Thursday, November 30, 2017

“มูลนิธิอาเซียน” สานต่อความร่วมมือ “เอสเอพี” มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล




          - ความร่วมมือในปีแรกเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนกว่า 16,000 คนทั่วอาเซียน

          - สำหรับความร่วมมือในปีหน้าจะเน้นไปที่การศึกษาและการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อสร้างอนาคตอันยั่งยืนให้แก่อาเซียน

          - สิงคโปร์จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน "ASEAN Data Science Explorers" รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคในปีหน้า

          มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) และ เอสเอพี (NYSE: SAP) ประกาศสานต่อความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในปีหน้า หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในปีนี้ เพื่อเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในอาเซียนต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) และจะร่วมกันจัดโครงการต่างๆ ภายใต้สองยุทธศาสตร์หลักสำหรับปีหน้า นั่นคือ การศึกษาและการเป็นผู้ประกอบการ

          โครงการต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนในอาเซียน เพื่อให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการจัดการกับปัญหาทางสังคมและเติบโตอย่างมีคุณภาพในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงเพิ่มความสามารถขององค์กรในการอ้าแขนรับเยาวชนเข้าทำงานและผลักดันให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตลอดจนสร้างแรงงานทักษะสูงป้อนอุตสาหกรรมไอทีผ่านการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร

          สามยุทธศาสตร์หลักภายใต้การทำงานร่วมกันในปีแรก ประกอบด้วย

          การศึกษา

          - การแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers สามารถดึงดูดนักศึกษา 804 คน จาก 112 สถาบัน ใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนให้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยก่อนการแข่งขัน นักศึกษาได้ฝึกใช้ซอฟต์แวร์ Analytics Cloud ของเอสเอพีผ่านการสัมมนาออนไลน์และการสัมมนาในประเทศ โดยมีนักศึกษาเข้าใช้แพลตฟอร์มมากกว่า 600 ราย
          - การแข่งขันดังกล่าวนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและแนวคิดในการแก้ปัญหาสังคมที่เร่งด่วนที่สุดในภูมิภาค ซึ่งทีมที่มีความโดดเด่นคือ "Omotesando" จากประเทศอินโดนีเซีย ที่นำเสนอวิธีแก้ปัญหาความยากจนด้วยการผลักดันให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินออนไลน์ และทีม "Tonkar Data" จากประเทศลาว ที่นำเสนอระบบเกษตรอัจฉริยะแนวดิ่งเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร

          การมีจิตอาสา

          - โครงการ The Youth Volunteering Innovation Challenge (YVIC) ภายใต้แนวคิด "Impact ASEAN" ให้การสนับสนุนเยาวชนจิตอาสาทั่วอาเซียนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการให้คำแนะนำและเงินทุนสำหรับเริ่มต้นหรือขยายขนาดโครงการที่เยาวชนริเริ่มขึ้น
          - นักนวัตกรรมจิตอาสารุ่นเยาว์ 29 คนจาก 10 ทีมทั่วอาเซียนได้เข้าร่วมโครงการ YVIC ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างโครงการอาสาสมัครขององค์การสหประชาชาติ (UNV), โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), มูลนิธิอาเซียน, สำนักเลขาธิการอาเซียน และเอสเอพี ทั้งยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากรัฐบาลเยอรมนี

          การเป็นผู้ประกอบการ

          - ภายใต้ความร่วมมือนี้ เอสเอพีได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจเพื่อสังคม 9 ราย จากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อสังคมชั้นนำ 50 รายในอาเซียน ผ่านสองโครงการ ได้แก่ โครงการ SAP Social Sabbatical และโครงการ NUS Crossing the Chasm Challenge ซึ่งพนักงานของเอสเอพีได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้เพื่อให้ดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

          เอเลน ตัน กรรมการบริหารมูลนิธิอาเซียน กล่าวว่า "การประสานความร่วมมือครั้งนี้ทำให้เราสามารถใช้ทรัพยากรของทั้งสององค์กรในการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่อาเซียน ปัจจุบัน ระบบดิจิทัลถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้องร่วมมือกันมอบทักษะดิจิทัลให้แก่เยาวชน ซึ่งเอสเอพีก็เป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันมาโดยตลอด เราหวังที่จะสานต่อความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานแห่งอนาคตของอาเซียน"

          MoU ฉบับนี้ลงนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 ณ สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิอาเซียนในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และนับแต่นั้นมา มูลนิธิอาเซียนและเอสเอพีก็ได้ร่วมกันดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้สามยุทธศาสตร์หลักข้างต้น

          เคลาส์ แอนเดอร์เซ่น ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการของ เอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "ปี 2560 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับประชาคมอาเซียน เนื่องจากเป็นปีที่อาเซียนมีอายุครบ 50 ปี และมูลนิธิอาเซียนมีอายุครบ 20 ปี ประชาคมอาเซียนเดินทางมายาวไกล และเอสเอพีภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเพื่อช่วยอาเซียนสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม การช่วยให้โลกหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นและช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนถือเป็นหัวใจของทุกสิ่งที่เราทำ เรายินดีกับผลที่เกิดจากความร่วมมือในปีแรก และมั่นใจว่าการสานต่อความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยกำหนดทิศทางโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมของเรา อันจะนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมทั่วทั้งภูมิภาค"

          IMDA จากสิงคโปร์เตรียมร่วมจัดการแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers ปีหน้า

          ในฐานะที่สิงคโปร์เป็นประธานอาเซียนปี 2561 การแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคจึงจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในปีหน้า โดยมีหน่วยงานพัฒนาสารสนเทศและการสื่อสารของสิงคโปร์ (IMDA) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

          ASEAN Data Science Explorers เป็นการแข่งขันของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาจาก 10 ประเทศอาเซียน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในความเป็นอาเซียนในหมู่เยาวชน นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนและแพลตฟอร์ม Analytics Cloud ของเอสเอพี ที่จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น อนึ่ง โครงการนี้มีเป้าหมายในการฝึกทักษะด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ให้แก่เยาวชน 5,000 คนทั่วอาเซียนในปี 2561

          ตัน ฮุง เซ็ง ผู้แทนถาวรสิงคโปร์ประจำอาเซียน กล่าวว่า "สิงคโปร์มีความยินดีที่ได้จัดการแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคในปีหน้า โดยถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับพันธกิจของสิงคโปร์ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญกับความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรม การแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers จะสนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้แก่ประชาชน ผ่านการผลักดันให้เยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดิจิทัลมากขึ้น"

          สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ASEAN Data Science Explorers ได้ที่ http://www.aseandse.org/

DST ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็นแก่มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ



          - กิจกรรมมอบผลิตภัณฑ์ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้แก่เด็กด้อยโอกาส เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลก

          DST (NYSE: DST) ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี บริการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ และบริการดำเนินงานแก่อุตสาหกรรมการเงินและการดูแลสุขภาพทั่วโลก ประกาศว่า บริษัทได้มอบผลิตภัณฑ์ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้แก่มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ณ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Catalyst ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ของทางบริษัท

          DST ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม CSR ที่กรุงเทพฯ อย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับที่เมืองไฮเดอราบัดและเมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นการมอบโอกาสด้านการศึกษาและเสื้อผ้าให้กับเด็ก ๆ ที่ขาดแคลน รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนให้แก่เด็กด้อยโอกาสในชนบท สำหรับในประเทศไทยนั้น DST ร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหลายองค์กร อาทิ สภากาชาดไทย และ มูลนิธิกระจกเงา เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ขาดแคลน

          Ian Harris ประธาน DST IT Services กล่าวว่า "ที่ DST เรามุ่งมั่นรังสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชุมชนบนรากฐานพันธกิจอันแข็งแกร่งของเพื่อนร่วมองค์กร ผมรู้สึกภูมิใจที่เราสามารถช่วยพัฒนาชีวิตของเด็ก ๆ หลายร้อยคนที่มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ ผ่านทางโครงการ Catalyst นอกจากนี้ DST ยังได้ให้การสนับสนุนการบูรณะอาคารเรียนและจัดหาอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนวัดหนองหูช้าง ในจังหวัดปราจีนบุรี มาตั้งแต่ปี 2555"

          คุณอัญชลี เกร้าส์ หัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคล และประธานคณะกรรมการ Catalyst ของ DST IT Services กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาชุมชนที่มีความสำคัญและยั่งยืนเหล่านี้ เพื่อพัฒนาการศึกษาและชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กทั่วโลก และมุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมองค์กรในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนของเราต่อไป"

Australia's Failed Experiment: Five Years After Brand Censorship on Tobacco, Decline in Smoking Rates has Stalled




          - New Research Finds Most Australians Consider So-Called 'Plain' Packaging Ineffective, with Eight out of Ten Believing the Government Would Ignore Evidence if it Contradicted its Preferred Policy

          - Australians Concerned Regulation May Spread to Other Categories

          CanvasU, commissioned by JTI (Japan Tobacco International), recently conducted a poll to understand Australians' views on the policy five years after its implementation. The research found that:

          - Almost two-thirds (59%) of Australians believe that plain packaging has been ineffective.

          - The majority of Australians (80%) believe the government wouldn't change or would be reluctant to change a preferred policy if the evidence was weighted against it.

          Even the Australian government's own data justifies public scepticism; the most recent figures from the Australian Institute of Health and Welfare show that "…while smoking rates have been on a long-term downward trend, for the first time in over two decades, the daily smoking rate did not significantly decline over the most recent 3 year period (2013 to 2016)"[1]:

          "Unsurprisingly, early data from France and the United Kingdom is pointing in the same direction," states Michiel Reerink, JTI's Global Regulatory Strategy Vice President. According to a new report published by Europe Economics, since the Tobacco Products Directive (TPD2) and plain packaging requirements were implemented in both the UK and France, the combined policies haven't had any impact on smoking rates or tobacco sales.[2] Recent data published by the French public authorities confirms that after nine-months, the amount of tobacco products distributed to retailers remains stable.[3]

          Around the world, anti-tobacco activists and some health authorities are calling for similar experimental policies to be rolled-out on other product categories such as alcohol, sugary drinks and fast food. In December 2016, Public Health England published a report calling for plain packaging on alcohol,[4] a topic which has been raised again this month by medical journal The Lancet.[5] In Canada, the Ontario Medical Association has mocked up images of plain packaging on food and drink products.[6]

          It is therefore no surprise that CanvasU's research found that:

          - At least half of Australians think it is likely plain packaging will be introduced on alcohol and food & drink with a high sugar content in the future (or that it is already in place).

          In fact, a majority of Australians expect this policy to be just the start of an escalation in regulation against lifestyle in the future.

          "An increasing number of regulators are looking at extreme tobacco-style regulations on other product categories without considering proper evidence or research into the consequences. Brand owners should be worried about this domino-effect as policy-makers won't stop with tobacco," concludes Michiel Reerink.

     

Le Cordon Bleu Launches "Japanese Cuisine Diploma"



          Le Cordon Bleu, a leading global network of culinary arts and hospitality management institutes, officially launched its "Japanese Cuisine Diploma" on November 21 during an event at the Tokyo institute before members of foreign and domestic media. During the event, the new course that started in October 2017 was presented.

          The 6-month Japanese Cuisine Diploma program is divided into four levels -- initiation, basic, intermediate and superior -- and offers the techniques and knowledge of rich culinary culture through practical classes, cultural experience activities, and industry visits. Testimonials of former graduates who studied the Japanese cuisine and food culture human resource development program were introduced at the event as well. "In London, more and more people understand not only Japanese food and 'Kaiseki' but also philosophy and the dining experience, so I will bring back what I learn here...," said Junhua Ni, who also obtained the French culinary diploma at Le Cordon Bleu Tokyo and Paris.

          Prior to tasting Japanese cuisine dishes, chef Kiyoaki Deki, Technical Director of Japanese Cuisine, demonstrated knife skills and other cooking techniques in front of the assembly. The institute's history was presented by Gilles Company, Executive Chef at Le Cordon Bleu Japan, along with an introduction to the Japanese cuisine diploma, including the world-class chef instructors and lecturers of the program.

          Le Cordon Bleu Japan has been recognized as the first international culinary institute in Japan to be accredited by TOW Co. Ltd., the application/management body, to issue the "Certification of Cooking Skills for Japanese Cuisine in Foreign Countries," official guidelines established by the Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries.

          With a network of more than 35 schools in 20 countries, Le Cordon Bleu's mission is to teach a whole range of technical and university training programs for working in the restaurant, hotel and tourism industry. Founded in 1895, Le Cordon Bleu has over 120 years of excellence in teaching. "Our success, our reputation is nothing else but the success of our students...We are here to create successful students in their countries, and help them embrace their career," said Le Cordon Bleu President and CEO Andre Cointreau during the event.

          Website: https://www.cordonbleu.edu/japan/home/en

          SOURCE: Le Cordon Bleu Japan

Country Garden's Real Estate Projects in Malaysia Highlighted at StarProperty.myAwards: Jewels of Johor Awards Ceremony




          Chinese property developer Country Garden Holdings triumphed over competitors to receive several prestigious awards at 2017 StarProperty.myAwards: Jewels of Johor Awards ceremony held at the Thistle Hotel in Johor state, Malaysia on November 24, 2017.

          The awards ceremony was designed to recognize the most outstanding real estate developments and developers in Johor state, Malaysia. The event was graced by the presence of the Sultan of Johor, Sultan Ibrahim Ibni Almarhum Sultan Iskandar, who was accompanied by Johor Menteri Besar Datuk Seri Khaled Nordin, Tourism, Trade and Consumer Affairs of Johor State chairman YB Datuk Tee Siew Kiong, and State Housing and Local Government Committee of Johor State chairman Datuk Md Jais Sarday. The judging panel was made up of several dozen of Malaysia's leading business executives. Since expanding into Malaysia, Country Garden has received a number of coveted industry awards for its real estate projects there. The new awards again demonstrated the Chinese property developer's strength and influence.

          Country Garden Danga Bay won two prestigious awards, The Best Waterfront Development and The Best Quality & Finishing Developments. Forest City, a mega project which is also a harbinger of what we can expect from a living space in the future, also received The Best Sustainable Developments award. Country Garden Central Park, which was opened less than a year ago, was honored with The Best Family-Centric Developments award.

          Leading property developer focuses on creativity

          The fact that Country Garden Danga Bay out-rivaled counterparts in Malaysia to win two awards reconfirmed the success of Country Garden's first real estate development project outside of its home market in China. The project took four years to complete, and established the Chinese developer's steady and firm footprint in the country. With a unique location, complete commercial and living facilities, the outstanding building techniques applied during the construction process in tandem with the beautiful sand beaches and landscaped gardens, Danga Bay has become a symbol of excellence for the industry. As completed components of the project have been delivered to their owners, Danga Bay has recorded strong sales figures on the back of the unrivaled advantages provided to the buyers while meeting the commitment of providing new homeowners with a five-star rated abode.

          In addition, Country Garden Danga Bay was the recipient of awards including The International Quality Crown Award Gold Category London, iProperty.com People's Choice Award for Most Popular Malaysia Property, Asia-Pacific Property Awards for Best Commercial Landscape Architecture, Malaysia and Highly Commended Leisure Development, Malaysia, Malaysia Landscape Architecture Award, and International Diamond Prize for Excellence In Quality, helping the project become one of the most attention-drawing properties in Singapore and Malaysia.

          Forest City, winner of The Best Sustainable Developments award, also received several international awards since its launch, thanks to the firm's unique concept in terms of integrated planning and the speed at which the construction of support facilities was completed. Forest City was the recipient of awards including the Boston Society of Landscape Architect Award, Frost & Sullivan's Asia Pacific Property Development New Product Innovation Award for 2016, pre-certification at gold level under LEED-CS by USGBC, the Global Human Settlements Award on Planning and Design, MIPIM Asia's Best Future Mega Project Gold Award for 2016, Asia Pacific Property Award Mixed-Use Development Malaysia and Asia Pacific Property Award Architecture Multiple Residence Malaysia, becoming a model to emulate in terms of planning a future city.

          Country Garden Central Park, a new star in the Malaysian real estate market and the best of its class in Johor Bahru, boasts ultra-spacious private gardens and is the region's sole development to build a community that has adopted a lifestyle based around a park with extensive greenery and an environmentally responsible approach to all of the community's actions and efforts. In addition to beautiful natural scenes including a centrally located lake, the developer has laid out separate zones exclusively for walking, running and football. The project aims to provide the most sought-after yet affordable residential units to meet the expectations of the local population.

          Steady commitment assures rosy prospects

          As a leading integrated real estate developer in China, Country Garden has served more than 3 million property owners with over 900 high-quality real estate projects worldwide. In addition to China, the real estate developer has established a presence in Australia, Indonesia and Malaysia as well as in other markets. In 2017, the company entered the pantheon of the Forbes 300 and the Fortune Global 500.

          During a five-year period of overseas expansion, Country Garden has continued to evolve by rolling out Danga Bay, paving the way for the firm to stand out among competitors, Diamond City, which redefines the villa lifestyle, Forest City, which has become a coveted model for future city planning, and Central Park, which focuses on the best that community life can offer. Each employee at Country Garden is committed to best of class products and services by continuing to uphold craftsmanship. Looking forward, prospects for the company in both development in its home market of China and in its plans for international expansion remain promising and encouraging.

The ASEAN Foundation and SAP extend strategic collaboration to drive positive social impact in the Digital Economy




          - Inaugural year of collaboration reported over 16,000 lives impacted across ASEAN

          - Collaboration in 2018 to focus on pillars of education and entrepreneurship, with the aim of creating a sustainable future for ASEAN

          - Singapore will host ASEAN Data Science Explorers regional finals in 2018

          The ASEAN Foundation and SAP SE (NYSE: SAP) today announced the continuation of their strategic collaboration into 2018, following a successful collaboration in its first year to bring about social impact in ASEAN. Under the Memorandum of Understanding (MoU) between the ASEAN Foundation and SAP, both organisations will jointly roll out initiatives under two strategic pillars next year, namely Education and Entrepreneurship.

          The initiatives are aimed at equipping ASEAN youths with the skills they need to tackle society's problems and thrive in the digital economy; build the capacity of innovative social enterprises that put young people on the path to successful careers and build a skilled workforce for the IT sector with training and workforce development programmes.

          The inaugural year of this collaboration yielded positive outcomes under the following pillars:

          Education

          - The ASEAN Data Science Explorers competition attracted 804 participants from 112 institutions across the 10 ASEAN member states. In the lead-up to the competition, students were trained in SAP's Analytics Cloud software through a series of webinars and in-country seminars, with more than 600 students accessing the platform.
          - The competition solicited data-driven insights and ideas on the most pressing social issues in the region. Some highlights include the submission by Team "Omotesando" from Indonesia that aims to accelerate financial inclusion as a solution to poverty eradication through branchless banking, and the submission by Team "Tonkar Data" from Laos which proposes the adoption of smart and vertical farming in ASEAN to improve productivity in agriculture.

          Volunteerism

          - The Youth Volunteering Innovation Challenge (YVIC), under the theme "Impact ASEAN", supported young volunteers throughout the ASEAN region in their journey to catalyze youth-led innovation for social impact and sustainable development by providing access to mentors and capital they need to start or scale up their projects.
          - 29 young volunteer innovators from ten teams across ASEAN participated in the YVIC 2017 as part of a collaborative effort by the United Nations Volunteers (UNV), United Nations Development Programme (UNDP), the International Labour Organisation (ILO), the ASEAN Foundation, the ASEAN Secretariat, SAP and with the close support of the Government of Germany.

          Entrepreneurship

          - Under the collaboration, SAP supported 9 out of the Top 50 ASEAN social enterprises through two programmes namely the SAP Social Sabbatical and NUS Crossing the Chasm Challenge. SAP employees provided mentorship and consulting to help the enterprises run better.

          "Through this synergetic collaboration, we have been able to leverage resources from both organizations to inspire ASEAN youths to actively participate in efforts towards driving a sustainable future for ASEAN. With digitization being the pivotal force in today's ASEAN economies, both the public and the private sector need to work together to impart digital skills to the young. SAP has been a strong supporter in making consistent effort to move the needle in this respect; we hope to continue to collaborate with them to prepare ASEAN's workforce for the future," said Elaine Tan, the Executive Director of the ASEAN Foundation.

          The MoU was first signed on May 9, 2017 at the ASEAN Foundation headquarters in Jakarta, Indonesia. Since then, the ASEAN Foundation and SAP have been executing all the programmes under the three pillars.

          "2017 has been a special year for the ASEAN community, with ASEAN turning 50 and the ASEAN Foundation celebrating its 20th anniversary. The community has come a long way and through this collaboration, SAP is proud to have been part of this journey to help ASEAN write the next chapter towards a more sustainable future," said Claus Andresen, President and Managing Director, SAP Southeast Asia. "Helping the world run better and improving people's lives is at the heart of everything we do at SAP and we are pleased with the outcomes of the collaboration in the first year. I am confident that the renewal of this collaboration will help scale our ambitious CSR programs to create even greater positive impact across the region."

          Singapore's IMDA to Co-Host ASEAN Data Science Explorers 2018

          In light of Singapore's chairmanship of ASEAN in 2018, the ASEAN Data Science Explorers 2018 regional finals will be held in Singapore, with Singapore's Infocomm Media Development Authority (IMDA) as a hosting partner.

          The ASEAN Data Science Explorers targets tertiary students in all 10 ASEAN member states. It is designed to promote awareness and appreciation of the ASEAN community amongst young people. Student participants are given access to ASEAN data as well as SAP Analytics Cloud platform, which allows them to better derive data-driven insights. In 2018, the programme aims to reach out to 5,000 youths across ASEAN, with the objective of training them in data and analytics skills.

          "Singapore is pleased to host the ASEAN Data Science Explorers regional finals next year. It is one of the events that dovetails with the themes of Singapore's ASEAN Chairmanship, which will focus on Resilience and Innovation. By encouraging digital literacy among our youths, the ASEAN Data Science Explorers programme will support ASEAN's efforts to harness digital technologies to secure a better future for our citizens," said Ambassador Tan Hung Seng, Singapore Permanent Representative to ASEAN.

          For more information on the ASEAN Data Science Explorers, please visit: http://www.aseandse.org/

          Notes to Editor:

          About ASEAN Foundation

          Three decades after ASEAN was established, ASEAN leaders recognised that: there remained inadequate shared prosperity, ASEAN awareness and contact among people of ASEAN. It was of this concern that ASEAN leaders established ASEAN Foundation during ASEAN's 30th Anniversary Commemorative Summit in Kuala Lumpur Malaysia on 15 December 1997. ASEAN Foundation is an organisation from and for the people of ASEAN. The Foundation exists because of one vision: to build a cohesive and prosperous ASEAN Community. As an ASEAN's body, the Foundation is tasked to support ASEAN mainly in promoting awareness, identity, interaction and development of the people of ASEAN. For more info about the ASEAN Foundation, visit: www.aseanfoundation.org

          About SAP

          As market leader in enterprise application software, SAP (NYSE: SAP) helps companies of all sizes and industries run better. From back office to boardroom, warehouse to storefront, desktop to mobile device -- SAP empowers people and organizations to work together more efficiently and use business insight more effectively to stay ahead of the competition. SAP applications and services enable more than 365,000 business and public sector customers to operate profitably, adapt continuously, and grow sustainably. For more information, visit www.sap.com .

งาน 2017 Sanya Energy International Forum เปิดเวทีแชร์มุมมองอนาคตพลังงานสะอาด

          การประชุมด้านพลังงาน 2017 Sanya Energy International Forum (SEIF) ที่เมืองซานย่า มณฑลไห่หนาน ประเทศจีน ในวันที่ 7 และ 8 ธันวาคมนี้ จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "พลังงานสีเขียวและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ" โดยเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านพลังงานประมาณ 200 คนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการใช้พลังงานทั่วโลกในปัจจุบัน ตลอดจนการบูรณาการและการพัฒนาพลังงานสีเขียวควบคู่กับการสร้างเมืองอัจฉริยะ

          การประชุมจะมุ่งไปที่การพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพลังงานสะอาด เช่น "โอกาสใหม่ๆ ที่เกิดจากความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างประเทศ ภายใต้ Belt & Road Initiative," "อนาคตของการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน" และ "ทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า" โดยตัวแทนจากบริษัทพลังงานชั้นนำของจีนและต่างประเทศ อาทิ บีพี เชลล์ บีเอเอสเอฟ และดาว จะมารวมตัวกันที่งานนี้เพื่อระดมความคิด แบ่งปันวิสัยทัศน์เรื่องพลังงาน รวมทั้งเจาะลึกถึงโอกาสการพัฒนาและความก้าวหน้าล่าสุดด้านพลังงานสะอาด ขณะเดียวกัน ภายในงานยังจะมีการสัมมนา 2017 MNC General Assembly Meeting and Sustainable Development Seminar อีกด้วย

          สำนักงานบริหารพลังงานแห่งชาติจีน คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปมณฑลไห่หนาน และรัฐบาลเมืองซานย่าได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้งาน SEIF ครั้งนี้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง โดยสมาคมนโยบายศาสตร์จีน สมาพันธ์อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์จีน และบริษัท Changfeng Energy Inc. ได้ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น ขณะที่บริษัท Sanya Changfeng International Energy Forum Co., Ltd., สมาพันธ์ Going Global Confederation และคณะกรรมการ CPCIF Committee of Multinationals เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ

          ที่มา: Changfeng Energy Inc.

2017 Sanya Energy International Forum Kicks Off in Sanya, China

           Themed on "Green Energy and Low Carbon Economy", the 2017 Sanya Energy International Forum (SEIF) will be held in Sanya, Hainan, China on December 7th and 8th, 2017. By then, about 200 pundits academics from the energy sector from China and abroad will congregate at the forum to exchange views on the current global energy utilization, and integration and co-construction of green energy and smart city.

          This forum will center on clean energy topics such as "New Opportunities of International Energy Cooperation Under the Belt & Road Initiative", "Future Development of Hydrogen Energy" and "Direction that the Electronic Vehicle Industry Is Heading Toward". Representatives from China and foreign leading energy enterprises, including BP, Shell, BASF and Dow, will gather at the forum to put their heads together, share visionary perspectives on energy and delve into the development prospects and latest advances of clean energy. Meanwhile, the forum will also hold the 2017 MNC General Assembly Meeting and Sustainable Development Seminar.

          The National Energy Administration, Hainan Development and Reform Commission, and Sanya Municipal People's Government have given their full support in materializing SEIF. The grand event is co-organized by China Association of Policy Science, China Petroleum and Chemical Industry Federation, and Changfeng Energy Inc., and undertaken by Sanya Changfeng International Energy Forum Co., Ltd., the Going Global Confederation and CPCIF Committee of Multinationals.

          Source: Changfeng Energy Inc.

The ASEAN Foundation and SAP extend strategic collaboration to drive positive social impact in the Digital Economy

          - Inaugural year of collaboration reported over 16,000 lives impacted across ASEAN

          - Collaboration in 2018 to focus on pillars of education and entrepreneurship, with the aim of creating a sustainable future for ASEAN

          - Singapore will host ASEAN Data Science Explorers regional finals in 2018



          The ASEAN Foundation and SAP SE (NYSE: SAP) today announced the continuation of their strategic collaboration into 2018, following a successful collaboration in its first year to bring about social impact in ASEAN. Under the Memorandum of Understanding (MoU) between the ASEAN Foundation and SAP, both organisations will jointly roll out initiatives under two strategic pillars next year, namely Education and Entrepreneurship.

          The initiatives are aimed at equipping ASEAN youths with the skills they need to tackle society's problems and thrive in the digital economy; build the capacity of innovative social enterprises that put young people on the path to successful careers and build a skilled workforce for the IT sector with training and workforce development programmes.

          The inaugural year of this collaboration yielded positive outcomes under the following pillars:

          Education

          - The ASEAN Data Science Explorers competition attracted 804 participants from 112 institutions across the 10 ASEAN member states. In the lead-up to the competition, students were trained in SAP's Analytics Cloud software through a series of webinars and in-country seminars, with more than 600 students accessing the platform.
          - The competition solicited data-driven insights and ideas on the most pressing social issues in the region. Some highlights include the submission by Team "Omotesando" from Indonesia that aims to accelerate financial inclusion as a solution to poverty eradication through branchless banking, and the submission by Team "Tonkar Data" from Laos which proposes the adoption of smart and vertical farming in ASEAN to improve productivity in agriculture.

          Volunteerism

          - The Youth Volunteering Innovation Challenge (YVIC), under the theme "Impact ASEAN", supported young volunteers throughout the ASEAN region in their journey to catalyze youth-led innovation for social impact and sustainable development by providing access to mentors and capital they need to start or scale up their projects.
          - 29 young volunteer innovators from ten teams across ASEAN participated in the YVIC 2017 as part of a collaborative effort by the United Nations Volunteers (UNV), United Nations Development Programme (UNDP), the International Labour Organisation (ILO), the ASEAN Foundation, the ASEAN Secretariat, SAP and with the close support of the Government of Germany.

          Entrepreneurship

          - Under the collaboration, SAP supported 9 out of the Top 50 ASEAN social enterprises through two programmes namely the SAP Social Sabbatical and NUS Crossing the Chasm Challenge. SAP employees provided mentorship and consulting to help the enterprises run better.

          "Through this synergetic collaboration, we have been able to leverage resources from both organizations to inspire ASEAN youths to actively participate in efforts towards driving a sustainable future for ASEAN. With digitization being the pivotal force in today's ASEAN economies, both the public and the private sector need to work together to impart digital skills to the young. SAP has been a strong supporter in making consistent effort to move the needle in this respect; we hope to continue to collaborate with them to prepare ASEAN's workforce for the future," said Elaine Tan, the Executive Director of the ASEAN Foundation.

          The MoU was first signed on May 9, 2017 at the ASEAN Foundation headquarters in Jakarta, Indonesia. Since then, the ASEAN Foundation and SAP have been executing all the programmes under the three pillars.

          "2017 has been a special year for the ASEAN community, with ASEAN turning 50 and the ASEAN Foundation celebrating its 20th anniversary. The community has come a long way and through this collaboration, SAP is proud to have been part of this journey to help ASEAN write the next chapter towards a more sustainable future," said Claus Andresen, President and Managing Director, SAP Southeast Asia. "Helping the world run better and improving people's lives is at the heart of everything we do at SAP and we are pleased with the outcomes of the collaboration in the first year. I am confident that the renewal of this collaboration will help scale our ambitious CSR programs to create even greater positive impact across the region."

          Singapore's IMDA to Co-Host ASEAN Data Science Explorers 2018

          In light of Singapore's chairmanship of ASEAN in 2018, the ASEAN Data Science Explorers 2018 regional finals will be held in Singapore, with Singapore's Infocomm Media Development Authority (IMDA) as a hosting partner.

          The ASEAN Data Science Explorers targets tertiary students in all 10 ASEAN member states. It is designed to promote awareness and appreciation of the ASEAN community amongst young people. Student participants are given access to ASEAN data as well as SAP Analytics Cloud platform, which allows them to better derive data-driven insights. In 2018, the programme aims to reach out to 5,000 youths across ASEAN, with the objective of training them in data and analytics skills.

          "Singapore is pleased to host the ASEAN Data Science Explorers regional finals next year. It is one of the events that dovetails with the themes of Singapore's ASEAN Chairmanship, which will focus on Resilience and Innovation. By encouraging digital literacy among our youths, the ASEAN Data Science Explorers programme will support ASEAN's efforts to harness digital technologies to secure a better future for our citizens," said Ambassador Tan Hung Seng, Singapore Permanent Representative to ASEAN.

          For more information on the ASEAN Data Science Explorers, please visit: http://www.aseandse.org/

          About ASEAN Foundation

          Three decades after ASEAN was established, ASEAN leaders recognised that: there remained inadequate shared prosperity, ASEAN awareness and contact among people of ASEAN. It was of this concern that ASEAN leaders established ASEAN Foundation during ASEAN's 30th Anniversary Commemorative Summit in Kuala Lumpur Malaysia on 15 December 1997. ASEAN Foundation is an organisation from and for the people of ASEAN. The Foundation exists because of one vision: to build a cohesive and prosperous ASEAN Community. As an ASEAN's body, the Foundation is tasked to support ASEAN mainly in promoting awareness, identity, interaction and development of the people of ASEAN. For more info about the ASEAN Foundation, visit: www.aseanfoundation.org

          About SAP

          As market leader in enterprise application software, SAP (NYSE: SAP) helps companies of all sizes and industries run better. From back office to boardroom, warehouse to storefront, desktop to mobile device -- SAP empowers people and organizations to work together more efficiently and use business insight more effectively to stay ahead of the competition. SAP applications and services enable more than 365,000 business and public sector customers to operate profitably, adapt continuously, and grow sustainably. For more information, visit www.sap.com .



Spreadtrum's SC9853I Debuts on LEAGOO's T5c Smartphones

          At Mobile World Congress 2017, Intel collaborated with Spreadtrum to introduce a new mobile SoC - SC9853I.



          As an octa-core Intel Airmont SoC designed for LTE smartphones, SC9853I is Spreadtrum and Intel's joint innovation product targeting to mid-range and high-level smartphone market. Based on Intel's 14nm FinFET process technology, SC9853I is affordable, power-efficient and its performance prevails over its competitors due to x86's performance-oriented structure.

          In 2017, Spreadtrum, the leading fabless semiconductor company got listed as one of the top three global chipmakers in terms of market shares, only after Qualcomm and MediaTek. Now the Shanghai-based emerging tech giant plans to surpass MediaTek on mid-range mobile industry and is trying to catch up with Qualcomm in the high-level smartphone market. And their latest initiative, SC9853I echoes the same.

          Spreadtrum, which is already working with various global brands, has been very meticulous or even picky to select its first SC9853I smartphone partner because its ambition has little tolerance for business mistakes. What Spreadtrum really wanted was a smartphone manufacturer with reliable products and global footprints to penetrate in the world mobile market. And LEAGOO emerged as a preferred choice for Spreadtrum.

          Speaking of LEAGOO, if you are a football fan of Premiere League, you must be familiar with this brand name because LEAGOO is the world's third company sponsoring top Europe football team (Tottenham Hotspur), only after OPPO (FC Barcelona) and TECNO (Manchester City).

          Statistically, LEAGOO has 160,000m2 of factory area, over 5,000 employees, 50 factory assembling lines and a production capacity of more than 20 million smartphones per year.

          Dubbed as "Prince of Southeast Asia", LEAGOO ranked "Top 10 China Export Phone Brands in Asia" and "Top 3 Chinese Phone Brands for Oversea E-commerce Business" in 2016.

          With its recently launched full-screen flagship phones "LEAGOO S8/S8 Pro", LEAGOO is receiving positive feedbacks, thus motivating the emerging Chinese brands to make even bolder moves.

          LEAGOO's next target is focused on the $100-$120 smartphones, and aims to exploit the mid-range and entry-level handset markets to the fullest. With that said, LEAGOO seems to be ready to use high-spec hardware even on its mid-range and entry-level smartphones. And choosing Spreadtrum SC9853I for its latest product - LEAGOO T5c, a mid-range smartphone with high-spec performance is a testimony of the same. Being the first global smartphone manufacturer to use Spreadtrum SC9853I, LEAGOO appears to be confident that the future mid-range and budget phones can be even more available with improved performance. Let's wait and see if T5c will make that happen.

          To know more about LEAGOO T5c: http://www.leagoo.com/leagoo-t5c-global-reservation/



โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 ชวนสัมผัสวิถีชุมชน ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก


โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยววิถีชุมชนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ในจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท และลพบุรี จะเดินทางแบบไป-กลับ หรือนอนค้างสักคืนสองคืน ก็สามารถสัมผัสความเป็นอยู่แบบวิถีชุมชนและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นรับลมหนาว พร้อมร่วมกิจกรรมและช็อปสินค้า OTOP

ขอประเดิมกันที่ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2519 เพื่อเป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ราษฎร ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดท่าสุทธาวาส ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีทัศนียภาพโดยรอบร่มรื่นและสวยงาม เป็นอาคารทรงไทย 2 ชั้น ชื่อว่า “คุ้มสุวรรณภูมิ” ชั้นบนแสดงนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ชั้นล่างเป็นที่ทำการของกลุ่มปั้นตุ๊กตาชาววัง มีการจัดแสดงผลงานและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาชาววัง พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดอ่างทอง ในราคาที่ย่อมเยา เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนแห่งนี้ได้อย่างยั่งยืน และเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมการสาธิตการปั้นตุ๊กตาชาววัง เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาด้วยดินเหนียวที่แสดงให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและวัฒนธรรมประเพณีไทยต่าง ๆ เช่น การละเล่นของเด็กไทย วงมโหรีปี่พาทย์ สุภาษิตคำพังเพยไทย หรือรูปผลไม้ไทยหลากหลายชนิด ซึ่งล้วนมีความสวยงามน่ารัก และรูปแบบต่างๆ มากมาย นอกจากศูนย์ตุ๊กตาชาววังแห่งนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถชมการปั้นตุ๊กตาชาววัง ได้ที่บ้านเรือนของประชาชนในละแวกนั้นได้อย่างเป็นกันเอง โดยแต่ละบ้านจะมีรูปแบบการปั้นตุ๊กตาที่แตกต่างกันไป

เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาชาววังกันแล้ว  เดินทางต่อมาอีกไม่ไกลมาที่หมู่บ้านทำกลอง ต.เอกราช  อ.ป่าโมก จ.อ่างทองเช่นกัน   นับเป็นหมู่บ้านผลิตกลองที่มีชื่อเสียงและดีที่สุดในประเทศไทย ชาวบ้านริเริ่มผลิตกลองตั้งแต่ พ.ศ.2470 เพื่อเป็นอาชีพเสริมหลังฤดูเก็บเกี่ยว โดยใช้ไม้ฉำฉามาทำกลองเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่สามารถขุดเนื้อไม้ได้ง่าย และอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญ คือ หนังวัว ที่ต้องเตรียมไว้สำหรับขึงทำหน้ากลอง

นักท่องเที่ยวสามารถชมกรรมวิธีการทำกลองซึ่งหาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน  ตั้งแต่การกลึงท่อนไม้ ไปจนถึงขั้นตอนการขึ้นกลอง การฝังหมุด จะได้เห็นถึงฝีมือการทำที่มีคุณภาพ ประณีต สวยงาม และยังสามารถซื้อกลับบ้านได้อีกด้วย

ต่อกันด้วยชุมชนลาวแง้ว บ้านทองเอน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ความพิเศษของชุมชนนี้คือชาวบ้านทองเอนนั้น มีบรรพบุรุษเป็นชาวลาว จากหัวเมืองแถบหลวงพระบาง ซึ่งอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านทองเอน เนื่องมาจากสงครามศึกเจ้าอนุวงศ์ ตั้งแต่ พ.ศ.2371-2373 ด้วยเหตุนี้  นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างชาวไทยและชาวลาวเมื่อมาเที่ยวชมบ้านทองเอน ตลอดจนวัฒนธรรมของชาวลาวแง้ว ไม่ว่าจะเป็นการพูดภาษาท้องถิ่น การดำเนินชีวิต อาหารพื้นเมือง และประเพณีต่างๆ ที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด


นอกจากนี้ ยังมีบริการรถรางสำหรับเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ อาทิ ต้นจำปาร้อยปี ไหว้หลวงพ่อดีศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดกลาง ชมเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 ที่วัดไผ่ดำ ชมกอไผ่ดำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน เยี่ยมชมกลุ่มแม่บ้านทำปลาส้ม กลุ่มจักสานงอบลาวแง้ว ลงเรือเก็บดอกบัวไหว้พระ สานพัดจีน พัดใบตำลึง ชมบ้านเฮือนไทย ของใช้ในอดีต ชมบ่อปลาขนาดใหญ่ที่สุดของบ้านเชียงราก เยี่ยมชมโรงทำน้ำอ้อยงบร้อยปี กินข้าวนั่งโตกพาแลง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่หาชมได้ยาก เช่น ประเพณีแห่ข้าวพันก้อน ขึ้น 12-13 ค่ำ เดือน 11 ประเพณีเทศมหาชาดเวชสันดรชาดก งานม่วนซื่นหมู่เฮาไทย-ลาวแง้ว ทองเอน ขึ้น 14-15 กลางเดือน 4 ของทุกปี บุญเบิกบ้านเดือน 6 เป็นต้น รับรองได้ว่ามาเยือนบ้านลาวแง้ว ทองเอน จะได้สัมผัสกับความเป็นลาวแง้วแบบดั้งเดิม และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวลาวแง้วอย่างแน่นอน หากยังไม่หนำใจกับการดื่มด่ำวัฒนธรรมแบบชาวลาว เดินทางต่อมาอีกนิดที่จังหวัดชัยนาท มาเยือนชุมชนวัฒนธรรมลาวครั่ง กุดจอก จ.ชัยนาท ตั้งอยู่ที่บ้านกุดจอก ต.กุดจอก อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ชุมชนนี้สืบเชื้อสายมาจากลาวแถบหลวงพระบางเช่นกัน อพยพเคลื่อนย้ายมายังแผ่นดินไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์แถบจังหวัดกาญจนบุรี-สุพรรณบุรี และได้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนบริเวณบ้านกุดจอกเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี ทำให้เกิดการผสมผสานชาติพันธุ์ตลอดจนวิถีชีวิตวัฒนธรรม แต่ยังคงมีการสืบสานวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตน มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของลาวครั่ง

ชุมชนได้เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมเยือน โดยมีสถานที่สำคัญ ดังนี้ วัดศรีสโมสร เป็นวัดสำคัญประจำหมู่บ้าน ที่หอสวดมนต์เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการถาวร มีเนื้อที่จัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นการจัดแสดงเรื่องทางศาสนา มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ส่วนที่สองจัดแสดงประวัติชุมชน เล่าเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่สามเป็นเรื่องของใช้โบราณที่บรรพบุรุษในชุมชนใช้มาจัดแสดง อาทิ ผ้าทอ คัมภีร์ใบลาน ภาพหอเก็บ

ภายในชุมชนวัฒนธรรมลาวครั่งกุดจอก มีการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีและได้เปิดบ้านให้ผู้สนใจได้มาศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิต คือ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการทำขนมจีนโบราณ การทอผ้าพื้นเมือง การจักสาน การทำอาหารท้องถิ่น สมุนไพรพื้นเมือง การผลิตข้าวซ้อมมือ พิธีกรรมความเชื่อ พิธีบายศรีสู่ขวัญ และการรับประทานอาหารพื้นเมือง มีการจัดงานประเพณี "ต้อนฮับสังขาร บุญสงกรานต์ปีใหม่ไท" ในระหว่างวันที่    14-16 เมษายนของทุกปี

เต็มอิ่มกันด้วยการศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมแบบชาวลาวแง้วและลาวครั่ง มาต่อกันที่การท่องเที่ยววิถีชุมชนที่บ้านมหาสอน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี  เป็นชุมชนที่อยู่ริมคลองบางขาม ซึ่งเป็นสายน้ำประวัติศาสตร์ ชาวมหาสอนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีอาชีพเกษตรเป็นหลัก น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ดำเนินชีวิต เมื่อเข้ามาในชุมชน นักท่องเที่ยวจะได้นั่งรถอีแต๋นเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ บ้านสวนขวัญ บ้านชมการเพาะเห็ดที่บ้านเห็ด ไหว้พระทำบุญที่วัดมหาสอน ชมพระนาคปรกที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งพระประจำจังหวัดลพบุรี ชมวัดห้วยแก้ว เจดีย์ที่สร้างด้วยแรงศรัทรา ไหว้พระแม่จามเทวีที่วัดบางพึ่ง ล่องเรือชมวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำ ถ่ายรูปกับหนุมานอ้าปาก ที่วัดคุ้งท่าเลา ชมทิวทัศน์ ยามเย็นชมแพปลาที่บ้านญวณ ชมโบรถ์คริสต์ วัดนักบุญลูกา มีอายุ 101 ปี ชมบ้านไม้โบราณ และเรื่องเล่าจากคลองบางขาม เรียนรู้กับภูมิปัญญาไทย ชมการทำผ้าบาติกน้ำเต้าหู้ ชมพิพิธภัณฑ์เกษตรวิถีถิ่น ชมการงานฝีมือสานตะกร้า สู่สินค้า OTOP ห้าดาวระดับประเทศ



จูบิแลนท์ ไบโอซิส ประกาศความสำเร็จขั้นแรกในโครงการวิจัยโรคเมตาบอลิซึมร่วมกับซาโนฟี่

          จูบิแลนท์ ไบโอซิส จำกัด ( Jubilant Biosys Ltd. ) บริษัทย่อยของจูบิแลนท์ ไลฟ์ ไซแอนเซส จำกัด (Jubilant Life Sciences Ltd) ในเมืองเบงกาลูรู ประกาศความสำเร็จในโครงการความร่วมมือด้านความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม กับ บริษัท ซาโนฟี่ จากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ซึ่งก้าวย่างครั้งสำคัญนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอันสัมฤทธิ์ผลของโครงการความร่วมมือดังกล่าวสู่กระบวนการค้นพบและพัฒนาในขั้นต่อไป      
          ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานในโครงการที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2559 อันมุ่งเน้นเกี่ยวกับ การค้นคว้าและการพัฒนา ยาต้านโมเลกุลขนาดเล็ก สำหรับเป้าหมายหลากหลายประการในการรักษาความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคอ้วน ทั้งนี้ จูบิแลนท์ ไบโอซิส ยืนยันถึงความสำเร็จขั้นแรกของความร่วมมือในครั้งนี้ และจะยังคงนำแพลตฟอร์มการค้นคว้าด้านเวชภัณฑ์แบบบูรณาการอันเปี่ยมประสิทธิภาพของบริษัทมาใช้สร้างโมเลกุลใหม่ ๆ ที่สามารถแสดงให้เห็นหลักฐานการพิสูจน์ทางคลินิก

          สตีเฟน ฮัทชินส์ ประธานฝ่ายโซลูชั่นการค้นคว้ายาของจูบิแลนท์ ไบโอซิส เปิดเผยว่า "จูบิแลนท์ ไบโอซิสได้ลงทุนในแพลตฟอร์มโรคเกี่ยวกับเมตาบอลิซึมเพื่อที่จะได้ค้นคว้าและพัฒนาตัวยาโมเลกุลเล็ก นับตั้งแต่ความร่วมมือครั้งนี้เริ่มต้นขึ้น ทีมงานของจูบิแลนท์ ไบโอซิสและซาโนฟี่ได้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดในโครงการยาที่ใช้กลไกใหม่และมีความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคทางเมตาบอลิซึม เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการเหล่านี้ต่อไปผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งมอบตัวยาสำคัญใหม่ ๆ สำหรับใช้รักษาโรคเบาหวาน"

          ดร.ฟิลิป จัสต์ ลาร์เซน หัวหน้าฝ่ายการวิจัยโรคเบาหวานระหว่างประเทศ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ บริษัท ซาโนฟี่ ประเทศเยอรมนี ระบุว่า "ซาโนฟี่ยังคงคิดค้นเพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก้ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเมตาบอลิซึม ความร่วมมือกับจูบิแลนท์ ไบโอซิสซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีนี้ จะฉายภาพความมุ่งมั่นในการค้นคว้าและพัฒนาการรักษาใหม่ ๆ ต่อไป เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนต่างๆ"

          เกี่ยวกับจูบิแลนท์ ไบโอซิส

          จูบิแลนท์ ไบโอซิส เป็นบริษัทย่อยของจูบิแลนท์ ไลฟ์ ไซแอนเซส จำกัด บริษัทชีววิทยาศาสตร์และเภสัชภัณฑ์ระดับโลกแบบครบวงจร มีสำนักงานอยู่ในเมืองเบงกาลูรูและนอยดาของอินเดีย จูบิแลนท์ ไบโอซิส มีความเชี่ยวชาญในการบำบัดโรคหลายแขนง อาทิ โรคเนื้องอก ความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม อาการเจ็บปวดและอักเสบ รวมถึง โรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) อย่างไม่จำกัด โมเดลธุรกิจของ จูบิแลนท์ ไบโอซิส ครอบคลุมบริการค้นคว้าด้านเวชภัณฑ์ นวัตกรรมจดทะเบียนภายในองค์กร และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สามารถนำไปใช้ในการวิจัยร่วม การเป็นหุ้นส่วน และการออกสิทธิบัตร

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.jubilantbiosys.com ; http://www.jubl.com

          ติดต่อ:
          Dr. Rajiv Tyagi
          โทร: +91-80-66628400
          อีเมล: Rajiv_Tyagi@jubilantbiosys.com

          ที่มา: จูบิแลนท์ ไบโอซิส

Jubilant Biosys Announces Successful Achievement of an Early Milestone Related to One of Their Collaborative Discovery Programs

           Jubilant Biosys Ltd. , a Bengaluru-based subsidiary of Jubilant Life Sciences Ltd., announced today that they successfully achieved an early-stage milestone related to a collaborative program with Sanofi in Frankfurt, Germany focused on metabolic disorders. The milestone reflects the successful transition of a collaborative program to the next phase in the discovery and development process.
          This alliance is part of a portfolio of programs, which began in 2016, focused on the  discovery and development of small molecule inhibitors for multiple targets designed to address the unmet medical needs in diabetes and obesity. Jubilant Biosys confirmed receiving payment for the first milestone achievement for this collaboration. Jubilant Biosys will continue to apply its effective integrated drug discovery platform to generate novel molecules that can demonstrate clinical proof-of-mechanism.

          "Jubilant Biosys has invested in its metabolic disease platform to enable the discovery and development of small molecule therapeutics. Since inception of this collaboration, the teams at Jubilant Biosys and Sanofi have worked closely on several first-in-class metabolic disease programs. We look forward to advancing these programs further through the discovery and development process to deliver important new therapeutics to treat diabetes," said Mr. Steven Hutchins, Jubilant Biosys, President, Drug Discovery Solutions.

          Dr. Philip Just Larsen, Global Head of Diabetes Research & Chief Scientific Officer, Sanofi, Germany, said: "Sanofi works on continuously innovating to deliver value for people living with metabolic disorders. This productive collaboration with Jubilant Biosys further illustrates our commitment to discover and develop new therapies to support patients with diabetes or its complications."

          About Jubilant Biosys Limited

          Jubilant Biosys a subsidiary of Jubilant Life sciences Ltd, an integrated global pharmaceutical and life sciences company, has presence in Bengaluru and Noida in India. Jubilant Biosys has demonstrated expertise in multiple therapeutic areas including but not limited to Oncology, Metabolic Disorders, Pain & Inflammation and CNS. The business model includes drug discovery services, proprietary in-house innovation and strategic investments as the core components which are available for collaborative research, partnership and out-licensing.

          For more info: http://www.jubilantbiosys.com ; http://www.jubl.com

          For Business Development:
          Dr. Rajiv Tyagi
          Tel: +91-80-66628400
          Email: Rajiv_Tyagi@jubilantbiosys.com

          Source: Jubilant Biosys

Living Talent ภูมิใจนำเสนอ Masterpiece 2017 เวทีเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์หลากหลายสาขาจากนานาทวีปรายการแรกของโลก

          - อีร์ฟาน ข่าน นักแสดงชาวอินเดียผู้มีชื่อเสียงดังไกลระดับสากล ประเดิมบทบาทกรรมการตัดสินการแข่งขันเป็นครั้งแรก

          Living Talent บริษัทเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์จากนานาทวีปทั่วโลก ประกาศเปิดตัว Masterpiece 2017 เวทีแสดงความสามารถระดับโลกซึ่งจะจัดขึ้นที่ Dubai Festival City ในวันที่ 15-16 ธันวาคมนี้ โดยเป็นการแข่งขันรายการแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้แข่งขันที่มี่คุณสมบัติเหมาะสมจากทั่วทุกมุมโลกมาประชันฝีมือกันในสาขาต่างๆ ได้แก่ ศิลปะและงานฝีมือ, การแสดง และนวัตกรรม ซึ่งผู้แข่งขันจะต้องแสดงความสามารถพิเศษต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อชิงตำแหน่ง 'The Living Masterpiece' ในแต่ละสาขา      
          คณะกรรมการตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ประกอบไปด้วยเซเลบริตี้สุดฮอตจาก 5 ทวีป ได้แก่
          - นาตาเลีย โอเรย์โร นักร้องและนักแสดงชาวอาร์เจนตินา
          - คอเนอร์ วอลตัน ศิลปินจากสหราชอาณาจักร
          - มารินา เดบรีส์ ศิลปินและนักออกแบบชาวออสเตรเลีย
          - อดัม มิลเลอร์ ศิลปินจากสหรัฐอเมริกา
          - รูแพม ชาร์มา เจ้าของรางวัล MIT Award สาขา Social Innovator
          - มายูร์ แรมจี นักเขียนและผู้บุกเบิกนวัตกรรมชื่อก้องโลก
          - อีร์ฟาน ข่าน นักแสดงชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงในฮอลลีวูด
          - ลอเร็น ก็อตต์ลีบ นักแสดงภาพยนตร์ภาษาฮินดีเรื่อง "ABCD"
          *สมทบด้วยดาราดังที่สร้างชื่อมาด้วยตัวเองอย่าง อาร์เจ นาเว็ด, แรนวีเจย์ ซิงห์, ริชา ชัดดา และคารัน วาฮี

          ผู้เข้าแข่งขันที่มีคุณสมบัติเหมาะสม 225 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากวิดีโอที่ส่งเข้ามาทางออนไลน์ จะได้เดินทางไปดูไบ (พร้อมผู้ติดตาม 1 คน) เพื่อประชันฝีมือกับผู้แข่งขันจากทั่วทุกมุมโลก และยิ่งไปกว่านั้นทางผู้จัดยังจะยกเว้นค่าธรรมเนียมให้เป็นพิเศษสำหรับศิลปินฝีมือดีซึ่งมาจากภูมิหลังที่คู่ควร ทั้งนี้กรรมการและผู้ชมจะร่วมกันตัดสินว่าผู้เข้าประกวดคนใดจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเพื่อชิงรางวัลใหญ่มูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมโอกาสที่จะได้ร่วมแสดงในซีรีส์ใหม่ Intercontinental Web ของ Living Talent Media Group

          Masterpiece 2017 ขอเชิญร่วมลงทุนทั้งในรูปแบบนักลงทุนอิสระ (Angel Investor) และการร่วมทุน (VC) เพื่อมอบทุนตั้งต้น คำปรึกษาอันทรงคุณค่า และพื้นที่ทำงานสำหรับผู้ชนะ นอกจากนี้ผู้ชนะยังมีโอกาสได้รับทุนจาก ZLab ซึ่งสนับสนุนโดยเควิน แฮริงตัน ผู้โด่งดังจากรายการ Shark Tank ผู้บุกเบิกตราประทับ 'As seen on TV'

          ขั้นตอนการสมัคร
          - ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสม (อายุ 18-26 ปี) จะต้องอัพโหลดวิดีโอเพื่อยืนยันความสามารถด้านใดด้านหนึ่งใน 3 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ศิลปะ&งานฝีมือ, การแสดง และนวัตกรรม ที่เว็บไซต์ http://www.livingtalent.org
          - ค่าธรรมเนียมในการสมัคร 1,600 รูปีอินเดีย (กรณีที่ผู้แข่งขันเดินทางคนเดียวจะได้รับส่วนลด 40% เมื่อใส่โค้ด GOaloneDXB) ประกอบด้วย ค่าเครื่องบิน ที่พัก อาหาร การเดินทาง และคูปองมูลค่า 30 ดอลลาร์สหรัฐ
          - ผู้แข่งขันที่ผ่านเข้ารอบ 225 คน พร้อมด้วยผู้ติดตาม 1 คน จะได้เดินทางไปยังดูไบ โดยผู้จัดจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตลอดทริป

          สื่อมวลชนติดต่อ
          มีรา วอร์ริเออร์
          อีเมล: meera.warrier@pprww.com
          โทร. +91-9820486177

          ที่มา: Living Talent

Living Talent Presents Masterpiece 2017 - The World's First Multi-genre Intercontinental Talent Hunt

          - Irrfan Khan, noted Indian actor of international acclaim, makes his debut as a jury member on the show

          Living Talent, an intercontinental Talent Hunt company, announced the launch of Masterpiece 2017 - a global show to be hosted in Dubai Festival City on 15-16 December, 2017. The first-of-its-kind talent show will have deserving contenders from across the world compete across genres such as arts and craft, performance and innovation. Contestants will showcase their unique talents before the esteemed jury; one from each category will be bestowed the title - 'The Living Masterpiece'.
          The intercontinental jury is an enviable mix of celebrities from across 5 continents:
          -Natalia Oreiro, Argentinian Singer and Actress
          - Conor Walton, Artist, United Kingdom
          - Marina Debris, Artist and Designer, Australia
          - Adam Miller, Artist, United States
          - Roopam Sharma, MIT Award recipient, Social Innovator
          - Mayur Ramgir, Renowned Intercontinental Innovator and Author
          - Irrfan Khan, Indian Actor with presence in Hollywood
          - Lauren Gottlieb, Star of Hindi film 'ABCD'
          *Backed by self-made stars like RJ Naved, Rannvijay Singh, Richa Chadda and Karan Wahi

          225 deserving participants, selected from online video submissions, will fly to Dubai (with a companion) where they will compete with contestants globally. Moreover, organisers will waive off the fee in case of especially dazzling artists from a deserving background. Judges and viewers will decide jointly which contestant advances to the finals to win the grand prize of US$10,000, and a chance to feature in an upcoming Intercontinental Web series by Living Talent Media Group.

          Masterpiece 2017 will invite venture capitalists and angel investors who bring seed capital, valuable mentorship and office space for the winners. Winners also stand a chance to be funded by ZLab - endorsed by Shark Tank Celebrity and Inventor of 'As seen on TV' Kevin Harington.

          Process of application

          - Eligible candidates (18-26 years of age) to upload proof of their talent through videos in any of the three categories of Arts & Craft, Performance, Innovation on http://www.livingtalent.org

          - Fee of Rs 1,600 (in case the participant is travelling alone, they get 40% discount on fee with code: GOaloneDXB). This includes airfare, stay, food, transfers, and coupons for US$30

          - 225 shortlisted participants will be invited along with one companion to an all-expense paid trip to Dubai

          For media queries:
          Meera Warrier
           meera.warrier@pprww.com
          +91-9820486177

          Source: Living Talent

Bond No. 9 ย้ายบูติกไปที่ชั้น 6 ของห้าง Harrods พร้อมนำเสนอน้ำหอมสะท้อนกลิ่นอายนิวยอร์กและบริการสุดหรูระดับวีไอพี

          - เตรียมดื่มด่ำไปกับมนต์เสน่ห์ของน้ำหอมสุดหรู

          ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ Bond No.9 จากนิวยอร์กประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในลอนดอน โดยเฉพาะการเปิดบูติกบริเวณเมนฟลอร์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังระดับโลกอย่าง Harrods และในเดือนกันยายน แบรนด์น้ำหอมสัญชาติอเมริกันเจ้าของรางวัลมากมายก็เฉิดฉายยิ่งกว่าเดิม ด้วยการย้ายบูติกไปยังโซน Salon de Parfums บนชั้น 6 ของห้าง ซึ่งมีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบ และต้องนัดหมายล่วงหน้า บนพื้นที่ 5,000 ตารางฟุตที่เป็นศูนย์รวมของร้านน้ำหอมสุดหรูระดับโลก 17 ร้าน

         

          Salon de Parfums ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก ได้รับการขนานนามว่าเป็นจุดหมายปลายทางของผู้เชี่ยวชาญและผู้ชื่นชอบน้ำหอมระดับวีไอพี ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวระหว่างเลือกเฟ้นน้ำหอมสุดพิเศษ สำหรับบูติกของ Bond No. 9 ที่กำลังจะเปิดตัวนี้ มีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างกลิ่นอายของย่านอัพทาวน์และดาวน์ทาวน์ของมหานครนิวยอร์ก และจะเป็นบูติกแห่งแรกที่มีลักษณะใกล้เคียงกับแฟลกชิปบูติกต้นแบบ

          บูติกของ Bond No. 9 ในโซน Salon de Parfums จะมีขนาดเล็กลงแต่มอบประสบการณ์ที่ล้ำลึกมากขึ้น ซึ่งดูแลโดยมืออาชีพด้านน้ำหอมที่ยินดีต้อนรับและเอาใจใส่ลูกค้าตลอดเวลา บูติกแห่งนี้จะวางจำหน่ายน้ำหอมที่สะท้อนกลิ่นอายของมหานครนิวยอร์ก Bond No. 9 New World ทุกรุ่น รวมถึงน้ำหอมอีก 8 กลิ่นที่รังสรรค์เป็นพิเศษสำหรับ Harrods โดยเฉพาะ

          นอกจากนี้ บูติกของ Bond No. 9 ในโซน Salon de Parfums จะมอบบริการที่ตอบสนองหลากหลายความต้องการของลูกค้า ซึ่งรวมถึงการทดลองน้ำหอม การให้คำปรึกษาอย่างละเอียด การลดราคา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบริการพิเศษ Swarovski on Demand หรือการประดับคริสตัลสวารอฟสกีบนขวดน้ำหอมตามความต้องการของลูกค้า

          Annalise Fard ผู้บริหารฝ่ายความงามของ Harrods กล่าวว่า "เรายินดีที่ได้ต้อนรับบูติก Bond No.9 สู่โซน Salon de Parfums ที่เพิ่งมีการขยายพื้นที่ เราตื่นเต้นกับบริการมากมายที่ Bond No.9 จะนำเสนอในร้านซึ่งเป็นบูติกแห่งแรกในอังกฤษ และจะเป็นบริการพิเศษเฉพาะที่ Harrods ในอังกฤษเท่านั้น นับตั้งแต่การผสมน้ำหอมกึ่งตามสั่งไปจนถึงบริการประดับขวดน้ำหอมด้วยคริสตัลสวารอฟสกี ซึ่งทั้งสองบริการจะสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ลูกค้าของ Harrods และจะช่วยเติมเต็มโซน Salon de Parfums บนชั้น 6 ของห้างให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น"

          เกี่ยวกับ Bond No. 9 New York
          Bond No. 9 ดำเนินธุรกิจมานาน 13 ปี ในฐานะแบรนด์น้ำหอมสมัยใหม่ที่ทุ่มเทให้กับการรังสรรค์น้ำหอมที่สะท้อนกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของถนนและย่านต่างๆในมหานครนิวยอร์ก ตั้งแต่Riverside Drive, Chinatown ไปจนถึง Coney Island ทั้งนี้ Bond No. 9 มีพันธกิจสำคัญสองประการ นั่นคือ การฟื้นฟูศิลปะการทำน้ำหอม และการรังสรรค์น้ำหอมให้กับทุกย่านในนิวยอร์ก โดยน้ำหอมแต่ละรุ่นจะสะท้อนบรรยากาศเฉพาะตัวของย่านดาวทาวน์ มิดทาวน์ อัพทาวน์ หรือทั่วทั้งมหานคร

          เกี่ยวกับ Harrods 
          Harrods เริ่มต้นธุรกิจในฐานะร้านค้าส่งและร้านขายชาบริเวณฝั่งตะวันออกของลอนดอนในปีค.ศ.1834 และเติบโตจนกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่โด่งดังมากที่สุดในโลก โดยมีชื่อเสียงจากสินค้าหรูที่มีให้เลือกสรรค์อย่างจุใจ รวมถึงหลากหลายแบรนด์พิเศษ แผนกสินค้ามากมาย และบริการอันยอดเยี่ยม Harrods ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "ทุกอย่างเป็นไปได้" และลูกค้ายังคงเป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่เราทำเสมอมา



Bond No. 9 is on the rise at Harrods, heading up to the 6th floor Salon de Parfums to offer its celebrated New York-centric scent collection in intimate, ultra-luxurious, concierge-level VIP surroundings

          - Be prepared to be mesmerized

          For the past 10 years, New York-based Bond No. 9 has been a nonstop smash success across the pond in London—specifically on the main floor of the world's most iconic retail institution, Harrods. But come September the celebrated, prize-winning American perfumer will be in the ascendant at this palace of shopping wonders, expanding its presence into a private, serene, by-appointment oasis ensconced in a prestigious 6th floor containing 5,000 square feet of 17 of the world's most ultra-luxurious scent shops.

       

          Unique in all the world, the Salon de Parfums, as it's called, is the destination for VIP connoisseurs and aficionados in search of secret seclusion as they select the most exclusive fragrances in existence. The forthcoming Bond No. 9 shop, a fantasia for the senses combining Uptown New York cosmopolitanism with an eclectic Downtown New York vibe, will be the first near-replica of its pacesetting flagship.

          Staffed by welcoming and attentive fragrance experts providing nonstop concierge service, the Bond No. 9 Salon de Parfums shop will be in the vanguard of today's smaller and more experiential luxury retail venues. As for the wares, all Bond No. 9 New World-New York-centric eaux de parfum will be available—not least its 8 scents created expressly for Harrods.

          In addition, the Salon de Parfums' Bond No. 9 shop will offer several bespoke services. These include fragrance tastings, detailed consultations, and happy hours, as well as two vaunted premiere specialties. Bond No. 9 above-and-beyond service is Swarovski on Demand—a crystal-studded revolution in personalized perfume bottles.

          "We are thrilled to welcome the Bond No.9 boutique to our newly expanded Salon de Parfums at Harrods. We are truly excited by the number of bespoke services Bond No.9 will be offering in their space, which is their first UK boutique and exclusive to Harrods in the UK; from the amazing demi-custom blending to the Swarovski on demand service – both will create a fantastically unique experience for our Harrods customer and is certainly another welcome addition to our Salon de Parfums fragrance sanctuary on the Sixth Floor. '' Harrods Beauty Director, Annalise Fard

          About Bond No. 9 New York: In business for thirteen years, Bond No. 9 is an edgy downtown perfumery, committed to designing artisanal scented evocations of the neighborhoods and streets of New York—from Riverside Drive to Chinatown to Coney Island. Bond No. 9 has a dual mission: To restore artistry to perfumery, and to mark every New York neighborhood with a scent of its own. Each fragrance represents a specific downtown, midtown, or uptown locale or a city-wide sensibility.

          About Harrods 
          Harrods began as a wholesale grocer's and tea merchant in east London, first opening its doors in 1834. Since then, it has grown to become the world's most famous department store, known for its unrivalled range of luxury merchandise. As well as exclusive brands and myriad departments, one of Harrods' most renowned attributes is its unparalleled service. Harrods continues to be guided by its philosophy of "anything is possible" and, to this day, our customers remain at the heart of everything we do.



Surbana Jurong Group strengthens high-end urban capabilities with acquisition of Robert Bird Group

          Surbana Jurong Private Limited (Surbana Jurong) announced today that it has entered into a Sales and Purchase Agreement for the acquisition of 100% interest of the Robert Bird Group (RBG). The acquisition is expected to be completed by early December, subject to certain conditions being fulfilled.   



          Established in 1982, RBG is a privately owned, global consulting engineering firm headquartered in Australia with offices in the United Kingdom, the United Arab Emirates and Southeast Asia. It is renowned for delivering structural, civil and construction services on iconic complex projects, including London's Westfield Shopping Centre, Dubai's ICD Brookfield Place tower, and Sydney's One Central Park tower and Darling Harbour Live development.

          The acquisition of RBG will further deepen Surbana Jurong Group's urban development capabilities and extend its geographical reach, filling the Group's current market gaps and creating more synergies for its urban and infrastructure businesses.

          This latest acquisition continues Surbana Jurong Group's growth strategy, following its acquisition of Australia-based infrastructure consultancy SMEC Holdings Ltd last year. RBG augments the Group's existing businesses, further strengthening its complete value-chain proposition for its clients.

          "Surbana Jurong Group's growth strategy is about deepening our core capabilities and extending our market reach, so that we create more exciting opportunities for all our people. I am excited to welcome the Robert Bird Group into the Surbana Jurong Group of companies as RBG will deepen Surbana Jurong's core engineering capabilities, both in design and construction engineering. Such advanced engineering skill sets will strengthen our advantage in competing for and securing sophisticated and complex developments. The strong complementary fit between our businesses means we can immediately offer our clients a complete value-chain suite of services, not just in our key markets of Singapore and Australia, but now more than ever, in more markets globally," said Wong Heang Fine, Group Chief Executive Officer, Surbana Jurong Private Limited. 

          He added, "Since its formation in mid 2015, Surbana Jurong Group has tripled in size, both in terms of talent base as well as in revenue. The Group's growth has been both organic as well as through acquisitions and partnerships. Leveraging our partner companies' strengths allow us to tap into key growth sectors. At the same time, it provides a platform to take our urban planning, coastal engineering, township and other capabilities global.  Today marks the next phase of our growth as we look to globalise and transform our business further."

          RBG founder and Chairman, Robert Bird, said, "This agreement represents the next stage of growth for the Robert Bird Group, with closer alignment to Surbana Jurong giving us the opportunity to access new projects around the world for a wider base of clients.  We also see this as being a natural fit given the synergies of our two businesses in terms of geography, competencies and clients. At the same time, joining the Surbana Jurong network gives the Robert Bird Group greater access to capital, greater resources and greater scale.  This will only heighten our ability in securing new national and international projects and will open the door to further growth for our firm across Asia and in Africa."

          Prior to joining the Surbana Jurong Group, RBG has worked successfully with Surbana Jurong in the past including on the Westin Hotel Darwin and the Queensland Government's Logan Enhancement Project. The two companies are also partners in joint tenders.

          About Surbana Jurong Private Limited

          Surbana Jurong Private Limited (SJ) is one of the largest Asia-based urban, industrial and infrastructure consulting firms. Leveraging technology and creativity, SJ provides one-stop consultancy solutions across the entire value chain of the urbanisation, industrialisation and infrastructure domains.

          Headquartered in Singapore, the SJ Group has a global workforce of 13,000 employees in 113 offices across 44 countries in Asia, Australia, the Middle East, Africa and the Americas, and an annual turnover of around S$1.3 billion.

          SJ has a track record of over 50 years, and has built more than a million homes in Singapore, crafted master plans for more than 30 countries and developed over 50 industrial parks globally.

          SJ's motto 'Building Cities, Shaping Lives' reflects its belief that development is more than just steel and concrete. SJ creates spaces and designs infrastructure where people live, work and play, shaping cities into homes with sustainable jobs where communities and businesses can flourish.

          About Robert Bird Group

          Robert Bird Group is a specialist consulting engineering firm with over 500 staff across more than 10 offices located around the globe.  Its vision is "the relentless pursuit of engineering excellence"; understanding clients' needs, and being a critical part of delivering their visions, is what the Group strives to achieve every day.

          It offers consulting engineering services across five disciplines within the built environment; structural engineering; Civil engineering; Construction engineering; Geotechnical engineering (UK only); Digital engineering (BIM Management, 4D Visualisation, and Digital Design). These services are offered both as stand-alone disciplines, or packaged to suit any client's individual needs, across most building and infrastructure sectors, including public and private projects of all types and sizes.



Emaar Hospitality Group บรรลุเป้าหมายสำคัญ เตรียมเปิดห้องพักในโรงแรมครบ 10,000 ห้อง

          Emaar Hospitality Group ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและนันทนาการในเครือของ Emaar Properties PJSC บรรลุเป้าหมายห้องพัก 10,000 ห้องในโรงแรมที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินงาน 11 แห่ง และโครงการที่ใกล้เปิดตัวอีก 30 แห่ง ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ห้องพักกว่า 2,500 ห้องได้เปิดให้บริการแล้วในโรงแรม 11 แห่งในดูไบ ขณะที่กว่า 7,500 ห้องอยู่ระหว่างการพัฒนาในยูเออี ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน อียิปต์ ตุรกี และมัลดีฟส์



          ห้องพักดังกล่าวอยู่ในเครือแบรนด์โรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมไลฟ์สไตล์พรีเมียม Address Hotels + Resorts, โรงแรมไลฟ์สไตล์สุดหรู Vida Hotels and Resorts และโรงแรมร่วมสมัยระดับราคาปานกลางอย่าง Rove Hotels

          โอลิวิเยร์ ฮาร์นิสช์ ซีอีโอของ Emaar Hospitality Group กล่าวว่า "Emaar Hospitality Group ได้เน้นย้ำความน่าเชื่อถือของธุรกิจในฐานะผู้ให้บริการที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ 3 รูปแบบที่ตอบสนองความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน แม้เราจะมีสถานะแข็งแกร่งในยูเออี แต่เราก็ยังขยายธุรกิจสู่ตลาดสากล ควบคู่ไปกับการมอบศักยภาพให้แก่ตลาดที่มีการเติบโตสูง"

          ห้องพักกว่า 2,500 ห้องในดูไบให้บริการอยู่ในโรงแรมหลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Address Boulevard, Address Dubai Mall, Address Dubai Marina, Address Montgomerie และ Palace Downtown ซึ่งทุกแห่งล้วนอยู่ในเครือ Address Hotels + Resorts รวมถึงที่ Vida Downtown และ Manzil Downtown ในเครือ Vida Hotels and Resorts เช่นเดียวกับโรงแรมในเครือ Rove Hotels 4 แห่ง ได้แก่ Rove Downtown, Rove City Centre, Rove Healthcare City และ Rove Trade Centre

          สำหรับโรงแรมที่ใกล้เปิดตัวในยูเออีในเครือ Address Hotels + Resorts นั้นรวมถึง Address Downtown, Address Sky View, Address Fountain Views, Address Jumeirah Resort + Spa, Address Fashion Avenue, Address Fujairah Resort + Spa, Address Harbour Point และ Palace Fujairah Beach ขณะที่โรงแรมระดับนานาชาติของแบรนด์นั้นมีทั้ง Jabal Omar Address Makkah ในซาอุดิอาระเบีย, Address Madivaru Maldives Resort + Spa ในมัลดีฟส์, Address Marassi Golf Resort + Spa และ Address Marassi Beach Resort ในอียิปต์, Address Istanbul ในตุรกี และ Address Marassi Al Bahrain ในบาห์เรน

          โรงแรมแห่งใหม่ในเครือ Vida Hotels and Resorts ในยูเออีนั้นรวมถึง Vida Za'abeel, Vida Dubai Marina, Vida Dubai Mall, Vida The Hills, Vida Townsquare, Vida Harbour Point ซึ่งทุกแห่งอยู่ในดูไบ และ Vida Beach Reem Island Abu Dhabi ขณะที่โครงการในระดับนานาชาติประกอบด้วย Vida Marassi Al Bahrain ในบาห์เรน, Vida Jeddah Gate ในซาอุดิอาราเบีย และ Vida Marassi Marina ในอียิปต์

          ส่วนโรงแรมที่ใกล้เปิดตัวในเครือ Rove Hotels ได้แก่ Rove Dubai Marina, Rove At The Park และ Rove Satwa โดย Rove จะสร้างห้องพัก 3,700 ห้องในโรงแรม 10 แห่ง ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดเปิดตัวภายในปี 2563

          ที่มา: Emaar Hospitality Group

Emaar Hospitality Group Achieves Milestone of 10,000 Hotel Rooms in Operational and Upcoming Hotel Projects

          Emaar Hospitality Group, a subsidiary of Emaar Properties PJSC, has achieved a milestone of 10,000 hotel rooms across its 11 operational hotels and 30 upcoming projects. Of these, over 2,500 are operational at the Group's 11 hotels in Dubai while over 7,500 rooms are under development in the UAE, Saudi Arabia, Bahrain, Egypt, Turkey and the Maldives.



          The rooms are under three hotel brands - the premium lifestyle Address Hotels + Resorts; the upscale lifestyle Vida Hotels and Resorts; and the contemporary midscale Rove Hotels.

          Olivier Harnisch, CEO of Emaar Hospitality Group, said: "Delivering three lifestyle experiences that meet the preferences of today's travellers, Emaar Hospitality Group has underlined its credentials as the region's fastest growing hospitality provider. While we have a strong footprint in the UAE, we are expanding to international markets, delivering our competencies to high-growth markets."

          More than 2,500 hotel rooms in Dubai are in: Address Boulevard, Address Dubai Mall, Address Dubai Marina, Address Montgomerie, and Palace Downtown - all under Address Hotels + Resorts, as well as at Vida Downtown and Manzil Downtown, under Vida Hotels and Resorts. The four operational Rove Hotels properties are: Rove Downtown, Rove City Centre, Rove Healthcare City and Rove Trade Centre.

          Upcoming hotels in the UAE under Address Hotels + Resorts include: Address Downtown, Address Sky View, Address Fountain Views, Address Jumeirah Resort + Spa, Address Fashion Avenue, Address Fujairah Resort + Spa, Address Harbour Point and Palace Fujairah Beach. The brand's international portfolio includes: Jabal Omar Address Makkah in Saudi Arabia; Address Madivaru Maldives Resort + Spa; Address Marassi Golf Resort + Spa and Address Marassi Beach Resort in Egypt; Address Istanbul in Turkey; and Address Marassi Al Bahrain.

          New hotels under Vida Hotels and Resorts in the UAE include: Vida Za'abeel, Vida Dubai Marina, Vida Dubai Mall, Vida The Hills, Vida Townsquare, Vida Harbour Point - all in Dubai - and Vida Beach Reem Island Abu Dhabi. The international projects include: Vida Marassi Al Bahrain, Vida Jeddah Gate in Saudi Arabia; and Vida Marassi Marina in Egypt.

          The upcoming portfolio of Rove Hotels include: Rove Dubai Marina, Rove At The Park and Rove Satwa. Rove will add 3,700 rooms across its 10 properties, all set to open by 2020.

          Source: Emaar Hospitality Group