Friday, December 28, 2018

Huawei Releases an AI Fabric White Paper, Helping to Build an Intelligent and Lossless Data Center Network


          Huawei released AI Fabric, Intelligent and Lossless Data Center Network in the AI Era.

          The white paper presents the urgency and necessity of building an intelligent and lossless data center network by seizing AI opportunities to monetize data value. It elaborates on the unique technical advantages and customer benefits of using AI Fabric to build an intelligent and lossless network with zero packet loss, low latency, and high throughput. The release is a valuable reference for building next-generation data center networks.

          According to data analysis, 67 percent of CEOs among 2,000 cross-border companies have identified digitalization as the core of their strategies.

          Using AI to mine intelligence from the enormous amounts of data generated during digitalization is a common practice. Huawei's Global Industry Vision (GIV) predicts the AI procurement rate will reach 86 percent by 2025 - and leveraging AI to make decisions, reshape business models and ecosystems, and rebuild customer experiences will be a key driving force.

          AI is driving the transformation of ICT architecture. Storage mediums have transitioned from Hard Disk Drives (HDDs) to Solid-State Drives (SSDs), latency has been reduced by 100 times, and CPUs for data processing have become GPUs (or even dedicated AI chips), with a 100-fold computing performance improvement.

          Latency bottlenecks force the evolution of network communication from TCP/IP to Remote Direct Memory Access (RDMA). Distributed application architecture brings much collaboration between servers, and N:1 traffic exchanges and large-byte data packets aggravate network congestion.

          The evolution of communication protocols and changes in application architecture not only call for network transformation, but also require intelligent scheduling and lossless forwarding to achieve zero packet loss, low latency, and high throughput for the intelligent and lossless data center network.

          At HUAWEI CONNECT 2018, Huawei launched the AI Fabric Intelligent and Lossless Data Center Network Solution to help customers build RDMA networks that are compatible with traditional Ethernet networks.

          This solution provides optimal performance with zero packet loss, low latency, and high throughput for data centers. The white paper describes Huawei's AI Fabric algorithm innovation in terms of congestion management and traffic control. One network carries three types of traffic: LAN, SAN, and IPC.

          According to the EANTC, a third-party independent test institute in Europe, Huawei's AI Fabric can effectively reduce the communication duration between HPC nodes by as much as 40 percent, greatly improving efficiency of innovative services such as AI training.

          "The popularity of the RDMA network is becoming a trend, and it has been deployed in some leading Internet enterprises," Huawei Data Center Network Domain general manager Leon Wang said. "The intelligent and lossless data center network has become one of the transformation directions of the network in the AI era. Huawei's AI Fabric is an innovative solution in the AI era. It accelerates data computing and storage efficiency, and brings dozens of folds of ROI to enterprises."

          Huawei's AI Fabric has been successfully put into commercial use in leading enterprises such as the Internet and finance. It helps an Internet enterprise improve AI training efficiency and accelerate the commercial use of autonomous driving. AI Fabric helps China Merchants Bank improve cloud storage performance by 20 percent, and leads the retail banking 3.0 era.

          Please visit the following link for the entire white paper: AI Fabric, Intelligent and Lossless Data Center Network in the AI Era


          For more information, please visit Huawei online at www.huawei.com or follow us on:
          http://www.linkedin.com/company/Huawei
          http://www.twitter.com/Huawei
          http://www.facebook.com/Huawei
          http://www.google.com/+Huawei
          http://www.youtube.com/Huawei

Bethel Woods Center for the Arts จับมือ Live Nation และ INVNT จัดเทศกาลดนตรี วัฒนธรรม และชุมชน ฉลองครบรอบ 50 ปีมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969

          Bethel Woods Center for the Arts (BWCA) ศูนย์วัฒนธรรมไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่ที่เคยใช้จัดมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969 ในเมืองเบเธล รัฐนิวยอร์ก ได้จับมือกับ Live Nation บริษัทจัดกิจกรรมความบันเทิงชั้นนำ และ INVNT บริษัทด้านการสื่อสารแบรนด์ระดับโลก จัดเทศกาล Bethel Woods Music and Culture Festival เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของการจัดมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969



          เทศกาลดนตรี วัฒธรรม และชุมชนที่ผสมผสานมรดกของทุกยุคทุกสมัย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2019 ณ BWCA ซึ่งอยู่ห่างจากนิวยอร์กซิตี้เพียง 90 นาที โดยตลอดสามวันของการจัดงานจะเต็มไปด้วยประสบการณ์อันน่าจดจำมากมาย อาทิ การแสดงสดจากศิลปินชื่อดังและศิลปินหน้าใหม่ทุกยุคและทุกแนวเพลง การเสวนาของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเรโทร-เทค นอกจากนี้ ผู้มาร่วมงานยังสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Museum at Bethel Woods ซึ่งจะพาย้อนกลับไปดื่มด่ำกับเรื่องราวในทศวรรษ 1960 ผ่านสื่ออินเทอร์แอคทีฟ รวมถึงสิ่งของต่างๆจากมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969 นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการพิเศษประจำปี 2019 นั่นคือ "We Are Golden: Reflections on the 50th Anniversary of the Woodstock Festival and Aspirations for an Aquarian Future"

          คุณดาร์ลีน ฟีดัน ซีอีโอของ BWCA กล่าวว่า "เรายินดีมากที่ได้ร่วมมือกับ Live Nation และ INVNT ในการจัดเทศกาล Bethel Woods Music and Culture Festival ทั้งนี้ เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผู้คนมากมายได้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกด้วยเสียงดนตรี และในฐานะผู้ดูแลสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์เรื่องราวและจิตวิญญาณอันเข้มข้นที่มีมาแต่อดีต พร้อมกับมอบความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้คนยุคใหม่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกใบนี้ผ่านทางดนตรี วัฒนธรรม และชุมชน"

          การจัดงานตลอดสามวันจะใช้สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสุดล้ำสมัยของ BWCA โดยจะมีการสร้างหมู่บ้านความบันเทิงและพื้นที่จัดแสดงจำนวนหนึ่งเพื่องานนี้โดยเฉพาะ สำหรับรายละเอียดทั้งหมดของงาน บัตรเข้างาน กิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากดนตรี รวมถึงกิจกรรมหลักๆ จะมีการเปิดเผยในเร็วๆนี้

          รับชมภาพความละเอียดสูงได้ที่ http://bit.ly/2ENcyYk

          ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ

          งานเทศกาลของ Bethel Woods Center for the Arts ที่จะจัดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 เป็นเพียงการฉลองครบรอบ 50 ปีของมหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง Woodstock Festival 1969 ทั้งนี้ Woodstock Ventures LC ซึ่งเป็นผู้จัดมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969 ไม่ได้เป็นผู้จัด สนับสนุน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาล Bethel Woods Music and Culture Festival และงานนี้ไม่ใช่มหกรรมดนตรี WOODSTOCK(R)

          เกี่ยวกับ Bethel Woods Center for the Arts และ Museum at Bethel Woods

          Bethel Woods Center for the Arts คือองค์กรวัฒนธรรมไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งตั้งอยู่บนสถานที่ที่เคยใช้จัดมหกรรมดนตรี Woodstock Festival 1969 ในเมืองเบเธล รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ห่างจากนิวยอร์กซิตี้เพียง 90 ไมล์ แวดล้อมด้วยบรรยากาศท้องทุ่ง ภายในสถานที่ประกอบด้วยอัฒจันทร์ Pavilion Stage รองรับผู้ชมได้ 15,000 คน รวมถึง Event Gallery ในร่มขนาด 440 ที่นั่ง และพิพิธภัณฑ์ระดับรางวัล Museum at Bethel Woods ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้นำเสนอการแสดงของศิลปินยอดนิยม การแสดงทางวัฒนธรรม รวมถึงกิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษา ชุมชน และพิพิธภัณฑ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการแสดงออก ความคิดสร้างสรรค์ และการรังสรรค์นวัตกรรมผ่านศิลปะ Bethel Woods คือแบบอย่างของความพยายามในการมีส่วนร่วม สร้างแรงบันดาลใจ และอุทิศตนเพื่อช่วยให้คนทุกวัยเข้าถึงศิลปะ รวมถึงสื่อสารกับพันธมิตรในชุมชนเพื่อขยายความครอบคลุมของกิจกรรม ตลอดจนยกระดับการสนับสนุนและทรัพยากรสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ในขณะที่ Museum at Bethel Woods ก็อุทิศตนเพื่อการศึกษาและนำเสนอเหตุการณ์ทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งรวมถึงมหกรรมดนตรี Woodstock และมรดกจากช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงการอนุรักษ์สถานที่ที่เคยใช้จัดมหกรรมดนตรี Woodstock พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้นำเสนอสีสันของทศวรรษ 1960 เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ยังเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญและบทเรียนต่างๆจากช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งข้อมูลมีชีวิตที่คนทุกวัยสามารถเข้ามาเยี่ยมชม ฟังคำบรรยายอย่างสนุกสนาน พูดคุยกันอย่างออกรส รวมถึงชมนิทรรศการและเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษที่ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่เรื่อยๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบด้วยพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวร พื้นที่จัดแสดงพิเศษ พื้นที่จัดแสดงตามทางเดินในอาคาร โรงภาพยนตร์ อีเวนต์แกลเลอรี ร้านขายของ คาเฟ่ และอนุสรณ์ Woodstock รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.BethelWoodsCenter.org

          เกี่ยวกับ Live Nation Entertainment

          Live Nation Entertainment (NYSE: LYV) เป็นบริษัทจัดกิจกรรมความบันเทิงชั้นนำระดับโลก โดยมีบริษัทในเครือหลายแห่ง ได้แก่ Ticketmaster, Live Nation Concerts และ Live Nation Media & Sponsorship รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.livenationentertainment.com

          เกี่ยวกับ INVNT

          INVNT ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 เพื่อเป็นบริษัทด้านการสื่อสารแบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก บริษัทมีสำนักงานหลายแห่งตั้งอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ซิดนีย์ ดีทรอยต์ ซานฟรานซิสโก วอชิงตันดีซี และสตอกโฮล์ม รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://invnt.com

Bethel Woods Center for the Arts, Live Nation, And INVNT Join to Produce A New Three-Day Festival of Music, Culture, And Community

          Bethel Woods Center for the Arts (BWCA), a non-profit cultural center located at the historic site of the 1969 Woodstock festival in Bethel, NY, Live Nation, the world's leading live entertainment company, and INVNT, a global live brand storytelling agency, today announce Bethel Woods Music and Culture Festival: Celebrating the golden anniversary at the historic site of the 1969 Woodstock festival.



          Coming August 16-18, 2019, this pan-generational music, culture, and community event will be held at BWCA just 90 minutes from New York City. These three days of memorable experiences will include live performances from prominent and emerging artists spanning multiple genres and decades, and TED-style talks from leading futurists and retro-tech experts. Festival goers will also be able to visit the Museum at Bethel Woods, which tells the story of the 1960s through immersive media, interactive engagements, and artifacts from the 1969 festival, as well as experience the special 2019 exhibit We Are Golden:Reflections on the 50th Anniversary of the Woodstock Festival and Aspirations for an Aquarian Future.

          "We are thrilled to partner with Live Nation and INVNT to produce Bethel Woods Music and Culture Festival," said Darlene Fedun, CEO, BWCA. "Fifty years ago, people gathered peacefully on our site inspired to change the world through music. As the stewards of this historic site, we remain committed to preserving this rich history and spirit, and to educating and inspiring new generations to contribute positively to the world through music, culture, and community."

          The three-day festival will utilize BWCAs' state-of-the-art venues and facilities. Entertainment villages and a number of bespoke performance areas will be specially created for the occasion. Full details of the event line-up, ticketing, non-musical experiences, and brand activity will be released soon.

          To access logos and high res imagery visit: http://bit.ly/2ENcyYk

          DISCLAIMER

          The Bethel Woods Center for the Arts' celebrations marking the 50th Anniversary of the greatest festival of all time, planned for the Summer of 2019, are not produced, sponsored by or affiliated with Woodstock Ventures LC, the organizer of the 1969 Festival and its other reunion festivals, and are not WOODSTOCK(R) events.

          About Bethel Woods Center for the Arts and The Museum at Bethel Woods

          Bethel Woods Center for the Arts is a not-for-profit cultural organization, located at the site of the 1969 Woodstock festival in Bethel, NY. Located just 90 miles from New York City on a lush campus featuring bucolic countryside views, the Center is comprised of the Pavilion Stage amphitheater that accommodates 15,000, an intimate 440-seat indoor Event Gallery, and the award-winning Museum at Bethel Woods. The Center offers a diverse selection of popular artists, culturally-rich performances, and educational, community, and museum programs committed to inspiring expression, creativity and innovation through the arts. Bethel Woods is exemplary in its efforts to engage, inspire and advocate for the accessibility of the arts for all ages and to connect with community partners to broaden programmatic reach and to strengthen support and resources for its activities. The Museum at Bethel Woods is dedicated to the study and exhibition of the social, political and cultural events of the 1960s, including the Woodstock festival, and the legacies of those times, as well as the preservation of the 1969 Woodstock festival site. More than a nostalgic celebration of a colorful decade, the award-winning Museum provides a focus for deeper issues and lessons of the decade. The Museum is a dynamic and vibrant community resource where individuals and groups of all ages participate in tours, lively lectures, cinematic conversations, changing exhibitions and special events. The Museum features include a permanent exhibit space, Special Exhibit Gallery, Corridor Exhibit Gallery, Museum Theater, Event Gallery, retail store, cafe, and the Woodstock Monument. For more information, please visit www.BethelWoodsCenter.org.

          About Live Nation Entertainment

          Live Nation Entertainment LYV, +2.43% is the world's leading live entertainment company comprised of global market leaders: Ticketmaster, Live Nation Concerts and Live Nation Media & Sponsorship. For additional information, visit www.livenationentertainment.com.

          About INVNT

          Founded in 2008, INVNT was created to be the best live brand storytelling agency in the world. INVNT's offices are strategically located in New York, London, Sydney, Detroit, San Francisco, Washington D.C. and Stockholm. For more information, visit http://invnt.com.

GAC มุ่งสู่อนาคต สร้างโรงงานใหม่เสร็จเรียบร้อย พร้อมเปิดบริษัทร่วมทุนกับ Aisin AW

          - โรงงานอัจฉริยะพลังงานใหม่ของ GAC Group มูลค่า 4.7 พันล้านหยวน (680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มเปิดสายการผลิตในเดือนพฤษภาคม 2019 และมีเป้าหมายผลิตรถ 400,000 คันต่อปี
          - GAC Motor และ Aisin AW ตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยเม็ดเงินลงทุน 2.13 พันล้านหยวน (310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และจะมีมูลค่าการผลิตต่อปีกว่า 3.5 พันล้านหยวน (500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีเป้าหมายผลิตเกียร์อัตโนมัติ 400,000 ยูนิตต่อปี


          GAC Group ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของจีนซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ GAC Motor ประกาศว่า บริษัทสร้างโรงงานอัจฉริยะพลังงานใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม โดยถือเป็นเฟสแรกของนิคมอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์อัจฉริยะ ที่มีเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 200,000 คันต่อปี และในวันเดียวกัน GAC Motor ได้จับมือกับ Aisin AW ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Aisin Seiki ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับผลิตเกียร์อัตโนมัติ โดยคุณเจิ้ง ชิงหง ประธาน GAC Group คุณเฟิง ซิงหยา ผู้จัดการทั่วไป GAC Group รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับท้องถิ่น ตัวแทนพนักงาน บริษัทลงทุน พันธมิตร และสื่อมวลชน ได้เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

          โรงงานใหม่เพื่อพลังงานใหม่และเทคโนโลยีใหม่

          โรงงานมูลค่า 4.7 พันล้านหยวน (680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ถือเป็นเฟสแรกของนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2017 โดยโรงงานจะเปิดสายการผลิตในเดือนพฤษภาคม 2019 และมีเป้าหมายผลิตรถ 400,000 คันต่อปี ทั้งนี้ GAC New Energy ตั้งเป้าปล่อยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่างน้อย 2 รุ่นต่อปี เพื่อให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลาย

          ยานยนต์แห่งอนาคตต้องใช้พลังงานไฟฟ้า เชื่อมต่อออนไลน์ได้ แลกเปลี่ยนข้อมูลกับรถคันอื่นได้ และมีความเป็นสากล ซึ่งตอกย้ำว่าเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติมีความสำคัญ GAC Group ได้เริ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติมาตั้งแต่ปี 2011 และเตรียมเปิดตัวรถรุ่น Aion S ที่มาพร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 2 ในปี 2019 โดยจะเป็นยานยนต์พลังงานใหม่รุ่นแรกที่ผลิตจำนวนมาก และจะเป็นต้นแบบสำหรับต่อยอดพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 4 ต่อไป ส่วนยานยนต์ระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 3 จะเริ่มผลิตในอนาคตอันใกล้นี้

          ความร่วมมืออันทรงพลังผลักดันห่วงโซ่อุปทานแข็งแกร่งขึ้น

          ในวันเดียวกัน GAC Motor และ Aisin AW ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับผลิตเกียร์อัตโนมัติ ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน GAC Motor และ Aisin AW ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงลึกเพื่อเปิดบริษัทร่วมทุนด้วยเม็ดเงินลงทุน 2.13 พันล้านหยวน (310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยจะเปิดสายการผลิตภายในสิ้นปี 2020 และมีเป้าหมายผลิตเกียร์อัตโนมัติ 400,000 ยูนิตต่อปี

          คุณยวี่ จวิน ประธานบริษัท GAC Motor กล่าวว่า "หลังการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ บริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะสร้างประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยจะช่วยสร้างงานจำนวนมากและบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเกียร์อัตโนมัติ และคาดว่าจะมีมูลค่าการผลิตต่อปีกว่า 3.5 พันล้านหยวน (500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)"

          Aisin AW ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1969 ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตเกียร์อัตโนมัติและระบบนำทางในรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก สำหรับบริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะผลิตเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเพื่อใช้กับรถรุ่นต่างๆของ GAC Motor ซึ่งรวมถึงรุ่น GS8 และ GS4

          ด้วยความมุ่งมั่นในการผลิตยานยนต์คุณภาพสูงสุด GAC Motor ได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลก 18 ราย เช่น Michelin, Denso และ Continental เป็นต้น ทั้งในส่วนของชิ้นส่วนยานยนต์สำคัญๆ และเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกของบริษัทได้มาตรฐานสูงสุดของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทร่วมทุนจะช่วยให้ GAC Motor ก้าวสู่การพัฒนาอุปทานชิ้นส่วนยานยนต์ประสิทธิภาพสูงอย่างยั่งยืน และมีห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

          เกี่ยวกับ GAC Motor

          Guangzhou Automobile Group Motor CO., LTD หรือ GAC Motor ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 เป็นบริษัทในเครือของ GAC Group ที่ติดอันดับ 238 ในทำเนียบ Fortune Global 500 โดย GAC Motor เป็นผู้พัฒนาและผลิตยานยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์คุณภาพสูง ปัจจุบัน GAC Motor รั้งตำแหน่งแบรนด์จีนอันดับหนึ่งในรายงาน China Initial Quality Study (IQS) ของ J.D. Power Asia Pacific เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพ ทั้งในส่วนของการวิจัยและพัฒนา การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการขายและการให้บริการ

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่:
          เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/GACMotor
          อินสตาแกรม: https://www.instagram.com/gac_motor
          ทวิตเตอร์: https://www.twitter.com/gac_motor



Thursday, December 27, 2018

HONOR Launches New HONOR View20 in China

          First-reveal of Flagship Smartphone with World-leading Features


          - HONOR's first smartphone powered by dual-NPU and Kirin 980 chipset for global market

          - HONOR View20 offers the world's first 48MP and 3D camera system

          - Extraordinary All-View display with in-screen cam era

          - Launch of elite smartphone marked by MOSCHINO fashion brand collaboration

          HONOR, a leading smartphone e-brand, today officially launched in the China market its latest flagship phone – the HONOR View20, packed with sophisticated features consumers have come to expect from a flagship phone, with outstanding technical features and performance matched with unsurpassed design and style. HONOR View20 will be available with the price starting from RMB 2,999. The official sale in China will start from December 28.

          The HONOR View20 is equipped with the world's first rear 48MP and 3D camera system and a front-facing 25MP camera integrated into the display. This innovative All-View display design doesn't impact the display function – instead, it allows a notch-less viewing experience, achieves a stunning 91.8% body-to-screen ratio, and enables users to take the best photos possible, all at the same time.

          From a design perspective, HONOR View20 breaks the mold of traditional flagship smartphones in both dimension and style. It is the first smartphone to use advanced nanolithography technology to develop an invisible nano texture on the body. The fourth generation of nano-vacuum coating and invisible aurora texture process create a vivid and dynamic V-shape color gradient with gleaming effect. Furthermore, HONOR has unveiled a crossover collaboration with Italian fashion brand MOSCHINO and launched the HONOR View20 MOSCHINO joint design edition.

          World's first 48MP AI Ultra Clarity and TOF 3D camera

          For smartphone photography, nothing is more important than photo quality and clarity, and HONOR View20 is bringing these measures to new highs. The rear camera of the HONOR View20 is the first ever to be powered by the Sony IMX586 stacked CMOS image sensor, which features 48 effective megapixels on a 1/2-inch sensor unit to deliver excellent image quality. As a result, you'll see richer details and more vibrant colors in the AI-optimized shots taken with the HONOR View20. In addition, the dual-NPU and dual-ISP Kirin 980 chipset has improved the image and camera processing capabilities of the phone by 134% and 46% respectively. Combined with the already astonishing power of the camera's 48MP sensor, the result is unprecedented mobile photography potential.

          Another rear camera is a TOF 3D camera, which makes the phone capable of creating a new dimension in photography and videography that brings greater usability and fun to users. It can calculate distance based upon the time-of-flight of a light signal, and has functions including depth sensing, skeletal tracking and real-time motion capture.

          The TOF 3D camera can turn HONOR View20 into a motion-controlled gaming console, and allow you to play 3D motion games like never before. In addition, it can also let 3D characters dance following your gestures on your phone, and you can share these funny dancing videos with your friends.

          Extraordinary All-View display with in-screen camera

          The notched display, one of 2018's most popular trends, was developed to satisfy the demand for a higher screen-to-body ratio. However, there are limits to what can be done with this solution. Just as we are eager to see how smartphone manufacturers are going to take the design a step further, the HONOR View20 comes on stage, sporting an extraordinary All-View display with an in-screen front camera, heralding a new era of display design. A super small hole with a diameter of only 4.5mm instead of 6.0mm is created at the top left corner to house the front-facing camera and making for a considerable increase in display area. Instead of drilling a hole that penetrates through all layers of the screen with only a glass panel covers the camera, HONOR retains a few layers by adopting an extremely complex 18-layer technology stack. This technique effectively reduces the impact on the display structure to improve durability and cuts down the interference of the light from the display to improve overall photo quality. The 18 layers of complex processes are refined, so that the display area of a new screen camera is significantly reduced, bringing users a near 100% full screen experience.

          HONOR X MOSCHINO: Tech Innovator Meets High-End Fashion

          To mark the launch of what represents the top-of-the-line flagship smartphone, HONOR has also collaborated with iconic Italian fashion brand MOSCHINO to create an exclusive MOSCHINO-inspired range, the ideal fashion-statement for the ultimate phone fashionista.

          Announcing the China launch of HONOR View20, Mr. George Zhao, President of HONOR, stated: "HONOR's View series offers ground-breaking technology and flagship performance to deliver a superior user experience. The HONOR V20 MOSCHINO Edition is a bold crossover that will revolutionize the fashion experience of younger users around the world.

          "MOSCHINO clothing and accessories are acclaimed worldwide for their signature wit, innovation and eccentricity, presenting audacious themes that push the fashion envelope. To mark this initial launch HONOR is thrilled to have collaborated with this esteemed fashion house on this exclusive product range that highlights View20's elegant design aesthetic and pinnacle of technical achievement."

          MOSCHINO has expressed that "HONOR and MOSCHINO are the perfect combination. HONOR is a very fashionable, young, and trendy brand, and both our aesthetics and brand concepts are targeted at younger, more modern consumers. HONOR will be the best brand to create this contemporary lifestyle with MOSCHINO."

          According to IDC, HONOR shipments increased by 27.1% in the first three quarters of 2018, compared against a 3.1% year-over-year decline in the global smartphone market. With the solid business growth, HONOR is moving forward with a new brand image and story. In the coming New Year, HONOR will adopt a new visual identity and a new logo with moving colors to showcase the brand's diversity and inclusiveness. In line with the new slogan "HONOR MY WORLD", HONOR is bringing a new mission of creating an intelligent new world that belongs to the young. Honor is committed to offering a stylish and universal intelligent experience to the youth across the globe, and to setting the trend of pioneer culture and modern lifestyle.

          The global launch of the HONOR View20 will take place in Paris on January 22. More product feature highlights for the global market will be unveiled soon.

          About HONOR

          HONOR is a leading smartphone e-brand. The brand was created to meet the needs of digital natives through internet-optimized products that offer superior user experiences, inspire action, foster creativity and empower the young to achieve their dreams. In doing this, HONOR has set itself apart by showcasing its own bravery to do things differently and to take the steps needed to usher in the latest technologies and innovations for its customers.

          For more information, please visit HONOR online at www.hihonor.com or follow us on:
          https://www.facebook.com/honorglobal/
          https://twitter.com/honorglobal
          https://www.instagram.com/honorglobal/
          https://www.youtube.com/c/honorofficial/



จอห์นสัน คอนโทรลส์ เปิดตัวระบบจัดการอาคารอัจฉริยะ Metasys 10.0 มุ่งสนองนโยบายประเทศไทย 4.0

          ระบบ Metasys 10.0 ช่วยให้การจัดการอาคารเป็นไปอย่างง่ายดายจากจุดเดียว


          จอห์นสัน คอนโทรลส์ (Johnson Controls) ผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ประกาศเปิดตัวระบบจัดการอาคารอัจฉริยะ Metasys 10.0 ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการอาคารแบบบูรณาการจากจุดเดียว นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่บริษัทนำเสนอสู่ตลาด หลังการเข้าซื้อและควบรวมกิจการหลายครั้ง เช่น การควบรวมบริษัทไทโก้ (Tyco) ในปี 2559 และการเข้าซื้อกิจการบริษัทยอร์ค (York) ในปี 2548 ทั้งนี้ Metasys เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ดูแลอาคารได้ใช้งานระบบที่ชาญฉลาดมากขึ้น โดยตอบสนองต่อสัญญาณเตือนฉุกเฉินเร็วขึ้น ทั้งยังผสานกับระบบตรวจจับอัคคีภัย ระบบความปลอดภัย และระบบไฟ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถดูได้จากอินเตอร์เฟสเดียว

          นอกจากนี้ Metasys ยังเป็นระบบจัดการอาคารอัตโนมัติเพียงหนึ่งเดียวในตลาดที่รองรับอีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบวงแหวน (Ethernet ring topology) โดยจอห์นสัน คอนโทรลส์ ได้จับมือกับ ซิสโก้ (Cisco) ให้บริการดังกล่าว ทำให้สามารถปรับแต่งตัวควบคุมในเครือข่ายแบบวงแหวน เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวจุดใดจุดหนึ่งซึ่งจะทำให้เกิดการรวนทั้งระบบ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความยืดหยุ่นของระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอาคารที่มีความสำคัญ เช่น โรงพยาบาลและศูนย์ข้อมูล เป็นต้น

          คุณฟิลลิป อกุลโล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ธุรกิจเทคโนโลยีและโซลูชันสำหรับอาคารของจอห์นสัน คอนโทรลส์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "เราสามารถตอบสนองวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0 ในฐานะผู้ติดตั้งระบบอาคารและเมืองอัจฉริยะ เรามีประสบการณ์มากมายในการติดตั้งระบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในศูนย์การค้าและโรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้ เราจึงเข้าใจดีถึงความสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลระบบจากอินเตอร์เฟสเดียว ทั้งนี้ Metasys เป็นแพลตฟอร์มแบบบูรณาการที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด และ Metasys 10.0 ก็ช่วยให้ลูกค้าผสานระบบ HVAC และ non-HVAC เข้ากับระบบจัดการอาคารได้ง่ายขึ้น โดยดูตัวอย่างความสำเร็จได้จากบริษัท จอร์เจีย-แปซิฟิก (Georgia-Pacific) ในแอตแลนตา"

          การพัฒนาที่มาพร้อมกับ Metasys 10.0 ประกอบด้วย

          - Application Programming Interface (API) ใหม่ -- API ช่วยให้สามารถแยกข้อมูลออกจาก Metasys 10.0 ได้อย่างปลอดภัย และผสานเข้ากับเครื่องมือแสดงข้อมูลเป็นภาพของบุคคลที่สาม เพื่อการวิเคราะห์และรายงานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
          - ผสานกับระบบ SIMPLEX(R) Fire System ได้ง่ายขึ้น -- ระบบ SIMPLEX Fire System ได้รับการปรับปรุงความสามารถด้วยการรวม BACnet(R) /IP เข้ากับระบบ Metasys เพื่อรายงานสภาพอาคารโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดอัคคีภัย
          - ผสานกับ C-CURE 9000 Access Control และ victor Video Management Systems -- เพิ่มไดรเวอร์ใหม่ในระบบ Metasys เพื่อรับข้อมูลจาก C-CURE 9000 Access Control และ victor Video Management Systems ของบริษัท ไทโก้ ซิเคียวริตี้ โปรดักส์ (Tyco Security Products)
          - ผสานกับระบบไฟจากบริษัทชั้นนำได้ง่ายขึ้น -- ระบบไฟ LED และเซ็นเซอร์จากบริษัทชั้นนำได้ถูกรวมเข้ากับระบบ Metasys เพื่อประสานพฤติกรรมการใช้ไฟกับการทำงานของระบบ HVAC

          สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Metasys 10.0 ได้ที่ metasys.johnsoncontrols.com

          เกี่ยวกับจอห์นสัน คอนโทรลส์

          จอห์นสัน คอนโทรลส์ เป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยให้บริการลูกค้าในกว่า 150 ประเทศ พนักงาน 120,000 คนของบริษัทได้สร้างสรรค์อาคารอัจฉริยะ โซลูชั่นประหยัดพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานแบบบูรณาการ และระบบขนส่งยุคใหม่ที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เพื่อรองรับชุมชนและเมืองแห่งอนาคต ความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนของเราสืบย้อนไปตั้งแต่เมื่อครั้งก่อตั้งบริษัทในปี 2428 ด้วยการประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิห้องระบบไฟฟ้าเครื่องแรก เรามุ่งมั่นที่จะมอบผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและสร้างความสำเร็จให้แก่ลูกค้าของเรา โดยใช้กลยุทธ์การขยายธุรกิจเกี่ยวกับอาคารและพลังงาน

          เกี่ยวกับธุรกิจเทคโนโลยีและโซลูชันอาคารของจอห์นสัน คอนโทรลส์

          ธุรกิจเทคโนโลยีและโซลูชันอาคารของจอห์นสัน คอนโทรลส์ ทำให้โลกมีความปลอดภัย ชาญฉลาด และยั่งยืน มากขึ้น เทคโนโลยีของเราผสมผสานทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับอาคาร ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัย การจัดการพลังงาน การป้องกันอัคคีภัย หรือระบบ HVACR เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง เราดำเนินธุรกิจในกว่า 150 ประเทศผ่านทางเครือข่ายสาขาและช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหนือชั้น ซึ่งช่วยให้เจ้าของอาคาร ผู้ประกอบการ วิศวกร และผู้รับเหมาสามารถยืดอายุการใช้งานของอาคารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในอุตสาหกรรม อาทิ Tyco(R), YORK(R), Metasys(R), Ruskin(R), Titus(R), Frick(R), PENN(R), Sabroe(R), Simplex(R) และ Grinnell(R) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.johnsoncontrols.com/thailand หรือติดตามจอห์นสัน คอนโทรลส์ เอเชียแปซิฟิกทาง LinkedIn



Smart building management fit for Thailand 4.0

          Johnson Controls' launches Metasys 10.0 for unified, intuitive building management


          Johnson Controls, the global diversified technology and multi-industrial leader, today announced the release of Metasys 10.0, designed to deliver unified building management. This marks another milestone as Johnson Controls brings the power of its combined portfolio to the market, following a series of mergers and acquisitions in the buildings space -- including Tyco merger in 2016 and York acquisition in 2005. This latest Metasys release provides facility personnel with smarter building automation, faster responses to critical alarms and new integrations with fire detection, and security and lighting systems -- all with visibility from a single common interface.

          Another innovation is the Ethernet ring topology support. Metasys is the only building automation system in the market that offers this. Delivered as part of Johnson Controls strategic alliance with Cisco, it allows controllers to be configured in a ring network, avoiding risk of single point of failure, thus improving system reliability and resiliency. This is especially important in mission-critical facilities like hospitals and data centers.

          "Thailand 4.0 is a vision that we can contribute to as a systems integrator for smart buildings and cities. Johnson Controls has a lot of experience in systems integration in Southeast Asia, including mixed-use malls and hospitals. Hence we deeply appreciate how important it is to provide access to critical system data from a single, intuitively-designed interface. Metasys has always delivered a strong integrations platform, but now it is even easier for customers to integrate both HVAC and non-HVAC systems into Metasys 10.0. One of the earliest sites seeing great success is Georgia-Pacific in Atlanta," said Philippe Agullo, sales director, Building Technologies & Solutions, Johnson Controls Southeast Asia.

          Improvements with the release of Metasys 10.0 include:

          - New Metasys Application Programming Interface (API) -- API enables data to be securely extracted from Metasys 10.0 and integrated with third-party data visualization tools for robust data analysis and reporting.
          - Simpler integration with SIMPLEX(R) Fire System -- The SIMPLEX Fire System is enhanced to include a BACnet(R) /IP integration with the Metasys system to automate building conditions when triggered by a fire event.
          - New integrations with C-CURE 9000 Access Control and victor Video Management Systems -- New integration drivers are added to the Metasys system to provide data from C-CURE 9000 Access Control and victor Video Management Systems from Tyco Security Products.
          - Simpler integrations with lighting systems from leading lighting providers -- LED lighting and sensor networks from preferred partners are tightly integrated with the Metasys system to coordinate lighting behaviors with HVAC operation.

          For more information on Metasys 10.0, visit metasys.johnsoncontrols.com.

          About Johnson Controls
         
          Johnson Controls is a global diversified technology and multi-industrial leader serving a wide range of customers in more than 150 countries. Our 120,000 employees create intelligent buildings, efficient energy solutions, integrated infrastructure and next generation transportation systems that work seamlessly together to deliver on the promise of smart cities and communities. Our commitment to sustainability dates back to our roots in 1885, with the invention of the first electric room thermostat. We are committed to helping our customers win and creating greater value for all of our stakeholders through strategic focus on our buildings and energy growth platforms.

          About Johnson Controls Building Technologies & Solutions

          Johnson Controls Building Technologies & Solutions is making the world safer, smarter and more sustainable -- one building at a time. Our technology portfolio integrates every aspect of a building -- whether security systems, energy management, fire protection or HVACR -- to ensure that we exceed customer expectations at all times. We operate in more than 150 countries through our unmatched network of branches and distribution channels, helping building owners, operators, engineers and contractors enhance the full lifecycle of any facility. Our arsenal of brands includes some of the most trusted names in the industry, such as Tyco(R), YORK(R), Metasys(R), Ruskin(R), Titus(R), Frick(R), PENN(R), Sabroe(R), Simplex(R) and Grinnell(R). For more information, visit www.johnsoncontrols.com/thailand or follow Johnson Controls Asia Pacific on LinkedIn.



เตรียมเปิดประมูลไวน์หายาก “Screaming Eagle” ในงาน Naples Winter Wine Festival 2019

          นักสะสมทั่วโลกสามารถร่วมประมูลผ่านทางโทรศัพท์ในวันที่ 26 มกราคม

          Naples Children & Education Foundation (NCEF) ประกาศว่า ในวันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2019 หนึ่งในไวน์แคลิฟอร์เนียที่หายากที่สุดและเป็นที่ต้องการของนักสะสมมากที่สุดจะถูกนำมาเปิดประมูลในงาน Naples Winter Wine Festival (NWWF) ครั้งที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นที่ The Ritz-Carlton Golf Resort ในเมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา โดยการประมูล Lot #7 ประกอบด้วยไวน์ Screaming Eagle Cabernet Sauvignon 1992-1999 ขนาดขวด 3 ลิตร จำนวน 8 ขวด ทั้งนี้ Screaming Eagle ได้สร้างปรากฏการณ์ไวน์ในแคลิฟอร์เนียและพลิกโฉมโลกของไวน์มาแล้ว อีกทั้งยังคงเป็นไวน์ที่หายากและเป็นที่ต้องการมากที่สุดมาจนทุกวันนี้ โดยไวน์ Screaming Eagle แบบขวดใหญ่ไม่เคยวางจำหน่ายมาก่อน และไวน์ที่จะนำออกประมูลก็ถือเป็นคอลเลคชั่นเดียวที่มีการค้นพบ

          คุณทอม โคห์น ประธานร่วมของงาน NWWF กล่าวว่า "เมื่อพิจารณาจากความสนใจของนักสะสมและคนรักไวน์จากทั่วโลกแล้ว เรายินดีที่จะประกาศว่าเรารับประมูลผ่านทางโทรศัพท์ด้วย"

          นับตั้งแต่บรรจุขวดครั้งแรกในปี 1992 Screaming Eagle ก็ได้รับคำวิจารณ์ในระดับเพอร์เฟคหรือเกือบเพอร์เฟคทุกปีตลอดทศวรรษ 90 ไวน์แต่ละขวดใน Lot #7 ผลิตขึ้นในขณะที่คุณฌอง ฟิลิปส์ ผู้ก่อตั้ง ยังคงเป็นเจ้าของโรงกลั่น โดยเธอได้รังสรรค์ไวน์ร่วมกับคุณไฮดี บาร์เรตต์ นักทำไวน์ชื่อดัง มนต์เสน่ห์ของ Napa Cult Cabernet ทำให้นักสะสมทั่วโลกต่างต้องการครอบครอง Screaming Eagle แม้เพียงขวดเดียว ดังนั้น โอกาสอันหายากในการครอบครองไวน์ทั้งคอลเลคชั่นเช่นนี้จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลกของไวน์อย่างแน่นอน

          ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูลกรุณาติดต่อ info@napleswinefestival.com ผู้ประมูลที่ผ่านการประเมินคุณสมบัติแล้วสามารถร่วมประมูลทางโทรศัพท์ได้แบบเรียลไทม์

          เกี่ยวกับ Naples Winter Wine Festival และ Naples Children & Education Foundation

          Naples Winter Wine Festival คืองานประมูลไวน์เพื่อการกุศลที่ทรงเกียรติที่สุดงานหนึ่งของโลก โดยนับตั้งแต่จัดงานครั้งแรกในปี 2001 ก็สามารถระดมทุนได้แล้วกว่า 176 ล้านดอลลาร์ และได้นำไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆหลายแสนคน งานนี้ริเริ่มขึ้นโดย Naples Children & Education Foundation โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการศึกษา จิตใจ และสุขภาพของเด็กๆผู้ด้อยโอกาส



Rarest Screaming Eagle vertical of 3L bottles to be auctioned at 2019 Naples Winter Wine Festival

          Phone bidding will be available to collectors worldwide on January 26th

          The Naples Children & Education Foundation (NCEF) has announced that on Saturday, January 26th, 2019, one of the rarest and most collectible verticals of California wine will be up for auction at the 19th annual Naples Winter Wine Festival (NWWF) at The Ritz-Carlton Golf Resort in Naples, FL. Lot #7 features (8) 3-liter bottles of Screaming Eagle's very first Cabernet Sauvignon bottlings, vintages 1992-1999. Screaming Eagle, the wine that kick-started California's Cult Cabernet phenomenon and transformed the world of wine, remains its scarcest and most collectible. Large format bottles of Screaming Eagle have never been offered for sale by the winery and this vertical is the only known set in existence.

          "Given the anticipated interest from collectors and aficionados from around the world, we are pleased to announce that arrangements have been made to accept phone bids," says 2019 Festival Co-Chair Tom Koehn.

          Since its first bottling in 1992, Screaming Eagle achieved perfect and near-perfect reviews every year during the Nineties. Each wine featured in Lot #7 was produced while founder Jean Phillips owned the winery and was produced by her along with famed winemaker, Heidi Barrett. The allure of Napa Cult Cabernet has driven collectors worldwide to get their hands on a single bottle of Screaming Eagle, let alone a vertical of this capacity. This rare opportunity to bid on this collection without doubt will be historic in the wine world.

          Interested bidders may contact info@napleswinefestival.com to apply for bidding access. Pre-qualified bidders may arrange to bid by phone in real time.

          About Naples Winter Wine Festival and Naples Children & Education Foundation

          The Naples Winter Wine Festival is one of the world's most prestigious charity wine auctions. Since its inaugural event in 2001, the NWWF has raised more than $176 million, making a profound difference in the lives of hundreds of thousands of children. The Naples Children & Education Foundation, the founding organization of the Naples Winter Wine Festival, is improving the educational, emotional and health outcomes of underprivileged and at-risk children.



Wednesday, December 26, 2018

โรงแรมติดดาวในไต้หวันตบเท้าเข้าร่วมมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติไทเปประจำปี 2561

          โรงแรมติดดาวกว่า 100 แห่งจากสมาคมโรงแรมติดดาวไต้หวัน ได้เข้าร่วมมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติไทเปประจำปี 2561 ซึ่งมีผู้เข้าชมงาน 376,000 ราย และมีการเปิดบูธมากถึง 1,700 บูธ จาก 60 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อตอกย้ำความสำคัญของโรงแรมติดดาว

          การประเมินโรงแรมติดดาวแบ่งเป็นห้าระดับ ตั้งแต่ 1 ดาว ถึง 5 ดาว โดยแต่ละดาวมีความหมายแตกต่างกัน ทั้งในส่วนของความสะอาด สุขลักษณะ และความปลอดภัย

          1. โรงแรม 1 ดาว คือโรงแรมที่มีความสะอาด ความปลอดภัย และสุขลักษณะขั้นพื้นฐาน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักขั้นพื้นฐาน
          2. โรงแรม 2 ดาว คือโรงแรมที่มีความสะอาด ความปลอดภัย และสุขลักษณะที่จำเป็น รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักที่สะดวกสบาย
          3. โรงแรม 3 ดาว คือโรงแรมที่มีความสะอาด ความปลอดภัย และสุขลักษณะระดับพรีเมียม ที่ให้บริการอย่างอบอุ่นและสะดวกสบาย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักที่สะดวกสบาย ห้องอาหาร และห้องทำงาน
          4. โรงแรม 4 ดาว คือโรงแรมที่มีความสะอาด ความปลอดภัย และสุขลักษณะระดับพรีเมียม ที่ให้บริการอย่างใส่ใจและประณีต รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักที่สะดวกสบาย ห้องอาหารมากกว่าสองแห่ง ห้องทำงาน ห้องจัดเลี้ยง ห้องประชุม ห้องออกกำลังกายและสันทนาการ รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกพื้นที่
          5. โรงแรม 5 ดาว คือโรงแรมที่มีความสะอาด ความปลอดภัย และสุขลักษณะระดับหรูหรา รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักอันประณีตและสะดวกสบาย ห้องอาหารมากกว่าสองแห่ง ห้องทำงาน ห้องจัดเลี้ยง ห้องประชุม ห้องออกกำลังกายและสันทนาการ รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกพื้นที่

          โรงแรมติดดาวรับประกันว่าลูกค้าจะได้รับบริการอันน่าพึงพอใจ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกโรงแรมที่ตรงกับความต้องการและความชอบของตนเอง

          เกี่ยวกับมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติไทเป (Taipei ITF)

          มหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติไทเปประจำปี 2561 จัดขึ้นเป็นเวลาสี่วัน ตั้งแต่วันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2561 ที่ไทเป ไต้หวัน โดยถือเป็นมหกรรมการท่องเที่ยวงานใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจัดต่อเนื่องมานานกว่า 30 ปี

          โรงแรมติดดาว: https://taiwanstay.net.tw/
          Taipei ITF: http://www.taipeiitf.org.tw/



STAR HOTEL joined 2018 Taipei International Travel Fair

          More than 100 STAR HOTELS of the Taiwan Star Hotel Association joined the 2018 Taipei International Travel Fair, with 376,000 visitors and 1,700 booths from 60 countries or regions around the world participated in this annual event. The event serves as a reminder of the importance of rating hotels.

          The evaluation for star-rated hotels has five degrees, from one star to five stars with each star having a different meaning -- cleanness, hygiene, and security are perquisites.

          1. One Star: The hotels provide tourists with basic service of cleanness, security, hygiene, and simple lodging facilities.
          2. Two Stars: The hotels provide tourists with essential service of cleanness, security, hygiene, and comfortable lodging facilities.
          3. Three Stars: The hotels provide tourists with warm and comfortable service of cleanness, security, premium hygiene, and comfortable lodging facilities, restaurants and travel (business) centers.
          4. Four Stars: The hotels provide tourists with exquisite and careful services of cleanness, security, premium hygiene, and comfortable lodging facilities with more than two restaurants, travel (business) centers, banquet hall, meeting rooms, sports and recreation, as well as intelligent internet service facilities in all areas.
          5. Five Stars: The hotels provide tourists with luxurious services and cleanness, security, hygiene, and exquisite and comfortable lodging facilities with more than two restaurants, travel (business) centers, banquet hall, meeting rooms, sports and recreation, as well as intelligent internet service facilities in all areas.

          A hotel obtaining the star-rating serves as a service guarantee to consumers. Tourists may opt for the suitable hotel for stayover according to his/her demands and preferences.

          About Taipei International Travel Fair (Taipei ITF)

          2018 Taipei International Travel Fair is a 4-day event that was held from 23 Nov. to 26 Nov. 2018 in Taipei, Taiwan. Taipei ITF is the largest travel show in the Asia Pacific region and has been held for more than 30 years

          STAR HOTEL: https://taiwanstay.net.tw/
          2018 Taipei ITF: http://www.taipeiitf.org.tw/



เดลต้า ติดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แบบตู้คอนเทนเนอร์ให้สถานีภาคพื้นดิน "คัมพานา" ในเมียนมา ด้วยประสิทธิภาพประหยัดพลังงานและความว่องไวสูง

          เดลต้า (Delta) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นส์บริหารจัดการพลังงานและความร้อน ประกาศว่า บริษัทได้ส่งมอบดาต้าเซ็นเตอร์แบบตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้พลังงานเพียง 200 กิโลวัตต์ให้แก่ คัมพานา กรุ๊ป (Campana Group) สิงคโปร์ โดยใช้เวลาเพียง 50 วันนับตั้งแต่ขนส่งจากฐานการผลิตในเขตอู๋เจียงของจีน จนถึงการติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์สองตู้ในเมืองย่างกุ้งของเมียนมา ดาต้าเซ็นเตอร์นี้มีคุณลักษณะเด่นประหยัดพลังงานสูง โดยค่าประสิทธิผลการใช้ไฟฟ้าภายในดาต้าเซ็นเตอร์ (PUE) เฉลี่ยต่อปีไม่ถึง 1.43 จึงได้มาตรฐาน Green Grid ระดับ Gold ดาต้าเซ็นเตอร์นี้ออกแบบมาเพื่อโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ SIGMAR (สิงคโปร์-เมียนมา) และเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ความเร็วสูงขนาดใหญ่ที่สุดที่เชื่อมสิงคโปร์กับเมียนมา ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชีวิตดิจิทัลที่ดียิ่งขึ้น

          ดร. Myo Ohn ซีอีโอของคัมพานา กรุ๊ป กล่าวว่า "การติดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในเมียนมามีความท้าทายมาก เราต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายทั้งในด้านพลังงานและประสิทธิภาพ เราจึงต้องการซัพพลายเออร์ที่ไว้วางใจได้ทั้งในแง่ของคุณภาพและศักยภาพทางเทคนิค ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจเลือกเดลต้า" ทั้งนี้ โครงการเคเบิลใต้น้ำในเมียนมาของคัมพานา กรุ๊ป ซึ่งมีสิงคโปร์เป็นอินเทอร์เน็ตฮับ จะเชื่อมเครือข่ายเคเบิลใต้น้ำกับสถานีภาคพื้นดิน เพื่อรองรับกิจกรรมในโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเมียนมา

          ดร. Charles Tsai ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจ Mission Critical Infrastructure Solutions ของบริษัทเดลต้า กล่าวว่า "เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับคัมพานาเพื่อขับเคลื่อนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ยุคดิจิทัล และผลพวงจากความร่วมมือก็น่าพึงพอใจมาก ดาต้าเซ็นเตอร์แบบสำเร็จรูปของเดลต้าไม่เพียงช่วยให้การติดตั้งและใช้งานเป็นไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีความน่าเชื่อถือสูงและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการประมวลผลแบบเอจ คอมพิ้วติ้ง นอกจากนั้นเรายังช่วยเหลือลูกค้าในการเจาะตลาดบริการเชื่อมต่อเครือข่ายด้วย" ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.deltapowersolutions.com/en/mcis/success-story-deltas-containerized-data-center-solutions-support-campanas-submarine-cable-landing-station-in-myanmar.php

          เดลต้าได้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มาตั้งแต่ปี 2550 นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของโรงงานผลิตดาต้าเซ็นเตอร์แบบตู้คอนเทนเนอร์แห่งแรกในจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์สั่งทำที่ได้มาตรฐานหลายร้อยรายการให้แก่ลูกค้าในออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก



Tuesday, December 25, 2018

“สตีเฟน แลง” รับบทบาทใหม่ในหนังฟอร์มยักษ์ “The Gandhi Murder”

 ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์--25 ธ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์



          สัปดาห์นี้ได้มีการปล่อยตัวอย่างหนังแอคชั่นทริลเลอร์เรื่องใหม่ "The Gandhi Murder" ที่ได้ สตีเฟน แลง (พันเอกไมล์ส ควอริตช์ จาก Avatar) มารับบทเป็นรองจเรตำรวจจากรัฐแคชเมียร์ นับเป็นครั้งแรกที่ดาราฮอลลีวู้ดระดับเอลิสต์รับบทเป็นคนอินเดียในหนังฟอร์มยักษ์

        

          บทบาทในหนังเรื่องใหม่นี้แตกต่างจากในเรื่อง Avatar โดยสิ้นเชิง โดยเขาต้องเล่นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร มหาตมะ คานธี แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะเคยช่วยชีวิตคานธีเอาไว้ก็ตาม

          เหตุการณ์ลอบสังหารครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948 โดยฝีมือของ นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูหัวรุนแรง ทว่าสิบวันก่อนหน้านั้น ตำรวจได้จับกุมตัว มาดาน ลาล ผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา และพบว่ามีการวางแผนลอบสังหารคานธี แต่กลับไม่ดำเนินการตามความเหมาะสม อัตมาชารัน อากราวัล ผู้พิพากษาพิเศษในคดีสังหารคานธี ได้กล่าวประโยคอันโด่งดังไว้ว่า "หากตำรวจตอบสนองต่อข่าวกรอง โศกนาฏกรรมนี้อาจไม่เกิดขึ้น"

          ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง จิมมี่ นาการ์วาลา รองผู้บัญชาการตำรวจบอมเบย์ในขณะนั้น (แสดงโดย ลุค พาสควอลิโน) กับ ยู.เอช. รานา รองจเรตำรวจเมืองปูเน่ (แสดงโดย สตีเฟน แลง) ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ลอบสังหาร ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของการปิดบังซ่อนเร้นความจริงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย

          ในขณะนั้นสังคมอินเดียเกิดการแบ่งแยกจนนำไปสู่ความรุนแรง แต่เหตุการณ์ลอบสังหารมหาตมะ คานธี กลายเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ความรุนแรงระหว่างชาวฮินดูกับมุสลิมสิ้นสุดลง ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า การแบ่งแยกเกือบทำลายประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก

          วินนี่ โจนส์ ดาราชาวอังกฤษ, ออม ปูรี นักแสดงอินเดียผู้ล่วงลับ และ นาสเซอร์ นักแสดงจากอินเดียใต้ ได้มารับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1947-1948 นอกจากนั้นยังได้นักแสดงชาวสเปน เฮซุส ซานส์ มารับบท มหาตมะ คานธี ขณะที่ ราจิต กาปูร์ ผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงอินเดีย ได้รับบทเป็น ชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

          ทีมงานมากถึง 34 สัญชาติได้รวมพลังกันสร้างสรรค์ภาพยนตร์ที่บอกเล่าชีวิตช่วงสุดท้ายของนักสู้อหิงสาคนสำคัญของโลก ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลายล้าน และเป็นแบบอย่างของผู้นำโลกรุ่นหลัง เช่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และ เนลสัน แมนเดลา

          ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดย Nugen Media Production และเตรียมเผยแพร่โดย Rising Star Entertainment (info@risingstarentertainment.com) ในวันที่ 30 มกราคม 2019 ทั่วโลก

          ภาพความละเอียดสูง: https://we.tl/t-LmsfhUqvvD

          ตัวอย่างภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ: https://www.youtube.com/watch?v=Uqq2-gfc4yI

          เว็บไซต์ของ Nugen Media Production: https://www.nugen.media

          ติดต่อ: Dr. Moobi Alwright (info@nugen.media), +971-551095511 หรือ Sachin Nikam (sn@nugen.media) +971-557895949

          ที่มา: Nugen Media Productions

          สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

Nugen Media Dubai : Stephen Lang to Don a New 'Avatar’ in Upcoming Gandhi Film

DUBAI, UAE--25 Dec--PRNewswire/InfoQuest

          This week saw the release of the trailer of police action thriller The Gandhi Murder. Stephen Lang (Colonel Miles Quaritch of Avatar) plays a maverick DIG-CID hailing from the disputed state of Kashmir in the film. This is the first time that a Hollywood 'A lister' shall be playing an Indian character in a major theatrical release.

        

          Unlike the 'trigger happy' character in Avatar, 'Slang' shall be playing a very different role this time, that of a mastermind behind the assassination of Mahatma Gandhi. Slang plays the intelligence officer who, despite having saved Gandhi's life previously, now thinks differently.

          Smashing myths and restating history that led to the infamous assassination on 30th January, 1948, the movie contends that with the arrest of Godse's accomplice Madan Lal on 20th January, the police had uncovered the plot to assassinate Mahatma Gandhi, leading Judge 'Atmacharan Agrawal,' special judge, Gandhi murder, to famously remark, "Had the police acted on the intelligence available, the tragedy would probably have never happened."

          The film explores the friendship between the then DCP-Bombay, Jimmy Nagarwala (Luke Pasqualino) and DIG (CID) - Poona, U.H. Rana (Stephen Lang), and how their camaraderie and actions before and after the assassination might have been instrumental in one of the biggest coverups in Indian history.

          In a communally divided India fast headed towards a civil war, the assassination of Mahatma Gandhi was the watershed moment that put an end to the Hindu-Muslim sectarian violence that had gripped the country. The movie demonstrates how such divisive policies very nearly led to the break-up of the world's largest democracy, very nearly destroying it.

          British actors Vinnie Jones, Late Om Puri and veteran South Indian actor Nasser fill other key police officer roles in the action thriller on Indian police and politics in 1947-48. Spanish actor Jesus Sans plays Gandhi and veteran Indian actor Rajit Kapur plays the first Indian prime minister Jawahar Lal Nehru.

          A record 34 nationalities got together to create the movie on the last days of the world's most charismatic non-violent leader, who inspired millions of people, and whose non-violent practices were later adopted by world leaders such as Martin Luther King Jr. and Nelson Mandela.

          A Nugen Media Production, the movie shall be released by Rising Star Entertainment (info@risingstarentertainment.com) worldwide on 30th January, 2019.

          Photo Available in High Resolution : https://we.tl/t-LmsfhUqvvD

          Movie Official Trailer on Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=Uqq2-gfc4yI

          Nugen Media Production Website : https://www.nugen.media

          Contact: Dr. Moobi Alwright (info@nugen.media), +971-551095511, Sachin Nikam (sn@nugen.media) +971-557895949)

          Source: Nugen Media Productions

สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ ชนะประมูลโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าในบราซิล

          - การลงทุนของบริษัทในภาคธุรกิจสายส่งไฟฟ้าของบราซิลมีมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
          โครงการประกอบด้วยสถานีไฟฟ้าย่อย 6 แห่ง ที่มีกำลังผลิต 1.544 เมกะโวลต์แอมแปร์ (MVA)


          ในการประมูลโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าในบราซิลที่เสร็จสิ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ผลปรากฏว่า สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ (Sterlite Power) เป็นผู้ชนะการประมูลโครงการ Lot 13 โดยบริษัทจะเข้าไปลงทุนคิดเป็นมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ที่รัฐรีโอกรันดีโดซูล ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งการชนะประมูลครั้งล่าสุดนี้ได้ทำให้สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ มีโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าอยู่ในมือเพิ่มขึ้นเป็น 10 โครงการ

          ปราติก อการ์วาล ซีอีโอของสเตอร์ไลท์ กรุ๊ป กล่าวถึงบราซิลและการลงทุนของบริษัทในภูมิภาคนี้ว่า "เรารู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวการเติบโตของบราซิล แรงผลักดันที่ทำให้เราเข้ามาทำงานในโครงการที่ยากลำบากเช่นนี้ก็คือความต้องการในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเราในบราซิล เราทุ่มเทให้กับภูมิภาคนี้เป็นอย่างมากและมุ่งหวังที่จะส่งมอบโครงการใหม่นี้ให้ได้ก่อนครบกำหนดเวลา"

          รุย ชามมาส ซีอีโอของสเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ ประจำประเทศบราซิล กล่าวว่า "เราดีใจที่ได้ชนะการประมูลในครั้งนี้ และผมต้องขอขอบคุณ ANEEL ที่ทำให้โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นและจัดให้มีการประมูลด้วยความโปร่งใส สเตอร์ไรท์ พาวเวอร์ ตั้งใจที่จะส่งมอบโครงการเหล่านี้ให้ได้ก่อนกำหนด โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรและทีมงานระดับสูงในท้องถิ่น"

          ระบบส่งจ่ายไฟฟ้าของบราซิลจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากยุคของพลังงานน้ำและพลังงานความร้อนมาสู่ยุคแห่งการใช้งานพลังงานหมุนเวียน

          เกี่ยวกับ สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์

          สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ เป็นบริษัทชั้นนำผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการส่งไฟฟ้าทั่วโลก โดยมีโครงการในอินเดียและบราซิลรวมเป็นระยะทางยาว 12,500 วงจรกิโลเมตร และกำลังไฟฟ้ารวม 20,500 เมกะโวลต์แอมแปร์ สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ เป็นผู้นำอุตสาหกรรมในด้านตัวนำไฟฟ้า สายไฟฟ้าแรงสูงเอ็กซ์ตร้า EHV และเส้นใยแก้วนำแสง OPGW ทั้งยังนำเสนอโซลูชั่นสำหรับการยกระดับและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงข่ายที่มีอยู่เดิม บริษัทได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและมีแนวทางการจัดหาเงินทุนในรูปแบบใหม่ ๆ นอกจากนี้ สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ ยังเป็นผู้ค้ำประกันของ IndiGrid ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ("InvIT") แห่งแรกของอินเดีย ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น BSE และ NSE

          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sterlitepower.com



Sterlite Power Wins Prestigious Transmission Project in Brazil

          - The company's investment in Brazilian transmission sector crosses USD 2bn
          - Project includes 6 substations; 1.544 MVA


          In the recently concluded auction for transmission projects in Brazil, Sterlite Power emerged as the winner for Lot 13. The project will require an investment of USD 0.6 billion over the period of next 3-5 years in the state of Rio Grande do Sul, south region of the country. This addition increases the portfolio of Sterlite Power to 10 projects.

          Talking about Brazil and the company's investment in the region, the Group CEO of Sterlite Power, Pratik Agarwal said, "We feel proud and honoured to be part of the Brazilian growth story. Our motivation to work on the toughest transmission projects that empower humanity has been the cornerstone of our journey in Brazil. We feel committed to the region and look forward to delivering the new project ahead of schedule."

          Rui Chammas, Sterlite Power CEO in Brazil, said, "We are happy to have won this project in the current auction. I must congratulate ANEEL for providing a visible pipeline of projects and for the transparent way of conducting these auctions. Sterlite Power is committed to delivering these projects ahead of schedule by leveraging a network of partners and a top-class local team."

          Brazil's transmission system needs to add significant capacity to manage the transition in generation footprint: from a hydro and thermal baseload to renewable generation.

          About Sterlite Power 

          Sterlite Power is a leading global developer of power transmission infrastructure with projects of over 12,500 circuit kms and 20,500 MVA in India and Brazil. With an industry-leading portfolio of power conductors, EHV cables and OPGW, Sterlite Power also offers solutions for upgrading, uprating and strengthening existing networks. The Company has set new benchmarks in the industry by use of cutting-edge technologies and innovative financing. Sterlite Power is also the sponsor of IndiGrid, India's first power sector Infrastructure Investment Trust ("InvIT"), listed on the BSE and NSE.

          For more details, visit: http://www.sterlitepower.com



Monday, December 24, 2018

Blume Global จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Infosys



          เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถยกระดับห่วงโซ่อุปทานครบวงจร พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

          Blume Global ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานดิจิทัล ประกาศว่า ทางบริษัทได้ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Infosys ผู้นำด้านบริการดิจิทัลยุคใหม่และบริการให้คำปรึกษา ข้อตกลงครั้งนี้เปิดทางให้ Infosys สามารถให้บริการแพลตฟอร์มและโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลของ Blume แก่บรรดาบริษัทโลจิสติกส์ ผู้ค้าปลีก และผู้ผลิตต่อไป

          Blume Global นำเสนอโซลูชันห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลที่มีความโดดเด่น เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางเทคโนโลยีและทางธุรกิจที่บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายห่วงโซ่อุปทานต้องเผชิญ โดยลูกค้าของ Infosys จะได้เข้าถึง Blume Digital Platform ที่สามารถปรับกระบวนการโลจิสติกส์ได้ทุกแง่มุมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการดำเนินงาน ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ และเครือข่ายอันกว้างขวาง

          Blume Global Platform สามารถผสานรวมกับระบบ ERP ชั้นนำในอุตสาหกรรม รวมถึงโซลูชันบริหารจัดการการขนส่งจาก SAP และ Oracle การผนึกกำลังนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถต่อยอดการลงทุนในระบบของตน เพื่อพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานสู่ระบบดิจิทัลต่อไป

          คุณ Karmesh Vaswani รองประธานบริหารกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค การค้าปลีก และโลจิสติกส์ของ Infosys กล่าวว่า "เรากำลังช่วยเหลือลูกค้าพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานสู่ระบบดิจิทัล เพื่อทำให้ใกล้ชิดกับลูกค้าของพวกเขามากขึ้น เข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการได้เร็วขึ้น ทั้งยังลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ แพลตฟอร์มของ Blume ต่อยอดมาจากความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่ทีมงานของเราสั่งสมมานาน เพื่อส่งมอบโซลูชันที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าของเราสามารถพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานได้อย่างสิ้นเชิง"

          คุณ Pervinder Johar ซีอีโอของ Blume Global กล่าวว่า "การจับมือกับ Infosys ทำให้โซลูชันของเราเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างขึ้น โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ทางบริษัทได้สานต่อมาอย่างยาวนาน เพื่อช่วยให้เหล่าบริษัทค้าปลีกและบริษัทผู้ผลิตทั่วโลกสามารถพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานทุกแง่มุมสู่ระบบดิจิทัล แพลตฟอร์มของ Blume นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขณะที่เครือข่ายพันธมิตรคู่ค้าที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลกก็ช่วยสนับสนุนความร่วมมือและการประสานงานแบบเรียลไทม์ทั่วทั้งเครือข่ายอันซับซ้อน"

          Blume Global (เดิมชื่อ REZ-1) มีประวัติการดำเนินงานยาวนานเกือบ 25 ปี โดยเป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มรองรับการขนส่งหลายวิธีร่วมกัน (intermodal) ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานกว่า 5,000 ราย รวมถึงบริษัทกลุ่ม Intermodal Marketing Company (IMC) กว่า 300 บริษัทที่มีสำนักงานรวมกัน 1,400 แห่ง และผู้ให้บริการขนส่งทางรถกว่า 6,000 ราย แพลตฟอร์มนี้ประมวลผลการทำธุรกรรมให้กับลูกค้ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยมีความถูกต้องในการเรียกเก็บเงินถึง 99.99%

          เกี่ยวกับ Blume Global

          ไม่ว่าจะเป็นบริษัทค้าปลีก ผู้ผลิต บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของโลก หรือบริษัทขนส่งสินค้าขนาดเล็กในท้องถิ่น ความสำเร็จทางธุรกิจล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถในการมองเห็นขั้นตอนการดำเนินงานและการประสานงานตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของห่วงโซ่อุปทาน ในทุกการเคลื่อนไหว ทุกรูปแบบ และทุกระยะทาง Blume ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและโซลูชันดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI และข้อมูล เพื่อให้สามารถมองเห็น ดำเนินการขนส่ง บริหารจัดการทรัพย์สิน ดูแลระบบคลังสินค้า และดำเนินการทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกที่สั่งสมมานานถึง 20 ปี รวมถึงเครือข่ายระดับโลก เพื่อช่วยให้องค์กรทั้งหลายทำงานและตอบสนองได้ว่องไวยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับการส่งมอบบริการและลดต้นทุนในคราวเดียวกัน รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ blumeglobal.com

          เกี่ยวกับ Infosys

          Infosys คือผู้นำระดับโลกด้านบริการดิจิทัลยุคใหม่และบริการให้คำปรึกษา โดยช่วยเหลือลูกค้าใน 45 ประเทศพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัล บริษัทสั่งสมประสบการณ์มานานกว่า 30 ปีในการบริหารจัดการระบบและการดำเนินงานขององค์กรระดับโลก เราใช้ความเชี่ยวชาญเหล่านี้นำพาลูกค้าไปสู่จุดหมายในการพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัล เรามอบศักยภาพด้าน AI ให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ เรายังช่วยขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความว่องไวและตอบโจทย์ เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน เราไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และสิ่งนี้ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการบ่มเพาะและถ่ายทอดทักษะดิจิทัล ความเชี่ยวชาญ และแนวคิดสุดล้ำจากระบบนิเวศนวัตกรรมของเรา รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.infosys.com

          ติดต่อ: Laura Often, โทร: 781-296-6485, อีเมล: blume@inkhouse.com

          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/801239/Blume_Global_Network_Numbers_2018.jpg
          โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/744701/Blume_Logo.jpg

Blume Global Enters Strategic Partnership with Infosys



          Partnership Enables Customers to Drive End-to-End Supply Chain Transformation and New Innovations

          Blume Global, a leader in global logistics and digital supply chain solutions, today announced that it has entered into a strategic global partnership with Infosys, a leader in next-generation digital services and consulting. Through this agreement Infosys will implement and host Blume's platform and digital transformation solutions for logistics service providers, retailers and manufacturers.

          Blume Global provides a unique digital supply chain solution designed to solve the critical technology and business challenges of chief supply chain officers. Infosys customers will now be able to access the Blume Digital Platform and its capabilities to optimize all aspects of logistics across their supply chains, driving a competitive advantage through its operational insights, data, and its substantial network.

          The Blume Global Platform has the ability to integrate with industry-leading ERP and transportation management solutions from SAP and Oracle. These integrations empower customers to extend investments in their enterprise applications to power their supply chains' digital transformation.

          "We are helping our clients drive digital supply chain transformations that align them closer with their customers, understand and respond faster to demand, and significantly reduce costs. The Blume platform builds on our team's enterprise software expertise to deliver solutions that enable our customers to re-invent their supply chains," said Karmesh Vaswani, EVP for Consumer, Retail, Logistics Industry Group, Infosys.

          "With Infosys we are rapidly extending the reach of our solutions, leveraging the company's long-time relationships to help global retail and manufacturing companies bring digital transformation to every aspect of their supply chains," said Pervinder Johar, CEO, Blume Global. "The Blume platform provides data and valuable insights, and the global connected network of trading partners drives real-time collaboration and orchestration across complex networks."

          During its nearly 25-year history, Blume Global (formerly REZ-1) has built a trusted platform in the intermodal space, with 5,000+ users, 300+ intermodal marketing companies (IMCs) across 1,400 offices and 6,000+ motor carriers. The platform processes over $1 billion in annual transactions for customers with 99.99 percent billing accuracy.

          About Blume Global

          From the world's largest global retailers, manufacturers and consumer products companies to the smallest local drayage trucking companies, success depends on end-to-end visibility and orchestration of global supply chain networks across every move, every mode and every mile. With its AI-enabled, data-driven digital platform and solutions for real-time visibility, logistics execution, asset management, fulfillment and financial settlement, Blume solutions leverage two decades of data insights and its global network to help enterprises be more agile and responsive, improve service delivery and reduce costs. Learn more at blumeglobal.com.

          About Infosys

          Infosys is a global leader in next-generation digital services and consulting. We enable clients in 45 countries to navigate their digital transformation. With over three decades of experience in managing the systems and workings of global enterprises, we expertly steer our clients through their digital journey. We do it by enabling the enterprise with an AI-powered core that helps prioritize the execution of change. We also empower the business with agile digital at scale to deliver unprecedented levels of performance and customer delight. Our always-on learning agenda drives their continuous improvement through building and transferring digital skills, expertise, and ideas from our innovation ecosystem. www.infosys.com

          Contact: Laura Often, 781-296-6485, blume@inkhouse.com

          Photo - https://mma.prnewswire.com/media/801239/Blume_Global_Network_Numbers_2018.jpg
          Logo - https://mma.prnewswire.com/media/744701/Blume_Logo.jpg

Helsinn Group มอบสิทธิในการวางตลาดยา Pracinostat แก่ Menarini แต่เพียงผู้เดียว





          - ข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิมีผลครอบคลุมทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น และอเมริกาใต้

          Helsinn บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติสวิสที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับการดูแลรักษาโรคมะเร็ง และ Menarini กลุ่มบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ของอิตาลี ซึ่งมีการดำเนินงานใน 136 ประเทศทั่วโลก ประกาศในวันนี้ว่า Berlin Chemie AG ซึ่งเป็นบริษัทเยอรมันในเครือของ Menarini Group ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการวางตลาดยา Pracinostat ทั่วโลก (ยกเว้น สหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น และอเมริกาใต้)

          Pracinostat เป็นยายับยั้งฮิสโทนดีอะเซทิลเลส (histone deacetylase) ระดับที่ 1, 2 และ 4 โดยสารประกอบนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ด้วยการทดลองแบบพหุภูมิภาค ระยะที่ 3 ร่วมกับยา Azacitidine เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอิลอยด์ (AML) ซึ่งไม่เหมาะสมกับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดแบบ Intensive Induction Chemotherapy นอกจากนี้ ยา Pracinostat กำลังได้รับการทดสอบในการทดลองแบบเปิด ระยะที่ 2 โดยใช้ร่วมกับยา Azacitidine เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเลือดเอ็มดีเอส (myelodysplastic syndrome: MDS) ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่เคยได้รับการรักษามาก่อน

          ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง Helsinn จะยังคงถือสิทธิในการพัฒนาระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งรวมถึงกิจกรรมในการพัฒนาทางคลินิก และการจัดหายา Pracinostat ส่วน Menarini จะทำการส่งเสริม จัดจำหน่าย และวางตลาดยา Pracinostat ในทุกประเทศที่กำหนด อย่างไรก็ดี Helsinn จะมีสิทธิในการร่วมส่งเสริมการจำหน่ายและวางตลาดยา Pracinostat ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ร่วมกับ Menarini ซึ่งได้รับสิทธิเข้าถึงตลาดอื่น ๆ ของจีนแต่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกัน ตามข้อสัญญาบางข้อในข้อตกลงดังกล่าว Menarini จะได้รับโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อบ่งชี้ในการรักษามะเร็งเพิ่มเติม ที่อาจจะเกิดขึ้นในอาณาเขตเดียวกัน

          Riccardo Braglia รองประธานกรรมการและซีอีโอของ Helsinn Group กล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับนี้กับ Menarini เพื่อมอบสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการขายและส่งเสริมการขายยา Pracinostat สำหรับโรค AML ซึ่งการพยากรณ์โรคนี้ยังคงเป็นเรื่องที่สิ้นหวังสำหรับผู้ป่วยที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดแบบ Intensive Induction Chemotherapy

          เราเชื่อว่า ข้อตกลงทั่วโลกฉบับนี้จะช่วยขยายการเข้าถึงยา Pracinostat สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการยาตัวนี้ ยา Pracinostat กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาทางคลินิกระยะ 3 ขณะที่ Helsinn กำลังให้ความสำคัญมากขึ้นกับการรักษาโรคมะเร็ง เราจึงยินดีที่ได้มีพันธมิตรใหม่ที่น่าเชื่อถืออย่าง Menarini มาร่วมทีม"

          "การหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อรักษามะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ Menarini ซึ่งกำลังทุ่มลงทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อการค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ" Lucia และ Alberto Giovanni Aleotti ผู้ถือหุ้นของ Menarini Group กล่าว "เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับนี้กับ Helsinn ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเวชภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในสาขาผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาโรคมะเร็ง"




          สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Helsinn Group ได้ที่ http://www.helsinn.com

          ที่มา: Menarini I.F.R.

Helsinn Group Grants Exclusive Licensing Rights to Menarini for Pracinostat




          Licensing rights are worldwide excluding US, Canada, Japan and South AmericaHelsinn, a Swiss pharmaceutical group focused on building quality cancer care products, and Menarini, an Italian biopharmaceutical Group active in 136 countries worldwide, today announced that Berlin Chemie AG, the German company of the Menarini Group, has been granted exclusive licensing rights to commercialize Pracinostat worldwide (excluding US, Canada, Japan and South America).

          Pracinostat is an inhibitor of class I, II, and IV histone deacetylase. The compound is currently in development with a multiregional phase III trial in combination with Azacitidine for the treatment of adult patients with newly diagnosed acute myeloid leukemia (AML) who are unfit for intensive induction chemotherapy; pracinostat is also being tested in an open label phase II study in combination with Azacitidine for the treatment of na?ve patients with high risk myelodysplastic syndrome (MDS).

          Under the terms of the agreement, Helsinn will retain all international development rights, including clinical development activities, and the supply of Pracinostat. Menarini will promote, distribute and commercialize Pracinostat in all countries of the assigned territories. Helsinn will retain the right to co-promote Pracinostat in the province of Shanghai, China, alongside Menarini, who will exclusively access the rest of China. Pursuant to certain clauses of the agreement, Menarini will have the opportunity to exploit any potential further oncology indication in the same territories.

          Riccardo Braglia, Helsinn Group Vice Chairman and CEO, said: "We are pleased to have signed this agreement with Menarini, granting them exclusive licensing rights to promote and sell Pracinostat in AML, the prognosis of which remains dismal in those patients unfit to intensive induction chemotherapy.

          We believe this global agreement will help to broaden the reach of Pracinostat to those patients who need it. Pracinostat, is now in Phase III clinical development. As Helsinn expands its focus into cancer therapeutics, we're delighted to have a new, trusted partner like Menarini on board."

          "Finding new therapies against cancer, and precisely, against leukemia, is one of the goals of Menarini, which is strongly investing in Research and Development with the aim of discovering new products - said Lucia and Alberto Giovanni Aleotti, shareholders of the Menarini Group - We are extremely pleased to have signed this agreement with Helsinn, one of the recognized pharmaceutical companies in the field of cancer care products."

       
          For more information, please visit http://www.helsinn.com and follow us on Twitter, LinkedIn and Vimeo

          Source: Menarini I.F.R.

FISCO BCOS Blockchain Application Contest Reveals the Grand Prize Winner




Speakers, Judges and Teams of the FISCO BCOS Blockchain Application Contest (China)



          The Chinese Consortium Chain FISCO BCOS made its international debut at 2018 Singapore Fintech Festival. On December 21st, the Final Round of FISCO BCOS Blockchain Application Contest (China) was held in Shenzhen, China. ODRChain, a mature and in-operation project implementing a public consortium chain solution to boost the procedure of arbitration, won the grand prize - one million RMB. The first prize went to Project JustSign, the joint product of JustKey and Forms Syntron. Changhong Information Security Lab's IoT Trusted interconnection solution won the second prize.

          The Contest aimed to discover and present practical consortium chain projects, thus improving the public exposure of advantages of consortium chains, such as experience evolution, boosting efficiency, cost savings, mutual trust, data transparency and clear responsibility. The contest provided investors with opportunities to connect with fast-growing consortium chain start-ups. All projects adopted FISCO BCOS as the underlying blockchain technology platform. Together they further tested the robustness and availability of FISCO BCOS, which in return, facilitated the sustainable development of FISCO BCOS's open-source ecosystem. Eventually, it will help launch applications in different scenarios of Distributed Business.

          According to Henry Ma, President of Financial Blockchain Shenzhen Consortium (FISCO) Technical Committee, Vice President and Chief Information Officer of WeBank, "Through the Contest, we inspired participants who are using blockchain technology to solve problems in their businesses and encouraged them to join FISCO BCOS - the building block of open consortium chain. Together we will enable collaborative businesses and contribute to future real economy and development of SMEs."

          The FISCO BCOS Blockchain Application Contest was sponsored by WeBank and was guided by China Electronics Standardizations Institutes and China Computer Federation. ZhongChao Blockchain Technology Research Institute provided academic advice. FISCO and Shenzhen Finance Technology Association co-hosted the largest and most famous consortium chain applications contest in China. 300 projects joined the contest, covering dozens of industries such as government affairs, finance, public benefits, medical, education, transportation and smart home.


สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ ประกาศบรรลุข้อตกลงทางการเงินสำหรับโครงการ Arcoverde Project

          - BTG, Santander จะรับหน้าที่เป็นธนาคารผู้นำให้กับโครงการดังกล่าว
          - การก่อสร้างกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนครบกำหนดสัญญาว่าจ้าง

          สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ (Sterlite Power) บริษัทผู้พัฒนาด้านการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าระดับโลกประกาศว่า บริษัทได้บรรลุการทำข้อตกลงทางการเงินสำหรับโครงการ Arcoverde ในประเทศบราซิล เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา โดยโครงการ Arcoverde เป็นโครงการที่สเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ เป็นผู้ชนะการประมูลที่จัดโดย ANEEL ในเดือนเมษายน 2560 และได้ลงนามสัมปทานในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งประกอบไปด้วย การติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าความยาว 139 กิโลเมตร การก่อสร้างสถานีย่อยแห่งใหม่ 1 แห่ง (Greenfield) และการขยายสถานีย่อยที่มีอยู่แล้วอีก 2 แห่ง (Brownfield) และเนื่องจากโครงการดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติและมีการจัดซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินงานก่อนที่โครงการจะเสร็จสมบูรณ์

          Anuraag Srivatava ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของสเตอร์ไลท์ พาวเวอร์ กล่าวว่า "นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงทางการเงินสำหรับโครงการนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถทุ่มเทไปกับการทำให้โครงการนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ก่อนครบกำหนดเวลาได้ตามที่เราตั้งใจเอาไว้ อีกทั้งความร่วมมือกับบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารรายต่างๆ นั้นก็เป็นไปด้วยความราบรื่นอย่างมาก ซึ่งเราก็ต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ให้การต้อนรับเราอย่างอบอุ่นในครั้งนี้ด้วย"

          ที่มา: Sterlite Power Grid Ventures Limited

Sterlite Power Announces Financial Closure of Arcoverde Project

          - BTG, Santander to be the lead bank for the project
          - Construction activities are being executed with a view to achieve ahead of schedule commissioning

          Sterlite Power, a global power transmission company announced the financial closure of their Arcoverde project in Brazil. This closure was successfully achieved in the month of November, 2018. Arcoverde project was won by Sterlite Power during the auction conducted by ANEEL in April, 2017 and the concession was signed in Aug 2017. This project includes building 139 km transmission line, constructing one greenfield and two brownfield substations. With the project clearances in place and land acquisition completed, the project is in advanced stages of completion.

          Anuraag Srivatava, Group CFO, Sterlite Power, said, "It is a matter of immense pride that we have managed to achieve financial closure for this project in a short period of time. This will allow us to focus on completing the project ahead of schedule, in accordance with our track record. The partnership with bankers has been extremely smooth and we thank them for extending a warm welcome to us."


          Source: Sterlite Power Grid Ventures Limited

หัวเว่ย จับมือ บิซเน็ต วางเครือข่ายเมโทรอัจฉริยะในอินโดนีเซีย


          ประเทศอินโดนีเซียประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่มากกว่า 17,000 เกาะ นับเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะมากที่สุดในโลกจนได้รับสมญานามว่า "ดินแดนพันเกาะ"

          ในฐานะสมาชิกอาเซียนที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียได้ขยายโครงข่ายโทรคมนาคมมาตั้งแต่ปี 2543 ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุว่า อินโดนีเซียมีประชากร 260 ล้านคน และมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตราว 93.4 ล้านคน

          อินเทอร์เน็ตช่วยเชื่อมโยงหมู่เกาะต่างๆกับโลกดิจิทัล ซึ่งเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจดิจิทัลได้เติบโต อีกทั้งยังเป็นโอกาสและความท้าทายอันยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ในประเทศ

          การพลิกโฉมสู่ระบบดิจิทัลช่วยสนับสนุนการปฏิรูปเครือข่ายเมโทรความเร็วสูง

          บริษัท บิซเน็ต (Biznet) ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเอกชนรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ที่มอบบริการเครือข่ายที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ให้แก่ผู้ใช้งาน

          บิซเน็ตมอบการเชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายหลักระดับ tier 1 หลายเครือข่าย รวมถึงอินเทอร์เน็ตสวิตช์ชั้นนำในอุตสาหกรรม ทำให้การส่งข้อมูลไปถึงปลายทางอย่างรวดเร็วที่สุดด้วยระยะทางสั้นที่สุด บริษัทให้บริการบรอดแบรนด์ (metro Ethernet และ metro Fiber to the Home – FTTH) รวมถึงโฮสติ้งศูนย์ข้อมูล และบริการคลาวด์ในกว่า 100 เมืองทั่วอินโดนีเซีย

          - บิซเน็ตนำเสนอบริการให้เช่าคู่สาย Multiprotocol Label Switching (MPLS) สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) รวมถึงบริการให้เช่า IP และแบนด์วิดท์สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ โดยมีจุดให้บริการใน 11 ประเทศ

          - บิซเน็ตวางเครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสงความยาวรวม 25,000 กิโลเมตร ครอบคลุมเกาะชวา บาหลี สุมาตรา และบาตัม โดยให้บริการในกว่า 100 เมืองใหญ่

          - เครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสงของบิซเน็ตพาดผ่านบ้านเรือน 450,000 หลังคาเรือน โดย 25% หรือ 100,000 หลังคาเรือนสามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการคอนเทนต์ผ่านทาง Internet Protocol Television (IPTV) ด้วย

          - ศูนย์ข้อมูลบิซเน็ต (BDC) เป็นเจ้าของและบริหารงานศูนย์ข้อมูลสามแห่งในอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งอยู่ที่จาการ์ตา ชวาตะวันตก และบาหลี บริษัทให้บริการโฮสติ้งและเช่าศูนย์ข้อมูล รวมถึงบริการคลาวด์ เช่าโฮสต์ เซิร์ฟเวอร์เสมือนส่วนตัว และโคโลเคชั่น โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของตลาดอินโดนีเซีย

          บริการของบิซเน็ตรองรับธุรกิจหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์จัดหางานรายใหญ่ของเอเชียแปซิฟิก เครือร้านสะดวกซื้อยอดนิยมของญี่ปุ่น เครือร้านฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ผู้ประกอบการขนส่งราคาประหยัดในอินโดนีเซีย เว็บไซต์ท่องเที่ยวและจำหน่ายตั๋ว ไปจนถึงรีสอร์ทชื่อดัง

          มีการคาดการณ์ว่าบิซเน็ตจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดบรอดแบรนด์ของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี เพื่อตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและแผนการในอนาคตของลูกค้าบุคคลและลูกค้าองค์กร บิซเน็ตจำเป็นต้องพลิกโฉมธุรกิจของตนเองสู่ระบบดิจิทัลเสียก่อน

          - ในขณะที่บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง อีคอมเมิร์ซ และวิดีโอความคมชัดสูงกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในอินโดนีเซีย ความต้องการแบนด์วิดท์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน ทว่าเทคโนโลยี สถาปัตยกรรม และประสิทธิภาพของแบนด์วิดท์ยังไม่สามารถรองรับบริการใหม่ๆที่พัฒนาอย่างรวดเร็วบนเครือข่ายของบิซเน็ตในปัจจุบัน

          - อุปกรณ์เครือข่ายหมดระยะเวลาการรับประกัน โดยเครือข่ายปัจจุบันที่ใช้ Broadband Remote Access Server (BRAS) แบบหนึ่งโหนด ไม่สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการกระจายไม่ทั่วถึง โดยบางเมืองต้องมีการรับรองความน่าเชื่อถือของเครือข่ายหลัก แต่กลับถูกจำกัดด้วยแบนด์วิดท์ที่ไม่เพียงพอและความล่าช้าเป็นระยะ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการใช้งานของผู้ใช้

          - ระบบการดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M) ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับการทำงานหลังการวางเครือข่ายขนาดใหญ่ อย่างบริการ E2E ก็ต้องปรับแต่งด้วยแรงงานคนซึ่งทำให้เสียเวลา และหากเกิดข้อผิดพลาดในเครือข่ายก็ไม่สามารถตรวจหาและแก้ไขได้ทันท่วงที ส่งผลให้มีต้นทุนการบำรุงรักษาสูงแต่ประสิทธิภาพต่ำ

          คุณอาดี กุสมา ประธานกรรมการบริษัทบิซเน็ต กล่าวว่า "ในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคม การสื่อสารข้อมูล และมัลติมีเดียในอินโดนีเซีย บิซเน็ตมีความพยายามในการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เรายังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดแก่ประชาชนในอินโดนีเซีย โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ล่าสุดและเครือข่ายที่เชื่อถือได้"

          โซลูชั่น WAN ของหัวเว่ยสร้างความเปลี่ยนแปลงทันทีและกำหนดแนวทางในอนาคต

          โซลูชั่น Intent-Driven Wide Area Network (WAN) ของหัวเว่ย ที่ใช้เราเตอร์ระดับไฮเอนด์ NetEngine กับสถาปัตยกรรม Software-defined Network (SDN) สุดล้ำ ได้มอบเครือข่ายที่เชื่อถือได้ซึ่งสนับสนุนการตรวจจับข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็วและการพัฒนาอย่างราบรื่น เครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสงของบิซเน็ตคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โดยประกอบด้วยเครือข่ายเราเตอร์ระดับเทราบิต เครือข่าย metro Ethernet 10G/100G และเทคโนโลยี Passive Optical Network (PON) ระดับกิกะบิต ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 2.5 Gbit/s

          - จุดเชื่อมต่อเครือข่ายเมโทรของบิซเน็ต NE40E + OSN902 ทำให้มั่นใจได้ว่าเครือข่ายจะสามารถรองรับบริการที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 100 Gbit/s ขณะที่ metro Ethernet 10G/100G ใช้การตั้งค่าแบบ ring configuration เพื่อปกป้องโดยอัตโนมัติเมื่อเครือข่ายเส้นใยแก้วถูกตัด ส่วนอุปกรณ์ Optical Network Terminal (ONT) รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi ใหม่ล่าสุดเพื่อการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

          - เทคโนโลยี MPLS และ bare IP network optimization ที่ใช้สถาปัตยกรรม SDN สุดล้ำ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ความไม่สมดุลของปริมาณข้อมูล แบนด์วิดท์ต่ำ และประสิทธิภาพการหลอมรวมเครือข่ายต่ำ อันเกิดจากการคำนวณโทโพโลยีซ้ำไปซ้ำมาเพราะทำงานผิดพลาด โดย IP + เทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสง ช่วยให้สามารถให้บริการได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้บิซเน็ตสามารถรับมือกับการพัฒนาเครือข่ายในอนาคตและทำเงินจากบริการใหม่ๆ

          - Metro Network IP + WDM และสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายกว่าเดิม ช่วยลดความหน่วงและยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า โดย BRAS ช่วยรักษาแบนด์วิดท์และตั้งอยู่บน MAN เพื่อป้องกันการสัญจรของข้อมูลข้ามภูมิภาค เส้นใยแก้วนำแสงหนึ่งคู่รับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 20 Tbit/s ซึ่งช่วยเพิ่มการใช้งานเส้นใยแก้ว MAN รวมถึงลดการโดดของข้อมูล ลดความหน่วง และยกระดับประสบการณ์การใช้งาน

          - U2000 ระบบบริหารจัดการและการบำรุงรักษาแบบบูรณาการ นำการจัดการอุปกรณ์แบบ E2E มาใช้บนเครือข่ายทั้งหมดของบิซเน็ต การที่สามารถมองเห็นการดำเนินงาน การบริหาร และการบำรุงรักษา (OAM) ได้ทั่วทั้งระบบนั้น ทำให้สามารถตรวจจับความผิดพลาดและยกระดับประสบการณ์การใช้งาน

          เทคโนโลยีสุดล้ำช่วยยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

          บิซเน็ตช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ในการรับมือกับการรับส่งข้อมูลที่หนักที่สุด ดังนั้น เว็บไซต์ท่องเที่ยวและจำหน่ายตั๋วจึงไม่ต้องกังวลว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายจะเกิดข้อผิดพลาด

          บริษัทต่างๆสามารถนำเวลาไปพัฒนาบริการหลักๆ เช่น การนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวคุณภาพและตั๋วราคาสุดคุ้ม ตลอดจนยกระดับประสบการณ์การค้นหาข้อมูลและการซื้อ

          โรงแรมในบาหลี ชวา และสุมาตรา ต่างใช้เครือข่ายของบิซเน็ตเพื่อมอบประสบการณ์เครือข่ายที่ราบรื่นให้แก่แขกผู้เข้าพัก พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัล

          นับตั้งแต่ปี 2559 บิซเน็ตได้วางเครือข่ายที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูงสุดในหลายพื้นที่ เช่น เคดิริ ชวาตะวันออก เตกัล ชวากลาง ซูกาบูมี ปูร์โวเกอร์โต คูดุส บาตัม และโมโจเกอร์โต ซึ่งช่วยยกระดับธุรกิจขนาดเล็ก ภาคการศึกษา และคุณภาพชีวิตของประชาชน

          คุณอาดี กุสมา กล่าวเสริมว่า "เครือข่ายเส้นใยแก้วนำแสงใหม่ของบิซเน็ตเป็นทางออกของการรองรับปริมาณการใช้งานที่สูงขึ้นในอนาคต"

          ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะได้รับโอกาสและเผชิญกับความท้าทายสำคัญในสังคมอัจฉริยะแห่งอนาคต เครือข่ายอัจฉริยะจะกลายเป็นที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เครือข่าย IP จะเปลี่ยนจากเครือข่ายที่มีอุปกรณ์เป็นศูนย์กลาง กลายเป็นเครือข่ายที่มีผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะสร้างมูลค่าทางธุรกิจสูงสุดให้แก่บรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

          "ความอัจฉริยะ" ของเครือข่าย IP ครอบคลุมถึงการมองเห็นเครือข่าย ความคล่องตัวของบริการ รวมถึงการดำเนินงานและการบำรุงรักษาที่ชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยผลักดันเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า

          เส้นทางสู่โลกอัจฉริยะยังอีกยาวไกล และหัวเว่ยจะเดินหน้าร่วมมือกับบิซเน็ตอย่างใกล้ชิดในฐานะพันธมิตรที่ดีที่สุดในการพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัล

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://e.huawei.com/topic/leading-new-ict-en/biznet-network-case.html