มณฑลเจียงซีเตรียมจัดงาน Tang Xianzu International Theater Exchange Month ประจำปี 2561 ที่นครฝูโจว ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซี ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนถึงปลายเดือนตุลาคมนี้
มณฑลเจียงซีได้จัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับกิจกรรมนี้ ณ ศาลาประชาคมในกรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา
นครฝูโจวเป็นบ้านเกิดของถังเซียนจู่ ผู้เขียนบทละคร นักวรรณคดี และนักคิดชื่อดังสมัยราชวงศ์หมิง หลังจากวาระครบรอบ 400 ปีแห่งการเสียชีวิตของถังในปี 2559 นครฝูโจวก็ได้จัดเทศกาลแสดงละครของถังเซียนจู่ และเปิดโครงการแลกเปลี่ยนเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนในปี 2560 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับอังกฤษ
ด้วยความพยายามที่จะผนวกรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามของจีนไว้ในโครงการ Belt and Road Initiative เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนในต่างประเทศและอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนและผสมผสานวัฒนธรรม ทางรัฐบาลมณฑลเจียงซีจึงเดินหน้าจัดโครงการแลกเปลี่ยน Tang Xianzu International Theatre Exchange Month ในปีนี้ โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีน (CPAFFC) ภายใต้การสนับสนุนจากสมาคมการละครแห่งประเทศจีน (China Theatre Association) กิจกรรมนี้จะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของถังเซียนจู่ กระตุ้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม และเสริมสร้างความเชื่อมั่นทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
เสี่ยว ยี่ รองประธานการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองของจีนประจำมณฑลเจียงซี และเลขานุการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเทศบาลนครฝูโจว กล่าวว่า นครฝูโจวจัดงาน Tang Xianzu International Theatre Exchange Month อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีงาม บอกเล่าเรื่องราวของจีนในแบบที่ทำให้รู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้น จัดให้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศ รวมถึงประสานความร่วมมือเพื่อทำให้คนในประเทศและต่างประเทศหันมาสนใจเรื่องราวของถังเซียนจู่ นครฝูโจว มณฑลเจียงซี และวัฒนธรรมจีน เพื่อยกระดับการเผยแพร่วัฒนธรรมและอิทธิพลของจีนออกไปเป็นวงกว้าง
ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2560 มีการจัดแสดงละครกว่า 20 ครั้งในนครฝูโจว โดยกลุ่มที่ทำการแสดงละครมีทั้งกลุ่มในประเทศจีนและจากต่างประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร สเปน อิตาลี โรมาเนีย อัลบาเนีย อียิปต์ มอริเชียส โคลอมเบีย ฯลฯ
เดือนแห่งการแลกเปลี่ยนในปีนี้จะมุ่งจัดกิจกรรมที่ล้ำสมัย มีความหลากหลาย มีพลังความคิดสร้างสรรค์ และมีความคลาสสิก โดยแนวคิดของกิจกรรมในปีนี้คือการบ่มเพาะวัฒนธรรมของถังเซียนจู่ ขยายอิทธิพลของวัฒนธรรมหลินฉวน ยกระดับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยกิจกรรมนี้จะเปิดรับนานาประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วม และจะจัดในรูปแบบที่มุ่งเน้นตลาดและการมีส่วนร่วมของคนหมู่มาก
อู๋ จงเฉียง รองผู้ว่าการมณฑลเจียงซี กล่าวว่า กิจกรรมการแลกเปลี่ยนด้านการละครในปีนี้จะทำให้ผู้คนเข้าใจความคิดและความสำเร็จด้านศิลปะของถังเซียนจู่มากขึ้น ทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของมณฑลเจียงซีในต่างประเทศ ตลอดจนอำนวยความสะดวกด้านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม มิตรภาพ และเศรษฐกิจระหว่างมณฑลเจียงซีและทั่วโลก
มณฑลเจียงซีหวังที่จะผลักดันวัฒนธรรมท้องถิ่นไปสู่วัฒนธรรมโลกมากขึ้น พร้อมกับสร้างสรรค์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
ฉี หง หัวหน้าฝ่ายวัฒนธรรมของมณฑลเจียงซี กล่าวว่า เดือนแห่งการแลกเปลี่ยนด้านการละครจะช่วยยกระดับ "การสนทนา" เกี่ยวกับถังเซียนจู่และเชกสเปียร์ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ ส่งเสริมการพัฒนาการค้าเชิงวัฒนธรรม สนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมของมณฑลเจียงซีสู่ต่างประเทศ ตลอดจนดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของมณฑลแห่งนี้
กิจกรรมในงาน Tang Xianzu International Theatre Exchange Month ประจำปี 2561 จะมีการแสดงแบบดั้งเดิมทั้งจากจีนและต่างประเทศ ขบวนพาเหรด การแสดงอุปรากรจีน การท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสวัฒนธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านวัฒนธรรมจากต่างประเทศ การแสดงอุปรากรที่ได้รับรางวัล การจัดแสดงนิทรรศการมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมของมณฑลเจียงซี รวมถึงกิจกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมกระแสหลักอีกมากมาย
ไม่กี่ปีมานี้ นครฝูโจวได้ประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามอย่างจริงจัง และผลักดันให้วัฒนธรรมของถังเซียนจู่เป็นที่รู้จัก โดยตั้งเป้าที่จะเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาติ และเป็น "เมืองแห่งการละครของจีน" นครฝูโจวติด 10 อันดับเมืองที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านวัฒนธรรมมากที่สุดของจีนในปี 2560 อีกทั้งยังมีส่วนช่วยจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนสองโครงการที่นำผู้คนให้มาเยือนย่านหลินฉวนในนครฝูโจวเพื่อศึกษาค้นคว้าวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนสัมผัสวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกผ่านบทละครของถังเซียนจู่และเชกสเปียร์ตามลำดับ ทั้งสองโครงการส่งผลให้มีการเดินทางโดยรถไฟมากถึง 283 เที่ยว และการศึกษาค้นคว้ากว่า 100,000 ครั้งนับตั้งแต่ปีที่แล้ว
ที่มา: รัฐบาลมณฑลเจียงซี
AsiaNet 74576
Tuesday, July 31, 2018
Cultivate the Tang Xianzu cultural brand and deepen cultural exchanges at home and abroad
The 2018 Tang Xianzu International Theater Exchange Month will be staged in Fuzhou City in southeast China's Jiangxi Province from September 28 to late October this year.
The province held a press conference for the event in the Great Hall of the People in Beijing on the morning of July 28.
Fuzhou is the hometown of Tang Xianzu, a famous playwright, litterateur and thinker of the Ming Dynasty. After marking the 400th anniversary of Tang's death in 2016, Fuzhou organized the Tang Xianzu theater festival and launched an exchange program lasting for about one month in 2017 as part of efforts to mark the 45th anniversary of the establishment of ambassadorial diplomatic relations between China and Britain.
As part of efforts to further integrate excellent Chinese traditional culture into the Belt and Road Initiative, promote excellent Chinese traditional culture overseas and facilitate cultural exchanges and integration, Jiangxi provincial government this year will continue to organize the Tang Xianzu International Theatre Exchange Month by working with the Chinese People's Association for Friendship with Foreign Countries with strong support from the China Theatre Association. The event is expected to highlight the Tang Xianzu cultural brand, boost the development of cultural industry and continuously enhance cultural self-confidence.
By keeping organizing the Tang Xianzu International Theatre Exchange Month, Fuzhou aims to promote excellent traditional culture, tell Chinese stories in a more engaging manner and carry out Chinese and foreign cultural exchanges and cooperation to bring domestic and global attention to Tang Xianzu, Fuzhou, Jiangxi and Chinese culture, thus increasing Chinese culture's presence and influence, according to Xiao Yi, vice chairman of the Jiangxi Provincial People's Political Consultative Conference and secretary of the Fuzhou Municipal CPC Party Committee.
In more than one month since last September 24 last year, over 20 wonderful plays from home and abroad were staged in Fuzhou, featuring performances played by groups from the United Kingdom, Spain, Italy, Romania, Albania, Egypt, Mauritius, Colombia and other countries.
This year's exchange month aims to organize an innovative, diverse, dynamic and classic event, and the theme of this year's event is to cultivate the Tang Xianzu cultural brand, expand Linchuan culture's influence, deepen cultural exchanges at home and abroad and facilitate cultural tourism industry development. The event will feature international elements and be organized in a market-oriented manner and for mass participation.
This year's theatre exchange activities will deepen people's understanding of Tang Xianzu's thoughts and artistic achievements, promote Jiangxi culture overseas, and further facilitate cultural, friendship and economic exchanges between Jiangxi and the rest of the world, Wu Zhongqiong, deputy governor of Jiangxi Province.
Jiangxi hopes to add some local cultural elements to the world culture while making its own culture more globally appealing, Wu added.
The theatre exchange month will further deepen the "dialogue" between Tang Xianzu and Shakespeare, enhance cultural exchanges and cooperation between China and foreign countries, promote cultural trade development, support Jiangxi culture's overseas dissemination and bring global attention to the province's economic and social development, according to Chi Hong, head of Jiangxi's culture department.
The 2018 Tang Xianzu International Theatre Exchange Month will feature Chinese and foreign classic performances, parade activities, tea-picking opera shows, culture-experiencing trips for foreign cultural officials in China, and the performances of award-winning opera pieces, exhibition of the Jiangxi's intangible cultural heritages as well as various mass cultural activities.
In recent years, Fuzhou has actively promoted excellent traditional cultures, created the cultural brand of Tang Xianzu, aiming to become a national historical and cultural city and "China's City of Plays". The city made into the top ten most culturally competitive cities in China in 2017. The city has helped develop two exchange programs which bring people to visit Fuzhou's Linchuan District to research and study local culture and experience oriental and western cultures represented by Tang Xianzu and Shakespeare respectively. The two routes have seen 283 train trips with over 100,000 research and study visits since last year.
Source: Jiangxi Provincial Government
AsiaNet 74576
The province held a press conference for the event in the Great Hall of the People in Beijing on the morning of July 28.
Fuzhou is the hometown of Tang Xianzu, a famous playwright, litterateur and thinker of the Ming Dynasty. After marking the 400th anniversary of Tang's death in 2016, Fuzhou organized the Tang Xianzu theater festival and launched an exchange program lasting for about one month in 2017 as part of efforts to mark the 45th anniversary of the establishment of ambassadorial diplomatic relations between China and Britain.
As part of efforts to further integrate excellent Chinese traditional culture into the Belt and Road Initiative, promote excellent Chinese traditional culture overseas and facilitate cultural exchanges and integration, Jiangxi provincial government this year will continue to organize the Tang Xianzu International Theatre Exchange Month by working with the Chinese People's Association for Friendship with Foreign Countries with strong support from the China Theatre Association. The event is expected to highlight the Tang Xianzu cultural brand, boost the development of cultural industry and continuously enhance cultural self-confidence.
By keeping organizing the Tang Xianzu International Theatre Exchange Month, Fuzhou aims to promote excellent traditional culture, tell Chinese stories in a more engaging manner and carry out Chinese and foreign cultural exchanges and cooperation to bring domestic and global attention to Tang Xianzu, Fuzhou, Jiangxi and Chinese culture, thus increasing Chinese culture's presence and influence, according to Xiao Yi, vice chairman of the Jiangxi Provincial People's Political Consultative Conference and secretary of the Fuzhou Municipal CPC Party Committee.
In more than one month since last September 24 last year, over 20 wonderful plays from home and abroad were staged in Fuzhou, featuring performances played by groups from the United Kingdom, Spain, Italy, Romania, Albania, Egypt, Mauritius, Colombia and other countries.
This year's exchange month aims to organize an innovative, diverse, dynamic and classic event, and the theme of this year's event is to cultivate the Tang Xianzu cultural brand, expand Linchuan culture's influence, deepen cultural exchanges at home and abroad and facilitate cultural tourism industry development. The event will feature international elements and be organized in a market-oriented manner and for mass participation.
This year's theatre exchange activities will deepen people's understanding of Tang Xianzu's thoughts and artistic achievements, promote Jiangxi culture overseas, and further facilitate cultural, friendship and economic exchanges between Jiangxi and the rest of the world, Wu Zhongqiong, deputy governor of Jiangxi Province.
Jiangxi hopes to add some local cultural elements to the world culture while making its own culture more globally appealing, Wu added.
The theatre exchange month will further deepen the "dialogue" between Tang Xianzu and Shakespeare, enhance cultural exchanges and cooperation between China and foreign countries, promote cultural trade development, support Jiangxi culture's overseas dissemination and bring global attention to the province's economic and social development, according to Chi Hong, head of Jiangxi's culture department.
The 2018 Tang Xianzu International Theatre Exchange Month will feature Chinese and foreign classic performances, parade activities, tea-picking opera shows, culture-experiencing trips for foreign cultural officials in China, and the performances of award-winning opera pieces, exhibition of the Jiangxi's intangible cultural heritages as well as various mass cultural activities.
In recent years, Fuzhou has actively promoted excellent traditional cultures, created the cultural brand of Tang Xianzu, aiming to become a national historical and cultural city and "China's City of Plays". The city made into the top ten most culturally competitive cities in China in 2017. The city has helped develop two exchange programs which bring people to visit Fuzhou's Linchuan District to research and study local culture and experience oriental and western cultures represented by Tang Xianzu and Shakespeare respectively. The two routes have seen 283 train trips with over 100,000 research and study visits since last year.
Source: Jiangxi Provincial Government
AsiaNet 74576
CIFF Shanghai 2018 with New Theme & New Layout: Create a Better Home Life
GUANGZHOU, China--31 Jul--PRNewswire/InfoQuest
The 42nd CIFF Shanghai will be held at the National Exhibition & Convention Center (Shanghai) in Hongqiao, from 10 to 13 September 2018, hosting more than 1,200 exhibitors and covering a total exhibition area of 400,000 square metres of optimized layout.
2018 has been an important year for CIFF; a fundamental stage of its growth is the strategic alliance established between two furniture sector giants, CFTE and Red Star Macalline, to jointly operate CIFF (Shanghai) September.
The crossover cooperation between the two leading enterprises in the industry has started a new round of high-quality development of CIFF-Shanghai and brings new perspectives and opportunities to the furniture industry.
To meet the needs of people for a better life, the 42nd edition of CIFF Shanghai will tackle the topic of "an Example of Global Home Life" and will be a real leap forward in terms of quality, services and events, integrating the global quality resources, enriching the products and forms of the exhibition, offering new lifestyle opportunities, setting trends of home furnishings, boosting the upgrades of the global home furnishing consumption market and ensuring the vitality of the future industry.
CIFF Shanghai offers Imported Furniturein Hall 3 and High-end Customized Furniture in the North Hall to promote the consumption upgrade of the home furnishing industry.
It keeps up with the consumption trends of design, mild luxury and neo-Chinese style with Trendy Furniture in Hall 4 and Quality Furniture in Hall 5. The show also takes advantage of Shanghai's leading position in design in China by creating the Design Innovation Zone.
CIFF Shanghai highlights the advantages of various themes in the industry chain by offering sectors such as Furniture Machinery & Woodworking Machinery, Homedecor & Hometextile, Outdoor & Leisure and Office Show.
The Outdoor & Leisure and Homedecor & Hometextile zones are organized in Halls 1.1 & 2.1 to meet the one-stop sourcing needs for home furnishings with more varied products.
The Office Show in hall 8.2 includes commercial office and hotel furniture; while the Woodworking Machinery sector, renamed "Shanghai International Furniture Machinery & Woodworking Machinery Fair " after the joint venture with Adsale Exhibition Services Co. will be in Halls 7.1 and 8.1, doubling the scale of the exhibition area from last year.
Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20180731/2199889-1
The 42nd CIFF Shanghai will be held at the National Exhibition & Convention Center (Shanghai) in Hongqiao, from 10 to 13 September 2018, hosting more than 1,200 exhibitors and covering a total exhibition area of 400,000 square metres of optimized layout.
2018 has been an important year for CIFF; a fundamental stage of its growth is the strategic alliance established between two furniture sector giants, CFTE and Red Star Macalline, to jointly operate CIFF (Shanghai) September.
The crossover cooperation between the two leading enterprises in the industry has started a new round of high-quality development of CIFF-Shanghai and brings new perspectives and opportunities to the furniture industry.
To meet the needs of people for a better life, the 42nd edition of CIFF Shanghai will tackle the topic of "an Example of Global Home Life" and will be a real leap forward in terms of quality, services and events, integrating the global quality resources, enriching the products and forms of the exhibition, offering new lifestyle opportunities, setting trends of home furnishings, boosting the upgrades of the global home furnishing consumption market and ensuring the vitality of the future industry.
CIFF Shanghai offers Imported Furniturein Hall 3 and High-end Customized Furniture in the North Hall to promote the consumption upgrade of the home furnishing industry.
It keeps up with the consumption trends of design, mild luxury and neo-Chinese style with Trendy Furniture in Hall 4 and Quality Furniture in Hall 5. The show also takes advantage of Shanghai's leading position in design in China by creating the Design Innovation Zone.
CIFF Shanghai highlights the advantages of various themes in the industry chain by offering sectors such as Furniture Machinery & Woodworking Machinery, Homedecor & Hometextile, Outdoor & Leisure and Office Show.
The Outdoor & Leisure and Homedecor & Hometextile zones are organized in Halls 1.1 & 2.1 to meet the one-stop sourcing needs for home furnishings with more varied products.
The Office Show in hall 8.2 includes commercial office and hotel furniture; while the Woodworking Machinery sector, renamed "Shanghai International Furniture Machinery & Woodworking Machinery Fair " after the joint venture with Adsale Exhibition Services Co. will be in Halls 7.1 and 8.1, doubling the scale of the exhibition area from last year.
Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20180731/2199889-1
GIORGIO ARMANI BEAUTY เป็นผู้สนับสนุนด้านความงาม ประจำเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 75 ของเวนิส เบียนนาเล่ (LA BIENNALE DI VENEZIA)
Giorgio Armani Beauty ประกาศจับมือกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 75 ในฐานะผู้สนับสนุนด้านความงาม
ทางแบรนด์จะเป็นผู้ให้บริการแต่งหน้าประจำงานของแขกที่เข้าร่วม หลายคนในบรรดาแขกเหล่านี้เป็นคนดังผู้มีลิขิตมาให้ได้เดินพรมแดง ภายใน Palazzo del Casin? เหล่าตัวแทนจะสามารถดื่มด่ำไปกับจักรวาลแห่งแบรนด์นี้ได้
Giorgio Armani Beauty ได้ตั้งใจค้นหาความหมายและขับเน้นความงามเฉพาะตัวของผู้หญิงมาตลอด 18 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัว ความเรียบหรู งามสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ และการไม่ปรุงแต่งคือค่านิยมพื้นฐานของผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ต่างๆ ที่เหนือระดับทั้งด้านความเบา สบาย ติดทนนาน และยังให้ผลลัพธ์ที่ดูลุ่มลึกและเป็นธรรมชาติ
ค่านิยมเหล่านี้ปรากฏเป็นรูปร่างในตัวตนของ Cate Blanchett นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ (ผู้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และภาพลักษณ์ของน้ำหอม S?) Giorgio Armani Beauty มีประสบการณ์ร่วมงานแสนพิเศษกับผู้นำวงการคนนี้มายาวนาน
ปัจจุบัน Giorgio Armani Beauty ภูมิใจในความสัมพันธ์กับวงการภาพยนตร์ที่เหนียวแน่นเช่นนี้ และจะนำค่านิยมและความเชี่ยวชาญด้านความงามมามอบให้หนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์ที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในโลก
Giorgio Armani Beauty กับวงการภาพยนตร์
การจับมือระหว่าง Giorgio Armani Beauty กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 75 จะเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทางแบรนด์และโลกแห่งการสร้างภาพยนตร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยังเป็นการระลึกถึงความหลงใหลที่ Giorgio Armani มีต่อวงการภาพยนตร์มาตลอดชีวิต ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักออกแบบคนนี้ได้สรรค์สร้างเสื้อผ้าในภาพยนตร์หลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่ดังที่สุดอย่าง American Gigolo เมื่อปี 1980 โดยได้ตัดเสื้อผ้าให้ Richard Gere ทั้งหมด ไปจนถึง The Untouchables, Gattaca, BeautyStealing, Shaft, ซีรี่ส์ Batman, The Tuxedo, De-Lovely, Fair Game, The Social Network, Mission Impossible: Ghost Protocol, Hanna, A Most Violent Year และ The Wolf of Wall Street คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่ง
เพื่อเป็นการให้คุณค่ากับสายสัมพันธ์ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ระหว่างทางแบรนด์กับวงการภาพยนตร์ Giorgio Armani Beauty ได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์ร้านบูติกใหม่เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีการฉายภาพยนตร์ของ Zoe Cassavetes เพื่อแสดงความสัมพันธ์เหนือกาลเวลาระหว่างอารมณ์และความงาม
Giorgio Armani Beauty - เรียบหรู งามสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ปรุงแต่ง
ใน 18 ปีนี้ Giorgio Armani Beauty ได้ผลิตเมคอัพที่มีเนื้อสัมผัสสวยงาม ผลิตภัณฑ์บางชิ้นเกิดขึ้นที่หลังเวทีแฟชั่นโชว์ของทางแบรนด์ และยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับจากผู้หญิง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สร้างมาเพื่อเผยความงามตามธรรมชาติของผู้หญิง มิใช่ปกปิด โดยเป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์ชื่อดังมากมาย เช่น มาสคาร่าและอายทินท์ Eyes to Kill ลิปสติก Lip Maestro และ Ecstasy Shine รองพื้น Power Fabric และ Luminous Silk รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Crema Nera และ Armani Prima ทางแบรนด์ยังเป็นที่รู้จักจากคอลเลคชั่นน้ำหอมทั้งชายและหญิง เช่น Acqua Di Gi?, S? และ S? Passione รวมไปถึงน้ำหอมระดับ Haute Couture อย่าง Armani Prive อีกด้วย
ทางแบรนด์จะเป็นผู้ให้บริการแต่งหน้าประจำงานของแขกที่เข้าร่วม หลายคนในบรรดาแขกเหล่านี้เป็นคนดังผู้มีลิขิตมาให้ได้เดินพรมแดง ภายใน Palazzo del Casin? เหล่าตัวแทนจะสามารถดื่มด่ำไปกับจักรวาลแห่งแบรนด์นี้ได้
Giorgio Armani Beauty ได้ตั้งใจค้นหาความหมายและขับเน้นความงามเฉพาะตัวของผู้หญิงมาตลอด 18 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัว ความเรียบหรู งามสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ และการไม่ปรุงแต่งคือค่านิยมพื้นฐานของผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ต่างๆ ที่เหนือระดับทั้งด้านความเบา สบาย ติดทนนาน และยังให้ผลลัพธ์ที่ดูลุ่มลึกและเป็นธรรมชาติ
ค่านิยมเหล่านี้ปรากฏเป็นรูปร่างในตัวตนของ Cate Blanchett นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ (ผู้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และภาพลักษณ์ของน้ำหอม S?) Giorgio Armani Beauty มีประสบการณ์ร่วมงานแสนพิเศษกับผู้นำวงการคนนี้มายาวนาน
ปัจจุบัน Giorgio Armani Beauty ภูมิใจในความสัมพันธ์กับวงการภาพยนตร์ที่เหนียวแน่นเช่นนี้ และจะนำค่านิยมและความเชี่ยวชาญด้านความงามมามอบให้หนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์ที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในโลก
Giorgio Armani Beauty กับวงการภาพยนตร์
การจับมือระหว่าง Giorgio Armani Beauty กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 75 จะเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทางแบรนด์และโลกแห่งการสร้างภาพยนตร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยังเป็นการระลึกถึงความหลงใหลที่ Giorgio Armani มีต่อวงการภาพยนตร์มาตลอดชีวิต ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักออกแบบคนนี้ได้สรรค์สร้างเสื้อผ้าในภาพยนตร์หลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่ดังที่สุดอย่าง American Gigolo เมื่อปี 1980 โดยได้ตัดเสื้อผ้าให้ Richard Gere ทั้งหมด ไปจนถึง The Untouchables, Gattaca, BeautyStealing, Shaft, ซีรี่ส์ Batman, The Tuxedo, De-Lovely, Fair Game, The Social Network, Mission Impossible: Ghost Protocol, Hanna, A Most Violent Year และ The Wolf of Wall Street คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่ง
เพื่อเป็นการให้คุณค่ากับสายสัมพันธ์ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ระหว่างทางแบรนด์กับวงการภาพยนตร์ Giorgio Armani Beauty ได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์ร้านบูติกใหม่เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีการฉายภาพยนตร์ของ Zoe Cassavetes เพื่อแสดงความสัมพันธ์เหนือกาลเวลาระหว่างอารมณ์และความงาม
Giorgio Armani Beauty - เรียบหรู งามสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ปรุงแต่ง
ใน 18 ปีนี้ Giorgio Armani Beauty ได้ผลิตเมคอัพที่มีเนื้อสัมผัสสวยงาม ผลิตภัณฑ์บางชิ้นเกิดขึ้นที่หลังเวทีแฟชั่นโชว์ของทางแบรนด์ และยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับจากผู้หญิง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สร้างมาเพื่อเผยความงามตามธรรมชาติของผู้หญิง มิใช่ปกปิด โดยเป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์ชื่อดังมากมาย เช่น มาสคาร่าและอายทินท์ Eyes to Kill ลิปสติก Lip Maestro และ Ecstasy Shine รองพื้น Power Fabric และ Luminous Silk รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Crema Nera และ Armani Prima ทางแบรนด์ยังเป็นที่รู้จักจากคอลเลคชั่นน้ำหอมทั้งชายและหญิง เช่น Acqua Di Gi?, S? และ S? Passione รวมไปถึงน้ำหอมระดับ Haute Couture อย่าง Armani Prive อีกด้วย
Industry Leaders Unite to Produce New Mega-Platform for HR Technology
HR Festival Asia will showcase the intersection of HR and technology across the Asia-Pacific region
HR Festival Asia, brought to you by the organisers of the world's largest HR Technology event, and Asia's best-known workforce management conference -- HR Summit and Expo Asia -- will be making its highly-anticipated debut in May, 2019. This two-day conference and expo, focused on the confluence of HR and technology, is dedicated to the vital role that HR teams play across Asia-Pacific organisations today.
Held in Singapore on May 8 and 9 next year, HR Festival Asia is designed for the C-Suite, HR tech influencers, and decision-makers. It will feature:
- Valuable Content: Conference sessions will cover the full spectrum of HR practices and how HR technology is supporting the new world of work
- Exclusive presentations: Including appearances by some of the world's most prominent HR thought leaders
- The region's biggest HR-focused Expo: Featuring globally-renowned products, services, and brands
- Masterclasses: In-depth, focused learning sessions facilitated by the biggest names in HR
- Technology demonstrations: Hands-on experiences with the latest enterprise solutions and mobile apps
"Global spending on HR technologies is expected to hit US$389 billion this year," said Joanna Bush, Executive General Manager of HR Festival Asia. "The HR Festival Asia conference will have three distinct streams focusing on technology -- giving audiences here a first-look at many of these advanced options helping HR to get ahead."
Emma Dean, Event Director, says the Festival will invigorate the profession and industry in Asia-Pacific: "This is the chance for HR leaders to get together, network, and learn about some of the best practices of their colleagues, while also getting hands-on demonstrations of the latest products and services."
Kenneth Kahn, President of LRP Publications, producers of the annual HR Technology Conference & Exposition, said his team was excited to be working with HRM Asia on this new event launch. Kahn commented, "The HR Technology Conference & Exposition is the world's largest multinational HR Tech event. Combining the best of our US event with global and Asia-specific thought leaders will create a winning proposition for exhibitors and attendees at HR Festival Asia."
Vendors seeking to exhibit at and sponsor HR Festival Asia are welcome to contact:
Luke Kasprzak, luke@hrmasia.com.sg
Note: Trademarks referenced herein remain the property of their respective owners.
HR Festival Asia, brought to you by the organisers of the world's largest HR Technology event, and Asia's best-known workforce management conference -- HR Summit and Expo Asia -- will be making its highly-anticipated debut in May, 2019. This two-day conference and expo, focused on the confluence of HR and technology, is dedicated to the vital role that HR teams play across Asia-Pacific organisations today.
Held in Singapore on May 8 and 9 next year, HR Festival Asia is designed for the C-Suite, HR tech influencers, and decision-makers. It will feature:
- Valuable Content: Conference sessions will cover the full spectrum of HR practices and how HR technology is supporting the new world of work
- Exclusive presentations: Including appearances by some of the world's most prominent HR thought leaders
- The region's biggest HR-focused Expo: Featuring globally-renowned products, services, and brands
- Masterclasses: In-depth, focused learning sessions facilitated by the biggest names in HR
- Technology demonstrations: Hands-on experiences with the latest enterprise solutions and mobile apps
"Global spending on HR technologies is expected to hit US$389 billion this year," said Joanna Bush, Executive General Manager of HR Festival Asia. "The HR Festival Asia conference will have three distinct streams focusing on technology -- giving audiences here a first-look at many of these advanced options helping HR to get ahead."
Emma Dean, Event Director, says the Festival will invigorate the profession and industry in Asia-Pacific: "This is the chance for HR leaders to get together, network, and learn about some of the best practices of their colleagues, while also getting hands-on demonstrations of the latest products and services."
Kenneth Kahn, President of LRP Publications, producers of the annual HR Technology Conference & Exposition, said his team was excited to be working with HRM Asia on this new event launch. Kahn commented, "The HR Technology Conference & Exposition is the world's largest multinational HR Tech event. Combining the best of our US event with global and Asia-specific thought leaders will create a winning proposition for exhibitors and attendees at HR Festival Asia."
Vendors seeking to exhibit at and sponsor HR Festival Asia are welcome to contact:
Luke Kasprzak, luke@hrmasia.com.sg
Note: Trademarks referenced herein remain the property of their respective owners.
ไมโครชิพ ขอแนะนำ IC ตรวจวัดไฟฟ้า (Power Monitoring) แบบ dual-mode เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบให้ถึงขีดสุด
IC ที่วัดได้ทั้ง AC และ DC ในอุปกรณ์เดียว ช่วยตรวจวัดและเก็บบันทึกข้อมูลทางไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟทั้งกระแสสลับและกระแสตรงในแบบเรียลไทม์ ด้วยความแม่นยำระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม
การตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้าในระบบต่าง ๆ ที่ใช้ไฟได้ทั้ง AC และ DC นั้น โดยทั่วไปแล้วต้องใช้ IC หลายตัว เพื่อความแม่นยำและประสิทธิภาพที่เป็นเลิศ ปัจจุบันมีระบบหลายประเภทที่ใช้ไฟทั้งสองแบบเพื่อรับประกันการทำงานที่ปลอดภัยและต่อเนื่อง อาทิ โซลาร์อินเวอร์เตอร์ สมาร์ทไลท์ติ้ง และคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ โดยใช้ AC เป็นแหล่งจ่ายไฟหลัก และ DC เป็นแหล่งจ่ายไฟสำรอง หรือสลับกัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้การพัฒนาระบบเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ IC สุดยืดหยุ่นที่ตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้ทั้ง AC และ DC (dual-mode) พร้อมมอบความแม่นยำระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ด้วยค่าความผิดพลาดเพียง 0.1% ในอัตราส่วน 4000:1 นอกจากนี้ ยังมีการรวมฟีเจอร์คำนวณค่าพลังงานไฟฟ้าและการตรวจสอบสถานะของไฟฟ้าไว้ในอุปกรณ์ IC ตัวเดียว ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอุปกรณ์ และประหยัดเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.microchip.com/MCP39F511A
MCP39F511A เป็นอุปกรณ์ IC ที่รวมเอาประสิทธิภาพการตรวจวัดทางไฟฟ้าไว้ในระดับสูง เพื่อตอบโจทย์บรรดานักออกแบบระบบที่ต้องการวัดค่าไฟฟ้าต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้การปรับเทียบมาตรฐานการแปลงไฟฟ้า (calibration) นั้นง่ายขึ้น และเพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความแม่นยำส่วนใหญ่ อุปกรณ์ MCP39F511A จึงมาพร้อม Analog-to-Digital Converters (ADCs) แบบ delta-sigma ขนาด 24 บิต จำนวนสองตัว ที่มีค่า signal-to-noise ratio plus distortion (SINAD) ที่ 94.5 dB ทั้งยังประกอบด้วยตัวคำนวณการใช้ไฟขนาด 16 บิต จำนวนหนึ่งตัว MCP39F511A เหมาะสำหรับการใช้งานกับสินค้าเพื่อผู้บริโภคหลายประเภท ตลอดจนอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) และการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากสามารถรับทราบประเภทของแหล่งจ่ายไฟฟ้าและสลับสับเปลี่ยนระหว่าง AC และ DC ได้โดยอัตโนมัติ จึงให้ผลการวัดที่แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ อุปกรณ์ IC ตัวนี้ยังช่วยให้นักพัฒนาสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วย on-chip EEPROM ที่มีการบันทึกข้อมูลทางไฟฟ้าที่สำคัญ ๆ ทั้งยังประกอบด้วยวงจรแรงดันอ้างอิง low-drift voltage reference และมีวงจรออสซิลเลเตอร์ภายในตัว (internal oscillator) เพื่อลดต้นทุนการติดตั้งดำเนินการ
นอกจากนี้ MCP39F511A ยังมีข้อดีอีกมากมาย ได้แก่ ความยืดหยุ่นและใช้งานง่าย ทั้งยังสามารถคำนวณค่าพลังงานไฟฟ้ามาตรฐานแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าของกำลังไฟฟ้า ทั้งกำลังไฟฟ้าจริง กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ และกำลังไฟฟ้าปรากฏ (active, reactive and apparent power), การวัดค่าพลังงานจริงและพลังงานเสมือน (active and reactive energy), การวัดค่าแรงดันและกระแสไฟฟ้าแบบ root-mean-square (RMS), ค่าความถี่สาย (line frequency) และค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (power factor) ซึ่งช่วยให้นักออกแบบสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าที่มีความแม่นยำสูงเข้าในแอปพลิเคชั่นการใช้งานขั้นปลายได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลามากมายไปกับการพัฒนาเฟิร์มแวร์ และเพื่อช่วยให้การพัฒนาง่ายยิ่งขึ้น MCP39F511A จึงประกอบด้วยฟีเจอร์ขั้นสูงต่าง ๆ อาทิ การบันทึกและการโหลดข้อมูลอัตโนมัติ (auto-save and auto-load) ของปริมาณไฟฟ้าเข้าและออกจาก EEPROM ที่กำลังไฟฟ้าสูญเสียหรือกำลังไฟฟ้าเริ่มต้น (power loss or start) เพื่อรับประกันว่าผลการวัดจะไม่สูญหาย หากเกิดไฟตกหรือไฟดับ นอกจากนี้ การตรวจสอบสถานะของไฟฟ้าภายใต้สภาวการณ์ที่หลากหลายยังช่วยยกระดับการบำรุงรักษาระบบป้องกัน และช่วยให้นักพัฒนาจัดการการใช้ไฟฟ้าได้ดีขึ้น
"การตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้ามีความแพร่หลายมากขึ้นในหลาย ๆ ตลาด อาทิ สมาร์ทซิตี้ และ สมาร์ทโฮม เนื่องจากนักพัฒนาต่างต้องการตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงการใช้พลังงาน" ไบรอัน ลิดเดียร์ด รองประธานแผนก Mixed-signal and Linear Products Division ของไมโครชิพ กล่าว "MCP39F511A นำเสนอแนวทางการพัฒนาที่ง่าย และมอบความสามารถในการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าทั้ง AC และ DC ด้วยความแม่นยำระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม"
เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา
อุปกรณ์นี้รองรับการทำงานร่วมกับ MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) ซึ่งเป็นระบบตรวจวัดพลังงานและไฟฟ้าแบบ single-phase นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังคำนวณและแสดงค่า active power, reactive power, RMS current, RMS voltage, active energy (ทั้ง import และ export) และ four-quadrant reactive energy อีกทั้งเชื่อมต่อกับ "Power Monitor Utility Software" ได้ง่ายผ่านทาง USB เพื่อการควบคุมอัตโนมัติ ที่ช่วยให้ผู้ใช้ประเมินการตั้งค่าคอนฟิกระบบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการสั่งซื้อในปริมาณมาก ทางศูนย์ Application Center of Excellence ของไมโครชิพ นำเสนออุปกรณ์เฟิร์มแวร์ที่ปรับตามความต้องการด้วยการเทียบมาตรฐานฮาร์ดแวร์ของลูกค้า ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาในการปรับเทียบมาตรฐาน
การวางจำหน่าย
MCP39F511A รับสั่งผลิตปริมาณมากที่ 10,000 ชิ้น ขณะที่บอร์ดพัฒนา MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) มีจำหน่ายแล้วเช่นกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อพนักงานขายหรือตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับแต่งตั้งจากไมโครชิพ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ และสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ได้ที่ microchipDIRECT ซึ่งเป็นช่องทางบริการอย่างเต็มรูปแบบของไมโครชิพ หรือติดต่อตัวแทนจัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตจากไมโครชิพ
แหล่งข้อมูลและภาพ
ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):
- ภาพการใช้งาน: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43594166841/
- ภาพถ่ายชิป: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43405555452/
เกี่ยวกับไมโครชิพ เทคโนโลยี
บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด (NASDAQ: MCHP) เป็นผู้นำด้านการจัดหา Solution ของไมโครคอนโทรลเลอร์ วงจรรวมแบบผสมสัญญาณ แอนะล็อก และแฟลช-ไอพี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาการออกแบบและพัฒนาของลูกค้าในตลาดทั่วโลกกว่าพันราย สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำเสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่ www.microchip.com
หมายเหตุ: ชื่อและโลโก้ The Microchip, โลโก้ Microchip และ PIC เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในข่าวฉบับนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ
การตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้าในระบบต่าง ๆ ที่ใช้ไฟได้ทั้ง AC และ DC นั้น โดยทั่วไปแล้วต้องใช้ IC หลายตัว เพื่อความแม่นยำและประสิทธิภาพที่เป็นเลิศ ปัจจุบันมีระบบหลายประเภทที่ใช้ไฟทั้งสองแบบเพื่อรับประกันการทำงานที่ปลอดภัยและต่อเนื่อง อาทิ โซลาร์อินเวอร์เตอร์ สมาร์ทไลท์ติ้ง และคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ โดยใช้ AC เป็นแหล่งจ่ายไฟหลัก และ DC เป็นแหล่งจ่ายไฟสำรอง หรือสลับกัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้การพัฒนาระบบเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ IC สุดยืดหยุ่นที่ตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้ทั้ง AC และ DC (dual-mode) พร้อมมอบความแม่นยำระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ด้วยค่าความผิดพลาดเพียง 0.1% ในอัตราส่วน 4000:1 นอกจากนี้ ยังมีการรวมฟีเจอร์คำนวณค่าพลังงานไฟฟ้าและการตรวจสอบสถานะของไฟฟ้าไว้ในอุปกรณ์ IC ตัวเดียว ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอุปกรณ์ และประหยัดเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.microchip.com/MCP39F511A
MCP39F511A เป็นอุปกรณ์ IC ที่รวมเอาประสิทธิภาพการตรวจวัดทางไฟฟ้าไว้ในระดับสูง เพื่อตอบโจทย์บรรดานักออกแบบระบบที่ต้องการวัดค่าไฟฟ้าต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้การปรับเทียบมาตรฐานการแปลงไฟฟ้า (calibration) นั้นง่ายขึ้น และเพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความแม่นยำส่วนใหญ่ อุปกรณ์ MCP39F511A จึงมาพร้อม Analog-to-Digital Converters (ADCs) แบบ delta-sigma ขนาด 24 บิต จำนวนสองตัว ที่มีค่า signal-to-noise ratio plus distortion (SINAD) ที่ 94.5 dB ทั้งยังประกอบด้วยตัวคำนวณการใช้ไฟขนาด 16 บิต จำนวนหนึ่งตัว MCP39F511A เหมาะสำหรับการใช้งานกับสินค้าเพื่อผู้บริโภคหลายประเภท ตลอดจนอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) และการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากสามารถรับทราบประเภทของแหล่งจ่ายไฟฟ้าและสลับสับเปลี่ยนระหว่าง AC และ DC ได้โดยอัตโนมัติ จึงให้ผลการวัดที่แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ อุปกรณ์ IC ตัวนี้ยังช่วยให้นักพัฒนาสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วย on-chip EEPROM ที่มีการบันทึกข้อมูลทางไฟฟ้าที่สำคัญ ๆ ทั้งยังประกอบด้วยวงจรแรงดันอ้างอิง low-drift voltage reference และมีวงจรออสซิลเลเตอร์ภายในตัว (internal oscillator) เพื่อลดต้นทุนการติดตั้งดำเนินการ
นอกจากนี้ MCP39F511A ยังมีข้อดีอีกมากมาย ได้แก่ ความยืดหยุ่นและใช้งานง่าย ทั้งยังสามารถคำนวณค่าพลังงานไฟฟ้ามาตรฐานแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าของกำลังไฟฟ้า ทั้งกำลังไฟฟ้าจริง กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ และกำลังไฟฟ้าปรากฏ (active, reactive and apparent power), การวัดค่าพลังงานจริงและพลังงานเสมือน (active and reactive energy), การวัดค่าแรงดันและกระแสไฟฟ้าแบบ root-mean-square (RMS), ค่าความถี่สาย (line frequency) และค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (power factor) ซึ่งช่วยให้นักออกแบบสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าที่มีความแม่นยำสูงเข้าในแอปพลิเคชั่นการใช้งานขั้นปลายได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลามากมายไปกับการพัฒนาเฟิร์มแวร์ และเพื่อช่วยให้การพัฒนาง่ายยิ่งขึ้น MCP39F511A จึงประกอบด้วยฟีเจอร์ขั้นสูงต่าง ๆ อาทิ การบันทึกและการโหลดข้อมูลอัตโนมัติ (auto-save and auto-load) ของปริมาณไฟฟ้าเข้าและออกจาก EEPROM ที่กำลังไฟฟ้าสูญเสียหรือกำลังไฟฟ้าเริ่มต้น (power loss or start) เพื่อรับประกันว่าผลการวัดจะไม่สูญหาย หากเกิดไฟตกหรือไฟดับ นอกจากนี้ การตรวจสอบสถานะของไฟฟ้าภายใต้สภาวการณ์ที่หลากหลายยังช่วยยกระดับการบำรุงรักษาระบบป้องกัน และช่วยให้นักพัฒนาจัดการการใช้ไฟฟ้าได้ดีขึ้น
"การตรวจวัดค่าพลังงานไฟฟ้ามีความแพร่หลายมากขึ้นในหลาย ๆ ตลาด อาทิ สมาร์ทซิตี้ และ สมาร์ทโฮม เนื่องจากนักพัฒนาต่างต้องการตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงการใช้พลังงาน" ไบรอัน ลิดเดียร์ด รองประธานแผนก Mixed-signal and Linear Products Division ของไมโครชิพ กล่าว "MCP39F511A นำเสนอแนวทางการพัฒนาที่ง่าย และมอบความสามารถในการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าทั้ง AC และ DC ด้วยความแม่นยำระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม"
เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา
อุปกรณ์นี้รองรับการทำงานร่วมกับ MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) ซึ่งเป็นระบบตรวจวัดพลังงานและไฟฟ้าแบบ single-phase นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังคำนวณและแสดงค่า active power, reactive power, RMS current, RMS voltage, active energy (ทั้ง import และ export) และ four-quadrant reactive energy อีกทั้งเชื่อมต่อกับ "Power Monitor Utility Software" ได้ง่ายผ่านทาง USB เพื่อการควบคุมอัตโนมัติ ที่ช่วยให้ผู้ใช้ประเมินการตั้งค่าคอนฟิกระบบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการสั่งซื้อในปริมาณมาก ทางศูนย์ Application Center of Excellence ของไมโครชิพ นำเสนออุปกรณ์เฟิร์มแวร์ที่ปรับตามความต้องการด้วยการเทียบมาตรฐานฮาร์ดแวร์ของลูกค้า ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาในการปรับเทียบมาตรฐาน
การวางจำหน่าย
MCP39F511A รับสั่งผลิตปริมาณมากที่ 10,000 ชิ้น ขณะที่บอร์ดพัฒนา MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) มีจำหน่ายแล้วเช่นกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อพนักงานขายหรือตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับแต่งตั้งจากไมโครชิพ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ และสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ได้ที่ microchipDIRECT ซึ่งเป็นช่องทางบริการอย่างเต็มรูปแบบของไมโครชิพ หรือติดต่อตัวแทนจัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตจากไมโครชิพ
แหล่งข้อมูลและภาพ
ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):
- ภาพการใช้งาน: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43594166841/
- ภาพถ่ายชิป: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43405555452/
เกี่ยวกับไมโครชิพ เทคโนโลยี
บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด (NASDAQ: MCHP) เป็นผู้นำด้านการจัดหา Solution ของไมโครคอนโทรลเลอร์ วงจรรวมแบบผสมสัญญาณ แอนะล็อก และแฟลช-ไอพี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาการออกแบบและพัฒนาของลูกค้าในตลาดทั่วโลกกว่าพันราย สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำเสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่ www.microchip.com
หมายเหตุ: ชื่อและโลโก้ The Microchip, โลโก้ Microchip และ PIC เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในข่าวฉบับนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ
Maximise system performance with Microchip's dual-mode power monitoring IC
Single IC offers industry-leading accuracy for real-time power measurement of AC and DC power supplies
In systems that use both AC and DC power, the implementation of dual-mode power monitoring traditionally requires multiple ICs to ensure superior performance and accuracy. Growing applications such as solar inverters, smart lighting and cloud servers often use both modes to maintain safe operation, with AC as the main power source and DC as backup or vice versa. To optimise performance and ease development of these systems, Microchip Technology Inc. has released a flexible dual-mode power monitoring IC that measures both AC and DC modes with industry-leading accuracy of 0.1 percent error across a wide 4000:1 range. Power calculations and event monitoring are included with a single IC, reducing bill of materials cost and firmware development time. For additional information, visit: www.microchip.com/MCP39F511A
The MCP39F511A power monitoring IC is a highly integrated device that addresses the growing need for more accurate power measurements in high-performance designs. To simplify calibration procedures and support most accuracy requirements, two 24-bit delta-sigma Analog-to-Digital Converters (ADCs) with 94.5 dB of signal-to-noise ratio plus distortion (SINAD) performance and a 16-bit calculation engine are included. Suitable for a range of consumer, Internet of Things (IoT) and industrial applications, the MCP39F511A automatically senses power supply types and switches between AC and DC modes, optimising measurement results. The device also helps developers troubleshoot issues with an on-chip EEPROM that logs critical events, as well as an integrated low-drift voltage reference and internal oscillator to reduce implementation costs.
Other benefits of using the MCP39F511A include its flexibility and ease of implementation. The device provides standard power calculations such as active, reactive and apparent power, active and reactive energy, root-mean-square (RMS) current and voltage, line frequency and power factor, which enable designers to easily add highly accurate power monitoring functions to end applications with minimal firmware development. To further simplify development efforts, the MCP39F511A includes advanced features such as auto-save and auto-load of power quantities to and from the EEPROM at power loss or start, ensuring that measurement results are never lost if power is disrupted unexpectedly. Event monitoring of various power conditions also enhances preventative system maintenance and enables developers to better manage power consumption.
"Power monitoring has become more prevalent in growing markets such as smart cities and smart homes as developers look to monitor product performance and improve energy usage," said Bryan Liddiard, vice president of Microchip's Mixed-signal and Linear Products Division. "The MCP39F511A provides customers with a simplified development path and the ability to monitor both AC and DC power supplies with industry-leading accuracy."
Development Tools
The device is supported by the MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667), a fully functional single-phase power and energy monitoring system. The system calculates and displays active power, reactive power, RMS current, RMS voltage, active energy (both import and export) and four-quadrant reactive energy. It connects easily through USB to the "Power Monitor Utility Software" that offers automated control to allow users to easily evaluate all system configuration settings.
For volume purchases, Microchip's Application Center of Excellence offers custom firmware devices based on the calibration of customers' hardware, helping save calibration cost and time.
Availability
The MCP39F511A is available in 10,000-unit quantities. The MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) is also available for purchase.
For additional information, contact any Microchip sales representative or authorised worldwide distributor, or visit Microchip's website. To purchase products mentioned in this press release, go to Microchip's full-service channel microchipDIRECT or contact one of Microchip's authorised distribution partners.
Resources
High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):
- Application image:https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43594166841/
- Chip shot: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43405555452/
About Microchip Technology
Microchip Technology Inc. (NASDAQ: MCHP) is a leading provider of microcontroller, mixed-signal, analog and Flash-IP solutions, providing low-risk product development, lower total system cost and faster time to market for thousands of diverse customer applications worldwide. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com .
Note: The Microchip name and logo, the Microchip logo, and PIC are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.
In systems that use both AC and DC power, the implementation of dual-mode power monitoring traditionally requires multiple ICs to ensure superior performance and accuracy. Growing applications such as solar inverters, smart lighting and cloud servers often use both modes to maintain safe operation, with AC as the main power source and DC as backup or vice versa. To optimise performance and ease development of these systems, Microchip Technology Inc. has released a flexible dual-mode power monitoring IC that measures both AC and DC modes with industry-leading accuracy of 0.1 percent error across a wide 4000:1 range. Power calculations and event monitoring are included with a single IC, reducing bill of materials cost and firmware development time. For additional information, visit: www.microchip.com/MCP39F511A
The MCP39F511A power monitoring IC is a highly integrated device that addresses the growing need for more accurate power measurements in high-performance designs. To simplify calibration procedures and support most accuracy requirements, two 24-bit delta-sigma Analog-to-Digital Converters (ADCs) with 94.5 dB of signal-to-noise ratio plus distortion (SINAD) performance and a 16-bit calculation engine are included. Suitable for a range of consumer, Internet of Things (IoT) and industrial applications, the MCP39F511A automatically senses power supply types and switches between AC and DC modes, optimising measurement results. The device also helps developers troubleshoot issues with an on-chip EEPROM that logs critical events, as well as an integrated low-drift voltage reference and internal oscillator to reduce implementation costs.
Other benefits of using the MCP39F511A include its flexibility and ease of implementation. The device provides standard power calculations such as active, reactive and apparent power, active and reactive energy, root-mean-square (RMS) current and voltage, line frequency and power factor, which enable designers to easily add highly accurate power monitoring functions to end applications with minimal firmware development. To further simplify development efforts, the MCP39F511A includes advanced features such as auto-save and auto-load of power quantities to and from the EEPROM at power loss or start, ensuring that measurement results are never lost if power is disrupted unexpectedly. Event monitoring of various power conditions also enhances preventative system maintenance and enables developers to better manage power consumption.
"Power monitoring has become more prevalent in growing markets such as smart cities and smart homes as developers look to monitor product performance and improve energy usage," said Bryan Liddiard, vice president of Microchip's Mixed-signal and Linear Products Division. "The MCP39F511A provides customers with a simplified development path and the ability to monitor both AC and DC power supplies with industry-leading accuracy."
Development Tools
The device is supported by the MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667), a fully functional single-phase power and energy monitoring system. The system calculates and displays active power, reactive power, RMS current, RMS voltage, active energy (both import and export) and four-quadrant reactive energy. It connects easily through USB to the "Power Monitor Utility Software" that offers automated control to allow users to easily evaluate all system configuration settings.
For volume purchases, Microchip's Application Center of Excellence offers custom firmware devices based on the calibration of customers' hardware, helping save calibration cost and time.
Availability
The MCP39F511A is available in 10,000-unit quantities. The MCP39F511A Power Monitor Demonstration Board (ADM00667) is also available for purchase.
For additional information, contact any Microchip sales representative or authorised worldwide distributor, or visit Microchip's website. To purchase products mentioned in this press release, go to Microchip's full-service channel microchipDIRECT or contact one of Microchip's authorised distribution partners.
Resources
High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):
- Application image:https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43594166841/
- Chip shot: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/43405555452/
About Microchip Technology
Microchip Technology Inc. (NASDAQ: MCHP) is a leading provider of microcontroller, mixed-signal, analog and Flash-IP solutions, providing low-risk product development, lower total system cost and faster time to market for thousands of diverse customer applications worldwide. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com .
Note: The Microchip name and logo, the Microchip logo, and PIC are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.
GAC Motor Releases Signature GA8 Sedan and GS8 SUV in Azerbaijan
Pushing international brand development with world-class quality
GAC Motor, China's leading auto brand, has officially released its star duo GA8 sedan and GS8 SUV in Azerbaijan, bringing more high-end automobile options to local customers and further accelerating GAC Motor's strategy of global brand development.
Two signature models from GAC Motor's high-end product portfolio, the GA8 and GS8 represent the highest level of automobile development and manufacturing in China and have pushed the company towards the upmarket segment of the industry.
With their superior quality and construction, the GA8 and GS8 are prefect fits for this market. Located in the southern part of the Caucasus Mountains, Azerbaijan is surrounded by vast mountain chains with diverse climates and geographical environments. As a result, local consumers are most concerned about dynamic performance, durability and safety. GAC Motor's high-quality products guarantee reliable performance when coping with different road and weather conditions.
Demand for high-end, novel and well-equipped cars has been growing in emerging markets like Azerbaijan. GAC Motor will not only fill market vacancies, but also accelerate its global expansion strategy.
The GA8 is a bestseller among Chinese luxury sedans and is a showpiece of China's high-end manufacturing industries. In addition to its composed exterior design, the sedan excels in functionality and riding comfort with features such as:
- All-new second generation 320T/280T turbocharged engine with leading Aisin 6AT gearbox;
- Fully-independent four-wheel suspension system and EPS precision electric power steering system;
- Light and shadow sculpture 2.0 design concept and streamlined car body with all-LED jewel headlights;
- Sublime interior amenities completed with rosewood interior panels, NAPPA leather-lined seats and door trim featuring artisanal diamond quilting with authentic leather.
In addition, GAC Motor's flagship luxury 7-seat SUV, the GS8, has been among the best-selling 7-seat SUV models in the Chinese market since its release and is able to handle complicated terrain thanks to features that include:
- Six all-terrain driving modes;
- Second generation intelligent all-wheel-drive system i-4WD plus fully-independent four-wheel suspension system and high-performance chassis shock filter;
- Intelligent safety configurations that include a path deviation alert system, blind spot monitoring, 360-degree parking imaging system and automatic parking;
- World-class Harman 10-inch LCD screen and 7-inch LCD instrument panel from Continental AG.
The GA8 and GS8 have been released in multiple international markets including the Middle East, South America and Africa, and GAC Motor plans to bring them to more global markets in the near future.
With world-class product quality, GAC Motor is expanding into markets that fall within China's "Belt and Road" project at a steady pace, having launched in 15 countries so far. According to Yu Jun, president of GAC Motor, the company is also preparing to begin operations in developed markets. Later this year, GAC Motor will exhibit at the Mondial Paris Motor Show and the Moscow International Automobile Salon.
About GAC Motor
Founded in 2008, Guangzhou Automobile Group Motor CO., LTD (GAC Motor) is a subsidiary of GAC Group which ranks the 202nd among the Fortune Global 500 companies. The company develops and manufactures premium quality vehicles, engines, components and auto accessories. GAC Motor has now ranked the first among all Chinese brands for five consecutive years in J.D. Power Asia Pacific's China Initial Quality Study SM (IQS), demonstrating the company's quality-centric strategy from innovative research and development (R&D), manufacturing to supply chain and sales & services.
For more information, please visit:
Facebook: https://www.facebook.com/GACMotor
Instagram: https://www.instagram.com/gac_motor
Twitter: https://www.twitter.com/gac_motor
GAC Motor, China's leading auto brand, has officially released its star duo GA8 sedan and GS8 SUV in Azerbaijan, bringing more high-end automobile options to local customers and further accelerating GAC Motor's strategy of global brand development.
Two signature models from GAC Motor's high-end product portfolio, the GA8 and GS8 represent the highest level of automobile development and manufacturing in China and have pushed the company towards the upmarket segment of the industry.
With their superior quality and construction, the GA8 and GS8 are prefect fits for this market. Located in the southern part of the Caucasus Mountains, Azerbaijan is surrounded by vast mountain chains with diverse climates and geographical environments. As a result, local consumers are most concerned about dynamic performance, durability and safety. GAC Motor's high-quality products guarantee reliable performance when coping with different road and weather conditions.
Demand for high-end, novel and well-equipped cars has been growing in emerging markets like Azerbaijan. GAC Motor will not only fill market vacancies, but also accelerate its global expansion strategy.
The GA8 is a bestseller among Chinese luxury sedans and is a showpiece of China's high-end manufacturing industries. In addition to its composed exterior design, the sedan excels in functionality and riding comfort with features such as:
- All-new second generation 320T/280T turbocharged engine with leading Aisin 6AT gearbox;
- Fully-independent four-wheel suspension system and EPS precision electric power steering system;
- Light and shadow sculpture 2.0 design concept and streamlined car body with all-LED jewel headlights;
- Sublime interior amenities completed with rosewood interior panels, NAPPA leather-lined seats and door trim featuring artisanal diamond quilting with authentic leather.
In addition, GAC Motor's flagship luxury 7-seat SUV, the GS8, has been among the best-selling 7-seat SUV models in the Chinese market since its release and is able to handle complicated terrain thanks to features that include:
- Six all-terrain driving modes;
- Second generation intelligent all-wheel-drive system i-4WD plus fully-independent four-wheel suspension system and high-performance chassis shock filter;
- Intelligent safety configurations that include a path deviation alert system, blind spot monitoring, 360-degree parking imaging system and automatic parking;
- World-class Harman 10-inch LCD screen and 7-inch LCD instrument panel from Continental AG.
The GA8 and GS8 have been released in multiple international markets including the Middle East, South America and Africa, and GAC Motor plans to bring them to more global markets in the near future.
With world-class product quality, GAC Motor is expanding into markets that fall within China's "Belt and Road" project at a steady pace, having launched in 15 countries so far. According to Yu Jun, president of GAC Motor, the company is also preparing to begin operations in developed markets. Later this year, GAC Motor will exhibit at the Mondial Paris Motor Show and the Moscow International Automobile Salon.
About GAC Motor
Founded in 2008, Guangzhou Automobile Group Motor CO., LTD (GAC Motor) is a subsidiary of GAC Group which ranks the 202nd among the Fortune Global 500 companies. The company develops and manufactures premium quality vehicles, engines, components and auto accessories. GAC Motor has now ranked the first among all Chinese brands for five consecutive years in J.D. Power Asia Pacific's China Initial Quality Study SM (IQS), demonstrating the company's quality-centric strategy from innovative research and development (R&D), manufacturing to supply chain and sales & services.
For more information, please visit:
Facebook: https://www.facebook.com/GACMotor
Instagram: https://www.instagram.com/gac_motor
Twitter: https://www.twitter.com/gac_motor
CSST จับมือ Planet นำเสนอข้อมูลภาพแบบรายวันเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในนิวซีแลนด์
Planet บริษัทด้านอวกาศและการวิเคราะห์ข้อมูล ประกาศสร้างความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อวกาศ ( CSST ) ของนิวซีแลนด์ เพื่อช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลการสังเกตการณ์และการวิเคราะห์โลกแบบรายวันของบริษัท Planet
CSST จะเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่และเป็นพันธมิตรด้านการวิจัยและพัฒนาของ Planet ในนิวซีแลนด์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลและผลิตภัณฑ์การวิเคราะห์ของ Planet ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ จะประสานข้อมูลการวิเคราะห์จาก Planet และร่วมกันพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงด้านการเกษตร การจัดการภัยพิบัติ การป้องกันและข่าวกรอง ตลอดจนการเดินเรือ
"CSST เป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Planet เนื่องจากเข้าใจในแอปพลิเคชันต่างๆ และใช้ภาพจากทั่วโลกรายวัน และช่วยให้เราสามารถนำผลิตภัณฑ์ของเรามาสู่นิวซีแลนด์ CSST จะเป็นที่ปรึกษาระดับแนวหน้าสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์และหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการภาพและการวิเคราะห์ของเรา" ชานคาร์ ซิวาพราคาแซม รองประธานประจำเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นของ Planet กล่าว
ภาพและการวิเคราะห์ประจำวันของ Planet จะช่วยให้การตัดสินใจในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ของนิวซีแลนด์ดีขึ้น รวมถึงการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติและการจัดการเหตุฉุกเฉิน การเฝ้าระวังด้านการเกษตร การตรวจสอบการใช้ที่ดิน การจัดการน้ำ การติดตามโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการรวบรวมข่าวกรอง
"ข้อมูลการสังเกตการณ์โลกกำลังมีความสำคัญมากขึ้นในการช่วยให้นิวซีแลนด์จัดการกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ความได้เปรียบมากที่สุดของ Planet คือความถี่ในการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในบริบทของนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่น ภาพของ Planet เปิดเผยถึงเหตุดินถล่มเกือบ 80,000 กรณีที่เกิดขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวในไคคูร่าในปี 2559 โดยการเฝ้าระวังภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ด้วยข้อมูลของ Planet จะเปลี่ยนวิธีการที่รัฐบาลและธุรกิจต่างๆ กำหนดเป้าหมายของการเตรียมความพร้อมและความพยายามในการบรรเทาทุกข์" สตีฟ คอตเตอร์ ซีอีโอของ CSST กล่าว
ความร่วมมือครั้งนี้จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในงานโรดโชว์ที่เวลลิงตันในวันที่ 6 สิงหาคม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eventbrite.com.au/e/planet-roadshow-tickets-48419733727
เกี่ยวกับ Planet
Planet เป็นบริษัทด้านอวกาศและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดูแลกลุ่มดาวเทียมที่สามารถถ่ายภาพโลกกลุ่มใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับโลกของเราทุกวัน บริษัทออกแบบ สร้าง และบริหารจัดการดาวเทียมกว่า 200 ดวง ทั้งยังพัฒนาซอฟต์แวร์และเครื่องมือออนไลน์เพื่อให้บริการข้อมูลแก่ผู้ใช้
เกี่ยวกับ CSST
ภารกิจของศูนย์เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อวกาศ (CSST) คือการทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วนิวซีแลนด์สามารถเข้าถึง และ/หรือ รักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับสากล ด้วยการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยใช้ผลิตภัณฑ์และบริการอันก้าวล้ำที่อาศัยข้อมูลด้านอวกาศ
CSST จะเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่และเป็นพันธมิตรด้านการวิจัยและพัฒนาของ Planet ในนิวซีแลนด์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลและผลิตภัณฑ์การวิเคราะห์ของ Planet ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ จะประสานข้อมูลการวิเคราะห์จาก Planet และร่วมกันพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงด้านการเกษตร การจัดการภัยพิบัติ การป้องกันและข่าวกรอง ตลอดจนการเดินเรือ
"CSST เป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Planet เนื่องจากเข้าใจในแอปพลิเคชันต่างๆ และใช้ภาพจากทั่วโลกรายวัน และช่วยให้เราสามารถนำผลิตภัณฑ์ของเรามาสู่นิวซีแลนด์ CSST จะเป็นที่ปรึกษาระดับแนวหน้าสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์และหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการภาพและการวิเคราะห์ของเรา" ชานคาร์ ซิวาพราคาแซม รองประธานประจำเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นของ Planet กล่าว
ภาพและการวิเคราะห์ประจำวันของ Planet จะช่วยให้การตัดสินใจในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ของนิวซีแลนด์ดีขึ้น รวมถึงการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติและการจัดการเหตุฉุกเฉิน การเฝ้าระวังด้านการเกษตร การตรวจสอบการใช้ที่ดิน การจัดการน้ำ การติดตามโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการรวบรวมข่าวกรอง
"ข้อมูลการสังเกตการณ์โลกกำลังมีความสำคัญมากขึ้นในการช่วยให้นิวซีแลนด์จัดการกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ความได้เปรียบมากที่สุดของ Planet คือความถี่ในการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในบริบทของนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่น ภาพของ Planet เปิดเผยถึงเหตุดินถล่มเกือบ 80,000 กรณีที่เกิดขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวในไคคูร่าในปี 2559 โดยการเฝ้าระวังภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ด้วยข้อมูลของ Planet จะเปลี่ยนวิธีการที่รัฐบาลและธุรกิจต่างๆ กำหนดเป้าหมายของการเตรียมความพร้อมและความพยายามในการบรรเทาทุกข์" สตีฟ คอตเตอร์ ซีอีโอของ CSST กล่าว
ความร่วมมือครั้งนี้จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในงานโรดโชว์ที่เวลลิงตันในวันที่ 6 สิงหาคม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eventbrite.com.au/e/planet-roadshow-tickets-48419733727
เกี่ยวกับ Planet
Planet เป็นบริษัทด้านอวกาศและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดูแลกลุ่มดาวเทียมที่สามารถถ่ายภาพโลกกลุ่มใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับโลกของเราทุกวัน บริษัทออกแบบ สร้าง และบริหารจัดการดาวเทียมกว่า 200 ดวง ทั้งยังพัฒนาซอฟต์แวร์และเครื่องมือออนไลน์เพื่อให้บริการข้อมูลแก่ผู้ใช้
เกี่ยวกับ CSST
ภารกิจของศูนย์เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อวกาศ (CSST) คือการทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วนิวซีแลนด์สามารถเข้าถึง และ/หรือ รักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับสากล ด้วยการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยใช้ผลิตภัณฑ์และบริการอันก้าวล้ำที่อาศัยข้อมูลด้านอวกาศ
CSST Taps Planet for Daily Imagery to Spur Economic Growth in New Zealand
Planet , an integrated aerospace and data analytics company, and New Zealand's Centre for Space Science Technology (CSST) announce today a partnership to help drive regional economic growth by distributing Planet's daily, global Earth observation data and analytics.
CSST will be the distribution hub and R&D partner for Planet in New Zealand, making sure a breadth of industries and government agencies get efficient access to Planet's data and analytic products. Together, the organizations will localize analytics from Planet and jointly develop new solutions to serve specific verticals, including agriculture, disaster management, defense and intelligence, and maritime.
"CSST is an important partner for Planet as they understand the applications and use cases of daily global imagery, and enable us to bring our products to New Zealand. They will be the frontline consultants for commercial businesses and government agencies who seek our imagery and analytics," said Shankar Sivaprakasam, VP of APAC and Japan, at Planet.
Planet's daily imagery and analytics will improve decision-making in key sectors of the New Zealand economy, including disaster preparedness and emergency management, agricultural monitoring, land use monitoring, water management, infrastructure monitoring, and intelligence gathering.
"Earth observation data is becoming increasingly important in helping New Zealand address economic, environmental, and social challenges. The biggest advantage of Planet's constellation is how frequently its satellites pass overhead, which is extremely important in the New Zealand context, particularly with disaster monitoring. For example, Planet imagery revealed close to 80,000 landslides in the wake of the 2016 Kaikoura earthquake. Real-time disaster monitoring with Planet data will transform how governments and businesses target preparedness and relief efforts," said Steve Cotter, CEO of CSST.
The partnership will be inaugurated at a roadshow in Wellington on August 6. For more information, visit the Eventbrite page [ https://www.eventbrite.com.au/e/planet-roadshow-tickets-48419733727 ].
About Planet
Planet is an integrated aerospace and data analytics company that operates history's largest fleet of Earth-imaging satellites, collecting a massive amount of information daily about our planet. Planet designs, builds and operates over 200 satellites, and develops the online software and tools that serves data to users.
About CSST
The mission of Centre for Space Science Technology (CSST) is to enable thriving regional industries across New Zealand to gain and/or maintain an internationally competitive advantage by making smarter decisions using state-of-the-art products and services that capitalise on the availability of space-based data.
CSST will be the distribution hub and R&D partner for Planet in New Zealand, making sure a breadth of industries and government agencies get efficient access to Planet's data and analytic products. Together, the organizations will localize analytics from Planet and jointly develop new solutions to serve specific verticals, including agriculture, disaster management, defense and intelligence, and maritime.
"CSST is an important partner for Planet as they understand the applications and use cases of daily global imagery, and enable us to bring our products to New Zealand. They will be the frontline consultants for commercial businesses and government agencies who seek our imagery and analytics," said Shankar Sivaprakasam, VP of APAC and Japan, at Planet.
Planet's daily imagery and analytics will improve decision-making in key sectors of the New Zealand economy, including disaster preparedness and emergency management, agricultural monitoring, land use monitoring, water management, infrastructure monitoring, and intelligence gathering.
"Earth observation data is becoming increasingly important in helping New Zealand address economic, environmental, and social challenges. The biggest advantage of Planet's constellation is how frequently its satellites pass overhead, which is extremely important in the New Zealand context, particularly with disaster monitoring. For example, Planet imagery revealed close to 80,000 landslides in the wake of the 2016 Kaikoura earthquake. Real-time disaster monitoring with Planet data will transform how governments and businesses target preparedness and relief efforts," said Steve Cotter, CEO of CSST.
The partnership will be inaugurated at a roadshow in Wellington on August 6. For more information, visit the Eventbrite page [ https://www.eventbrite.com.au/e/planet-roadshow-tickets-48419733727 ].
About Planet
Planet is an integrated aerospace and data analytics company that operates history's largest fleet of Earth-imaging satellites, collecting a massive amount of information daily about our planet. Planet designs, builds and operates over 200 satellites, and develops the online software and tools that serves data to users.
About CSST
The mission of Centre for Space Science Technology (CSST) is to enable thriving regional industries across New Zealand to gain and/or maintain an internationally competitive advantage by making smarter decisions using state-of-the-art products and services that capitalise on the availability of space-based data.
Renault-Nissan-Mitsubishi Achieves Record First-Half Sales of 5.54 Million Units
Sales Rise 5.1 Percent Amid Solid Demand For Models Sold By Alliance Member Companies
Renault-Nissan-Mitsubishi, the world's largest automotive alliance, today announced that unit sales at its member companies rose 5.1 percent to a new record of 5,538,530 vehicles in the six months to June 30.
The three Alliance member companies saw increased demand in product segments including crossovers, sports utility vehicles, pick-ups as well as zero-emission electric and hybrid-electric models.
Of the core brands, Renault reported increased sales of the Clio, Captur and Scenic; Dacia posted half-year sales record; Nissan saw higher demand for models including the Note, Serena, X-Trail and Qashqai; and Mitsubishi Motors' volumes were enhanced by sales of the new Eclipse Cross and XPANDER.
Both Renault and Nissan reported strong demand in the electric vehicle (EV) segment. Renault secured 21.9 percent of the European EV market share with ZOE and Kangoo Z.E., which also holds 38 percent of the electric LCV market share. At Nissan, demand for the new LEAF contributed to EV sales of over 47,000 in the first half, and became the best-selling electric vehicle in Europe for the first half of this year with more than 18,000 registrations. Mitsubishi Motors remained the market leader in the PHEV SUV segment with continued orders for its hybrid-electric Outlander.
Carlos Ghosn, chairman and chief executive officer of Renault-Nissan-Mitsubishi, said: "Our member companies continue to lift unit sales in multiple markets, reflecting our brands' competitive and attractive offerings. This strong sales performance in the first half of 2018 shows we are on track with the forecast we set in our Alliance 2022 mid-term plan."
Under the six-year mid-term plan, Renault-Nissan-Mitsubishi is forecasting combined sales of more than 14 million units annually by the end of 2022, up more than 30 percent from the 10.6 million units sold by the Alliance member companies in 2017. The plan also involves deepening convergence between the member companies, including the use of common platforms and powertrains, while sharing innovation in electrification, connectivity and autonomous drive technologies.
Vehicles sold by the Alliance member companies accounted for approximately one in nine cars sold worldwide in the first half of the year. Among the different brands:
Groupe Renault sold 2.1 million vehicles in the first half of 2018, setting half-year sales records for the Renault and Dacia brands.
https://www.alliance-2022.com/news/renault-nissan-mitsubishi-achieves-record-first-half-sales-of-5-54-million-units/
Renault-Nissan-Mitsubishi, the world's largest automotive alliance, today announced that unit sales at its member companies rose 5.1 percent to a new record of 5,538,530 vehicles in the six months to June 30.
The three Alliance member companies saw increased demand in product segments including crossovers, sports utility vehicles, pick-ups as well as zero-emission electric and hybrid-electric models.
Of the core brands, Renault reported increased sales of the Clio, Captur and Scenic; Dacia posted half-year sales record; Nissan saw higher demand for models including the Note, Serena, X-Trail and Qashqai; and Mitsubishi Motors' volumes were enhanced by sales of the new Eclipse Cross and XPANDER.
Both Renault and Nissan reported strong demand in the electric vehicle (EV) segment. Renault secured 21.9 percent of the European EV market share with ZOE and Kangoo Z.E., which also holds 38 percent of the electric LCV market share. At Nissan, demand for the new LEAF contributed to EV sales of over 47,000 in the first half, and became the best-selling electric vehicle in Europe for the first half of this year with more than 18,000 registrations. Mitsubishi Motors remained the market leader in the PHEV SUV segment with continued orders for its hybrid-electric Outlander.
Carlos Ghosn, chairman and chief executive officer of Renault-Nissan-Mitsubishi, said: "Our member companies continue to lift unit sales in multiple markets, reflecting our brands' competitive and attractive offerings. This strong sales performance in the first half of 2018 shows we are on track with the forecast we set in our Alliance 2022 mid-term plan."
Under the six-year mid-term plan, Renault-Nissan-Mitsubishi is forecasting combined sales of more than 14 million units annually by the end of 2022, up more than 30 percent from the 10.6 million units sold by the Alliance member companies in 2017. The plan also involves deepening convergence between the member companies, including the use of common platforms and powertrains, while sharing innovation in electrification, connectivity and autonomous drive technologies.
Vehicles sold by the Alliance member companies accounted for approximately one in nine cars sold worldwide in the first half of the year. Among the different brands:
Groupe Renault sold 2.1 million vehicles in the first half of 2018, setting half-year sales records for the Renault and Dacia brands.
https://www.alliance-2022.com/news/renault-nissan-mitsubishi-achieves-record-first-half-sales-of-5-54-million-units/
SealBlock จากซิลิคอนแวลลีย์ เปิดตัวกระเป๋าสตางค์ดิจิทัล Hardware Hot Wallet ครั้งแรกของโลก
SealBlock เปิดตัวโซลูชันกระเป๋าสตางค์ Hot wallet ที่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ สามารถถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูงแต่เชื่อมต่อกันได้ โดยโซลูชันใหม่นี้จะตอบสนองความต้องการของกองทุนโทเคน ตลาดต่างๆ ผู้ดำเนินโครงการ เหล่านักขุด เทรดเดอร์ และผู้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการโซลูชันกระเป๋าสตางค์สกุลเงินดิจิทัลที่มีความก้าวล้ำสูง
ผลิตภัณฑ์ของ SealBlock ได้รับการจัดแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่งาน Silicon Valley Blockchain Security Technology Forum ซึ่งจัดโดย BlockTrain แพลตฟอร์มสื่อบล็อกเชนสองภาษาแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
โซลูชันของ SealBlock จะตอบสนองความท้าทายด้านความปลอดภัยมากที่สุดในการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน นั่นคือ การป้องกันกุญแจส่วนตัว (private keys) ที่ใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ กุญแจส่วนตัวเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อทั้งแฮกเกอร์ภายนอกและการเข้าถึงภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น บริษัทจำนวนมากจึงใช้กระเป๋าสตางค์แบบ "cold wallets" เพื่อจัดเก็บกุญแจของตนเองแบบออฟไลน์ แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะดีขึ้น แต่ประสิทธิภาพของการซื้อขายและการทำธุรกรรมได้ลดลงอย่างมาก รวมถึงการบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบริหารก็สูงขึ้น
SealBlock นำเสนอเครื่องมือกำหนดนโยบายที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะกำหนดนโยบายการลงนาม (signing policies) ให้กับกุญแจส่วนตัว (กระเป๋าสตางค์) แต่ละชุด นโยบายดังกล่าวรวมถึงนโยบายแบบหลายลายเซ็น นโยบายเกี่ยวกับรายการที่ได้รับอนุญาต นโยบายการจำกัดจำนวนเงิน ฯลฯ การทำธุรกรรมจะไม่ได้รับการลงนามโดยกุญแจส่วนตัว (private key) นอกเสียจากว่านโยบายการลงนามทั้งหมดจะเป็นที่พอใจ
นอกจากนี้ SealBlock ยังใช้เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของ Intel SGX เพื่อปกป้องกุญแจส่วนตัว การลงนามในธุรกรรม และนโยบายความปลอดภัย โดย Intel SGX จะสร้างขอบเขตการเข้ารหัสระดับชิปที่แยกจากระบบปฏิบัติการได้ ด้วยการออกแบบตามความปลอดภัยนี้ กระเป๋าสตางค์แบบ hardware wallet ของ SealBlock จะสามารถเชื่อมต่อแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อรองรับการสอบถามต่างๆ ขณะเดียวกันก็จะรักษาระดับความปลอดภัยให้เหมือนกับกระเป๋าสตางค์แบบ cold wallet
ริชาร์ด หยู ซีอีโอของ SealBlock กล่าวว่า
"SealBlock จับคู่ความสะดวกสบายของซอฟต์แวร์ hot wallets เข้ากับความปลอดภัยที่ได้รับจากกระเป๋าสตางค์แบบ hardware cold wallets เราเชื่อว่าโซลูชันกระเป๋าสตางค์นี้จะเป็นโซลูชันที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกคนในการเก็บรักษาและซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล"
นอกเหนือจากการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้แล้ว โซลูชันของ SealBlock ยังสามารถใช้เพื่อปกป้องข้อมูลอื่นๆ จากผู้ใช้ เช่น ข้อมูล PII และบันทึกทางธุรกิจที่สำคัญ SealBlock จะสร้างชุมชนและปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Kit - SDKs) เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างโซลูชันบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูงโดยใช้เทคโนโลยีของ SealBlock
ธุรกิจต่างๆ นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้แล้ว
SealBlock ได้เปิดตัวกระเป๋าสตางค์ hardware hot wallet รุ่นแรก และประสบความสำเร็จในการให้บริการลูกค้ารายแรกๆ ในซิลิคอนแวลลีย์ก่อน ซึ่งรวมถึง SWFT Blockchain, uMining, SVBC และ 6M Capital
แพลตฟอร์ม SWIFT Blockchain คือบริการโอนเงินดิจิทัลข้ามเชนแบบครบวงจร "โซลูชันกระเป๋าสตางค์ hardware hot wallet ของ SealBlock จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพภายในด้วย" อเล็กซ์ วิทท์ ซีเอฟโอของ SWFT กล่าว โดย SWFT Blockchain วางแผนที่จะใช้ SealBlock สำหรับกระเป๋าสตางค์ hardware-based hot wallets
เทอร์รี ซิง ซีทีโอของ Umining กล่าวว่า
"เรามีสกุลเงินดิจิทัลเป็นจำนวนมากสำหรับลูกค้าของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีโซลูชันกระเป๋าสตางค์ที่มีความปลอดภัยสูง กระเป๋าสตางค์แบบ hardware wallet ของ SealBlock สนับสนุนนโยบาย multi-sig ซึ่งเราสามารถจัดการสินทรัพย์กับสมาชิกในทีมที่หลากหลายได้อย่างง่ายดาย"
ปัจจุบัน SealBlock กำลังจัดหาเงินทุนรอบแรกและได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนจำนวนมากในซิลิคอนแวลลีย์และทั่วโลก เช่น Whales Capital และ ASB Venture เป็นต้น นักลงทุนทุกรายจะได้รับการนำเสนอให้ใช้กระเป๋าสตางค์ของ SealBlock เพื่อรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง เพื่อให้นักลงทุนสามารถมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับบริการของ SealBlock
การสนับสนุนที่แข็งแกร่ง-ทีมผู้บริหารมากประสบการณ์
VeriClouds ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะ SealBlock เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ และเป็นผู้นำด้านการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา VeriClouds ได้ให้บริการแก่บริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดในโลก อาทิ JD.com และ Oracle โดย VeriClouds เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Alibaba Cloud และ Intel โดยบริษัทได้รับเงินลงทุนจาก แฮร์รี่ ชัม รองประธานบริหารของ Microsoft สำหรับการจัดหาเงินทุนรอบแรก
Silicon Valley Blockchain Catalyst ผู้บ่มเพาะเทคโนโลยีบล็อกเชนรายแรกในซิลิคอนแวลลีย์ ให้ความช่วยเหลือ SealBlock ในด้านการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจและการระดมทุน
ทีมผู้บริหารของ SealBlock ประกอบด้วยบุคลากรอาวุโสจากทั่วอุตสาหกรรมไอทีและอุตสาหกรรมความปลอดภัยข้อมูล
ริชาร์ด หยู ซีอีโอของ SealBlock เป็นผู้บริหารการขายและการจัดการผลิตภัณฑ์ด้านไอทีที่มีประสบการณ์โชกโชน โดยมีประสบการณ์มากกว่า 12 ปีในบริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น HP และ EMC
ริคาร์โด ดิแอซ ซีเอสโอของ SealBlock ทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลมานาน 22 ปี รวมถึงประสบการณ์ 13 ปีในการบริหารและพัฒนาธุรกิจให้กับบริษัท Oracle
ดร.ริค หวัง ซีทีโอของ SealBlock สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านความปลอดภัยข้อมูล และเคยเป็นนักวิจัยอาวุโสด้านความปลอดภัยของระบบที่ Microsoft Research เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรจำนวนหนึ่งในด้านการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์และความปลอดภัยบล็อกเชน งานวิจัยของเขาได้ช่วยให้บริษัทหลายแห่ง เช่น Microsoft, Amazon, Google, PayPal, Facebook และบริษัทด้านเทคโนโลยีอื่นๆ สามารถยกระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
หวัง เจี้ยผิง นักลงทุนรายแรกของ Bitmain และกรรมการบริหารของ Sinovation Ventures เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ทีมงานของ SealBlock
ลิงค์:
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ: https://sealblock.io
บัญชีวีแชทอย่างเป็นทางการ: SealBlockSecurity
บัญชีเว่ยป๋ออย่างเป็นทางการ: @SealBlock
เฟซบุ๊ก: SealBlock
เทเลแกรม: https://t.me/sealblock
ทวิตเตอร์: @sealblockio
ผลิตภัณฑ์ของ SealBlock ได้รับการจัดแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่งาน Silicon Valley Blockchain Security Technology Forum ซึ่งจัดโดย BlockTrain แพลตฟอร์มสื่อบล็อกเชนสองภาษาแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
โซลูชันของ SealBlock จะตอบสนองความท้าทายด้านความปลอดภัยมากที่สุดในการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน นั่นคือ การป้องกันกุญแจส่วนตัว (private keys) ที่ใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ กุญแจส่วนตัวเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อทั้งแฮกเกอร์ภายนอกและการเข้าถึงภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น บริษัทจำนวนมากจึงใช้กระเป๋าสตางค์แบบ "cold wallets" เพื่อจัดเก็บกุญแจของตนเองแบบออฟไลน์ แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะดีขึ้น แต่ประสิทธิภาพของการซื้อขายและการทำธุรกรรมได้ลดลงอย่างมาก รวมถึงการบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบริหารก็สูงขึ้น
SealBlock นำเสนอเครื่องมือกำหนดนโยบายที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะกำหนดนโยบายการลงนาม (signing policies) ให้กับกุญแจส่วนตัว (กระเป๋าสตางค์) แต่ละชุด นโยบายดังกล่าวรวมถึงนโยบายแบบหลายลายเซ็น นโยบายเกี่ยวกับรายการที่ได้รับอนุญาต นโยบายการจำกัดจำนวนเงิน ฯลฯ การทำธุรกรรมจะไม่ได้รับการลงนามโดยกุญแจส่วนตัว (private key) นอกเสียจากว่านโยบายการลงนามทั้งหมดจะเป็นที่พอใจ
นอกจากนี้ SealBlock ยังใช้เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของ Intel SGX เพื่อปกป้องกุญแจส่วนตัว การลงนามในธุรกรรม และนโยบายความปลอดภัย โดย Intel SGX จะสร้างขอบเขตการเข้ารหัสระดับชิปที่แยกจากระบบปฏิบัติการได้ ด้วยการออกแบบตามความปลอดภัยนี้ กระเป๋าสตางค์แบบ hardware wallet ของ SealBlock จะสามารถเชื่อมต่อแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อรองรับการสอบถามต่างๆ ขณะเดียวกันก็จะรักษาระดับความปลอดภัยให้เหมือนกับกระเป๋าสตางค์แบบ cold wallet
ริชาร์ด หยู ซีอีโอของ SealBlock กล่าวว่า
"SealBlock จับคู่ความสะดวกสบายของซอฟต์แวร์ hot wallets เข้ากับความปลอดภัยที่ได้รับจากกระเป๋าสตางค์แบบ hardware cold wallets เราเชื่อว่าโซลูชันกระเป๋าสตางค์นี้จะเป็นโซลูชันที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกคนในการเก็บรักษาและซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล"
นอกเหนือจากการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้แล้ว โซลูชันของ SealBlock ยังสามารถใช้เพื่อปกป้องข้อมูลอื่นๆ จากผู้ใช้ เช่น ข้อมูล PII และบันทึกทางธุรกิจที่สำคัญ SealBlock จะสร้างชุมชนและปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Kit - SDKs) เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างโซลูชันบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูงโดยใช้เทคโนโลยีของ SealBlock
ธุรกิจต่างๆ นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้แล้ว
SealBlock ได้เปิดตัวกระเป๋าสตางค์ hardware hot wallet รุ่นแรก และประสบความสำเร็จในการให้บริการลูกค้ารายแรกๆ ในซิลิคอนแวลลีย์ก่อน ซึ่งรวมถึง SWFT Blockchain, uMining, SVBC และ 6M Capital
แพลตฟอร์ม SWIFT Blockchain คือบริการโอนเงินดิจิทัลข้ามเชนแบบครบวงจร "โซลูชันกระเป๋าสตางค์ hardware hot wallet ของ SealBlock จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพภายในด้วย" อเล็กซ์ วิทท์ ซีเอฟโอของ SWFT กล่าว โดย SWFT Blockchain วางแผนที่จะใช้ SealBlock สำหรับกระเป๋าสตางค์ hardware-based hot wallets
เทอร์รี ซิง ซีทีโอของ Umining กล่าวว่า
"เรามีสกุลเงินดิจิทัลเป็นจำนวนมากสำหรับลูกค้าของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีโซลูชันกระเป๋าสตางค์ที่มีความปลอดภัยสูง กระเป๋าสตางค์แบบ hardware wallet ของ SealBlock สนับสนุนนโยบาย multi-sig ซึ่งเราสามารถจัดการสินทรัพย์กับสมาชิกในทีมที่หลากหลายได้อย่างง่ายดาย"
ปัจจุบัน SealBlock กำลังจัดหาเงินทุนรอบแรกและได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนจำนวนมากในซิลิคอนแวลลีย์และทั่วโลก เช่น Whales Capital และ ASB Venture เป็นต้น นักลงทุนทุกรายจะได้รับการนำเสนอให้ใช้กระเป๋าสตางค์ของ SealBlock เพื่อรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง เพื่อให้นักลงทุนสามารถมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับบริการของ SealBlock
การสนับสนุนที่แข็งแกร่ง-ทีมผู้บริหารมากประสบการณ์
VeriClouds ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะ SealBlock เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ และเป็นผู้นำด้านการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา VeriClouds ได้ให้บริการแก่บริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดในโลก อาทิ JD.com และ Oracle โดย VeriClouds เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Alibaba Cloud และ Intel โดยบริษัทได้รับเงินลงทุนจาก แฮร์รี่ ชัม รองประธานบริหารของ Microsoft สำหรับการจัดหาเงินทุนรอบแรก
Silicon Valley Blockchain Catalyst ผู้บ่มเพาะเทคโนโลยีบล็อกเชนรายแรกในซิลิคอนแวลลีย์ ให้ความช่วยเหลือ SealBlock ในด้านการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจและการระดมทุน
ทีมผู้บริหารของ SealBlock ประกอบด้วยบุคลากรอาวุโสจากทั่วอุตสาหกรรมไอทีและอุตสาหกรรมความปลอดภัยข้อมูล
ริชาร์ด หยู ซีอีโอของ SealBlock เป็นผู้บริหารการขายและการจัดการผลิตภัณฑ์ด้านไอทีที่มีประสบการณ์โชกโชน โดยมีประสบการณ์มากกว่า 12 ปีในบริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น HP และ EMC
ริคาร์โด ดิแอซ ซีเอสโอของ SealBlock ทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลมานาน 22 ปี รวมถึงประสบการณ์ 13 ปีในการบริหารและพัฒนาธุรกิจให้กับบริษัท Oracle
ดร.ริค หวัง ซีทีโอของ SealBlock สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านความปลอดภัยข้อมูล และเคยเป็นนักวิจัยอาวุโสด้านความปลอดภัยของระบบที่ Microsoft Research เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรจำนวนหนึ่งในด้านการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์และความปลอดภัยบล็อกเชน งานวิจัยของเขาได้ช่วยให้บริษัทหลายแห่ง เช่น Microsoft, Amazon, Google, PayPal, Facebook และบริษัทด้านเทคโนโลยีอื่นๆ สามารถยกระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
หวัง เจี้ยผิง นักลงทุนรายแรกของ Bitmain และกรรมการบริหารของ Sinovation Ventures เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ทีมงานของ SealBlock
ลิงค์:
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ: https://sealblock.io
บัญชีวีแชทอย่างเป็นทางการ: SealBlockSecurity
บัญชีเว่ยป๋ออย่างเป็นทางการ: @SealBlock
เฟซบุ๊ก: SealBlock
เทเลแกรม: https://t.me/sealblock
ทวิตเตอร์: @sealblockio
Silicon Valley-Based SealBlock Debuts World's First Hardware Hot Wallet
SealBlock recently launched the world's first hardware-based hot wallet solution, designed to enable consumers and businesses to hold their digital assets in a highly-secure but connected location. The new solution addresses the needs of token funds, exchanges, project operators, miners, traders, and other industry players who require sophisticated crypto wallet solutions.
SealBlock product was first demonstrated on June 23, at Silicon Valley Blockchain Security Technology Forum hosted by BlockTrain, the first bilingual blockchain media platform based in Silicon Valley.
The SealBlock solution addresses the most pressing security challenge in crypto asset management today -- the protection of the private keys that are used to sign online transactions. These private keys are highly vulnerable to both external hackers and unauthorized internal access. As a result, many companies employ "cold wallets" to store their keys offline. Although security is improved, the efficiency of trading and transacting is dramatically reduced, and maintenance and management costs increases.
SealBlock provides a programmable policy engine which binds a set of signing policies to each private key(wallet). The policies include the multi-signature policy, whitelist policy, amount limit policy, etc. A transaction will not be signed by the private key unless all signing policies are satisfied.
Moreover, SealBlock employs Intel SGX hardware enclave technology to protect private keys, transaction signing, and the security policies. Intel SGX creates a chip level encryption boundary isolated even from the operation system. With this security by design approach, SealBlock hardware wallet can be connected 24/7 online to serve queries while maintaining a level of security similar to a cold wallet.
Richard Yu, CEO of SealBlock, said:
"SealBlock marries the convenience of software hot wallets with the security that hardware cold wallets provide. We believe that this wallet solution offers a secure and effective solution for anyone storing and trading digital assets."
In addition to protecting user's digit assets, SealBlock solution can also be used to protect other data from users, such as PII data and sensitive business records. SealBlock will build up the community and release SDKs, so that developers can easily create highly-secure blockchain solutions based on the SealBlock technology.
Businesses already adopting new technology
SealBlock has released the first version of its hardware hot wallet and successfully engaged early customers in Silicon Valley area, including SWFT Blockchain, uMining, SVBC, and 6M Capital.
The SWFT Blockchain platform is a one stop, cross-chain crypto transfer service. "SealBlock hardware hot wallet solution significantly improves security while improving internal efficiencies." said SWFT CFO Alex Witt. SWFT Blockchain plans to use SealBlock for hardware-based hot wallets.
Terry Xing, CTO of Umining, said:
"We possess a large amount of crypto currencies for our customers, so we need a highly secure wallet solution. SealBlock hardware wallet supports multi-sig policy with which we can easily manage the assets with multiple team members."
SealBlock is currently conducting first round of financing and has received great interest from many investors in Silicon Valley and around the world, including Whales Capital and ASB Venture, etc. All investors are offered to use SealBlock wallets for securing part of their digital assets so that they can have a first-hand experience on SealBlock service.
Strong backing, experienced management team
VeriClouds, which incubated SealBlock, is a cyber security company and a leader in hardware encryption. For the last three years, VeriClouds has served some of the biggest Internet companies in the world, including JD.com and Oracle. It is a strategic partner with Alibaba Cloud and Intel. It received investment from Harry Shum, executive vice president of Microsoft, for its first round of financing.
Silicon Valley Blockchain Catalyst, the 1st Blockchain Incubator and Accelerator in Silicon Valley, helps SealBlock project develop business processes and raise funds.
The SealBlock management team is comprised of senior figures from across the IT and information security industries.
Richard Yu, the CEO of SealBlock is an experienced IT product sales and management executive, with over 12 years of experience in major corporations such as HP and EMC.
Ricardo Diaz, the CSO of SealBlock, has worked in information security for 22 years, including 13 years in management and business development for Oracle.
Rick Wang, the CTO of SealBlock, has a Ph.D. in Information Security and was previously a senior researcher in systems security at Microsoft Research. Dr. Wang has developed a number of patents in hardware encryption and blockchain security. His research has helped Microsoft, Amazon, Google, PayPal, Facebook and other technology companies improve the security of their products.
Jiaping Wang, an early investor of Bitmain and Executive Director of Sinovation Ventures, is serving as advisor to the SealBlock team.
Links:
Official Website: https://sealblock.io
Official WeChat account: SealBlockSecurity
Official Weibo account: @SealBlock
Facebook: SealBlock
Telegram: https://t.me/sealblock
Twitter: @sealblockio
SealBlock product was first demonstrated on June 23, at Silicon Valley Blockchain Security Technology Forum hosted by BlockTrain, the first bilingual blockchain media platform based in Silicon Valley.
The SealBlock solution addresses the most pressing security challenge in crypto asset management today -- the protection of the private keys that are used to sign online transactions. These private keys are highly vulnerable to both external hackers and unauthorized internal access. As a result, many companies employ "cold wallets" to store their keys offline. Although security is improved, the efficiency of trading and transacting is dramatically reduced, and maintenance and management costs increases.
SealBlock provides a programmable policy engine which binds a set of signing policies to each private key(wallet). The policies include the multi-signature policy, whitelist policy, amount limit policy, etc. A transaction will not be signed by the private key unless all signing policies are satisfied.
Moreover, SealBlock employs Intel SGX hardware enclave technology to protect private keys, transaction signing, and the security policies. Intel SGX creates a chip level encryption boundary isolated even from the operation system. With this security by design approach, SealBlock hardware wallet can be connected 24/7 online to serve queries while maintaining a level of security similar to a cold wallet.
Richard Yu, CEO of SealBlock, said:
"SealBlock marries the convenience of software hot wallets with the security that hardware cold wallets provide. We believe that this wallet solution offers a secure and effective solution for anyone storing and trading digital assets."
In addition to protecting user's digit assets, SealBlock solution can also be used to protect other data from users, such as PII data and sensitive business records. SealBlock will build up the community and release SDKs, so that developers can easily create highly-secure blockchain solutions based on the SealBlock technology.
Businesses already adopting new technology
SealBlock has released the first version of its hardware hot wallet and successfully engaged early customers in Silicon Valley area, including SWFT Blockchain, uMining, SVBC, and 6M Capital.
The SWFT Blockchain platform is a one stop, cross-chain crypto transfer service. "SealBlock hardware hot wallet solution significantly improves security while improving internal efficiencies." said SWFT CFO Alex Witt. SWFT Blockchain plans to use SealBlock for hardware-based hot wallets.
Terry Xing, CTO of Umining, said:
"We possess a large amount of crypto currencies for our customers, so we need a highly secure wallet solution. SealBlock hardware wallet supports multi-sig policy with which we can easily manage the assets with multiple team members."
SealBlock is currently conducting first round of financing and has received great interest from many investors in Silicon Valley and around the world, including Whales Capital and ASB Venture, etc. All investors are offered to use SealBlock wallets for securing part of their digital assets so that they can have a first-hand experience on SealBlock service.
Strong backing, experienced management team
VeriClouds, which incubated SealBlock, is a cyber security company and a leader in hardware encryption. For the last three years, VeriClouds has served some of the biggest Internet companies in the world, including JD.com and Oracle. It is a strategic partner with Alibaba Cloud and Intel. It received investment from Harry Shum, executive vice president of Microsoft, for its first round of financing.
Silicon Valley Blockchain Catalyst, the 1st Blockchain Incubator and Accelerator in Silicon Valley, helps SealBlock project develop business processes and raise funds.
The SealBlock management team is comprised of senior figures from across the IT and information security industries.
Richard Yu, the CEO of SealBlock is an experienced IT product sales and management executive, with over 12 years of experience in major corporations such as HP and EMC.
Ricardo Diaz, the CSO of SealBlock, has worked in information security for 22 years, including 13 years in management and business development for Oracle.
Rick Wang, the CTO of SealBlock, has a Ph.D. in Information Security and was previously a senior researcher in systems security at Microsoft Research. Dr. Wang has developed a number of patents in hardware encryption and blockchain security. His research has helped Microsoft, Amazon, Google, PayPal, Facebook and other technology companies improve the security of their products.
Jiaping Wang, an early investor of Bitmain and Executive Director of Sinovation Ventures, is serving as advisor to the SealBlock team.
Links:
Official Website: https://sealblock.io
Official WeChat account: SealBlockSecurity
Official Weibo account: @SealBlock
Facebook: SealBlock
Telegram: https://t.me/sealblock
Twitter: @sealblockio
MILAN Automotive GmbH เปิดตัว “MILAN RED” ไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่
"รถที่สวนกระแส" คือสิ่งที่ Markus Fux ชาวออสเตรียวัย 36 ปี ซีอีโอของบริษัท MILAN Automotive GmbH กำลังดำเนินการเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของบรรดาบริษัทของออสเตรียออกสู่ท้องถนน โดยทุ่มเทด้านการออกแบบและเทคนิคในการผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่ โดย MILAN RED ซึ่งตั้งชื่อตามนกล่าเหยื่อที่มีชื่อเสียงนั้น ได้รับการออกแบบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่มีเป้าหมายในการรวมสมรรถนะต่างๆ เข้าด้วยกันอีกครั้งทั้งในด้านสถิติความเร็ว การออกแบบ และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจเป็นพิเศษ
MILAN RED จะเป็นรถยนต์ไฮเปอร์คาร์รุ่นแรกที่ผลิตโดย MILAN Automotive GmbH โดยการผลิตรถรุ่นนี้จะจำกัดอยู่ที่เพียง 99 คันเท่านั้น และยังเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่น่าทึ่ง
ด้วยกำลัง 1325 แรงม้า และน้ำหนักรวม 1,300 กิโลกรัม MILAN RED สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.47 วินาที และสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเกิน 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การระเบิดของขุมพลังนี้เป็นผลมาจากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง V8 Quad Turbo ขนาด 6.2 ลิตรที่ทำงานทั้งหมดได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า และผลิตโดย AVL ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของบรรดาบริษัทรถยนต์ทั่วโลกและการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน
สายเลือดของ MILAN RED แสดงให้เห็นว่า ใครเป็นใครในบรรดาบริษัทชั้นนำของออสเตรียในภาคยานยนต์
บริษัท AVL List ในรัฐสตีเรีย รับหน้าที่จัดหาเทคโนโลยีจำลองระบบส่งกำลัง ขณะที่บริษัท PANKL Racing Systems เป็นผู้จัดหาดุมล้อพิเศษ SLM
ณ จุดนี้ สามารถเปิดเผยหนึ่งในไฮไลท์ของ MILAN RED นั่นคือ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ตามท้องถนนที่เหล็กยึดล้อ (wishbones) ผลิตขึ้นจากคาร์บอนทั้งหมดโดยฝีมือของบริษัท PEAK Technology จากรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย
อีกหนึ่งส่วนเสริมพิเศษที่น่าทึ่งก็คือ การแสดงให้เห็นอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ขับขี่
ทุกแง่มุมของ MILAN RED ได้รับความสำคัญสูงสุดเสมอ จนถึงตอนนี้มีแฟนพันธุ์แท้รถยนต์ 18 คนได้จับจองเป็นเจ้าของสุดยอดรถยนต์หายากราคาเฉียด 2 ล้านยูโรรุ่นนี้เป็รที่เรียบร้อยแล้ว
Markus Fux ซีอีโอของ MILAN Automotive GmbH กล่าวว่า
"ทุกวันนี้คุณสามารถขับรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม หรูหรา มีเทคโนโลยีขั้นสูง และแย่งซีนทุกคน ซึ่งก็คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่"
เกี่ยวกับ MILAN Automotive GmbH
MILAN Automotive GmbH คือผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติออสเตรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ "Made in Austria" รายแรกและรายเดียว
Markus Fux ซีอีโอและอดีตนักขับรถแข่ง มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความเร็วและรู้จักคนมากมายในวงการ
Siegfried Wolf หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของยุโรป ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการบริหารบริษัท
ฝ่ายออกแบบและเทคนิคของ Milan Automotive ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการรังสรรค์ผลงานทางเทคนิคชิ้นเอกนี้
MILAN RED จะเป็นรถยนต์ไฮเปอร์คาร์รุ่นแรกที่ผลิตโดย MILAN Automotive GmbH โดยการผลิตรถรุ่นนี้จะจำกัดอยู่ที่เพียง 99 คันเท่านั้น และยังเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่น่าทึ่ง
ด้วยกำลัง 1325 แรงม้า และน้ำหนักรวม 1,300 กิโลกรัม MILAN RED สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.47 วินาที และสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเกิน 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การระเบิดของขุมพลังนี้เป็นผลมาจากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง V8 Quad Turbo ขนาด 6.2 ลิตรที่ทำงานทั้งหมดได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า และผลิตโดย AVL ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของบรรดาบริษัทรถยนต์ทั่วโลกและการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน
สายเลือดของ MILAN RED แสดงให้เห็นว่า ใครเป็นใครในบรรดาบริษัทชั้นนำของออสเตรียในภาคยานยนต์
บริษัท AVL List ในรัฐสตีเรีย รับหน้าที่จัดหาเทคโนโลยีจำลองระบบส่งกำลัง ขณะที่บริษัท PANKL Racing Systems เป็นผู้จัดหาดุมล้อพิเศษ SLM
ณ จุดนี้ สามารถเปิดเผยหนึ่งในไฮไลท์ของ MILAN RED นั่นคือ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ตามท้องถนนที่เหล็กยึดล้อ (wishbones) ผลิตขึ้นจากคาร์บอนทั้งหมดโดยฝีมือของบริษัท PEAK Technology จากรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย
อีกหนึ่งส่วนเสริมพิเศษที่น่าทึ่งก็คือ การแสดงให้เห็นอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ขับขี่
ทุกแง่มุมของ MILAN RED ได้รับความสำคัญสูงสุดเสมอ จนถึงตอนนี้มีแฟนพันธุ์แท้รถยนต์ 18 คนได้จับจองเป็นเจ้าของสุดยอดรถยนต์หายากราคาเฉียด 2 ล้านยูโรรุ่นนี้เป็รที่เรียบร้อยแล้ว
Markus Fux ซีอีโอของ MILAN Automotive GmbH กล่าวว่า
"ทุกวันนี้คุณสามารถขับรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม หรูหรา มีเทคโนโลยีขั้นสูง และแย่งซีนทุกคน ซึ่งก็คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่"
เกี่ยวกับ MILAN Automotive GmbH
MILAN Automotive GmbH คือผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติออสเตรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ "Made in Austria" รายแรกและรายเดียว
Markus Fux ซีอีโอและอดีตนักขับรถแข่ง มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความเร็วและรู้จักคนมากมายในวงการ
Siegfried Wolf หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของยุโรป ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการบริหารบริษัท
ฝ่ายออกแบบและเทคนิคของ Milan Automotive ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการรังสรรค์ผลงานทางเทคนิคชิ้นเอกนี้
MILAN Automotive GmbH Unleashes Hyper Car MILAN RED
A car against the tide. This is what Austrian born Markus Fux, 36, CEO of MILAN Automotive GmbH is doing: bringing to the road the cutting edge Know-how of Austrian companies - uncompromising in design and technic - in what will be the new generation of Hyper cars: the MILAN RED. Named after the famous bird of prey the MILAN RED is designed by a team of extraordinary specialists aiming to combine again the skills of speed record, design object and ultra-intense driving experience.
Limited to only 99 pieces the MILAN RED will be the first of its kind crafted by MILAN Automotive GmbH and comes with a breath-taking list of characteristics:
1325 horsepower meets 1300 kilogram dead weight propelling the MILAN RED from naught to a hundred in only 2.47 seconds to race way beyond 400km/h.
This power explosion is the result of the 6.2 litre V8 Quad Turbo rear drive operating entirely without electric support and crafted by AVL, supplier of global automotive companies and Formula One racing.
The bloodline of MILAN RED reads like the who-is-who of Austria's leading companies in the automotive sector:
Alongside Styria based AVL it is the simulation technology of AVL List - as well a close development partner of Formula One racing - and PANKL Racing Systems contributing with exclusive SLM wheel carriers.
At this point one of the highlights of the MILAN RED can be revealed: for the first time in the history of street legal cars the wishbones of the MILAN RED will be manufactured wholly from carbon. This sensation is produced by PEAK Technology from Upper Austria.
Another special add-on in context with the stunning interior design is the visualisation of the driver's heartbeat.
No compromise in every aspect of the MILAN RED has and will always have the highest priority. The spectacular opportunity to own one of these rare superlative cars close to the 2 million Euro regions has already inspired 18 car enthusiasts to add the MILAN RED to their portfolio.
Statement of Markus Fux, CEO MILAN Automotive GmbH:
"Nowadays you can drive an artistic car, a high-tech-monster, a throne on four wheels - or a car, that only serves one purpose: stealing everyone the show. And this is where we come into play."
About MILAN Automotive GmbH:
MILAN Automotive GmbH is an Austrian based car manufacturer - the first and only producer of Hyper Cars 'Made in Austria'.
Markus Fux, CEO, former race driver and thus with a profound understanding of speed and equipped with a wide varieties of contacts in the world of the fast lane.
Siegfried Wolf, one of Europe's leading managers is acting as advisor to the board.
Milan Automotive's inhouse Design- and Technical Departments worked closely together to implement an idea of a young, talented Artist in this technical masterpiece.
Limited to only 99 pieces the MILAN RED will be the first of its kind crafted by MILAN Automotive GmbH and comes with a breath-taking list of characteristics:
1325 horsepower meets 1300 kilogram dead weight propelling the MILAN RED from naught to a hundred in only 2.47 seconds to race way beyond 400km/h.
This power explosion is the result of the 6.2 litre V8 Quad Turbo rear drive operating entirely without electric support and crafted by AVL, supplier of global automotive companies and Formula One racing.
The bloodline of MILAN RED reads like the who-is-who of Austria's leading companies in the automotive sector:
Alongside Styria based AVL it is the simulation technology of AVL List - as well a close development partner of Formula One racing - and PANKL Racing Systems contributing with exclusive SLM wheel carriers.
At this point one of the highlights of the MILAN RED can be revealed: for the first time in the history of street legal cars the wishbones of the MILAN RED will be manufactured wholly from carbon. This sensation is produced by PEAK Technology from Upper Austria.
Another special add-on in context with the stunning interior design is the visualisation of the driver's heartbeat.
No compromise in every aspect of the MILAN RED has and will always have the highest priority. The spectacular opportunity to own one of these rare superlative cars close to the 2 million Euro regions has already inspired 18 car enthusiasts to add the MILAN RED to their portfolio.
Statement of Markus Fux, CEO MILAN Automotive GmbH:
"Nowadays you can drive an artistic car, a high-tech-monster, a throne on four wheels - or a car, that only serves one purpose: stealing everyone the show. And this is where we come into play."
About MILAN Automotive GmbH:
MILAN Automotive GmbH is an Austrian based car manufacturer - the first and only producer of Hyper Cars 'Made in Austria'.
Markus Fux, CEO, former race driver and thus with a profound understanding of speed and equipped with a wide varieties of contacts in the world of the fast lane.
Siegfried Wolf, one of Europe's leading managers is acting as advisor to the board.
Milan Automotive's inhouse Design- and Technical Departments worked closely together to implement an idea of a young, talented Artist in this technical masterpiece.
ธนาคารบังโก บราเดสโก เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2561
ธนาคารบังโก บราเดสโก (Banco Bradesco) (B3: BBDC3, BBDC4; NYSE: BBD และ Latibex: XBBDC) เปิดเผยข้อมูลสำคัญดังต่อไปนี้
1. รายได้ประจำสุทธิในไตรมาส 2 อยู่ที่ 5.161 พันล้านเรอัลบราซิล (เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว) ซึ่งคิดเป็น 2.98 เรอัลต่อหุ้น และมีผลกำไรที่เกิดขึ้นในปีนี้มากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 18.5%
2. รายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 8.144 พันล้านเรอัล (เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 25.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)
3. รายได้ประจำสุทธิของไตรมาส 2 ประกอบด้วย 3.58 พันล้านเรอัลจากกิจกรรมทางการเงิน คิดเป็น 69.3% ของยอดรวม และ 1.58 พันล้านเรอัลจากประกัน แผนบำเหน็จบำนาญและการดำเนินการด้านพันธบัตรทุน ซึ่งคิดเป็น 30.7% ของทั้งหมด
4. ในเดือนมิถุนายน 2561 มูลค่าตลาดของบราเดสโกอยู่ที่ 1.71604 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
5. สินทรัพย์รวมในเดือนมิถุนายน 2561 มียอดคงเหลือ 1.306 ล้านล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6%
6. พอร์ตสินเชื่อขยายตัวในเดือนมิถุนายน 2561 แตะระดับ 5.15635 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งตอกย้ำว่าทุกกลุ่มมีผลการดำเนินงานเป็นบวกในช่วงดังกล่าว
7. การผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า 90 วันในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.9% ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่มีความหมายเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเท่ากับลดลง 0.5 p.p. (percentage point) และลดลง 1.0 p.p. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการตั้งค่าเผื่อหนี้ที่สงสัยว่าจะสูญลงได้ 11.7% เมื่อเทียบรายไตรมาส และ 36.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
8. ค่าธรรมเนียมและรายได้จากค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 และ 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 โดยเน้นย้ำถึงผลการดำเนินงานที่เป็นบวกในเกือบทุกสายธุรกิจ
9. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในช่วงครึ่งปีแรกมีมูลค่ารวม 9.756 พันล้านเรอัล ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 9.803 พันล้านเรอัล ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2560
10. สินทรัพย์ภายใต้การบริหารมีมูลค่ารวม 2.014 ล้านล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560
11. ส่วนของผู้ถือหุ้นในเดือนมิถุนายน 2561 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.13039 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560
สามารถดูงบการเงินฉบับสมบูรณ์ได้จากเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ bradesco.com.br/ir-en
1. รายได้ประจำสุทธิในไตรมาส 2 อยู่ที่ 5.161 พันล้านเรอัลบราซิล (เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว) ซึ่งคิดเป็น 2.98 เรอัลต่อหุ้น และมีผลกำไรที่เกิดขึ้นในปีนี้มากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 18.5%
2. รายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 8.144 พันล้านเรอัล (เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 25.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)
3. รายได้ประจำสุทธิของไตรมาส 2 ประกอบด้วย 3.58 พันล้านเรอัลจากกิจกรรมทางการเงิน คิดเป็น 69.3% ของยอดรวม และ 1.58 พันล้านเรอัลจากประกัน แผนบำเหน็จบำนาญและการดำเนินการด้านพันธบัตรทุน ซึ่งคิดเป็น 30.7% ของทั้งหมด
4. ในเดือนมิถุนายน 2561 มูลค่าตลาดของบราเดสโกอยู่ที่ 1.71604 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
5. สินทรัพย์รวมในเดือนมิถุนายน 2561 มียอดคงเหลือ 1.306 ล้านล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6%
6. พอร์ตสินเชื่อขยายตัวในเดือนมิถุนายน 2561 แตะระดับ 5.15635 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งตอกย้ำว่าทุกกลุ่มมีผลการดำเนินงานเป็นบวกในช่วงดังกล่าว
7. การผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า 90 วันในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.9% ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่มีความหมายเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเท่ากับลดลง 0.5 p.p. (percentage point) และลดลง 1.0 p.p. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการตั้งค่าเผื่อหนี้ที่สงสัยว่าจะสูญลงได้ 11.7% เมื่อเทียบรายไตรมาส และ 36.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
8. ค่าธรรมเนียมและรายได้จากค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 และ 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 โดยเน้นย้ำถึงผลการดำเนินงานที่เป็นบวกในเกือบทุกสายธุรกิจ
9. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในช่วงครึ่งปีแรกมีมูลค่ารวม 9.756 พันล้านเรอัล ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 9.803 พันล้านเรอัล ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2560
10. สินทรัพย์ภายใต้การบริหารมีมูลค่ารวม 2.014 ล้านล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560
11. ส่วนของผู้ถือหุ้นในเดือนมิถุนายน 2561 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.13039 แสนล้านเรอัล เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560
สามารถดูงบการเงินฉบับสมบูรณ์ได้จากเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ bradesco.com.br/ir-en
Banco Bradesco Results in the 2nd Quarter of 2018
The main figures obtained by Bradesco (B3: BBDC3, BBDC4; NYSE: BBD and Latibex: XBBDC) are presented below:
1. Recurring Net Income in the 2nd quarter recorded R$5.161 billion (an increase of 1.2% compared to the previous quarter and 9.7% compared to the same quarter of the previous year), representing R$2.98 per share with accrued profitability in the year over Shareholder's Equity of 18.5%.
2. Operating Income in the 2nd quarter recorded R$8.144 billion (an increase of 6.2% compared to the previous quarter and 25.7% compared to the same quarter of the previous year).
3. As for the source, the Recurring Net Income of the quarter is composed of R$3.58 billion from financial activities, representing 69.3% of the total, and of R$1.58 billion from insurance, pension plans and capitalization bonds operations, representing 30.7% of the total.
4. In June 2018, Bradesco's Market capitalization was of R$171.604 billion, presenting an increase of 1.2% compared to the same period of the previous year.
5. Total Assets, in June 2018, recorded a balance of R$1.306 trillion, a growth of 0.2% compared to the last quarter. The return on Average Total Assets was 1.6%.
6. Expanded Loan Portfolio, in June 2018, reached R$515.635 billion, a growth of 6% compared to the previous quarter, emphasizing that all segments presented positive performance in the period.
7. Delinquency over 90 days reached 3.9% in the 2nd quarter, a meaningful performance compared to the previous quarter, it means 0.5 p.p. and 1.0 p.p. compared to the same period of the previous year, allowing relevant reduction on Losses of Credits Provision Expenses: 11.7% in quarterly comparison and 36.1% compared to the same period of the previous year.
8. Fee and Commission Income increased 3.7% compared to the 1st quarter and 8.3% compared to the 2nd quarter of 2017, emphasizing the positive performance in almost all lines of business.
9. Personnel Expenses totaled R$9.756 billion in the first half, a decrease of 0.3% compared to the same period of the previous year and Administrative Expenses totaled R$9.803 billion, a slight increase of 0.5% compared to the first half of 2017.
10. Assets under Management totaled R$2.014 trillion, an increase of 5% compared to June 2017.
11. Shareholders' Equity, in June 2018, totaled R$113.039 billion, a growth of 5.8% compared to June 2017.
Complete Financial Statements are available on the Investor Relations website - bradesco.com.br/ir-en.
1. Recurring Net Income in the 2nd quarter recorded R$5.161 billion (an increase of 1.2% compared to the previous quarter and 9.7% compared to the same quarter of the previous year), representing R$2.98 per share with accrued profitability in the year over Shareholder's Equity of 18.5%.
2. Operating Income in the 2nd quarter recorded R$8.144 billion (an increase of 6.2% compared to the previous quarter and 25.7% compared to the same quarter of the previous year).
3. As for the source, the Recurring Net Income of the quarter is composed of R$3.58 billion from financial activities, representing 69.3% of the total, and of R$1.58 billion from insurance, pension plans and capitalization bonds operations, representing 30.7% of the total.
4. In June 2018, Bradesco's Market capitalization was of R$171.604 billion, presenting an increase of 1.2% compared to the same period of the previous year.
5. Total Assets, in June 2018, recorded a balance of R$1.306 trillion, a growth of 0.2% compared to the last quarter. The return on Average Total Assets was 1.6%.
6. Expanded Loan Portfolio, in June 2018, reached R$515.635 billion, a growth of 6% compared to the previous quarter, emphasizing that all segments presented positive performance in the period.
7. Delinquency over 90 days reached 3.9% in the 2nd quarter, a meaningful performance compared to the previous quarter, it means 0.5 p.p. and 1.0 p.p. compared to the same period of the previous year, allowing relevant reduction on Losses of Credits Provision Expenses: 11.7% in quarterly comparison and 36.1% compared to the same period of the previous year.
8. Fee and Commission Income increased 3.7% compared to the 1st quarter and 8.3% compared to the 2nd quarter of 2017, emphasizing the positive performance in almost all lines of business.
9. Personnel Expenses totaled R$9.756 billion in the first half, a decrease of 0.3% compared to the same period of the previous year and Administrative Expenses totaled R$9.803 billion, a slight increase of 0.5% compared to the first half of 2017.
10. Assets under Management totaled R$2.014 trillion, an increase of 5% compared to June 2017.
11. Shareholders' Equity, in June 2018, totaled R$113.039 billion, a growth of 5.8% compared to June 2017.
Complete Financial Statements are available on the Investor Relations website - bradesco.com.br/ir-en.
Microland และ Clifford Chance ฉลองครบรอบ 8 ปีแห่งการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
สนับสนุนกลยุทธ์ "การส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุด" เพื่อสร้างคุณค่าที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า
Microland ผู้ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลแก่องค์กรระดับโลก ประกาศว่า บริษัทได้ครบรอบการทำข้อตกลงเป็นระยะเวลา 8 ปีกับ Clifford Chance LLP ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม "Magic Circle" และเป็นบริษัทกฎหมายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การทำข้อตกลงนี้ได้ทำให้เกิดการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญทั้งในแง่ของขนาด ขอบเขต และความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับพนักงานกว่า 6,000 คนที่กระจายตัวให้บริการในประเทศต่างๆทั่วทั้ง 23 ประเทศ ขอบเขตการทำข้อตกลงนี้ครอบคลุมเรื่องการปฏิบัติงานและการเปลี่ยนผ่านด้านไอที ซึ่งรวมถึงศูนย์ข้อมูล ระบบคลาวด์ฝ่ายให้ความช่วยเหลือ การบริการและเครือข่ายผู้ใช้งาน
"พวกเราที่ Microland ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์กับ Clifford Chance และยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรด้านไอทีที่เชื่อถือได้ในระยะยาว ความเป็นผู้นำของ Clifford Chance ในอุตสาหกรรมด้านกฎหมาย ตลอดจนความเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายในเชิงลึก ขอบข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก และการผลักดันการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้านั้น สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน ทั้งนี้ ปัจจัยผลักดันด้านดิจิทัลยุคใหม่ที่มุ่งสู่อนาคต เช่น แพลตฟอร์มการจัดการระบบคลาวด์จากหลากหลายผู้ให้บริการ เครื่องจักรอัตโนมัติและการวิเคราะห์ที่ติดตั้งภายในระบบ ปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องมือ Machine Learnings รวมถึงขอบข่ายงานที่ผสานรวมกับการส่งมอบระบบปฏิบัติการด้านไอทีที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง จะถูกยกระดับให้สามารถตอบสนองประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจนอีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักกฎหมายให้ดียิ่งขึ้น" ประทีป การ์ ผู้ก่อตั้ง ประธาน และกรรมการผู้จัดการของ Microland กล่าว
"Microland เป็นพันธมิตรที่สำคัญของเรามานานหลายปี ความชำนาญด้านไอทีและขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของพวกเขามีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านไอทีของเรา ซึ่งจะช่วยส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ จากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่เพิ่มสูงขึ้นและการพิจารณาประเด็นการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาคกฎหมาย ทำให้ Clifford Chance เป็นผู้นำที่มีกลยุทธ์แบบดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติงานด้านไอที และผมเชื่อมั่นว่า Microlandจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวทางนี้ต่อไป" พอล กรีนวูด ประธานฝ่ายสารสนเทศ (CIO) ของ Clifford Chance กล่าวในระหว่างการเยือนสำนักงานของบริษัท Microland ในเมืองบังคาลอร์
เกี่ยวกับ Microland
Microland เป็นผู้ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับบรรดาองค์กรชั้นนำของโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้องค์กรเหล่านี้นำเสนอคุณประโยชน์ทางธุรกิจแก่ลูกค้าของตนเองได้อย่างเป็นเลิศ Microland มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองบังคาลอร์ ประเทศอินเดีย โดยมีพนักงานผู้เชี่ยวชาญรวมกันกว่า 3,800 คนตามสำนักงานที่กระจายตัวอยู่ในออสเตรเลีย ยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ Microland ช่วยให้องค์กรทั่วโลกดำเนินธุรกิจได้อย่างว่องไวและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการผนวกรวมกระบวนการทางธุรกิจเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ ระบบวิเคราะห์ และเทคโนโลยีเชิงทำนาย
Microland ผู้ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลแก่องค์กรระดับโลก ประกาศว่า บริษัทได้ครบรอบการทำข้อตกลงเป็นระยะเวลา 8 ปีกับ Clifford Chance LLP ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม "Magic Circle" และเป็นบริษัทกฎหมายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การทำข้อตกลงนี้ได้ทำให้เกิดการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญทั้งในแง่ของขนาด ขอบเขต และความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับพนักงานกว่า 6,000 คนที่กระจายตัวให้บริการในประเทศต่างๆทั่วทั้ง 23 ประเทศ ขอบเขตการทำข้อตกลงนี้ครอบคลุมเรื่องการปฏิบัติงานและการเปลี่ยนผ่านด้านไอที ซึ่งรวมถึงศูนย์ข้อมูล ระบบคลาวด์ฝ่ายให้ความช่วยเหลือ การบริการและเครือข่ายผู้ใช้งาน
"พวกเราที่ Microland ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์กับ Clifford Chance และยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรด้านไอทีที่เชื่อถือได้ในระยะยาว ความเป็นผู้นำของ Clifford Chance ในอุตสาหกรรมด้านกฎหมาย ตลอดจนความเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายในเชิงลึก ขอบข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก และการผลักดันการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้านั้น สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน ทั้งนี้ ปัจจัยผลักดันด้านดิจิทัลยุคใหม่ที่มุ่งสู่อนาคต เช่น แพลตฟอร์มการจัดการระบบคลาวด์จากหลากหลายผู้ให้บริการ เครื่องจักรอัตโนมัติและการวิเคราะห์ที่ติดตั้งภายในระบบ ปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องมือ Machine Learnings รวมถึงขอบข่ายงานที่ผสานรวมกับการส่งมอบระบบปฏิบัติการด้านไอทีที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง จะถูกยกระดับให้สามารถตอบสนองประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจนอีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักกฎหมายให้ดียิ่งขึ้น" ประทีป การ์ ผู้ก่อตั้ง ประธาน และกรรมการผู้จัดการของ Microland กล่าว
"Microland เป็นพันธมิตรที่สำคัญของเรามานานหลายปี ความชำนาญด้านไอทีและขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของพวกเขามีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านไอทีของเรา ซึ่งจะช่วยส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ จากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่เพิ่มสูงขึ้นและการพิจารณาประเด็นการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาคกฎหมาย ทำให้ Clifford Chance เป็นผู้นำที่มีกลยุทธ์แบบดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติงานด้านไอที และผมเชื่อมั่นว่า Microlandจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวทางนี้ต่อไป" พอล กรีนวูด ประธานฝ่ายสารสนเทศ (CIO) ของ Clifford Chance กล่าวในระหว่างการเยือนสำนักงานของบริษัท Microland ในเมืองบังคาลอร์
เกี่ยวกับ Microland
Microland เป็นผู้ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับบรรดาองค์กรชั้นนำของโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้องค์กรเหล่านี้นำเสนอคุณประโยชน์ทางธุรกิจแก่ลูกค้าของตนเองได้อย่างเป็นเลิศ Microland มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองบังคาลอร์ ประเทศอินเดีย โดยมีพนักงานผู้เชี่ยวชาญรวมกันกว่า 3,800 คนตามสำนักงานที่กระจายตัวอยู่ในออสเตรเลีย ยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ Microland ช่วยให้องค์กรทั่วโลกดำเนินธุรกิจได้อย่างว่องไวและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการผนวกรวมกระบวนการทางธุรกิจเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ ระบบวิเคราะห์ และเทคโนโลยีเชิงทำนาย
Microland and Clifford Chance Celebrate Eight Years of Partnership
Supporting the 'Best Delivery' Strategy that creates greatest value to clients
Microland, a digital accelerator for global enterprises, announced today that it has successfully completed 8 years of engagement with Clifford Chance LLP, a member of the 'Magic Circle' and amongst the most prestigious law firms in the world. This engagement has grown significantly in size, scope, and relevance to business with over 6000 employees being extensively serviced across 23 countries. Scope of this engagement covers Operations and Transformation programs spanning across IT including Data Centers, Cloud, Service Desk, End User Services & Networks.
"We, at Microland, greatly value our relationship with Clifford Chance and are pleased to be their trusted, long-term IT partner. Their leadership in the legal industry, deep expertise in legal matters, global reach and drive to deliver the best service to their clients is matched by our dedication to deliver best in class user experience. Going forward, NextGen Digital Accelerators like Multi-Cloud Management Platform, embedded Automation and Analytics, AI and Machine Learning tools and frameworks combined with continuous delivery of best-in-class IT Operations shall be leveraged to achieve an outstanding client experience and shall increase lawyer productivity," said Pradeep Kar, Founder, Chairman and Managing Director, Microland.
"Microland has been a valued partner to us over the years. Their IT expertise and technology capabilities is pivotal in our IT Strategy, which in turn delivers greater value to our clients. With increasing technology disruption and cyber security considerations in the legal industry, Clifford Chance is leading with a Digital strategy at the heart of our IT operations. And I am certain Microland will play a significant role in accelerating this journey," said Paul Greenwood, CIO at Clifford Chance, on his visit to Microland Corporate office in Bengaluru.
About Microland:
Microland accelerates the Digital Transformation journey for global enterprises enabling them to deliver high-value business outcomes to their customers. Headquartered in Bangalore, India, Microland has more than 3,800 professionals across its offices in Australia, Europe, India, Middle East and North America. Microland enables global enterprises to become more agile and innovative by integration of emerging technologies and the application of automation, analytics and predictive intelligence to their business processes.
For more info: https://www.microland.com
Microland, a digital accelerator for global enterprises, announced today that it has successfully completed 8 years of engagement with Clifford Chance LLP, a member of the 'Magic Circle' and amongst the most prestigious law firms in the world. This engagement has grown significantly in size, scope, and relevance to business with over 6000 employees being extensively serviced across 23 countries. Scope of this engagement covers Operations and Transformation programs spanning across IT including Data Centers, Cloud, Service Desk, End User Services & Networks.
"We, at Microland, greatly value our relationship with Clifford Chance and are pleased to be their trusted, long-term IT partner. Their leadership in the legal industry, deep expertise in legal matters, global reach and drive to deliver the best service to their clients is matched by our dedication to deliver best in class user experience. Going forward, NextGen Digital Accelerators like Multi-Cloud Management Platform, embedded Automation and Analytics, AI and Machine Learning tools and frameworks combined with continuous delivery of best-in-class IT Operations shall be leveraged to achieve an outstanding client experience and shall increase lawyer productivity," said Pradeep Kar, Founder, Chairman and Managing Director, Microland.
"Microland has been a valued partner to us over the years. Their IT expertise and technology capabilities is pivotal in our IT Strategy, which in turn delivers greater value to our clients. With increasing technology disruption and cyber security considerations in the legal industry, Clifford Chance is leading with a Digital strategy at the heart of our IT operations. And I am certain Microland will play a significant role in accelerating this journey," said Paul Greenwood, CIO at Clifford Chance, on his visit to Microland Corporate office in Bengaluru.
About Microland:
Microland accelerates the Digital Transformation journey for global enterprises enabling them to deliver high-value business outcomes to their customers. Headquartered in Bangalore, India, Microland has more than 3,800 professionals across its offices in Australia, Europe, India, Middle East and North America. Microland enables global enterprises to become more agile and innovative by integration of emerging technologies and the application of automation, analytics and predictive intelligence to their business processes.
For more info: https://www.microland.com
BQT(TM) P2P Crypto Hedge Exchange แพลตฟอร์มการซื้อขายแบบโซเชียลพร้อมด้วยความสามารถในการทำเฮดจ์ระยะสั้น
BQT Technologies, LTD. ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม BQT(TM) Crypto Exchange แบบโคลสเบต้า ซึ่งเป็นระบบซื้อขายในโซเชียลและอินเตอร์แอคทีฟแบบ peer-to-peer (P2P) พร้อมด้วยขีดความสามารถที่ก้าวล้ำในการทำเฮดจ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเทรด วิธีการที่โดดเด่นนี้สนับสนุนแนวคิดด้านการกระจายศูนย์และชุมชน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของบล็อกเชนและการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสหรือสกุลเงินดิจิทัล
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนจำนวนมากกำลังพยายามค้นหาวิธีเพิ่มเติมในการจับคู่สกุลเงินดิจิทัล (crypto) และสกุลเงินจริง (fiat) ทีมงาน BQT เชื่อมั่นในการลดการพึ่งพาสกุลเงิน fiat ทั้งหมด ขณะที่ตลาดจำนวนมากรวมถึงตลาดชั้นนำในลีดเดอร์บอร์ด เช่น Binance ซึ่งเป็นเว็บเทรดก็ดำเนินการตามแนวโน้มดังกล่าวแล้วเช่นกัน สินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสหรือสกุลเงินดิจิทัล (crypto assets) ทุกชนิดมีมูลค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสอื่นๆ ทีมงาน BQT คิดว่าความต้องการสำหรับเทรดเดอร์ที่จะได้รับสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสมากขึ้นนั้น สามารถดำเนินการผ่านทางอุปทานจำนวนมากของการถือครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสต่างๆ ผ่านทางปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเจรจาโดยตรงโดยกลุ่มเทรดเดอร์ที่มีความเชี่ยวชาญได้
แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบ P2P ได้แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมากโดยใช้ Localbitcoins กันอย่างแพร่หลายท่ามกลางปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างๆ และเพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากการครอบครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสต่างๆนี้ BQT(TM) จึงได้นำเสนอระบบ Hedge Trade ซึ่งเป็นการปฏิวัติระบบการค้าที่มีการทำเฮดจ์ โดยระบบ Hedge Trade ของ BQT(TM) เป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นในการซื้อสินทรัพย์ในระยะสั้นผ่านการถือครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัส (crypto assets) ที่มีอยู่ ซึ่งต่างจากการซื้อขายมาร์จิ้นและฟิวเจอร์ส
BQT(TM) ได้เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่รูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีการทำเฮดจ์แบบ P2P ที่ปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ crypto assets สามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง
"ตลาดสำหรับระบบซื้อขายแบบ P2P กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและตลาดของบรรดาเทรดเดอร์ในวันนี้มีความต้องการอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ลึกมากขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น แพลตฟอร์ม BQT(TM) Exchange นำเสนอแนวทางการเทรดที่ก้าวล้ำเพื่อให้บรรดาเทรดเดอร์สามารถทำการเฮดจ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการถือครอง crypto assets เพื่อที่จะทำการซื้อ crypto assets ของบรรดาเทรดเดอร์รายอื่นๆ เราเชื่อในความสามารถในการเจรจาการเทรดโดยตรง ขณะที่การจัดอันดับการเทรดของพวกเขาให้ประสบการณ์การซื้อขายที่น่าเชื่อถือมากที่สุด, ให้ผลกำไรอย่างงาม และมีความสามารถในการแข่งขัน" เอ็ดเวิร์ด ดับเบิลยู แมนเดล ซีอีโอของ BQT Technologies กล่าว
อินเทอร์เฟสที่ปลอดภัยและใช้งานง่ายจะทำให้เทรดเดอร์สามารถซื้อสกุลเงินดิจิทัลจากเทรดเดอร์รายอื่นภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยทางแพลตฟอร์มจะเป็นตัวกลางในการดูแลเงินดิจิทัลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เทรดเดอร์ยังคงเป็นเจ้าของเงินดิจิทัลนั้นอยู่
BQT(TM) เป็นมากกว่าช่องทางการเทรดทั่วไป เพราะมีเป้าหมายในการสร้างชุมชนเทรดเดอร์ รวมถึงบ่มเพาะวัฒนธรรมที่เทรดเดอร์สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตลอดจนประเมินการซื้อขายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน
ทีมงาน BQT(TM) ตั้งใจที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มไปทั่วโลก แต่ในเริ่มต้นจำเป็นต้องจำกัดการใช้งานแค่ในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศจนกว่าจะได้รับอนุญาต
โทเคน BQT(TM)
BQT Technologies, LTD เตรียมเสนอขายโทเคนต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ICO) ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยในเบื้องต้น โทเคน BQT จะใช้สำหรับชำระค่าทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมโทเคน แต่ในอนาคตจะสามารถใช้ชำระค่าผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ในชุมชน BQT(TM) มีความชำนาญมากขึ้น นอกจากนี้ BQT(TM) จะเชิญเทรดเดอร์และผู้ที่สนใจเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าร่วม Affiliate Program ของทางแพลตฟอร์มด้วย
เว็บไซต์: www.bqt.io
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนจำนวนมากกำลังพยายามค้นหาวิธีเพิ่มเติมในการจับคู่สกุลเงินดิจิทัล (crypto) และสกุลเงินจริง (fiat) ทีมงาน BQT เชื่อมั่นในการลดการพึ่งพาสกุลเงิน fiat ทั้งหมด ขณะที่ตลาดจำนวนมากรวมถึงตลาดชั้นนำในลีดเดอร์บอร์ด เช่น Binance ซึ่งเป็นเว็บเทรดก็ดำเนินการตามแนวโน้มดังกล่าวแล้วเช่นกัน สินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสหรือสกุลเงินดิจิทัล (crypto assets) ทุกชนิดมีมูลค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสอื่นๆ ทีมงาน BQT คิดว่าความต้องการสำหรับเทรดเดอร์ที่จะได้รับสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสมากขึ้นนั้น สามารถดำเนินการผ่านทางอุปทานจำนวนมากของการถือครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสต่างๆ ผ่านทางปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเจรจาโดยตรงโดยกลุ่มเทรดเดอร์ที่มีความเชี่ยวชาญได้
แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบ P2P ได้แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมากโดยใช้ Localbitcoins กันอย่างแพร่หลายท่ามกลางปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างๆ และเพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากการครอบครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัสต่างๆนี้ BQT(TM) จึงได้นำเสนอระบบ Hedge Trade ซึ่งเป็นการปฏิวัติระบบการค้าที่มีการทำเฮดจ์ โดยระบบ Hedge Trade ของ BQT(TM) เป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นในการซื้อสินทรัพย์ในระยะสั้นผ่านการถือครองสินทรัพย์ที่มีการเข้ารหัส (crypto assets) ที่มีอยู่ ซึ่งต่างจากการซื้อขายมาร์จิ้นและฟิวเจอร์ส
BQT(TM) ได้เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่รูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีการทำเฮดจ์แบบ P2P ที่ปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ crypto assets สามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง
"ตลาดสำหรับระบบซื้อขายแบบ P2P กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและตลาดของบรรดาเทรดเดอร์ในวันนี้มีความต้องการอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ลึกมากขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น แพลตฟอร์ม BQT(TM) Exchange นำเสนอแนวทางการเทรดที่ก้าวล้ำเพื่อให้บรรดาเทรดเดอร์สามารถทำการเฮดจ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการถือครอง crypto assets เพื่อที่จะทำการซื้อ crypto assets ของบรรดาเทรดเดอร์รายอื่นๆ เราเชื่อในความสามารถในการเจรจาการเทรดโดยตรง ขณะที่การจัดอันดับการเทรดของพวกเขาให้ประสบการณ์การซื้อขายที่น่าเชื่อถือมากที่สุด, ให้ผลกำไรอย่างงาม และมีความสามารถในการแข่งขัน" เอ็ดเวิร์ด ดับเบิลยู แมนเดล ซีอีโอของ BQT Technologies กล่าว
อินเทอร์เฟสที่ปลอดภัยและใช้งานง่ายจะทำให้เทรดเดอร์สามารถซื้อสกุลเงินดิจิทัลจากเทรดเดอร์รายอื่นภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยทางแพลตฟอร์มจะเป็นตัวกลางในการดูแลเงินดิจิทัลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เทรดเดอร์ยังคงเป็นเจ้าของเงินดิจิทัลนั้นอยู่
BQT(TM) เป็นมากกว่าช่องทางการเทรดทั่วไป เพราะมีเป้าหมายในการสร้างชุมชนเทรดเดอร์ รวมถึงบ่มเพาะวัฒนธรรมที่เทรดเดอร์สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตลอดจนประเมินการซื้อขายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน
ทีมงาน BQT(TM) ตั้งใจที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มไปทั่วโลก แต่ในเริ่มต้นจำเป็นต้องจำกัดการใช้งานแค่ในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศจนกว่าจะได้รับอนุญาต
โทเคน BQT(TM)
BQT Technologies, LTD เตรียมเสนอขายโทเคนต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ICO) ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยในเบื้องต้น โทเคน BQT จะใช้สำหรับชำระค่าทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมโทเคน แต่ในอนาคตจะสามารถใช้ชำระค่าผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ในชุมชน BQT(TM) มีความชำนาญมากขึ้น นอกจากนี้ BQT(TM) จะเชิญเทรดเดอร์และผู้ที่สนใจเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าร่วม Affiliate Program ของทางแพลตฟอร์มด้วย
เว็บไซต์: www.bqt.io
BQT(TM) P2P Crypto Hedge Exchange: Social and Short-term Hedge Trading
BQT Technologies, LTD. has recently announced the upcoming closed-Beta release of the BQT(TM) Crypto Exchange - a peer-to-peer (P2P) social and interactive exchange with innovative hedge trade capabilities. This unique method embraces the spirit of decentralization and community, eliciting the founding principles of blockchain and crypto assets trading.
As many blockchain experts are trying to find additional ways to marry crypto with fiat, BQT(TM) team believes in reducing the dependency on fiat altogether. And many exchanges, including top ones on the leaderboard such as Binance already following such trend. Every crypto asset has its own unique value and can be used as a negotiating tool to acquire another crypto asset. BQT team thinks the demand for the traders to obtain more crypto assets can be fulfilled through a significant supply of various crypto asset holdings through social interactions and direct negotiations by savvy trader peers.
P2P exchanges have shown a significant growth in popularity, with the widely used Localbitcoins witnessing continual volume spikes across various markets. To leverage various crypto asset holdings, BQT(TM) has introduced the revolutionary Hedge Trade system. Unlike margins and futures trading, the BQT(TM) Hedge Trade system is a flexible method to acquire assets in short term through escrow of existing crypto holdings.
BQT(TM) has chosen to focus its attention on secure P2P Hedge exchange model - allowing savvy crypto traders to interact with each other directly.
"The market for P2P exchanges is growing rapidly and market of today's traders truly demands even more flexibility and much deeper social interaction. BQT(TM) Exchange provides innovative trading approach allowing traders to hedge their crypto assets holdings to acquire crypto assets of other traders. We believe ability to negotiate trades directly, while rating their trades delivers upmost trustful, lucrative and competitive trading experience." - Edward W. Mandel, CEO
Secure, interactive and user-friendly interface enables traders to acquire crypto assets from other trader peers on a short-time basis providing escrow of their crypto assets as a security with certain period while still maintaining ownership of the escrow.
BQT(TM) is more than just an exchange; its aim is to build a community of traders and create a true culture of crypto traders that can learn from each other, rate their trades and share their experience.
BQT(TM) team is aimed to release Hedge Exchange globally but initially restricting access in United States and some other jurisdiction until proper compliance is met.
The BQT(TM) Token
BQT Technologies, LTD. is scheduled to launch its ICO in July. BQT(TM) Token (BQT) would be initially utilized for exchange fee transactions and token listing fees but in future platform releases BQT tokens could be used for educational tools and other products and services which could help the BQT(TM) community to become more savvy traders. BQT(TM) would be inviting its traders and blockchain enthusiasts to participate in its affiliate program.
Website: www.bqt.io
As many blockchain experts are trying to find additional ways to marry crypto with fiat, BQT(TM) team believes in reducing the dependency on fiat altogether. And many exchanges, including top ones on the leaderboard such as Binance already following such trend. Every crypto asset has its own unique value and can be used as a negotiating tool to acquire another crypto asset. BQT team thinks the demand for the traders to obtain more crypto assets can be fulfilled through a significant supply of various crypto asset holdings through social interactions and direct negotiations by savvy trader peers.
P2P exchanges have shown a significant growth in popularity, with the widely used Localbitcoins witnessing continual volume spikes across various markets. To leverage various crypto asset holdings, BQT(TM) has introduced the revolutionary Hedge Trade system. Unlike margins and futures trading, the BQT(TM) Hedge Trade system is a flexible method to acquire assets in short term through escrow of existing crypto holdings.
BQT(TM) has chosen to focus its attention on secure P2P Hedge exchange model - allowing savvy crypto traders to interact with each other directly.
"The market for P2P exchanges is growing rapidly and market of today's traders truly demands even more flexibility and much deeper social interaction. BQT(TM) Exchange provides innovative trading approach allowing traders to hedge their crypto assets holdings to acquire crypto assets of other traders. We believe ability to negotiate trades directly, while rating their trades delivers upmost trustful, lucrative and competitive trading experience." - Edward W. Mandel, CEO
Secure, interactive and user-friendly interface enables traders to acquire crypto assets from other trader peers on a short-time basis providing escrow of their crypto assets as a security with certain period while still maintaining ownership of the escrow.
BQT(TM) is more than just an exchange; its aim is to build a community of traders and create a true culture of crypto traders that can learn from each other, rate their trades and share their experience.
BQT(TM) team is aimed to release Hedge Exchange globally but initially restricting access in United States and some other jurisdiction until proper compliance is met.
The BQT(TM) Token
BQT Technologies, LTD. is scheduled to launch its ICO in July. BQT(TM) Token (BQT) would be initially utilized for exchange fee transactions and token listing fees but in future platform releases BQT tokens could be used for educational tools and other products and services which could help the BQT(TM) community to become more savvy traders. BQT(TM) would be inviting its traders and blockchain enthusiasts to participate in its affiliate program.
Website: www.bqt.io
ไพโอเนียร์ เปิดตัวเครื่องเล่นมัลติมีเดียระดับเรือธง รุ่น AVH-Z9150BT ที่มาพร้อมการเชื่อมต่อความบันเทิงแบบไร้สาย
มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง Wireless Mirroring ที่สามารถทำงานร่วมกับโทรศัพท์ Android ได้หลากหลายรุ่นที่รองรับ
ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ เอเชียเซ็นเตอร์ (Pioneer Electronics AsiaCentre) ผู้นำด้านเครื่องเสียงติดรถยนต์ ได้ประกาศเปิดตัวเครื่องเล่นมัลติมีเดีย รุ่น AVH-Z9150BT โดดเด่นด้วยระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบบิวท์อิน ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างสมาร์ทโฟนกับตัวเครื่องเล่นมัลติมีเดีย โดย AVH-Z9150BT จะเข้ามายกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในรถยนต์ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเป็นเครื่องเสียงตัวแรกของไพโอเนียร์ที่รองรับระบบ Apple CarPlay(TM) ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สายและใช้สาย USB รวมทั้ง Wi-Fi Certified Miracast ซึ่งเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wireless Mirroring ร่วมกับสมาร์ทโฟน Android ได้หลากหลายรุ่น
มร.ทากาโอะ ชิบะ รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนธุรกิจและการตลาด บริษัท ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ เอเชียเซ็นเตอร์ กล่าวว่า "ทุกๆ ปี บรรดาผู้ผลิตสินค้าต่างๆ จะเปิดตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีทางเลือกในการเชื่อมต่อที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วโลกจึงคาดหวังว่า ระบบความบันเทิงในรถยนต์ของตนเองนั้น จะมีความทันสมัยและก้าวทันฟีเจอร์ใหม่ๆ ในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการเชื่อมต่อด้วยบูลธูท หรือ Wi-Fi ที่ให้ความอิสระ ดังนั้น เราจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นแนวหน้าตัวใหม่เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์ความบันเทิงภายในยานยนต์ ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ราบรื่น ไม่มีสะดุด พร้อมจัดเต็มฟีเจอร์เด็ดๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ไพโอเนียร์"
รองรับ APPLE CARPLAY
AVH-Z9150BT สามารถทำงานร่วมกับ Apple CarPlay และรองรับการเชื่อมต่อกับ iPhone ทั้งแบบไร้สายหรือใช้สาย USB ทั้งนี้ Apple CarPlay เป็นระบบที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สนุกไปกับการใช้ iPhone บนรถยนต์
หน้าจอแสดงผล ขณะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Android
นอกจากรองรับการใช้งาน Apple CarPlay แล้ว AVH-Z9150BT ยังมาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบบิวท์อิน ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้โทรศัพท์ Android ได้หลากหลายรุ่น เพื่อเพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยีแบบไร้สายได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล และด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi Certified Miracast ผู้ขับขี่จึงสามารถสตรีมภาพจากจอสมาร์ทโฟน Android ไปยังหน้าจอทัชสกรีนของไพโอเนียร์ พร้อมให้ผู้ขับขี่ได้เต็มอิ่มไปกับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการดูแผนที่ ส่งข้อความ หรือเล่นเพลงต่างๆ ผ่านหน้าจอแสดงผลของ AVH-Z9150BT โดยไม่ต้องใช้ปลั๊กหรือสายเชื่อมต่อให้เกะกะแต่อย่างใด
การเชื่อมต่อแบบจัดเต็ม พร้อมการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ระดับพรีเมียม
ปีนี้ ไพโอเนียร์ได้อัปเกรด AVH-Z9150BT ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการยกระดับฮาร์ดแวร์และการเชื่อมต่อผ่านสาย เพื่อเติมเต็มฟีเจอร์การเชื่อมต่อไร้สายให้สมบูรณ์แบบ เครื่องเล่นรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับจอสัมผัสแบบ Capacitive ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ให้รูปลักษณ์และความรู้สึกเทียบชั้นหน้าจอระดับพรีเมียมของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระดับเรือธง ซึ่งเมื่อเทียบกับหน้าจอแบบ Resistive ของเครื่องเล่นรุ่นก่อนหน้าแล้ว จอสัมผัสแบบ Capacitive ของรุ่น AVH-Z9150BT นั้น ให้ภาพที่สว่างและคมชัดยิ่งกว่า ตอบสนองการสัมผัสได้ไวยิ่งขึ้น รองรับระบบมัลติทัช และยังใช้งานง่ายกว่าที่เคย ด้วย Graphical User Interface แบบใหม่
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่และครอบครัวยังจะได้เพลิดเพลินไปกับฟังก์ชั่น Dual Zone ในเครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ฟีเจอร์อันแสนสะดวกสบายนี้ ทำให้ผู้ขับขี่เปิดฟังเสียงได้จากสองแหล่งพร้อมกัน ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อพ่อแม่เปิดโปรแกรมนำทางหรือฟังพอดแคสต์บนเครื่อง ลูกๆ ที่นั่งอยู่เบาะหลังก็สามารถเล่นเพลงที่ตนชอบได้โดยไม่ต้องรบกวนหรือกวนใจกัน
ความบันเทิงเพื่ออนาคต แต่ยังครบครันด้วยฟีเจอร์ยอดนิยมในเครื่องเล่นรุ่นก่อนๆ
เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีไร้สายที่ล้ำสมัยที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ไพโอเนียร์ก็ยังคงใส่ใจกับคุณสมบัติที่ได้รับความนิยม เช่นเดียวกับฟีเจอร์ที่โดนใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้มาแล้วในเครื่องเล่นรุ่นก่อนๆ ด้วยเหตุนี้ AVH-Z9150BT จึงมาพร้อมกับช่องเสียบการ์ด SD รองรับความจุสูงสุด 32GB ทั้งยังประกอบด้วยพอร์ต HDMI และพอร์ต USB สองช่อง พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วสำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ยังมีพอร์ตสำหรับเสียบสาย AUX อุปกรณ์ต่อพ่วง RGB และไมโครโฟน นอกจากนี้ยังรองรับกล้องถอยหลังและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ยังคงผลิตขึ้นด้วยชิ้นส่วนพรีเมียม ระดับออดิโอไฟล์ที่ผ่านการปรับจูนมาอย่างเชี่ยวชาญ ตลอดจนเครื่องมือปรับเทียบเสียงและซอฟต์แวร์อันทรงพลัง เช่นเดียวกับที่ใช้ในเครื่องเล่นเรือธงทุกรุ่น ส่วนแพลตฟอร์ม Infotainment อันเลื่องชื่อของไพโอเนียร์ อย่าง AppRadio Mode+ ก็ถูกติดตั้งมาในเครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT เช่นกัน ส่งผลให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ทั้งระบบ iOS และ Android สามารถควบคุมแอปต่างๆ ในรถได้โดยตรงจากจอสัมผัสของตัวเครื่อง รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.appradiomode.com
ด้วยการรองรับระบบ Apple CarPlay ทั้งแบบต่อสายและไร้สาย ประกอบกับฟังก์ชั่นสตรีมภาพไร้สายสำหรับอุปกรณ์ Android หลากหลายรุ่น รวมไปถึงออปชั่นการเชื่อมต่อแบบใช้สายที่มีให้เลือกมากมายทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ ผู้ขับขี่จึงมั่นใจได้ว่า เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ของไพโอเนียร์ จะตอบโจทย์ความต้องการด้านสาระบันเทิงได้อย่างสะดวกและราบรื่น
เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT วางจำหน่ายแล้ว ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของไพโอเนียร์ ทั้งนี้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ กรุณาติดต่อสำนักงานไพโอเนียร์ในประเทศของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม
ดาวน์โหลดภาพผลิตภัณฑ์ความละเอียดสูงได้ที่
https://www.dropbox.com/sh/qcs30vpgi5zkgi4/AADrjwaoq7mwfr4CRAAi5w5Za?dl=0
สำหรับข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ สามารถดูได้ที่เพจเฟซบุ๊กของ Pioneer Car Entertainment ทาง www.facebook.com/PioneerCarEntertainment/
หมายเหตุเพิ่มเติม:
1. ห้ามใช้ระบบเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงไพโอเนียร์ขณะขับรถ อันเป็นเหตุทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระหว่างการขับขี่ ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด การใช้อุปกรณ์ขณะขับรถอาจผิดกฎหมายในบางประเทศ และผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
2. เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงของไพโอเนียร์ใช้ได้กับสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android บางรุ่นเท่านั้น
3. Apple CarPlay ใช้งานได้กับสมาร์ทโฟน Apple iPhone 5 หรือรุ่นที่สูงกว่า ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่น iOS 7.1 ขึ้นไป และต้องใช้สาย Lightning to USB Cable ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่ายในประเทศของท่าน ได้ที่ https://www.apple.com/sg/ios/carplay/
4. การใช้งานร่วมกับ AppRadio Mode +, AppRadioLIVE และแอปพลิเคชั่นอื่นๆ นั้น แตกต่างกันไปตามรุ่นโทรศัพท์ iPhone หรือ Android และเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์
5. Wi-Fi Certified Miracast ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่รองรับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.wi-fi.org/discover-wi-fi/miracast
6. สามารถเล่นวิดีโอบน Miracast ได้เมื่อรถจอดนิ่งอยู่ และเมื่อมีการดึงเบรกมือ
7. ฟังก์ชั่น Bluetooth(R) ใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
8. คุณสมบัติของ Bluetooth อาจใช้งานกับอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ไม่ได้ และ/หรือ คุณสมบัติดังกล่าวอาจใช้งานได้กับอุปกรณ์บางรุ่น หรือผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายบางรายเท่านั้น
9. AppRadio LIVE ใช้งานได้กับเครื่องเล่นมัลติมีเดียที่รองรับ Pioneer AppRadio Mode ซึ่งรุ่นของเครื่องเล่นที่รองรับนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ
10. ไพโอเนียร์ไม่รับประกันว่า ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ USB ทุกประเภท และไม่รับผิดชอบต่อกรณีที่ข้อมูลในเครื่องเล่น สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ สูญหาย อันเนื่องมาจากการใช้เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง
11. FLAC Codec รองรับไฟล์ที่จัดเก็บใน USB thumb drive
12. การเล่นไฟล์แบบ Full-HD สำหรับอุปกรณ์ USB นั้น ไม่สามารถใช้ได้กับ codec บางตัว
13. สามารถเข้าใช้งาน Apple CarPlay ผ่านทางสาย iPhone ของผู้ใช้ หรือผ่านทางสายเคเบิล CD-IU52 ของไพโอเนียร์ อุปกรณ์ USB Type-C อาจต้องใช้ร่วมกับอแดปเตอร์หรือสายเคเบิลที่ได้รับการรับรองจาก Google
14. หมายเหตุเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน Android ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงไพโอเนียร์ด้วย USB Type-C(TM) – สำหรับเครื่องเสียงและเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ซึ่งเชื่อมการเล่นมีเดียจาก Android และควบคุมผ่าน AOA และ/หรือ MTP นั้น แนะนำให้เครื่องเสียงหรือเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ต่อตรงกับโทรศัพท์โดยใช้ CD-CU50 หรือสาย USB Type-A to USB Type-C(TM) ที่ผ่านการรับรองเท่านั้น (ไม่ควรยาวเกิน 1 เมตร) สำหรับเครื่องเสียง AV ต่อกับ Android Auto แนะนำให้เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ต่อตรงเข้ากับโทรศัพท์โดยใช้สาย USB เสริมซึ่งทางไพโอเนียร์จัดเตรียมไว้ให้ คู่กับ CD-CU50 หรือเฉพาะ CD-CU50 หรือสาย USB Type-A to USB Type-C(TM) ที่ผ่านการรับรอง (ไม่ควรยาวเกิน 1 เมตร) บางกรณีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ไพโอเนียร์และโทรศัพท์โดยใช้สาย USB Type-C(TM) รุ่นธรรมดาอาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์
15. Android และ Android Auto เป็นเครื่องหมายการค้าของ Google Inc.
16. Android Auto ใช้งานได้กับโทรศัพท์ Android เวอร์ชั่น 5.0 (Lollipop) ขึ้นไป โดยใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต การให้บริการ Android Auto อาจแตกต่างกันไปตามประเทศและรุ่นโทรศัพท์ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.android.com/auto
17. AppRadioLIVE, AppRadio, PIONEER และ MIXTRAX เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Pioneer Corporation
18. Apple, iPod, iPhone, Siri, CarPlay และโลโก้ CarPlay เป็นเครื่องหมายการค้าของ Apple Inc. ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
19. โลโก้ Wi-Fi CERTIFIED, Wi-Fi CERTIFIED Miracast และ Miracast เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Wi-Fi Alliance
20. BLUETOOTH เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Bluetooth SIG, Inc.
21. SPOTIFY และโลโก้ Spotify เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Spotify AB รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์โมบายดิจัทัล และต้องสมัครเป็นสมาชิกแบบพรีเมียม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.spotify.com
22. แบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือโลโก้อื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของผู้เป็นเจ้าของ
เกี่ยวกับ Pioneer Electronics AsiaCentre (PAC) Pte. Ltd.
Pioneer Electronics AsiaCentre (PAC) Pte. Ltd. เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของ ไพโอเนียร์ คอร์ปอเรชั่น มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 ธุรกิจหลักของไพโอเนียร์ได้แก่ระบบภาพและเสียงภายในรถ ไพโอเนียร์มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตและซัพพลายเออร์หลังการขายชั้นแนวหน้าซึ่งให้บริการแก่ค่ายรถยนต์ชั้นนำ พร้อมนำเสนอโซลูชั่นสาระบันเทิงภายในรถอย่างครบวงจร ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ยุคใหม่ เช่นเดียวกับบริการคลาวด์อันล้ำสมัยสำหรับตลาดรถยนต์ที่มีการเชื่อมต่ออย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pioneer.com.sg
ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ เอเชียเซ็นเตอร์ (Pioneer Electronics AsiaCentre) ผู้นำด้านเครื่องเสียงติดรถยนต์ ได้ประกาศเปิดตัวเครื่องเล่นมัลติมีเดีย รุ่น AVH-Z9150BT โดดเด่นด้วยระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบบิวท์อิน ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างสมาร์ทโฟนกับตัวเครื่องเล่นมัลติมีเดีย โดย AVH-Z9150BT จะเข้ามายกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในรถยนต์ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเป็นเครื่องเสียงตัวแรกของไพโอเนียร์ที่รองรับระบบ Apple CarPlay(TM) ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สายและใช้สาย USB รวมทั้ง Wi-Fi Certified Miracast ซึ่งเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wireless Mirroring ร่วมกับสมาร์ทโฟน Android ได้หลากหลายรุ่น
มร.ทากาโอะ ชิบะ รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนธุรกิจและการตลาด บริษัท ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ เอเชียเซ็นเตอร์ กล่าวว่า "ทุกๆ ปี บรรดาผู้ผลิตสินค้าต่างๆ จะเปิดตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีทางเลือกในการเชื่อมต่อที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วโลกจึงคาดหวังว่า ระบบความบันเทิงในรถยนต์ของตนเองนั้น จะมีความทันสมัยและก้าวทันฟีเจอร์ใหม่ๆ ในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการเชื่อมต่อด้วยบูลธูท หรือ Wi-Fi ที่ให้ความอิสระ ดังนั้น เราจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นแนวหน้าตัวใหม่เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์ความบันเทิงภายในยานยนต์ ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ราบรื่น ไม่มีสะดุด พร้อมจัดเต็มฟีเจอร์เด็ดๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ไพโอเนียร์"
รองรับ APPLE CARPLAY
AVH-Z9150BT สามารถทำงานร่วมกับ Apple CarPlay และรองรับการเชื่อมต่อกับ iPhone ทั้งแบบไร้สายหรือใช้สาย USB ทั้งนี้ Apple CarPlay เป็นระบบที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สนุกไปกับการใช้ iPhone บนรถยนต์
หน้าจอแสดงผล ขณะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Android
นอกจากรองรับการใช้งาน Apple CarPlay แล้ว AVH-Z9150BT ยังมาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบบิวท์อิน ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้โทรศัพท์ Android ได้หลากหลายรุ่น เพื่อเพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยีแบบไร้สายได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล และด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi Certified Miracast ผู้ขับขี่จึงสามารถสตรีมภาพจากจอสมาร์ทโฟน Android ไปยังหน้าจอทัชสกรีนของไพโอเนียร์ พร้อมให้ผู้ขับขี่ได้เต็มอิ่มไปกับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการดูแผนที่ ส่งข้อความ หรือเล่นเพลงต่างๆ ผ่านหน้าจอแสดงผลของ AVH-Z9150BT โดยไม่ต้องใช้ปลั๊กหรือสายเชื่อมต่อให้เกะกะแต่อย่างใด
การเชื่อมต่อแบบจัดเต็ม พร้อมการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ระดับพรีเมียม
ปีนี้ ไพโอเนียร์ได้อัปเกรด AVH-Z9150BT ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการยกระดับฮาร์ดแวร์และการเชื่อมต่อผ่านสาย เพื่อเติมเต็มฟีเจอร์การเชื่อมต่อไร้สายให้สมบูรณ์แบบ เครื่องเล่นรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับจอสัมผัสแบบ Capacitive ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ให้รูปลักษณ์และความรู้สึกเทียบชั้นหน้าจอระดับพรีเมียมของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระดับเรือธง ซึ่งเมื่อเทียบกับหน้าจอแบบ Resistive ของเครื่องเล่นรุ่นก่อนหน้าแล้ว จอสัมผัสแบบ Capacitive ของรุ่น AVH-Z9150BT นั้น ให้ภาพที่สว่างและคมชัดยิ่งกว่า ตอบสนองการสัมผัสได้ไวยิ่งขึ้น รองรับระบบมัลติทัช และยังใช้งานง่ายกว่าที่เคย ด้วย Graphical User Interface แบบใหม่
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่และครอบครัวยังจะได้เพลิดเพลินไปกับฟังก์ชั่น Dual Zone ในเครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ฟีเจอร์อันแสนสะดวกสบายนี้ ทำให้ผู้ขับขี่เปิดฟังเสียงได้จากสองแหล่งพร้อมกัน ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อพ่อแม่เปิดโปรแกรมนำทางหรือฟังพอดแคสต์บนเครื่อง ลูกๆ ที่นั่งอยู่เบาะหลังก็สามารถเล่นเพลงที่ตนชอบได้โดยไม่ต้องรบกวนหรือกวนใจกัน
ความบันเทิงเพื่ออนาคต แต่ยังครบครันด้วยฟีเจอร์ยอดนิยมในเครื่องเล่นรุ่นก่อนๆ
เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีไร้สายที่ล้ำสมัยที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ไพโอเนียร์ก็ยังคงใส่ใจกับคุณสมบัติที่ได้รับความนิยม เช่นเดียวกับฟีเจอร์ที่โดนใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้มาแล้วในเครื่องเล่นรุ่นก่อนๆ ด้วยเหตุนี้ AVH-Z9150BT จึงมาพร้อมกับช่องเสียบการ์ด SD รองรับความจุสูงสุด 32GB ทั้งยังประกอบด้วยพอร์ต HDMI และพอร์ต USB สองช่อง พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วสำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ยังมีพอร์ตสำหรับเสียบสาย AUX อุปกรณ์ต่อพ่วง RGB และไมโครโฟน นอกจากนี้ยังรองรับกล้องถอยหลังและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ยังคงผลิตขึ้นด้วยชิ้นส่วนพรีเมียม ระดับออดิโอไฟล์ที่ผ่านการปรับจูนมาอย่างเชี่ยวชาญ ตลอดจนเครื่องมือปรับเทียบเสียงและซอฟต์แวร์อันทรงพลัง เช่นเดียวกับที่ใช้ในเครื่องเล่นเรือธงทุกรุ่น ส่วนแพลตฟอร์ม Infotainment อันเลื่องชื่อของไพโอเนียร์ อย่าง AppRadio Mode+ ก็ถูกติดตั้งมาในเครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT เช่นกัน ส่งผลให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ทั้งระบบ iOS และ Android สามารถควบคุมแอปต่างๆ ในรถได้โดยตรงจากจอสัมผัสของตัวเครื่อง รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.appradiomode.com
ด้วยการรองรับระบบ Apple CarPlay ทั้งแบบต่อสายและไร้สาย ประกอบกับฟังก์ชั่นสตรีมภาพไร้สายสำหรับอุปกรณ์ Android หลากหลายรุ่น รวมไปถึงออปชั่นการเชื่อมต่อแบบใช้สายที่มีให้เลือกมากมายทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ ผู้ขับขี่จึงมั่นใจได้ว่า เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT ของไพโอเนียร์ จะตอบโจทย์ความต้องการด้านสาระบันเทิงได้อย่างสะดวกและราบรื่น
เครื่องเล่นรุ่น AVH-Z9150BT วางจำหน่ายแล้ว ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของไพโอเนียร์ ทั้งนี้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ กรุณาติดต่อสำนักงานไพโอเนียร์ในประเทศของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม
ดาวน์โหลดภาพผลิตภัณฑ์ความละเอียดสูงได้ที่
https://www.dropbox.com/sh/qcs30vpgi5zkgi4/AADrjwaoq7mwfr4CRAAi5w5Za?dl=0
สำหรับข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ สามารถดูได้ที่เพจเฟซบุ๊กของ Pioneer Car Entertainment ทาง www.facebook.com/PioneerCarEntertainment/
หมายเหตุเพิ่มเติม:
1. ห้ามใช้ระบบเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงไพโอเนียร์ขณะขับรถ อันเป็นเหตุทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระหว่างการขับขี่ ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด การใช้อุปกรณ์ขณะขับรถอาจผิดกฎหมายในบางประเทศ และผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
2. เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงของไพโอเนียร์ใช้ได้กับสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android บางรุ่นเท่านั้น
3. Apple CarPlay ใช้งานได้กับสมาร์ทโฟน Apple iPhone 5 หรือรุ่นที่สูงกว่า ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่น iOS 7.1 ขึ้นไป และต้องใช้สาย Lightning to USB Cable ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่ายในประเทศของท่าน ได้ที่ https://www.apple.com/sg/ios/carplay/
4. การใช้งานร่วมกับ AppRadio Mode +, AppRadioLIVE และแอปพลิเคชั่นอื่นๆ นั้น แตกต่างกันไปตามรุ่นโทรศัพท์ iPhone หรือ Android และเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์
5. Wi-Fi Certified Miracast ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่รองรับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.wi-fi.org/discover-wi-fi/miracast
6. สามารถเล่นวิดีโอบน Miracast ได้เมื่อรถจอดนิ่งอยู่ และเมื่อมีการดึงเบรกมือ
7. ฟังก์ชั่น Bluetooth(R) ใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
8. คุณสมบัติของ Bluetooth อาจใช้งานกับอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ไม่ได้ และ/หรือ คุณสมบัติดังกล่าวอาจใช้งานได้กับอุปกรณ์บางรุ่น หรือผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายบางรายเท่านั้น
9. AppRadio LIVE ใช้งานได้กับเครื่องเล่นมัลติมีเดียที่รองรับ Pioneer AppRadio Mode ซึ่งรุ่นของเครื่องเล่นที่รองรับนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ
10. ไพโอเนียร์ไม่รับประกันว่า ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ USB ทุกประเภท และไม่รับผิดชอบต่อกรณีที่ข้อมูลในเครื่องเล่น สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ สูญหาย อันเนื่องมาจากการใช้เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง
11. FLAC Codec รองรับไฟล์ที่จัดเก็บใน USB thumb drive
12. การเล่นไฟล์แบบ Full-HD สำหรับอุปกรณ์ USB นั้น ไม่สามารถใช้ได้กับ codec บางตัว
13. สามารถเข้าใช้งาน Apple CarPlay ผ่านทางสาย iPhone ของผู้ใช้ หรือผ่านทางสายเคเบิล CD-IU52 ของไพโอเนียร์ อุปกรณ์ USB Type-C อาจต้องใช้ร่วมกับอแดปเตอร์หรือสายเคเบิลที่ได้รับการรับรองจาก Google
14. หมายเหตุเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน Android ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียงไพโอเนียร์ด้วย USB Type-C(TM) – สำหรับเครื่องเสียงและเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ซึ่งเชื่อมการเล่นมีเดียจาก Android และควบคุมผ่าน AOA และ/หรือ MTP นั้น แนะนำให้เครื่องเสียงหรือเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ต่อตรงกับโทรศัพท์โดยใช้ CD-CU50 หรือสาย USB Type-A to USB Type-C(TM) ที่ผ่านการรับรองเท่านั้น (ไม่ควรยาวเกิน 1 เมตร) สำหรับเครื่องเสียง AV ต่อกับ Android Auto แนะนำให้เครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ต่อตรงเข้ากับโทรศัพท์โดยใช้สาย USB เสริมซึ่งทางไพโอเนียร์จัดเตรียมไว้ให้ คู่กับ CD-CU50 หรือเฉพาะ CD-CU50 หรือสาย USB Type-A to USB Type-C(TM) ที่ผ่านการรับรอง (ไม่ควรยาวเกิน 1 เมตร) บางกรณีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องเล่นมัลติมีเดียภาพและเสียง ไพโอเนียร์และโทรศัพท์โดยใช้สาย USB Type-C(TM) รุ่นธรรมดาอาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์
15. Android และ Android Auto เป็นเครื่องหมายการค้าของ Google Inc.
16. Android Auto ใช้งานได้กับโทรศัพท์ Android เวอร์ชั่น 5.0 (Lollipop) ขึ้นไป โดยใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต การให้บริการ Android Auto อาจแตกต่างกันไปตามประเทศและรุ่นโทรศัพท์ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.android.com/auto
17. AppRadioLIVE, AppRadio, PIONEER และ MIXTRAX เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Pioneer Corporation
18. Apple, iPod, iPhone, Siri, CarPlay และโลโก้ CarPlay เป็นเครื่องหมายการค้าของ Apple Inc. ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
19. โลโก้ Wi-Fi CERTIFIED, Wi-Fi CERTIFIED Miracast และ Miracast เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Wi-Fi Alliance
20. BLUETOOTH เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Bluetooth SIG, Inc.
21. SPOTIFY และโลโก้ Spotify เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Spotify AB รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์โมบายดิจัทัล และต้องสมัครเป็นสมาชิกแบบพรีเมียม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.spotify.com
22. แบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือโลโก้อื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของผู้เป็นเจ้าของ
เกี่ยวกับ Pioneer Electronics AsiaCentre (PAC) Pte. Ltd.
Pioneer Electronics AsiaCentre (PAC) Pte. Ltd. เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของ ไพโอเนียร์ คอร์ปอเรชั่น มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 ธุรกิจหลักของไพโอเนียร์ได้แก่ระบบภาพและเสียงภายในรถ ไพโอเนียร์มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตและซัพพลายเออร์หลังการขายชั้นแนวหน้าซึ่งให้บริการแก่ค่ายรถยนต์ชั้นนำ พร้อมนำเสนอโซลูชั่นสาระบันเทิงภายในรถอย่างครบวงจร ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ยุคใหม่ เช่นเดียวกับบริการคลาวด์อันล้ำสมัยสำหรับตลาดรถยนต์ที่มีการเชื่อมต่ออย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pioneer.com.sg
Subscribe to:
Posts (Atom)