Tuesday, November 30, 2021

CGTN: มิตรภาพจีน-แอฟริกางอกงามต่อเนื่อง ชูความร่วมมือด้านวัคซีน การค้า พลังงานหมุนเวียน

       มิตรภาพจีน-แอฟริกา คาดว่าจะงอกงามอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการกระชับความร่วมมือกันเพิ่มเติมในหลากหลายด้าน หลังจากการประชุมความร่วมมือจีน-แอฟริกา (FOCAC) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กล่าวปราศรัยในพิธีเปิดการประชุมผ่านลิงก์วิดีโอเมื่อวันจันทร์ (29 พ.ย.) โดยประกาศว่าจีนจะมอบวัคซีนโควิด-19 ให้แก่แอฟริกาอีก 1,000 ล้านโดส พร้อมดำเนินโครงการบรรเทาความยากจนและโครงการการเกษตร 10 โครงการ ตลอดจนดำเนินโครงการร่วมกับแอฟริกาเพิ่มเติมในหลากหลายด้าน

นายสี จิ้นผิง บรรยายอย่างละเอียดถึงเคล็ดลับมิตรภาพระหว่างจีน-แอฟริกา ตลอดจนกำหนดทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต โดยเน้นย้ำถึงความสามัคคีกันต้านโรคระบาด การกระชับความร่วมมือในภาคปฏิบัติ การผลักดันการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการปกป้องความถูกต้องเป็นธรรม

ความร่วมมือต้านโควิด-19

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า "เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสหภาพแอฟริกาในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชากรในทวีปแอฟริกาให้ได้ 60% ภายในปี 2565 จีนจะมอบวัคซีนอีก 1,000 ล้านโดสให้แก่แอฟริกา โดย 600 ล้านโดสในจำนวนนี้เป็นวัคซีนบริจาคให้ฟรี"

ในช่วงเวลาหนักหนาที่สุดที่จีนต้องต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกาและองค์กรระดับภูมิภาค เช่น สหภาพแอฟริกา ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่ประเทศจีน ดังนั้น หลังโควิด-19 ระบาดในแอฟริกา จีนจึงจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้ 50 ประเทศในแอฟริกาและคณะกรรมาธิการสหภาพแอฟริกา

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า "จีนจะไม่มีวันลืมมิตรภาพอันลึกซึ้งของประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา" พร้อมกับเสริมว่าจีนจะดำเนินโครงการทางการแพทย์และสาธารณสุข 10 โครงการสำหรับประเทศในแอฟริกา รวมถึงส่งทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจำนวน 1,500 คนไปปฏิบัติงานในทวีปแอฟริกา

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ อาคารหลักของสำนักงานใหญ่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกาที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจีนนั้น ได้ก่อสร้างโครงสร้างอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ความร่วมมือภาคปฏิบัติในหลากหลายด้าน

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะทำงานร่วมกับแอฟริกาในการขยายการค้าและการลงทุน แบ่งปันประสบการณ์ด้านการบรรเทาความยากจน รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานหมุนเวียน

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร 500 คนไปยังแอฟริกา รวมทั้งทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกาอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินการ 9 โครงการหลักในด้านสาธารณสุข การบรรเทาความยากจน การค้า การลงทุน นวัตกรรมดิจิทัล การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขีดความสามารถ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และความมั่นคง

ข้อมูลจากสมุดปกขาวในหัวข้อ "จีนกับแอฟริกาในยุคใหม่: พันธมิตรที่เท่าเทียมกัน" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (26 พ.ย.) ระบุว่า นับตั้งแต่มีการประชุมความร่วมมือจีน-แอฟริกา บรรดาบริษัทจีนได้ใช้เงินทุนมากมายเพื่อช่วยสนับสนุนประเทศในแอฟริกาในการสร้างและปรับปรุงทางรถไฟความยาวรวมกว่า 10,000 กิโลเมตร, ทางหลวงยาวเกือบ 100,000 กิโลเมตร, สะพานเกือบ 1,000 แห่ง, ท่าเรือเกือบ 100 แห่ง รวมถึงเครือข่ายสายส่งและกระจายไฟฟ้า 66,000 กิโลเมตร

การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-แอฟริกา

ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 65 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-แอฟริกา

ปธน.สี จิ้นผิง ได้กล่าวสดุดีจิตวิญญาณแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างจีน-แอฟริกา ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน และถือเป็นบ่อเกิดแห่งความเข้มแข็งเพื่อกระชับสัมพันธ์จีน-แอฟริกาสืบไป

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา จีนและแอฟริกาได้สร้างความผูกพันฉันพี่น้องที่มิอาจถูกทำลายได้ จากการร่วมกันต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม รวมถึงเดินหน้าบนหนทางแห่งความร่วมมือที่ชัดเจนไปสู่การพัฒนาและฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรือง

"เราได้ร่วมกันเขียนเรื่องราวอันรุ่งโรจน์บทใหม่ของการให้ความช่วยเหลือกันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซ้อน และได้สร้างแบบอย่างที่โดดเด่นสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในรูปแบบใหม่" ปธน.สี จิ้นผิง กล่าว

ปธน.สี จิ้นผิง ได้กำหนดหลักการสำคัญของนโยบายเกี่ยวกับแอฟริกาของจีน ซึ่งประกอบด้วยความจริงใจ ผลลัพธ์ที่แท้จริง ไมตรีจิต และสุจริตใจ ตลอดจนการทำเพื่อส่วนรวมและประโยชน์ร่วมกัน

ทั้งนี้ การประชุมความร่วมมือจีน-แอฟริกา (FOCAC) เป็นโครงการริเริ่มร่วมกันของประเทศจีนและประเทศในแอฟริกา โดยเริ่มการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งแรก ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อเดือนตุลาคม 2543 โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดจากโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนแสวงหาการพัฒนาร่วมกัน

ปัจจุบัน FOCAC มีสมาชิก 55 ราย ประกอบด้วยจีน กับ 53 ประเทศในแอฟริกาที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และคณะกรรมาธิการสหภาพแอฟริกา

https://news.cgtn.com/news/2021-11-29/Xi-addresses-opening-ceremony-of-8th-FOCAC-ministerial-conference-15At0m8AIOk/index.html

Unify Platform AG Launches New Feature on UNIPLAT: Credit Rating of Researchers and Entrepreneurs

 

  • Credit Rating Helps Researchers and Entrepreneurs to Visualize Their Credibility -

Unify Platform AG of Switzerland, with its Japan Hub in Shin-Yokohama, Kanagawa Prefecture, announced on November 30 the launch of a new feature on the company's online platform service, UNIPLAT. The new feature is Credit Rating: an automatic performance rating of each researcher and entrepreneur on UNIPLAT, evaluated from various perspectives using AI. The evaluation result is displayed as credit scores. If the scores are high, the relevant researcher's capability and credibility are also considered high. This Credit Rating will be available on the platform from December 23.

UNIPLAT's Logo: https://kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M106816/202111253912/_prw_PI2fl_8snI645r.jpg

Score Display on Researcher and Entrepreneur's "My Lab" Page
(Image from the Development Site): https://kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M106816/202111253912/_prw_PI1fl_TF48NE3I.jpg

The credit scores of a researcher or entrepreneur can be viewed on their "My Lab" page (a one-stop page that contains their profile, result of research, and other information. My Lab will be launched at the same time as Credit Rating). The scores are set to be visible to the public. So, general users -- individuals, companies, or research institutions -- can check the researcher or entrepreneur's capability and credibility to ascertain their choice of support or research collaboration. Talking from the researcher and entrepreneur's side, this feature could open the door to many benefits such as offers and grants from companies and institutions.

Currently, the aspects scored by Credit Rating's AI are:

  1. Number of likes of each content (live streaming, videos, and documents)
  2. Number of each content's views
  3. Number of connections (primary nodes)
    The scoring aspects and formulas are subject to refinement in a once-a-year credit rating evaluation committee meeting, following changes in global academic circumstances.

About UNIPLAT
UNIPLAT is an open platform specifically designed to help entrepreneurial researchers who promote all academic fields and projects related to the SDGs advocated by the United Nations around the world to obtain more exposure and connect with supporters who want to contribute to the improvement of global research. UNIPLAT offers a novel way for entrepreneurial researchers to publish their research and get support and funding from all over the world (companies, institutions, foundations, etc.) in an equal-opportunity environment.
UNIPLAT is developed and managed by Unify Platform AG, a start-up company based in Zug, Switzerland, and Stockholm, Sweden, with Japan Hub in Shin-Yokohama, Kanagawa.

Company Website: https://unify21.com

UNIPLAT Front Page: https://uniplat.social/

SDGs:
(Poster: https://kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M106816/202111253912/_prw_PI3fl_46QoqK7h.jpg)

The Sustainable Development Goals (SDGs) are international goals for a sustainable and better world written in the 2030 Agenda for Sustainable Development, adopted at the United Nations Summit in September 2015. The SDGs, consisting of 17 goals and 169 targets, are based on the philosophy of "Leave no one behind" on earth.

Source: Unify Platform AG

Doo Financial บริษัทในเครือของ Doo Group เข้าซื้อกิจการการให้คำปรึกษาและจัดการกองทุนในออสเตรเลีย

       Doo Financial บริษัทในเครือ Doo Group ได้ดำเนินการตามแผนการเป็นผู้ให้บริการการเงินและการลงทุนระดับโลก ด้วยการบรรลุภารกิจการเข้าซื้อกิจการ Kinsmen Securities Limited ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Doo Financial Australia Limited และได้รับใบอนุญาตบริการทางการเงินของออสเตรเลียที่ควบคุมโดย Australian Securities & Investments Commission ในการให้บริการด้านการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อหรือหุ้นนอกตลาด

Kinsmen Group ได้พัฒนาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จไปสู่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการจัดการกองทุนและการลงทุน และได้รับใบอนุญาตบริการทางการเงินของออสเตรเลีย (AFS) ในปี 2545 จึงทำให้ Doo Financial Australia Limited ได้รับอนุญาตในการให้บริการหลากหลายรูปแบบ ดังนี้

  • ให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั่วไป ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงหลักทรัพย์ อนุพันธ์ หุ้นกู้ พันธบัตร รวมทั้งผลกำไรในแผนการลงทุนต่าง ๆ
  • การซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงหลักทรัพย์ อนุพันธ์ หุ้นกู้ พันธบัตร รวมทั้งผลกำไรในแผนการลงทุนต่าง ๆ
  • ดำเนินการแผนการลงทุนที่ได้รับการจัดการที่จดทะเบียนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง สินทรัพย์ทางการเงินและการจำนอง และให้บริการฝากเงิน

ปัจจุบัน Doo Financial Australia Limited ให้บริการที่ปรึกษาการซื้อขายหลักทรัพย์ระดับโลก ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ แก่ลูกค้าและนักลงทุนมืออาชีพ นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นที่จะขยายพอร์ตของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้คำปรึกษาในการตัดสินใจลงทุนทางการเงินต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าโดยรวมของเงินทุนของลูกค้าของเรา

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของแผนการธุรกิจระดับโลกของ Doo Group ในขณะที่ธุรกิจหลักของเรายังคงให้บริการการเงินที่หลากหลาย พร้อมให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การจัดการกองทุน และการจัดการสินทรัพย์ การเข้าซื้อกิจการของ Doo Financial ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งไปสู่ความสำเร็จระดับโลกของเรา

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Email: th.support@dooprime.com
Line Official : https://bit.ly/3vd0zuM

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1698733/TH.jpg

Babilon-Mobile เลือก Baicells เป็นผู้ให้บริการสถานีฐาน 4G และ 5G หลัก หวังสร้างเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเต็มรูปแบบในทาจิกิสถาน

Baicells ผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการเชื่อมต่อไร้สาย 5G และ LTE ประกาศว่า บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงกับ Babilon-Mobile หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ที่สุดในทาจิกิสถาน เพื่อให้บริการสถานีฐาน 4G และ 5G หลายร้อยสถานีในเมืองดูชานเบ ฆูจันด์ และอื่น ๆ ให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายนี้ ทั้งนี้ Babilon-Mobile วางแผนที่จะติดตั้งสถานีฐานหลายร้อยสถานีภายใน 3 เดือนข้างหน้า

ในทาจิกิสถาน ตลาดมือถือกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วสู่บรอดแบนด์บนมือถือ การให้บริการเครือข่ายมือถือของ Babilon-Mobile จะเปิดประตูให้ชุมชนอื่น ๆ ในทาจิกิสถานเข้าถึงการเชื่อมต่อ 4G และเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้สายต่อไปเพื่อเปิดใช้งาน 5G ในอนาคตได้

Babilon-Mobile เลือกผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมนวัตกรรมของ Baicells ในการให้บริการนี้ เนื่องจากมีราคาที่แตกต่าง ทีมสนับสนุนขนาดใหญ่ ตลอดจนศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ 5G โดย Baicells เป็นเจ้าของสถานีฐานที่คุ้มทุนเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งช่วยลดต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของได้ถึง 40-50% เมื่อเทียบกับโซลูชันแบบเดิม และจะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนของ Babilon-Mobile ทาง Baicells กำลังส่งทีมขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเปิดตัวเครือข่าย Babilon-Mobile และเพิ่มความเร็วในการติดตั้งเพื่อให้บริการ สถานีฐานของ Baicells จะมาพร้อมกับขีดความสามารถเพื่อให้ Babilon-Mobile อัปเกรดเครือข่ายเป็น 5G ในอนาคตอันใกล้นี้ได้ เพื่อปกป้องการลงทุนของบริษัทเครือข่ายมือถือรายนี้

"Baicells รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจาก Babilon-Mobile ในการสร้างเครือข่าย 4G และ 5G ทั้งหมดในอนาคตอันใกล้" คุณ Bai Wei ผู้จัดการทั่วไปของ Baicells International Business กล่าว "เราเชื่อมั่นว่า โซลูชันที่เปี่ยมนวัตกรรมของ Baicells ช่วยลูกค้าและพันธมิตรที่มีคุณค่าของเราได้ ในการสร้างเครือข่ายเรือธงในทาจิกิสถาน"

คุณ Firdavs F. ผู้อำนวยการ Babilon-Mobile กล่าวว่า "เราเชื่อว่า Baicells ช่วยเราสร้างเครือข่าย LTE ที่มีคุณสมบัติสูงได้ พร้อมด้วยโครงสร้างการสนับสนุนระยะยาวที่ยั่งยืน"

เกี่ยวกับ Baicells

Baicells เป็นบริษัทระหว่างประเทศที่ให้บริการโซลูชันการเข้าถึง 4G LTE และ 5G NR ที่เปี่ยมนวัตกรรมและมีราคาน่าสนใจ ซึ่งเชื่อมต่อกับกว่า 50 ประเทศ

เกี่ยวกับ Babilon-Mobile

Babilon-Mobile เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือของทาจิกิสถานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 โดยส่งมอบบริการที่ทันสมัยอย่างเต็มรูปแบบแก่สมาชิก

ติดต่อ: Max Hahn, max.hahn@na.baicells.com

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1609895/Baicells_Technologies_Logo.jpg

ElectrifAi Announces MLaaS and SpendAi at AWS re:Invent 2021

 Delivering fast and reliable machine learning business solutions.

ElectrifAi, one of the world's leading companies in practical artificial intelligence (AI) and pre-built machine learning (ML) models, today announced availability of both Machine Learning as a Service (MLaaS) and SpendAi on Amazon Web Services (AWS). ElectrifAi made the announcement at AWS re:Invent 2021 in Las Vegas.

With MLaaS, now all companies in many verticals can quickly harness the power of machine learning and turn their data into a strategic advantage to drive revenue as well as to reduce cost and risk. Clients can easily get started with machine learning and pre-built models without the expense and time-consuming efforts of installing and purchasing platforms, assembling teams, or providing their own servers. With MLaaS available through AWS, the client's data operates directly on AWS cloud servers and MLaaS increases the efficiency and convenience of machine learning on the cloud.

By using MLaaS, clients can quickly achieve many benefits to improve their operations and capabilities. Some of those benefits include:

- lower costs, as provisioning one pre-structured model can be cheaper than the annual cost of a single data scientist;
- faster time-to-deployment and lower project risk, as the average deployment of a pre-built model is between 8-12 weeks for MLaaS versus 8-12 months to build new machine learning models; and
- faster time-to-value with a high return on investment (ROI).

One of ElectrifAi's highly successful MLaaS offerings is SpendAi, a deep spend analytics product. Now available on AWS, SpendAi can help procurement professionals quickly solve business problems with more accurate data to help eliminate cost and risk. Some of the benefits of SpendAi include:

- superior visibility across multiple sources of data,
- higher quality sources of spend data,
- better degrees of classification, categorization and grouping,
- greater flexibility, and
- elimination of maverick spend.

SpendAi has been proven to reduce indirect spend by 2-4% in 6-8 weeks generating substantial savings and ROI for clients.

Other pre-built models offered by ElectrifAi as MLaaS include customer segmentation, product cross sell and up sell, demand forecasting, dynamic pricing, credit decisioning, computer vision and many others.

"We're pleased to introduce our MLaaS and SpendAi offerings on AWS. Today, more than ever, executives are seeking to use data to optimize their businesses. Data is the last untapped asset and companies are demanding time-to-value and high ROI to drive revenue and cost reduction. With MLaaS and SpendAi, all companies (large and small) can now easily and quickly achieve the benefits of machine learning and pre-built models. ElectrifAi is helping companies across the globe grow and become more competitive through data-driven business decisions and we are taking the friction and complexity out of machine learning and computer vision." - Edward Scott, CEO, ElectrifAi

About ElectrifAi

ElectrifAi is a global leader in business-ready machine learning and computer vision models. ElectrifAi's mission is to help organizations change the way they work through machine learning and computer vision: quickly driving revenue and performance uplift, as well as cost and risk reduction. Founded in 2004, ElectrifAi boasts seasoned industry leadership, a global team of domain experts, and a proven record of transforming structured and unstructured data at scale. ElectrifAi's large library of Ai-based products reaches across business functions, data systems, and teams to drive superior results in record time. ElectrifAi has approximately 200 data scientists, software engineers and employees with a proven record of dealing with over 2,000 customer implementations, mostly for Fortune 500 companies. At the heart of ElectrifAi's mission is a commitment to making Ai, machine learning and computer vision more understandable, practical and profitable for businesses and industries across the globe. ElectrifAi is a global company with offices in Miami, Jersey City, Shanghai and New Delhi.

Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1527876/ElectrifAi_Logo.jpg


ElectrifAi ประกาศเปิดตัว MLaaS กับ SpendAi บน AWS ในงาน AWS re:Invent 2021

 ส่งมอบโซลูชันธุรกิจแมชชีนเลิร์นนิงที่รวดเร็วและไว้วางใจได้

ElectrifAi หนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในด้านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโมเดลแมชชีนเลิร์นนิง (ML) สำเร็จรูป ประกาศในงาน AWS re:Invent 2021 ในลาสเวกัสเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนว่า ทั้งบริการแมชชีนเลิร์นนิง (MLaaS) และ SpendAi พร้อมให้ใช้งานใน Amazon Web Services (AWS) แล้ว

เมื่อมี MLaaS แล้ว ทุกบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมแนวดิ่งจะสามารถใช้ขุมพลังแมชชีนเลิร์นนิงได้อย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนข้อมูลของตนเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้ ตลอดจนลดต้นทุนและความเสี่ยง ลูกค้าสามารถเริ่มต้นใช้งานแมชชีนเลิร์นนิงและโมเดลสำเร็จรูปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเปลืองเงินและเปลืองเวลาไปกับการติดตั้งและซื้อแพลตฟอร์ม รวมทีม หรือตระเตรียมเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้าเอง เมื่อมี MLaaS ให้บริการผ่าน AWS แล้ว ข้อมูลของลูกค้าจะดำเนินงานโดยตรงในเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ของ AWS ส่วน MLaaS จะเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกของแมชชีนเลิร์นนิงในระบบคลาวด์

เมื่อลูกค้าใช้งาน MLaaS ก็จะได้รับประโยชน์มากมายอย่างรวดเร็วในการปรับปรุงการดำเนินงานและความสามารถ ตัวอย่างประโยชน์ดังกล่าวรวมถึง

- ต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากการจัดเตรียมโมเดลที่วางโครงสร้างมาแล้วจะมีราคาถูกกว่าค่าใช้จ่ายรายปีสำหรับการจ้างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล 1 คน
- เวลาในการใช้งานรวดเร็วขึ้นและโปรเจกต์มีความเสี่ยงต่ำลง เนื่องจากเวลาการใช้งานโมเดลสำเร็จรูปสำหรับ MLaaS จะอยู่ที่ 8-12 สัปดาห์ ขณะที่การสร้างโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงใหม่ใช้เวลา 8-12 เดือน
- เวลาในการส่งมอบมูลค่าเร็วขึ้น พร้อมผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงขึ้น

หนึ่งในข้อเสนอ MLaaS ของ ElectrifAi ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ SpendAi ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายเชิงลึก พร้อมให้บริการแล้วใน AWS โดย SpendAi สามารถช่วยให้นักจัดซื้อจัดจ้างแก้ปัญหาทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้นเพื่อกำจัดต้นทุนและความเสี่ยง ตัวอย่างประโยชน์ของ SpendAi รวมถึง

- มองเห็นข้อมูลในหลายแหล่งได้อย่างเหนือชั้น
- แหล่งข้อมูลค่าใช้จ่ายที่มีคุณภาพสูงขึ้น
- จัดประเภท จัดหมวดหมู่ และจัดกลุ่มได้ในระดับที่ดีขึ้น
- มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- ตัดปัญหาการซื้อจากซัพพลายเออร์นอกนโยบายบริษัท

SpendAi ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดค่าใช้จ่ายทางอ้อมได้ถึง 2-4% ภายใน 6-8 สัปดาห์ ช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินได้มากและมีค่า ROI สูง

โมเดลสำเร็จรูปอื่น ๆ ที่ ElectrifAi มีให้เป็น MLaaS ได้แก่ การแบ่งกลุ่มลูกค้า, การเสนอขายผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวเนื่อง (Cross sell) และการเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่แพงขึ้นแก่ลูกค้า (Up sell), การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า, การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น, การตัดสินใจด้านเครดิต, คอมพิวเตอร์วิชัน และอื่น ๆ อีกมากมาย

เอ็ดเวิร์ด สก็อตต์ ซีอีโอของ ElectrifAi กล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้เปิดตัวข้อเสนอ MLaaS กับ SpendAi ใน AWS โดยผู้บริหารทุกวันนี้กำลังมองหาวิธีใช้ข้อมูลมากยิ่งกว่าที่เคยเพื่อปรับธุรกิจของตนให้มีประสิทธิภาพที่สุด ข้อมูลคือสินทรัพย์สุดท้ายที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ และบริษัทต่าง ๆ ก็ต้องการเวลาในการส่งมอบมูลค่าและ ROI ที่สูงขึ้นเพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้และลดต้นทุน เมื่อมี MLaaS กับ SpendAi แล้ว ทุกบริษัท (ทั้งใหญ่และเล็ก) ก็สามารถได้ใช้ประโยชน์จากแมชชีนเลิร์นนิงและโมเดลสำเร็จรูปได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย ElectrifAi กำลังช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกเติบโตและแข่งขันได้มากขึ้นผ่านการตัดสินใจทางธุรกิจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลัก และเราช่วยขจัดค่าธรรมเนียมและความซับซ้อนออกจากแมชชีนเลิร์นนิงและคอมพิวเตอร์วิชัน"

เกี่ยวกับ ElectrifAi

ElectrifAi คือผู้นำระดับโลกในด้านโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงและคอมพิวเตอร์วิชันที่พร้อมสำหรับธุรกิจ พันธกิจของ ElectrifAi คือเพื่อช่วยให้องค์กรเปลี่ยนวิธีการทำงานผ่านแมชชีนเลิร์นนิงและคอมพิวเตอร์วิชัน ส่งเสริมการสร้างรายได้และเพิ่มประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว ตลอดจนลดต้นทุนและความเสี่ยง ElectrifAi ก่อตั้งในปี 2547 มีจุดเด่นด้านความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่มีประสบการณ์ มีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในสายงาน และมีผลงานในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งแบบโครงสร้างและไม่เป็นโครงสร้างทุกขนาด คลังขนาดใหญ่ของผลิตภัณฑ์จาก AI ครอบคลุมฟังก์ชันธุรกิจ ระบบข้อมูล และทีม เพื่อมอบผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในความเร็วที่ไม่มีใครเทียบ ElectrifAi มีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรซอฟต์แวร์ และพนักงานประมาณ 200 คน ที่มีประสบการณ์รับมือความต้องการลูกค้ากว่า 2,000 ครั้ง ส่วนมากเป็นบริษัทในทำเนียบ Fortune 500 หัวใจสำคัญในพันธกิจของ ElectrifAi คือความมุ่งมั่นเพื่อทำให้ AI, แมชชีนเลิร์นนิง และคอมพิวเตอร์วิชันเข้าใจได้ ใช้งานได้ และสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลกมากกว่าเดิม ElectrifAi เป็นบริษัทระดับโลกโดยมีสำนักงานในไมอามี เจอร์ซีย์ซิตี้ เซี่ยงไฮ้ และนิวเดลี

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1527876/ElectrifAi_Logo.jpg

Yili Group จัดการประชุมผู้นำประจำปี 64 ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค

 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน Yili Group ได้จัดการประชุมผู้นำประจำปี 2564 (2021 Leadership Summit) โดยภายในการประชุมครั้งนี้ คุณพาน กัง ประธานและประธานกรรมการของ Yili Group ประกาศว่า นอกเหนือจากการกำหนดเป้าหมายระยะกลางถึงระยะยาวแล้ว ทางบริษัทจะยึดมั่นในวิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า (New Vision for Value Creation) ภายในปี 2573 เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่สร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค สังคม พนักงาน และองค์กร

มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ

รายงาน Asia Brand Footprint 2021 ระบุว่า Yili ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมของจีน ควบด้วยตำแหน่งแบรนด์ที่ลูกค้าเลือกซื้อมากที่สุดในจีนต่อเนื่องถึง 6 ปี

"การมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้า" คือหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ใหม่ เพราะการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าจะเป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคุณพาน กัง กล่าวว่า "เราต้องเดินหน้าตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ตลอดจนแง่มุมอื่น ๆ" โดย Yili จะยึดมั่นในคุณภาพมาเป็นอันดับแรก ควบคู่ไปกับการผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อชักนำผู้บริโภคสู่ไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ

ยึดมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Yili ยึดมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยบริษัทเป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาการตรวจจับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในจีน และได้เผยแพร่แนวทางปฏิบัติด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Action Guidelines) ในฐานะองค์กรด้านความยั่งยืนระดับแนวหน้า คุณพาน กัง กล่าวว่า Yili จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และยืนหนึ่งในการจัดอันดับด้านความยั่งยืน

Yili ได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรกว่า 5 ล้านคนให้พ้นจากความยากจน อีกทั้งยังช่วยให้พันธมิตรระดับกลางน้ำและปลายน้ำเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น โดยทางบริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรของบริษัทตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งหมด

สนับสนุนพนักงานอย่างเต็มกำลัง

Yili ดำเนินโครงการสวัสดิการพนักงานภายใต้ชื่อ Spring Rain Plan เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะพนักงานด้วยการแนะแนวอาชีพและมอบสิ่งจูงใจ พร้อมสนับสนุนให้พนักงานมีแนวคิดที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์ คุณพาน กัง กล่าวว่า Yili จะเดินหน้าสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้าง สร้างสรรค์ และเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมสร้างความสามัคคีในบริษัทให้แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมด้วยวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และผลักดันผู้ที่มีความสามารถอย่างเต็มที่

ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานอันแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างรวดเร็ว

รายได้จากการดำเนินงานและกำไรสุทธิของ Yili เติบโตรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2564 โดยรายได้จากการดำเนินงานพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.5 หมื่นล้านหยวน ทั้งนี้ คุณภาพของผลิตภัณฑ์นับเป็นรากฐานสำคัญของบริษัท โดย Yili จะเดินหน้ายกระดับความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในด้านการจัดการคุณภาพ นวัตกรรม และการดำเนินงานดิจิทัล นอกจากนี้ Yili จะสร้างหลักประกันการพัฒนาที่มั่นคงและปลอดภัยด้วยการบรรลุผลการดำเนินงานทางธุรกิจอันเหนือชั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าความสำเร็จของบริษัทจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอย่างแน่นอน

วิสัยทัศน์ใหม่ของ Yili Group มีเป้าหมายที่จะช่วยปูทางไปสู่การพัฒนากิจการเพื่อสังคมในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมของจีน โดยบริษัทจะร่วมมือกับพันธมิตรให้มากขึ้นเพื่อส่งต่ออาหารและไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพให้แก่ผู้คนทั่วโลก

PH, SG sign agreement enhancing ASEAN digital payment cooperation in World Fintech Festival

 BSP-MAS CA benefits MSMEs, OFWs, tourism, payments, cybersecurity

The Philippines and Singapore deepened their fintech-based relationship with cross-border collaborations that will strengthen ASEAN regional payments and provide financial inclusivity to Overseas Filipino Workers (OFWs) and micro-small-to-medium-sized enterprises (MSMEs). 

During the recent World Fintech Festival Philippines (WFF) 2021 - Singapore Fintech Festival (SFF), Bangko Sentral ng Pilipinas (BSP) Governor Benjamin Diokno and Monetary Authority of Singapore (MAS) Managing Director Ravi Menon signed the expanded Fintech Innovation Function Cooperation Agreement.  It highlighted the linkage of the two countries' QR and real-time payment systems. In his statement following the signing ceremony, Gov. Diokno said that "the BSP is taking the initial step in linking the Philippine payment system with those of our ASEAN neighbors, beginning with Singapore." Managing Director Menon called it "a concrete step towards the vision of an ASEAN network of interconnected real-time payment systems."

MAS' launch of tech platforms strengthens the growth of ASEAN cross-border transactions: Proxtera, which enables SMEs' seamless trading;  the open-architecture API Exchange (APIX) supporting ASEAN and global financial innovation; and Oxygen, APIX's knowledge-upskilling platform.

MAS Chief Fintech Officer Sopnendu Mohanty  said that the changemakers, policymakers, and financial gurus shaping SFF 2021's discussions democratize their " … valuable content into a signature knowledge certification programme and a special SME day with an upskilling programme."

Amor Maclang, the co-founder of GeiserMaclang Marketing Communications and Convenor of Digital Pilipinas, expressed support for the BSP-MAS Cooperation Agreement: "We will continue to be at the service of BSP and MAS."

Micro-certification courses

Digital Pilipinas solves industry-wide challenges through digitalization, education, and the creation of tech sandboxes.  With the Department of Trade and Industry's support, its Business Without Borders (BWB) program and Proxtera partnership connect MSMEs with the ASEAN network.  The Digital Pilipinas Academy will hold educational micro-certification courses on the blockchain, with its program, the Incremental Industry-Driven Technology Education Resources Authentication Testing Ecosystem (I-ITERATE) featuring courses on Open Finance, Fintech, and other nascent technologies.

The sandboxes that Digital Pilipinas will develop with national line agencies, and in partnership with Proxtera, APIX, and Oxygen, can accelerate regulation-compliant technological development.

Secure, swift digital payments

BWB, in linking MSMEs with international trade, aligns with the BSP-MAS' Cooperation Agreement, which has been updated from the 2017 agreement.

BSP Director Raymond Estioko said that the 2021 agreement will make cross-border payments "cheaper, more inclusive, and more transparent."

Brankas CEO Todd Schweitzer added that  it will connect "underserved Filipinos to the new payment systems [and] help drive financial inclusion."

OFBank President and CEO Leila Martin acknowledged that OFWs can experience "cross-border payments that are safe and devoid of fraud." 

As the BSP-MAS extended Cooperation Agreement and the Digital Pilipinas partnerships increase collaborations across the ASEAN, more Philippine sectors will move towards regional economic integration.

Growing cosmetics industry adds to Shanghai's Fengxian District's urban beauty

 

The Oriental Beauty Valley has become the capital of China's cosmetics industry, the core bearing area of Shanghai health-related industries, the first stop for Chinese cosmetics enterprises to go global, and the first choice for world cosmetics coffee to enter China, according to Shanghai Fengxian Converged Media Center.

Nowadays, the brand valuation of the Oriental Beauty Valley has reached 28.731 billion yuan. The annual International Cosmetics Conference held here attracts customers at home and abroad.

New growth engines created

The laboratory at Shiseido's R&D center, located in the core area of the valley, was put into use in October this year. In the past two years, the charm of the Oriental Beauty Valley has attracted lots of international beauty and health industry giants to establish themselves here.

Chinese homegrown cosmetics brands are also joining the valley such as Chicmax and Pechoin. Leading enterprises in biomedical field such as WuXi Biologics, Shanghai RAAS, Shanghai Hutchison Pharmaceuticals are renewing their impressive growth in the valley.

Brand value polished

By the end of 2020, the valley's industrial scale reached nearly 70 billion yuan, and the above-scale industrial output value totaled nearly 40 billion yuan. Through six years of development, the valley has attracted more than 700 industrial enterprises and over 3,000 beauty and health brands. Among them, there are 80 cosmetics production enterprises with cosmetics production licenses, accounting for 35 percent of the total number in Shanghai. There are more than 200 biomedical enterprises, and the above-scale output value of biomedicine accounted for 13 percent of Shanghai in 2020. The growth of every enterprise has increasingly highlighted the value and potential of the valley's brand.

The development of the Oriental Beauty Valley with the beauty and health industry as the focus is the epitome of economic growth and changes in Shanghai Fengxian. In recent years, Fengxian District has been constantly optimizing the business environment, gradually improving the valley's functional platform. Eight centers, including R&D, design, testing, display, marketing, experience, industry service and expert guidance, are taking shape, laying a foundation for high-quality industrial cluster growth.

New urban landmark

The Oriental Beauty Valley is not just an industry. It has been upgraded from a single industrial brand to a comprehensive city brand that fully displays the beauty of Fengxian's industry, city, ecology and humanity. In the past five years, landmark buildings such as Nine Trees Future Art Center, Fengxian Museum and the Shanghai Fish iconic landform have been built in Fengxian. Space has become the carrier of brand, and activities like the Oriental Beauty Valley music carnival and the plum blossom festival have integrated the city image with the valley.

In the future, Shanghai Fengxian will build a futuristic new city pilot area and the Oriental Beautiful Valley - Future City full of humanity, culture and hospitality. Efforts will be made to develop an independent comprehensive node city with a population of more than one million. It is committed to developing into one of the new representative cities with integrated development of industry and city.

Source: Shanghai Fengxian Converged Media Center

Image Attachments Links:

Link: http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=409241

Caption: 

At the end of 2015, Fengxian District proposed to build the Oriental Beauty Valley, which developed from just dozens of cosmetics-related enterprises to more than 700 industrial enterprises and over 3,000 beauty and health brands, with the above-scale industrial output value of nearly 40 billion yuan.


เขตเฟิงเซียนของเซี่ยงไฮ้ขึ้นแท่นศูนย์รวมผลิตภัณฑ์ความงาม ขานรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่กำลังเติบโตอย่างคึกคัก

 

ศูนย์สื่อเซี่ยงไฮ้เฟิงเซียน เปิดเผยว่า Oriental Beauty Valley ได้กลายเป็นเมืองหลวงของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจีนไปแล้ว ทั้งยังเป็นภาคส่วนสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพของเซี่ยงไฮ้ ป้ายแรกของบริษัทเครื่องสำอางจีนที่ต้องการบุกตลาดโลก และตัวเลือกแรกของบริษัทเครื่องสำอางระดับโลกในการบุกตลาดจีน

ทุกวันนี้ มูลค่าแบรนด์ของ Oriental Beauty Valley นั้นแตะหลัก 2.8731 หมื่นล้านหยวนแล้ว ขณะที่การประชุม International Cosmetics Conference ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นที่นี่ ก็ดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดีทั้งในจีนและต่างประเทศ

สร้างกลไกขับเคลื่อนการเติบโตขึ้นใหม่

ห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Shiseido ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สำคัญของ Oriental Beauty Valley ได้เริ่มดำเนินการแล้วเมื่อเดือนตุลาคมปีนี้ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เสน่ห์ของ Oriental Beauty Valley ได้ดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงสุขภาพและความงามระดับโลกมากมายให้มาตั้งรากฐานที่นี่

แบรนด์เครื่องสำอางจีนเองก็เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Chicmax และ Pechoin นอกจากนี้ องค์กรชั้นนำในแวดวงชีวการแพทย์ เช่น WuXi Biologics, Shanghai RAAS, Shanghai Hutchison Pharmaceuticals ก็กำลังเติบโตอย่างน่าประทับใจ

ขัดเกลามูลค่าแบรนด์ให้เนี้ยบ

นับจนถึงปลายปี 2563 สเกลทางอุตสาหกรรมของ Oriental Beauty Valley อยู่ที่เกือบ 7 หมื่นล้านหยวน ส่วนมูลค่าผลผลิตทางอุตสาหกรรมอยู่ที่เกือบ 4 หมื่นล้านหยวน พื้นที่ดังกล่าวได้รับการพัฒนามาถึง 6 ปี ดึงดูดองค์กรภาคอุตสาหกรรมมาได้กว่า 700 ราย รวมถึงแบรนด์สุขภาพและความงามกว่า 3,000 แบรนด์ ในจำนวนนี้ มีบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางที่มีใบอนุญาตผลิตเครื่องสำอาง 80 ราย คิดเป็นสัดส่วนราว 35% จากทั้งหมดในเซี่ยงไฮ้ ทั้งยังมีองค์กรชีวการแพทย์กว่า 200 ราย ขณะที่มูลค่าผลผลิตของกลุ่มชีวการแพทย์คิดเป็นสัดส่วน 13% ของทั้งหมดในเซี่ยงไฮ้ ณ ปี 2563 การเติบโตอย่างน่าประทับใจขององค์กรต่าง ๆ ได้ชูให้แบรนด์ Oriental Beauty Valley มีมูลค่าและศักยภาพโดดเด่นออกมา

การพัฒนาพื้นที่ Oriental Beauty Valley โดยมีอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป็นแกนหลักนั้น สะท้อนให้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในเขตเฟิงเซียนของเซี่ยงไฮ้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขตเฟิงเซียนได้ปรับสภาวะทางธุรกิจให้เอื้ออำนวยอยู่เสมอ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มการทำงานของพื้นที่แห่งนี้ให้ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ศูนย์ 8 แห่งก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น ครอบคลุมทั้งการวิจัยพัฒนา ออกแบบ ทดสอบ นำเสนอ การตลาด ประสบการณ์ บริการอุตสาหกรรม และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางรากฐานให้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

แลนด์มาร์คใหม่ของเมือง

Oriental Beauty Valley ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมธรรมดา โดยได้ยกระดับขึ้นจากการเป็นแบรนด์อุตสาหกรรมเดี่ยว ขึ้นมาเป็นแบรนด์เมืองอันครอบคลุม ที่แสดงให้เห็นความงามของเขตเฟิงเซียนได้อย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ของความเป็นอุตสาหกรรม เมือง ระบบนิเวศ และมนุษยชาติ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น อาคารอันเป็นแลนด์มาร์ค เช่น Nine Trees Future Art Center, Fengxian Museum และธรณีสัณฐานอันโดดเด่นของ Shanghai Fish ได้สร้างขึ้นที่เขตเฟิงเซียน พื้นที่ได้กลายเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดแบรนด์ ขณะที่กิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานดนตรี Oriental Beauty Valley และเทศกาลดอกบ๊วย ก็ได้ผสานภาพลักษณ์ความเป็นเมืองเข้ากับพื้นที่แห่งนี้

ในอนาคตข้างหน้า เขตเฟิงเซียนของเซี่ยงไฮ้จะสร้างพื้นที่นำร่องเมืองใหม่แห่งโลกอนาคต รวมถึง Oriental Beautiful Valley - Future City ที่อัดแน่นด้วยมนุษยชาติ วัฒนธรรม และความมีมิตรไมตรีจิต โดยจะมุ่งพัฒนาเมืองศูนย์รวมที่มีประชากรเกิน 1 ล้านคน พร้อมพัฒนาขึ้นเป็นเมืองตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและเมืองควบคู่กันไป

ที่มา: ศูนย์สื่อเซี่ยงไฮ้เฟิงเซียน

ลิงก์ภาพประกอบข่าว:

ลิงก์: http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=409241

คำบรรยายภาพ: 

เมื่อช่วงปลายปี 2558 เขตเฟิงเซียนได้เสนอให้สร้างพื้นที่ Oriental Beauty Valley ขึ้น ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากที่มีบริษัทเครื่องสำอางหลักสิบราย เติบโตขึ้นจนมีบริษัทภาคอุตสาหกรรมอยู่ในพื้นที่กว่า 700 ราย รวมถึงแบรนด์สุขภาพและความงามอีกกว่า 3,000 แบรนด์ โดยมีมูลค่าผลผลิตทางอุตสาหกรรมเกือบ 4 หมื่นล้านหยวน


ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ร่วมลงนามข้อตกลงยกระดับความร่วมมือด้านการชำระเงินในอาเซียนในงาน World Fintech Festival


 BSP-MAS CA เป็นประโยชน์กับ MSME, OFW, การท่องเที่ยว, การชำระเงิน, ความปลอดภัยทางไซเบอร์

ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์กระชับความสัมพันธ์ด้านเทคโนโลยีการเงินด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศที่จะยกระดับการชำระเงินในอาเซียนและให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุมแก่แรงงานชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ (OFW) และวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (MSME)

ในระหว่างงาน World Fintech Festival Philippines (WFF) 2021 - งาน Singapore Fintech Festival (SFF), นายเบนจามิน ดิออคโน ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) และนายราวี เมนอน ผู้ว่าการธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ Fintech Innovation Function Cooperation Agreement ฉบับปรับปรุงโดยเน้นที่ความเชื่อมโยงระหว่างระบบการชำระเงินแบบ QR และแบบเรียลไทม์ของทั้ง 2 ประเทศ ในแถลงการณ์หลังพิธีลงนาม นายดิออคโนกล่าวว่า "BSP กำลังเริ่มขั้นตอนแรกในการเชื่อมระบบชำระเงินของฟิลิปปินส์เข้ากับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของเรา เริ่มต้นจากสิงคโปร์" ส่วนนายเมนอนก็ได้กล่าวว่าความร่วมมือนี้ "เป็นขั้นตอนสำคัญในเส้นทางสู่วิสัยทัศน์ของเครือข่ายอาเซียนของระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมต่อถึงกัน"

การเปิดตัวแพลตฟอร์มเทคโนโลยีของ MAS ช่วยยกระดับการเติบโตของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศของอาเซียน โดย Proxtera ช่วยให้ SME ทำการค้าได้อย่างราบรื่น, สถาปัตยกรรมแบบเปิด API Exchange (APIX) รองรับนวัตกรรมการเงินของอาเซียนและระดับโลก และ Oxygen เป็นแพลตฟอร์มยกระดับความรู้และทักษะของ APIX

โซปเนนดู โมฮานตี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีการเงินของ MAS กล่าวว่า ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ผู้กำหนดนโยบาย และผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ได้ร่วมมือกันในการเสวนาของงาน SFF 2021 เพื่อให้ความเห็นเรื่อง "คอนเทนต์ที่มีมูลค่าในโปรแกรมการรับรองความรู้ที่เป็นเอกลักษณ์และวัน SME พิเศษพร้อมโปรแกรมเสริมทักษะ"

อามอร์ มาคลาง ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท GeiserMaclang Marketing Communications และผู้ประสานงานของ Digital Pilipinas แสดงการสนับสนุนข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง BSP และ MAS ว่า "เราจะยังคงใช้บริการ BSP และ MAS ต่อไป"

หลักสูตรการรับรองฉบับย่นย่อ

Digital Pilipinas แก้ปัญหาความท้าทายของอุตสาหกรรมผ่านการปรับสู่ดิจิทัล การศึกษา และการสร้างแซนด์บ็อกซ์เทคโนโลยี ด้วยการสนับสนุนจากกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม โปรแกรมธุรกิจไร้พรมแดน (BWB) ของบริษัทและความร่วมมือกับ Proxtera เชื่อมโยง MSME เข้ากับเครือข่ายอาเซียน สถาบัน Digital Pilipinas Academy จะจัดหลักสูตรการศึกษาเรื่องการรับรองขนาดย่อมบนบล็อกเชน ด้วยโครงการ Incremental Industry-Driven Technology Education Resources Authentication Testing Ecosystem (I-ITERATE) ที่ประกอบด้วยหลักสูตรเกี่ยวกับ Open Finance, Fintech และเทคโนโลยีใหม่อื่น ๆ

แซนด์บ็อกซ์ที่ Digital Pilipinas จะพัฒนาร่วมกับหน่วยงานระดับประเทศและร่วมมือกับ Proxtera, APIX และ Oxygen สามารถเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับกฎระเบียบให้เร็วขึ้นได้

การชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและรวดเร็ว

BWB ร่วมกับ MSME ด้วยการค้าขายระหว่างประเทศสอดคล้องกับข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง BSP และ MAS ซึ่งได้ปรับปรุงจากข้อตกลงปี 2560

เรย์มอนด์ เอสติโอโก ผู้อำนวยการ BSP กล่าวว่า ข้อตกลงปี 2564 จะทำให้การชำระเงินระหว่างประเทศ "ถูกลง ครอบคลุมมากขึ้น และโปร่งใสมากกว่าเดิม"

ทอดด์ ชไวต์เซอร์ ซีอีโอของ Brankas เสริมว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเชื่อมต่อ "ชาวฟิลิปปินส์ที่ขาดโอกาสเข้ากับระบบการชำระเงินแบบใหม่ [และ] ช่วยขับเคลื่อนความครอบคลุมทางการเงิน"

เลย์ลา มาร์ติน ประธานและซีอีโอ OFBank ยอมรับว่า OFW จะสามารถเข้าถึง "การชำระเงินระหว่างประเทศที่ปลอดภัยและปราศจากการฉ้อโกง"

การที่ BSP และ MAS ขยายข้อตกลงความร่วมมือและการร่วมมือกับ Digital Pilipinas เพิ่มความร่วมมือในอาเซียน ภาคส่วนต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์จะมุ่งหน้าสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคมากขึ้น

รูปภาพ: 

https://mma.prnewswire.com/media/1697735/Upper_row_L_R_Bangko_Sentral_ng_Pilipinas__BSP__Gov_Benjamin.jpg

ชุดตรวจแอนติเจน SARS-COV-2 แบบทราบผลเร็วของ JOYSBIO ตรวจเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้

JOYSBIO หนึ่งในผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 ชั้นนำของโลก ประกาศว่าชุดตรวจของบริษัทสามารถหาได้ในทุกที่ และตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่อันตรายได้


JOYSBIO หนึ่งในบริษัทชั้นนำผู้ผลิตชุดตรวจแบบแถบสีอย่างง่าย (lateral flow rapid test) ภูมิใจที่ได้ประกาศว่า ชุดทดสอบของบริษัทสามารถหาได้ทั่วโลก นอกจากนี้บริษัทยังแสดงให้เห็นได้ว่าชุดตรวจของบริษัทตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างสายพันธุ์โอไมครอน (B.1.1.529) ได้ ซึ่งเป็นหัวข้อของการประชุมฉุกเฉินที่เพิ่งผ่านมาขององค์การอนามัยโลก (WHO) และเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการห้ามเดินทางเข้าประเทศ


ชุดตรวจ JOYSBIO SARS-COV-2 Antigen Rapid Test Kit นี้ตรวจพบเชื้อไวรัส SARS-COV-2 สายพันธุ์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น B.1.1.7 (อัลฟา), B.1.351 (เบตา), B.1.617.2 (เดลตา), P.1 (แกมมา) และ B.1.1.529 (โอไมครอน) ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/


"เชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนยังคงค่อนข้างเป็นปริศนา และดูเหมือนว่าจะแพร่ได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ" Rick Zhang ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาธุรกิจ JOYSBIO กล่าว "ข้อมูลเกี่ยวกับลำดับของเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ชี้ว่า ส่วนโปรตีนเป้าหมายของชุดตรวจของเราไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น ชุดตรวจแอนติเจน SARS-COV-2 อย่างง่ายที่ผลิตโดย JOYSBIO จึงตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้"


รายงานจากองค์การอนามัยโลกที่เพิ่งออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้มีข้อบ่งชี้ที่น่ากังวล โดยระบุว่า "เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์หลายจุดมาก บางส่วนนับว่าน่ากังวล หลักฐานเบื้องต้นชี้ว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะมีการติดซ้ำเมื่อเทียบกับสายพันธุ์น่ากังวลอื่น ๆ"


"ประชาชนต้องใช้มาตรการลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ตลอดจนมาตรการทางสาธารณสุขและทางสังคมที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในการป้องกันโรค อย่างเช่นการสวมใส่หน้ากากที่พอดีกับใบหน้า ทำความสะอาดมือ รักษาระยะห่าง ปรับปรุงการระบายอากาศของพื้นที่ในอาคาร หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด และฉีดวัคซีน" https://www.who.int/news/item/26-11-2021-classification-of-omicron-(b.1.1.529)-sars-cov-2-variant-of-concern


ชุดตรวจ JOYSBIO COVID-19 Antigen Rapid Test Kit รายงานผลตรวจได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที


ชุดตรวจ JOYSBIO มีความแม่นยำสูงมาก "จากการวิเคราะห์เชิงคลินิกกับตัวอย่าง 492 รายการ ค่าความไวในการตรวจพบอยู่ที่ 98.13% และมีค่าความจำเพาะอยู่ที่ 99.22%" (https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/) นอกจากนี้ ชุดตรวจดังกล่าวนี้ได้รับการใช้และทดสอบในการตรวจหาเชื้อ SARS-COV-2 สายพันธุ์ต่าง ๆ โดยได้แสดงสมรรถภาพในการตอบสนองได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วทัดเทียมกัน


คุณ Zhang กล่าวว่า "พวกเราที่ JOYSBIO ตั้งใจที่จะรักษาสมรรถนะในการตรวจหาเชื้อ SARS-COV-2 ทุกสายพันธุ์ โดยเราจะพัฒนาชุดตรวจเดิมของเราอยู่เสมอและจะพัฒนาชุดตรวจใหม่ถ้าจำเป็น ทั้งนี้ ยิ่งผู้ป่วยทราบได้เร็วว่าติดเชื้อ ก็จะยิ่งดำเนินการเชิงรุกเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและการดูแลตนเองได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น"


คุณ Zhang กล่าวเพิ่มเติมว่า การปกป้องชีวิตคนเป็นภารกิจของ JOYSBIO ในทุก ๆ วัน


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/


เกี่ยวกับ JOYSBIO


JOYSBIO (Tianjin) Biotechnology Co., Ltd. เป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติจีนที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา โดยเป็นผู้พัฒนา ผลิต และเป็นซัพพลายเออร์ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์แบบภายนอกร่างกายคุณภาพสูง ตลอดจนชุดน้ำยาตรวจแบบปรับแต่งเฉพาะในทั่วโลก JOYSBIO ก่อตั้งโดยทีมมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์ระยะเวลาหลายปีในด้านเทคนิค การตลาดและการขาย ปฏิบัติการ และการผลิตในอุตสาหกรรมนี้

JOYSBIO's SARS-COV-2 Antigen Rapid test detects OMICRON variant

JOYSBIO, one of the world's leading manufacturers of COVID-19 tests, announces their tests are available everywhere and identifies new, dangerous variants.


JOYSBIO, one of the world's leading manufacturers of lateral flow rapid tests, is proud to announce that their tests are available around the world. Furthermore, they've been able to show that their test can detect the new Omicron (B.1.1.529). This variant was the subject of a recent emergency WHO meeting and is the cause of many countries instituting travel bans.


The JOYSBIO SARS-COV-2 Antigen Rapid Test Kit is able to detect SARS-COV-2 variants including B.1.1.7 (Alpha), B.1.351 (Beta), B.1.617.2 (Delta), P.1 (Gamma), and B.1.1.529 (Omicron). More information is available at https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/.


"The Omicron variant is still a bit of a mystery. It appears to be more easily transmissible," said Rick Zhang, Business Development Director for JOYSBIO. "According to the sequencing data of the new variant, the target protein domain of our test kit is unaffected. Therefore, the SARS-COV-2 antigen rapid test kits produced by JOYSBIO are able to detect the Omicron variant."


The report from the WHO, only a few days old, contains some troubling indications. "This variant has a large number of mutations, some of which are concerning. Preliminary evidence suggests an increased risk of reinfection with this variant, as compared to other VOCs.


"Individuals are reminded to take measures to reduce their risk of COVID-19, including proven public health and social measures such as wearing well-fitting masks, hand hygiene, physical distancing, improving ventilation of indoor spaces, avoiding crowded spaces, and getting vaccinated." - https://www.who.int/news/item/26-11-2021-classification-of-omicron-(b.1.1.529)-sars-cov-2-variant-of-concern 


The JOYSBIO COVID-19 Antigen Rapid Test Kit delivers results in just 15 minutes.


The JOYSBIO test is extremely accurate. "According to the clinical analysis of 492 samples, the detection sensitivity is 98.13%, and the specificity is 99.22%." (https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/) It has been used and tested against SARS-COV-2 variants and has shown itself to be just as responsive, accurate, and rapid.


"At JOYSBIO," Zhang said. "We're committed to keeping up with all the variants of SARS-COV-2. We will continue to improve our existing tests and develop new ones as needed. The sooner one knows that they're ill, the sooner they can take proactive steps to prevent spread and take care of oneself."


Zhang went on to say that protecting lives is the JOYSBIO mission, every day.


More information is available at https://en.joysbio.com/covid-19-antigen-rapid-test-kit/.


About JOYSBIO


JOYSBIO (Tianjin) Biotechnology Co., Ltd. is an R&D-focused Chinese biotechnology company that develops, manufactures, and supplies high-quality medical in-vitro diagnostic (IVD) rapid test kits as well as revolutionary customized reagent kits to all parts of the world. JOYSBIO was founded by a team of professionals with many years of combined technical, marketing/sales, operational and manufacturing expertise in this industry.

รายการ "The World's Specialty" ยอดนิยมทางโทรทัศน์ดาวเทียมไห่หนานจีน พายอดขายสินค้าพุ่งกระฉูด

ทูตจากประเทศต่าง ๆ ในจีนกล่าวชื่นชมรายการดังกล่าวนี้


"The World's Specialty" รายการแลกเปลี่ยนด้านเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมยอดนิยมทางโทรทัศน์ดาวเทียมไห่หนานจีน (China Hainan Satellite TV) ใช้วิธีการเผยแพร่ยอดนิยมแบบ "ถ่ายทอดสดไลฟ์สตรีม" เพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์พิเศษจากประเทศต่างๆในจีน รายการการตลาดที่ฉายเป็นประจำนี้มีทูตในจีนเป็นผู้ดำเนินบทบาทหลัก ถือเป็นการนำเสนอการออกแบบเชิงนวัตกรรมและคอนเทนต์รูปแบบใหม่เพื่อความเพลิดเพลินให้เป็นคอนเทนต์ใหม่ในสื่อกระแสหลักของจีน โดยทูตหลายท่านในจีนได้กล่าวชื่นชมรายการดังกล่าวนี้อย่างมาก

ราจา ดาตุก นูสีร์วาน ทูตมาเลเซียในจีน ลงมือแกะทุเรียนด้วยตัวเองก่อนแบ่งให้กับผู้ชม เขาแสดงความคิดเห็นว่า รายการนี้เป็นแนวทางที่แปลกใหม่มากในการแสดงกิจกรรมทางการทูตผ่านรายการโทรทัศน์


โมฮัมเหม็ด บาดรี ทูตสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ในจีน กล่าวว่า "รายการนี้เป็นรายการที่มีปฏิสัมพันธ์แบบอินเทอร์แอคทีฟสูงมาก และจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ และผู้คนสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับกันและกันได้มากขึ้น"


เฟอร์นันโด ลูกริส ทูตสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัยในจีน กล่าวว่า "ผมรักประเทศจีน ผมชอบคนจีนมาก และหวังว่าผู้ชมชาวจีนจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอุรุกวัยมากขึ้น"


ความพิเศษเป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่และแบ่งปันให้กันและกัน ในการนี้ รายการ "The World's Specialty" จึงได้ใช้องค์ประกอบสีที่หลากหลาย อย่างเช่นสีเขียวของภูเขาและสีฟ้าของน้ำทะเลและโอเอซิส เพื่อสื่อถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและความเยาว์วัย รายการยังใช้องค์ประกอบด้านรายละเอียดที่เป็นสากลเพื่อสื่อถึงแนวคิดการก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความบันเทิงและประสบการณ์เสมือนจริงเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ชมทั่วไป ทำให้รายการนี้เป็นที่นิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ชมชาวจีน ทั้งนี้ รายการดังกล่าวนี้มีอิทธิพลอย่างสูงในแง่ของการทูตสาธารณะและวงการสถานทูตในประเทศจีน และยังมีชื่อเสียงดีมาก


รายการ "The World's Specialty" ออกแบบมาเพื่อให้โทรทัศน์ดาวเทียมไห่หนานจีนได้นำเสนอบทบาทนำที่สำคัญของค่านิยมแบบจีนในโลกจากแนวคิดและวิถีปฏิบัติของจีนในการสร้างความสัมพันธ์การร่วมมือที่ต่างฝ่ายต่ายได้ประโยชน์แบบวิน-วินในระดับนานาชาติ ตลอดจนการเป็น "ชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อมนุษยชาติ" ทูตแต่ละท่านในรายการไม่เพียงแนะนำสินค้าของประเทศตัวเองประกอบกับแง่มุมทางวัฒนธรรมเบื้องหลังสินค้าเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังได้กล่าวถึงการแลกเปลี่ยนและมิตรภาพระหว่างประเทศของพวกเขาและจีนในประวัติศาสตร์ อีกทั้งได้คาดการณ์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศในอนาคต รายการดังกล่าวนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมทุกกลุ่มในจีนและประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยห้องเผยแพร่การถ่ายทอดสดใน Taobao ของรายการ "The World's Specialty" ยังได้ดึงดูดแฟนรายการจำนวนมากในการชอปปิงออนไลน์


มีการรายงานว่าเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้มากยิ่งขึ้น รายการจะใช้ธีมที่แตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล นอกจากนี้ยังจะมีช่วงพิเศษสำหรับประเทศที่มีผลิตภัณฑ์พิเศษ ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและสินค้าที่ยอดเยี่ยม รายการยิ่งชวนให้ติดตามมากขึ้น ทั้งนี้ "รายการ The World's Specialty" นี้ได้พัฒนาระบบการคิดเชิงธุรกิจที่สมบูรณ์ โดยครอบคลุมตั้งแต่ด้านวัฒนธรรมไปจนถึงด้านอีคอมเมิร์ซ และถือเป็นการค้นพบโมเดลการพัฒนาเชิงพาณิชย์ใหม่สำหรับสื่อกระแสหลักของจีน


รายการ "The World's Specialty" จะถ่ายทอดทางโทรทัศน์ดาวเทียมไห่หนานจีน ทุกวันเสาร์ เวลา 19.30 น. และสินค้าในรายการ "The World's Specialty" ก็จะจำหน่ายทางออนไลน์ในเวลาเดียวกันทาง Taobao Livestreaming Room


เว็บไซต์ใน Youtube: https://www.youtube.com/channel/UClBqPUi9Tm_d55kKy3yVwaQ/featured


รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1697794/image.jpg

Benetti เปิดรับสกุลเงินดิจิทัล-NFT ซื้อและเช่าเรือ VIANNE ซูเปอร์ยอชต์สัญชาติอิตาลี ขนาด 52 เมตร


ซูเปอร์ยอชต์ลำแรกที่ยอมรับ NFT (Non-Fungible Token) เป็นรูปแบบการชำระเงิน

Benetti บริษัทต่อเรือและเจ้าของ VIANNE เรือสำราญสัญชาติอิตาลี ขนาด 52 เมตร (170 ฟุต) ที่มาพร้อมลานจอดเฮลิคอปเตอร์และจากุซซีบนดาดฟ้าเรือ ประกาศรับชำระการซื้อ VIANNE ด้วยสกุลเงินดิจิทัล โดยหลังจากชำระเงินมัดจำ 10% ด้วยสกุลเงินทั่วไป (EUR/USD) แล้ว ผู้ซื้อสามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ด้วยสกุลเงินทั่วไป หรือสกุลเงินดิจิทัลหลัก ๆ ได้แก่ BTC, ETH, DOGE, SOL, FTM, BNB รวมถึงโทเคน NFT ระดับท็อปเทียร์อย่าง Cryptopunks, BAYC Apes

VIANNE ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 8,900,000 ยูโร เป็นซูเปอร์ยอชต์ที่มีชื่อเสียง ด้วยตัวเรือที่ทำจากเหล็กกล้า และโครงสร้างส่วนบนทำจากอลูมิเนียม ซึ่งเป็นไปตามกฎและมาตรฐานของสมาคมจัดชั้นเรือABS พร้อมการออกแบบภายนอกโดย สเตฟาโน นาตุชชี ซูเปอร์ยอชต์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลำนี้เพิ่งได้รับการซ่อมบำรุงทางเทคนิคและการปรับแต่งโฉมใหม่ทั้งหมดในปี 2564 ที่อู่ต่อเรือ Arpeca ของอิตาลี ตลอดจนได้รับการตรวจชั้นเรือและการตรวจควบคุมเรือครั้งล่าสุดในปี 2564 โดย VIANNE ได้รับการจัดชั้นเป็นเรือพาณิชย์และให้บริการแบบเช่าเหมาลำ สามารถรองรับแขกได้ 12 คนในห้องพัก 5 ห้อง และมีลูกเรือมากประสบการณ์ 12 คนคอยให้บริการ นำโดย อัลแบร์โต ซัมเบลลี กัปตันเรือชาวอิตาลีผู้เป็นที่เคารพนับถือ นอกจากนี้ ยังเพิ่มชีวิตชีวาให้กับ VIANNE ด้วยเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Ralph Lauren ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนของเล่นในน้ำแบบใหม่ ๆ เช่น สไลเดอร์เป่าลม และทุ่นลอยน้ำพร้อมสระว่ายน้ำ

การชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมเรือยอชต์ และการประกาศล่าสุดนี้จะทำให้ VIANNE เป็นเรือยอชต์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่จะซื้อขายด้วย NFT นับเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ซื้อจากทั่วโลก และเป็นโอกาสสุดพิเศษที่เรือยอชต์ขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้จะซื้อขายด้วย NFT ทั้งนี้ VIANNE เปิดให้เยี่ยมชมตามการนัดหมายในแคริบเบียนและฟลอริดา ผู้ซื้อและนายหน้าสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตัวแทนขาย ขณะเดียวกัน ฤดูหนาวนี้ VIANNE ยังเปิดให้เช่าเหมาลำสำหรับการล่องเรือในทะเลแคริบเบียน โดยมีค่าบริการอยู่ที่ 196,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์

รับชมวิดีโอ VIANNE บน Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=15LUUlvy0oU

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และรูปภาพ/วิดีโอของ VIANNE สามารถเข้าชมได้ที่ www.myvianne.com หรือติดต่อเราทางอีเมล sale@myvianne.com / charters@myvianne.com

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1697640/Photo_2.jpg
คำบรรยายภาพ: จากุซซีบนดาดฟ้าเรือ และพื้นที่สำหรับเล่นกอล์ฟ พร้อมลูกกอล์ฟที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1697641/Photo_1.jpg
คำบรรยายภาพ: ซูเปอร์ยอชต์สัญชาติอิตาลี ขนาด 52 เมตร ที่สร้างโดย Benetti พร้อมลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และพิสัยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

BANDAI NAMCO Entertainment ฉลองครบรอบ 30 ปีซีรีส์ "Super Robot Wars" ยอดขายรวมทะลุ 19 ล้านชุด

- ผลงาน 274 รายการที่ผลิตผ่านซีรีส์ทำให้ซีรีส์นี้มีใบอนุญาต IP มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในซีรีส์วิดีโอเกมแบบสวมบทบาท -

BANDAI NAMCO Entertainment Inc. ในกรุงโตเกียว ประกาศว่าซีรีส์ "Super Robot Wars" ครบรอบ 30 ปีแล้ว หลังเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2534 ในรูปแบบเกม Simulation RPG ที่นำหุ่นยนต์จากหลายเรื่องมาสู้กัน ซีรีส์นี้วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเกมต่าง ๆ เช่น GAME BOY (R) พร้อมมอบความบันเทิงให้แก่ลูกค้าทั่วโลก เกมกว่า 90 ภาคปรากฏภายใต้แบรนด์ของซีรีส์นี้ (รวมถึงภาคที่วางจำหน่ายซ้ำ) และตอนนี้ซีรีส์มียอดขายทะลุ 19 ล้านชุดแล้ว (*1)

(โลโก้: https://kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M106357/202111163454/_prw_PI2fl_X7mC7gxi.jpg)

(รูปภาพ: https://kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M106357/202111163454/_prw_PI1fl_bCH7MUma.jpg)

BANDAI NAMCO Group ใช้ความรู้กับประสบการณ์ทางธุรกิจเพื่อทำให้ผลงานลิขสิทธิ์ทั้ง 274 รายการ (*2) กลายเป็นมรดกของแบรนด์ ส่งผลให้เป็นซีรีส์ที่มีใบอนุญาต IP มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในซีรีส์วิดีโอเกมแบบสวมบทบาททั้งหมด

- "Super Robot Wars 30" ครบรอบ 30 ปี

เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปีของซีรีส์นี้ "Super Robot Wars 30" จึงได้วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเครื่องเกมคอนโซล (Nintendo Switch (TM) /PlayStation (R) 4 /STEAM (R) ) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 (พฤหัส)

เพื่อตอบสนองต่อความเห็นและข้อเรียกร้องจากแฟนซีรีส์ ตัวเกมจึงมาพร้อมกับระบบใหม่อย่าง "Tactical Area Selection" ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกลำดับเนื้อเรื่อง หุ่นยนต์ และตัวละครที่เล่นได้ นอกจากนี้ เกมยังวางจำหน่ายผ่าน STEAM (R) สำหรับภูมิภาคสหรัฐและยุโรปเป็นครั้งแรกเพื่อให้ลูกค้าจำนวนมากได้เล่นกันทั่วโลก พร้อมให้บริการ 5 ภาษา รวมถึงภาษาจีนตัวย่อเป็นครั้งแรกในซีรีส์นี้ เพื่อให้มีลูกค้าจำนวนมากที่สุดได้ร่วมเล่นด้วย ขอให้เพลิดเพลินกับเกมเวอร์ชันล่าสุด สนุกกันได้มากกว่าเดิม

หมายเหตุ:

(*1) รวมเวอร์ชันเนื้อหาเสริม (downloadable version) และเวอร์ชันเนื้อหาเสริมบน STEAM

(*2) ตัวเลข "274" หมายถึงจำนวนใบอนุญาต IP ณ เดือนมิถุนายน 2564

ชื่อเนื้อหา: Super Robot Wars 30

ประเภท: Simulation RPG

แพลตฟอร์ม: Nintendo Switch (TM) /PlayStation (R) 4 /STEAM (R)

วันเปิดตัว: 28 ตุลาคม 2564 (พฤหัส)

เว็บไซต์ทางการ: https://srw30-thirty.suparobo.jp/en/

บัญชีทวิตเตอร์ทางการ: https://twitter.com/srw_game

ลิขสิทธิ์: https://kyodonewsprwire.jp/attach/202111163454-O1-DZ80o5B0.pdf

*ข้อมูลในที่นี้แสดงถึงข้อมูล ณ วันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น อาจมีการอัปเดตข้อมูลโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบหลังจากเผยแพร่แล้ว

*โปรดใช้ลิขสิทธิ์และการคุ้มครองทางกฎหมายที่ระบุในที่นี้ เมื่อใช้โลโก้และรูปภาพ

*"PlayStation" และ "PS4" เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Sony Interactive Entertainment Inc.

*Nintendo Switch เป็นเครื่องหมายการค้าของ Nintendo

*(C)2021 Valve Corporation. Steam และโลโก้ Steam เป็นเครื่องหมายการค้าและ/หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Valve Corporation ในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่น

BANDAI NAMCO Entertainment ปฏิบัติตามสโลแกนของบริษัทที่ว่า "ให้ทุกคนสนุกกันมากขึ้น" (more fun for everyone) BANDAI NAMCO Entertainment จึงมุ่งมั่นนำเสนอความสนุกสู่ทุกคนทั่วโลก

ที่มา: BANDAI NAMCO Entertainment Inc.

Nobu Hospitality ประกาศตั้งโรงแรมแบรนด์ Nobu และร้านอาหาร Roma ในกรุงโรม มุ่งขยายกิจการสู่ตลาดยุโรป

      Nobu Hospitality  แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ก่อตั้งโดยโนบุ มัตสึฮิสะ, โรเบิร์ต เดอ นิโร และเมียร์ เทเปอร์ มีความยินดีที่จะได้ประกาศเปิดตัวโรงแรม Nobu แห่งแรกและร้านอาหารแห่งที่สองในประเทศอิตาลี

โรงแรม Nobu และร้านอาหาร Roma เกิดจาการการร่วมมือกันระหว่าง Nobu Hospitality และคาร์โล อะแคมโปรา ประธานบริหารและซีอีโอของ Grand Hotel Via Veneto เพื่อพลิกโฉมโรงแรม Grand Hotel สุดหรูหราให้กลายเป็นโรงแรมและร้านอาหารในแบบฉบับของ Nobu

โรงแรม Nobu Hotel Roma ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมอันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ บนถนน Via Veneto ที่เลื่องชื่อ และห้อมล้อมด้วยสถานที่สำคัญแสนตระการตามากมาย อาทิ Villa Borghese, Piazza Barberini, Trevi Fountain และ Piazza di Spagna โดยโรงแรมแห่งนี้เป็นการผสมผสานเอกลักษณ์ของอาคารสมัยคริสตศตวรรษที่ 19 ถึงสองแห่ง เพื่อสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกในสไตล์โมเดิร์นที่แสดงถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของสถานที่เดิม โรงแรม Nobu Hotel Roma จะรวมเอาบรรยากาศของโรงแรมหรูเข้ากับความเป็นสถานที่พักอาศัยซึ่งเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา โดยจะมีห้องพักและสวีททั้งหมด 122 ห้อง รวมถึงห้อง Nobu Suite ขนาดกว้าง 500 ตารางเมตร ตลอดจนพื้นที่รูฟท็อปพร้อมหลังคาสีเขียว (Green roof) ที่น่าตื่นตา, สถานที่จัดประชุมทั้งแบบอินเดอร์และเอาท์ดอร์, สปาเต็มรูปแบบ, ฟิตเนสสุดไฮเทค, ร้านอาหาร Nobu บริการเสิร์ฟอาหารถึงห้องพักตลอด 24 ชั่วโมง และคลับเลานจ์เอ็กซ์คลูซีฟที่ให้แขกผู้เข้าพักสัมผัสประสบการณ์ดนตรีระดับโลก ทั้งนี้ โรงแรม Nobu และร้านอาหาร Roma มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับผู้เข้าพักด้วยแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน

คาร์โล อะแคมโปรา ประธานบริหารและซีอีโอของ Grand Hotel Via Veneto แถลงว่า "Nobu มีความทุ่มเทอย่างเหลือเชื่อ ขณะที่เมียร์ก็มีแพชชั่น และบ็อบก็มีวิสัยทัศน์และรักในความเป็นอิตาลีอย่างหาที่สุดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เมื่อมาพบกับเทรเวอร์และสตรวนที่มีความเป็นผู้นำยอดเยี่ยม และทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว ก็ยิ่งทำให้การเปิดตัวครั้งนี้น่าตื่นเต้นและโดดเด่นกว่าใครในอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลก ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มี Nobu เป็นพันธมิตร เพราะเรามีค่านิยมด้านคุณภาพ การบริการ และความเป็นเลิศเหมือนกัน และที่นี่วันนี้ ผมรักญี่ปุ่นและสุดยอดวัฒนธรรมการต้อนรับของที่นี่เสียจนไม่อาจเก็บไว้ในใจได้อีกต่อไป ผมจึงมีความยินดีที่จะเปิดประตูอมตะนครแห่งนี้สู่ Nobu Hotel แห่งแรกในอิตาลี โดย Nobu Roma จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ชาวกรุงโรมและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างก็โหยหา และเราทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งต่อแขกในภายภาคหน้าที่รอเราอยู่"

ด้านโนบุ มัตสึฮิสะ, โรเบิร์ต เดอ นิโร และเมียร์ เทเปอร์ ก็ได้แถลงว่า "กรุงโรมเป็นศูนย์รวมศาสตร์และศิลป์แห่งการประกอบอาหารอันโอชะ จึงเป็นทำเลในอุดมคติสำหรับแบรนด์ Nobu เรามีความยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับคาร์โล อะแคมโปราในโครงการอันน่าตื่นเต้นนี้ และยินดีที่ได้เผยแพร่อาหารที่ขึ้นชื่อลือชาของ Nobu แก่ชาวกรุงโรมตลอดจนแขกจากทั่วโลก เรามีค่านิยมหลายอย่างเหมือนกับคาร์โล โดยเฉพาะเรื่องความสำคัญของการต้อนรับ โรมเป็นส่วนผสมสุดพิเศษระหว่างวัฒนธรรมชั้นสูง ศิลปะ แฟชั่น และสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ เราจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของอมตะนครแห่งนี้ผ่านการเปิดตัวโรงแรมที่น่าตื่นตาตื่นใจในครั้งนี้"

เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ซีอีโอของ Nobu Hospitality ให้ความเห็นว่า "การเป็นพันธมิตรและความสัมพันธ์ที่ยืนยาวย่อมต้องใช้เวลาและความทุ่มเท และวันนี้ความวิริยะอุตสาหะของพวกเราก็ได้ผลิดอกออกผลแล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ผมภูมิใจและตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคาร์โล พันธมิตรใหม่ของเรา เขาไม่เพียงแต่มีหลักปรัชญาและค่านิยมใกล้เคียงกับเราเท่านั้น แต่เรายังมีความฝันและปณิธานร่วมกันในการสร้างสิ่งพิเศษที่ชุมชนโรมโดยรวมจะประทับใจ"

วิดีโอ - https://www.youtube.com/watch?v=2iWrZM_CrJw

Irasshaimase Roma! Nobu Hospitality Furthers European Expansion with Nobu Hotel and Restaurant Roma

      Global lifestyle brand Nobu Hospitality, founded by Nobu Matsuhisa, Robert De Niro, and Meir Teper, is delighted to announce the launch of its first hotel and a second restaurant in Italy.

Expected to debut in summer 2022, Nobu Hotel and Restaurant Roma is a collaboration between Carlo Acampora, Chairman and CEO Grand Hotel Via Veneto, and Nobu Hospitality which will lead the transformation of the luxurious Grand Hotel into a Nobu Hotel and Restaurant.

Located in the historic heart of Rome, on the exclusive and world-renowned Via Veneto and just a short walk from the stunning park of Villa Borghese, Piazza Barberini, Trevi Fountain, and Piazza di Spagna, Nobu Hotel Roma is the union of two 19th Century buildings combined to create a modern masterpiece that celebrates its grand, historic past. An integrated mix of a luxurious hotel and energized living spaces, Nobu Hotel Roma will house 122 guest rooms and suites, including a 500sqm Nobu Suite, a spectacular green-rooftop terrace, indoor and outdoor meeting space, a full-service city spa, state-of-the-art fitness center, a Nobu Restaurant offering 24-hour in-room dining and an exclusive club lounge for enjoying world-class music. Nobu Hotel and Restaurant Roma will be focused on the guest experience with an eco-friendly and sustainable approach.

Carlo Acampora, Chairman and CEO Grand Hotel Via Veneto states, "Nobu's incredible dedication, Meir's passion, Bob's vision, and his boundless love for Italy, combined with the extraordinary leadership of Trevor and Struan, and the expertise of the entire management team will make this opening exciting and unique in the global hotel industry. I am deeply honored to have Nobu as a partner because we share the same values of quality, service, and excellence. And here today, I cannot hide my love for Japan and for its exceptional culture of hospitality. So, I am very pleased to have opened the doors of the Eternal City to the first Nobu Hotel in Italy. The extraordinary experience that Nobu Roma will offer is what Romans and international tourists deeply need and we are all aware of the great responsibility that awaits us towards our future guests."

Nobu Matsuhisa, Robert De Niro, and Meir Teper state, "Rome is the gastronomic hub of the world and the ideal location for the Nobu brand. We are pleased to be partnering with CarloAcampora on this exciting project and to bring the famous Nobu cuisine to the residents of Rome as well as visitors from around the world. We share many values with Carlo, especially on the significance of hospitality. Rome is an extraordinary mix of high culture, the arts, fashion, and historic architecture. And so, we are honored now to be able to be a part of the Eternal City through this thrilling opening" 

Trevor Horwell, Chief Executive Officer Nobu Hospitality comments, "Partnerships and enduring relationships take time and investment and today our perseverance has been rewarded. On a personal level, I am very proud and excited to welcome our new alliance with Carlo. Not only do his philosophies and values closely match our own, but we share the same dreams and aspirations to create something extraordinary that will leave a positive impression on the Rome community as a whole."

Video - https://www.youtube.com/watch?v=2iWrZM_CrJw