบัน LoRa Alliance(TM) เป็นหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเติบโตรวดเร็วที่สุดในภาคเทคโนโลยีสมาชิกของสมาคมมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อสนับสนุนโปรโตคอล LoRaWAN(TM) ให้เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบเปิด IoT LPWA ที่มีความปลอดภัยชั้นนำของโลก
ด้วยความยืดหยุ่นทางเทคนิคเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน IoT ที่หลากหลายทั้งแบบคงที่และเคลื่อนที่ พร้อมมีโครงการการรับรองที่ยืนยันประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน LoRaWAN(TM) กำลังถูกติดตั้งใช้งานทั่วโลกโดยบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และจะมีการขยายให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในปี พ.ศ. 2560
เกี่ยวกับLoRaWAN(TM)
เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่าย LoRaWAN ได้รับการออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และมีต้นทุนต่ำในระยะไกลท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้หรือมีต้นทุนสูงเกินกว่าที่จะเชื่อมต่อได้ ด้วยศักยภาพการเจาะผ่านแบบพิเศษ เกตเวย์ LoRaWAN ที่ติดตั้งในอาคารหรือตึกสูงสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ได้ไกลกว่า 10 ไมล์หรือมิเตอร์น้ำที่ติดตั้งอยู่ในชั้นใต้ดิน โปรโตคอล LoRaWAN มอบคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะและมีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านการเชื่อมต่อสองทิศทาง ความปลอดภัย ความสามารถในการเคลื่อนที่ และความแม่นยำในการปรับใช้งานที่เทคโนโลยี LPWAN แบบอื่นๆไม่สามารถทำได้ คุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยรองรับการใช้งานและโมเดลธุรกิจที่หลากหลายซึ่งส่งเสริมการใช้งานเครือข่าย LPWAN IoT ทั่วโลก
ติดต่อ:media@LoRaAlliance.org
เกี่ยวกับเรเนซัสอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสิงคโปร์ (Renesas Electronics Singapore)
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสิงคโปร์ (Renesas Electronics Singapore) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัทเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ (Renesas Electronics) (หมายเลขที่ตลาดหุ้นโตเกียว TSE: 6723) ผู้จัดจำหน่าย เซมิคอนดัคเตอร์ โซลูชั่น (semiconductor solutions) ที่สามารถรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อมากมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นอยู่และการทำงาน ให้มั่นคงและปลอดภัย เป็นอันดับหนึ่งของผู้นำด้านการจัดจำหน่ายไมโครคอนโทรลเลอร์ (microcontroller) และยังเป็นผู้นำนวัตกรรมโลกในการเลือกใช้ อนาล็อก พาวเวอร์ (Analog & Power) และสินค้าจำพวก เอสโอซี (SoC) ชั้นเยี่ยม เรเนซัส (Renesas) ครอบคลุมตลาดการวางระบบอัตโนมัติ ด้านอุตสหากรรม ที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน รวมถึงแอพพลิเคชั่นเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อช่วยพัฒนาให้อนาคตก้าวไกลอย่างไร้ขีดจำกัด
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ สิงค์โปร์ (Renesas Electronics Singapore) ครอบคลุมตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดียและโอเชียเนีย รวมถึงบริษัทในเครืออย่างเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศอินเดีย (Renesas Electronics India Pvt. Ltd.) และเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศมาเลเซีย (Renesas Electronics Malaysia Sdn. Bhd.) ข้อมูลเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่ renesas.com
(หมายเหตุ) Renesas Synergy เป็นเครื่องหมายทางการค้าของ Renesas Electronics CorporationLoRa, LoRa Alliance และ LoRaWAN เป็นเครื่องหมายทางการค้าจดทะเบียน หรือ เครื่องหมายทางการค้าแต่เพียงผู้เดียวของ Semtech Corporation (หรือ"Semtech") บลูทูธ (Bluetooth) เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Bluetooth SIG, Inc. Renesas Synergy เป็นเครื่องหมายทางการค้าของ Renesas Electronics Corporation ทั้งนี้เครื่องหมายทางการค้าจดทะเบียน และเครื่องหมายทางการค้าอื่นใดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเครื่องหมายทางการค้านั้นๆ
สำหรับสื่อมวลชน
ลิลลี่ ลิม (Lily Lim)
เรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์
+65 6213 0234
Lily.lim.yk@renesas.com
นาตาชา จายา
Porter Novelli สำหรับเรเนซัส อิเล็กทรอนิกส์
+65 8360 1287
Natashia.jaya@porternovelli.com
Symetis and Boston Scientific Reach USD 435 Million Purchase Agreement
- Definitive purchase agreement whereby Boston Scientific will acquire Symetis for $435 million in an all cash, up-front payment
- Acquisition of Symetis will expand the treatment offerings for patients with aortic valvular heart disease
- Acquisition projected to close during the second quarter of 2017, subject to customary closing conditions
- Symetis' IPO launched on Euronext Paris and very well received by the investment community, has been halted
Symetis, a medical technology company specializing in the development, manufacturing and marketing of percutaneous heart valve replacement solutions for the treatment of severe cardiac valve conditions, today announced that it has agreed to be acquired by Boston Scientific for $435 million in an all cash, up-front payment.
The acquisition of Symetis by Boston Scientific will allow the company to extend its reach and expand the treatment offerings for patients with aortic valvular heart disease worldwide. The combination of Symetis' ACURATE valves with the Boston Scientific Lotus(TM) valve platform, will also enable interventional cardiologists and cardiac surgeons to address varying patient pathologies and anatomies with two complementary and compelling technologies.
Jacques R. Essinger, Ph.D. and CEO, Symetis, commented "Over the past years, Symetis matured into a TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) player with fast growth and a solid clinical reputation. The IPO that we were pursuing until yesterday on Euronext Paris was meant to give Symetis the means to commercially expand beyond Europe and to further grow into the exciting field of structural heart. We are very pleased by the positive response we received from the investment community, which we want to thank for the interest it has shown in Symetis. However, as of today, the company is taking another path by joining Boston Scientific. The global scale and strong legacy of Boston Scientific in interventional cardiology will further propel Symetis' clinical excellence. As a result, we can expect more patients to be better treated for valvular heart disease globally. Moving forward, this means an exciting development path for the Symetis team."
Dominik Ellenrieder, Symetis' Chairman, added "Growing at a strong and sustained CAGR of 55% since 2012, Symetis is a success story in the structural heart market. This purchase agreement is a recognition of Symetis' research and development track record in addressing patients' needs with innovative structural heart technologies, the company's manufacturing expertise and its strong relationships with doctors and healthcare professionals. We are excited about the strong potential of our combined strengths to set a new standard in the TAVI market with a broad and clinically differentiated offering."
Following the purchase agreement reached with Boston Scientific, the IPO launched on 20 March 2017 by Symetis on Euronext Paris, very well received by the investment community and which was originally expected to be completed on 31 March 2017, has been halted. The acquisition of Symetis by Boston Scientific is projected to close during the second quarter of 2017, subject to customary closing conditions.
About Symetis
Symetis, founded in 2001, is a medical technology company specializing in the development, manufacturing and marketing of percutaneous heart valve replacement solutions for the treatment of severe cardiac valve conditions.
Symetis' products, ACURATE TA(TM) and ACURATE neo/TF, and their delivery systems are based on proprietary design and delivery technologies and are marketed and sold in key markets in Europe and in other geographies. Symetis' innovative TAVI solutions are recognized by intervention cardiologists and surgeons for their clinical performance and ease of use.
Growing at a strong and sustained CAGR of 55% since 2012, the company generated revenues of CHF 38.4 million in 2016.
Symetis is a Swiss company with corporate headquarters in Ecublens, Switzerland and its products are produced in Switzerland and Brazil.
For more information visit http://www.symetis.com
Symetis
Khaled Bahi - Chief Financial Officer
+41(0)-21-651-01-60
investors@symetis.com
Weber Shandwick
Alphonse Daudre-Vignier
+41-(0)-79-127-63-58
adaudre-vignier@webershandwick.com
Source: SYMETIS SA
- Acquisition of Symetis will expand the treatment offerings for patients with aortic valvular heart disease
- Acquisition projected to close during the second quarter of 2017, subject to customary closing conditions
- Symetis' IPO launched on Euronext Paris and very well received by the investment community, has been halted
Symetis, a medical technology company specializing in the development, manufacturing and marketing of percutaneous heart valve replacement solutions for the treatment of severe cardiac valve conditions, today announced that it has agreed to be acquired by Boston Scientific for $435 million in an all cash, up-front payment.
The acquisition of Symetis by Boston Scientific will allow the company to extend its reach and expand the treatment offerings for patients with aortic valvular heart disease worldwide. The combination of Symetis' ACURATE valves with the Boston Scientific Lotus(TM) valve platform, will also enable interventional cardiologists and cardiac surgeons to address varying patient pathologies and anatomies with two complementary and compelling technologies.
Jacques R. Essinger, Ph.D. and CEO, Symetis, commented "Over the past years, Symetis matured into a TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) player with fast growth and a solid clinical reputation. The IPO that we were pursuing until yesterday on Euronext Paris was meant to give Symetis the means to commercially expand beyond Europe and to further grow into the exciting field of structural heart. We are very pleased by the positive response we received from the investment community, which we want to thank for the interest it has shown in Symetis. However, as of today, the company is taking another path by joining Boston Scientific. The global scale and strong legacy of Boston Scientific in interventional cardiology will further propel Symetis' clinical excellence. As a result, we can expect more patients to be better treated for valvular heart disease globally. Moving forward, this means an exciting development path for the Symetis team."
Dominik Ellenrieder, Symetis' Chairman, added "Growing at a strong and sustained CAGR of 55% since 2012, Symetis is a success story in the structural heart market. This purchase agreement is a recognition of Symetis' research and development track record in addressing patients' needs with innovative structural heart technologies, the company's manufacturing expertise and its strong relationships with doctors and healthcare professionals. We are excited about the strong potential of our combined strengths to set a new standard in the TAVI market with a broad and clinically differentiated offering."
Following the purchase agreement reached with Boston Scientific, the IPO launched on 20 March 2017 by Symetis on Euronext Paris, very well received by the investment community and which was originally expected to be completed on 31 March 2017, has been halted. The acquisition of Symetis by Boston Scientific is projected to close during the second quarter of 2017, subject to customary closing conditions.
About Symetis
Symetis, founded in 2001, is a medical technology company specializing in the development, manufacturing and marketing of percutaneous heart valve replacement solutions for the treatment of severe cardiac valve conditions.
Symetis' products, ACURATE TA(TM) and ACURATE neo/TF, and their delivery systems are based on proprietary design and delivery technologies and are marketed and sold in key markets in Europe and in other geographies. Symetis' innovative TAVI solutions are recognized by intervention cardiologists and surgeons for their clinical performance and ease of use.
Growing at a strong and sustained CAGR of 55% since 2012, the company generated revenues of CHF 38.4 million in 2016.
Symetis is a Swiss company with corporate headquarters in Ecublens, Switzerland and its products are produced in Switzerland and Brazil.
For more information visit http://www.symetis.com
Symetis
Khaled Bahi - Chief Financial Officer
+41(0)-21-651-01-60
investors@symetis.com
Weber Shandwick
Alphonse Daudre-Vignier
+41-(0)-79-127-63-58
adaudre-vignier@webershandwick.com
Source: SYMETIS SA
Thursday, March 30, 2017
The Mikey Czech Foundation บริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้ Dana-Farber Cancer Institute เพื่อใช้วิจัยโรคเนื้องอกสมองในเด็ก DIPG
The Mikey Czech Foundation, Inc. ( www.mikeyczech.org ) มูลนิธิไม่แสวงผลกำไรตามมาตรา 501(c)(3) ที่ก่อตั้งโดยสตีเฟน เจ. และเจนนิเฟอร์ แอล. เชค เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการวิจัยโรคเนื้องอกสมองในเด็ก ประกาศบริจาคเงิน 1,000,000 ดอลลาร์ให้แก่ศูนย์ประสาทและเนื้องอกวิทยาในเด็ก แห่งสถาบันมะเร็ง Dana-Farber Cancer Institute ในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งบริหารงานโดยดร.นพ.มาร์ค ดับเบิลยู. เคียแรน โดยเงินบริจาคดังกล่าวถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดที่ทางสถาบันเคยได้รับมาเพื่อใช้ในการวิจัยโรค Diffuse Intrinsic Pontine Glioma (DIPG) ซึ่งเป็นเนื้องอกสมองในเด็กที่คร่าชีวิตเจมส์ ไมเคิล "ไมกี้" เชค วัย 11 ขวบ ในปี 2551
DIPG เป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณก้านสมองและส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทสมองของเด็กวัย 3-16 ปี โดยจะทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อตาและใบหน้า รวมถึงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืน ผู้ป่วยจะมีอาการเห็นภาพซ้อน ปิดตาไม่สนิท ใบหน้าหย่อนข้างเดียว และเคี้ยวกลืนลำบาก เนื้องอกประเภทนี้ยังส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทสั่งการส่วนบนของสมอง ทำให้แขนขาอ่อนแรง พูดและเดินได้ลำบาก เมื่อเนื้องอกโตขึ้น เด็กๆจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมแขนขา จากนั้นจะสูญเสียความสามารถในการกลืนและหายใจ ทว่าผู้ป่วยจะยังมีสติครบถ้วนและรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดกับตัวเอง เด็กๆแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเกิน 12-14 เดือน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค DIPG ที่ได้ผล ดังนั้น เราจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการรักษาใหม่ๆอย่างเร่งด่วน
สตีฟ เชค พ่อของไมกี้ ซึ่งเป็นประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง The Mikey Czech Foundation กล่าวว่า "การหาทางรักษาโรค DIPG จำเป็นต้องมี (1) แหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน (2) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทและเนื้องอกวิทยาชั้นนำระดับโลก และ (3) ศูนย์วิจัยที่ล้ำสมัย เราจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน ส่วนดร.เคียแรนและเพื่อนร่วมงานจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทและเนื้องอกวิทยาชั้นแนวหน้า ขณะที่สถาบัน Dana-Farber จะเป็นสถานที่ค้นคว้าวิจัยที่ล้ำสมัย นี่เป็นครั้งที่สองที่เราได้มอบของขวัญให้แก่ทางสถาบัน และเราหวังว่าจะมีอีกหลายครั้ง หรือมีขนาดใหญ่ขึ้น อันจะนำไปสู่การกำจัดโรคร้ายนี้ให้หมดไป"
นอกจากนี้ สตีฟ เชค ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Czech Asset Management, L.P. บริษัทจัดการการลงทุนในสินเชื่อในเมืองกรีนิช รัฐคอนเนคทิคัต ซึ่งมีเม็ดเงินภายใต้การบริหารจัดการราว 4.3 พันล้านดอลลาร์ และมีศักยภาพในการร่วมลงทุนสูงมาก คุณเชคได้มอบเงินรายได้ส่วนตัวจำนวน 1% เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งแหล่งระดมทุนที่ยั่งยืนสำหรับการวิจัยโรค DIPG
ดร.นพ.มาร์ค ดับเบิลยู. เคียแรน ผู้อำนวยการศูนย์ประสาทและเนื้องอกวิทยาในเด็ก แห่งสถาบันมะเร็ง Dana-Farber Cancer Institute กล่าวว่า "การได้รับเงินสนับสนุนจาก Mikey Czech Foundation มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้เราสามารถเดินหน้าทำการวิจัยต่อไป เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลในโรค DIPG ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้องอกชนิดนี้ต่อต้านการรักษา ความพยายามเหล่านี้ได้ส่งผลในแง่บวกแล้ว โดยการทดลองทางคลินิกระดับชาติครั้งแรก ซึ่งเป็นการตรวจเนื้อเยื่อของเนื้องอก DIPG และจำแนกประเภทโมเลกุล ต่อด้วยการรักษาผู้ป่วยเป็นรายบุคคลเพื่อระบุความผิดปกติในเนื้องอกของผู้ป่วยแต่ละราย (ซึ่งเป็นการทดลองครั้งแรกของโลก) ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และพบว่า DIPG จะเกิดขึ้นใน 3 กรณีที่แตกต่างกัน โดยมีลักษณะโมเลกุลที่เป็นเอกลักษณ์และมีการกลายพันธุ์แตกต่างกันไป นอกจากนั้นยังมีลักษณะบางอย่างที่พบใน DIPG เท่านั้น และไม่พบในโรคมะเร็งชนิดอื่น ทางสถาบัน Dana-Farber กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาวิธีการรักษาการกลายพันธุ์เหล่านี้ ด้วยความหวังว่าในที่สุดเราจะสามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความพยายามทั้งหมดนี้มาจากความเสียสละของผู้ป่วย ครอบครัว และมูลนิธิต่างๆ รวมถึง The Mikey Czech Foundation และจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากคนเหล่านี้"
พญ.ลอรี เอช. กลิมเชอร์ ประธานและซีอีโอของ Dana-Farber Cancer Institute กล่าวว่า "DIPG เป็นโรคร้ายที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยเด็กและครอบครัว เงินทุนจาก The Mikey Czech Foundation จะช่วยให้ดร.เคียแรน สามารถสานต่องานวิจัยที่สำคัญนี้ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งเราจะสามารถรักษาโรค DIPG ให้หายขาดได้"
เกี่ยวกับ The Mikey Czech Foundation
The Mikey Czech Foundation, Inc. เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรตามมาตรา 501(c)(3) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยครอบครัวของไมกี้ เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่การวิจัยทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโรคเนื้องอกสมองในเด็ก รวมถึงโรค Diffuse Intrinsic Pontine Glioma (DIPG) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่พบบริเวณก้านสมองของผู้ป่วยเด็ก DIPG เป็นโรคที่มีโอกาสพบได้น้อยมาก หรือเพียงแค่ 300 เคสต่อปีทั่วสหรัฐอเมริกา วงการวิจัยจึงจัดกลุ่มเนื้องอกชนิดนี้ว่าเป็น "โรคที่พบได้น้อย" จึงขาดผู้สนับสนุนเงินทุนให้กับการวิจัยเพื่อรักษาโรคนี้ให้หายขาด ทางมูลนิธิจึงขอเป็นผู้มอบเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยด้านการสาธารณสุข การศึกษา และการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค DIPG ให้แก่สถาบันต่างๆทั่วสหรัฐอเมริกา
เกี่ยวกับ Diffuse Intrinsic Pontine Glioma (DIPG)
DIPG เป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณก้านสมองและส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทสมอง โดยจะทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อตาและใบหน้า รวมถึงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืน ผู้ป่วยจะมีอาการเห็นภาพซ้อน ปิดตาไม่สนิท ใบหน้าหย่อนข้างเดียว และเคี้ยวกลืนลำบาก เนื้องอกประเภทนี้ยังส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทสั่งการส่วนบนของสมอง ทำให้แขนขาอ่อนแรง พูดและเดินได้ลำบาก เมื่อเนื้องอกโตขึ้น เด็กๆจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมแขนขา จากนั้นจะสูญเสียความสามารถในการกลืนและหายใจ ทว่าผู้ป่วยจะยังมีสติครบถ้วนและรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดกับตัวเอง
อาการของผู้ป่วยมักดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดระหว่างหรือหลังการฉายรังสีที่ใช้เวลา 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม อาการต่างๆมักกลับมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6 เดือน และจะลุกลามอย่างรวดเร็ว เด็กๆแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเกิน 12-14 เดือน และเกือบทั้งหมดจะเสียชีวิตภายใน 2-3 ปี จึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการรักษาใหม่ๆอย่างเร่งด่วน
เกี่ยวกับสถาบันมะเร็ง Dana-Farber Cancer Institute
Dana-Farber Cancer Institute เป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยและรักษาโรคมะเร็งชั้นแนวหน้าของโลก โดยเริ่มจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัดสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 2491 มาจนถึงการคิดค้นวิธีรักษาแบบใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน Dana-Farber เป็นสถาบันเพียงแห่งเดียวที่ติด 4 อันดับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จากการจัดอันดับโดย U.S News and World Report
Dana-Farber เป็นศูนย์กลางความร่วมมือที่หลากหลายในการลดภาระที่เกิดจากโรคมะเร็ง ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การรักษา การศึกษา การมีส่วนร่วมของชุมชน และการรณรงค์ ทั้งนี้ ศูนย์มะเร็ง Dana-Farber/Brigham and Women's Cancer Center ให้การรักษาที่ทันสมัยแก่ผู้ใหญ่ ขณะที่ศูนย์ Dana-Farber/Boston Children's Cancer and Blood Disorders Center ให้การรักษาผู้ป่วยเด็ก ส่วนศูนย์ Dana-Farber/Harvard Cancer Center เป็นศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็งร่วมกันระหว่างศูนย์ศึกษาทางการแพทย์ของฮาร์วาร์ด 5 แห่ง และบัณฑิตวิทยาลัย 2 แห่ง ขณะที่ Dana-Farber Community Cancer Care ให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งในชุมชนนอกเขตการแพทย์ลองวูดของบอสตัน
Dana-Farber พยายามคงไว้ซึ่งความสมดุลระหว่างการค้นคว้าวิจัยและการรักษาโรคมะเร็ง งานส่วนใหญ่ของทางสถาบันคือการเปลี่ยนผลการวิจัยให้เป็นวิธีการรักษาใหม่ๆ สำหรับผู้ป่วยทั้งในประเทศและทั่วโลก
เกี่ยวกับ สตีเฟน เจ. เชค
สตีฟ เชค สั่งสมประสบการณ์ในแวดวงสินเชื่อและการเงินธุรกิจมานานกว่า 28 ปี และยังมีบทบาทในการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนเครดิตประเภทกู้ยืมโดยตรง เขามีประสบการณ์ครอบคลุมทั้งในเรื่องการจัดหา การวางโครงสร้าง การจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย การตรวจสอบ รวมถึงการปรับโครงสร้างสินเชื่อธุรกิจ ก่อนที่จะก่อตั้ง Czech Asset Management เขาเคยทำงานให้กับองค์กรชั้นนำมากมาย อาทิ Morgan Stanley, Credit Suisse Group AG, Donaldson, Lufkin & Jenrette (DLJ) และ Banc of America Securities LLC เป็นต้น คุณเชคและครอบครัวเป็นผู้บริจาคและผู้สนับสนุนรายสำคัญให้กับโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ (1) ผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย (2) เจ้าหน้าที่หน่วย SEAL ทั้งที่ยังประจำการและเกษียณแล้ว รวมถึงครอบครัว (3) เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (เช่น ตำรวจ นักดับเพลิง และแพทย์ฉุกเฉิน) และ (4) การมอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนระดับมัธยมปลายผู้ด้อยโอกาสทั่วสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและประธานร่วมของ The Mikey Czech Foundation, สมาชิกของ The Navy SEAL Foundation National Leadership Council, สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาของ The University of Chicago Booth School of Business, สมาชิกกิตติมศักดิ์ของ Dean's Society of The University of Chicago Booth School of Business, สมาชิกของ Villanova University's President's Club & Parents Executive Committee, สมาชิกของ Aesclepian Society of Dana-Farber Cancer Institute และสมาชิกของ Dana-Farber Presidential Visiting Committee for Pediatric Oncology รวมทั้งเป็นประธานบอร์ดบริหาร Alfred Angelo, Inc. ทั้งนี้ คุณเชคสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตจาก Marquette University และบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตจาก University of Chicago Booth School of Business
เกี่ยวกับ Czech Asset Management, L.P.
Czech Asset Management, L.P. มีเม็ดเงินภายใต้การบริหารจัดการราว 4.3 พันล้านดอลลาร์ และมีศักยภาพในการร่วมลงทุนสูงมาก บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองกรีนิช รัฐคอนเนคทิคัต โดยทำหน้าที่จัดหาสินเชื่อมีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชนิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวประเภท First Lien และ Second Lien แบบอิงกระแสเงินสดและทรัพย์สินซึ่งมีการเจรจากันภายใน ให้แก่บริษัทขนาดกลางในสหรัฐที่มีรายได้ 75-500 ล้านดอลลาร์ต่อปี และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ระหว่าง 7.5-50 ล้านดอลลาร์ต่อปี
The Mikey Czech Foundation Contributes $1 Million To DIPG Research At Dana-Farber Cancer Institute
The Mikey Czech Foundation, Inc. (the "Foundation", www.mikeyczech.org ) a 501(c)(3) non-profit foundation established by Stephen J. and Jennifer L. Czech to finance medical research for pediatric brain tumors, announced a $1,000,000 gift to Pediatric Medical Neuro-Oncology at Dana-Farber, headed by Mark W. Kieran, MD, PhD, and located in Boston, Massachusetts. The gift is the largest-ever single donor gift dedicated to Diffuse Intrinsic Pontine Glioma research in Dana-Farber's history. The proceeds of the gift are designed to further the research and development of remedies for Diffuse Intrinsic Pontine Glioma ("DIPG") pediatric brain tumors, the type of tumor that claimed the life of James Michael "Mikey" Czech in 2008 at age 11.
DIPG brain stem tumors affect the cranial nerves of children, ages 3 – 16 years old, destroying the nerves that supply the muscles of the eye and face, and muscles involved in swallowing. Symptoms include double vision, inability to close the eyelids completely, "drooping" on one side of the face, and difficulty chewing and swallowing. The tumor also affects the "long tracks" of the brain, with resultant weakness of the arms or legs and difficulty with speech and walking. As the tumor grows, children initially lose their ability to use their limbs. Thereafter, they sequentially lose their ability to swallow and breathe. Notwithstanding their physical deterioration, the children maintain their mental faculties and are fully cognizant of what is happening to them. Survival past 12 to 14 months is uncommon, and new approaches to treating these tumors are urgently needed as no known effective therapies currently exist to treat DIPGs.
"The assets required to cure DIPGs consist of: (a) a sustainable funding source; (b) world-class neuro-oncologists; and (c) state-of-the-art research facilities," said Steve Czech, Mikey's father and Chairman & Co-Founder of The Mikey Czech Foundation. "We intend to be the sustainable funding source and we believe that Dr. Kieran, his colleagues and Dana-Farber represent the 'best-in-class' with respect to pediatric neuro-oncology research and state-of-the-art research facilities. This gift is our second of what we hope will be a series of gifts, comparable or larger in size, designed to eradicate this heinous disease."
In addition to his efforts with the Foundation, Steve Czech is the Managing Partner and Chief Investment Officer of Czech Asset Management, L.P., a credit focused alternative investment manager based in Greenwich, CT with approximately $4.3 billion of committed capital under management and significant co-investment capacity. In an effort to establish a sustainable funding source for DIPG research, Mr. Czech contributes a percentage of his personal income to DIPG research.
"Funding from The Mikey Czech Foundation is critical because it will allow us to continue to conduct research to define the underlying molecular changes in DIPG that have previously made these tumors so resistant to therapy," said Mark W. Kieran, MD, PhD, director of Pediatric Medical Neuro-Oncology, Dana-Farber Cancer Institute. "These efforts are already having an impact. The first national clinical trial of biopsy of DIPG and molecular classification followed by treatment individualized to the specific aberration in each patient's tumor (the first such trial in the world) has already been completed. Out of these efforts came the discovery that DIPG occurs as three different variants with unique molecular signatures that have different mutations, some of which were unique to DIPG and unknown in any other cancer. Dana-Farber is now developing targeted therapies against these mutations in the hope that we can finally begin to make a significant impact in the treatment of this disease. All of this effort came from the dedication of patients, their families and foundations, including The Mikey Czech Foundation, and would not have been possible without them."
"DIPG is a devastating disease for pediatric patients and their families. With The Mikey Czech Foundation's funding, Dr. Kieran can continue his important research and hopefully one day find a cure for DIPG," said Laurie H. Glimcher, MD, President and CEO of Dana-Farber Cancer Institute.
About The Mikey Czech Foundation: The Mikey Czech Foundation, Inc. (the "Foundation") is a 501(c)(3) non-profit foundation established by Mikey's family to finance medical research for pediatric brain tumors, including Diffuse Intrinsic Pontine Glioma ("DIPG") pediatric brain stem tumors. DIPG brain stem tumors are extremely rare. Approximately 300 cases per year are reported nationwide, which unfortunately, relegates this form of cancer to "orphan" status within the medical research community, as too few children develop these type of brain tumors to warrant the necessary investment of scarce medical research dollars to find a cure. The Foundation will approve grants to support research at healthcare, education and medical research facilities throughout the United States to assist research in this area.
About Diffuse Intrinsic Pontine Glioma ("DIPG"): Brain stem tumors affect the cranial nerves, causing symptoms related to the nerves that supply the muscles of the eye and face, and muscles involved in swallowing. These symptoms include double vision, inability to close the eyelids completely, "drooping" on one side of the face, and difficulty chewing and swallowing. The tumor also affects the "long tracks" of the brain, with resultant weakness of the arms or legs and difficulty with speech and walking. As the tumor grows, children initially lose their ability to use their limbs. Thereafter, they sequentially lose control of their ability to swallow and breathe and begin to have alterations in heart rate. Notwithstanding their physical deterioration, the children maintain their mental faculties and are fully cognizant of what is happening to them.
Symptoms usually worsen rapidly because the tumor is rapidly growing. The patient's symptoms often improve dramatically during or after six weeks of radiation. Unfortunately, problems usually recur after an average of six months, and progress rapidly. Survival past 12 to 14 months is uncommon and almost all children have succumbed to the disease by 2-3 years. New approaches to treating these tumors are urgently needed.
About Dana-Farber Cancer Institute: From achieving the first remissions in cancer with chemotherapy in 1948, to developing the very latest new therapies, Dana-Farber Cancer Institute is one of the world's leading centers of cancer research and treatment. It is the only center ranked in the top 4 of U.S. News and World Report's Best Hospitals for both adult and pediatric cancer care.
Dana-Farber sits at the center of a wide range of collaborative efforts to reduce the burden of cancer through scientific inquiry, clinical care, education, community engagement, and advocacy. Dana-Farber/Brigham and Women's Cancer Center provides the latest in cancer care for adults; Dana-Farber/Boston Children's Cancer and Blood Disorders Center for children. The Dana-Farber/Harvard Cancer Center unites the cancer research efforts of five Harvard academic medical centers and two graduate schools, while Dana-Farber Community Cancer Care provides high quality cancer treatment in communities outside Boston's Longwood Medical Area.
Dana-Farber is dedicated to a unique 50/50 balance between cancer research and care, and much of the Institute's work is dedicated to translating the results of its discovery into new treatments for patients locally, and around the world
About Stephen J. Czech : Steve Czech has over 28 years of credit and corporate finance experience as well as a long record of establishing and running direct lending credit funds. His experience includes sourcing, structuring, underwriting, monitoring and restructuring corporate loans. Prior to forming Czech Asset Management, Steve was employed by several prominent firms, including, but not limited to, Morgan Stanley, Credit Suisse Group AG, Donaldson, Lufkin & Jenrette ("DLJ") and Banc of America Securities LLC. Czech and his family are significant donors to, and advocates of, causes related to: (i) terminally-ill children, (ii) active-duty and retired Navy SEALs and their families; (iii) first-responders (ie: Police, Fire and EMTs); and (iv) scholarships for underprivileged high-school students throughout the United States. Czech is the founder and Co-Chairman of The Mikey Czech Foundation, a member of The Navy SEAL Foundation National Leadership Council, a member of the Advisory Board of The University of Chicago Booth School of Business, a Laureate member of the Dean's Society of The University of Chicago Booth School of Business, a member of Villanova University's President's Club & Parents Executive Committee, a member of the Aesclepian Society of Dana-Farber Cancer Institute and a member of the Dana-Farber Presidential Visiting Committee for Pediatric Oncology. Czech is also the Chairman of the Board of Alfred Angelo, Inc. Czech received a B.S. from Marquette University and an MBA from the University of Chicago Booth School of Business.
About Czech Asset Management, L.P. Czech Asset Management, L.P., with approximately $4.3 billion of committed capital under management and significant co-investment capacity, is a Greenwich, CT-based direct lending firm engaged in providing privately negotiated, asset-based and cash-flow first and second lien secured floating rate senior secured loans primarily to U.S. middle market companies that generate annual revenue of $75.0 million to $500.0 million+ and annual EBITDA of $7.5 million to $50.0 million.
DIPG brain stem tumors affect the cranial nerves of children, ages 3 – 16 years old, destroying the nerves that supply the muscles of the eye and face, and muscles involved in swallowing. Symptoms include double vision, inability to close the eyelids completely, "drooping" on one side of the face, and difficulty chewing and swallowing. The tumor also affects the "long tracks" of the brain, with resultant weakness of the arms or legs and difficulty with speech and walking. As the tumor grows, children initially lose their ability to use their limbs. Thereafter, they sequentially lose their ability to swallow and breathe. Notwithstanding their physical deterioration, the children maintain their mental faculties and are fully cognizant of what is happening to them. Survival past 12 to 14 months is uncommon, and new approaches to treating these tumors are urgently needed as no known effective therapies currently exist to treat DIPGs.
"The assets required to cure DIPGs consist of: (a) a sustainable funding source; (b) world-class neuro-oncologists; and (c) state-of-the-art research facilities," said Steve Czech, Mikey's father and Chairman & Co-Founder of The Mikey Czech Foundation. "We intend to be the sustainable funding source and we believe that Dr. Kieran, his colleagues and Dana-Farber represent the 'best-in-class' with respect to pediatric neuro-oncology research and state-of-the-art research facilities. This gift is our second of what we hope will be a series of gifts, comparable or larger in size, designed to eradicate this heinous disease."
In addition to his efforts with the Foundation, Steve Czech is the Managing Partner and Chief Investment Officer of Czech Asset Management, L.P., a credit focused alternative investment manager based in Greenwich, CT with approximately $4.3 billion of committed capital under management and significant co-investment capacity. In an effort to establish a sustainable funding source for DIPG research, Mr. Czech contributes a percentage of his personal income to DIPG research.
"Funding from The Mikey Czech Foundation is critical because it will allow us to continue to conduct research to define the underlying molecular changes in DIPG that have previously made these tumors so resistant to therapy," said Mark W. Kieran, MD, PhD, director of Pediatric Medical Neuro-Oncology, Dana-Farber Cancer Institute. "These efforts are already having an impact. The first national clinical trial of biopsy of DIPG and molecular classification followed by treatment individualized to the specific aberration in each patient's tumor (the first such trial in the world) has already been completed. Out of these efforts came the discovery that DIPG occurs as three different variants with unique molecular signatures that have different mutations, some of which were unique to DIPG and unknown in any other cancer. Dana-Farber is now developing targeted therapies against these mutations in the hope that we can finally begin to make a significant impact in the treatment of this disease. All of this effort came from the dedication of patients, their families and foundations, including The Mikey Czech Foundation, and would not have been possible without them."
"DIPG is a devastating disease for pediatric patients and their families. With The Mikey Czech Foundation's funding, Dr. Kieran can continue his important research and hopefully one day find a cure for DIPG," said Laurie H. Glimcher, MD, President and CEO of Dana-Farber Cancer Institute.
About The Mikey Czech Foundation: The Mikey Czech Foundation, Inc. (the "Foundation") is a 501(c)(3) non-profit foundation established by Mikey's family to finance medical research for pediatric brain tumors, including Diffuse Intrinsic Pontine Glioma ("DIPG") pediatric brain stem tumors. DIPG brain stem tumors are extremely rare. Approximately 300 cases per year are reported nationwide, which unfortunately, relegates this form of cancer to "orphan" status within the medical research community, as too few children develop these type of brain tumors to warrant the necessary investment of scarce medical research dollars to find a cure. The Foundation will approve grants to support research at healthcare, education and medical research facilities throughout the United States to assist research in this area.
About Diffuse Intrinsic Pontine Glioma ("DIPG"): Brain stem tumors affect the cranial nerves, causing symptoms related to the nerves that supply the muscles of the eye and face, and muscles involved in swallowing. These symptoms include double vision, inability to close the eyelids completely, "drooping" on one side of the face, and difficulty chewing and swallowing. The tumor also affects the "long tracks" of the brain, with resultant weakness of the arms or legs and difficulty with speech and walking. As the tumor grows, children initially lose their ability to use their limbs. Thereafter, they sequentially lose control of their ability to swallow and breathe and begin to have alterations in heart rate. Notwithstanding their physical deterioration, the children maintain their mental faculties and are fully cognizant of what is happening to them.
Symptoms usually worsen rapidly because the tumor is rapidly growing. The patient's symptoms often improve dramatically during or after six weeks of radiation. Unfortunately, problems usually recur after an average of six months, and progress rapidly. Survival past 12 to 14 months is uncommon and almost all children have succumbed to the disease by 2-3 years. New approaches to treating these tumors are urgently needed.
About Dana-Farber Cancer Institute: From achieving the first remissions in cancer with chemotherapy in 1948, to developing the very latest new therapies, Dana-Farber Cancer Institute is one of the world's leading centers of cancer research and treatment. It is the only center ranked in the top 4 of U.S. News and World Report's Best Hospitals for both adult and pediatric cancer care.
Dana-Farber sits at the center of a wide range of collaborative efforts to reduce the burden of cancer through scientific inquiry, clinical care, education, community engagement, and advocacy. Dana-Farber/Brigham and Women's Cancer Center provides the latest in cancer care for adults; Dana-Farber/Boston Children's Cancer and Blood Disorders Center for children. The Dana-Farber/Harvard Cancer Center unites the cancer research efforts of five Harvard academic medical centers and two graduate schools, while Dana-Farber Community Cancer Care provides high quality cancer treatment in communities outside Boston's Longwood Medical Area.
Dana-Farber is dedicated to a unique 50/50 balance between cancer research and care, and much of the Institute's work is dedicated to translating the results of its discovery into new treatments for patients locally, and around the world
About Stephen J. Czech : Steve Czech has over 28 years of credit and corporate finance experience as well as a long record of establishing and running direct lending credit funds. His experience includes sourcing, structuring, underwriting, monitoring and restructuring corporate loans. Prior to forming Czech Asset Management, Steve was employed by several prominent firms, including, but not limited to, Morgan Stanley, Credit Suisse Group AG, Donaldson, Lufkin & Jenrette ("DLJ") and Banc of America Securities LLC. Czech and his family are significant donors to, and advocates of, causes related to: (i) terminally-ill children, (ii) active-duty and retired Navy SEALs and their families; (iii) first-responders (ie: Police, Fire and EMTs); and (iv) scholarships for underprivileged high-school students throughout the United States. Czech is the founder and Co-Chairman of The Mikey Czech Foundation, a member of The Navy SEAL Foundation National Leadership Council, a member of the Advisory Board of The University of Chicago Booth School of Business, a Laureate member of the Dean's Society of The University of Chicago Booth School of Business, a member of Villanova University's President's Club & Parents Executive Committee, a member of the Aesclepian Society of Dana-Farber Cancer Institute and a member of the Dana-Farber Presidential Visiting Committee for Pediatric Oncology. Czech is also the Chairman of the Board of Alfred Angelo, Inc. Czech received a B.S. from Marquette University and an MBA from the University of Chicago Booth School of Business.
About Czech Asset Management, L.P. Czech Asset Management, L.P., with approximately $4.3 billion of committed capital under management and significant co-investment capacity, is a Greenwich, CT-based direct lending firm engaged in providing privately negotiated, asset-based and cash-flow first and second lien secured floating rate senior secured loans primarily to U.S. middle market companies that generate annual revenue of $75.0 million to $500.0 million+ and annual EBITDA of $7.5 million to $50.0 million.
กรรมาปะองค์ที่ 17 แห่งทิเบตเข้าพิธีแต่งงาน
องค์กรรมาปะ สังฆนายกแห่งพระพุทธศาสนามหายานนิกายคัจยู ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่นิกายของทิเบต ประกาศแต่งงานกับเพื่อนในวัยเยาว์
องค์เกียลวากรรมาปะที่ 17 ธายี ดอร์จี สังฆนายกแห่งพระพุทธศาสนามหายานนิกายคัจยู ซึ่งเป็นสายที่สืบทอดมายาวนานถึง 900 ปี ประกาศว่า ท่านได้แต่งงานกับเพื่อนในวัยเยาว์นามว่า รินเชน ยางซอม ในพิธีที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา
ผู้นำทางจิตวิญญาณวัย 33 ปี ระบุในแถลงการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับศิษยานุศิษย์ว่า ท่านจะทำกิจต่างๆในฐานะกรรมาปะต่อไป ยกเว้นการบวช เพราะท่านมิใช่พระแล้ว โดยท่านได้มอบความรับผิดชอบดังกล่าวให้แก่ท่านจัมกอน คงตรุล รินโปเช ที่ 4 กรรมา มินเกียว ดรักปา ซิงเย
กรรมาปะ ซึ่งแปลว่า "ผู้ทำหน้าที่ของพุทธะ" คือผู้นำของสายที่เก่าแก่ที่สุดในพุทธศาสนาของทิเบต โดยเกิดขึ้นก่อนนิกายเกลุกของทะไลลามะ 200 กว่าปี
ท่านกรรมาปะกล่าวว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างแรงกล้าภายในใจว่า การตัดสินใจแต่งงานจะเป็นผลดีไม่เฉพาะกับข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อนิกายของเราด้วย สิ่งที่สวยงามและทรงคุณค่ากำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเราทุกคน"
"สำหรับผู้ที่เลือกทางของบรรพชิต เราต้องสนับสนุนและให้ความเคารพ แต่ในการกลับชาติมาเกิดครั้งที่ 17 นี้ เพื่ออนาคตของนิกาย และเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของบิดามารดา ข้าพเจ้าได้เลือกเส้นทางที่ต่างออกไป อย่างไรก็ดี พันธกิจในการปกปักรักษาศาสนาและนิกายนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าและในฐานะกรรมาปะ"
ธายี ดอร์จี มิใช่กรรมาปะองค์แรกที่แต่งงาน ก่อนหน้านี้ คาเคียบ ดอร์จี กรรมาปะองค์ที่ 15 ก็แต่งงานและมีบุตรชายสามคน โดยสองคนเป็น "ตุลกู" หรือพระเถระผู้ใหญ่ที่กลับชาติมาเกิดในสายคัจยู
ท่านกรรมาปะและรินเชน ยางซอม ซึ่งในภาษาทิเบตมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์และล้ำค่า" รู้จักกันมานานกว่า 19 ปี ท่านกรรมาปะอธิบายว่าท่านทั้งคู่มี "จิตผูกพัน"
รินเชน ยางซอม วัย 36 ปี ถือกำเนิดที่เมืองทิมพู ประเทศภูฏาน เธอมีพี่น้อง 9 คน และได้รับการศึกษาในอินเดียและยุโรป
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 ท่านกรรมาปะได้ขอแต่งงานตามธรรมเนียมทิเบต จากนั้นในวันที่ 25 มีนาคม พิธีแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยมีเพียงคนในครอบครัวเข้าร่วม ซึ่งเป็นไปตามความปรารถนาของท่านมิพาม รินโปเช บิดาของท่านกรรมาปะ ทั้งนี้ ท่านกรรมาปะและรินเชน ยางซอม จะปรากฏตัวต่อสาธารณชนพร้อมกันเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ในพิธีสวดมนต์ใหญ่มอนลัมของนิกายคัจยู ณ พุทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แถลงการณ์ฉบับเต็มของท่านกรรมาปะ [http://www.karmapa.org/special-news]
รูปภาพ [http://www.karmapa.org/media/photos/]
ที่มา: Private Office of the 17th Karmapa
องค์เกียลวากรรมาปะที่ 17 ธายี ดอร์จี สังฆนายกแห่งพระพุทธศาสนามหายานนิกายคัจยู ซึ่งเป็นสายที่สืบทอดมายาวนานถึง 900 ปี ประกาศว่า ท่านได้แต่งงานกับเพื่อนในวัยเยาว์นามว่า รินเชน ยางซอม ในพิธีที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา
ผู้นำทางจิตวิญญาณวัย 33 ปี ระบุในแถลงการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับศิษยานุศิษย์ว่า ท่านจะทำกิจต่างๆในฐานะกรรมาปะต่อไป ยกเว้นการบวช เพราะท่านมิใช่พระแล้ว โดยท่านได้มอบความรับผิดชอบดังกล่าวให้แก่ท่านจัมกอน คงตรุล รินโปเช ที่ 4 กรรมา มินเกียว ดรักปา ซิงเย
กรรมาปะ ซึ่งแปลว่า "ผู้ทำหน้าที่ของพุทธะ" คือผู้นำของสายที่เก่าแก่ที่สุดในพุทธศาสนาของทิเบต โดยเกิดขึ้นก่อนนิกายเกลุกของทะไลลามะ 200 กว่าปี
ท่านกรรมาปะกล่าวว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างแรงกล้าภายในใจว่า การตัดสินใจแต่งงานจะเป็นผลดีไม่เฉพาะกับข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อนิกายของเราด้วย สิ่งที่สวยงามและทรงคุณค่ากำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเราทุกคน"
"สำหรับผู้ที่เลือกทางของบรรพชิต เราต้องสนับสนุนและให้ความเคารพ แต่ในการกลับชาติมาเกิดครั้งที่ 17 นี้ เพื่ออนาคตของนิกาย และเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของบิดามารดา ข้าพเจ้าได้เลือกเส้นทางที่ต่างออกไป อย่างไรก็ดี พันธกิจในการปกปักรักษาศาสนาและนิกายนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าและในฐานะกรรมาปะ"
ธายี ดอร์จี มิใช่กรรมาปะองค์แรกที่แต่งงาน ก่อนหน้านี้ คาเคียบ ดอร์จี กรรมาปะองค์ที่ 15 ก็แต่งงานและมีบุตรชายสามคน โดยสองคนเป็น "ตุลกู" หรือพระเถระผู้ใหญ่ที่กลับชาติมาเกิดในสายคัจยู
ท่านกรรมาปะและรินเชน ยางซอม ซึ่งในภาษาทิเบตมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์และล้ำค่า" รู้จักกันมานานกว่า 19 ปี ท่านกรรมาปะอธิบายว่าท่านทั้งคู่มี "จิตผูกพัน"
รินเชน ยางซอม วัย 36 ปี ถือกำเนิดที่เมืองทิมพู ประเทศภูฏาน เธอมีพี่น้อง 9 คน และได้รับการศึกษาในอินเดียและยุโรป
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 ท่านกรรมาปะได้ขอแต่งงานตามธรรมเนียมทิเบต จากนั้นในวันที่ 25 มีนาคม พิธีแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยมีเพียงคนในครอบครัวเข้าร่วม ซึ่งเป็นไปตามความปรารถนาของท่านมิพาม รินโปเช บิดาของท่านกรรมาปะ ทั้งนี้ ท่านกรรมาปะและรินเชน ยางซอม จะปรากฏตัวต่อสาธารณชนพร้อมกันเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ในพิธีสวดมนต์ใหญ่มอนลัมของนิกายคัจยู ณ พุทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แถลงการณ์ฉบับเต็มของท่านกรรมาปะ [http://www.karmapa.org/special-news]
รูปภาพ [http://www.karmapa.org/media/photos/]
ที่มา: Private Office of the 17th Karmapa
The Office of HH Karmapa: His Holiness Marries in Private Ceremony
HH Karmapa, Leader of One of the Four Main Schools of Tibetan Buddhism, Marries Childhood Friend
Thaye Dorje, His Holiness the 17th Gyalwa Karmapa, supreme head of the 900 year old Karma Kagyu lineage of Tibetan Buddhism, announces today that he has married a childhood friend, Rinchen Yangzom, in a private ceremony in Delhi, on 25th March.
In a surprise statement to his students, the 33 year old spiritual leader says he will continue all of his activities as Karmapa, with the exception of conducting ordinations - as he is no longer a monk. He has passed the responsibility of ordinations to His Eminence 4th Jamgon Kongtrul Rinpoche, Karma Mingyur Dragpa Senge.
The Karmapa, literally 'the one who carries out Buddha activity' is the head of the oldest reincarnate lineage in Tibetan Buddhism, predating the Dalai Lama's Gelug school by over 200 years.
Karmapa says, "I have a strong feeling, deep within my heart, that my decision to marry will have a positive impact not only for me, but also for the lineage... Something beautiful, something beneficial will emerge, for all of us..."
"For those who follow the path of an ordained life, we must encourage and respect this. In this 17th incarnation, for both the future of the lineage, and fulfilling the wishes of my parents, I have chosen a different path. At the same time, my commitment to protect and preserve the monastic body, and the lineage, remains paramount in my life, and my continued role as Karmapa."
Thaye Dorje is not the first Karmapa to marry. Khakyab Dorje, the 15th Karmapa, was married and fathered three sons, two of whom were recognised as senior 'tulkus' or reborn masters in the Karma Kagyu lineage.
Karmapa and Rinchen Yangzom, a Tibetan name meaning 'Precious Prosperity Gathered,' have known each other for more than 19 years, and share what Karmapa describes as a "special, spiritual bond".
Rinchen Yangzom, 36, was born in Thimphu, Bhutan. She has nine siblings. She was educated in India and Europe.
On 19th January 2017, Karmapa proposed according to Tibetan traditions. Upon the aspirations of Karmapa's father, His Eminence Mipham Rinpoche, the marriage took place on 25th March in the presence of close family members. Karmapa and Rinchen Yangzom will mark their first joint public appearance at the Kagyu Monlam in Bodhgaya, the place where Buddha attained enlightenment, in December 2017.
Karmapa's full statement [http://www.karmapa.org/special-news ]
Photos [http://www.karmapa.org/media/photos ]
Source: Private Office of the 17th Karmapa
Thaye Dorje, His Holiness the 17th Gyalwa Karmapa, supreme head of the 900 year old Karma Kagyu lineage of Tibetan Buddhism, announces today that he has married a childhood friend, Rinchen Yangzom, in a private ceremony in Delhi, on 25th March.
In a surprise statement to his students, the 33 year old spiritual leader says he will continue all of his activities as Karmapa, with the exception of conducting ordinations - as he is no longer a monk. He has passed the responsibility of ordinations to His Eminence 4th Jamgon Kongtrul Rinpoche, Karma Mingyur Dragpa Senge.
The Karmapa, literally 'the one who carries out Buddha activity' is the head of the oldest reincarnate lineage in Tibetan Buddhism, predating the Dalai Lama's Gelug school by over 200 years.
Karmapa says, "I have a strong feeling, deep within my heart, that my decision to marry will have a positive impact not only for me, but also for the lineage... Something beautiful, something beneficial will emerge, for all of us..."
"For those who follow the path of an ordained life, we must encourage and respect this. In this 17th incarnation, for both the future of the lineage, and fulfilling the wishes of my parents, I have chosen a different path. At the same time, my commitment to protect and preserve the monastic body, and the lineage, remains paramount in my life, and my continued role as Karmapa."
Thaye Dorje is not the first Karmapa to marry. Khakyab Dorje, the 15th Karmapa, was married and fathered three sons, two of whom were recognised as senior 'tulkus' or reborn masters in the Karma Kagyu lineage.
Karmapa and Rinchen Yangzom, a Tibetan name meaning 'Precious Prosperity Gathered,' have known each other for more than 19 years, and share what Karmapa describes as a "special, spiritual bond".
Rinchen Yangzom, 36, was born in Thimphu, Bhutan. She has nine siblings. She was educated in India and Europe.
On 19th January 2017, Karmapa proposed according to Tibetan traditions. Upon the aspirations of Karmapa's father, His Eminence Mipham Rinpoche, the marriage took place on 25th March in the presence of close family members. Karmapa and Rinchen Yangzom will mark their first joint public appearance at the Kagyu Monlam in Bodhgaya, the place where Buddha attained enlightenment, in December 2017.
Karmapa's full statement [http://www.karmapa.org/special-news ]
Photos [http://www.karmapa.org/media/photos ]
Source: Private Office of the 17th Karmapa
OutSystems ถูกยกให้เป็นผู้นำแพลตฟอร์มพัฒนา Low Code บนมือถือ
- บริษัทยังได้รับการเชิดชูในฐานะผู้นำด้านแพลตฟอร์มพัฒนา low code ทั่วไป
OutSystems แพลตฟอร์มเบอร์หนึ่งสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชั่น low code ได้รับการเชิดชูในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มดังกล่าวในรายงาน
ในการประเมินตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา low code บนมือถือที่มีความครอบคลุมที่สุดนั้น Forrester ได้ทำการคัดเลือกเวนเดอร์ที่สำคัญที่สุด 11 รายมาทำการประเมินโดยให้คะแนนในหมวดต่างๆ ซึ่งแต่ละหมวดจะมีคะแนนสูงสุด 24 คะแนน โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ OutSystems ได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำที่ได้คะแนนสูงสุดใน 13 หมวด ซึ่งรวมไปถึงด้านการบูรณาการ ขนาดของแอปและประสิทธิภาพ ระบบออฟไลน์บนมือถือ จำนวนลูกค้า ระบบนิเวศหุ้นส่วน กลยุทธ์ด้านราคา และการประเมินกลยุทธ์
"พวกเราต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ถูกยกให้เป็นผู้นำ low code ของ Forrester Wave ทั้งในด้านการพัฒนา low code สำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป และการพัฒนา low code สำหรับมือถือโดยเฉพาะ" Paulo Rosado ซีอีโอของ OutSystems กล่าว "ผมเชื่อว่านี่เป็นอีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์สำคัญที่ว่า ตลาดกำลังต้องการแพลตฟอร์ม low code สำหรับการพัฒนาแอประดับองค์กรธุรกิจ"
สำหรับ Forrester แล้ว "แพลตฟอร์ม low code สำหรับมือถือนับเป็นจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์ม low code ที่มีความครอบคลุมมากขึ้น และถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของแอปมือถือ...ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความเหนือกว่าแพลตฟอร์มพัฒนา low code ที่ใช้งานโดยทั่วไป โดยผนวกรวมฟีเจอร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มบริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับมือถือหรือผลิตภัณฑ์มิดเดิลแวร์มือถือ ซึ่งรองรับคุณสมบัติในการแจ้งเตือนทางมือถือ เครื่องมือจัดการมือถือสำหรับองค์กร และรองรับแคชตอนออฟไลน์ และการกรองข้อมูลเมื่ออุปกรณ์ไม่ได้ถูกเชื่อมต่อ"
Forrester ให้การยอมรับ OutSystems ในฐานะผู้นำและยังยกย่องในคุณสมบัติด้านอื่นๆ ดังนี้:
- ประสิทธิภาพของ OutSystems "สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทที่มีให้กับลูกค้าระดับองค์กรผ่านทางเครื่องมือ low code ที่ครอบคลุมสำหรับนักพัฒนาระดับมืออาชีพและกึ่งมืออาชีพ"
- จุดแข็งของ OutSystems ประกอบด้วย "ฟีเจอร์และเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับฐานข้อมูล การบูรณาการ และความร่วมมือ โดยมาพร้อมกับชุดฟีเจอร์โทรศัพท์มือถือที่ครอบคลุม"
- เสียงตอบรับจากลูกค้าของ OutSystems "เช่น ความสะดวกในการดูแลแอปที่สร้างขึ้นและความสามารถในการใช้ทักษะที่กว้างขึ้นในการสร้างแอปโทรศัพท์มือถือ"
อ่านรายงานฉบับสำเนาของ
เริ่มใช้งาน OutSystems ได้ฟรี
เกี่ยวกับ OutSystems
ลูกค้าหลายพันรายจากทั่วโลกให้ความไว้วางใจ OutSystems แพลตฟอร์ม low code เบอร์หนึ่งที่ช่วยให้สามารถพัฒนาแอปได้อย่างรวดเร็ว ทีมวิศวกรที่พิถีพิถันเป็นผู้รังสรรค์ทุกรายละเอียดของแพลตฟอร์ม OutSystems เพื่อช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ในการสร้างแอประดับองค์กร และช่วยให้การแปลงโฉมธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น OutSystems เป็นโซลูชั่นหนึ่งเดียวที่ผนวกพลังในการพัฒนา low code เข้ากับประสิทธิภาพสุดล้ำของโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถพัฒนาแอปที่ใช้งานร่วมกับระบบต่างๆที่มีอยู่เดิมได้อย่างง่ายดาย รับชมช้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.outsystems.com หรือติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์ @OutSystems หรือลิงก์อิน www.linkedin.com/company/outsystems
OutSystems แพลตฟอร์มเบอร์หนึ่งสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชั่น low code ได้รับการเชิดชูในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มดังกล่าวในรายงาน
ในการประเมินตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา low code บนมือถือที่มีความครอบคลุมที่สุดนั้น Forrester ได้ทำการคัดเลือกเวนเดอร์ที่สำคัญที่สุด 11 รายมาทำการประเมินโดยให้คะแนนในหมวดต่างๆ ซึ่งแต่ละหมวดจะมีคะแนนสูงสุด 24 คะแนน โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ OutSystems ได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำที่ได้คะแนนสูงสุดใน 13 หมวด ซึ่งรวมไปถึงด้านการบูรณาการ ขนาดของแอปและประสิทธิภาพ ระบบออฟไลน์บนมือถือ จำนวนลูกค้า ระบบนิเวศหุ้นส่วน กลยุทธ์ด้านราคา และการประเมินกลยุทธ์
"พวกเราต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ถูกยกให้เป็นผู้นำ low code ของ Forrester Wave ทั้งในด้านการพัฒนา low code สำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป และการพัฒนา low code สำหรับมือถือโดยเฉพาะ" Paulo Rosado ซีอีโอของ OutSystems กล่าว "ผมเชื่อว่านี่เป็นอีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์สำคัญที่ว่า ตลาดกำลังต้องการแพลตฟอร์ม low code สำหรับการพัฒนาแอประดับองค์กรธุรกิจ"
สำหรับ Forrester แล้ว "แพลตฟอร์ม low code สำหรับมือถือนับเป็นจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์ม low code ที่มีความครอบคลุมมากขึ้น และถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของแอปมือถือ...ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความเหนือกว่าแพลตฟอร์มพัฒนา low code ที่ใช้งานโดยทั่วไป โดยผนวกรวมฟีเจอร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มบริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับมือถือหรือผลิตภัณฑ์มิดเดิลแวร์มือถือ ซึ่งรองรับคุณสมบัติในการแจ้งเตือนทางมือถือ เครื่องมือจัดการมือถือสำหรับองค์กร และรองรับแคชตอนออฟไลน์ และการกรองข้อมูลเมื่ออุปกรณ์ไม่ได้ถูกเชื่อมต่อ"
Forrester ให้การยอมรับ OutSystems ในฐานะผู้นำและยังยกย่องในคุณสมบัติด้านอื่นๆ ดังนี้:
- ประสิทธิภาพของ OutSystems "สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทที่มีให้กับลูกค้าระดับองค์กรผ่านทางเครื่องมือ low code ที่ครอบคลุมสำหรับนักพัฒนาระดับมืออาชีพและกึ่งมืออาชีพ"
- จุดแข็งของ OutSystems ประกอบด้วย "ฟีเจอร์และเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับฐานข้อมูล การบูรณาการ และความร่วมมือ โดยมาพร้อมกับชุดฟีเจอร์โทรศัพท์มือถือที่ครอบคลุม"
- เสียงตอบรับจากลูกค้าของ OutSystems "เช่น ความสะดวกในการดูแลแอปที่สร้างขึ้นและความสามารถในการใช้ทักษะที่กว้างขึ้นในการสร้างแอปโทรศัพท์มือถือ"
อ่านรายงานฉบับสำเนาของ
เริ่มใช้งาน OutSystems ได้ฟรี
เกี่ยวกับ OutSystems
ลูกค้าหลายพันรายจากทั่วโลกให้ความไว้วางใจ OutSystems แพลตฟอร์ม low code เบอร์หนึ่งที่ช่วยให้สามารถพัฒนาแอปได้อย่างรวดเร็ว ทีมวิศวกรที่พิถีพิถันเป็นผู้รังสรรค์ทุกรายละเอียดของแพลตฟอร์ม OutSystems เพื่อช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ในการสร้างแอประดับองค์กร และช่วยให้การแปลงโฉมธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น OutSystems เป็นโซลูชั่นหนึ่งเดียวที่ผนวกพลังในการพัฒนา low code เข้ากับประสิทธิภาพสุดล้ำของโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถพัฒนาแอปที่ใช้งานร่วมกับระบบต่างๆที่มีอยู่เดิมได้อย่างง่ายดาย รับชมช้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.outsystems.com หรือติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์ @OutSystems หรือลิงก์อิน www.linkedin.com/company/outsystems
G2A เปิดตัว “G2A Deal” แพคที่ 2 รวมเกมหลากหลายเพื่อคอเกมทุกแนว
G2A.COM เปิดตัวสุดยอดแพคเกม G2A Deal แพคที่ 2 ในวันนี้ โดยรวมเกมดังไว้ด้วยกันถึง 5 เกม ได้แก่ เกม Epistory - Typing Chronicles ของบริษัท Fishing Cactus, เกม DiRT Showdown ของ Codemasters, เกม Unbox ของ Prospect Games, เกม Hue ของ Fiddlesticks และเกม Table Top Racing: World Tour ของ Playrise Digital โดยลูกค้าสามารถซื้อ G2A Deal ได้ 2 วิธีคือ ลงทะเบียนหรือซื้อครั้งเดียว
G2A Direct ซึ่งเป็นระบบสนับสนุนนักพัฒนาและผู้ขายเกม ได้ปล่อยแพคเกม G2A Deal แพคที่ 2 ออกมาในวันนี้ ประกอบด้วยเกมหลากหลายแนวที่ผ่านการคัดสรรโดยนักพัฒนาและผู้ขายโดยตรง (ไม่มีพ่อค้าคนกลาง)
ในแพคเกมล่าสุดนี้ ทีมงานของ G2A Direct ได้คัดเลือกเกมมาหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้คอเกมทุกแนวได้เพลิดเพลินไปกับเกมที่ตัวเองชอบ ดังนี้
Epistory - Typing Chronicles – เกมฝึกพิมพ์แนวแอคชั่นผจญภัย ผู้เล่นต้องพิมพ์คำต่างๆ เพื่อให้เรื่องราวในเกมดำเนินไปได้
DiRT Showdown – เกมหนึ่งในซีรีส์ DiRT Racing ผู้เล่นต้องโชว์ฝีมือการขับรถแข่งกับเวลาและโจมตีคู่แข่งไปพร้อมๆกัน
Unbox – ในเกมนี้ ผู้เล่นจะกลายเป็นกล่องพัสดุและต้องเดินทางไปให้ถึงมือผู้รับทั่วทุกมุมโลก
Hue – เกมพัซเซิลที่เล่นแล้วหยุดไม่ได้ ผู้เล่นต้องเดินทางตามหาแม่ที่หายตัวไป โดยในระหว่างทางต้องไขปริศนาต่างๆ และแต่งแต้มสีสันให้กับโลกสีเทา
Table Top Racing: World Tour – เกมแข่งรถที่ผู้เล่นต้องบังคับรถคันจิ๋วหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น แซนด์วิชและลูกมะพร้าว
ทั้งนี้ ผู้ซื้อจะได้รับคีย์ในรูปแบบโค้ดบนแพลตฟอร์ม Steam ทันทีหลังการซื้อ และคีย์ดังกล่าวจะไม่ล็อคตามภูมิภาค
G2A Direct ซึ่งเป็นระบบสนับสนุนนักพัฒนาและผู้ขายเกม ได้ปล่อยแพคเกม G2A Deal แพคที่ 2 ออกมาในวันนี้ ประกอบด้วยเกมหลากหลายแนวที่ผ่านการคัดสรรโดยนักพัฒนาและผู้ขายโดยตรง (ไม่มีพ่อค้าคนกลาง)
ในแพคเกมล่าสุดนี้ ทีมงานของ G2A Direct ได้คัดเลือกเกมมาหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้คอเกมทุกแนวได้เพลิดเพลินไปกับเกมที่ตัวเองชอบ ดังนี้
Epistory - Typing Chronicles – เกมฝึกพิมพ์แนวแอคชั่นผจญภัย ผู้เล่นต้องพิมพ์คำต่างๆ เพื่อให้เรื่องราวในเกมดำเนินไปได้
DiRT Showdown – เกมหนึ่งในซีรีส์ DiRT Racing ผู้เล่นต้องโชว์ฝีมือการขับรถแข่งกับเวลาและโจมตีคู่แข่งไปพร้อมๆกัน
Unbox – ในเกมนี้ ผู้เล่นจะกลายเป็นกล่องพัสดุและต้องเดินทางไปให้ถึงมือผู้รับทั่วทุกมุมโลก
Hue – เกมพัซเซิลที่เล่นแล้วหยุดไม่ได้ ผู้เล่นต้องเดินทางตามหาแม่ที่หายตัวไป โดยในระหว่างทางต้องไขปริศนาต่างๆ และแต่งแต้มสีสันให้กับโลกสีเทา
Table Top Racing: World Tour – เกมแข่งรถที่ผู้เล่นต้องบังคับรถคันจิ๋วหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น แซนด์วิชและลูกมะพร้าว
ทั้งนี้ ผู้ซื้อจะได้รับคีย์ในรูปแบบโค้ดบนแพลตฟอร์ม Steam ทันทีหลังการซื้อ และคีย์ดังกล่าวจะไม่ล็อคตามภูมิภาค
Second G2A Deal to Launch on March 30th
G2A.COM will launch the second edition of its G2A Deal program on March 30th. This edition includes the following five great games: Fishing Cactus' Epistory - Typing Chronicles, Codemasters' DiRT Showdown, Prospect Games' Unbox, Fiddlesticks' Hue, and Playrise Digital's Table Top Racing: World Tour all for a low subscription, or one-time purchase, cost.
G2A's developer and publisher support system G2A Direct is releasing the second edition of G2A Deal on March 30th. G2A Deal is a rewards bundle featuring hand-selected video games directly from the developers and publishers themselves (no third-party sellers involved).
In the upcoming Deal, the G2A Direct team has brought together a wide array of games, so that fans of all types will find something that appeals to them:
Epistory - Typing Chronicles - an action-adventure typing game in which the player has to type out different words in order to keep the story going.
DiRT Showdown - an installment in the DiRT racing series in which players race against the clock while performing tricks and destroying opponents.
Unbox - a game in which the player becomes a self-delivering cardboard box and travels to customers all around the world.
Hue - an engaging puzzle-platform game. The player embarks on a quest to find the main character's missing mother, all while solving puzzles and adding color to a grey world along the way.
Table Top Racing: World Tour - an arcade racing game in which the player drives miniature cars and avoids dangerous obstacles including sandwiches and coconuts.
All of the keys included in the second edition of G2A Deal will be available immediately after purchase as Steam codes and will not be region-locked.
G2A's developer and publisher support system G2A Direct is releasing the second edition of G2A Deal on March 30th. G2A Deal is a rewards bundle featuring hand-selected video games directly from the developers and publishers themselves (no third-party sellers involved).
In the upcoming Deal, the G2A Direct team has brought together a wide array of games, so that fans of all types will find something that appeals to them:
Epistory - Typing Chronicles - an action-adventure typing game in which the player has to type out different words in order to keep the story going.
DiRT Showdown - an installment in the DiRT racing series in which players race against the clock while performing tricks and destroying opponents.
Unbox - a game in which the player becomes a self-delivering cardboard box and travels to customers all around the world.
Hue - an engaging puzzle-platform game. The player embarks on a quest to find the main character's missing mother, all while solving puzzles and adding color to a grey world along the way.
Table Top Racing: World Tour - an arcade racing game in which the player drives miniature cars and avoids dangerous obstacles including sandwiches and coconuts.
All of the keys included in the second edition of G2A Deal will be available immediately after purchase as Steam codes and will not be region-locked.
World Platinum Investment Council Supports London and Paris on Independent Road-testing Initiative
Commenting on the plans announced today by Mayor of Paris, Anne Hidalgo and Mayor of London, Sadiq Khan to tackle air pollution in their cities, Paul Wilson, chief executive officer of the World Platinum Investment Council (WPIC) said:
"WPIC is very encouraged by the leadership being shown by London and Paris on the issue of air quality in cities. Independent road-testing provides an excellent starting point as consumers and policy makers consider the wide range of emissions performance from different cars and make appropriate choices.
"This approach is groundbreaking as it will provide consumers with independent model-by-model emissions data and it also sends a strong signal to car makers.
"As Platinum has long played a critical role in emissions control solutions, we understand the technical capabilities of the automotive industry well. We are keen to contribute to a dialogue rooted in fact and focussed on proactive action. Our analysis and test results from Emissions Analytics[1] show that best-in-class technologies which already achieve Euro 6c NOx limits on-the-road were installed on some models sold in 2016. We now need to tip the scales so that this is the case for the many, not the few. We would urge the car makers to recognise the vital, proactive role they can play in a viable solution to the air quality issue."
About the World Platinum Investment Council
The World Platinum Investment Council Ltd. (WPIC) is a global market authority on physical platinum investment, formed to meet the growing investor demand for objective and reliable platinum market intelligence. WPIC's mission is to stimulate global investor demand for physical platinum through both actionable insights and targeted investment product development. WPIC was created in 2014 by the six leading platinum producers in South Africa: Anglo American Platinum Ltd, Aquarius Platinum Ltd, Impala Platinum Ltd, Lonmin plc, Northam Platinum Ltd and Royal Bafokeng Platinum Ltd. For further information, please visit http://www.platinuminvestment.com .
1. http://emissionsanalytics.com/equa-index/
"WPIC is very encouraged by the leadership being shown by London and Paris on the issue of air quality in cities. Independent road-testing provides an excellent starting point as consumers and policy makers consider the wide range of emissions performance from different cars and make appropriate choices.
"This approach is groundbreaking as it will provide consumers with independent model-by-model emissions data and it also sends a strong signal to car makers.
"As Platinum has long played a critical role in emissions control solutions, we understand the technical capabilities of the automotive industry well. We are keen to contribute to a dialogue rooted in fact and focussed on proactive action. Our analysis and test results from Emissions Analytics[1] show that best-in-class technologies which already achieve Euro 6c NOx limits on-the-road were installed on some models sold in 2016. We now need to tip the scales so that this is the case for the many, not the few. We would urge the car makers to recognise the vital, proactive role they can play in a viable solution to the air quality issue."
About the World Platinum Investment Council
The World Platinum Investment Council Ltd. (WPIC) is a global market authority on physical platinum investment, formed to meet the growing investor demand for objective and reliable platinum market intelligence. WPIC's mission is to stimulate global investor demand for physical platinum through both actionable insights and targeted investment product development. WPIC was created in 2014 by the six leading platinum producers in South Africa: Anglo American Platinum Ltd, Aquarius Platinum Ltd, Impala Platinum Ltd, Lonmin plc, Northam Platinum Ltd and Royal Bafokeng Platinum Ltd. For further information, please visit http://www.platinuminvestment.com .
1. http://emissionsanalytics.com/equa-index/
Wednesday, March 29, 2017
HEC Paris จับมือ Coursera เปิดหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ สาขานวัตกรรมและการประกอบการ
HEC Paris และ Coursera เปิดตัวหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ สาขานวัตกรรมและการประกอบการ (OMIE) ซึ่งเป็นหลักสูตรนานาชาติออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบหลักสูตรแรก HEC Paris ซึงเป็นสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจชั้นนำของยุโรป ได้พัฒนาหลักสูตรดังกล่าวขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจาก Coursera ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อการศึกษาออนไลน์ระดับแนวหน้าของโลก หลักสูตรนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้นำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่ใฝ่ฝันจะขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กรของตน หรือเปิดตัวธุรกิจใหม่ๆ โดยเปิดรับสมัครนักศึกษาแล้ววันนี้ และจะเริ่มการเรียนการสอนในเดือนก.ย. 2560
ปีเตอร์ ทอดด์ คณบดีของ HEC Paris เปิดเผยว่า ความต้องการหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการนั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยมีมา "หลักสูตรออนไลน์ใหม่นี้ตอบโจทย์ความต้องการของโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเราเป็นโรงเรียนธุรกิจแห่งแรกในฝรั่งเศสที่เปิดหลักสูตรออนไลน์แบบเปิดและไม่จำกัดจำนวนผู้เรียน (Massive Open Online Course : MOOC) บนแพลตฟอร์ม Coursera เมื่อปี 2556" และความสามารถล่าสุดของ HEC Paris ในการสร้างหลักสูตรที่เปิดกว้างนี้ จะถูกนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาออนไลน์เต็มรูปแบบสำหรับผู้เรียนทั่วโลกได้อย่างแน่นอน
ริก เลอแวง ซีอีโอของ Coursera แสดงความหวังว่า หลักสูตร OMIE จะช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงการศึกษาจากสถาบันสอนธุรกิจชั้นนำได้ "หลักสูตรพิเศษที่พัฒนาขึ้นจากประกาศนียบัตรระดับต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ในทุกๆ ระดับของการเรียนรู้ โดยผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาเดียว เลือกเรียนเพื่อเน้นความเชี่ยวชาญในหนึ่งหลักสูตร หรือจะเรียนแบบเต็มหลักสูตรเพื่อคว้าใบปริญญาก็ได้"
หลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ สาขานวัตกรรมและการประกอบการ มีคุณสมบัติเทียบเท่าหลักสูตรอื่นๆ ที่เปิดสอนใน HEC Paris ที่เพิ่มเติมคือความยืดหยุ่น เนื่องจากผู้เรียนจะสามารถเริ่มเรียนได้ทันทีบนแพลตฟอร์ม Coursera โดยเปิดให้ลงทะเบียนเรียนในสาขาวิชาเฉพาะทางต่างๆ ทั้งนี้ผู้สมัครต้องได้รับการตอบรับจากสถาบันก่อน จึงจะเริ่มเรียนสาขาวิชาเฉพาะทางตามหลักสูตรได่
ปีเตอร์ ทอดด์ อธิบายว่า "ผู้เรียนจะจบจากหลักสูตรนี้ด้วยความพร้อมในการเริ่มต้นกิจการของตัวเอง หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ภายในองค์กรของพวกเขา นี่เป็นโอกาสพิเศษที่จะได้รับปริญญาโทจาก HEC และร่วมเครือข่ายศิษย์เก่า HEC Alumni"
ผู้เรียนจะได้ทำงานเป็นทีมตามโครงการที่เลือกเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนวางแผนไปจนถึงการนำไอเดียไปใช้ในชีวิตจริง ภายใต้คำแนะนำจากผู้ประกอบการและผู้นำธุรกิจที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะมาพบผู้เรียนสัปดาห์ละครั้ง ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถผลักดันโครงการของตนไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้ด้วยการสมัครขอรับเงินทุนจาก HEC Paris และทำให้โครงการบรรลุผลเป็นรูปเป็นร่างได้ที่ศูนย์บ่มเพาะของ HEC ตั้งอยู่ภายใน Station F ซึ่งเป็นแหล่งรวมสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ปีเตอร์ ทอดด์ คณบดีของ HEC Paris เปิดเผยว่า ความต้องการหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการนั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยมีมา "หลักสูตรออนไลน์ใหม่นี้ตอบโจทย์ความต้องการของโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเราเป็นโรงเรียนธุรกิจแห่งแรกในฝรั่งเศสที่เปิดหลักสูตรออนไลน์แบบเปิดและไม่จำกัดจำนวนผู้เรียน (Massive Open Online Course : MOOC) บนแพลตฟอร์ม Coursera เมื่อปี 2556" และความสามารถล่าสุดของ HEC Paris ในการสร้างหลักสูตรที่เปิดกว้างนี้ จะถูกนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาออนไลน์เต็มรูปแบบสำหรับผู้เรียนทั่วโลกได้อย่างแน่นอน
ริก เลอแวง ซีอีโอของ Coursera แสดงความหวังว่า หลักสูตร OMIE จะช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงการศึกษาจากสถาบันสอนธุรกิจชั้นนำได้ "หลักสูตรพิเศษที่พัฒนาขึ้นจากประกาศนียบัตรระดับต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ในทุกๆ ระดับของการเรียนรู้ โดยผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาเดียว เลือกเรียนเพื่อเน้นความเชี่ยวชาญในหนึ่งหลักสูตร หรือจะเรียนแบบเต็มหลักสูตรเพื่อคว้าใบปริญญาก็ได้"
หลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ สาขานวัตกรรมและการประกอบการ มีคุณสมบัติเทียบเท่าหลักสูตรอื่นๆ ที่เปิดสอนใน HEC Paris ที่เพิ่มเติมคือความยืดหยุ่น เนื่องจากผู้เรียนจะสามารถเริ่มเรียนได้ทันทีบนแพลตฟอร์ม Coursera โดยเปิดให้ลงทะเบียนเรียนในสาขาวิชาเฉพาะทางต่างๆ ทั้งนี้ผู้สมัครต้องได้รับการตอบรับจากสถาบันก่อน จึงจะเริ่มเรียนสาขาวิชาเฉพาะทางตามหลักสูตรได่
ปีเตอร์ ทอดด์ อธิบายว่า "ผู้เรียนจะจบจากหลักสูตรนี้ด้วยความพร้อมในการเริ่มต้นกิจการของตัวเอง หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ภายในองค์กรของพวกเขา นี่เป็นโอกาสพิเศษที่จะได้รับปริญญาโทจาก HEC และร่วมเครือข่ายศิษย์เก่า HEC Alumni"
ผู้เรียนจะได้ทำงานเป็นทีมตามโครงการที่เลือกเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนวางแผนไปจนถึงการนำไอเดียไปใช้ในชีวิตจริง ภายใต้คำแนะนำจากผู้ประกอบการและผู้นำธุรกิจที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะมาพบผู้เรียนสัปดาห์ละครั้ง ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถผลักดันโครงการของตนไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้ด้วยการสมัครขอรับเงินทุนจาก HEC Paris และทำให้โครงการบรรลุผลเป็นรูปเป็นร่างได้ที่ศูนย์บ่มเพาะของ HEC ตั้งอยู่ภายใน Station F ซึ่งเป็นแหล่งรวมสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
HEC Paris Launches Groundbreaking Online Master's in Innovation & Entrepreneurship on Coursera
HEC Paris and Coursera launch their first fully online international degree program, the online Master's in Innovation and Entrepreneurship (OMIE). Europe's leading business school has created this degree in collaboration with Coursera, the world's leading online learning platform. The program is designed for present and future business leaders who wish to drive innovation within their organizations or launch new ventures. Applications are now open for the first intake of students with classes starting in September 2017.
According to HEC Paris Dean Peter Todd, the need for courses designed for entrepreneurial and innovative leaders is greater than ever: "This new online degree answers the needs of the ever-changing and rapidly-evolving world of business. In 2013, we were the first business school in France to launch a Massive Open Online Course on the Coursera platform." Indeed, HEC Paris' more recent ability to build open courses will now be leveraged to develop a fully online degree for the entire world.
Coursera CEO Rick Levin is hopeful that the OMIE will make learning from a top business school attainable to people globally: "Thanks to a unique curriculum based on stackable credentials, participants can benefit at each level of learning. They can choose a single course, decide to specialize in one program, or embark on a full-fledged degree."
The online Master's in Innovation & Entrepreneurship will be as selective as all other degrees at HEC Paris. But it is also designed to be flexible, allowing prospective students to start learning immediately on the Coursera platform with open enrollment Specializations. Once admitted, Specializations can then be credited towards the degree.
"Participants will leave the program ready to launch their own venture or to innovate within their existing organizations. This is a unique opportunity to earn an HEC Master's degree and join the exclusive HEC Alumni network," explains Peter Todd.
Students will work in teams over a six-month period on a project of choice, from the planning stages to bringing the idea to life. They will receive mentoring from experienced entrepreneurs and business leaders who will meet with them once a week. Successful graduates will be able to move their respective project into its next phase by applying for seed funding from HEC Paris, and have their project come to fruition at HEC's incubator, based at Station F, the world's biggest startup campus.
World Cyber Arena ประกาศความก้าวหน้าด้านอีสปอร์ตในปีนี้
World Cyber Arena (WCA) ผู้นำด้านการจัดทัวร์นาเมนต์อีสปอร์ตจากประเทศจีน แถลงแผนการประจำปี 2560 ในงานแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมประกาศความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาในปีนี้
สีสันใหม่ในทัวร์นาเมนต์
WCA พร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ด้วยการเพิ่มสีสันและปรับเปลี่ยนรูปแบบทัวนาเมนต์ในปีนี้ โดยจะใช้ระบบการแข่งขันแบบเดียวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และจะเพิ่มประเภทการแข่งขันอีสปอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อพลิกโฉม WCA ให้เป็นมหกรรมที่คอเกมทั่วโลกสามารถร่วมสนุกได้ พร้อมกันนี้ WCA จะส่งเสริมวัฒนธรรมความมีน้ำใจนักกีฬาและความภูมิใจในชาติด้วย
ขยายความร่วมมือ WCA Global eSports Alliance
WCA Global eSports Alliance ก่อตั้งขึ้นเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว ณ สำนักงานใหญ่ของ WCA ในนครหยินชวน เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และ ณ ที่นี้ WCA ได้จัดการประชุมสุดยอดอีสปอร์ตเป็นครั้งแรก โดยร่วมมือกับบริษัทและสมาคมอีสปอร์ตจากกว่า 20 ประเทศและเขตการปกครอง สำหรับปีนี้ WCA มีแผนเพิ่มสมาชิกอีก 10 ราย พร้อมกับเปิดเวทีที่ทุกฝ่ายสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนและบรรลุความสำเร็จร่วมกัน
ริเริ่มโครงการให้ความรู้ด้านอีสปอร์ตในระดับสากล
WCA จับมือกับ GH eSports education ริเริ่มโครงการให้ความรู้ด้านอีสปอร์ตสากล โดยอาศัยทรัพยากรจากองค์กรและสถาบันต่างๆ ซึ่งรวมถึงวิทยาลัย มหาวิทยาลัย พันธมิตรด้านอีสปอร์ตทั่วโลก เวทีการแข่งขันระดับท็อป ตลอดจนศูนย์ให้ความรู้ออนไลน์และออฟไลน์ โครงการดังกล่าวจะประกอบด้วยคอร์สอีสปอร์ตแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบเกม การฝึกฝนความสามารถ และการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาวิชาเอกอีสปอร์ต นอกจากนี้ WCA ยังขยายโครงการดังกล่าวไปยังตลาดนานาชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสุดยอดแนวคิดและบุคลากรที่มีความสามารถทั่วโลก
WCA กำลังก้าวสู่ความเป็นเลิศในปี 2560 ปัจจุบัน WCA เป็นแพลตฟอร์มอีสปอร์ตแบบ third party ชั้นนำของโลก และจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบทัวร์นาเมนต์ของบริษัทให้สมบูรณ์แบบต่อไป พร้อมกับสนับสนุนระบบนิเวศอีสปอร์ตอย่างไม่หยุดยั้ง
สีสันใหม่ในทัวร์นาเมนต์
WCA พร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ด้วยการเพิ่มสีสันและปรับเปลี่ยนรูปแบบทัวนาเมนต์ในปีนี้ โดยจะใช้ระบบการแข่งขันแบบเดียวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และจะเพิ่มประเภทการแข่งขันอีสปอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อพลิกโฉม WCA ให้เป็นมหกรรมที่คอเกมทั่วโลกสามารถร่วมสนุกได้ พร้อมกันนี้ WCA จะส่งเสริมวัฒนธรรมความมีน้ำใจนักกีฬาและความภูมิใจในชาติด้วย
ขยายความร่วมมือ WCA Global eSports Alliance
WCA Global eSports Alliance ก่อตั้งขึ้นเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว ณ สำนักงานใหญ่ของ WCA ในนครหยินชวน เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และ ณ ที่นี้ WCA ได้จัดการประชุมสุดยอดอีสปอร์ตเป็นครั้งแรก โดยร่วมมือกับบริษัทและสมาคมอีสปอร์ตจากกว่า 20 ประเทศและเขตการปกครอง สำหรับปีนี้ WCA มีแผนเพิ่มสมาชิกอีก 10 ราย พร้อมกับเปิดเวทีที่ทุกฝ่ายสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนและบรรลุความสำเร็จร่วมกัน
ริเริ่มโครงการให้ความรู้ด้านอีสปอร์ตในระดับสากล
WCA จับมือกับ GH eSports education ริเริ่มโครงการให้ความรู้ด้านอีสปอร์ตสากล โดยอาศัยทรัพยากรจากองค์กรและสถาบันต่างๆ ซึ่งรวมถึงวิทยาลัย มหาวิทยาลัย พันธมิตรด้านอีสปอร์ตทั่วโลก เวทีการแข่งขันระดับท็อป ตลอดจนศูนย์ให้ความรู้ออนไลน์และออฟไลน์ โครงการดังกล่าวจะประกอบด้วยคอร์สอีสปอร์ตแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบเกม การฝึกฝนความสามารถ และการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาวิชาเอกอีสปอร์ต นอกจากนี้ WCA ยังขยายโครงการดังกล่าวไปยังตลาดนานาชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสุดยอดแนวคิดและบุคลากรที่มีความสามารถทั่วโลก
WCA กำลังก้าวสู่ความเป็นเลิศในปี 2560 ปัจจุบัน WCA เป็นแพลตฟอร์มอีสปอร์ตแบบ third party ชั้นนำของโลก และจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบทัวร์นาเมนต์ของบริษัทให้สมบูรณ์แบบต่อไป พร้อมกับสนับสนุนระบบนิเวศอีสปอร์ตอย่างไม่หยุดยั้ง
OutSystems Recognized as a Mobile Low-Code Development Platform Leader
- Company also cited as a leader in general low-code development platforms
OutSystems, the number one platform for low-code application development, has been recognized as a Leader in The Forrester Wave(TM): Mobile Low-Code Development Platforms, Q1 2017 .
In one of the most comprehensive assessments of the low-code mobile development market, Forrester identified the 11 most significant vendors and evaluated them based on a rigorous 24-point evaluation. The result: OutSystems was recognized as a leader achieving the highest possible score in 13 criteria including integration, app scale and performance, mobile offline, number of customers, partner ecosystem, pricing strategy, and strategy assessment.
"We're thrilled to be cited as a low-code leader in two Forrester Waves , one for general-purpose low-code development and now one specifically for mobile low-code development," said Paulo Rosado, CEO of OutSystems. "I believe that this is another great validation that the market is embracing low-code platforms for enterprise app development."
According to Forrester, "Mobile low-code development platforms are an offshoot of the broader category of low-code platforms designed to support the particular needs of mobile apps ... These products go beyond general-purpose low-code development platforms by including features closely associated with mobile infrastructure services platforms or mobile middleware products, including support for mobile notifications, enterprise mobile management tools, and support for offline caching and filtering of data when devices aren't connected."
Forrester recognized OutSystems as a leader, and also recognized the following points:
- OutSystems strong performance "reflects its commitment to enterprise customers via extensive low-code tooling for semi-professional and professional developers."
- OutSystems strengths include its "broad features and tools for database, integration, and collaboration, coupled with an extensive set of mobile features."
- OutSystems customer references "like the easy maintainability of the apps they've created, and … the ability to use a wider range of developer skillsets to build mobile apps."
Read a complimentary copy of The Forrester Wave(TM): Mobile Low-Code Development Platforms, Q1 2017 or The Forrester Wave(TM): Low-Code Development Platforms, Q1 2016 .
Start using an OutSystems personal environment free.
About OutSystems:
Thousands of customers worldwide trust OutSystems, the number one low-code platform for rapid application development. Engineers with an obsessive attention to detail crafted every aspect of the OutSystems platform to help organizations build enterprise-grade apps and transform their business faster. OutSystems is the only solution that combines the power of low-code development with advanced mobile capabilities, enabling visual development of entire application portfolios that easily integrate with existing systems. Visit us at www.outsystems.com , or follow us on Twitter @OutSystems or LinkedIn at https://www.linkedin.com/company/outsystems .
OutSystems, the number one platform for low-code application development, has been recognized as a Leader in The Forrester Wave(TM): Mobile Low-Code Development Platforms, Q1 2017 .
In one of the most comprehensive assessments of the low-code mobile development market, Forrester identified the 11 most significant vendors and evaluated them based on a rigorous 24-point evaluation. The result: OutSystems was recognized as a leader achieving the highest possible score in 13 criteria including integration, app scale and performance, mobile offline, number of customers, partner ecosystem, pricing strategy, and strategy assessment.
"We're thrilled to be cited as a low-code leader in two Forrester Waves , one for general-purpose low-code development and now one specifically for mobile low-code development," said Paulo Rosado, CEO of OutSystems. "I believe that this is another great validation that the market is embracing low-code platforms for enterprise app development."
According to Forrester, "Mobile low-code development platforms are an offshoot of the broader category of low-code platforms designed to support the particular needs of mobile apps ... These products go beyond general-purpose low-code development platforms by including features closely associated with mobile infrastructure services platforms or mobile middleware products, including support for mobile notifications, enterprise mobile management tools, and support for offline caching and filtering of data when devices aren't connected."
Forrester recognized OutSystems as a leader, and also recognized the following points:
- OutSystems strong performance "reflects its commitment to enterprise customers via extensive low-code tooling for semi-professional and professional developers."
- OutSystems strengths include its "broad features and tools for database, integration, and collaboration, coupled with an extensive set of mobile features."
- OutSystems customer references "like the easy maintainability of the apps they've created, and … the ability to use a wider range of developer skillsets to build mobile apps."
Read a complimentary copy of The Forrester Wave(TM): Mobile Low-Code Development Platforms, Q1 2017 or The Forrester Wave(TM): Low-Code Development Platforms, Q1 2016 .
Start using an OutSystems personal environment free.
About OutSystems:
Thousands of customers worldwide trust OutSystems, the number one low-code platform for rapid application development. Engineers with an obsessive attention to detail crafted every aspect of the OutSystems platform to help organizations build enterprise-grade apps and transform their business faster. OutSystems is the only solution that combines the power of low-code development with advanced mobile capabilities, enabling visual development of entire application portfolios that easily integrate with existing systems. Visit us at www.outsystems.com , or follow us on Twitter @OutSystems or LinkedIn at https://www.linkedin.com/company/outsystems .
Subscribe to:
Posts (Atom)