นิวบรันส์วิก นิวเจอร์ซีย์--31 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
งานวิจัยที่ติพิมพ์ในวารสาร Nature ชี้ว่าวัคซีน SARS-CoV-2 ที่อยู่ระหว่างการศึกษาของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สามารถก่อปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
การทดลองทางคลินิกระยะ 1/2a ซึ่งมีการทดลองในมนุษย์เป็นครั้งแรก ได้เริ่มขึ้นแล้วในสหรัฐและเบลเยียม และคาดว่าการทดลองทางคลินิกระยะ 3 จะเริ่มในเดือนกันยายน
จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (NYSE: JNJ) (“บริษัท”) ได้ประกาศวันนี้ว่า วัคซีนทดลองตัวหลักในการศึกษาวิจัยขั้นพรีคลินิกของบริษัทสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ข้อมูลที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ชี้ว่าวัคซีนที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยของบริษัทซึ่งใช้อะดิโนไวรัสเซโรไทป์ 26 (Ad26) เป็นตัวนำพา สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง โดยสร้าง “แอนติบอดีที่มีฤทธิ์ลบล้าง” ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกันจากไวรัสในปอดอย่างสมบูรณ์หรือเกือบสมบูรณ์ได้สำเร็จในสัตว์ตระกูลวานรที่ไม่ใช่มนุษย์ (NHP) ในการวิจัยขั้นพรีคลินิก ด้วยผลการศึกษาดังกล่าว การทดลองทางคลินิกระยะ 1/2a ซึ่งมีการทดลองในมนุษย์เป็นครั้งแรกโดยใช้วัคซีนทดลอง Ad26.COV2.S ในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในสหรัฐและเบลเยียม
นายแพทย์พอล สตอฟเฟิลส์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่ได้เห็นข้อมูลเหล่านี้ในการศึกษาขั้นพรีคลินิก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าวัคซีนทดลอง SARS-CoV-2 ของเราก่อให้เกิดการตอบสนองด้วยแอนติบอดีที่แข็งแกร่งและสามารถป้องกันโรคหลังจากการให้วัคซีนเพียงโดสเดียว ข้อค้นพบนี้ทำให้เรามีความมั่นใจในการพัฒนาวัคซีนและขยายปริมาณการผลิตต่อไป โดยเราได้เริ่มการทดลองระยะที่ 1/2a ในเดือนกรกฏาคมและตั้งเป้าว่าจะเริ่มการทดลองระยะที่ 3 ในเดือนกันยายน”
โครงการศึกษาทดลองเชิงคลินิก Janssen COVID-19 ซึ่งรวมถึงการทดลองทางคลินิกในระยะ 1/2a และระยะ 3 ที่กล่าวถึงข้างต้น จะมีการประเมินผลจากการให้วัคซีน Ad26.COV2.S เทียบเคียงระหว่าง 1 และ 2 โดสในลักษณะการทดลองคู่ขนาน การศึกษาทดลองระยะ 1/2a จะมีการประเมินความปลอดภัยและการตอบสนองต่อวัคซีน (หมายถึงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นต่อวัคซีน อย่างเช่นอาการบวมหรือเจ็บปวด) และความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของวัคซีน Ad26.COV2.S ในผู้ใหญ่สุขภาพดีอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปีและวัย 65 ปีขึ้นไปจำนวนกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ขณะนี้ยังมีการวางแผนสำหรับการศึกษาระยะ 2a ในเนเธอร์แลนด์ สเปน และเยอรมนี และการศึกษาระยะ 1 ในญี่ปุ่น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยเหล่านี้ได้ที่ www.clinicaltrials.gov
ขณะที่บริษัทกำลังวางแผนโครงการพัฒนาเชิงคลินิกระยะที่ 3 เพื่อรับมือกับโควิด-19 บริษัทยังได้หารือกับคู่ค้าโดยมีเป้าหมายเพื่อเริ่มต้นการทดลองทางคลินิกขั้นสำคัญในระยะที่ 3 โดยใช้วัคซีน 1 โดสเทียบกับยาหลอกในเดือนกันยายนระหว่างรอข้อมูลจากการศึกษาทดลองระยะ 1 และ 2 รวมถึงการอนุมัติจากทางการ ในขณะเดียวกัน บริษัทยังวางแผนว่าจะเริ่มอีกการทดลองทางคลินิกระยะ 3 โดยใช้การให้วัคซีน 2 โดสเทียบกับยาหลอก
ในการออกแบบและดำเนินการศึกษาทดลองระยะที่ 3 บริษัทยังจะให้ความสำคัญกับกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสัดส่วนที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรวมถึงการให้ความสำคัญชาวผิวดำ ผู้มีเชื้อสายสเปน และชาวลาตินอเมริกัน ตลอดจนผู้เข้าร่วมการทดลองอายุ 65 ปีขึ้นไป ในการศึกษาทดลองในสหรัฐ
การศึกษาขั้นพรีคลินิกที่ผ่านมาดำเนินการโดยคณะนักวิจัยจาก Beth Israel Deaconess Medical Center (BIDMC) ภายใต้ความร่วมมือกับแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และนักวิจัยจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่จะเร่งให้เกิดการพัฒนาวัคซีน SARS-CoV-2
นายแพทย์ ดร. แดน บาเราช์ ผู้อำนวยการศูนย์การวิจัยวิทยาไวรัสและวัคซีนของ BIDMC และ Ragon Institute กล่าวว่า “ข้อมูลจากการศึกษาขั้นพรีคลินิกซึ่งดำเนินการร่วมกับทีมงานจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แสดงถึงศักยภาพของวัคซีนทดลอง SARS-CoV-2 ดังกล่าว นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ว่าระดับแอนติบอดีอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพสำหรับการป้องกันโดยใช้วัคซีน
ในการศึกษาวิจัยดังกล่าว นักวิจัยเริ่มต้นด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สัตว์ตระกูลวานรที่ไม่ใช่มนุษย์โดยใช้วัคซีนตัวอย่าง แล้วจึงกระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อ SARS-CoV-2 นักวิทยาศาสตร์พบว่าจากวัคซีนตัวอย่างจำนวน 7 ตัวที่ใช้ในการทดลอง วัคซีน Ad26.COV2.S (ในวารสาร Nature เรียกว่า Ad26-S.PP) ได้ก่อให้เกิดแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ลบล้าง SARS-CoV-2 มากที่สุด ระดับแอนติบอดีสัมพันธ์กับระดับการป้องกัน ซึ่งยืนยันข้อสังเกตก่อนหน้านี้ และบ่งชี้ว่าแอนติบอดีอาจเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพสำหรับการป้องกันโดยใช้วัคซีน สัตว์ตระกูลวานรที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้ง 6 ตัวที่ได้รับการกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน Ad26.COV2.S ครั้งเดียว ไม่มีไวรัสที่ตรวจพบได้ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างหลังจากได้รับเชื้อ SARS-CoV-2 และมีเพียงตัวเดียวใน 6 ตัวนั้นที่มีไวรัสระดับต่ำมากในการตรวจตัวอย่างจากช่องจมูก 2 ครั้ง
นายแพทย์ ดร. มาไท แมมเมน ผู้นำธุรกิจแจนส์เซน รีเสิร์ช แอนด์ ดีเวลลอปเมนต์ ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “ขณะที่เราร่วมกันต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้ บริษัทของเรายังคงมุ่งสู่เป้าหมายที่จะสร้างวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้แก่โลก ผลการศึกษาขั้นพรีคลินิกของเราทำให้เรามีความหวังในการเริ่มต้นการทดลองทางคลินิกที่ทดลองกับมนุษย์เป็นครั้งแรก เราตื่นเต้นที่จะได้ก้าวสู่ขั้นต่อไปของการศึกษาวิจัยและการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เราทราบดีว่าถ้าทำได้สำเร็จ วัคซีนนี้จะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและผลิตในปริมาณมากก่อนจะกระจายไปทั่วโลก”
พันธกิจโดยพื้นฐานของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้แก่ผู้ป่วย ผู้บริโภค และผู้ให้บริการด้านสุขภาพ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีแนวทางการทำงานที่ยึดถือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จริยธรรม และคุณประโยชน์ในเรื่องความปลอดภัยทางการแพทย์ โดยมีสุขภาวะของผู้ป่วยและผู้บริโภคเป็นหลักสำคัญอันดับหนึ่งในการตัดสินใจและการดำเนินการต่าง ๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความโปร่งใส
ขณะที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ดำเนินการพัฒนาวัคซีน SARS-CoV-2 ทางคลินิกนี้ บริษัทยังเพิ่มกำลังการผลิตและคอยหารือกับคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ทั่วโลกอยู่เสมอ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนทั่วโลก บริษัทตั้งเป้าว่าจะบรรลุเป้าหมายในการผลิตวัคซีนกว่า 1 พันล้านโดสทั่วโลกภายในปี 2564 ในกรณีที่วัคซีนนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
โครงการนี้ได้รับทุนเต็มจำนวนหรือบางส่วนด้วยทุนของรัฐบาลกลางจาก Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response, Biomedical Advanced Research and Development Authority ภายใต้ข้อตกลงธุรกรรมหมายเลข HHSO100201700018C
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการแบบหลายด้านของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ได้ที่ www.jnj.com/coronavirus
เกี่ยวกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
เราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีคือรากฐานของชีวิตที่สดใส ชุมชนที่เจริญรุ่งเรือง และอนาคตที่ก้าวหน้า ตลอดระยะเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมา เราจึงมุ่งมั่นสร้างเสริมสุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัยและทุกช่วงของชีวิต ปัจจุบัน เราเป็นบริษัทเฮลธ์แคร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโลก และจะใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการทำประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป เรามุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงสร้างสรรค์ชุมชนที่มีสุขภาพดีกว่าเดิม ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกคนทั่วโลกได้มีสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสภาพแวดล้อมที่ดี เราใช้หัวใจ วิทยาศาสตร์ และความรอบรู้ ในการเปลี่ยนแปลงวิถีสุขภาพเพื่อมวลมนุษยชาติ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jnj.com ติดตามเราได้ที่ @JNJNews
เกี่ยวกับแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล
ที่แจนส์เซน เรากำลังสร้างอนาคตที่โรคร้ายเป็นเรื่องในอดีต เราเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้อนาคตที่วางไว้กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับผู้ป่วยในทุกที่ ด้วยการต่อสู้กับความเจ็บป่วยด้วยวิทยาศาสตร์ ปรับปรุงช่องทางเข้าถึงให้ดีขึ้นด้วยความชาญฉลาด และรักษาความสิ้นหวังด้วยหัวใจ เราให้ความสำคัญกับเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเราสามารถสร้างความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดได้ ซึ่งได้แก่โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเผาผลาญ, ระบบภูมิคุ้มกัน, โรคติดต่อ & วัคซีน, ประสาทวิทยาศาสตร์, มะเร็งวิทยา และภาวะความดันเลือดในปอดสูง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.janssen.com และติดตามเราได้ที่ @JanssenGlobal
หมายเหตุถึงนักลงทุนเกี่ยวกับข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มี “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต” ตามที่นิยามไว้ในกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 ในส่วนของความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกลวิธีที่มีศักยภาพป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ผู้อ่านไม่ควรยึดถือข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตมากเกินไป เพราะข้อความเหล่านี้อิงตามการคาดการณ์ในปัจจุบัน หากข้อสันนิษฐานไม่ถูกต้อง หรือความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนที่ทราบหรือไม่ทราบมาก่อนเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่แท้จริงก็อาจจะแตกต่างไปอย่างมากจากการคาดการณ์และการประมาณการของแจนส์เซน รีเสิร์ช แอนด์ ดีเวลลอปเมนต์ และ/หรือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ความท้าทายและความไม่แน่นอนที่อยู่ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนของความสำเร็จทางคลินิก และการได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบ ความไม่แน่นอนในเรื่องความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ความยากลำบากและความล่าช้าในการผลิต การแข่งขัน ซึ่งรวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ใหม่ และสิทธิบัตรที่คู่แข่งได้ไป การยื่นคัดค้านสิทธิบัตร ประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ หรือความกังวลเรื่องความปลอดภัยอันเป็นผลมาจากการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ หรือการดำเนินการด้านกฎระเบียบ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และรูปแบบการใช้จ่ายของผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์และบริการด้านดูแลสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับ รวมทั้งการปฏิรูปการดูแลสุขภาพทั่วโลก และแนวโน้มต่อการจำกัดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่น ๆ สามารถอ่านได้ในรายงานประจำปีของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บน Form 10-K สำหรับปีการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2562 ซึ่งรวมถึงในส่วนที่ระบุว่า “Cautionary Note Regarding Forward-Looking Statements” และ “Item 1A. Risk Factors” และในรายงานประจำไตรมาสบน Form 10-Q ที่ทางบริษัทได้ยื่นไปล่าสุด ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ โดยสำเนาของเอกสารดังกล่าวและเอกสารที่ยื่นในภายหลัง มีการเผยแพร่ในระบบออนไลน์ผ่านทาง www.sec.gov, www.jnj.com หรือสามารถขอได้จากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ทั้งนี้ แจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไม่มีข้อผูกพันในการปรับปรุงข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตใด ๆ แม้ว่าจะมีข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดเกิดขึ้นในอนาคต
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/403394/Johnson_and_Johnson_Logo.jpg
--
Friday, July 31, 2020
SEKISUI Diagnostics ลงทุน 14.4 ล้านปอนด์ ขยายกำลังการผลิตในธุรกิจ cGMP Biopharma CDMO
เบอร์ลิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์--30 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
Sekisui ประกาศการตัดสินใจลงทุน 14.4 ล้านปอนด์ในธุรกิจ Biopharma CDMO ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขยายกำลังการผลิต cGMP microbial ที่โรงงานในเมืองเมดสโตน มณฑลเคนต์ ให้แล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 การลงทุนครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1.9 ล้านดอลลาร์ในศูนย์นวัตกรรมกระบวนการทางชีวภาพ (BioProcess Innovation Centre) แห่งใหม่ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2562 และเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด microbial biopharma CDMO
ธุรกิจ Enzyme ของ Sekisui Diagnostics ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Genzyme Diagnostics ได้เปิดตัว BioProduction by Sekisu ซึ่งเป็นบริการ microbial biopharma CDMO ในปี 2560 โดยเป็นการต่อยอดประสบการณ์กว่า 40 ปีในสาขานี้ การขยายโรงงานและยกระดับ cGMP จะทำให้ Sekisui สามารถผลิตตัวยาสำคัญตามสัญญาสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เข้าสู่การทดลองทางคลินิก เทคโนโลยีการทำให้บริสุทธิ์และการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ได้รับการรับรอง cGMP จะรองรับการเพิ่มการผลิตสูงสุดถึง 1,000 ลิตร ซึ่งจะช่วยเสริมขีดความสามารถในปัจจุบันที่ผลิตได้ในปริมาณตั้งแต่ 20 ลิตร ไปจนถึง 5,000 ลิตรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
Sekisui มีประสบการณ์กว้างขวางจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ นับตั้งแต่ขั้นพรีคลินิกไปจนกระทั่งพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาด ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงระบบที่เป็นสายผสม (recombinant systems) เช่น E. coli และ Pichia pastoris พร้อมด้วยเทคโนโลยีการทำให้บริสุทธิ์และการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกัน แม้ความชำนาญหลักของกลุ่มธุรกิจอยู่ที่การผลิตเอนไซม์ แต่อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มยังมีความสามารถในด้านการผลิตพลาสมิด (plasmid) ชิ้นส่วนแอนติบอดี (antibody fragments) และโปรตีนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
"การลงทุนครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการลูกค้า Biopharma ด้วยกำลังการผลิต cGMP microbial CDMO ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก" Robert Schruender ประธานและซีอีโอของ Sekisui Diagnostics และสมาชิกคณะกรรมการของ Sekisui Medical กล่าว "เราสั่งสมความสามารถและความเชี่ยวชาญในการผลิตเอนไซม์และการหมักด้วยจุลินทรีย์ทั้งเชิงเทคนิคและปฏิบัติมาตลอดระยะเวลาหลายปี และเนื่องจากตลาด Biopharma CDMO เติบโตขึ้น เราจึงตั้งเป้าที่จะใช้ความสามารถนี้ให้เห็นประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาดนี้"
เกี่ยวกับ Sekisui Diagnostics:
Sekisui Diagnostics เป็นบริษัทระดับโลกที่มีพันธกิจในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ด้วยการมอบนวัตกรรมการวินิจฉัยทางการแพทย์ให้แก่แพทย์และห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายเชิงพาณิชย์ทั่วโลก สายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้แก่ เคมีคลินิก ระบบการแข็งตัวของเลือด น้ำยา ชุดตรวจแบบรวดเร็ว และระบบการวินิจฉัยโรค ณ จุดบริการ ทั้งนี้ ธุรกิจ Enzyme เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท โดยนอกเหนือจาก BioProduction by Sekisui แล้ว ธุรกิจนี้ยังให้บริการเอนไซม์ในการวินิจฉัยโรคและวัตถุดิบที่สำคัญอื่น ๆ (Diagnostic enzymes and critical raw materials)
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1220877/BioProduction_by_Sekisui_Diagnostics_Logo.jpg
--
Sekisui ประกาศการตัดสินใจลงทุน 14.4 ล้านปอนด์ในธุรกิจ Biopharma CDMO ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขยายกำลังการผลิต cGMP microbial ที่โรงงานในเมืองเมดสโตน มณฑลเคนต์ ให้แล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 การลงทุนครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1.9 ล้านดอลลาร์ในศูนย์นวัตกรรมกระบวนการทางชีวภาพ (BioProcess Innovation Centre) แห่งใหม่ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2562 และเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด microbial biopharma CDMO
ธุรกิจ Enzyme ของ Sekisui Diagnostics ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Genzyme Diagnostics ได้เปิดตัว BioProduction by Sekisu ซึ่งเป็นบริการ microbial biopharma CDMO ในปี 2560 โดยเป็นการต่อยอดประสบการณ์กว่า 40 ปีในสาขานี้ การขยายโรงงานและยกระดับ cGMP จะทำให้ Sekisui สามารถผลิตตัวยาสำคัญตามสัญญาสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เข้าสู่การทดลองทางคลินิก เทคโนโลยีการทำให้บริสุทธิ์และการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ได้รับการรับรอง cGMP จะรองรับการเพิ่มการผลิตสูงสุดถึง 1,000 ลิตร ซึ่งจะช่วยเสริมขีดความสามารถในปัจจุบันที่ผลิตได้ในปริมาณตั้งแต่ 20 ลิตร ไปจนถึง 5,000 ลิตรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
Sekisui มีประสบการณ์กว้างขวางจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ นับตั้งแต่ขั้นพรีคลินิกไปจนกระทั่งพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาด ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงระบบที่เป็นสายผสม (recombinant systems) เช่น E. coli และ Pichia pastoris พร้อมด้วยเทคโนโลยีการทำให้บริสุทธิ์และการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกัน แม้ความชำนาญหลักของกลุ่มธุรกิจอยู่ที่การผลิตเอนไซม์ แต่อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มยังมีความสามารถในด้านการผลิตพลาสมิด (plasmid) ชิ้นส่วนแอนติบอดี (antibody fragments) และโปรตีนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
"การลงทุนครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการลูกค้า Biopharma ด้วยกำลังการผลิต cGMP microbial CDMO ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก" Robert Schruender ประธานและซีอีโอของ Sekisui Diagnostics และสมาชิกคณะกรรมการของ Sekisui Medical กล่าว "เราสั่งสมความสามารถและความเชี่ยวชาญในการผลิตเอนไซม์และการหมักด้วยจุลินทรีย์ทั้งเชิงเทคนิคและปฏิบัติมาตลอดระยะเวลาหลายปี และเนื่องจากตลาด Biopharma CDMO เติบโตขึ้น เราจึงตั้งเป้าที่จะใช้ความสามารถนี้ให้เห็นประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาดนี้"
เกี่ยวกับ Sekisui Diagnostics:
Sekisui Diagnostics เป็นบริษัทระดับโลกที่มีพันธกิจในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ด้วยการมอบนวัตกรรมการวินิจฉัยทางการแพทย์ให้แก่แพทย์และห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายเชิงพาณิชย์ทั่วโลก สายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้แก่ เคมีคลินิก ระบบการแข็งตัวของเลือด น้ำยา ชุดตรวจแบบรวดเร็ว และระบบการวินิจฉัยโรค ณ จุดบริการ ทั้งนี้ ธุรกิจ Enzyme เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท โดยนอกเหนือจาก BioProduction by Sekisui แล้ว ธุรกิจนี้ยังให้บริการเอนไซม์ในการวินิจฉัยโรคและวัตถุดิบที่สำคัญอื่น ๆ (Diagnostic enzymes and critical raw materials)
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1220877/BioProduction_by_Sekisui_Diagnostics_Logo.jpg
--
HORIBA เปิดตัวการพัฒนา RDE ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง หนุน OEM ประหยัดต้นทุน 17 ล้านดอลลาร์
เลสเตอร์ อังกฤษ--30 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ฮอริบา (HORIBA) เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับพัฒนาอัตราการปล่อยไอเสียจากการขับขี่บนท้องถนนจริง (Real Driving Emissions: RDE) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุนที่ต้องใช้สำหรับรถยนต์ต้นแบบเพียงอย่างเดียวได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์
ระบบ RDE+ ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกในวันนี้ (30 ก.ค.2563) เป็นโซลูชันแบบ "road to rig" ที่นำโลกแห่งความเป็นจริงมาไว้ในห้องปฏิบัติการ ประกอบด้วยการจำลองสภาพแวดล้อมแบบเสมือน และการตรวจสอบความถูกต้อง ที่ช่วยให้การพัฒนา RDE เสร็จสมบูรณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าแต่ก่อน
การเปิดตัวระบบ RDE+ เกิดขึ้นพร้อมกับการเผยแพร่เอกสารสมุดปกขาวฉบับใหม่ของฮอริบา ซึ่งให้ข้อมูลกรณีศึกษาทางธุรกิจเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนา RDE สำหรับระบบส่งกำลังรถยนต์
ผลการศึกษาวิจัยที่ดำเนินการโดยฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนด์ เผยให้เห็นว่า การทดสอบ RDE ด้วยระบบเสมือนจริงช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (OEM) ลดข้อกำหนดต่างๆ ในการสร้างรถยนต์ต้นแบบได้ถึง 75% โดยแทนที่จะดำเนินการทดสอบบนท้องถนน ก็เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาในห้องปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์ต่อโครงการพัฒนารถยนต์หนึ่งโครงการ นอกจากประหยัดต้นทุนมหาศาลแล้ว ยังช่วยย่นระยะเวลาในการพัฒนาอีกด้วย
สตีฟ วีแลน หัวหน้าศูนย์พัฒนาและการใช้งานทั่วโลกของฮอริบา กล่าวว่า
"ผู้ผลิตรถยนต์กำลังเผชิญความท้าทายหลายประการ ตั้งแตการลดการปล่อยก๊าซไอเสีย การใช้พลังงานไฟฟ้า และการขับเคลื่อนแห่งอนาคต เราจึงพัฒนาระบบ RDE+ ขึ้นมาเพื่อให้ได้แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดต้นทุนในการพัฒนาด้าน RDE"
"การพัฒนาระบบจำลอง RDE แบบเสมือนจริงเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์นั้นไม่เคยได้รับความสนใจมากเท่าครั้งนี้ เพราะผลวิจัยของเราชี้ว่า RDE+ ช่วยให้ OEM ลดต้นทุนการสร้างรถยนต์ต้นแบบในแต่ละโครงการได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ประหยัดต้นทุนหลายล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่ยังย่นระยะเวลาในการพัฒนาด้วย"
การเปิดตัวระบบ RDE+ เป็นการนำร่องให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมหลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 อีกหนึ่งความกดดันสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รายงานดังกล่าวได้ประเมินไว้ก็คือ ข้อกำหนดต่างๆ เกี่ยวกับ RDE ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการทดสอบมากถึงสามเท่า
ฮอริบาเชื่อว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความต้องการที่ขยายตัวขึ้นสำหรับแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
สตีฟกล่าวว่า "การเปลี่ยนไปใช้แนวทางที่คล่องตัวมากขึ้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในการตอบสนองความต้องการด้านยานยนต์ในอนาคต การตรวจสอบความถูกต้องด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและดียิ่งขึ้น และที่สำคัญคือทำน้อยแต่เห็นผลมาก"
"ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับคำแนะนำให้ลองพิจารณาการใช้เทคโนโลยีจำลองการทดสอบในสภาวะเสมือนจริง อย่างที่ RDE+ พิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อกำหนดในการพัฒนาต้นแบบ เพิ่มความมั่นใจและประหยัดต้นทุนได้มหาศาล ซึ่งจะช่วยรับรองได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว"
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ RDE+ ของ HORIBA MIRA สามารถดูได้ที่ www.horiba.com/RDEplus
ติดต่อ:
Lyndsey Trengove
lyndsey.trengove@whistlepr.co.uk
+44-(0)7854-700320
Monira Matin
monira.matin@whistlepr.co.uk
+44-(0)7753-135691
--
ฮอริบา (HORIBA) เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับพัฒนาอัตราการปล่อยไอเสียจากการขับขี่บนท้องถนนจริง (Real Driving Emissions: RDE) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุนที่ต้องใช้สำหรับรถยนต์ต้นแบบเพียงอย่างเดียวได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์
ระบบ RDE+ ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกในวันนี้ (30 ก.ค.2563) เป็นโซลูชันแบบ "road to rig" ที่นำโลกแห่งความเป็นจริงมาไว้ในห้องปฏิบัติการ ประกอบด้วยการจำลองสภาพแวดล้อมแบบเสมือน และการตรวจสอบความถูกต้อง ที่ช่วยให้การพัฒนา RDE เสร็จสมบูรณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าแต่ก่อน
การเปิดตัวระบบ RDE+ เกิดขึ้นพร้อมกับการเผยแพร่เอกสารสมุดปกขาวฉบับใหม่ของฮอริบา ซึ่งให้ข้อมูลกรณีศึกษาทางธุรกิจเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนา RDE สำหรับระบบส่งกำลังรถยนต์
ผลการศึกษาวิจัยที่ดำเนินการโดยฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนด์ เผยให้เห็นว่า การทดสอบ RDE ด้วยระบบเสมือนจริงช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (OEM) ลดข้อกำหนดต่างๆ ในการสร้างรถยนต์ต้นแบบได้ถึง 75% โดยแทนที่จะดำเนินการทดสอบบนท้องถนน ก็เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาในห้องปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์ต่อโครงการพัฒนารถยนต์หนึ่งโครงการ นอกจากประหยัดต้นทุนมหาศาลแล้ว ยังช่วยย่นระยะเวลาในการพัฒนาอีกด้วย
สตีฟ วีแลน หัวหน้าศูนย์พัฒนาและการใช้งานทั่วโลกของฮอริบา กล่าวว่า
"ผู้ผลิตรถยนต์กำลังเผชิญความท้าทายหลายประการ ตั้งแตการลดการปล่อยก๊าซไอเสีย การใช้พลังงานไฟฟ้า และการขับเคลื่อนแห่งอนาคต เราจึงพัฒนาระบบ RDE+ ขึ้นมาเพื่อให้ได้แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดต้นทุนในการพัฒนาด้าน RDE"
"การพัฒนาระบบจำลอง RDE แบบเสมือนจริงเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์นั้นไม่เคยได้รับความสนใจมากเท่าครั้งนี้ เพราะผลวิจัยของเราชี้ว่า RDE+ ช่วยให้ OEM ลดต้นทุนการสร้างรถยนต์ต้นแบบในแต่ละโครงการได้ถึง 17 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ประหยัดต้นทุนหลายล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่ยังย่นระยะเวลาในการพัฒนาด้วย"
การเปิดตัวระบบ RDE+ เป็นการนำร่องให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมหลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 อีกหนึ่งความกดดันสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รายงานดังกล่าวได้ประเมินไว้ก็คือ ข้อกำหนดต่างๆ เกี่ยวกับ RDE ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการทดสอบมากถึงสามเท่า
ฮอริบาเชื่อว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความต้องการที่ขยายตัวขึ้นสำหรับแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
สตีฟกล่าวว่า "การเปลี่ยนไปใช้แนวทางที่คล่องตัวมากขึ้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในการตอบสนองความต้องการด้านยานยนต์ในอนาคต การตรวจสอบความถูกต้องด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและดียิ่งขึ้น และที่สำคัญคือทำน้อยแต่เห็นผลมาก"
"ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับคำแนะนำให้ลองพิจารณาการใช้เทคโนโลยีจำลองการทดสอบในสภาวะเสมือนจริง อย่างที่ RDE+ พิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อกำหนดในการพัฒนาต้นแบบ เพิ่มความมั่นใจและประหยัดต้นทุนได้มหาศาล ซึ่งจะช่วยรับรองได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว"
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ RDE+ ของ HORIBA MIRA สามารถดูได้ที่ www.horiba.com/RDEplus
ติดต่อ:
Lyndsey Trengove
lyndsey.trengove@whistlepr.co.uk
+44-(0)7854-700320
Monira Matin
monira.matin@whistlepr.co.uk
+44-(0)7753-135691
--
Single Dose of Johnson & Johnson COVID-19 Vaccine Candidate Demonstrates Robust Protection in Pre-clinical Studies
NEW BRUNSWICK New Jersey--31 Jul--PRNewswire/InfoQuest
Study published in Nature shows J&J's investigational SARS-CoV-2 vaccine elicits a strong immune response that protects against subsequent infection
First-in-human Phase 1/2a clinical trial now underway in United States and Belgium; Phase 3 clinical trial expected to commence in September
Johnson & Johnson (NYSE: JNJ) (the Company) today announced that its lead vaccine candidate protected against infection with SARS-CoV-2, the virus that causes COVID-19, in pre-clinical studies. The data, published in Nature, show the Company's investigational adenovirus serotype 26 (Ad26) vector-based vaccine elicited a robust immune response as demonstrated by "neutralizing antibodies," successfully preventing subsequent infection and providing complete or near-complete protection in the lungs from the virus in non-human primates (NHPs) in the pre-clinical study. Based on the strength of the data, a Phase 1/2a first-in-human clinical trial of the vaccine candidate, Ad26.COV2.S, in healthy volunteers, has now commenced in the United States and Belgium.
"We are excited to see these pre-clinical data because they show our SARS-CoV-2 vaccine candidate generated a strong antibody response and provided protection with a single dose. The findings give us confidence as we progress our vaccine development and upscale manufacturing in parallel, having initiated a Phase 1/2a trial in July with the intention to move into a Phase 3 trial in September," said Paul Stoffels, M.D., Vice Chairman of the Executive Committee and Chief Scientific Officer, Johnson & Johnson.
The robust Janssen COVID-19 clinical trial program, including the Phase 1/2a clinical trial and the Phase 3 clinical trial program, will evaluate both one- and two-dose regimens of Ad26.COV2.S in parallel studies. The Phase 1/2a trial will evaluate the safety, reactogenicity (expected reactions to vaccination, such as swelling or soreness), and immunogenicity of Ad26.COV2.S in over 1,000 healthy adults aged 18 to 55 years, as well as adults aged 65 years and older. Planning also is underway for a Phase 2a study in the Netherlands, Spain and Germany and a Phase 1 study in Japan. For more information about these studies, please visit www.clinicaltrials.gov.
As the Company plans its COVID-19 Phase 3 clinical development program, discussions are underway with partners with the objective to start a pivotal Phase 3 clinical trial of the single vaccine dose versus placebo in September, pending the interim data of the Phase 1 and 2 trials and approval of regulators. Simultaneously, the Company also is planning to start a parallel Phase 3 clinical trial of a two-dose regimen versus placebo.
The Company also will emphasize representation of populations that have been disproportionately impacted by the pandemic as it designs and implements its COVID-19 Phase 3 trial program. In the United States, this would include significant representation of Blacks, Hispanic/Latinx and participants over 65 years of age.
The pre-clinical studies were conducted by researchers from Beth Israel Deaconess Medical Center (BIDMC) in collaboration with the Janssen Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson and others as part of its ongoing collaboration to accelerate the development of a SARS-CoV-2 vaccine.
Dan Barouch, M.D., Ph.D., Director of the Center for Virology and Vaccine Research at BIDMC and the Ragon Institute, stated, "The pre-clinical data, generated in collaboration with the Johnson & Johnson team, highlights the potential of this SARS-CoV-2 vaccine candidate. Moreover, the data suggest that antibody levels may serve as a biomarker for vaccine-mediated protection."
In the studies, researchers first immunized the NHPs with a panel of vaccine prototypes, and then challenged them with SARS-CoV-2 infection. The scientists found that, of seven vaccine prototypes tested in the study, Ad26.COV2.S (referred to in the Nature article as Ad26-S.PP), elicited the highest levels of neutralizing antibodies to SARS-CoV-2. The level of antibodies correlated with the level of protection, confirming previous observations and suggesting they could be a potential biomarker for vaccine-mediated protection. The six NHPs that received a single immunization with Ad26.COV2.S showed no detectable virus in the lower respiratory tract after exposure to SARS-CoV-2, and only one of six showed very low levels of the virus in a nasal swab at two time points.
"As we collectively battle this pandemic, we remain deeply committed to our goal of providing a safe and effective vaccine to the world. Our pre-clinical results give us reason to be optimistic as we initiate our first-in-human clinical trial, and we are excited to enter the next stage in our research and development toward a COVID-19 vaccine. We know that, if successful, this vaccine can be rapidly developed, produced on a large scale and delivered around the world," said Mathai Mammen, M.D., Ph.D., Global Head, Janssen Research & Development, LLC, Johnson & Johnson.
The Company's fundamental responsibility is to provide patients, consumers and healthcare providers with products that are as safe and effective as possible. Johnson & Johnson takes an evidence- and science-based, ethics- and values-driven approach to medical safety, putting patient and consumer wellbeing first and foremost in its decision making and actions, with an emphasis on transparency.
As Johnson & Johnson progresses the clinical development of SARS-CoV-2, the Company continues to increase manufacturing capacity and is in active discussions with global strategic partners to support worldwide access. Johnson & Johnson aims to meet its goal to supply more than one billion doses globally through the course of 2021, provided the vaccine is safe and effective.
This project has been funded in whole or in part with Federal funds from the Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response, Biomedical Advanced Research and Development Authority, under Other Transaction Agreement HHSO100201700018C.
For more information on Johnson & Johnson's multi-pronged approach to combatting the pandemic, visit: www.jnj.com/coronavirus.
About Johnson & Johnson
At Johnson & Johnson, we believe good health is the foundation of vibrant lives, thriving communities and forward progress. That's why for more than 130 years, we have aimed to keep people well at every age and every stage of life. Today, as the world's largest and most broadly-based healthcare company, we are committed to using our reach and size for good. We strive to improve access and affordability, create healthier communities, and put a healthy mind, body and environment within reach of everyone, everywhere. We are blending our heart, science and ingenuity to profoundly change the trajectory of health for humanity. Learn more at www.jnj.com. Follow us at @JNJNews.
About the Janssen Pharmaceutical Companies
At Janssen, we're creating a future where disease is a thing of the past. We're the Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson, working tirelessly to make that future a reality for patients everywhere by fighting sickness with science, improving access with ingenuity, and healing hopelessness with heart. We focus on areas of medicine where we can make the biggest difference: Cardiovascular & Metabolism, Immunology, Infectious Diseases & Vaccines, Neuroscience, Oncology, and Pulmonary Hypertension. Learn more at www.janssen.com. Follow us at @JanssenGlobal.
Notice to Investors Concerning Forward-Looking Statements
This press release contains "forward-looking statements" as defined in the Private Securities Litigation Reform Act of 1995 regarding development of potential preventive and treatment regimens for COVID-19. The reader is cautioned not to rely on these forward-looking statements. These statements are based on current expectations of future events. If underlying assumptions prove inaccurate or known or unknown risks or uncertainties materialize, actual results could vary materially from the expectations and projections of the Janssen Research & Development LLC., and/or Johnson & Johnson. Risks and uncertainties include, but are not limited to: challenges and uncertainties inherent in product research and development, including the uncertainty of clinical success and of obtaining regulatory approvals; uncertainty of commercial success; manufacturing difficulties and delays; competition, including technological advances, new products and patents attained by competitors; challenges to patents; product efficacy or safety concerns resulting in product recalls or regulatory action; changes in behavior and spending patterns of purchasers of health care products and services; changes to applicable laws and regulations, including global health care reforms; and trends toward health care cost containment. A further list and descriptions of these risks, uncertainties and other factors can be found in Johnson & Johnson's Annual Report on Form 10-K for the fiscal year ended December 29, 2019, including in the sections captioned "Cautionary Note Regarding Forward-Looking Statements" and "Item 1A. Risk Factors," and in the company's most recently filed Quarterly Report on Form 10-Q, and the company's subsequent filings with the Securities and Exchange Commission. Copies of these filings are available online at www.sec.gov, www.jnj.com or on request from Johnson & Johnson. None of the Janssen Pharmaceutical Companies nor Johnson & Johnson undertakes to update any forward-looking statement as a result of new information or future events or developments.
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/403394/Johnson_and_Johnson_Logo.jpg
Study published in Nature shows J&J's investigational SARS-CoV-2 vaccine elicits a strong immune response that protects against subsequent infection
First-in-human Phase 1/2a clinical trial now underway in United States and Belgium; Phase 3 clinical trial expected to commence in September
Johnson & Johnson (NYSE: JNJ) (the Company) today announced that its lead vaccine candidate protected against infection with SARS-CoV-2, the virus that causes COVID-19, in pre-clinical studies. The data, published in Nature, show the Company's investigational adenovirus serotype 26 (Ad26) vector-based vaccine elicited a robust immune response as demonstrated by "neutralizing antibodies," successfully preventing subsequent infection and providing complete or near-complete protection in the lungs from the virus in non-human primates (NHPs) in the pre-clinical study. Based on the strength of the data, a Phase 1/2a first-in-human clinical trial of the vaccine candidate, Ad26.COV2.S, in healthy volunteers, has now commenced in the United States and Belgium.
"We are excited to see these pre-clinical data because they show our SARS-CoV-2 vaccine candidate generated a strong antibody response and provided protection with a single dose. The findings give us confidence as we progress our vaccine development and upscale manufacturing in parallel, having initiated a Phase 1/2a trial in July with the intention to move into a Phase 3 trial in September," said Paul Stoffels, M.D., Vice Chairman of the Executive Committee and Chief Scientific Officer, Johnson & Johnson.
The robust Janssen COVID-19 clinical trial program, including the Phase 1/2a clinical trial and the Phase 3 clinical trial program, will evaluate both one- and two-dose regimens of Ad26.COV2.S in parallel studies. The Phase 1/2a trial will evaluate the safety, reactogenicity (expected reactions to vaccination, such as swelling or soreness), and immunogenicity of Ad26.COV2.S in over 1,000 healthy adults aged 18 to 55 years, as well as adults aged 65 years and older. Planning also is underway for a Phase 2a study in the Netherlands, Spain and Germany and a Phase 1 study in Japan. For more information about these studies, please visit www.clinicaltrials.gov.
As the Company plans its COVID-19 Phase 3 clinical development program, discussions are underway with partners with the objective to start a pivotal Phase 3 clinical trial of the single vaccine dose versus placebo in September, pending the interim data of the Phase 1 and 2 trials and approval of regulators. Simultaneously, the Company also is planning to start a parallel Phase 3 clinical trial of a two-dose regimen versus placebo.
The Company also will emphasize representation of populations that have been disproportionately impacted by the pandemic as it designs and implements its COVID-19 Phase 3 trial program. In the United States, this would include significant representation of Blacks, Hispanic/Latinx and participants over 65 years of age.
The pre-clinical studies were conducted by researchers from Beth Israel Deaconess Medical Center (BIDMC) in collaboration with the Janssen Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson and others as part of its ongoing collaboration to accelerate the development of a SARS-CoV-2 vaccine.
Dan Barouch, M.D., Ph.D., Director of the Center for Virology and Vaccine Research at BIDMC and the Ragon Institute, stated, "The pre-clinical data, generated in collaboration with the Johnson & Johnson team, highlights the potential of this SARS-CoV-2 vaccine candidate. Moreover, the data suggest that antibody levels may serve as a biomarker for vaccine-mediated protection."
In the studies, researchers first immunized the NHPs with a panel of vaccine prototypes, and then challenged them with SARS-CoV-2 infection. The scientists found that, of seven vaccine prototypes tested in the study, Ad26.COV2.S (referred to in the Nature article as Ad26-S.PP), elicited the highest levels of neutralizing antibodies to SARS-CoV-2. The level of antibodies correlated with the level of protection, confirming previous observations and suggesting they could be a potential biomarker for vaccine-mediated protection. The six NHPs that received a single immunization with Ad26.COV2.S showed no detectable virus in the lower respiratory tract after exposure to SARS-CoV-2, and only one of six showed very low levels of the virus in a nasal swab at two time points.
"As we collectively battle this pandemic, we remain deeply committed to our goal of providing a safe and effective vaccine to the world. Our pre-clinical results give us reason to be optimistic as we initiate our first-in-human clinical trial, and we are excited to enter the next stage in our research and development toward a COVID-19 vaccine. We know that, if successful, this vaccine can be rapidly developed, produced on a large scale and delivered around the world," said Mathai Mammen, M.D., Ph.D., Global Head, Janssen Research & Development, LLC, Johnson & Johnson.
The Company's fundamental responsibility is to provide patients, consumers and healthcare providers with products that are as safe and effective as possible. Johnson & Johnson takes an evidence- and science-based, ethics- and values-driven approach to medical safety, putting patient and consumer wellbeing first and foremost in its decision making and actions, with an emphasis on transparency.
As Johnson & Johnson progresses the clinical development of SARS-CoV-2, the Company continues to increase manufacturing capacity and is in active discussions with global strategic partners to support worldwide access. Johnson & Johnson aims to meet its goal to supply more than one billion doses globally through the course of 2021, provided the vaccine is safe and effective.
This project has been funded in whole or in part with Federal funds from the Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response, Biomedical Advanced Research and Development Authority, under Other Transaction Agreement HHSO100201700018C.
For more information on Johnson & Johnson's multi-pronged approach to combatting the pandemic, visit: www.jnj.com/coronavirus.
About Johnson & Johnson
At Johnson & Johnson, we believe good health is the foundation of vibrant lives, thriving communities and forward progress. That's why for more than 130 years, we have aimed to keep people well at every age and every stage of life. Today, as the world's largest and most broadly-based healthcare company, we are committed to using our reach and size for good. We strive to improve access and affordability, create healthier communities, and put a healthy mind, body and environment within reach of everyone, everywhere. We are blending our heart, science and ingenuity to profoundly change the trajectory of health for humanity. Learn more at www.jnj.com. Follow us at @JNJNews.
About the Janssen Pharmaceutical Companies
At Janssen, we're creating a future where disease is a thing of the past. We're the Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson, working tirelessly to make that future a reality for patients everywhere by fighting sickness with science, improving access with ingenuity, and healing hopelessness with heart. We focus on areas of medicine where we can make the biggest difference: Cardiovascular & Metabolism, Immunology, Infectious Diseases & Vaccines, Neuroscience, Oncology, and Pulmonary Hypertension. Learn more at www.janssen.com. Follow us at @JanssenGlobal.
Notice to Investors Concerning Forward-Looking Statements
This press release contains "forward-looking statements" as defined in the Private Securities Litigation Reform Act of 1995 regarding development of potential preventive and treatment regimens for COVID-19. The reader is cautioned not to rely on these forward-looking statements. These statements are based on current expectations of future events. If underlying assumptions prove inaccurate or known or unknown risks or uncertainties materialize, actual results could vary materially from the expectations and projections of the Janssen Research & Development LLC., and/or Johnson & Johnson. Risks and uncertainties include, but are not limited to: challenges and uncertainties inherent in product research and development, including the uncertainty of clinical success and of obtaining regulatory approvals; uncertainty of commercial success; manufacturing difficulties and delays; competition, including technological advances, new products and patents attained by competitors; challenges to patents; product efficacy or safety concerns resulting in product recalls or regulatory action; changes in behavior and spending patterns of purchasers of health care products and services; changes to applicable laws and regulations, including global health care reforms; and trends toward health care cost containment. A further list and descriptions of these risks, uncertainties and other factors can be found in Johnson & Johnson's Annual Report on Form 10-K for the fiscal year ended December 29, 2019, including in the sections captioned "Cautionary Note Regarding Forward-Looking Statements" and "Item 1A. Risk Factors," and in the company's most recently filed Quarterly Report on Form 10-Q, and the company's subsequent filings with the Securities and Exchange Commission. Copies of these filings are available online at www.sec.gov, www.jnj.com or on request from Johnson & Johnson. None of the Janssen Pharmaceutical Companies nor Johnson & Johnson undertakes to update any forward-looking statement as a result of new information or future events or developments.
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/403394/Johnson_and_Johnson_Logo.jpg
SEKISUI Diagnostics Invests GBP14.4 Million in cGMP Biopharma CDMO Capacity
BURLINGTON Massachusetts--30 Jul--PRNewswire/InfoQuest
Sekisui announces the decision to invest GBP14.4 Million in its biopharma CDMO business aimed at cGMP microbial capacity expansion at the existing site in Maidstone, Kent to be completed by the second half of 2022. This investment follows the investment of $1.9 million in its new Bioprocess Innovation Centre, completed in October 2019, and is part of a long-term investment strategy to grow its share of the microbial biopharma CDMO market.
Previously part of Genzyme Corporation, Sekisui Diagnostics' Enzyme business launched its microbial biopharma CDMO service offering, BioProduction by Sekisui, in 2017, building on over 40 years' experience in this field. The facility expansion and cGMP upgrades will enable Sekisui to take on drug substance contract manufacturing for programs entering the clinical trial phase. The new cGMP certified microbial fermentation and purification suites will accommodate production scales up to 1,000L, complementing its existing capabilities which range from 20L to 5,000L fermentation scale.
Sekisui has wide experience with projects from pre-clinical to commercialization, including but not limited to recombinant systems such as E. coli and Pichia pastoris, and associated purification and analytical technologies. Its main expertise lies in the production of enzymes, however its capabilities are also suitable for plasmids, antibody fragments, and other protein production.
"This investment represents our commitment to serve our Biopharma customers with much needed cGMP microbial CDMO production capacity." said Robert Schruender, President & CEO of Sekisui Diagnostics and Sekisui Medical Board Member . "Over many years we have built both a technical and operational competency and expertise in enzyme production and microbial fermentation. As the Biopharma CDMO market grows, we aim to further leverage this capability to grow our share in this market."
About Sekisui Diagnostics:
Sekisui Diagnostics is a global company committed to improving patients' lives by providing innovative medical diagnostics to physicians and laboratories through a global commercial network. Product lines include clinical chemistry and coagulation systems, reagents, rapid test kits and point-of-care systems. The Enzyme business forms part of this group and, in addition to BioProduction by Sekisui, offers a broad portfolio of Diagnostic enzymes and critical raw materials.
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1220877/BioProduction_by_Sekisui_Diagnostics_Logo.jpg
Sekisui announces the decision to invest GBP14.4 Million in its biopharma CDMO business aimed at cGMP microbial capacity expansion at the existing site in Maidstone, Kent to be completed by the second half of 2022. This investment follows the investment of $1.9 million in its new Bioprocess Innovation Centre, completed in October 2019, and is part of a long-term investment strategy to grow its share of the microbial biopharma CDMO market.
Previously part of Genzyme Corporation, Sekisui Diagnostics' Enzyme business launched its microbial biopharma CDMO service offering, BioProduction by Sekisui, in 2017, building on over 40 years' experience in this field. The facility expansion and cGMP upgrades will enable Sekisui to take on drug substance contract manufacturing for programs entering the clinical trial phase. The new cGMP certified microbial fermentation and purification suites will accommodate production scales up to 1,000L, complementing its existing capabilities which range from 20L to 5,000L fermentation scale.
Sekisui has wide experience with projects from pre-clinical to commercialization, including but not limited to recombinant systems such as E. coli and Pichia pastoris, and associated purification and analytical technologies. Its main expertise lies in the production of enzymes, however its capabilities are also suitable for plasmids, antibody fragments, and other protein production.
"This investment represents our commitment to serve our Biopharma customers with much needed cGMP microbial CDMO production capacity." said Robert Schruender, President & CEO of Sekisui Diagnostics and Sekisui Medical Board Member . "Over many years we have built both a technical and operational competency and expertise in enzyme production and microbial fermentation. As the Biopharma CDMO market grows, we aim to further leverage this capability to grow our share in this market."
About Sekisui Diagnostics:
Sekisui Diagnostics is a global company committed to improving patients' lives by providing innovative medical diagnostics to physicians and laboratories through a global commercial network. Product lines include clinical chemistry and coagulation systems, reagents, rapid test kits and point-of-care systems. The Enzyme business forms part of this group and, in addition to BioProduction by Sekisui, offers a broad portfolio of Diagnostic enzymes and critical raw materials.
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1220877/BioProduction_by_Sekisui_Diagnostics_Logo.jpg
THOMAS SABO presents the new Charming Collection
LAUF AN DER PEGNITZ Germany--30 Jul--PRNewswire/InfoQuest
Since 2006, the THOMAS SABO Charm Club has stood for the brand's diversity and joie de vivre, and has now been given a new structure with the introduction of the Charming Collection range.
"The THOMAS SABO Charm Club is constantly evolving," says company founder Thomas Sabo.
The new line combines symbols from the Charm Club collection, created in the brands timeless Sterling silver, showcasing a range of mix & match pieces. The latest designs from the Charming Collection are delicate, fun-loving and are inspired to be easily layered and stacked.
The Charming Collection includes a range of necklaces, bracelets, bangles, rings and ear jewellery. The collection is made up of approximately 300 products, are mainly in the medium price range. In addition, the Charm Club continues to showcase the cult Charms in around 500 available designs.
From August 1, 2020, the THOMAS SABO Charm Club innovations and the Charming Collection for Autumn/Winter 2020 will be available worldwide in THOMAS SABO shops, shop-in-shops, in the online shop at www.thomassabo.com and from selected partners.
Picture download for editorial use: https://nextcloud.thomassabo.com/s/i8t9WpnpzP4eFd3
@thomassabo_charmclub #CharmClubByTS #thomassabo
About THOMAS SABO
THOMAS SABO is a leading international jewellery company, offering its versatile designs through selective and high-quality multi-channel distribution. In addition to its core segment of elaborately handcrafted jewellery in 925 Sterling silver, THOMAS SABO has designed and distributed watches since 2009 and sunglasses since 2019. Founded in 1984 by Thomas Sabo in Lauf an der Pegnitz, southern Germany, the company has over 3,100 points of sale worldwide, including around 260 shops and the online shop at www.thomassabo.com. THOMAS SABO has an international workforce of around 1,600 employees.
Photo -
https://mma.prnewswire.com/media/1221306/THOMAS_SABO_Charming_Collection.jpg
Press contact
THOMAS SABO GmbH & Co. KG
Tel: +49 - (0)9123 - 9715 0
Mail: press@thomassabo.com
Since 2006, the THOMAS SABO Charm Club has stood for the brand's diversity and joie de vivre, and has now been given a new structure with the introduction of the Charming Collection range.
"The THOMAS SABO Charm Club is constantly evolving," says company founder Thomas Sabo.
The new line combines symbols from the Charm Club collection, created in the brands timeless Sterling silver, showcasing a range of mix & match pieces. The latest designs from the Charming Collection are delicate, fun-loving and are inspired to be easily layered and stacked.
The Charming Collection includes a range of necklaces, bracelets, bangles, rings and ear jewellery. The collection is made up of approximately 300 products, are mainly in the medium price range. In addition, the Charm Club continues to showcase the cult Charms in around 500 available designs.
From August 1, 2020, the THOMAS SABO Charm Club innovations and the Charming Collection for Autumn/Winter 2020 will be available worldwide in THOMAS SABO shops, shop-in-shops, in the online shop at www.thomassabo.com and from selected partners.
Picture download for editorial use: https://nextcloud.thomassabo.com/s/i8t9WpnpzP4eFd3
@thomassabo_charmclub #CharmClubByTS #thomassabo
About THOMAS SABO
THOMAS SABO is a leading international jewellery company, offering its versatile designs through selective and high-quality multi-channel distribution. In addition to its core segment of elaborately handcrafted jewellery in 925 Sterling silver, THOMAS SABO has designed and distributed watches since 2009 and sunglasses since 2019. Founded in 1984 by Thomas Sabo in Lauf an der Pegnitz, southern Germany, the company has over 3,100 points of sale worldwide, including around 260 shops and the online shop at www.thomassabo.com. THOMAS SABO has an international workforce of around 1,600 employees.
Photo -
https://mma.prnewswire.com/media/1221306/THOMAS_SABO_Charming_Collection.jpg
Press contact
THOMAS SABO GmbH & Co. KG
Tel: +49 - (0)9123 - 9715 0
Mail: press@thomassabo.com
Major HORIBA Launch as Virtualising RDE Development Offers $17m Savings
Nuneaton England--30 Jul--PRNewswire/InfoQuest
HORIBA has launched a new virtual-based solution to Real Driving Emissions (RDE) development – which could save businesses up to $17m in prototype vehicle requirements alone.
Launched globally today (30 July 2020), RDE+ is a "road to rig" solution that brings the real-world into the laboratory which, when combined with virtual-domain simulation and validation, enables RDE development to be completed more quickly and accurately than before.
The launch coincides with a new white paper commissioned by HORIBA which reveals the growing business case for the virtualisation of RDE powertrain development.
According to the study, conducted by Frost & Sullivan, virtualising RDE testing could help automotive Original Equipment Manufacturers (OEMs) reduce their prototype vehicle requirements up to 75% by replacing on-road testing with more efficient development in the laboratory, resulting in savings of up to $17m per vehicle programme. This is in addition to huge potential savings in reduced testing and development times.
Steve Whelan, Global Development and Application Centre Leader at HORIBA, comments:
"Manufacturers are juggling multiple challenges – emissions reductions, electrification and future mobility, all while remaining competitive. In order to provide a more efficient and cost-effective approach to RDE development, we've developed RDE+.
"As demonstrated by our powerful research, this comes as the commercial case for virtual RDE development has never been more compelling – helping OEMs to save up to $17m in prototype reductions on each programme. This is not to mention the cost savings to be had, potentially millions, in development time reductions."
The launch comes at a pivotal time for the global automotive industry as it seeks to meet the future technology challenge while recovering from the impact of COVID-19. Adding pressure, the report estimates RDE requirements have increased testing times threefold.
Cue a growing need for a more agile approach to product development – says HORIBA.
Steve adds: "The transition to a more agile approach is inevitable in meeting future vehicle demand. Virtual validation will play a lead role in this, enabling products to be developed quicker and better – essentially doing more with less."
"Manufacturers are advised to take heed now by virtualising their physical testing activities. As demonstrated by RDE+, with benefits that include reduced prototype requirements, increased confidence and huge cost savings – it will ensure they stay in the fast lane."
For further information about HORIBA MIRA's RDE+ offering, please visit: http://automotive.horiba.com/rdeplus.
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1215091/HORIBA_Virtualisation_RDE_Savings.jpg
Contacts:
Lyndsey Trengove
lyndsey.trengove@whistlepr.co.uk
+44-(0)7854-700320
Monira Matin
monira.matin@whistlepr.co.uk
+44-(0)7753-135691
HORIBA has launched a new virtual-based solution to Real Driving Emissions (RDE) development – which could save businesses up to $17m in prototype vehicle requirements alone.
Launched globally today (30 July 2020), RDE+ is a "road to rig" solution that brings the real-world into the laboratory which, when combined with virtual-domain simulation and validation, enables RDE development to be completed more quickly and accurately than before.
The launch coincides with a new white paper commissioned by HORIBA which reveals the growing business case for the virtualisation of RDE powertrain development.
According to the study, conducted by Frost & Sullivan, virtualising RDE testing could help automotive Original Equipment Manufacturers (OEMs) reduce their prototype vehicle requirements up to 75% by replacing on-road testing with more efficient development in the laboratory, resulting in savings of up to $17m per vehicle programme. This is in addition to huge potential savings in reduced testing and development times.
Steve Whelan, Global Development and Application Centre Leader at HORIBA, comments:
"Manufacturers are juggling multiple challenges – emissions reductions, electrification and future mobility, all while remaining competitive. In order to provide a more efficient and cost-effective approach to RDE development, we've developed RDE+.
"As demonstrated by our powerful research, this comes as the commercial case for virtual RDE development has never been more compelling – helping OEMs to save up to $17m in prototype reductions on each programme. This is not to mention the cost savings to be had, potentially millions, in development time reductions."
The launch comes at a pivotal time for the global automotive industry as it seeks to meet the future technology challenge while recovering from the impact of COVID-19. Adding pressure, the report estimates RDE requirements have increased testing times threefold.
Cue a growing need for a more agile approach to product development – says HORIBA.
Steve adds: "The transition to a more agile approach is inevitable in meeting future vehicle demand. Virtual validation will play a lead role in this, enabling products to be developed quicker and better – essentially doing more with less."
"Manufacturers are advised to take heed now by virtualising their physical testing activities. As demonstrated by RDE+, with benefits that include reduced prototype requirements, increased confidence and huge cost savings – it will ensure they stay in the fast lane."
For further information about HORIBA MIRA's RDE+ offering, please visit: http://automotive.horiba.com/rdeplus.
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1215091/HORIBA_Virtualisation_RDE_Savings.jpg
Contacts:
Lyndsey Trengove
lyndsey.trengove@whistlepr.co.uk
+44-(0)7854-700320
Monira Matin
monira.matin@whistlepr.co.uk
+44-(0)7753-135691
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์เผยปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์อาจตรวจพบได้ตั้งแต่วัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
ผลวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ หรือ Alzheimer's Association International Conference(R) (AAIC(R)) 2020 ระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์อาจปรากฏให้เห็นเด่นชัดตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นหรือช่วงอายุ 20
ปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยเด่นชัดเป็นพิเศษในประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ประกอบด้วยปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และเบาหวาน รวมถึงปัจจัยทางสังคม เช่น คุณภาพการศึกษา โดยรายงานข้อเท็จจริงและสถิติโรคอัลไซเมอร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ระบุว่า ผู้สูงอายุชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีแนวโน้มเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมมากกว่าผู้สูงอายุผิวขาวราวสองเท่า
“การระบุ ตรวจสอบ และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ และจะนำไปสู่การลดจำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมโดยรวมทั้งหมด” ดร.มาเรีย ซี คาร์ริลโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ กล่าว “การวิจัยเรื่องนี้จะช่วยขจัดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อหลายชีวิต”
“รายงานใหม่หลายฉบับที่เผยแพร่ในการประชุม AAIC 2020 แสดงให้เห็นว่า ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปในการลงมือปกป้องความสามารถในการจดจำและการคิดของคุณ” ดร.คาร์ริลโล กล่าว
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นผู้นำการศึกษา U.S. Study to Protect Brain Health Through Lifestyle Intervention to Reduce Risk (U.S. POINTER) ซึ่งเป็นการทดลองทางคลินิกระยะเวลาสองปีเพื่อประเมินว่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อจัดการกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ สามารถปกป้องการทำงานของสมองในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสมองเสื่อมสูงได้หรือไม่ โดย U.S. POINTER ถือเป็นการศึกษาในลักษณะนี้ครั้งแรกที่จัดทำในประชากรชาวอเมริกันกลุ่มใหญ่และมีความหลากหลายทั่วอเมริกา
หนุ่มสาวชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีความเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่า
ในการศึกษา Study of Healthy Aging in African Americans (STAR) ในประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 714 คน ดร.คริสเทน จอร์จ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิตจาก University of California, Davis และทีมงานค้นพบว่า โรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน หรือปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ พบได้ทั่วไปในวัยรุ่นและมีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมองที่ย่ำแย่ลงในบั้นปลายชีวิต โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาประกอบด้วยวัยรุ่น (n=165; อายุ 12-20 ปี) คนหนุ่มสาว (n=439; อายุ 21-34 ปี) และผู้ใหญ่ (n=110; อายุ 35-56 ปี) ส่วนค่าเฉลี่ยของอายุในการประเมินการทำงานของสมองอยู่ที่ 68 ปี
จากการประเมินการทำงานของสมองโดยใช้แบบทดสอบความจำและทักษะสมอง Executive Function คณะนักวิจัยพบว่า การเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพหัวใจอย่างน้อยสองปัจจัยในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ตอนต้น หรือวัยกลางคน ทำให้การทำงานของสมองย่ำแย่ลงมากในบั้นปลายชีวิต และผลลัพธ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีการพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ทั้งอายุ เพศ การศึกษา และจำนวนปีนับตั้งแต่พบปัจจัยเสี่ยง
ก่อนการศึกษานี้ เราแทบไม่รู้ว่าปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดขึ้นก่อนเข้าสู่วัยกลางคน มีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมองในบั้นปลายชีวิต ข้อมูลนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ เพราะชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น ตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่
คณะนักวิจัยระบุว่า ผลการค้นพบนี้บ่งชี้ว่า ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบตั้งแต่วัยรุ่นมีอิทธิพลต่อสุขภาพสมองในบั้นปลายชีวิตของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ดังนั้น การส่งเสริมวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและสมองต้องทำในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวด้วย ไม่ใช่แค่ในกลุ่มวัยกลางคนเท่านั้น เพราะสมองของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวก็มีสิทธิได้รับผลกระทบเชิงลบจากสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ย่ำแย่
ดัชนีมวลกายในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต
การศึกษาครั้งแรกในประเด็นนี้บ่งชี้ว่า ยิ่งมีดัชนีมวลกาย (BMI) ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 20-49) มาก ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต
เรารู้น้อยมากเกี่ยวกับบทบาทของ BMI ในช่วงแรกของชีวิตที่มีต่อความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาผู้สูงอายุรวม 5,104 คนในสองการศึกษา ประกอบด้วยผู้สูงอายุ 2,909 คนในการศึกษา Cardiovascular Health Study (CHS) และผู้สูงอายุ 2,195 คนในการศึกษา Health, Aging and Body Composition Study (Health ABC) โดยในจำนวนนี้ 18% เป็นคนผิวสี และ 56% เป็นผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์อาศัยข้อมูลจาก 4 การศึกษาก่อนหน้านี้ ซึ่งครอบคลุมทุกช่วงของวัยผู้ใหญ่ รวมถึง 2 การศึกษาข้างต้น เพื่อทำการประเมินข้อมูล BMI ตั้งแต่อายุ 20 ปีของกลุ่มผู้สูงอายุในการศึกษา CHS และ Health ABC
- สำหรับผู้หญิง ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นตามค่า BMI ที่สูงขึ้นในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยเมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มี BMI ปกติในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่าความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 1.8 เท่าในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน และเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วน นอกจากนั้นยังมีการวิเคราะห์ BMI ในวัยกลางคนและบั้นปลายชีวิต โดยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่าง BMI ในวัยกลางคนกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในผู้หญิง
- สำหรับผู้ชาย ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินในวัยกลางคน และเพิ่มขึ้น 2.0 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนในวัยกลางคน
- สำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมกลับลดลงเมื่อ BMI สูงขึ้นในบั้นปลายชีวิต
ดร.อดินา เซกี อัล ฮัซซูรี จาก Columbia University และทีมงานพบว่า ค่า BMI สูงในวัยผู้ใหญ่คือปัจจจัยเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต คณะนักวิจัยแนะนำว่า ความพยายามในการลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมอาจต้องเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่มสาว โดยเน้นที่การป้องกันและรักษาโรคอ้วน
คุณภาพการศึกษาในช่วงแรกของชีวิตมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม
ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 2,400 คน ในช่วง 21 ปีแรกของชีวิต พบว่าการศึกษาในช่วงแรกของชีวิตที่มีคุณภาพสูงกว่า มีความเชื่อมโยงกับความจำและทักษะทางภาษาที่ดีกว่า และมีความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิตน้อยกว่า โดยผลลัพธ์ดังกล่าวมีความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาว
โครงการ Washington Heights/Inwood Columbia Aging Project ทำการศึกษาคนผิวสีและคนผิวขาวทั้งชายและหญิงอายุ 65 ปีขึ้นไปรวม 2,446 คน ซึ่งเข้าโรงเรียนประถมในอเมริกา โดยคุณภาพของโรงเรียนพิจารณาจากการวัดผลต่าง ๆ เช่น เกณฑ์อายุการรับนักเรียน เกณฑ์อายุขั้นต่ำที่นักเรียนสามารถออกจากโรงเรียน ระยะเวลาในแต่ละเทอม อัตราส่วนนักเรียน-ครู และการเข้าเรียนของนักเรียน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพน้อยกว่ามีความจำและทักษะทางภาษาเสื่อมถอยเร็วกว่าเมื่อสูงวัยขึ้น ส่วนผู้หญิงและผู้ชายผิวสีและผู้หญิงผิวขาวที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่ามีโอกาสสมองเสื่อมน้อยกว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่ามักมีจำนวนปีที่เรียนหนังสือมากกว่า
ดร.จัสตินา เอวิลา-ไรเจอร์ นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Columbia University Irving Medical Center และทีมงาน กล่าวว่า ผลการค้นพบดังกล่าวเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมและการทำงานของสมองในบั้นปลายชีวิต ได้รับอิทธิพลจากนโยบายการศึกษาในช่วงแรกของชีวิต
เกี่ยวกับการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (AAIC) เป็นการประชุมเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ โดยนักวิจัยจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม รวมถึงให้การสนับสนุนชุมชนนักวิจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- โฮมเพจของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/
- ห้องข่าวของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- แฮชแท็ก AAIC 2020: #AAIC20
เกี่ยวกับสมาคมโรคอัลไซเมอร์
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นองค์กรอาสาสมัครด้านสุขภาพชั้นนำของโลก ซึ่งอุทิศตนให้กับการดูแลรักษา การสนับสนุน และการวิจัยโรคอัลไซเมอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการกำจัดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมให้หมดไป ด้วยการสนับสนุนการวิจัยระดับโลก การลดความเสี่ยงของการเกิดโรค การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ alz.org หรือโทร. 800.272.3900
อ้างอิง
- Kristen George, PhD, MPH, et al. Cardiovascular risk factors in adolescence and adulthood and late-life cognition: Study of healthy aging in African Americans (STAR). (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Adina Zeki Al Hazzouri, PhD, et al. Association of early life BMI with dementia risk: Findings from a pooled cohort analysis. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Justina Avila-Rieger, et al. Relationship between state-level administrative school quality data, years of education, cognitive decline, and dementia risk. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
ปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยเด่นชัดเป็นพิเศษในประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ประกอบด้วยปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และเบาหวาน รวมถึงปัจจัยทางสังคม เช่น คุณภาพการศึกษา โดยรายงานข้อเท็จจริงและสถิติโรคอัลไซเมอร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ระบุว่า ผู้สูงอายุชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีแนวโน้มเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมมากกว่าผู้สูงอายุผิวขาวราวสองเท่า
“การระบุ ตรวจสอบ และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ และจะนำไปสู่การลดจำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมโดยรวมทั้งหมด” ดร.มาเรีย ซี คาร์ริลโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ กล่าว “การวิจัยเรื่องนี้จะช่วยขจัดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อหลายชีวิต”
“รายงานใหม่หลายฉบับที่เผยแพร่ในการประชุม AAIC 2020 แสดงให้เห็นว่า ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปในการลงมือปกป้องความสามารถในการจดจำและการคิดของคุณ” ดร.คาร์ริลโล กล่าว
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นผู้นำการศึกษา U.S. Study to Protect Brain Health Through Lifestyle Intervention to Reduce Risk (U.S. POINTER) ซึ่งเป็นการทดลองทางคลินิกระยะเวลาสองปีเพื่อประเมินว่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อจัดการกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ สามารถปกป้องการทำงานของสมองในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสมองเสื่อมสูงได้หรือไม่ โดย U.S. POINTER ถือเป็นการศึกษาในลักษณะนี้ครั้งแรกที่จัดทำในประชากรชาวอเมริกันกลุ่มใหญ่และมีความหลากหลายทั่วอเมริกา
หนุ่มสาวชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีความเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่า
ในการศึกษา Study of Healthy Aging in African Americans (STAR) ในประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 714 คน ดร.คริสเทน จอร์จ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิตจาก University of California, Davis และทีมงานค้นพบว่า โรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน หรือปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ พบได้ทั่วไปในวัยรุ่นและมีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมองที่ย่ำแย่ลงในบั้นปลายชีวิต โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาประกอบด้วยวัยรุ่น (n=165; อายุ 12-20 ปี) คนหนุ่มสาว (n=439; อายุ 21-34 ปี) และผู้ใหญ่ (n=110; อายุ 35-56 ปี) ส่วนค่าเฉลี่ยของอายุในการประเมินการทำงานของสมองอยู่ที่ 68 ปี
จากการประเมินการทำงานของสมองโดยใช้แบบทดสอบความจำและทักษะสมอง Executive Function คณะนักวิจัยพบว่า การเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพหัวใจอย่างน้อยสองปัจจัยในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ตอนต้น หรือวัยกลางคน ทำให้การทำงานของสมองย่ำแย่ลงมากในบั้นปลายชีวิต และผลลัพธ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีการพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ทั้งอายุ เพศ การศึกษา และจำนวนปีนับตั้งแต่พบปัจจัยเสี่ยง
ก่อนการศึกษานี้ เราแทบไม่รู้ว่าปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดขึ้นก่อนเข้าสู่วัยกลางคน มีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมองในบั้นปลายชีวิต ข้อมูลนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ เพราะชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกามีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น ตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่
คณะนักวิจัยระบุว่า ผลการค้นพบนี้บ่งชี้ว่า ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบตั้งแต่วัยรุ่นมีอิทธิพลต่อสุขภาพสมองในบั้นปลายชีวิตของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ดังนั้น การส่งเสริมวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและสมองต้องทำในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวด้วย ไม่ใช่แค่ในกลุ่มวัยกลางคนเท่านั้น เพราะสมองของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวก็มีสิทธิได้รับผลกระทบเชิงลบจากสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ย่ำแย่
ดัชนีมวลกายในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต
การศึกษาครั้งแรกในประเด็นนี้บ่งชี้ว่า ยิ่งมีดัชนีมวลกาย (BMI) ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 20-49) มาก ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต
เรารู้น้อยมากเกี่ยวกับบทบาทของ BMI ในช่วงแรกของชีวิตที่มีต่อความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาผู้สูงอายุรวม 5,104 คนในสองการศึกษา ประกอบด้วยผู้สูงอายุ 2,909 คนในการศึกษา Cardiovascular Health Study (CHS) และผู้สูงอายุ 2,195 คนในการศึกษา Health, Aging and Body Composition Study (Health ABC) โดยในจำนวนนี้ 18% เป็นคนผิวสี และ 56% เป็นผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์อาศัยข้อมูลจาก 4 การศึกษาก่อนหน้านี้ ซึ่งครอบคลุมทุกช่วงของวัยผู้ใหญ่ รวมถึง 2 การศึกษาข้างต้น เพื่อทำการประเมินข้อมูล BMI ตั้งแต่อายุ 20 ปีของกลุ่มผู้สูงอายุในการศึกษา CHS และ Health ABC
- สำหรับผู้หญิง ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นตามค่า BMI ที่สูงขึ้นในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยเมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มี BMI ปกติในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่าความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 1.8 เท่าในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน และเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วน นอกจากนั้นยังมีการวิเคราะห์ BMI ในวัยกลางคนและบั้นปลายชีวิต โดยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่าง BMI ในวัยกลางคนกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในผู้หญิง
- สำหรับผู้ชาย ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินในวัยกลางคน และเพิ่มขึ้น 2.0 เท่าในกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนในวัยกลางคน
- สำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมกลับลดลงเมื่อ BMI สูงขึ้นในบั้นปลายชีวิต
ดร.อดินา เซกี อัล ฮัซซูรี จาก Columbia University และทีมงานพบว่า ค่า BMI สูงในวัยผู้ใหญ่คือปัจจจัยเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต คณะนักวิจัยแนะนำว่า ความพยายามในการลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมอาจต้องเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่มสาว โดยเน้นที่การป้องกันและรักษาโรคอ้วน
คุณภาพการศึกษาในช่วงแรกของชีวิตมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม
ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 2,400 คน ในช่วง 21 ปีแรกของชีวิต พบว่าการศึกษาในช่วงแรกของชีวิตที่มีคุณภาพสูงกว่า มีความเชื่อมโยงกับความจำและทักษะทางภาษาที่ดีกว่า และมีความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิตน้อยกว่า โดยผลลัพธ์ดังกล่าวมีความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาว
โครงการ Washington Heights/Inwood Columbia Aging Project ทำการศึกษาคนผิวสีและคนผิวขาวทั้งชายและหญิงอายุ 65 ปีขึ้นไปรวม 2,446 คน ซึ่งเข้าโรงเรียนประถมในอเมริกา โดยคุณภาพของโรงเรียนพิจารณาจากการวัดผลต่าง ๆ เช่น เกณฑ์อายุการรับนักเรียน เกณฑ์อายุขั้นต่ำที่นักเรียนสามารถออกจากโรงเรียน ระยะเวลาในแต่ละเทอม อัตราส่วนนักเรียน-ครู และการเข้าเรียนของนักเรียน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพน้อยกว่ามีความจำและทักษะทางภาษาเสื่อมถอยเร็วกว่าเมื่อสูงวัยขึ้น ส่วนผู้หญิงและผู้ชายผิวสีและผู้หญิงผิวขาวที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่ามีโอกาสสมองเสื่อมน้อยกว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ที่เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่ามักมีจำนวนปีที่เรียนหนังสือมากกว่า
ดร.จัสตินา เอวิลา-ไรเจอร์ นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Columbia University Irving Medical Center และทีมงาน กล่าวว่า ผลการค้นพบดังกล่าวเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมและการทำงานของสมองในบั้นปลายชีวิต ได้รับอิทธิพลจากนโยบายการศึกษาในช่วงแรกของชีวิต
เกี่ยวกับการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (AAIC) เป็นการประชุมเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ โดยนักวิจัยจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม รวมถึงให้การสนับสนุนชุมชนนักวิจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- โฮมเพจของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/
- ห้องข่าวของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- แฮชแท็ก AAIC 2020: #AAIC20
เกี่ยวกับสมาคมโรคอัลไซเมอร์
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นองค์กรอาสาสมัครด้านสุขภาพชั้นนำของโลก ซึ่งอุทิศตนให้กับการดูแลรักษา การสนับสนุน และการวิจัยโรคอัลไซเมอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการกำจัดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมให้หมดไป ด้วยการสนับสนุนการวิจัยระดับโลก การลดความเสี่ยงของการเกิดโรค การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ alz.org หรือโทร. 800.272.3900
อ้างอิง
- Kristen George, PhD, MPH, et al. Cardiovascular risk factors in adolescence and adulthood and late-life cognition: Study of healthy aging in African Americans (STAR). (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Adina Zeki Al Hazzouri, PhD, et al. Association of early life BMI with dementia risk: Findings from a pooled cohort analysis. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Justina Avila-Rieger, et al. Relationship between state-level administrative school quality data, years of education, cognitive decline, and dementia risk. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
From The Alzheimer's Association International Conference 2020: Alzheimer's Risk Factors May Be Measurable In Adolescents And Young Adults
Risk factors for Alzheimer's dementia may be apparent as early as our teens and 20s, according to new research reported at the Alzheimer's Association International Conference(R) (AAIC(R)) 2020.
These risk factors, many of which are disproportionately apparent in African Americans, include heart health factors — such as high blood pressure, high cholesterol and diabetes — and social factors like education quality. According to the Alzheimer's Association Alzheimer's Disease Facts and Figures report, older African Americans are about twice as likely to have Alzheimer's or other dementias as older whites.
"By identifying, verifying, and acting to counter those Alzheimer's risk factors that we can change, we may reduce new cases and eventually the total number of people with Alzheimer's and other dementia," said Maria C. Carrillo, Ph.D., Alzheimer's Association chief science officer. "Research like this is important in addressing health inequities and providing resources that could make a positive impact on a person's life."
"These new reports from AAIC 2020 show that it's never too early, or too late, to take action to protect your memory and thinking abilities," Carrillo said.
The Alzheimer's Association is leading the U.S. Study to Protect Brain Health Through Lifestyle Intervention to Reduce Risk (U.S. POINTER), a two-year clinical trial to evaluate whether lifestyle interventions that simultaneously target many risk factors protect cognitive function in older adults who are at increased risk for cognitive decline. U.S. POINTER is the first such study to be conducted in a large, diverse group of Americans across the United States.
African American Youth At Higher Risk of Dementia
In a population of more than 714 African Americans in the Study of Healthy Aging in African Americans (STAR), Kristen George, Ph.D., MPH, of the University of California, Davis, and colleagues found that high blood pressure and diabetes, or a combination of multiple heart health-related factors, are common in adolescence and are associated with worse late-life cognition. Study participants were adolescents (n=165; ages 12-20), young adults (n=439; ages 21-34) and adults (n=110; ages 35-56). Mean age at cognitive assessment was 68.
Cognition was measured using in-person tests of memory and executive function. The researchers found that, in this study population, having diabetes, high blood pressure, or two or more heart health risk factors in adolescence, young adulthood, or mid-life was associated with statistically significantly worse late-life cognition. These differences persisted after accounting for age, gender, years since risk factors were measured, and education.
Before this report, little was known about whether cardiovascular disease (CVD) risk factors developed prior to mid-life were associated with late-life cognition. This is an important question because African Americans have a higher risk of CVD risk factors compared to other racial/ethnic groups from adolescence through adulthood.
According to the researchers, these findings suggest that CVD risk factors as early as adolescence influence late-life brain health in African Americans. Efforts to promote heart and brain healthy lifestyles must not only include middle-aged adults, but also younger adults and adolescents who may be especially susceptible to the negative impact of poor vascular health on the brain.
Early Adult BMI Associated With Late Life Dementia Risk
In what the authors say is the first study to report on the issue, higher early adulthood (age 20-49) body mass index (BMI) was associated with higher late-life dementia risk.
Relatively little is known about the role of early life BMI on the risk of Alzheimer and other dementias. The scientists studied a total of 5,104 older adults from two studies, including 2,909 from the Cardiovascular Health Study (CHS) and 2,195 from the Health, Aging and Body Composition study (Health ABC). Of the total sample, 18% were Black and 56% were women. Using pooled data from four established cohorts spanning the adult life course, including the two cohorts under the study, the scientists estimated BMI beginning at age 20 for all older adults of CHS and Health ABC.
- For women, dementia risk increased with higher early adulthood BMI. Compared to women with normal BMI in early adulthood, dementia risk was 1.8 times higher among those who were overweight, and 2.5 times higher among those who were obese. Analyses were adjusted for midlife and late life BMI.
They found no association between midlife BMI and dementia risk among women.
- For men, dementia risk was 2.5 times higher among those who were obese in early adulthood, 1.5 times higher among those who were overweight in mid-life and 2.0 times higher among those who were obese in mid-life, in models also adjusted for late life BMI.
- For both women and men, dementia risk decreased with higher late life BMI.
Adina Zeki Al Hazzouri, Ph.D. of Columbia University and colleagues found that high BMI in adulthood is a risk factor for dementia in late life. The researchers suggest that efforts aimed at reducing dementia risk may need to begin earlier in life with a focus on obesity prevention and treatment.
Quality of Early-Life Education Influences Dementia Risk
In a diverse group of more than 2,400 people followed up to 21 years, higher quality early-life education was associated with better language and memory performance, and lower risk of late-life dementia. Results were somewhat different between men and women, and between Blacks and Whites in the study.
The study included 2,446 Black and White men and women, age 65 and older, enrolled in the Washington Heights/Inwood Columbia Aging Project who attended elementary school in the United States. A school quality variable based on historical measures included: mandatory school enrollment age, minimum dropout age, school term length, student-teacher ratio, and student attendance.
People who attended school in states with lower quality education had more rapid decline in memory and language as an older adult. Black women and men and White women who attended schools in states with higher quality education were less likely to develop dementia. According to the scientists, the results were explained, in part, because people who attend higher quality schools end up getting more years of school.
Justina Avila-Rieger, PhD, a postdoctoral research scientist at Columbia University Irving Medical Center and colleagues say the findings provide evidence that later life dementia risk and cognitive function is influenced by early-life state educational policies.
About the Alzheimer's Association International Conference (AAIC)
The Alzheimer's Association International Conference (AAIC) is the world's largest gathering of researchers from around the world focused on Alzheimer's and other dementias. As a part of the Alzheimer's Association's research program, AAIC serves as a catalyst for generating new knowledge about dementia and fostering a vital, collegial research community.
- AAIC 2020 home page: www.alz.org/aaic/
- AAIC 2020 newsroom: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- AAIC 2020 hashtag: #AAIC20
About the Alzheimer's Association
The Alzheimer's Association is a worldwide voluntary health organization dedicated to Alzheimer's care, support and research. Our mission is to lead the way to end Alzheimer's and all other dementia — by accelerating global research, driving risk reduction and early detection, and maximizing quality care and support. Visit alz.org or call 800.272.3900.
- Kristen George, PhD, MPH, et al. Cardiovascular risk factors in adolescence and adulthood and late-life cognition: Study of healthy aging in African Americans (STAR). (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Adina Zeki Al Hazzouri, PhD, et al. Association of early life BMI with dementia risk: Findings from a pooled cohort analysis. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Justina Avila-Rieger, et al. Relationship between state-level administrative school quality data, years of education, cognitive decline, and dementia risk. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
These risk factors, many of which are disproportionately apparent in African Americans, include heart health factors — such as high blood pressure, high cholesterol and diabetes — and social factors like education quality. According to the Alzheimer's Association Alzheimer's Disease Facts and Figures report, older African Americans are about twice as likely to have Alzheimer's or other dementias as older whites.
"By identifying, verifying, and acting to counter those Alzheimer's risk factors that we can change, we may reduce new cases and eventually the total number of people with Alzheimer's and other dementia," said Maria C. Carrillo, Ph.D., Alzheimer's Association chief science officer. "Research like this is important in addressing health inequities and providing resources that could make a positive impact on a person's life."
"These new reports from AAIC 2020 show that it's never too early, or too late, to take action to protect your memory and thinking abilities," Carrillo said.
The Alzheimer's Association is leading the U.S. Study to Protect Brain Health Through Lifestyle Intervention to Reduce Risk (U.S. POINTER), a two-year clinical trial to evaluate whether lifestyle interventions that simultaneously target many risk factors protect cognitive function in older adults who are at increased risk for cognitive decline. U.S. POINTER is the first such study to be conducted in a large, diverse group of Americans across the United States.
African American Youth At Higher Risk of Dementia
In a population of more than 714 African Americans in the Study of Healthy Aging in African Americans (STAR), Kristen George, Ph.D., MPH, of the University of California, Davis, and colleagues found that high blood pressure and diabetes, or a combination of multiple heart health-related factors, are common in adolescence and are associated with worse late-life cognition. Study participants were adolescents (n=165; ages 12-20), young adults (n=439; ages 21-34) and adults (n=110; ages 35-56). Mean age at cognitive assessment was 68.
Cognition was measured using in-person tests of memory and executive function. The researchers found that, in this study population, having diabetes, high blood pressure, or two or more heart health risk factors in adolescence, young adulthood, or mid-life was associated with statistically significantly worse late-life cognition. These differences persisted after accounting for age, gender, years since risk factors were measured, and education.
Before this report, little was known about whether cardiovascular disease (CVD) risk factors developed prior to mid-life were associated with late-life cognition. This is an important question because African Americans have a higher risk of CVD risk factors compared to other racial/ethnic groups from adolescence through adulthood.
According to the researchers, these findings suggest that CVD risk factors as early as adolescence influence late-life brain health in African Americans. Efforts to promote heart and brain healthy lifestyles must not only include middle-aged adults, but also younger adults and adolescents who may be especially susceptible to the negative impact of poor vascular health on the brain.
Early Adult BMI Associated With Late Life Dementia Risk
In what the authors say is the first study to report on the issue, higher early adulthood (age 20-49) body mass index (BMI) was associated with higher late-life dementia risk.
Relatively little is known about the role of early life BMI on the risk of Alzheimer and other dementias. The scientists studied a total of 5,104 older adults from two studies, including 2,909 from the Cardiovascular Health Study (CHS) and 2,195 from the Health, Aging and Body Composition study (Health ABC). Of the total sample, 18% were Black and 56% were women. Using pooled data from four established cohorts spanning the adult life course, including the two cohorts under the study, the scientists estimated BMI beginning at age 20 for all older adults of CHS and Health ABC.
- For women, dementia risk increased with higher early adulthood BMI. Compared to women with normal BMI in early adulthood, dementia risk was 1.8 times higher among those who were overweight, and 2.5 times higher among those who were obese. Analyses were adjusted for midlife and late life BMI.
They found no association between midlife BMI and dementia risk among women.
- For men, dementia risk was 2.5 times higher among those who were obese in early adulthood, 1.5 times higher among those who were overweight in mid-life and 2.0 times higher among those who were obese in mid-life, in models also adjusted for late life BMI.
- For both women and men, dementia risk decreased with higher late life BMI.
Adina Zeki Al Hazzouri, Ph.D. of Columbia University and colleagues found that high BMI in adulthood is a risk factor for dementia in late life. The researchers suggest that efforts aimed at reducing dementia risk may need to begin earlier in life with a focus on obesity prevention and treatment.
Quality of Early-Life Education Influences Dementia Risk
In a diverse group of more than 2,400 people followed up to 21 years, higher quality early-life education was associated with better language and memory performance, and lower risk of late-life dementia. Results were somewhat different between men and women, and between Blacks and Whites in the study.
The study included 2,446 Black and White men and women, age 65 and older, enrolled in the Washington Heights/Inwood Columbia Aging Project who attended elementary school in the United States. A school quality variable based on historical measures included: mandatory school enrollment age, minimum dropout age, school term length, student-teacher ratio, and student attendance.
People who attended school in states with lower quality education had more rapid decline in memory and language as an older adult. Black women and men and White women who attended schools in states with higher quality education were less likely to develop dementia. According to the scientists, the results were explained, in part, because people who attend higher quality schools end up getting more years of school.
Justina Avila-Rieger, PhD, a postdoctoral research scientist at Columbia University Irving Medical Center and colleagues say the findings provide evidence that later life dementia risk and cognitive function is influenced by early-life state educational policies.
About the Alzheimer's Association International Conference (AAIC)
The Alzheimer's Association International Conference (AAIC) is the world's largest gathering of researchers from around the world focused on Alzheimer's and other dementias. As a part of the Alzheimer's Association's research program, AAIC serves as a catalyst for generating new knowledge about dementia and fostering a vital, collegial research community.
- AAIC 2020 home page: www.alz.org/aaic/
- AAIC 2020 newsroom: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- AAIC 2020 hashtag: #AAIC20
About the Alzheimer's Association
The Alzheimer's Association is a worldwide voluntary health organization dedicated to Alzheimer's care, support and research. Our mission is to lead the way to end Alzheimer's and all other dementia — by accelerating global research, driving risk reduction and early detection, and maximizing quality care and support. Visit alz.org or call 800.272.3900.
- Kristen George, PhD, MPH, et al. Cardiovascular risk factors in adolescence and adulthood and late-life cognition: Study of healthy aging in African Americans (STAR). (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Adina Zeki Al Hazzouri, PhD, et al. Association of early life BMI with dementia risk: Findings from a pooled cohort analysis. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
- Justina Avila-Rieger, et al. Relationship between state-level administrative school quality data, years of education, cognitive decline, and dementia risk. (Funder(s): U.S. National Institute on Aging)
Hikvision รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563
Hikvision ผู้นำด้านโซลูชัน IoT ซึ่งมีจุดแข็งด้านกล้องวงจรปิด รายงานผลประกอบการทางการเงินประจำครึ่งปีแรกของปี 2563 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทมีรายได้ 2.427 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 1.45% เมื่อเทียบรายปี (YoY) และมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้น 4.62 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.66% เมื่อเทียบรายปี
รายได้ของ Hikvision ในตลาดต่างประเทศเติบโตแข็งแกร่ง คิดเป็นมูลค่ารวม 7.54 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.63% เมื่อเทียบรายปี
จากการที่ต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่ปกติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 Hikvision ได้ปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้บริษัทเอาชนะความท้าทายและเดินหน้าพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง Hikvision จะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรของบริษัทอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อคงไว้ซึ่งการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพ ตลอดจนสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า และสร้างความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนให้กับชุมชนทั่วโลก
สามารถดูรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 ฉบับเต็มได้ที่ https://www.hikvision.com/content/dam/hikvision/en/brochures/hikvision-financial-report/Hikvision-2020-Half-Year-Report.pdf
เกี่ยวกับ Hikvision
Hikvision คือผู้นำด้านโซลูชัน IoT ซึ่งมีจุดแข็งด้านกล้องวงจรปิด บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีทักษะสูงและมีความรู้กว้างขวาง บริษัทผลิตโซลูชันและผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อรองรับตลาด Verticals ที่หลากหลาย โดยนอกเหนือจากอุตสาหกรรมการรักษาความปลอดภัยแล้ว Hikvision ยังขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม และระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของบริษัทอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ของ Hikvision มอบคุณสมบัติการวิเคราะห์ธุรกิจอันทรงพลังให้แก่ผู้ใช้งาน ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประสบความสำเร็จทางการค้ามากขึ้น Hikvision ยึดมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดของผลิตภัณฑ์ จึงสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มากมายที่บริษัทได้นำเสนอ ซึ่งรวมถึงศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของบริษัท สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hikvision.com
Pearl Abyss ดำเนินการแข่งขัน "Shadow Arena Regional Cup – Asia" รอบตัดสิน
บริษัท Pearl Abyss ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการแข่งขันในรอบคัดเลือกทั้งหมด 40 ท่าน และมีกำหนดการดำเนินการแข่งขันรอบตัดสินในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 นี้
หลังผ่านการต่อสู้อันดุเดือดของเหล่าวีรชน รวมไปถึงการโจมตีของมังกรแดง อาวุธโบราณเลเทน อาวุธโบราณพูทูรุม และอื่นๆ อีกมากมาย การแข่งขัน "Shadow Arena Regional Cup – Asia" รอบคัดเลือกในวันที่ 22 และ 29 กรกฎาคม 2563 ก็ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย และทางทีมงานได้ทำการจัดกลุ่มสำหรับการแข่งขันรอบตัดสินกลุ่มละ 10 ท่าน รวมทั้งหมด 40 ท่าน ซึ่งมีผู้ที่ได้รับชัยชนะจากการแข่งขันครั้งก่อนรวมอยู่ด้วย
การแข่งขันในรอบตัดสินมีกำหนดการที่จะดำเนินการในเซิร์ฟเวอร์เฉพาะสำหรับการแข่งขัน ในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 15.00 น. (ตามเวลา GMT+9) โดยการแข่งขันได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 รอบ ซึ่งจะทำการตัดสินและจัดอันดับจากผลรวมของคะแนนอันดับ คะแนนการกำจัดผู้เล่น และอื่นๆ ที่ผู้เล่นได้รับในแต่ละรอบ และในกรณีที่ผู้เล่นมีผลคะแนนรวมเท่ากัน ทางทีมงานจะทำการตัดสินและจัดอันดับจากผลคะแนนในรอบสุดท้าย
ท่านสามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขัน "Shadow Arena Regional Cup – Asia" รอบตัดสินได้ ผ่านทาง Twitch และแพลตฟอร์มของประเทศจีน Douyu TV
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ, Discord, Facebook, YouTube และ Twitter
เกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss
บริษัท Pearl Abyss ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 และได้พัฒนาเกม Black Desert เกมรูปแบบ MMORPG บน PC, มือถือ และคอนโซล ต่อเนื่องด้วยเกม Shadow Arena บน PC และคอนโซล ซึ่งล้วนเป็นเกมที่มีคุณภาพระดับโลก พร้อมกราฟิกที่สวยงามตระการตา ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ทุกกอย่างในเกมถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือและโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัท และในปัจจุบันก็กำลังพัฒนาเกมต่างๆ อีกมากมาย เช่น Crimson Desert, DokeV และ PLAN 8 บวกกับความพยายามที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดเกม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss ได้ที่ www.pearlabyss.com
หลังผ่านการต่อสู้อันดุเดือดของเหล่าวีรชน รวมไปถึงการโจมตีของมังกรแดง อาวุธโบราณเลเทน อาวุธโบราณพูทูรุม และอื่นๆ อีกมากมาย การแข่งขัน "Shadow Arena Regional Cup – Asia" รอบคัดเลือกในวันที่ 22 และ 29 กรกฎาคม 2563 ก็ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย และทางทีมงานได้ทำการจัดกลุ่มสำหรับการแข่งขันรอบตัดสินกลุ่มละ 10 ท่าน รวมทั้งหมด 40 ท่าน ซึ่งมีผู้ที่ได้รับชัยชนะจากการแข่งขันครั้งก่อนรวมอยู่ด้วย
การแข่งขันในรอบตัดสินมีกำหนดการที่จะดำเนินการในเซิร์ฟเวอร์เฉพาะสำหรับการแข่งขัน ในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 15.00 น. (ตามเวลา GMT+9) โดยการแข่งขันได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 รอบ ซึ่งจะทำการตัดสินและจัดอันดับจากผลรวมของคะแนนอันดับ คะแนนการกำจัดผู้เล่น และอื่นๆ ที่ผู้เล่นได้รับในแต่ละรอบ และในกรณีที่ผู้เล่นมีผลคะแนนรวมเท่ากัน ทางทีมงานจะทำการตัดสินและจัดอันดับจากผลคะแนนในรอบสุดท้าย
ท่านสามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขัน "Shadow Arena Regional Cup – Asia" รอบตัดสินได้ ผ่านทาง Twitch และแพลตฟอร์มของประเทศจีน Douyu TV
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ, Discord, Facebook, YouTube และ Twitter
เกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss
บริษัท Pearl Abyss ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 และได้พัฒนาเกม Black Desert เกมรูปแบบ MMORPG บน PC, มือถือ และคอนโซล ต่อเนื่องด้วยเกม Shadow Arena บน PC และคอนโซล ซึ่งล้วนเป็นเกมที่มีคุณภาพระดับโลก พร้อมกราฟิกที่สวยงามตระการตา ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ทุกกอย่างในเกมถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือและโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัท และในปัจจุบันก็กำลังพัฒนาเกมต่างๆ อีกมากมาย เช่น Crimson Desert, DokeV และ PLAN 8 บวกกับความพยายามที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดเกม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท Pearl Abyss ได้ที่ www.pearlabyss.com
Pearl Abyss Announces "Shadow Arena Regional Cup - Asia" Final Round Playoffs
Pearl Abyss announced today that the "Shadow Arena Regional Cup - Asia" final round playoffs will soon begin. After surviving merciless group preliminaries, 40 players have emerged victorious, and will advance to the final round to be held on August 1.
The group preliminaries took place on July 22 and July 29, where a total of 40 players, including the former winner "Kangchohan", were able to make it through to the playoffs. The appearance of various creatures such as the Red Dragon, Layten, and Puturum, only added further excitement to these preliminary matches.
The playoffs will be held on August 1 at 3pm (KST) on an exclusive Tournament Server. Players' ranks will be determined by the total number of points earned over the course of 4 rounds. In the case of a tie, the players' points from the last round will determine which of them is the winner.
All matches of the playoffs will be broadcast live via Twitch and the Chinese video platform Doyu TV.
Visit the official website, Discord, Facebook, YouTube, and Twitter for more information.
About Pearl Abyss
Best known for the MMORPG franchise Black Desert, Pearl Abyss is a leading developer in the game industry. Established in 2010, Pearl Abyss has since developed Black Desert for PC, mobile, and console, and is developing Shadow Arena for PC and console. All of Pearl Abyss' games are built on the company's own proprietary engine and are renowned for their cutting-edge graphics. The company is also developing Crimson Desert, DokeV, and PLAN 8 and is poised to continue its growth through 2020 and maintain its position as one of Asia's leaders in game development. More information about Pearl Abyss is available at: www.pearlabyss.com
The group preliminaries took place on July 22 and July 29, where a total of 40 players, including the former winner "Kangchohan", were able to make it through to the playoffs. The appearance of various creatures such as the Red Dragon, Layten, and Puturum, only added further excitement to these preliminary matches.
The playoffs will be held on August 1 at 3pm (KST) on an exclusive Tournament Server. Players' ranks will be determined by the total number of points earned over the course of 4 rounds. In the case of a tie, the players' points from the last round will determine which of them is the winner.
All matches of the playoffs will be broadcast live via Twitch and the Chinese video platform Doyu TV.
Visit the official website, Discord, Facebook, YouTube, and Twitter for more information.
About Pearl Abyss
Best known for the MMORPG franchise Black Desert, Pearl Abyss is a leading developer in the game industry. Established in 2010, Pearl Abyss has since developed Black Desert for PC, mobile, and console, and is developing Shadow Arena for PC and console. All of Pearl Abyss' games are built on the company's own proprietary engine and are renowned for their cutting-edge graphics. The company is also developing Crimson Desert, DokeV, and PLAN 8 and is poised to continue its growth through 2020 and maintain its position as one of Asia's leaders in game development. More information about Pearl Abyss is available at: www.pearlabyss.com
Premium Networks Build Differentiated Competitiveness for Carriers
Huawei hosted the "Premium Networks, Better Digital World" session at Better World Summit 2020. During this online session, global carriers, IDC analyst, and Huawei discussed how carriers can differentiate their services and improve networks to ensure businesses thrive.
Differentiated networks will be a competitive edge for carriers
The rapid digitalization of the ICT industry, along with the wider deployment of 5G, growth of online education during the recent global health epidemic, and public cloud, have put greater pressure on network infrastructure. Gary Lu, President of Huawei's Network Marketing & Solution Sales Dept, said: "Industrial digitalization will accelerate in the next 5 years, and individuals, homes, and enterprises will also be more demanding of the services they receive. We think it's better for carriers to replace best-effort services with differentiated services that have guaranteed SLAs. That's how they can monetize network values and stand out from competitors."
Matt Eastwood, Senior Vice President of IDC, delivered a speech on the topic of "Digital Transformation and Its Impact of Scale and Automation". He stated that carriers should plan and build future target networks based on the key architecture index (KAI) model to prepare for industry digital transformation.
Embracing F5G, Fiber is Gold Future
Richard Jin, President of Huawei's Transmission and Access Network Product Line, said: "Fiber is gold. Fiber is future. Fiber to everywhere. Optical connectivity underpins optimal service experience. Huawei's AirPON solution helps mobile carriers efficiently build FTTH networks to deploy ubiquitous optical connections. eAI ONTs and OLTs with distributed intelligence increases carriers' revenues and reduce churn rate by ensuring optimal E2E experience of home services. OTN premium private line solution improves the quality of connectivity for many enterprises with premium networking and cloud services, and helps the carriers to better address enterprise market."
Lv Pin, Vice President of China Telecom Anhui, shared some use cases of premium Wi-Fi and e-guarding for smart homes. Meanwhile, Cai Weiwen, Board Director and Vice President of China Mobile Guangdong, shared all-optical innovations and commercial use cases of Cloud VR, optics TV (OTV), OTN premium private networks, and 5G services for high-speed trains. These technologies combine to build a better communication platform for the Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area.
All-service intelligent IP network with guaranteed SLAs
IP networks are at the heart of the 5G and cloud era and need to support high-quality all-service transmission. Kevin Hu, President of Huawei's Data Communication Product Line, said: "In the 5G and cloud era, the IP network needs to achieve high bandwidth and availability, going beyond the best-effort consumer transport network to become a production transport network with guaranteed SLAs. Accordingly, Huawei is launching NetEngine 8000 series routers designed for an IP network featuring ultra-broadband, intelligent connectivity and O&M. This will meet the 5G service requirements during enterprise cloudification, thereby boosting the business growth of carriers."
Luo Rui, Vice President of China Telecom Ningxia, spoke about applying Huawei's intelligent IP private line solution into FIRST private networks for government, healthcare, and education users, implementing seamless connection between high-quality networks and clouds. Faruk Ekici, Head of Turkcell's Transport Network Planning, talked about the construction of a converged and programmable 5G-ready IP transport network, and looked into further leadership with next-generation IP technologies.
iMaster NCE accelerating FBB network autonomy for agile business
We are heading to a fully connected, intelligent world. Network automation and intelligence are indispensable for premium experience and all-service transmission. David Lu, President of Huawei's General Development Dept, pointed out that: "Autonomous networks are highly recognized by the standards agencies and the goal for carriers' transformation. Huawei iMaster NCE, an FBB-oriented intelligent management and control system, focuses on 5G and F5G value scenarios and gradually implements automatic, self-healing, and self-optimized autonomous networks. iMaster NCE guarantees optimal SLA before, during, and after sales. Furthermore, it utilizes AI and big data technologies to implement proactive O&M, which translates into higher O&M efficiency and better network operation quality."
Premium networks open up brand new opportunities for carriers. Let's work together to seize these opportunities, and create a better digital world that delivers value for all.
Differentiated networks will be a competitive edge for carriers
The rapid digitalization of the ICT industry, along with the wider deployment of 5G, growth of online education during the recent global health epidemic, and public cloud, have put greater pressure on network infrastructure. Gary Lu, President of Huawei's Network Marketing & Solution Sales Dept, said: "Industrial digitalization will accelerate in the next 5 years, and individuals, homes, and enterprises will also be more demanding of the services they receive. We think it's better for carriers to replace best-effort services with differentiated services that have guaranteed SLAs. That's how they can monetize network values and stand out from competitors."
Matt Eastwood, Senior Vice President of IDC, delivered a speech on the topic of "Digital Transformation and Its Impact of Scale and Automation". He stated that carriers should plan and build future target networks based on the key architecture index (KAI) model to prepare for industry digital transformation.
Embracing F5G, Fiber is Gold Future
Richard Jin, President of Huawei's Transmission and Access Network Product Line, said: "Fiber is gold. Fiber is future. Fiber to everywhere. Optical connectivity underpins optimal service experience. Huawei's AirPON solution helps mobile carriers efficiently build FTTH networks to deploy ubiquitous optical connections. eAI ONTs and OLTs with distributed intelligence increases carriers' revenues and reduce churn rate by ensuring optimal E2E experience of home services. OTN premium private line solution improves the quality of connectivity for many enterprises with premium networking and cloud services, and helps the carriers to better address enterprise market."
Lv Pin, Vice President of China Telecom Anhui, shared some use cases of premium Wi-Fi and e-guarding for smart homes. Meanwhile, Cai Weiwen, Board Director and Vice President of China Mobile Guangdong, shared all-optical innovations and commercial use cases of Cloud VR, optics TV (OTV), OTN premium private networks, and 5G services for high-speed trains. These technologies combine to build a better communication platform for the Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area.
All-service intelligent IP network with guaranteed SLAs
IP networks are at the heart of the 5G and cloud era and need to support high-quality all-service transmission. Kevin Hu, President of Huawei's Data Communication Product Line, said: "In the 5G and cloud era, the IP network needs to achieve high bandwidth and availability, going beyond the best-effort consumer transport network to become a production transport network with guaranteed SLAs. Accordingly, Huawei is launching NetEngine 8000 series routers designed for an IP network featuring ultra-broadband, intelligent connectivity and O&M. This will meet the 5G service requirements during enterprise cloudification, thereby boosting the business growth of carriers."
Luo Rui, Vice President of China Telecom Ningxia, spoke about applying Huawei's intelligent IP private line solution into FIRST private networks for government, healthcare, and education users, implementing seamless connection between high-quality networks and clouds. Faruk Ekici, Head of Turkcell's Transport Network Planning, talked about the construction of a converged and programmable 5G-ready IP transport network, and looked into further leadership with next-generation IP technologies.
iMaster NCE accelerating FBB network autonomy for agile business
We are heading to a fully connected, intelligent world. Network automation and intelligence are indispensable for premium experience and all-service transmission. David Lu, President of Huawei's General Development Dept, pointed out that: "Autonomous networks are highly recognized by the standards agencies and the goal for carriers' transformation. Huawei iMaster NCE, an FBB-oriented intelligent management and control system, focuses on 5G and F5G value scenarios and gradually implements automatic, self-healing, and self-optimized autonomous networks. iMaster NCE guarantees optimal SLA before, during, and after sales. Furthermore, it utilizes AI and big data technologies to implement proactive O&M, which translates into higher O&M efficiency and better network operation quality."
Premium networks open up brand new opportunities for carriers. Let's work together to seize these opportunities, and create a better digital world that delivers value for all.
INC ออกสัมภาษณ์ทีมผู้บริหาร มุ่งสืบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโรคโควิด-19 และอุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้ง
อุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้งพิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในขณะที่ทั่วโลกยังคงรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 International Nut and Dried Fruit Council (INC) ได้ติดต่อบรรดาผู้บริหารระดับสูงหลายราย เพื่อขอสัมภาษณ์และรับฟังมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบที่การแพร่ระบาดมีต่ออุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้ง
คำตอบหนึ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้ตอบเหมือนกันมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้งได้เผชิญกับความท้าทายหลายอย่างจากโควิด-19 อย่างไรก็ดี ยังมีเหตุผลอีกมากที่เรามองอนาคตในทางที่ดีได้ โดยคุณ Behrooz Agah จาก Agah Group ในอิหร่าน และผู้เป็นทูต INC ประจำอิหร่าน กล่าวว่า “การส่งเสริมและการตระหนักรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในภาคส่วนนี้ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไป” น่าจะมีความสำคัญมากขึ้นภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และในทำนองเดียวกัน ที่ประเทศจีน คุณ Chen Qi จาก QiaQia Food และสมาชิกคณะกรรมการจัดการของ INC กล่าวว่า “เนื่องจากผู้บริโภคอยากสุขภาพดีกันมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้จึงจะเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน”
คุณ Pratap Nair จาก Vijayalaxmi Cashew Company ในอินเดีย และสมาชิกคณะกรรมการบริหารของ INC กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของเรา จะมีความเข้มแข็งในการเอาชนะความท้าทายนี้”
ในทำนองเดียวกัน คุณ Jan Vincent Rieckmann จาก August Toepfer ในเยอรมนี และคุณ Roby Danon จาก Voicevale ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการจัดการของ INC ทั้งคู่ ต่างแสดงความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต
คุณ Ashok Krishen จาก Olam Singapore และรองประธานกรรมการของ INC กล่าวเสริมว่า “พฤติกรรมและความเคยชินของผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง และเราจะจำเป็นต้องพร้อมรับกับความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปให้ทัน”
ดูบทความฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของ INC
เกี่ยวกับ INC
INC คือองค์กรระดับนานาชาติที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมการผลิตถั่วและผลไม้อบแห้ง สมาชิกขององค์กรประกอบด้วยบริษัทผู้ผลิตถั่วและผลไม้อบแห้งกว่า 800 แห่ง จากกว่า 75 ประเทศ สมาชิกของ INC ครองส่วนแบ่งกว่า 85% ของมูลค่าการซื้อขายถั่วและผลไม้อบแห้งหน้าฟาร์มทั่วโลก INC มีพันธกิจในการกระตุ้นและสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตถั่วและผลไม้อบแห้งทั่วโลกเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ INC ยังเป็นองค์กรชั้นนำด้านสุขภาพ โภชนาการ สถิติ ความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงข้อกำหนดและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับถั่วและผลไม้อบแห้ง
ในขณะที่ทั่วโลกยังคงรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 International Nut and Dried Fruit Council (INC) ได้ติดต่อบรรดาผู้บริหารระดับสูงหลายราย เพื่อขอสัมภาษณ์และรับฟังมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบที่การแพร่ระบาดมีต่ออุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้ง
คำตอบหนึ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้ตอบเหมือนกันมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมถั่วและผลไม้อบแห้งได้เผชิญกับความท้าทายหลายอย่างจากโควิด-19 อย่างไรก็ดี ยังมีเหตุผลอีกมากที่เรามองอนาคตในทางที่ดีได้ โดยคุณ Behrooz Agah จาก Agah Group ในอิหร่าน และผู้เป็นทูต INC ประจำอิหร่าน กล่าวว่า “การส่งเสริมและการตระหนักรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในภาคส่วนนี้ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไป” น่าจะมีความสำคัญมากขึ้นภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และในทำนองเดียวกัน ที่ประเทศจีน คุณ Chen Qi จาก QiaQia Food และสมาชิกคณะกรรมการจัดการของ INC กล่าวว่า “เนื่องจากผู้บริโภคอยากสุขภาพดีกันมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้จึงจะเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน”
คุณ Pratap Nair จาก Vijayalaxmi Cashew Company ในอินเดีย และสมาชิกคณะกรรมการบริหารของ INC กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของเรา จะมีความเข้มแข็งในการเอาชนะความท้าทายนี้”
ในทำนองเดียวกัน คุณ Jan Vincent Rieckmann จาก August Toepfer ในเยอรมนี และคุณ Roby Danon จาก Voicevale ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการจัดการของ INC ทั้งคู่ ต่างแสดงความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต
คุณ Ashok Krishen จาก Olam Singapore และรองประธานกรรมการของ INC กล่าวเสริมว่า “พฤติกรรมและความเคยชินของผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง และเราจะจำเป็นต้องพร้อมรับกับความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปให้ทัน”
ดูบทความฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของ INC
เกี่ยวกับ INC
INC คือองค์กรระดับนานาชาติที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมการผลิตถั่วและผลไม้อบแห้ง สมาชิกขององค์กรประกอบด้วยบริษัทผู้ผลิตถั่วและผลไม้อบแห้งกว่า 800 แห่ง จากกว่า 75 ประเทศ สมาชิกของ INC ครองส่วนแบ่งกว่า 85% ของมูลค่าการซื้อขายถั่วและผลไม้อบแห้งหน้าฟาร์มทั่วโลก INC มีพันธกิจในการกระตุ้นและสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตถั่วและผลไม้อบแห้งทั่วโลกเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ INC ยังเป็นองค์กรชั้นนำด้านสุขภาพ โภชนาการ สถิติ ความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงข้อกำหนดและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับถั่วและผลไม้อบแห้ง
Magniflex เปิดตัว “MagniProtect” ชุดเครื่องนอนป้องกันไวรัสโควิด-19 ครั้งแรกของโลก
เทคโนโลยีสุดล้ำที่พัฒนาโดย Magniflex มีคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียและไวรัสบนเนื้อผ้า และผ่านการทดสอบการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19
จากความพยายามของฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Made in Italy ของ Magniflex ก่อเกิดเป็นชุดเครื่องนอนชุดแรกที่ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากห้องปฏิบัติการอิสระทั้งในอิตาลีและต่างประเทศ
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก และการปกป้องสุขภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ Magniflex บริษัทชั้นนำจากอิตาลีที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปีด้านการผลิตที่นอนและชุดเครื่องนอน จึงภูมิใจนำเสนอ “MagniProtect” ชุดเครื่องนอนชุดแรกที่ผ่านการรับรองด้านการป้องกันไวรัสและแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไวรัส SARS-CoV-2
MagniProtect ออกแบบและผลิตในอิตาลี 100% โดยใช้เทคโนโลยีสุดล้ำที่พัฒนาโดย Magniflex ซึ่งสามารถยับยั้งการเติบโตและการดำรงอยู่ของแบคทีเรียและไวรัสบนเนื้อผ้า อันเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่าง lipid viral core neutralisation agent กับตัวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนได้อย่างมาก
การทดสอบเมื่อไม่นานมานี้โดยสภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี (CNR) และมหาวิทยาลัยปิซา รวมถึงการวิจัยอิสระในห้องปฏิบัติการหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ยืนยันถึงประสิทธิภาพของ MagniProtect ในการป้องกันไวรัส SARS-COV-2 โดยสามารถกำจัดไวรัสบนเนื้อผ้าได้กว่า 99% ภายใน 60 นาที
นับเป็นครั้งแรกที่มีการทดสอบในลักษณะนี้กับชุดเครื่องนอน และผ่านการทดสอบด้วย
MagniProtect ผ่านการทดสอบ AATCC100, ISO 20743:2013 และ ISO 18184:2019 (ผลิตภัณฑ์สิ่งทอป้องกันแบคทีเรียและไวรัส) ทั้งยังได้รับการรับรอง OEKO-TEX(R) "STANDARD 100"/Classe1 (ปลอดสารที่เป็นพิษและเป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม) และการรับรอง "Step" (ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีความยั่งยืน)
ชุดเครื่องนอน MagniProtect ประกอบด้วยที่นอน แผ่นรองที่นอน และหมอน โดยสามารถสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ รวมถึงที่ร้าน Magniflex และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.magniflex.com
Magniflex ก่อตั้งขึ้นในเมืองทัสคานีช่วงทศวรรษ 1960 ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจทั่วโลกและมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 4,000 ราย ใน 99 ประเทศ Magniflex ออกแบบและผลิตที่นอน ฐานรองที่นอน หมอน และชุดเครื่องนอนที่ผสานนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และสไตล์อิตาลีเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ การพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม การใส่ใจในสุขภาพ และการเคารพสิ่งแวดล้อม คือค่านิยมหลักขององค์กร Magniflex ส่งความสุขแห่ง “การนอนหลับสไตล์อิตาลี” ไปทั่วโลกทุกวัน
โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/1220966/Magniflex_Logo.jpg
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1220967/MagniProtect_Mattress.jpg
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ Magniflex Press Office - Aida Partners / Giada Mentegari อีเมล: giada.mentegari@aidapartners.com โทร. +393487960835 นักธุรกิจกรุณาติดต่อ อีเมล: info@magniflex.com
จากความพยายามของฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Made in Italy ของ Magniflex ก่อเกิดเป็นชุดเครื่องนอนชุดแรกที่ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากห้องปฏิบัติการอิสระทั้งในอิตาลีและต่างประเทศ
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก และการปกป้องสุขภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ Magniflex บริษัทชั้นนำจากอิตาลีที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปีด้านการผลิตที่นอนและชุดเครื่องนอน จึงภูมิใจนำเสนอ “MagniProtect” ชุดเครื่องนอนชุดแรกที่ผ่านการรับรองด้านการป้องกันไวรัสและแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไวรัส SARS-CoV-2
MagniProtect ออกแบบและผลิตในอิตาลี 100% โดยใช้เทคโนโลยีสุดล้ำที่พัฒนาโดย Magniflex ซึ่งสามารถยับยั้งการเติบโตและการดำรงอยู่ของแบคทีเรียและไวรัสบนเนื้อผ้า อันเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่าง lipid viral core neutralisation agent กับตัวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนได้อย่างมาก
การทดสอบเมื่อไม่นานมานี้โดยสภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี (CNR) และมหาวิทยาลัยปิซา รวมถึงการวิจัยอิสระในห้องปฏิบัติการหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ยืนยันถึงประสิทธิภาพของ MagniProtect ในการป้องกันไวรัส SARS-COV-2 โดยสามารถกำจัดไวรัสบนเนื้อผ้าได้กว่า 99% ภายใน 60 นาที
นับเป็นครั้งแรกที่มีการทดสอบในลักษณะนี้กับชุดเครื่องนอน และผ่านการทดสอบด้วย
MagniProtect ผ่านการทดสอบ AATCC100, ISO 20743:2013 และ ISO 18184:2019 (ผลิตภัณฑ์สิ่งทอป้องกันแบคทีเรียและไวรัส) ทั้งยังได้รับการรับรอง OEKO-TEX(R) "STANDARD 100"/Classe1 (ปลอดสารที่เป็นพิษและเป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม) และการรับรอง "Step" (ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีความยั่งยืน)
ชุดเครื่องนอน MagniProtect ประกอบด้วยที่นอน แผ่นรองที่นอน และหมอน โดยสามารถสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ รวมถึงที่ร้าน Magniflex และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.magniflex.com
Magniflex ก่อตั้งขึ้นในเมืองทัสคานีช่วงทศวรรษ 1960 ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจทั่วโลกและมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 4,000 ราย ใน 99 ประเทศ Magniflex ออกแบบและผลิตที่นอน ฐานรองที่นอน หมอน และชุดเครื่องนอนที่ผสานนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และสไตล์อิตาลีเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ การพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม การใส่ใจในสุขภาพ และการเคารพสิ่งแวดล้อม คือค่านิยมหลักขององค์กร Magniflex ส่งความสุขแห่ง “การนอนหลับสไตล์อิตาลี” ไปทั่วโลกทุกวัน
โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/1220966/Magniflex_Logo.jpg
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1220967/MagniProtect_Mattress.jpg
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ Magniflex Press Office - Aida Partners / Giada Mentegari อีเมล: giada.mentegari@aidapartners.com โทร. +393487960835 นักธุรกิจกรุณาติดต่อ อีเมล: info@magniflex.com
MagniProtect by Magniflex: the world's first antiviral sleep collection tested against COVID-19 is Made in Italy
The innovative technology developed by Magniflex inhibits the persistence of bacteria and viruses on fabrics and has been specifically tested against SARS-COV-2.
From Magniflex's Made in Italy research and innovation department, the first sleep collection whose effectiveness has been certified by independent Italian and international laboratories.
We're going through hard times, in which the health's protection is one of the top priorities. That's why Magniflex, a leading Italian company with over 50 years of experience in mattresses and sleeping accessories manufacturing, is proud to introduce MagniProtect, the first sleep collection with certified antiviral and antibacterial action, that has been specifically tested against SARS-COV-2.
100% designed and manufactured in Italy, MagniProtect applies an innovative technology developed by Magniflex able to inhibit the growth and persistence of bacteria and viruses on fabrics thanks to the combined action of a lipid viral core neutralisation agent and a bacterial and viral replication inhibitor, which prevent and greatly reduces the risk of contamination.
Recent tests conducted by the Italian Consiglio Nazionale delle Ricerche (CNR) and the University of Pisa – as well as independent researches in US laboratories on common bacteria and flu viruses – have confirmed the specific effectiveness of MagniProtect against SARS-COV-2 (responsible for COVID-19 infection), with the successful elimination of over 99% of the virus on fabrics within 60 minutes.
This is the first time that this kind of tests have been carried out, and passed – on a sleep product.
MagniProtect has passed the AATCC100, ISO 20743:2013 and ISO 18184:2019 tests (antibacterial and antiviral activity of textile products) and has obtained OEKO-TEX(R) "STANDARD 100"/Classe1 (absence of substances that are toxic and harmful to people and the environment) and "Step" (Sustainable Textile Production) certifications.
The MagniProtect collection includes mattresses, toppers and pillows and is available for online purchase as well as at all Magniflex stores and retailers around the world. Find more on www.magniflex.com
Founded in Tuscany in the 1960s and now having a global presence with over 4000 distributors in 99 international countries, Magniflex designs and manufactures mattresses, bed bases, pillows and sleeping accessories that combine innovation, performance and Italian style. Excellent rest, focus on well-being and respect for the environment are the key corporate values. Every day, Magniflex exports the pleasure of "sleeping Made in Italy" all over the world.
Logo: https://mma.prnewswire.com/media/1220966/Magniflex_Logo.jpg
Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1220967/MagniProtect_Mattress.jpg
Media inquires: Magniflex Press Office - Aida Partners / Giada Mentegari, giada.mentegari@aidapartners.com, +393487960835, Commercial inquires: info@magniflex.com
From Magniflex's Made in Italy research and innovation department, the first sleep collection whose effectiveness has been certified by independent Italian and international laboratories.
We're going through hard times, in which the health's protection is one of the top priorities. That's why Magniflex, a leading Italian company with over 50 years of experience in mattresses and sleeping accessories manufacturing, is proud to introduce MagniProtect, the first sleep collection with certified antiviral and antibacterial action, that has been specifically tested against SARS-COV-2.
100% designed and manufactured in Italy, MagniProtect applies an innovative technology developed by Magniflex able to inhibit the growth and persistence of bacteria and viruses on fabrics thanks to the combined action of a lipid viral core neutralisation agent and a bacterial and viral replication inhibitor, which prevent and greatly reduces the risk of contamination.
Recent tests conducted by the Italian Consiglio Nazionale delle Ricerche (CNR) and the University of Pisa – as well as independent researches in US laboratories on common bacteria and flu viruses – have confirmed the specific effectiveness of MagniProtect against SARS-COV-2 (responsible for COVID-19 infection), with the successful elimination of over 99% of the virus on fabrics within 60 minutes.
This is the first time that this kind of tests have been carried out, and passed – on a sleep product.
MagniProtect has passed the AATCC100, ISO 20743:2013 and ISO 18184:2019 tests (antibacterial and antiviral activity of textile products) and has obtained OEKO-TEX(R) "STANDARD 100"/Classe1 (absence of substances that are toxic and harmful to people and the environment) and "Step" (Sustainable Textile Production) certifications.
The MagniProtect collection includes mattresses, toppers and pillows and is available for online purchase as well as at all Magniflex stores and retailers around the world. Find more on www.magniflex.com
Founded in Tuscany in the 1960s and now having a global presence with over 4000 distributors in 99 international countries, Magniflex designs and manufactures mattresses, bed bases, pillows and sleeping accessories that combine innovation, performance and Italian style. Excellent rest, focus on well-being and respect for the environment are the key corporate values. Every day, Magniflex exports the pleasure of "sleeping Made in Italy" all over the world.
Logo: https://mma.prnewswire.com/media/1220966/Magniflex_Logo.jpg
Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1220967/MagniProtect_Mattress.jpg
Media inquires: Magniflex Press Office - Aida Partners / Giada Mentegari, giada.mentegari@aidapartners.com, +393487960835, Commercial inquires: info@magniflex.com
TAICCA และ CATCHPLAY ประกาศร่วมลงทุนใน SCREENWORKS ASIA เพื่อสร้างศูนย์ผลิตคอนเทนต์ของไต้หวัน
เพื่อผลักดันคอนเทนต์ออริจินัลของไต้หวันให้ไกลขึ้น Taiwan Creative Content Agency (TAICCA) และ CATCHPLAY ได้ประกาศร่วมลงทุนใน SCREENWORKS ASIA Ltd. เพื่อผลิตคอนเทนต์ออริจินัลของไต้หวันให้มากขึ้นสำหรับผู้ชมต่างประเทศ การลงทุนร่วมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของการผลิตคอนเทนต์ด้านความบันเทิง ตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่แพลตฟอร์มสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่มีจุดมุ่งหมายทำให้ไต้หวันเป็นมหาอำนาจด้านคอนเทนต์ของเอเชีย
CATCHPLAY เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศระดับชั้นนำของไต้หวัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง La La Land, Green Book และ Parasite และมีบริการสตรีมมิ่ง CATCHPLAY+ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการด้านคอนเทนต์ดิจิทัลเพียงไม่กี่รายที่ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยมีผู้ใช้งานกว่า 6 ล้านคนทั่วไต้หวัน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปีในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ CATCHPLAY ดำเนินการลงทุนด้านภาพยนตร์ที่น่าทึ่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเงินทุนแก่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เช่น The Revenant, Assassin's Creed และ Silence ของผู้กำกับชื่อดังอย่างมาร์ติน สกอร์เซซี่ และ 20 Once Again ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตกับ CJ Entertainment ของเกาหลี และเมื่อปี 2562 CATCHPLAY ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ HBO Asia ของ Warner Media ได้จัดจำหน่ายละครซีรีส์ไต้หวันเรื่องแรกอย่าง The World Between Us และกลายเป็นซีรีส์ภาษาจีนกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปีนั้น
Hsiao-Ching TING ประธาน TAICCA กล่าวว่า "ด้วยเครือข่ายการจัดจำหน่ายของเราเอง รวมถึงประสบการณ์ในการลงทุนด้านการผลิตทั่วโลก CATCHPLAY เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์จากต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ดังนั้น สำหรับการลงทุนด้านการพัฒนาภาพยนตร์ไต้หวัน TAICCA หวังที่จะใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายระหว่างประเทศของ CATCHPLAY และปรับเปลี่ยนแนวทางเดิมที่ยืนหยัดมายาวนาน ด้วยการส่งออกภาพยนตร์ที่ผลิตเองของไต้หวันไปยังต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ "สากลวิวัตน์" และ "การสร้างแบรนด์" ขององค์กร อีกทั้ง TAICCA ยังตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับ CATCHPLAY ในการวางรากฐานคอนเทนต์ออริจินัลของไต้หวันเพื่อผนวกรวมเข้ากับตลาดโลก เพื่อทำให้ไต้หวันเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ออริจินัลที่มีอิทธิพลของโลก"
"เราเคยทำตามกฎของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ระหว่างประเทศ เพื่อนำเข้าคอนเทนต์ดี ๆ จากต่างประเทศมาสู่ผู้ชมชาวไต้หวัน ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ประสบการณ์ของเราจากตลาดต่างประเทศเพื่อเผยแพร่งานออริจินัลของไต้หวันแก่สายตาชาวโลก" Daphne YANG ซีอีโอของ CATCHPLAY กล่าว "เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ TAICCA สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวและศักยภาพในทีมของเรา เราหวังว่าการเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้จะช่วยอุตสาหกรรมภาพยนตร์และรายการทีวีของไต้หวันสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล"
เป้าหมายหลักของ SCREENWORKS ASIA จะเป็นการผลิตและจัดจำหน่ายคอนเทนต์ออริจินัลด้านความบันเทิงระดับพรีเมียมของไต้หวันที่มุ่งเจาะกลุ่มผู้ชมต่างประเทศ SCREENWORKS ASIA คัดเลือกหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจในระดับสากลเพื่อนำไปพัฒนาต่อ โดยมุ่งเน้นที่ภาพยนตร์ มินิซีรีส์ และความบันเทิงที่มีเนื้อหาของข้อเท็จจริง (factual entertainment) เพื่อขึ้นฉายที่โรงภาพยนตร์ ออกอากาศทางทีวี และบริการสตรีมมิ่ง ด้วยการสร้าง IP ทั่วโลกที่หลากหลายและข้ามอุตสาหกรรมเป็นเป้าหมายระยะยาว
โปรเจกต์แรกของ SCREENWORKS ASIA ที่ประกาศออกมา ได้แก่ The Making of An Ordinary Woman II ซึ่งเป็นภาคต่อของหนึ่งในซีรีส์ภาษาจีนกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปี 2562 โดยซีรีส์ The Making of An Ordinary Woman และ The World Between US ได้รับการขนานนามว่าเป็นซีรีส์ภาษาจีนกลางท็อป 2 ของปี 2562 ที่คว้าเรทติ้ง 8.6 และ 9.2 ตามลำดับจาก IMDb ซึ่งเป็นบริการจัดเรทติ้งคอนเทนต์นานาชาติชั้นนำ ทั้งยังเข้าถึงผู้ชมหลายร้อยล้านคนในเอเชียและทั่วโลก ซีรีส์ทั้งสองมีต้นกำเนิดมาจากไต้หวันและถูกนำมาฉายใน CATCHPLAY+ แล้ว ขณะเดียวกัน SCREENWORKS ASIA ยังประกาศออกมาอีก 5 โปรเจกต์ที่เตรียมถ่ายทำ โดย 2 โปรเจกต์จะเริ่มต้นในฤดูร้อนนี้
นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีที่ผ่านมา TAICCA ได้ทุ่มเทให้กับ IP ที่มีศักยภาพโดดเด่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการต่อยอด หนึ่งในนั้นคือ The Method of Breathing หนังสั้นด้านศิลปะการต่อสู้ของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Yi LIU และเป็นโปรเจกต์ระดับรางวัลที่ถูกคัดเลือกเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วจาก Taipei Golden Horse Film Project Promotion ซึ่งถูกนำมาพัฒนาอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มที่จัดตั้งขึ้นโดย TAICCA และเข้าร่วมใน IP Showcase ที่เทศกาล European Film Market ปีนี้ในกรุงเบอร์ลิน นอกจากนี้ SCREENWORKS ASIA จะนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เพื่อสร้างเวทีสำหรับอุตสาหกรรมคอนเทนต์และครีเอเตอร์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
TAICCA ใช้กองทุนพัฒนาเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเติมเต็มช่องว่างของอุตสาหกรรม ซึ่งเข้ามาสร้างระบบนิเวศสำหรับภาพยนตร์ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับไต้หวันอย่างเป็นระบบ TAICCA จะยังคงเดินหน้าร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อต้อนรับผู้ร่วมลงทุนรายใหม่สำหรับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมของไต้หวันต่อไป
จากซ้ายไปขวา: Karen Tang ผู้จัดการทั่วไปของ Screenworks, Daphne Yang ซีอีโอของ CATCHPLAY Group, Hsiao-Ching TING ประธานกรรมการ TAICCA และ Lolita Ching-Fang HU ประธานบริหารของ TAICCA |
CATCHPLAY เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศระดับชั้นนำของไต้หวัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง La La Land, Green Book และ Parasite และมีบริการสตรีมมิ่ง CATCHPLAY+ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการด้านคอนเทนต์ดิจิทัลเพียงไม่กี่รายที่ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยมีผู้ใช้งานกว่า 6 ล้านคนทั่วไต้หวัน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปีในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ CATCHPLAY ดำเนินการลงทุนด้านภาพยนตร์ที่น่าทึ่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเงินทุนแก่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เช่น The Revenant, Assassin's Creed และ Silence ของผู้กำกับชื่อดังอย่างมาร์ติน สกอร์เซซี่ และ 20 Once Again ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตกับ CJ Entertainment ของเกาหลี และเมื่อปี 2562 CATCHPLAY ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ HBO Asia ของ Warner Media ได้จัดจำหน่ายละครซีรีส์ไต้หวันเรื่องแรกอย่าง The World Between Us และกลายเป็นซีรีส์ภาษาจีนกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปีนั้น
Hsiao-Ching TING ประธาน TAICCA กล่าวว่า "ด้วยเครือข่ายการจัดจำหน่ายของเราเอง รวมถึงประสบการณ์ในการลงทุนด้านการผลิตทั่วโลก CATCHPLAY เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์จากต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ดังนั้น สำหรับการลงทุนด้านการพัฒนาภาพยนตร์ไต้หวัน TAICCA หวังที่จะใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายระหว่างประเทศของ CATCHPLAY และปรับเปลี่ยนแนวทางเดิมที่ยืนหยัดมายาวนาน ด้วยการส่งออกภาพยนตร์ที่ผลิตเองของไต้หวันไปยังต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ "สากลวิวัตน์" และ "การสร้างแบรนด์" ขององค์กร อีกทั้ง TAICCA ยังตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับ CATCHPLAY ในการวางรากฐานคอนเทนต์ออริจินัลของไต้หวันเพื่อผนวกรวมเข้ากับตลาดโลก เพื่อทำให้ไต้หวันเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ออริจินัลที่มีอิทธิพลของโลก"
สนับสนุนด้านเงินทุนของ Screenworks และทีมงานสำหรับโปรเจกต์ต่อไป |
เป้าหมายหลักของ SCREENWORKS ASIA จะเป็นการผลิตและจัดจำหน่ายคอนเทนต์ออริจินัลด้านความบันเทิงระดับพรีเมียมของไต้หวันที่มุ่งเจาะกลุ่มผู้ชมต่างประเทศ SCREENWORKS ASIA คัดเลือกหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจในระดับสากลเพื่อนำไปพัฒนาต่อ โดยมุ่งเน้นที่ภาพยนตร์ มินิซีรีส์ และความบันเทิงที่มีเนื้อหาของข้อเท็จจริง (factual entertainment) เพื่อขึ้นฉายที่โรงภาพยนตร์ ออกอากาศทางทีวี และบริการสตรีมมิ่ง ด้วยการสร้าง IP ทั่วโลกที่หลากหลายและข้ามอุตสาหกรรมเป็นเป้าหมายระยะยาว
โปรเจกต์แรกของ SCREENWORKS ASIA ที่ประกาศออกมา ได้แก่ The Making of An Ordinary Woman II ซึ่งเป็นภาคต่อของหนึ่งในซีรีส์ภาษาจีนกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปี 2562 โดยซีรีส์ The Making of An Ordinary Woman และ The World Between US ได้รับการขนานนามว่าเป็นซีรีส์ภาษาจีนกลางท็อป 2 ของปี 2562 ที่คว้าเรทติ้ง 8.6 และ 9.2 ตามลำดับจาก IMDb ซึ่งเป็นบริการจัดเรทติ้งคอนเทนต์นานาชาติชั้นนำ ทั้งยังเข้าถึงผู้ชมหลายร้อยล้านคนในเอเชียและทั่วโลก ซีรีส์ทั้งสองมีต้นกำเนิดมาจากไต้หวันและถูกนำมาฉายใน CATCHPLAY+ แล้ว ขณะเดียวกัน SCREENWORKS ASIA ยังประกาศออกมาอีก 5 โปรเจกต์ที่เตรียมถ่ายทำ โดย 2 โปรเจกต์จะเริ่มต้นในฤดูร้อนนี้
นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีที่ผ่านมา TAICCA ได้ทุ่มเทให้กับ IP ที่มีศักยภาพโดดเด่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการต่อยอด หนึ่งในนั้นคือ The Method of Breathing หนังสั้นด้านศิลปะการต่อสู้ของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Yi LIU และเป็นโปรเจกต์ระดับรางวัลที่ถูกคัดเลือกเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วจาก Taipei Golden Horse Film Project Promotion ซึ่งถูกนำมาพัฒนาอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มที่จัดตั้งขึ้นโดย TAICCA และเข้าร่วมใน IP Showcase ที่เทศกาล European Film Market ปีนี้ในกรุงเบอร์ลิน นอกจากนี้ SCREENWORKS ASIA จะนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เพื่อสร้างเวทีสำหรับอุตสาหกรรมคอนเทนต์และครีเอเตอร์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
TAICCA ใช้กองทุนพัฒนาเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเติมเต็มช่องว่างของอุตสาหกรรม ซึ่งเข้ามาสร้างระบบนิเวศสำหรับภาพยนตร์ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับไต้หวันอย่างเป็นระบบ TAICCA จะยังคงเดินหน้าร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อต้อนรับผู้ร่วมลงทุนรายใหม่สำหรับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมของไต้หวันต่อไป
Hotel Elcient Osaka to Open in Sonezaki, Osaka, in Summer 2020
Hotel Elcient Osaka will open in Sonezaki, Osaka, on August 1, 2020. It is accessible directly from KIX Airport to JR Osaka Station, which is within walking distance. In addition, it has great access to Kyoto, Nara, Kobe and Wakayama, making it an ideal location for visiting UNESCO World Heritage sites and tourist attractions. The Sonezaki area is famous as a vibrant "gourmet town" that symbolizes Osaka where local foodies come to eat.
(Photos: https://kyodonewsprwire.jp/release/202007222329?p=images)
There are diverse sightseeing and entertainment places to enjoy the perfect mixture of modern pop culture and ancient spirituality. Experience traditional performing arts such as Ningyo Joruri, Rakugo, Kabuki and Noh.
Upon leaving the hotel, guests will find Tsuyu no Tenjinjya or Ohatsutenjin, a very popular spiritual spot that has a history of over 1,300 years. Tsuyu no Tenjinjya is the stage of "Sonezaki Shinju (Double Suicide of Sonezaki)," a representative pure love story (true story), which has been continuing since the Edo period. Guests can rejuvenate their mind and body at the shrine.
All experiences here will satisfy the senses and keep guests entertained, prompting them to want more.
Kazuya Shintani, General Manager of Hotel Elcient Osaka, commented: "We appreciate healthcare workers, local communities, and governments everywhere who face the difficult challenge of responding to COVID-19, working on the front lines to contain it. We will not be able to open Hotel Elcient Osaka without them. We will remain vigilant on the COVID-19 situation and take appropriate steps. Precautions are in place to ensure a healthy stay for our guests."
About Hotel Elcient
Hotel Elcient is located in Kyoto and Hotel Elcient Osaka due to open in Sonezaki is the second Elcient brand hotel. Based on the concept of "Exploring the local beauty of the area with ELCIENT," Hotel Elcient offers hospitality and service to help guests experience and love the beauty of "Sonezaki." Hotel Elcient Kyoto features 562 Japanese-style guest rooms while Hotel Elcient Osaka features 253 stylish, earth-colored rooms. Both have a large bath with a sauna. Hotel Elcient is within walking distance from main stations, a perfect location for both leisure and business.
Hotel Elcient Osaka/Kyoto: https://www.elcient.com/en/
Promotion Video (YouTube): https://bit.ly/39ip0M8
Source: Hotel Elcient Osaka
(Photos: https://kyodonewsprwire.jp/release/202007222329?p=images)
There are diverse sightseeing and entertainment places to enjoy the perfect mixture of modern pop culture and ancient spirituality. Experience traditional performing arts such as Ningyo Joruri, Rakugo, Kabuki and Noh.
Upon leaving the hotel, guests will find Tsuyu no Tenjinjya or Ohatsutenjin, a very popular spiritual spot that has a history of over 1,300 years. Tsuyu no Tenjinjya is the stage of "Sonezaki Shinju (Double Suicide of Sonezaki)," a representative pure love story (true story), which has been continuing since the Edo period. Guests can rejuvenate their mind and body at the shrine.
All experiences here will satisfy the senses and keep guests entertained, prompting them to want more.
Kazuya Shintani, General Manager of Hotel Elcient Osaka, commented: "We appreciate healthcare workers, local communities, and governments everywhere who face the difficult challenge of responding to COVID-19, working on the front lines to contain it. We will not be able to open Hotel Elcient Osaka without them. We will remain vigilant on the COVID-19 situation and take appropriate steps. Precautions are in place to ensure a healthy stay for our guests."
About Hotel Elcient
Hotel Elcient is located in Kyoto and Hotel Elcient Osaka due to open in Sonezaki is the second Elcient brand hotel. Based on the concept of "Exploring the local beauty of the area with ELCIENT," Hotel Elcient offers hospitality and service to help guests experience and love the beauty of "Sonezaki." Hotel Elcient Kyoto features 562 Japanese-style guest rooms while Hotel Elcient Osaka features 253 stylish, earth-colored rooms. Both have a large bath with a sauna. Hotel Elcient is within walking distance from main stations, a perfect location for both leisure and business.
Hotel Elcient Osaka/Kyoto: https://www.elcient.com/en/
Promotion Video (YouTube): https://bit.ly/39ip0M8
Source: Hotel Elcient Osaka
“หัวเว่ย” แนะผู้ให้บริการใช้เครือข่ายพรีเมี่ยมที่แตกต่างเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด
หัวเว่ย จัดกิจกรรมเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “Premium Networks, Better Digital World” ที่งาน Better World Summit 2020 โดยเชิญชวนผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือระดับโลก นักวิเคราะห์ IDC มาร่วมหารือกับหัวเว่ยถึงวิธีการที่เหล่าผู้ให้บริการจะสามารถปรับปรุงเครือข่ายและยกระดับบริการของตนให้แตกต่าง เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ต่อไป
เครือข่ายที่แตกต่างจะเป็นจุดแข็งสำหรับการแข่งขันของเหล่าผู้ให้บริการ
การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมสารสนเทศ รวมถึงการพัฒนาที่กว้างขึ้นของ 5G การเติบโตของการศึกษาออนไลน์ในช่วงที่เกิดโรคระบาดเมื่อไม่นานมานี้ ตลอดจนเรื่องของคลาวด์สาธารณะ ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน Gary Lu ประธานแผนก Network Marketing & Solution Sales ของหัวเว่ย กล่าวว่า “การผลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นดิจิทัลจะเร็วขึ้นในปี 5 ปีข้างหน้า ผู้คน บ้านพักอาศัย และบริษัทต่าง ๆ จะมีความต้องการในบริการที่พวกเขาได้รับมากยิ่งขึ้น เราจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่าสำหรับเหล่าผู้ให้บริการในการมอบบริการที่แตกต่างและสามารถรับประกันมาตรฐานได้ เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาสามารถสร้างรายได้จากมูลค่าเครือข่ายและความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง”
Matt Eastwood รองประธานอาวุโสของ IDC ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "Digital Transformation and Its Impact of Scale and Automation" โดยระบุว่า ผู้ให้บริการควรวางแผนและสร้างเป้าหมายเครือข่ายในอนาคต โดยอิงจากโมเดลดัชนีสถาปัตยกรรมหลัก (KAI) เพื่อเตรียมตัวสู่การผลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นดิจิทัล
เปิดรับ F5G ใยแก้วคือทองคำแห่งอนาคต
Richard Jin ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์สื่อสารและเข้าถึงเครือข่ายของหัวเว่ย กล่าวว่า “ใยแก้วคือทองคำ ใยแก้วคืออนาคต ใยแก้วมีอยู่ทุกที่ และการเชื่อมต่อผ่านใยแก้วนำแสงนั้นก็คือประสบการณ์การใช้งานขั้นสูงสุด โซลูชัน AirPON ของหัวเว่ยช่วยให้เหล่าผู้ให้บริการสามารถสร้างเครือข่าย FTTH ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อติดตั้งการเชื่อมต่อผ่านใยแก้วในทุกหนแห่ง ซึ่งทั้ง eAI ONT และ OLT รวมถึงการกระจายความชาญฉลาดจะช่วยเพิ่มรายได้แก่ผู้ให้บริการ และลดอัตราการเสียลูกค้าผ่านประสบการณ์แห่งบริการภายในบ้านแบบ E2E ขั้นสูงสุดที่มีความแน่นอน ในขณะที่โซลูชัน OTN แบบพรีเมี่ยมจะช่วยยกระดับคุณภาพของการเชื่อมต่อในหลายองค์กร ผ่านเครือข่ายพรีเมี่ยมและบริการคลาวด์ เพื่อให้ผู้บริการเข้าถึงตลาดองค์กรได้มากขึ้น”
นอกจากนี้ Lv Pin รองประธานบริษัท China Telecom Anhui ยังมาร่วมกันแบ่งปันความคิดเห็นกรณีการนำพรีเมี่ยม Wi-Fi และ e-guarding มาใช้ในบ้านอัจฉริยะ ขณะเดียวกัน Cai Weiwen ผู้อำนวยการคณะกรรมการและรองประธานบริษัท China Mobile Guangdong ก็มาร่วมพูดคุยถึงนวัตกรรมใยแก้วและการนำคลาวด์เสมือนจริงมาใช้ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการใช้งานโทรทัศน์ใยแก้ว (OTV), OTN, เครือข่ายส่วนตัวแบบพรีเมี่ยม และบริการ 5G บนรถไฟความเร็วสูง ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ดีกว่าในเขตพื้นที่อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-และมาเก๊า
IP อัจฉริยะครอบคลุมทุกบริการภายใต้มาตรฐาน SLA
เครือข่าย IP คือหัวใจของยุคแห่ง 5G และคลาวด์ ที่มีความต้องการรองรับบริการสื่อสารแบบครอบคลุมคุณภาพสูง โดย Kevin Hu ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์การสื่อสารข้อมูลของหัวเว่ย กล่าวว่า “ในยุคของ 5G และคลาวด์ เครือข่าย IP จำเป็นต้องมีแบนด์วิดท์สูงและเข้าถึงได้ แซงหน้าเครือข่ายผู้บริโภคที่เน้นความเร็ว เพื่อกลายเป็นเครือข่ายขนส่งการผลิตที่สามารถรับประกันคุณภาพได้ หัวเว่ยจึงกำลังจะเปิดตัวเราเตอร์ในซีรีส์ NetEngine 8000 ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับเครือข่าย IP บรอดแบนด์ขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่ออันชาญฉลาด และ O&M เพื่อมาตอบสนองความต้องการของบริการ 5G ในระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้ายสู่ระบบคลาวด์ขององค์กรต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจของผู้ให้บริการเครือข่ายเติบโตยิ่งขึ้น”
Luo Rui รองประธานบริษัท China Telecom Ningxia กล่าวถึงการนำโซลูชัน IP สายส่วนตัวอันชาญฉลาดของหัวเว่ยมาใช้ร่วมกับเครือข่ายส่วนตัวแห่งแรกสำหรับผู้ใช้ในภาครัฐ ภาคสาธารณสุข และภาคการศึกษา เพื่อการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ ระหว่างเครือข่ายและคลาวด์คุณภาพสูง ขณะที่ Faruk Ekici หัวหน้าฝ่ายวางแผนเครือข่ายขนส่งของ Turkcell ได้กล่าวถึง การสร้างเครือข่ายขนส่ง IP ที่รองรับ 5G แบบบรรจบและสามารถตั้งโปรแกรมได้ ตลอดจนการมองลึกลงไปถึงความเป็นผู้นำด้วยเทคโนโลยี IP ยุคใหม่
iMaster NCE ขับเคลื่อนเครือข่ายอิสระ FBB เพื่อธุรกิจที่คล่องตัว
พวกเรากำลังมุ่งสู่โลกที่เชื่อมต่อถึงกันและมีความชาญฉลาดอย่างเต็มตัว ดังนั้นการทำให้เครือข่ายสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาดนั้น ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับประสบการณ์ระดับพรีเมี่ยม และบริการสื่อสารครบวงจร David Lu ประธานฝ่ายพัฒนาทั่วไปของหัวเว่ย กล่าวว่า “เครือข่ายอิสระเป็นที่ยอมรับอย่างดีในหน่วยงานมาตรฐาน และถือเป็นเป้าหมายของการพลิกโฉมผู้ให้บริการ ด้วยเหตุนี้ Huawei iMaster NCE ซึ่งเป็นระบบควบคุมและการจัดการเชิง FBB อันชาญฉลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า 5G และ F5G จึงกำลังวางเครือข่ายอิสระที่สามารถทำงาน รักษา และปรับแต่งได้ด้วยตนเอง โดย iMaster NCE รับประกันมาตรฐานการใช้งานทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการขาย นอกจากนี้ ยังใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีบิ๊กดาต้า เพื่อให้บริการ O&M ในเชิงรุก ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพบริการ O&M ที่สูงกว่า และคุณภาพการทำงานของเครือข่ายที่ดีกว่า”
เครือข่ายพรีเมี่ยมจะสร้างโอกาสใหม่แก่ผู้ให้บริการ ร่วมกันคว้าโอกาสนี้ไว้ และสร้างโลกดิจิทัลที่ดีกว่าเพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200730/2871959-1
เครือข่ายที่แตกต่างจะเป็นจุดแข็งสำหรับการแข่งขันของเหล่าผู้ให้บริการ
การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมสารสนเทศ รวมถึงการพัฒนาที่กว้างขึ้นของ 5G การเติบโตของการศึกษาออนไลน์ในช่วงที่เกิดโรคระบาดเมื่อไม่นานมานี้ ตลอดจนเรื่องของคลาวด์สาธารณะ ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน Gary Lu ประธานแผนก Network Marketing & Solution Sales ของหัวเว่ย กล่าวว่า “การผลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นดิจิทัลจะเร็วขึ้นในปี 5 ปีข้างหน้า ผู้คน บ้านพักอาศัย และบริษัทต่าง ๆ จะมีความต้องการในบริการที่พวกเขาได้รับมากยิ่งขึ้น เราจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่าสำหรับเหล่าผู้ให้บริการในการมอบบริการที่แตกต่างและสามารถรับประกันมาตรฐานได้ เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาสามารถสร้างรายได้จากมูลค่าเครือข่ายและความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง”
Matt Eastwood รองประธานอาวุโสของ IDC ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "Digital Transformation and Its Impact of Scale and Automation" โดยระบุว่า ผู้ให้บริการควรวางแผนและสร้างเป้าหมายเครือข่ายในอนาคต โดยอิงจากโมเดลดัชนีสถาปัตยกรรมหลัก (KAI) เพื่อเตรียมตัวสู่การผลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่ความเป็นดิจิทัล
เปิดรับ F5G ใยแก้วคือทองคำแห่งอนาคต
Richard Jin ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์สื่อสารและเข้าถึงเครือข่ายของหัวเว่ย กล่าวว่า “ใยแก้วคือทองคำ ใยแก้วคืออนาคต ใยแก้วมีอยู่ทุกที่ และการเชื่อมต่อผ่านใยแก้วนำแสงนั้นก็คือประสบการณ์การใช้งานขั้นสูงสุด โซลูชัน AirPON ของหัวเว่ยช่วยให้เหล่าผู้ให้บริการสามารถสร้างเครือข่าย FTTH ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อติดตั้งการเชื่อมต่อผ่านใยแก้วในทุกหนแห่ง ซึ่งทั้ง eAI ONT และ OLT รวมถึงการกระจายความชาญฉลาดจะช่วยเพิ่มรายได้แก่ผู้ให้บริการ และลดอัตราการเสียลูกค้าผ่านประสบการณ์แห่งบริการภายในบ้านแบบ E2E ขั้นสูงสุดที่มีความแน่นอน ในขณะที่โซลูชัน OTN แบบพรีเมี่ยมจะช่วยยกระดับคุณภาพของการเชื่อมต่อในหลายองค์กร ผ่านเครือข่ายพรีเมี่ยมและบริการคลาวด์ เพื่อให้ผู้บริการเข้าถึงตลาดองค์กรได้มากขึ้น”
นอกจากนี้ Lv Pin รองประธานบริษัท China Telecom Anhui ยังมาร่วมกันแบ่งปันความคิดเห็นกรณีการนำพรีเมี่ยม Wi-Fi และ e-guarding มาใช้ในบ้านอัจฉริยะ ขณะเดียวกัน Cai Weiwen ผู้อำนวยการคณะกรรมการและรองประธานบริษัท China Mobile Guangdong ก็มาร่วมพูดคุยถึงนวัตกรรมใยแก้วและการนำคลาวด์เสมือนจริงมาใช้ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการใช้งานโทรทัศน์ใยแก้ว (OTV), OTN, เครือข่ายส่วนตัวแบบพรีเมี่ยม และบริการ 5G บนรถไฟความเร็วสูง ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ดีกว่าในเขตพื้นที่อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-และมาเก๊า
IP อัจฉริยะครอบคลุมทุกบริการภายใต้มาตรฐาน SLA
เครือข่าย IP คือหัวใจของยุคแห่ง 5G และคลาวด์ ที่มีความต้องการรองรับบริการสื่อสารแบบครอบคลุมคุณภาพสูง โดย Kevin Hu ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์การสื่อสารข้อมูลของหัวเว่ย กล่าวว่า “ในยุคของ 5G และคลาวด์ เครือข่าย IP จำเป็นต้องมีแบนด์วิดท์สูงและเข้าถึงได้ แซงหน้าเครือข่ายผู้บริโภคที่เน้นความเร็ว เพื่อกลายเป็นเครือข่ายขนส่งการผลิตที่สามารถรับประกันคุณภาพได้ หัวเว่ยจึงกำลังจะเปิดตัวเราเตอร์ในซีรีส์ NetEngine 8000 ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับเครือข่าย IP บรอดแบนด์ขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่ออันชาญฉลาด และ O&M เพื่อมาตอบสนองความต้องการของบริการ 5G ในระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้ายสู่ระบบคลาวด์ขององค์กรต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจของผู้ให้บริการเครือข่ายเติบโตยิ่งขึ้น”
Luo Rui รองประธานบริษัท China Telecom Ningxia กล่าวถึงการนำโซลูชัน IP สายส่วนตัวอันชาญฉลาดของหัวเว่ยมาใช้ร่วมกับเครือข่ายส่วนตัวแห่งแรกสำหรับผู้ใช้ในภาครัฐ ภาคสาธารณสุข และภาคการศึกษา เพื่อการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ ระหว่างเครือข่ายและคลาวด์คุณภาพสูง ขณะที่ Faruk Ekici หัวหน้าฝ่ายวางแผนเครือข่ายขนส่งของ Turkcell ได้กล่าวถึง การสร้างเครือข่ายขนส่ง IP ที่รองรับ 5G แบบบรรจบและสามารถตั้งโปรแกรมได้ ตลอดจนการมองลึกลงไปถึงความเป็นผู้นำด้วยเทคโนโลยี IP ยุคใหม่
iMaster NCE ขับเคลื่อนเครือข่ายอิสระ FBB เพื่อธุรกิจที่คล่องตัว
พวกเรากำลังมุ่งสู่โลกที่เชื่อมต่อถึงกันและมีความชาญฉลาดอย่างเต็มตัว ดังนั้นการทำให้เครือข่ายสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาดนั้น ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับประสบการณ์ระดับพรีเมี่ยม และบริการสื่อสารครบวงจร David Lu ประธานฝ่ายพัฒนาทั่วไปของหัวเว่ย กล่าวว่า “เครือข่ายอิสระเป็นที่ยอมรับอย่างดีในหน่วยงานมาตรฐาน และถือเป็นเป้าหมายของการพลิกโฉมผู้ให้บริการ ด้วยเหตุนี้ Huawei iMaster NCE ซึ่งเป็นระบบควบคุมและการจัดการเชิง FBB อันชาญฉลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า 5G และ F5G จึงกำลังวางเครือข่ายอิสระที่สามารถทำงาน รักษา และปรับแต่งได้ด้วยตนเอง โดย iMaster NCE รับประกันมาตรฐานการใช้งานทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการขาย นอกจากนี้ ยังใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีบิ๊กดาต้า เพื่อให้บริการ O&M ในเชิงรุก ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพบริการ O&M ที่สูงกว่า และคุณภาพการทำงานของเครือข่ายที่ดีกว่า”
เครือข่ายพรีเมี่ยมจะสร้างโอกาสใหม่แก่ผู้ให้บริการ ร่วมกันคว้าโอกาสนี้ไว้ และสร้างโลกดิจิทัลที่ดีกว่าเพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200730/2871959-1
Thursday, July 30, 2020
KIIT Deemed to be University ให้เด็กในรัฐโอริสสาที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโควิดเรียนหนังสือฟรี
ภุพเนศวร อินเดีย--29 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านและสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศอินเดียและรัฐโอริสสา ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งนี้ KIIT ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในรัฐโอริสสาเสมอมา และยังคงยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในรัฐโอริสสาในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขัดขวางและทำลายวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของผู้คนในรัฐโอริสสา ด้วยเหตุนี้ KIIT Deemed to be University (KIIT-DU) จึงยื่นมือช่วยเหลือครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด โดย KIIT-DU ตัดสินใจให้เด็กในรัฐโอริสสาที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโควิดเข้าศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ตามข้อเสนอของ Dr. Achyuta Samanta ผู้ก่อตั้ง KIIT และ KISS
บุตรของผู้เสียชีวิตจากโควิดในรัฐโอริสสาสามารถสมัครเรียนอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิศวกรรมศาสตร์ หากมีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าหน้าที่จาก KIIT ระบุว่าความช่วยเหลือดังกล่าวจะมีผลสองปีการศึกษา คือปีการศึกษา 2563-2564 และ 2564-2565 โดยจะพิจารณาเด็กประเภท BPL, SC, ST และ SEBC เป็นพิเศษ ความช่วยเหลือนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวโอริสสาซึ่งขาดที่พึ่งในยามนี้
KIIT เป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวในอินเดียและต่างประเทศที่ให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้แก่ครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด
นอกจากนี้ KIIT Deemed to be University ยังเปิดโรงพยาบาลรักษาโรคโควิด 4 แห่งในรัฐโอริสสา ซึ่งมีเตียง 1,200 เตียง ห้องดูแลผู้ป่วยหนักกว่า 200 ห้อง และให้บริการมานาน 5 เดือน ขณะเดียวกัน KIIT ยังเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับโควิดในรัฐโอริสสา ด้วยการจัดหาอาหารและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และช่วยดูแลสัตว์นับตั้งแต่มีการประกาศล็อกดาวน์
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ
Dr. Shradhanjali Nayak
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์
KIIT Deemed to be University
อีเมล: shradhanjali@kiit.ac.in
โทร: +91-674-2725636
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านและสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศอินเดียและรัฐโอริสสา ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งนี้ KIIT ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในรัฐโอริสสาเสมอมา และยังคงยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในรัฐโอริสสาในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขัดขวางและทำลายวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของผู้คนในรัฐโอริสสา ด้วยเหตุนี้ KIIT Deemed to be University (KIIT-DU) จึงยื่นมือช่วยเหลือครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด โดย KIIT-DU ตัดสินใจให้เด็กในรัฐโอริสสาที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโควิดเข้าศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ตามข้อเสนอของ Dr. Achyuta Samanta ผู้ก่อตั้ง KIIT และ KISS
บุตรของผู้เสียชีวิตจากโควิดในรัฐโอริสสาสามารถสมัครเรียนอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิศวกรรมศาสตร์ หากมีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าหน้าที่จาก KIIT ระบุว่าความช่วยเหลือดังกล่าวจะมีผลสองปีการศึกษา คือปีการศึกษา 2563-2564 และ 2564-2565 โดยจะพิจารณาเด็กประเภท BPL, SC, ST และ SEBC เป็นพิเศษ ความช่วยเหลือนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวโอริสสาซึ่งขาดที่พึ่งในยามนี้
KIIT เป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวในอินเดียและต่างประเทศที่ให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้แก่ครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด
นอกจากนี้ KIIT Deemed to be University ยังเปิดโรงพยาบาลรักษาโรคโควิด 4 แห่งในรัฐโอริสสา ซึ่งมีเตียง 1,200 เตียง ห้องดูแลผู้ป่วยหนักกว่า 200 ห้อง และให้บริการมานาน 5 เดือน ขณะเดียวกัน KIIT ยังเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับโควิดในรัฐโอริสสา ด้วยการจัดหาอาหารและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และช่วยดูแลสัตว์นับตั้งแต่มีการประกาศล็อกดาวน์
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ
Dr. Shradhanjali Nayak
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์
KIIT Deemed to be University
อีเมล: shradhanjali@kiit.ac.in
โทร: +91-674-2725636
Hikvision releases 2020 H1 financial results
Hikvision, an IoT solution provider with video as its core competency, has released its financial results for the first half of 2020. During the period, Hikvision generated a revenue of RMB 24.27 billion with a year-over-year (YoY) increase of 1.45%, and net profits attributable to shareholders of the company was RMB 4.62 billion, reflecting a YoY growth of 9.66%.
Hikvision's revenue in overseas markets achieved solid growth, amounting to RMB 7.54 billion, with a YoY growth of 8.63%.
Having encountered unusual global social and economic conditions in the first half of 2020, Hikvision adapted its operations and succeeded in making technological innovations meet customers' needs, which helped to overcome challenges and keep development steady. Hikvision will continuously work closely with its partners to maintain stable operations, create value for customers, and build more safety, efficiency and sustainability for communities around the world.
For the full 2020 H1 financial report, please visit here.
About Hikvision
Hikvision is an IoT solution provider with video as its core competency. Featuring an extensive and highly skilled R&D workforce, Hikvision manufactures a full suite of comprehensive products and solutions for a broad range of vertical markets. In addition to the security industry, Hikvision extends its reach to smart home tech, industrial automation, and automotive electronics industries to achieve its long-term vision. Hikvision products also provide powerful business intelligence for end users, which can enable more efficient operations and greater commercial success. Committed to the utmost quality and safety of its products, Hikvision encourages partners to take advantage of the many cybersecurity resources Hikvision offers, including the Hikvision Cybersecurity Centre. For more information, please visit us at www.hikvision.com.
Photo - https://photos.prnasia.com/ prnh/20200730/2871957-1-a
Photo - https://photos.prnasia.com/ prnh/20200730/2871957-1-b
Photo - https://photos.prnasia.com/
Caption: Hikvision 2020 H1 Financial Results
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์เผยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และปอดบวมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์
ชิคาโก--29 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ผลวิจัยใหม่ล่าสุดที่เผยแพร่ในการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ หรือ Alzheimer's Association International Conference(R) (AAIC(R)) 2020 ระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และปอดบวมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
ข้อมูลสำคัญจาก 3 การวิจัยที่เปิดเผยในการประชุม AAIC 2020 มีดังนี้
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หนึ่งครั้งทำให้อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ลดลง 17% และการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่บ่อยกว่านั้นทำให้อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ลดลงอีก 13%
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมให้ผู้สูงวัยอายุ 65-75 ปี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์สูงสุด 40% ขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน
- ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังติดเชื้อสูงกว่า (6 เท่า) เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม (3 เท่า)
“วัคซีนเป็นสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในวงการสาธารณสุขท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราจำเป็นต้องศึกษาประโยชน์ของวัคซีนทั้งในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย และการยกระดับการดูแลสุขภาพในระยะยาว” ดร.มาเรีย ซี คาร์ริลโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ กล่าว
“การฉีดวัคซีนเป็นการดูแลสุขภาพง่าย ๆ แต่ได้ประโยชน์หลายทาง หนึ่งในนั้นคือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม” ดร.คาร์ริลโล กล่าว “การวิจัยนี้กระตุ้นให้เกิดการวิจัยทางคลินิกเพิ่มเติมที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายมากขึ้น เพื่อยืนยันว่าการฉีดวัคซีนเป็นกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อมีอายุมากขึ้น”
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอาจลดการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์
ผลวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนอาจมีคุณสมบัติในการป้องกันการเสื่อมถอยของสมอง แต่ยังไม่มีการศึกษาขนาดใหญ่และครอบคลุมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์โดยเฉพาะ เพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว อัลเบิร์ต อัมราน นักศึกษาแพทย์จาก McGovern Medical School at The University of Texas Health Science Center at Houston และทีมงาน ได้ทำการศึกษาชุดข้อมูลบันทึกสุขภาพของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล (n=9,066)
อัมรานและทีมงานพบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หนึ่งครั้งทำให้ความชุกของโรคอัลไซเมอร์ลดลง (odds ratio 0.83, p<0.0001) และในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่บ่อยกว่านั้นยิ่งมีความชุกของโรคอัลไซเมอร์ลดลงอีก (odds ratio 0.87, p=0.0342) ดังนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่า โดยช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลงได้เกือบ 6% ในผู้ป่วยอายุ 75-84 ปี เป็นเวลา 16 ปี
คณะนักวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์เชิงป้องกันระหว่างวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มีความชัดเจนที่สุดในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครั้งแรกเร็วกว่า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกเมื่ออายุ 60 ปี ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกเมื่ออายุ 70 ปี
“การศึกษาของเราบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีราคาถูกและเข้าถึงง่ายมาก อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ” อัมรานกล่าว “เราจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาการทำงานของกลไกทางชีวภาพในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในขณะที่เรากำลังศึกษาหาวิธีการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่มีประสิทธิภาพ”
วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในช่วงบั้นปลายชีวิต
การนำวัคซีนที่มีอยู่แล้วมาใช้ประโยชน์อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ดร.สเวตลานา ยูเครนเซวา รองศาสตราจารย์วิจัยประจำ Biodemography of Aging Research Unit (BARU) at Duke University Social Science Research Institute และทีมงาน ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซันป้องกันโรคปอดบวมอย่างเดียวหรือฉีดร่วมกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 5,146 คน ในการศึกษา Cardiovascular Health Study นอกจากนั้นยังมีการพิจารณายีนเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ นั่นคือ TOMM40 rs2075650 G allele
คณะนักวิจัยพบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมระหว่างอายุ 65-75 ปี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ 25-30% หลังปรับข้อมูลเพศ เชื้อชาติ การเกิด การศึกษา การสูบบุหรี่ และจำนวน G alleles โดยพบว่าความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลดลงมากที่สุด (สูงสุด 40%) ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไม่มียีนเสี่ยง นอกจากนี้ จำนวนครั้งในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยอายุระหว่าง 65-75 ปี ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ที่ลดลง อย่างไรก็ดี ไม่พบผลลัพธ์ดังกล่าวในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเดียว
“การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมก่อนอายุ 75 ปีอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในช่วงบั้นปลายชีวิต ขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน” ดร.ยูเครนเซวา กล่าว “ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมอาจเป็นความหวังในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มียีนเสี่ยง”
การติดเชื้อทำให้ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น
ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมักมีอาการเจ็บป่วยอื่นร่วมด้วย เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการวิจัยเพิ่มมากขึ้นเพื่อศึกษาว่าการติดเชื้ออาจแย่ลง เป็นอันตรายต่อชีวิตมากขึ้น หรือก่อให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือไม่
เจเน็ต แจนเบ็ค นักศึกษาปริญญาเอกจาก Danish Dementia Research Centre, Rigshospitalet and the University of Copenhagen ในเดนมาร์ก และทีมงาน ใช้ข้อมูลจากทะเบียนข้อมูลสุขภาพแห่งชาติเพื่อศึกษาการเสียชีวิตของประชากรชาวเดนมาร์กอายุ 65 ปีขึ้นไป (n=1,496,436) ซึ่งไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ โดยพบว่าผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและมีอาการติดเชื้อ มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมและไม่มีอาการติดเชื้อถึง 6.5 เท่า ส่วนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมอย่างเดียวหรือติดเชื้ออย่างเดียวมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า 3 เท่า โดยอัตราการเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วง 30 วันแรกหลังไปโรงพยาบาล
คณะนักวิจัยพบว่า ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมยังคงมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด 10 ปีหลังไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ และอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อทั้งหมด (ตั้งแต่การติดเชื้อรุนแรงอย่างการติดเชื้อในกระแสเลือด ไปจนถึงการติดเชื้อเล็กน้อยอย่างการติดเชื้อในหู) สูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ได้ไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ
“การศึกษาของเราตอกย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาความสัมพันธ์เหล่านี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดการติดเชื้อจึงมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงและกลไกทางชีวภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของการติดเชื้อที่มีต่อภาวะสมองเสื่อม” คุณแจนเบ็คกล่าว
“การศึกษาของเราบ่งชี้ว่า ระบบดูแลสุขภาพ รวมถึงญาติของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม ควรตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมที่มีการติดเชื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่จำเป็น ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมต้องการการรักษาเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยอาการที่ไม่เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม และดูเหมือนเป็นอาการติดเชื้อที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม” คุณแจนเบ็คกล่าวเสริม
เกี่ยวกับการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (AAIC) เป็นการประชุมเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ โดยนักวิจัยจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม รวมถึงให้การสนับสนุนชุมชนนักวิจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- โฮมเพจของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/
- ห้องข่าวของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- แฮชแท็ก AAIC 2020: #AAIC20
เกี่ยวกับสมาคมโรคอัลไซเมอร์
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นองค์กรอาสาสมัครด้านสุขภาพชั้นนำของโลก ซึ่งอุทิศตนให้กับการดูแลรักษา การสนับสนุน และการวิจัยโรคอัลไซเมอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการกำจัดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมให้หมดไป ด้วยการสนับสนุนการวิจัยระดับโลก การลดความเสี่ยงของการเกิดโรค การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ alz.org หรือโทร. 800.272.3900
อ้างอิง
- Albert Amran, et al. Influenza Vaccination is associated with a reduced incidence of Alzheimer's Disease (Funder(s): U.S. National Institutes of Health, Christopher Sarofim Family Professorship, the CPRIT RR180012, UT Stars award)
- Svetlana Ukraintseva, PhD, et al. Repurposing of existing vaccines for personalized prevention of Alzheimer's disease: Vaccination against pneumonia may reduce AD risk depending on genotype (Funded by U.S. National Institute on Aging)
- Janet Janbek, MSc, et al. Increased short- and long-term mortality following infections in dementia: A prospective nationwide and registry-based cohort study (Funder(s): )
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1219566/AAIC_2020_Logo.jpg
ผลวิจัยใหม่ล่าสุดที่เผยแพร่ในการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ หรือ Alzheimer's Association International Conference(R) (AAIC(R)) 2020 ระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และปอดบวมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
ข้อมูลสำคัญจาก 3 การวิจัยที่เปิดเผยในการประชุม AAIC 2020 มีดังนี้
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หนึ่งครั้งทำให้อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ลดลง 17% และการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่บ่อยกว่านั้นทำให้อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ลดลงอีก 13%
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมให้ผู้สูงวัยอายุ 65-75 ปี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์สูงสุด 40% ขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน
- ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังติดเชื้อสูงกว่า (6 เท่า) เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม (3 เท่า)
“วัคซีนเป็นสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในวงการสาธารณสุขท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราจำเป็นต้องศึกษาประโยชน์ของวัคซีนทั้งในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย และการยกระดับการดูแลสุขภาพในระยะยาว” ดร.มาเรีย ซี คาร์ริลโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ กล่าว
“การฉีดวัคซีนเป็นการดูแลสุขภาพง่าย ๆ แต่ได้ประโยชน์หลายทาง หนึ่งในนั้นคือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม” ดร.คาร์ริลโล กล่าว “การวิจัยนี้กระตุ้นให้เกิดการวิจัยทางคลินิกเพิ่มเติมที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายมากขึ้น เพื่อยืนยันว่าการฉีดวัคซีนเป็นกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อมีอายุมากขึ้น”
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอาจลดการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์
ผลวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนอาจมีคุณสมบัติในการป้องกันการเสื่อมถอยของสมอง แต่ยังไม่มีการศึกษาขนาดใหญ่และครอบคลุมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์โดยเฉพาะ เพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว อัลเบิร์ต อัมราน นักศึกษาแพทย์จาก McGovern Medical School at The University of Texas Health Science Center at Houston และทีมงาน ได้ทำการศึกษาชุดข้อมูลบันทึกสุขภาพของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล (n=9,066)
อัมรานและทีมงานพบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หนึ่งครั้งทำให้ความชุกของโรคอัลไซเมอร์ลดลง (odds ratio 0.83, p<0.0001) และในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่บ่อยกว่านั้นยิ่งมีความชุกของโรคอัลไซเมอร์ลดลงอีก (odds ratio 0.87, p=0.0342) ดังนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่า โดยช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลงได้เกือบ 6% ในผู้ป่วยอายุ 75-84 ปี เป็นเวลา 16 ปี
คณะนักวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์เชิงป้องกันระหว่างวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มีความชัดเจนที่สุดในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครั้งแรกเร็วกว่า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกเมื่ออายุ 60 ปี ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกเมื่ออายุ 70 ปี
“การศึกษาของเราบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีราคาถูกและเข้าถึงง่ายมาก อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ” อัมรานกล่าว “เราจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาการทำงานของกลไกทางชีวภาพในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในขณะที่เรากำลังศึกษาหาวิธีการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่มีประสิทธิภาพ”
วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในช่วงบั้นปลายชีวิต
การนำวัคซีนที่มีอยู่แล้วมาใช้ประโยชน์อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ดร.สเวตลานา ยูเครนเซวา รองศาสตราจารย์วิจัยประจำ Biodemography of Aging Research Unit (BARU) at Duke University Social Science Research Institute และทีมงาน ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซันป้องกันโรคปอดบวมอย่างเดียวหรือฉีดร่วมกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 5,146 คน ในการศึกษา Cardiovascular Health Study นอกจากนั้นยังมีการพิจารณายีนเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ นั่นคือ TOMM40 rs2075650 G allele
คณะนักวิจัยพบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมระหว่างอายุ 65-75 ปี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ 25-30% หลังปรับข้อมูลเพศ เชื้อชาติ การเกิด การศึกษา การสูบบุหรี่ และจำนวน G alleles โดยพบว่าความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลดลงมากที่สุด (สูงสุด 40%) ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไม่มียีนเสี่ยง นอกจากนี้ จำนวนครั้งในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยอายุระหว่าง 65-75 ปี ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ที่ลดลง อย่างไรก็ดี ไม่พบผลลัพธ์ดังกล่าวในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเดียว
“การฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมก่อนอายุ 75 ปีอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในช่วงบั้นปลายชีวิต ขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน” ดร.ยูเครนเซวา กล่าว “ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมอาจเป็นความหวังในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มียีนเสี่ยง”
การติดเชื้อทำให้ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น
ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมักมีอาการเจ็บป่วยอื่นร่วมด้วย เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการวิจัยเพิ่มมากขึ้นเพื่อศึกษาว่าการติดเชื้ออาจแย่ลง เป็นอันตรายต่อชีวิตมากขึ้น หรือก่อให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือไม่
เจเน็ต แจนเบ็ค นักศึกษาปริญญาเอกจาก Danish Dementia Research Centre, Rigshospitalet and the University of Copenhagen ในเดนมาร์ก และทีมงาน ใช้ข้อมูลจากทะเบียนข้อมูลสุขภาพแห่งชาติเพื่อศึกษาการเสียชีวิตของประชากรชาวเดนมาร์กอายุ 65 ปีขึ้นไป (n=1,496,436) ซึ่งไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ โดยพบว่าผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและมีอาการติดเชื้อ มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมและไม่มีอาการติดเชื้อถึง 6.5 เท่า ส่วนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมอย่างเดียวหรือติดเชื้ออย่างเดียวมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า 3 เท่า โดยอัตราการเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วง 30 วันแรกหลังไปโรงพยาบาล
คณะนักวิจัยพบว่า ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมยังคงมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด 10 ปีหลังไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ และอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อทั้งหมด (ตั้งแต่การติดเชื้อรุนแรงอย่างการติดเชื้อในกระแสเลือด ไปจนถึงการติดเชื้อเล็กน้อยอย่างการติดเชื้อในหู) สูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ได้ไปโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ
“การศึกษาของเราตอกย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาความสัมพันธ์เหล่านี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดการติดเชื้อจึงมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงและกลไกทางชีวภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของการติดเชื้อที่มีต่อภาวะสมองเสื่อม” คุณแจนเบ็คกล่าว
“การศึกษาของเราบ่งชี้ว่า ระบบดูแลสุขภาพ รวมถึงญาติของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม ควรตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมที่มีการติดเชื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่จำเป็น ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมต้องการการรักษาเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยอาการที่ไม่เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม และดูเหมือนเป็นอาการติดเชื้อที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม” คุณแจนเบ็คกล่าวเสริม
เกี่ยวกับการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์
การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (AAIC) เป็นการประชุมเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ โดยนักวิจัยจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม รวมถึงให้การสนับสนุนชุมชนนักวิจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- โฮมเพจของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/
- ห้องข่าวของ AAIC 2020: www.alz.org/aaic/pressroom.asp
- แฮชแท็ก AAIC 2020: #AAIC20
เกี่ยวกับสมาคมโรคอัลไซเมอร์
สมาคมโรคอัลไซเมอร์เป็นองค์กรอาสาสมัครด้านสุขภาพชั้นนำของโลก ซึ่งอุทิศตนให้กับการดูแลรักษา การสนับสนุน และการวิจัยโรคอัลไซเมอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการกำจัดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมให้หมดไป ด้วยการสนับสนุนการวิจัยระดับโลก การลดความเสี่ยงของการเกิดโรค การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ alz.org หรือโทร. 800.272.3900
อ้างอิง
- Albert Amran, et al. Influenza Vaccination is associated with a reduced incidence of Alzheimer's Disease (Funder(s): U.S. National Institutes of Health, Christopher Sarofim Family Professorship, the CPRIT RR180012, UT Stars award)
- Svetlana Ukraintseva, PhD, et al. Repurposing of existing vaccines for personalized prevention of Alzheimer's disease: Vaccination against pneumonia may reduce AD risk depending on genotype (Funded by U.S. National Institute on Aging)
- Janet Janbek, MSc, et al. Increased short- and long-term mortality following infections in dementia: A prospective nationwide and registry-based cohort study (Funder(s): )
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1219566/AAIC_2020_Logo.jpg
Subscribe to:
Posts (Atom)