Tuesday, March 31, 2020

Doctor Anywhere สตาร์ทอัพการแพทย์ทางไกลในสิงคโปร์ ระดมทุน 27 ล้านดอลลาร์จาก Square Peg, EDBI และ IHH Healthcare


Doctor Anywhere  บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ ประกาศปิดการระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มนักลงทุนซึ่งนำโดย Square Peg กองทุนร่วมลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย, EDBI หน่วยงานด้านการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ และ IHH Healthcare ผู้ให้บริการเฮลท์แคร์ชั้นนำระดับโลก ร่วมด้วย Pavilion Capital และ Kamet Capital ผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ Doctor Anywhere มีเงินทุนรวมทะลุ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การระดมทุนครั้งนี้เป็นหนึ่งในการระดมทุนที่มีมูลค่าสูงสุดของสตาร์ทอัพเทคโนโลยีสุขภาพสิงคโปร์ในรอบเกือบสองปี ซึ่งจะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Doctor Anywhere ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสุขภาพในเอเชีย ในขณะที่บริษัทเตรียมขยายภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพในภูมิภาคผ่านการพลิกโฉมสู่ระบบดิจิทัล ด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของพาร์ทเนอร์ในประเทศและภูมิภาค
Lim Wai Mun ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Doctor Anywhere กล่าวว่า "ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่โดดเด่นเช่นนี้ โดยเฉพาะในยามที่ความท้าทายด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่หลายประเทศให้ความสำคัญสูงสุด"
"ภารกิจของเราคือการทำให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในราคาย่อมเยา ผมยินดีที่พาร์ทเนอร์ของเรามีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม อิทธิพลและข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรมของพาร์ทเนอร์จะช่วยให้เราก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์มสุขภาพระดับแนวหน้าของเอเชียอย่างรวดเร็ว"
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Doctor Anywhere ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มในประเทศไทย โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในประเทศ และบริษัทประกันภัยชั้นนำที่มีลูกค้ากว่า 95 ล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ Doctor Anywhere ยังให้บริการในเมืองสำคัญของเวียดนาม ได้แก่ ฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ และมีแผนให้บริการในอีกหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาคในปีนี้
Tushar Roy พาร์ทเนอร์จาก Square Peg กล่าวว่า "นับเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับคุณ Wai Mun และทีมงานของ Doctor Anywhere การนำเสนอบริการสุขภาพคุณภาพสูงในราคาเอื้อมถึงผ่านระบบดิจิทัลมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สูงขึ้นและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลางได้ก่อให้เกิดตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับบริษัท และโซลูชันของบริษัทก็ช่วยลดช่องว่างระหว่างชุมชนเมืองและชนบทในการเข้าถึงระบบสุขภาพทั่วภูมิภาค"
Chu Swee Yeok ซีอีโอและประธาน EDBI กล่าวว่า "ในฐานะผู้เล่นรายแรก ๆ ในธุรกิจสุขภาพดิจิทัลในสิงคโปร์ Doctor Anywhere ให้บริการดูแลสุขภาพทั้งโดยตรงและผ่านระบบดิจิทัลอย่างดีที่สุด พร้อมมอบทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการและผลการรักษาที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ป่วย นอกจากนี้ ในฐานะบริษัทที่เติบโตในประเทศ Doctor Anywhere ยังสนับสนุนประเทศในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ด้วยการให้บริการแพลตฟอร์มการแพทย์ทางไกล ณ ด่านศุลกากรท่าเรือเฟอร์รี พร้อมกับให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนที่กักตัวในบ้าน ทั้งนี้ EDBI สนับสนุนให้ Doctor Anywhere ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการแพทย์ทางไกล เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าถึงบริการสุขภาพในราคาย่อมเยา"
Dr. Kelvin Loh กรรมการผู้จัดการและซีอีโอของ IHH Healthcare กล่าวว่า "IHH กำลังปฏิวัติการดูแลสุขภาพให้มีความสะดวกสบายที่สุดสำหรับผู้ป่วย และเรายินดีมากที่ได้ร่วมมือกับ Doctor Anywhere โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรของ Doctor Anywhere ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดตารางนัดและขอรับคำปรึกษาด้านสุขภาพได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถสั่งจ่ายยาถึงบ้านได้อีกด้วย และความร่วมมือนี้เกิดขึ้นในสิงคโปร์ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ IHH"
Danny Wong จาก Pavilion Capital กล่าวว่า "เรายินดีที่ได้สนับสนุน Doctor Anywhere ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจและศักยภาพของแพลตฟอร์มอันครบถ้วนสบูรณ์ Doctor Anywhere กำลังสร้างเครือข่ายการแพทย์ทางไกลชั้นนำระดับภูมิภาค เพื่อยกระดับการเข้าถึงระบบสุขภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
Kerry Goh ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Kamet Capital กล่าวว่า "นับตั้งแต่เริ่มต้น Kamet Capital มีวิสัยทัศน์ร่วมกับ Doctor Anywhere ในการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพคุณภาพสูงในราคาย่อมเยาด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยี เรายินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือเพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำทางธุรกิจแก่ Doctor Anywhere ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพชั้นนำในประเทศ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเทคโนโลยี"
เกี่ยวกับ Doctor Anywhere
Doctor Anywhere คือบริษัทเทคโนโลยีสุขภาพระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของผู้ให้บริการสุขภาพและแพทย์ที่มีประสบการณ์ แพลตฟอร์มดิจิทัลของ Doctor Anywhere ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการสุขภาพได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพผ่านแอปมือถือ Doctor Anywhere โดยผู้ใช้สามารถปรึกษาแพทย์ที่มีใบอนุญาตได้ทุกที่ทุกเวลา และรับยาที่ส่งตรงถึงบ้านภายในไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่ประวัติการรักษา รายงานสุขภาพ และข้อมูลอื่น ๆ จะถูกจัดเก็บในแอปเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ปัจจุบัน Doctor Anywhere ให้บริการลูกค้ากว่า 1 ล้านคนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ และกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่มาช่วยเติมเต็มระบบนิเวศดังกล่าวคือ DA Marketplace โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพมากมาย เช่น อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว คอร์สกายภาพบำบัด หรือจองบริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน ทั้งหมดรวมไว้ในที่เดียว
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://doctoranywhere.com
เกี่ยวกับ Square Peg
Square Peg คือบริษัทร่วมทุนที่มีพันธกิจในการช่วยส่งเสริมผู้ที่ต้องการริเริ่มธุรกิจ โดยลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีทั่วออสเตรเลีย อิสราเอล และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการระดมทุนระดับ Series A และ B ปัจจุบัน Square Peg ลงทุนโดยใช้เงินจากกองทุนปี 2561 มูลค่า 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริหารจัดการเงินทุนรวมกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เกี่ยวกับ EDBI
EDBI เริ่มลงทุนมาตั้งแต่ปี 2534 ในฐานะหน่วยงานลงทุนระดับโลกของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งลงทุนในภาคเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ เฮลท์แคร์ (HC), เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT), เทคโนโลยีเกิดใหม่ (ET) และอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อื่น ๆ ในฐานะนักลงทุนที่สร้างคุณค่า EDBI ช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุม นอกจากนี้ EDBI ยังให้เงินทุนสนับสนุนบริษัทที่ต้องการเติบโตในเอเชียและทั่วโลกผ่านประเทศสิงคโปร์
เกี่ยวกับ IHH Healthcare
IHH Healthcare เป็นผู้นำด้านบริการสุขภาพในตลาดที่ความต้องการบริการคุณภาพสูงกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง เราเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
บริษัทมีบุคลากรกว่า 55,000 คน และมีเตียงผู้ป่วยในความดูแลกว่า 15,000 เตียงในโรงพยาบาล 77 แห่งใน 10 ประเทศทั่วโลก บริษัทให้บริการดูแลสุขภาพครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่คลินิก โรงพยาบาล การดูแลขั้นจตุภูมิ ไปจนถึงบริการช่วยเหลือต่าง ๆ
IHH เป็นผู้เล่นชั้นนำในตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ ตุรกี และอินเดีย รวมถึงตลาดสำคัญอย่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ihhhealthcare.com
เกี่ยวกับ Pavilion Capital
Pavilion Capital คือบริษัทด้านการลงทุนในสิงคโปร์ที่เน้นลงทุนในกองทุนไพรเวทอิควิตี้ในเอเชียเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เกี่ยวกับ Kamet Capital
Kamet Capital คือบริษัทระดับมืออาชีพที่บริหารกิจกรรมและการลงทุนของครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยบรรดาผู้สร้างเศรษฐกิจใหม่และผู้ประกอบการต่างไว้วางใจให้เราให้คำแนะนำและบริหารความมั่งคั่ง เราช่วยหลายครอบครัววางแผนและวางโครงสร้างสินทรัพย์ส่วนตัว สนับสนุนการบริหารภายในครอบครัว การลงทุนทั่วโลก และการทำงานการกุศล Kamet Capital เริ่มดำเนินงานในปี 2560 และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางสิงคโปร์ในฐานะผู้ถือใบอนุญาตตลาดทุน

Vymo เปิดตัวโซลูชัน 'Work From Home' ช่วยธุรกิจธนาคารและการประกันภัยให้ทำงานลื่นไหลไม่สะดุด

โซลูชัน 'Work From Home' ของ Vymo ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยให้ตัวแทน, ผู้จัดการความสัมพันธ์ ตลอดจนพนักงาน และฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้แม้ต้องทำงานจากระยะไกล
วันนี้ Vymo ผู้นำระดับโลกด้านผู้ช่วยส่วนบุคคลอัจฉริยะสำหรับทีมขาย ประกาศเปิดตัวเวอร์ชั่นอัพเกรดรองรับการทำงานแบบ Work From Home ของบริการ Personal Sales Assistan สำหรับตัวแทน, ผู้จัดการความสัมพันธ์ และพนักงานด่านหน้า ซึ่งถูกออกมาแบบให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย พร้อมเปิดโอกาสให้สามารถมีส่วนร่วมกับลูกค้าคนสำคัญ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบ on-prem หรือเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป
ในขณะที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดอย่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังหนักหน่วงขึ้นทุกวัน ธุรกิจธนาคารและการประกันภัยต่างกำลังดิ้นรนพยายามสนับสนุนการทำงานของพนักงานเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินได้ต่อไป เช่นเดียวกับลูกค้าของพวกเขาที่ต้องการความมั่นใจว่าจะได้รับบริการอย่างต่อเนื่องไม่สะดุดในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องทำให้ทีมสามารถทำงานได้ทั้งในกระบวนการประเมินความต้องการที่จำเป็น, การเคลม, การเก็บข้อมูล หรือแม้แต่กระบวนการในการต่ออายุ
โซลูชัน 'Work From Home' ของ Vymo:  
- ช่วยให้ทีมขายรักษาปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบความมั่นใจด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ ผ่านการสื่อสารทางโทรศัพท์และระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
- กระจายและประสานงานกับส่วนกลางด้วยวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพผ่านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการแจ้งเตือนต่าง ๆ
- อัปเดตข้อมูลของบริษัท, เผยแพร่ข่าวสาร, ให้คำแนะนำทีมงาน และผลักดันการมีส่วนร่วมของพนักงานผ่านการแจ้งเตือนต่าง ๆ
- เพิ่มความสามารถการมองเห็นผ่านศูนย์บัญชาการด้วยมุมมองที่เป็นหนึ่งเดียวตามตัวชี้วัดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องการใช้งานของตัวแทน หรือการมอบความคุ้มครองให้กับลูกค้า และ
- เก็บรวบรวมคำติชมจากลูกค้าและทีมงานผ่านแบบสำรวจ
Yamini Bhat ซีอีโอของ Vymo กล่าวว่า “เมื่อพิจารณาจากการที่ Vymo ให้การสนับสนุนผู้ใช้งานจากการควบคุมระยะไกลมากกว่า 100,000 รายอยู่แล้ว นี่เป็นการขยายบริการที่สมเหตุสมผล เราได้มองเห็นสัญญาณการมีส่วนร่วมที่ชัดเจนมากต่อการนำเอาโซลูชันไปใช้งานกับหลากหลายธุรกิจในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากแบบที่เราไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน นี่เป็นเหตุผลที่ ทีมงานของ Vymo ต้องมุ่งมั่นหาทางออกให้องค์กรทั้งหลายสามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนทัศน์ใหม่นี้ได้โดยเร็วที่สุด”
Mr. Sandeep Kumar Mishra รองประธานอาวุโสและหัวหน้าแผนก HDFC Bank Relationship ของ ABSLI ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการนำเอาโซลูชันของ Vymo มาใช้กับบริษัท Aditya Birla Sun Life Insurance กล่าวว่า “ทีมงานของ Vymo ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาและได้ทุ่มเทเวลาไปกับการมอบความช่วยเหลือเพื่อให้เราสามารถนำโซลูชันของพวกเขาไปใช้งานได้ Vymo นอกจากจะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ทีมที่ทำงานกับลูกค้าของพวกเขายังมีความเป็นมืออาชีพ, ยืดหยุ่น และมีความคล่องตัวอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับการบริหารจัดการที่เน้นผลงานและ KPI ของพวกเขาเป็นอย่างมาก Vymo ช่วยให้ผมสามารถบริหารจัดการการทำงานของทีมงานได้ดีขึ้นและเปลี่ยนความท้าทายของการทำงานแบบ WFH ให้กลายเป็นเชิงบวก ด้วยคุณสมบัติของพวกเขาที่ช่วยจัดการการทำงานประจำวันได้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกวันนี้ทีมงานของผมมีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น และสามารถทุ่มความใจใส่ให้กับลูกค้าหรือภารกิจการขายที่สำคัญได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”  
ทั้งนี้ โซลูชัน 'Work From Home' ของ Vymo สามารถอัพเกรดได้บนแอปพลิเคชันเวอร์ชั่นเดิม และถูกออกแบบมาให้ลูกค้าสามารถติดตั้งให้พร้อมใช้งานได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 72 ชั่วโมง


เกี่ยวกับ Vymo
Vymo (getvymo.com) คือผู้ช่วยส่วนบุคคลอัจฉริยะสำหรับทีมขาย ที่มีผู้ใช้งานอยู่กว่า 100,000 รายในองค์กรขนาดใหญ่มากกว่า 65 แห่งทั่วโลก อาทิ AXA, Allianz, HDFC Bank, VPBank, Sumitomo Life, DuPont, และ Generali Vymo ได้รับยกย่องจาก Gartner ให้เป็น Cool Vendor และเป็นบริษัทที่ลงทุนโดย Emergence Capital และ Sequoia Capital
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
กำหนดการสาธิตโซลูชัน – https://www.getvymo.com/request-a-demo
เว็บไซต์ – https://www.getvymo.com/wfh
ดาวน์โหลดโลโก้ - https://drive.google.com/file/d/0Bx0uX7vTcn39QV9DekNyam9JVnc/view

Vymo Launches 'Work From Home' Solution to Ensure Business Continuity for Leading Banks and Insurers

Vymo's 'Work From Home' solution is being deployed to empower Agents, Relationship Managers and other Frontline employees engage customers while working remotely
Today, Vymo, the world's leading provider of solutions for on-the-go sales teams announced a Work From Home version of its Personal Sales Assistant product for Agents, Relationship Managers and other frontline personnel. It is designed to provide 24/7 secure access to necessary data through a simple app for mission-critical customer engagement without desktop/on-prem dependencies.
With the world experiencing an unprecedented crisis in the wake of the Covid-19 pandemic, banks and insurers are struggling to support their employees to ensure business continuity. But their customers want to be reassured of uninterrupted service during these challenging times, hence it is now a leadership imperative to enable their teams follow through on needs assessments, claims, collections or renewal processes.
With Vymo's 'Work From Home' solution:
- Continue customer engagement while ensuring safety and compliance though secure calling and video conferencing
- Distribute and coordinate tasks centrally and communicate effectively through broadcasts and targeted notifications
- Broadcast company updates, lock down news, team safety guidance and drive employee engagement through notifications
- Gain visibility through a command center with unified view of key metrics like agent adoption and customer coverage, and
- Collect bottom-up feedback from customers and teams via surveys
Says Ms. Yamini Bhat, CEO of Vymo,"Considering Vymo supports over 100K remote users already, this is a logical extension. We are seeing very encouraging signs in several of the deployments that have gone live over the past week. This social and economic situation is unlike anything we have seen before, and so our team at Vymo is committed to help organizations adapt to this new paradigm."
Mr. Sandeep Kumar Mishra, SVP & Head – HDFC Bank Relationship, ABSLI, who led the deployment of Vymo for Aditya Birla Sun Life Insurance, said: "The team is solution-focused and has invested time in helping us with adoption. Vymo's features are great but the ownership, flexibility, and agility of the customer teams is even better. Also, we really liked the emphasis on Performance and KPI management. Vymo is enabling me to manage my team's productivity better and turnaround the WFH challenges positively. Through its features that help in managing their daily routines well, the team has become more disciplined and able to focus on their most important customer/sales priorities."
Vymo's 'Work From Home' solution is being offered as an upgrade on existing versions of the application and is designed to help clients go-live in less than 72 hours.

About Vymo
Vymo (getvymo.com) is an intelligent Personal Sales Assistant. Vymo has over 100,000 users in 60+ large enterprises such as AXA, Allianz, HDFC Bank, VPBank, Sumitomo Life, DuPont, and Generali . Vymo is recognized by Gartner as a Cool Vendor and funded by Emergence Capital and Sequoia Capital.
Related Links
Schedule a demo – https://www.getvymo.com/request-a-demo
Website – https://www.getvymo.com/wfh
Download logo - logo

ทรินา โซลาร์ บุกเบิกยุคโมดูลกำลังสูง 500W+ ด้วยการส่งมอบโมดูล Vertex ครั้งแรกของโลก

บริษัท ทรินา โซลาร์ จำกัด (Trina Solar) ผู้นำระดับโลกด้านโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ประสบความสำเร็จในการส่งมอบโมดูล Vertex Series ล็อตแรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูงถึง 21% และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกิน 500W นับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์โลก หลังจากบริษัทได้ประกาศเปิดสายการผลิตนำร่องสำหรับผลิตโมดูล Vertex Series ในปริมาณมากเมื่อ 11 วันที่แล้ว
โรงไฟฟ้าขนาด 10MW ในศรีลังกากำลังรอรับโมดูลล็อตนี้ และจะติดตั้งทันทีที่ส่งไปถึง โดยคาดว่าจะเชื่อมกับกริดไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โมดูล Vertex Series ประกอบด้วยเซลล์ขนาด 210 มิลลิเมตรหลายเซลล์ ผสานเทคโนโลยีการตัดแบ่งโมดูลเป็นสามส่วนโดยไม่สร้างความเสียหายและมีความหนาแน่นสูง
โมดูล Vertex Series ประกอบด้วยโมดูลแบบกระจกสองชั้นสองหน้า และโมดูลแบบแผงด้านหลัง ซึ่งมีกำลังขาออกสูง ความน่าเชื่อถือสูง ประสิทธิภาพสูง และกำลังการผลิตไฟฟ้าสูง ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการ State Key Laboratory of PV Science and Technology ของทรินา โซลาร์ ระบุว่า จากการประเมินโรงไฟฟ้าภาคพื้นดินขนาดใหญ่ในมณฑลเฮยหลงเจียงของจีนพบว่า เมื่อเทียบกับโมดูลแบบกระจกสองชั้นสองหน้าขนาด 410W โดยทั่วไปแล้ว โมดูล Vertex แบบกระจกสองชั้นสองหน้าสามารถลดต้นทุนอุปกรณ์ประกอบระบบ (BOS) ได้ 6-8% และลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าปรับเฉลี่ย (LCOE) ได้ 3-4%
หยิน หรงฟาง รองประธานบริหารและรองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรินา โซลาร์ กล่าวว่า “ลูกค้าของเราทั่วโลกสนใจโมดูล Vertex Series กำลังสูง 500W+ อย่างมาก เพราะเหมาะที่จะใช้งานกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภค รวมถึงระดับอุตสาหกรรมและพาณิชย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เราจะเดินหน้าส่งมอบโมดูล Vertex Series ให้ลูกค้าทั่วโลกต่อไป ยุคของโมดูลกำลังสูง 500W+ มาถึงแล้ว และโมดูล Vertex Series ที่มีกำลังสูงและประสิทธิภาพสูงก็มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม”
รูปภาพ: https://www.trinasolar.com/sites/default/files/Vertex%20modules.jpg 
คำบรรยายภาพ: โมดูล Vertex Series ที่ทรินา โซลาร์ เพิ่งส่งมอบให้โรงไฟฟ้าในศรีลังกา
เกี่ยวกับทรินา โซลาร์
ทรินา โซลาร์ คือผู้นำระดับโลกด้านโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2540 และดำเนินธุรกิจครอบคลุมการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายเซลล์แสงอาทิตย์, การพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ การรับเหมาก่อสร้าง การดำเนินงานและบำรุงรักษา, การพัฒนาและจำหน่ายระบบไมโครกริดอัจฉริยะและระบบกักเก็บพลังงานหลายรูปแบบ รวมถึงการบริหารแพลตฟอร์มคลาวด์ด้านพลังงาน ในปี 2561 ทรินา โซลาร์ เปิดตัวแบรนด์ Energy IoT พร้อมจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือ Trina Energy IoT Industrial Development Alliance ร่วมกับองค์กรและสถาบันวิจัยชั้นนำทั้งในจีนและทั่วโลก และจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม New Energy IoT Industry Innovation Center ทั้งนี้ ทรินา โซลาร์ ตั้งเป้าจับมือกับพันธมิตรสร้างระบบนิเวศ Energy IoT พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสำรวจระบบนิเวศ New Energy IoT โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในอุตสาหกรรมพลังงานอัจฉริยะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.trinasolar.com

Inteluck สตาร์ทอัพโลจิสติกส์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับเงินลงทุนกว่า USD 5 ล้าน จาก MindWorks และ Lalamove

Inteluck แพลตฟอร์มโลจิสติกส์แบบครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ประกาศว่า ทางบริษัทได้รับเงินลงทุนมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการระดมทุนรอบ Series Pre-B ซึ่งนำโดย MindWorks Capital ร่วมด้วย Infinity Venture Partners และการลงทุนจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีโลจิสติกส์แบบออนดีมานด์ชั้นนำอย่าง Lalamove
การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งแรกของ Lalamove ขณะที่ MindWorks Capital เป็นผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพระดับเริ่มต้น (early investor) เป็นสมาชิกคณะกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Lalamove
Inteluck ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 โดยเริ่มต้นจากการเป็นแพลตฟอร์ม IoT SaaS สำหรับบริษัทขนส่งสินค้าทางบกในฟิลิปปินส์ เพื่อติดตามและจัดการการขนส่งและพนักงานขับรถในแบบเรียลไทม์ อย่างไรก็ดี ต่อมา Inteluck ได้เปลี่ยนไปเป็นแพลตฟอร์มบริการโลจิสติกส์แบบ B2B หลังจากเล็งเห็นว่า ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานที่ลูกค้าต้องการ
ตั้งแต่ต้นปี 2561 Inteluck ได้รวบรวมรถบรรทุกที่ผ่านการรับรองมากกว่า 17,000 คันจนกลายเป็นกลุ่มรถบรรทุกขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ซึ่งภายใต้ตลาดกลางรูปแบบใหม่นี้ Inteluck สามารถรวบรวมบริษัทขนส่งทางบกที่มีอุปทานกระจัดกระจายมารองรับบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ พร้อมทั้งปรับปรุงมาตรฐานและประสิทธิภาพของการขนส่งสินค้าแบบเต็มคันรถ (full truckload logistics : FTL) ได้เป็นอย่างมาก
"จุดที่เป็นปัญหาใหญ่สุดในการขนส่งแบบ FTL สำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นลูกค้าของเราก็คือ ความท้าทายในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งด้วยตัวแปรต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีของเราช่วยให้เราสามารถปรับปรุงกระบวนการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการรวมข้อมูลจากแหล่งที่มาภายนอก อาทิ สภาพถนนและสภาพอากาศ เข้ากับข้อมูลเรียลไทม์ซึ่งเก็บรวบรวมโดยอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกลุ่มรถขนส่งของเรา นอกจากนี้ ด้วยการจัดกลุ่มการจองรถที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เราจึงสามารถเพิ่มการขนส่งสินค้าทั้งขาไปและขากลับ ทั้งยังช่วยลดการสิ้นเปลื้องให้กับลูกค้าอีกด้วย" Kevin Zhang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Inteluck กล่าว
ปัจจุบัน Inteluck มีลูกค้ามากกว่า 100 บริษัท ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น Coca-Cola, OPPO, Asia Brewery ตลอดจนผู้ผลิต ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และผู้แทนจำหน่ายสินค้าระดับโลก
Inteluck จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนรอบนี้มาใช้ในการเปิดตัวระบบการปล่อยรถอัจฉริยะ และขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมในฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน จากการที่บริษัทได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นคล้ายกันทั่วทั้งภูมิภาค บริษัทจึงวางแผนที่จะขยายโซลูชัน FTL ไปยังตลาดอื่น ๆ ภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน
"เราประทับใจความเฉียบแหลมของ Kevin ในการทำความเข้าใจความยุ่งยากซับซ้อนของตลาดการขนส่งทางบก การได้ Lalamove เข้ามาร่วมลงทุนในรอบนี้ จะทำให้เราผสานความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์เข้าด้วยกันเพื่อช่วย Inteluck ขยายธุรกิจและก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรม" David Chang หุ้นส่วนผู้จัดการของ MindWorks Capital
"เรามองเห็นการทำงานที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่าง Inteluck และ Lalamove ซึ่งต่างก็เป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อปฏิวัติวงการโลจิสติกส์ การรวมความเชี่ยวชาญของ Lalamove ในการขนส่งสินค้าถึงมือผู้รับปลายทาง (last mile delivery) เข้ากับความเชี่ยวชาญของ Inteluck ในการขนส่งสินค้าระยะไกล (long haul delivery) ทำให้เรามั่นใจว่า เราจะสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการการขนส่งที่เรานำเสนอแก่ธุรกิจทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้ เรายังชื่นชมความฉลาดหลักแหลมของ Kevin ที่ค้นพบจุดที่เป็นปัญหาในการขนส่งระยะไกล ซึ่งจะช่วยให้ Inteluck เติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี" Shing Chow ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Lalamove กล่าว
เกี่ยวกับ  Inteluck
Inteluck ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยมุ่งเน้นให้บริการขนส่งจากต้นทางและกลางทาง (first- and middle- mile delivery) สำหรับบริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Inteluck มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ และมีการดำเนินงานในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และ ประเทศไทย พันธกิจของ Inteluck คือการให้บริการโลจิสติกส์แบบ B2B ที่มีประสิทธิภาพสูง ผ่านทางเทคโนโลยีขั้นสูงในตลาดเกิดใหม่
เกี่ยวกับ  MindWorks
MindWorks Capital ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 และเป็นบริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital) ที่มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และสำนักงานสาขาในปักกิ่งและจาการ์ตา MindWorks ใช้กลยุทธ์ Pan-Asia เพื่อให้ได้มาซึ่งการลงทุนทางตรงในบริษัทเทคโนโลยีทั่วภูมิภาคเกรทเทอร์ไชน่าและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบัน MindWorks จัดการกองทุนรวมสามกองทุนซึ่งมีสินทรัพย์สุทธิรวมมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนของกองทุน Innovation Technology Venture Fund ซึ่งริเริ่มโดยรัฐบาลฮ่องกง
เกี่ยวกับ  Lalamove
Lalamove (หรือที่รู้จักในชื่อ Huolala ในประเทศจีน) ก่อตั้งขึ้นในปี 2556 เพื่อให้บริการอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในการค้นหาโซลูชั่นที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ที่สุดสำหรับตอบโจทย์การขนส่งทั่วโลก คนขับรถและธุรกิจนับล้านใช้เทคโนโลยีของเราทุกวัน เพื่อเชื่อมต่อกันและขนส่งสินค้าที่ต้องการ โดยทุก ๆ เดือน Lalamove จับคู่ลูกค้าที่ใช้งานประจำราว 6,000,000 รายกับคนขับรถตู้ รถกระบะ รถบรรทุก และรถจักรยานยนต์กว่า 440,000 ราย เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าถึงผู้รับภายในวันเดียว พันธกิจของ Lalamove ที่ต้องการยกระดับการจัดส่งสินค้าในพื้นที่ให้เร็วขึ้นและง่ายขึ้นนั้นสำเร็จได้ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การจับคู่คำขอใช้บริการขนส่งสินค้าของผู้ใช้กับคำตอบรับการให้บริการของคนขับได้อย่างรวดเร็ว, การติดตามรถด้วย GPS แบบเรียลไทม์, บริการ 24/7, การหาเส้นทางที่ดีที่สุด และระบบการให้คะแนนคนขับรถ ปัจจุบัน Lalamove มีการดำเนินงานในกว่า 300 เมืองทั่วภูมิภาคเกรทเทอร์ไชน่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และลาตินอเมริกา
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200327/2762432-1
คำบรรยายภาพ -  Inteluck แพลตฟอร์มโลจิสติกส์แบบครบวงจรทึ่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

Southeast Asia logistics startup Inteluck secures US$5M+ from MindWorks and Lalamove

Inteluck, a Southeast Asia-based data-driven third-party logistics platform, announced that it has raised US$5M+ in Series Pre-B funding round led by MindWorks Capital with participation from Infinity Venture Partners and leading on-demand logistics technology platform Lalamove.
This is Lalamove's first strategic investment while MindWorks Capital is an early investor, board member, and major shareholder of Lalamove.
Founded in 2014, Inteluck started as an IoT SaaS platform for trucking companies in the Philippines to monitor and manage their shipment and drivers in real-time. However, Inteluck later transformed to become a B2B logistics service platform after realizing that existing logistics providers were not able to fulfill the standards required by their clients.
Since early 2018, Inteluck had amassed more than 17,000 certified trucks to become the largest trucking fleet in the Philippines. Under this new marketplace model, Inteluck was able to aggregate the highly fragmented supply of trucking companies for medium to large-size enterprises and drastically improve the standard and efficiency of full truckload logistics (FTL).
"The biggest pain point in full truckload shipping for enterprise customers is that it is extremely challenging to optimize delivery with many dynamic variables. Our technology enables us to optimize delivery processes by combining data from external sources such as road conditions and weather with real-time data collected by IoT devices across our logistics fleet. By regrouping scattered bookings, we are able to generate higher utilization in round trip loads and reduce waste for our customers," said Kevin Zhang, Founder & CEO of Inteluck.
The company currently has more than 100 enterprise customers spanning a variety of industries including Coca-Cola, OPPO, Asia Brewery, as well as global manufacturers, telecom providers and distributors.
Inteluck will use the proceeds of this funding round to launch an intelligent dispatch system and further expand its customer base in the Philippines. Seeing similar pain points throughout the region, the company will also plan to scale its FTL solutions to other markets within Southeast Asia.
"We are impressed by Kevin's acuity in understanding the intricacies of the local trucking market. By bringing on Lalamove to co-invest in this round, we will leverage our collective expertise in logistics to help Inteluck scale to become the dominant industry leader," said David Chang, Managing Partner of MindWorks Capital.
"We see a lot of synergy between Inteluck and Lalamove - both being companies using technology and data to revolutionize logistics. Combining Lalamove's expertise in last mile delivery with Inteluck's experience in long haul delivery, we are confident that we can optimize delivery offerings for businesses across Southeast Asia. We also admire Kevin's sharp sense in identifying pain points in long haul logistics which will undoubtedly help Inteluck fulfill the needs of their customers adequately," said Shing Chow, Founder and CEO of Lalamove.
About Inteluck
Founded in 2014, Inteluck is a data-driven third-party logistics provider that focuses on first- and middle- mile delivery for mid to large-size enterprises in Southeast Asia. Inteluck is headquartered in Singapore and operates in other Southeast Asian countries including the Philippines and Thailand. Inteluck's mission is to offer highly efficient B2B logistics services via its advanced technology in emerging markets.
About MindWorks
MindWorks Capital was established in 2014 and is a venture capital firm with its headquarters in Hong Kong and offices in Beijing and Jakarta. MindWorks utilizes a Pan-Asia strategy to source direct investments in technology companies across both Greater China and Southeast Asia.
MindWorks currently manages US$500 million in total net asset value across its three funds and is a co- investment partner of the Innovation Technology Venture Fund initiated by the Hong Kong government.
About Lalamove
Since 2013, Lalamove (also known as Huolala in Mainland China) has tackled the logistics industry head on to find the most innovative solutions for the world's delivery needs. Millions of drivers and businesses use our technology every day to connect with one another and move things that matter. Every month, Lalamove unceasingly matches about 6,000,000 active customers with a pool of over 440,000 active drivers of vans, trucks, lorries and motorcycles to provide same day delivery services. Lalamove's mission of making local deliveries faster and simpler is achieved with innovations such as instant order matching, real- time GPS vehicle tracking, 24/7 services, route optimisation and a driver rating system. Lalamove now operates in over 300 cities across Greater China, Southeast Asia, India and Latin America.
Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200327/2762432-1
Caption - Inteluck: data-driven logistics platform in Southeast Asia

Trina Solar leads the era of 500W+ output with its shipment of world's first Vertex modules

Trina Solar Co., Ltd ("Trina Solar" or the "Company"), a global leading provider of integrated PV modules and smart energy solutions, has just shipped the first lot of its Vertex series modules. The Vertex series modules, with conversion efficiency of up to 21 per cent, boasts power output exceeding 500W. With this shipment, Trina Solar sets a new benchmark for the global photovoltaic industry following the company's announcement 11 days ago of the pilot line for the mass production of the Vertex series modules.
The facility waiting for the delivery, in Sri Lanka, has a capacity of 10 MW. It will deploy the modules upon arrival and is expected to complete grid connection during the third quarter of this year. Incorporating 210mm cells, the Vertex series modules integrate advanced three-piece, non-destructive cutting and high-density packaging technologies.
The Vertex series, includes bifacial double-glass modules and back sheet modules, delivering high power output, high reliability, high efficiency and high power generation. According to data from Trina Solar's State Key Laboratory of PV Science and Technology, taking a large-scale ground power station in China's Heilongjiang province as an example, compared with conventional 410W bifacial double-glass modules, the Vertex bifacial double-glass modules can reduce balance-of-system costs by 6 to 8 per cent and the levelized cost of energy by 3 to 4 per cent.
Trina Solar vice general manager and executive vice president Yin Rongfang said: "Our customers worldwide have shown a strong interest in 500W+ Vertex series modules, which are not only suitable for utility scale solar plant but also for commercial and industrial scale solar project seeking to raise their level of efficiency. We plan to continue shipping more Vertex series modules to customers worldwide. The era of 500W+ power output is here, and the high-efficiency and high-power Vertex series modules are playing a critical role in the industry."
Image: https://www.trinasolar.com/sites/default/files/Vertex%20modules.jpg 
Caption: The Vertex module of Trina Solar that has just been shipped to the project in Sri Lanka.
About Trina Solar
Founded in 1997, Trina Solar is the world leading PV and smart energy total solution provider. The company engages in PV products R&D, manufacture and sales; PV projects development, EPC, O&M; smart micro-grid and multi-energy complementary systems development and sales, as well as energy cloud-platform operation. In 2018, Trina Solar launched Energy IoT brand, established the Trina Energy IoT Industrial Development Alliance together with leading enterprises and research institutes in China and around the world, and founded the New Energy IoT Industrial Innovation Center. With these actions, Trina Solar is committed to working with its partners to build the energy IoT ecosystem and develop an innovation platform to explore New Energy IoT, as it strives to be a leader in global intelligent energy. For more information, please visit www.trinasolar.com.


งานแสดงพืชสวนและไม้ดอก Hortiflorexpo IPM Shanghai 2021 เตรียมเปิดให้จองบูธปลายเดือนมีนาคมนี้

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว สถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมไม้ดอกเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่ยอมแพ้และพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อหาทางรอดจากแรงสั่นสะเทือนทางการเงินครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายดอกไม้หาทางติดต่อกับซัพพลายเออร์และตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่วยให้ทั้งผู้ปลูกไม้ดอกและร้านขายดอกไม้ข้ามผ่านวิกฤตด้วยช่องทางใหม่ในการค้าขาย ขณะเดียวกันก็มีการส่งดอกไม้สดไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่กำลังรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เพื่ออวยพรและสร้างความสุขให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมไม้ดอกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง สำนักงานศุลกากรในหลายพื้นที่ของจีนก็ใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อเร่งตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกเมล็ดพันธุ์และต้นกล้า ขณะเดียวกัน นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อรับประกันว่ามาตรการป้องกันและควบคุมของบริษัทต่าง ๆ มีความพร้อม ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมไม้ดอกสามารถกลับมาเดินสายการผลิตได้เต็มกำลังอีกครั้ง แม้ว่างานแสดงสินค้าจะถูกยกเลิกไปหลายงานในปี 2019 แต่เราเชื่อว่าจะเอาชนะไวรัสและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
งานแสดงพืชสวนและไม้ดอก Hortiflorexpo IPM Shanghai ครั้งที่ 23 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 เมษายน 2021 ณ ศูนย์แสดงสินค้า Shanghai New International Expo Center (ฮอลล์ W2-W5) ในฐานะงานแสดงพืชสวนและไม้ดอกสุดยิ่งใหญ่ของเอเชีย Hortiflorexpo IPM Shanghai ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานถึง 22 ปี งานนี้จัดโดยสมาคมไม้ดอกแห่งประเทศจีน (China Flower Association: CFA) ภายใต้การดูแลของบริษัท Shanghai Intex Exhibition และ China Great Wall International Exhibition โดยจัดสลับกันในเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม
การจัดงานในปี 2019 ที่เซี่ยงไฮ้ สามารถดึงดูดผู้เข้าชมงานมากถึง 52,362 คน รวมถึงผู้จัดแสดงสินค้าเกือบ 900 ราย จาก 30 ประเทศและดินแดนทั่วโลก
งานแสดงพืชสวนและไม้ดอก Hortiflorexpo IPM Shanghai 2021 จะแบ่งการจัดแสดงเป็นหลายส่วน รวมถึงมีการยกระดับประสบการณ์การชมงานและการมีปฏิสัมพันธ์ภายในงาน ตลอดจนรวบรวมทุกแง่มุมของพืชสวน ไม้ดอก และไลฟ์สไตล์ไว้ในที่เดียว พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจและความร่วมมือทางการค้าในระดับชาติและนานาชาติ
ทางผู้จัดงานจะเปิดให้จองบูธช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ สามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Hortiflorexpo IPM Shanghai ได้ทางบัญชี Wechat อย่างเป็นทางการที่ "hfexpo" หรือเว็บไซต์ www.hfexpo.org
Shanghai Intex Exhibition Co., Ltd.
www.hfexpo.org
ติดต่อ: Xinyi Dong / Angela Wan
โทร: +86-21-62957551/2075
อีเมล: dongxinyi@shanghai-intex.com / wanqi@shanghai-intex.com


ที่มา: พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

Hortiflorexpo IPM Shanghai 2021 will start booking in late March

At the beginning of 2020, the outbreak of Coronavirus Disease 2019 has caught people off guard and disrupted everyone's life. Under this sudden difficulty, flower industry also suffers a serious loss among all industries. However, people don't finch but start mutual self-help actions to find ways surviving from the financial shock. For example, flower store runners find new direction of suppliers and markets by using e-commerce platform, help both flower growers and florists to get through the crisis with new trading methods. Meanwhile, fresh flowers were transported to hospitals where face the outbreak of Coronavirus, carrying the blessings and happiness.
With the industrial enterprises gradually resuming, Chinese Customs in many places also took active measures to speed up the import and export inspection of plant seeds and seedlings. The relevant industrial parks cooperated with other parties to ensure that the prevention and control materials of the enterprises were in place, and under the premise of safety prevention and control, they promoted the resumption of production and jointly helped the flower industry to resume production capacity. Although many exhibitions have been cancelled in 2019, it is believed that we will get over the pandemic and difficulties it brought.
The 23rd Hortiflorexpo IPM Shanghai will be launched from 15 to 17 April 2021 in Shanghai New International Expo Center (Hall W2-W5) as scheduled. As being Asia's prestigious exhibition among flower, horticulture and gardening industries, Hortiflorexpo IPM Shanghai has been through over 22 years' development. The show is organized by China Flower Association, managed by Shanghai Intex Exhibition Co Ltd and China Great Wall International Exhibition Co Ltd alternately in Shanghai and Beijing in each April or May.
The 2019's Shanghai show has welcomed 52362 visitors on site, gathered with almost 900 exhibitors from 30 countries and regions from the globe.
Hortiflorexpo IPM Shanghai 2021 will further subdivide the exhibition categories, enhance the on-site experience and interaction, combine all aspects of flowers, horticulture, gardening and life style, and provide both international and domestic business possibilities and trade cooperation for exhibitors.
2021 booth booking will start in the end of March 2020. For updating news about Hortiflorexpo IPM Shanghai, please subscribe official Wechat Account "hfexpo" or simply visit www.hfexpo.org.
Shanghai Intex Exhibition Co., Ltd.
www.hfexpo.org
Contact: Xinyi Dong/Angela Wan
Tel:+86-21-62957551/2075
Email: dongxinyi@shanghai-intex.com / wanqi@shanghai-intex.com




โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ (SISB) นำวิธีตามแบบฉบับสิงคโปร์มาบริหารช่วงเวลาวิกฤต จนก้าวขึ้นเป็นต้นแบบในการจัดการและรับมือกับวิกฤตโควิด-19

นักเรียนของโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ สาขาประชาอุทิศ ที่ได้เคยมีการติดต่อใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้ถูกกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการครบกำหนดระยะเวลา 14 แล้ว และหลังจากได้รับการตรวจหาเชื้อ ไม่พบว่านักเรียนคนใดติดเชื้อไวรัสโควิด-19
รวมทั้งไม่ปรากฏรอยโรคใดๆ



ตลอดระยะเวลาแห่งความไม่แน่นอนที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารของโรงเรียน SISB ซึ่งประกอบไปด้วยชาวสิงคโปร์หลายท่าน มีความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการต่อสู้รับมือกับวิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ด้วยวิธีตามแบบฉบับชาวสิงคโปร์อย่างชัดเจน

“นอกจากระบบการศึกษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการเรียนหลักสูตรสิงคโปร์มีมาตรฐานที่สูง ยังมีค่านิยมหลายๆอย่างของสิงคโปร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการบริหารจัดการกับภาวะวิกฤตได้ดี เช่น การตัดสินใจที่ชัดเจนและรวดเร็ว ความโปร่งใสตรวจสอบได้ และการมองการณ์ไกล” กล่าวโดย คุณเคลวิน หรือ นาย ยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงเรียน SISB

ค่านิยมและหลักปฏิบัติที่ SISB ยึดถือมาโดยตลอด ทำให้โรงเรียนสามารถรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว

วันที่ 11 มีนาคม 2563 โรงเรียน SISB สาชาประชาอุทิศ ได้รับแจ้งว่า มีนักเรียนบางคนของโรงเรียนติดต่อใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ทางโรงเรียนได้ดำเนินการให้ผู้ปกครองมารับบุตรหลานกลับจากโรงเรียน พร้อมทั้งประกาศปิดโรงเรียนเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ทันที เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเขตได้เข้ามาที่โรงเรียน พร้อมให้คำแนะนำในการจัดการ และทางโรงเรียนได้จัดทำรายงานต่างๆส่งไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที

ขณะเดียวกันยังได้มีการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ด้วยการนำเอาเครื่องมือที่ดีที่สุดในการฆ่าเชื้อเข้ามาใช้ทำความสะอาดโรงเรียนอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีรังสี UV-C ในการกำจัดเชื้อโรคและฆ่าเชื้อ ซึ่งเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ห้องเรียนทุกห้องและทุกพื้นที่ของโรงเรียนได้ผ่านการฆ่าเชื้อโดยสมบูรณ์

ในวันเดียวกันกับวันที่โรงเรียนสั่งปิดโรงเรียนชั่วคราว SISB ได้เริ่มระบบการเรียนการสอนออนไลน์จากทางบ้าน เพื่อการเรียนที่ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าโรงเรียนจะปิด ความรวดเร็วในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความพยายามของโรงเรียนในการใช้การสื่อสารผ่านทางเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แอปพลิเคชันการเรียนที่มี และ ยิ่งไปกว่านั้นการเป็นโรงเรียนที่รองรับระบบปฏิบัติการของ Google อย่างสมบูรณ์แบบ จึงทำให้โรงเรียนเข้าถึงบริการต่างๆของ Google ที่เหมาะสมกับแผนการสอนที่ได้เตรียมไว้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

ในช่วงเวลาที่อาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นนี้ SISB จะยังคงติดต่อสื่อสารกับท่านผู้ปกครอง นักเรียน และพนักงานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เพื่อแจ้งถึงความเป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนด้วยความจริงใจ และจะไม่มีการบิดเบือน หรือ ปกปิดข้อมูลข่าวสาร

นางสาวเดวี่ ดู (Ms. Devi Du) ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนสามคนเรียนที่โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ สาขาประชาอุทิศ (นักเรียนระดับอนุบาล 1 ระดับประถม 1 และ เกรด 9) กล่าวว่า “คณะผู้บริหารโรงเรียนรับมือกับสถานการณ์ได้ดีและเร็วมาก ดิฉันรู้สึกอุ่นใจที่โรงเรียนมีการแจ้งข่าวสารให้ทราบอยู่ตลอด รู้สึกมั่นใจในระบบการรับมือกับการแก้สถานการณ์วิกฤตของโรงเรียนและรู้ว่าลูกๆของดิฉันจะปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”



LEADING THE WAY, SINGAPORE STYLE – SISB TAPS SINGAPORE METHODS TO BECOME ROLE MODEL IN COVID-19 FIGHT

Students from SISB (Pracha Uthit campus) who had direct and indirect contact with a positive case of COVID-19 have completed their 14-day quarantine, and none has tested positive for COVID-19 or displayed any symptoms.




Throughout these uncertain times, the management of SISB, which includes several Singaporeans, has been steadfast and resolute in its handling of the unprecedented crisis, using a distinctively Singapore style.

“Besides the proven education curriculum, there are other values closely associated with Singapore that are very effective in crisis management, such as decisiveness, transparency and foresight,” said Mr. Kelvin Koh, Chairman of the School Governing Boards.

An example of these values has been the speed of which SISB has been able to act when faced with the dynamic developments of the COVID-19 situation.

On March 11th, 2020, SISB (Pracha Uthit) was informed that some of its students had contact with a positive case of COVID-19. In less than three hours, arrangements were made for parents to collect their children from school, and to announce that the campus would be closed for extensive cleaning. Reports were made to the authorities immediately and health officials were at the school promptly to provide guidance.

Plans to bring in the best equipment to disinfect the campus were put into action immediately, including the use of UV-C (Ultraviolet light in the Cspectrum) technology to eradicate pathogens and thoroughly disinfect. In a matter of days, every room and every corner of the campus had been meticulously disinfected.

On the same day of the school closure, SISB implemented Home-Based Learning - online learning packages for students to continue learning from home. The speed of this implementation can be attributed to SISB’s ongoing efforts in utilising technology, such as high-speed Wi-Fi, educational applications, and the Google Suite of applications, which also played a key role in the effectiveness of SISB’s contact-tracing efforts.

And, amidst the constantly evolving crisis, SISB has kept its parents, students and staff informed of every decision made and every directive received with transparent and regular communication, without withholding any facts or information.

Ms. Devi Du, who has three children studying in SISB (Pracha Uthit) (Kindergarten 1, Primary 1, and Grade 9), said: “The school management reacts very quickly on every aspect and keeps me updated on what is happening. I feel very assured with the Singapore way of handling this crisis and I know my children will be safe.”



IMA(R) Launches New Data Analytics & Visualization Fundamentals Certificate(TM)

IMA(R) (Institute of Management Accountants), the association of accountants and financial professionals in business, has announced a new IMA Data Analytics & Visualization Fundamentals Certificate(TM) course, as part of an ongoing campaign to integrate knowledge and expertise in data analytics into the core skillset of the management accountant.

Logo

The course allows professionals and students to learn from industry experts who share their proficiency in and perspectives on emerging technologies, data analytics, and data visualization. Those who successfully complete the course will:

- Recognize the impact of technology and analytics on the accounting profession
- Demonstrate how data analytics can influence organizational strategy
- Identify ways data visualizations effectively enables appropriate business decisions

"The foundational knowledge and tools this course provides are critical to finance professionals and will better equip them in an environment where technology continues to disrupt and transform entire industries," said Debbie Warner, CAE, CPLP, Vice President, Education and Career Services at IMA.

The course's four modules will take learners from understanding the impact of technology and analytics on business processes to being able to apply skills in their careers. The modules include:

1. Becoming Data Driven: Introduces the changes impacting the accounting and finance profession due to emerging technology
2. Visualizing the Present and Predicting the Future: Discusses the various data visualization tools and the importance of choosing the right visualization based on one's audience
3. Applying Data Analytics and Visualization: Provides video-based tutorials for performing the required analytics, and then learners are asked to apply these techniques to answer in-depth, scenario-based exercises on data analytics and data visualization
4. Conclusion and Final Assessment: Reviews all lessons learned and culminates in a final assessment

With the most important business decisions increasingly driven by data, IMA's Data Analytics & Visualization Fundamentals Certificate is a pathway to acquiring data analytics skills and demonstrating an in-demand competency to employers.

IMA is offering this new certificate course to its members at no cost through April 30. To learn more about the course, please click here.

About IMA(R) (Institute of Management Accountants)
IMA(R), named the 2017 and 2018 Professional Body of the Year by The Accountant/International Accounting Bulletin, is one of the largest and most respected associations focused exclusively on advancing the management accounting profession. Globally, IMA supports the profession through research, the U.S. CMA(R) (Certified Management Accountant) and CSCA(R) (Certified in Strategy and Competitive Analysis) programs, continuing education, networking, and advocacy of the highest ethical business practices. IMA has a global network of more than 125,000 members in 150 countries and 300 professional and student chapters. Headquartered in Montvale, N.J., USA, IMA provides localized services through its four global regions: The Americas, Asia/Pacific, Europe, and Middle East/India. For more information about IMA, please visit www.imanet.org.



Fapon บริจาคส่วนประกอบชุดทดสอบ PCR จำนวน 3 ล้านชิ้นแก่ผู้ผลิตทั่วโลก พร้อมเปิดรับผู้ร่วมบริจาคเพิ่มเติม เพื่อสู้วิกฤตโควิด-19

Fapon Biotech Inc . (Fapon) บริษัทวัตถุดิบและโซลูชันการแพทย์สำหรับการวินิจฉัยร่างกายภายนอก (IVD) ครบวงจรชั้นนำระดับโลก ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถพัฒนาและผลิตน้ำยาได้อย่างรวดเร็ว ริเริ่มโครงการบริจาคทั่วโลกเพื่อมอบส่วนประกอบชุดทดสอบ PCR จำนวน 3 ล้านชิ้นให้กับบรรดาพันธมิตรด้าน IVD ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้ผลิตน้ำยา PCR ส่วนใหญ่ในจีนล้วนใช้ผลิตภัณฑ์ของ Fapon ในการพัฒนาและผลิตชุดทดสอบโควิด-19 ขณะที่บริษัทขับเคลื่อนด้วยพันธกิจคือ "พัฒนาสุขภาพมนุษย์และพัฒนามนุษย์" โดยมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือพันธมิตรทั่วโลก


"Fapon ได้แสดงให้เห็นถึงพลังในการวินิจฉัยที่ไม่มีใครเทียบในสถานการณ์การแพร่ระบาดขณะนี้ เราผลักดันการวินิจฉัยโควิด-19 โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมด้วยผลิตภัณฑ์และการสนับสนุนทางเทคนิค" ซีอีโอของ Fapon กล่าว

"เมื่อตอนที่โควิด-19 แพร่ระบาดในจีน เราได้สั่งการให้พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมต้องขาดแคลนวัตถุดิบทำน้ำยา เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีน้ำยาส่งให้กับ CDC, โรงพยาบาล, ICL และอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ และในปัจจุบันที่กลุ่มผู้ผลิต IVD ทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายคล้ายกันในการสร้างชุดทดสอบโควิด-19 เราก็ยังคงบริจาคและสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง"

Fapon เป็นหนึ่งในบริษัทที่ตอบสนองในการเข้าให้ความช่วยเหลือเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีนเป็นรายแรก ๆ ตั้งแต่ที่การแพร่ระบาดเริ่มขึ้นในช่วงเริ่มต้นวันหยุดเทศกาลตรุษจีน โดย Fapon ได้จัดตั้งทีมรับมือฉุกเฉินภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อให้บริการโซลูชัน PCR แก่พันธมิตรอุตสาหกรรมกว่า 80 ราย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพันธมิตร IVD ในทันที และเพื่อมอบความช่วยเหลือในการคัดกรองและวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโควิด-19 Fapon ก็ได้มอบผลิตภัณฑ์ 2 ล้านชิ้นให้ฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่ายให้กับผู้สั่งซื้อในประเทศ

Fapon ได้แบ่งปันข่าวของโควิด-19 ให้กับพันธมิตรในต่างประเทศมาตั้งแต่เดือนมกราคม และปูทางสู่ความเห็นชอบในการพัฒนาการทดสอบโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง และในเดือนมีนาคมนี้ Fapon ก็ได้ขยายการบริจาคสู่ระดับโลก โดยมีพันธมิตรในต่างแดนสมัครเข้าร่วมแอปพลิเคชันเพื่อหาการวิจัยและพัฒนาและช่วยเหลือด้านการผลิตน้ำยาตรวจหาเชื้อโควิด-19 ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานของ Fapon ยังทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถจัดส่งน้ำยาให้กับอุตสาหกรรม IVD ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง Fapon มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับโควิด-19 และได้เชิญชวนให้พันธมิตรด้าน IVD เข้าร่วมในการบริจาคเพิ่มขึ้นอีก

เกี่ยวกับ Fapon

Fapon เป็นบริษัทวัตถุดิบและโซลูชัน IVD ครบวงจรชั้นนำระดับโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 Fapon มีวัตถุดิบทำน้ำยามากกว่า 700 ชนิดสำหรับทำชุดตรวจหาเชื้อรวดเร็ว, การวินัจฉัยระดับโมเลกุล, ELISA, CLIA, CMIA และแบบชีวเคมี ด้วยโซลูชันสำหรับ POCT, CLIA, Immunoturbidimetry ทำให้ Fapon สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในหลากหลายสถานการณ์ได้



Fapon Donation Reaches 3 Million PCR Test Components Globally and Welcomes More Participation

Fapon Biotech Inc. (Fapon), a global leading IVD raw materials and one-stop solutions company offering products and technologies to enable the rapid development and production of reagents, initiated a global donation to give a total of 3 million PCR test components to IVD partners. Most PCR reagent manufacturers in China are currently using Fapon products for COVID-19 test development and production. Driven by the corporate mission "Improving Human Health and Human Development", the company is dedicated to helping more overseas partners.

Fapon COVID-19 Global Donation

"Fapon has shown an unmatched diagnostic power in the current pandemic. We are driving the COVID-19 diagnosis by supporting the industry with products and technical supports," commented the CEO of Fapon.

"When the virus hit China, we gave in order to relieve the industry from reagent raw material shortage, ensuring a stable reagent supply in the CDC, hospitals, ICLs, etc. As our global IVD fellows are now facing similar challenges creating tests for COVID-19, we will keep running the donation and contributing efforts towards their battles."

Fapon was an early responder in joining the COVID-19 battle in China. When the outbreak hit at the beginning of the Chinese New Year holiday, Fapon built an Emergency Response Team within 24 hours to provide PCR solutions to over 80 industry partners. To boost the immediate participation of IVD partners, along with COVID-19 screening and diagnosis, Fapon offered 2 million free products in domestic sales orders.

Fapon has shared COVID-19 news with overseas partners since January, paving the way for a quick consensus in the COVID-19 assay development. In March, Fapon extended the donation to a global scale. Overseas partners have signed up for applications to seek R&D and production assistance in COVID-19 reagents. Furthermore, Fapon employees have been working around the clock to provide a sustainable supply to the global IVD industry. Fapon is committed to unremitting efforts in the COVID-19 battle and calls on more participation of IVD partners in the donation.

About Fapon

Fapon is a global leading IVD raw materials & one-stop solutions company founded in 2001. Fapon has 700+ reagent raw materials available for the application of Rapid Test, Molecular Diagnostics, ELISA, CLIA, CMIA, and Biochemistry. With the solutions for POCT, CLIA, Immunoturbidimetry, Fapon satisfies customers' needs in different application scenarios.



Singapore-headquartered Telehealth Start-up Doctor Anywhere Closes US$27 Million Series B Financing Led by Square Peg, EDBI and IHH Healthcare

Doctor Anywhere, a regional tech-led healthcare company headquartered in Singapore, announced today that it has secured a US$27 million Series B financing round led by Square Peg -- the largest venture capital fund in Australia, Singapore Government investment arm -- EDBI, and IHH Healthcare, a leading international healthcare provider. Rounding out this series of funding are Pavilion Capital and existing shareholder Kamet Capital, bringing Doctor Anywhere's total capital base to exceed US$40 million.

This makes it one of the largest financing raised by a Singapore health-tech start-up in less than two years. The latest investment will boost Doctor Anywhere's market leadership position in the health-tech industry in Asia, as it prepares for extensive expansion to augment the region's healthcare landscape through digital transformation, with the support of strong local and regional partners.

Lim Wai Mun, Founder and CEO, Doctor Anywhere, said: "I am thrilled to announce our partnership with this group of outstanding institutional investors, especially at a time when global healthcare challenges are top-of-mind in many countries."

"Our mission is to make healthcare cost-effective and accessible for everyone, and I feel grateful that our partners share the same vision of transforming the traditionally conservative healthcare industry. With our partners' significant influence and astute industry insights, we are rapidly becoming the leading tech-led health and wellness platform in Asia."

Doctor Anywhere also recently launched its platform in Thailand, in partnership with one of Thailand's most established private hospitals, and a global corporate insurance provider serving more than 95 million customers worldwide. Doctor Anywhere also operates in key cities of Vietnam, namely Hanoi and Ho Chi Minh City, with announcements on other regional plans in the pipeline due later this year.

Tushar Roy, Partner, Square Peg, said: "It is a privilege to partner with Wai Mun and the Doctor Anywhere team. The provision of high-quality, affordable care delivered digitally, is important for the continued development of Southeast Asian economies. While high smartphone penetration and a fast-rising middle class provide an attractive market for the company, its solutions are also highly applicable to help bridge the urban and rural divide in healthcare access that exists throughout the region."

Chu Swee Yeok, CEO and President, EDBI, said: "As one of the earliest digital health players in Singapore, Doctor Anywhere delivers the best of both virtual and in-person care, to bring choice, personalisation and improved healthcare outcomes to patients. As a homegrown company, Doctor Anywhere is actively supporting our nation's fight against COVID-19, by deploying its telemedicine platform at ferry terminal custom checkpoints and providing medical services to home-quarantined individuals. EDBI seeks to bolster Doctor Anywhere's journey as it continues to champion the adoption of telemedicine to bring healthcare accessibility and affordability to all patients in Southeast Asia."

Dr Kelvin Loh, Managing Director and Chief Executive Officer of IHH Healthcare, said, "IHH is transforming healthcare to make it as convenient as possible for our patients. As part of this journey, IHH is very pleased to partner with Doctor Anywhere. Their end-to-end digital platform enables patients to schedule and receive virtual consultations with a doctor anytime, anywhere. Prescribed medications can also be delivered right to their home. The partnership is immediately synergistic in Singapore which is one of IHH's home markets."

Danny Wong, Pavilion Capital, said: "We are pleased to support Doctor Anywhere. With a compelling vision and comprehensive platform capabilities, Doctor Anywhere is building the leading regional telehealth network to improve healthcare access in Southeast Asia."

Kerry Goh, CEO and Co-Founder, Kamet Capital, said: "Since the beginning, Kamet Capital shared Doctor Anywhere's vision to make high quality healthcare accessible and cost-effective for everyone with the help of technology. We are pleased to continue our partnership to provide mentorship and business advice to Doctor Anywhere, in alignment with our commitment to creating and growing local champions - particularly in healthcare and technology."

About Doctor Anywhere

Doctor Anywhere is a regional tech-led healthcare company headquartered in Singapore. With a strong network of established healthcare providers and experienced doctors, Doctor Anywhere's digital platform enables users to manage their health easily and effectively through the Doctor Anywhere mobile app. Users can consult a licensed local doctor anytime, anywhere, and get medication delivered to their doorsteps within hours. Medical history, health reports, and other documents are stored in-app for easy access. Doctor Anywhere now serves more than one million, and growing, users on its online and offline platforms.

Complementing this ecosystem is the DA Marketplace. Users can shop for a wide range of health and wellness products and services, such as nutritional supplements, skincare products, physical therapy sessions, and even book home-based healthcare services -- all in one place.

For more information, please visit: https://doctoranywhere.com

About Square Peg

Square Peg is a venture capital firm on a mission to empower exceptional founders. It invests in technology companies across Australia, Israel and Southeast Asia at the Series A and B stage. Square Peg is investing out of its US$230 million 2018 fund and manages more than US$0.8 billion in capital commitments.

About EDBI

Investing since 1991, EDBI is a Singapore-based global investor in select high growth technology sectors ranging from Healthcare (HC), Information & Communication Technology (ICT), Emerging Technology (ET), and other strategic industries. As a value creating investor, EDBI assists companies in achieving their ambitious goals by leveraging our broad network, resources and expertise. With our growth capital, EDBI supports companies seeking to grow in Asia and globally through Singapore.

About IHH Healthcare

IHH Healthcare is a leading international healthcare provider in markets where the demand for quality care is strong and growing. We are one of the largest healthcare groups in the world by market capitalisation and are listed on the Main Market of Bursa Malaysia and the Main Board of SGX-ST.

Employing more than 55,000 people and operating over 15,000 licensed beds across 77 hospitals in 10 countries worldwide, the Group offers the full spectrum of integrated healthcare services from clinics to hospitals to quaternary care and a wide range of ancillary services

IHH is the leading player in its home markets of Malaysia, Singapore, Turkey and India, and key growth markets of Mainland China and Hong Kong. For more information, please visit www.ihhhealthcare.com.

About Pavilion Capital

Pavilion Capital is a Singapore-based investment firm that is focused on private equity investments in North Asia and Southeast Asia.

About Kamet Capital

Kamet Capital is a professional family office managing the private activities and investments of a small and growing group of billionaire families. We are in the inner circle of new-economy founders and entrepreneurs who entrust Kamet Capital to manage and advise the bulk of their private wealth. We help families plan and structure their private assets, provide in-house administrative support, invest globally, and progress on their philanthropic endeavours. Kamet Capital started in 2017 and is regulated as a Capital Markets License holder by the Monetary Authority of Singapore (MAS).



จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เปิดตัววัคซีนตัวเลือกป้องกันโควิด-19 พร้อมประกาศความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐ และพันธสัญญาผลิตวัคซีน 1 พันล้านโดสให้ใช้ทั่วโลกเพื่อรับมือการแพร่ระบาดฉุกเฉิน

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วมกับ BARDA ทุ่มงบกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มวิจัยวัคซีนตัวเลือกทางคลินิกในเฟสแรกอย่างช้าสุดในเดือนกันยายน 2563 นี้



จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เตรียมสร้างโรงงานผลิตวัคซีนใหม่ในสหรัฐ และโรงงานผลิตเพิ่มเติมนอกสหรัฐ เพื่อเริ่มการผลิตที่มีความเสี่ยงเพื่อช่วยรับประกันการผลิตวัคซีนให้กับทั่วโลก

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (NYSE: JNJ) (บริษัท) ประกาศผลการคัดเลือกวัคซีนตัวเลือก (vaccine candidate) เพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 จากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่บริษัทได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กับสำนักวิจัยและพัฒนาขั้นสูงทางชีวการแพทย์ (BARDA) และการขยายกำลังการผลิตของบริษัทอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหาวัคซีนจำนวนมากกว่า 1 พันล้านโดสให้ทั่วโลก ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเริ่มทำการทดลองวัคซีนตัวเลือกดังกล่าวทางคลินิกในมนุษย์อย่างช้าที่สุดภายในเดือนกันยายนปีนี้ และคาดว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 กลุ่มแรก จะสามารถผลิตเพื่ออนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่เร็วขึ้นอย่างมากแล้วเมื่อเทียบกับขั้นตอนการพัฒนาวัคซีนทั่วไป

ด้วยการเป็นพันธมิตรใหม่ที่สำคัญครั้งนี้ BARDA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายการเตรียมความพร้อมและการตอบสนอง (ASPR) ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จึงได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อร่วมสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และทดลองวัคซีนทางคลินิก โดยจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะใช้แพลตฟอร์มวัคซีนที่ได้รับการรับรองแล้ว และจัดสรรทรัพยากร ซึ่งรวมถึงบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานไปทั่วโลกตามที่จำเป็น เพื่อให้ความสำคัญกับความพยายามดังกล่าว ขณะเดียวกัน BARDA และบริษัทได้จัดหาเงินทุนเพิ่มเติม ที่จะทำให้สามารถขยายการทำงานในขณะนี้ เพื่อหาเทคนิคต้านไวรัสเพื่อรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ตามพันธกิจของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะขยายกำลังการผลิตในระดับโลกของบริษัท ซึ่งรวมถึงผ่านการสร้างโรงงานผลิตวัคซีนใหม่ในสหรัฐ และการขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่น ๆ ด้วย โดยกำลังการผลิตเพิ่มเติมจะช่วยให้ผลิตวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว และจะสามารถจัดหาวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพได้กว่า 1 พันล้านโดสไปทั่วโลก บริษัทมีแผนที่จะเริ่มการผลิตที่มีความเสี่ยงในเร็ว ๆ นี้ และมีพันธกิจต่อการนำวัคซีนราคาย่อมเยามาให้แก่ประชาชนแบบไม่แสวงหากำไร เพื่อการนำใช้ในสภาวะโรคระบาดฉุกเฉิน

อเล็กซ์ กอร์สกี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสาธารณสุขเร่งด่วน และเราก็มีพันธกิจที่จะทำหน้าที่ในส่วนของเรา เพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาในราคาที่เอื้อมถึงทั่วโลกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในฐานะบริษัทเฮลธ์แคร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบอันลึกซึ้งในการทำให้สุขภาพของผู้คนทั่วโลกดีขึ้นทุกวัน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ในสถานะที่มีความพร้อมยิ่ง เนื่องด้วยความชำนาญด้านวิทยาศาสตร์ ขนาดในการดำเนินงาน และความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อนำทรัพยากรของเรามาร่วมมือกับคนอื่น ๆ เพื่อเร่งการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ให้เร็วขึ้น”

นายแพทย์พอล สตอฟเฟิลส์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “เรานับถือความเชื่อมั่นและความสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐ ต่อความพยายามในการวิจัยและพัฒนาของเราเป็นอย่างยิ่ง ทีมผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้เพิ่มขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาของเราสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทีมของเราก็กำลังทำงานกันอย่างต่อเนื่องร่วมกับ BARDA พันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขทั่วโลก เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เลือกวัคซีนตัวเลือกจากกลุ่มองค์ประกอบที่เราได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคม เรากำลังเร่งกรอบเวลาให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทำการทดลองทางคลินิกในมนุษย์เฟสแรกอย่างช้าที่สุดภายในเดือนกันยายนปีนี้ และได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตทั่วโลกที่เรากำลังขยายให้เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการทดสอบครั้งนี้ เราคาดว่า วัคซีนจะพร้อมสำหรับการใช้ฉุกเฉินได้ในต้นปีหน้า”

วัคซีนตัวเลือกป้องกันโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เริ่มดำเนินความพยายามในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทันทีที่ลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ได้ปรากฏออกมา เพื่อวิจัยวัคซีนตัวเลือกที่มีศักยภาพดี โดยทีมวิจัยของแจนส์เซน ด้วยความร่วมมือกับศูนย์การแพทย์ Beth Israel Deaconess Medical Center ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้คิดค้นและทดสอบวัคซีนตัวเลือกหลายรายการโดยใช้เทคโนโลยี AdVac(R) ของแจนส์เซน

ด้วยความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันวิชาการหลายแห่ง องค์ประกอบวัคซีนต่าง ๆ ได้ถูกทดสอบเพื่อค้นหาองค์ประกอบวัคซีนที่มีศักยภาพมากที่สุด ในการสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในการทดลองระดับพรีคลินิก

จากการทำงานดังกล่าว จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จึงได้เลือกวัคซีนตัวเลือกสำหรับการป้องกันโควิด-19 ตัวหลัก (โดยมีตัวสำรอง 2 รายการ) ซึ่งจะขยับเข้าสู่กระบวนการผลิตขั้นตอนแรก ๆ ภายใต้เวลาที่เร่งให้เร็วขึ้น บริษัทจึงตั้งเป้าหมายที่จะเริ่มการศึกษาทางคลินิกเฟสหนึ่งในเดือนกันยายนปีนี้ โดยคาดว่าข้อมูลทางคลินิกด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลจะออกมาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้สามารถผลิตวัคซีนเพื่อการใช้ฉุกเฉินได้ในช่วงต้นปีหน้า และเมื่อเทียบกับขั้นตอนการพัฒนาวัคซีนทั่วไปแล้ว กระบวนการดังกล่าวต้องผ่านการวิจัยในขั้นต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลารวมกันนานถึง 5-7 ปี ก่อนที่จะมีการเลือกวัคซีนตัวเลือกเพื่อขอรับการอนุมัติต่อไป

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ทุ่มงบกว่าหลายพันล้านดอลลาร์ในการผลิตยาต้านไวรัสและวัคซีนมานานกว่า 20 ปีแล้ว และโครงการวัคซีนโควิด-19 ใช้เทคโนโลยี AdVac(R) และ PER.C6(R) ของแจนส์เซน ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาวัคซีนตัวเลือกใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และยกระดับการผลิตวัคซีนตัวเลือกที่เหมาะสม เทคโนโลยีเดียวกันนี้เคยถูกนำไปใช้พัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันอีโบลาของบริษัท และสร้างวัคซีนตัวเลือกป้องกันเชื้อซิกา อาร์เอสวี และ เอชไอวีของเรา ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาทางคลินิกเฟสสองหรือเฟสสาม

ยกระดับการวิจัยเทคนิคต้านไวรัส

นอกจากความพยายามเพื่อพัฒนาวัคซีนแล้ว BARDA และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังได้ขยายการเป็นพันธมิตร เพื่อเร่งงานของแจนส์เซนในการตรวจคัดกรองคลังสารเคมีที่เก็บไว้ (compound libraries) ซึ่งรวมสารเคมีจากบริษัทเวชภัณฑ์อื่น ๆ ด้วย บริษัทมีเป้าหมายที่จะหาวิธีการรักษาที่มีโอกาสในการต่อต้านเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยทั้งจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ BARDA จะให้เงินทุนสนับสนุนตามการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ความพยายามในการคัดกรองการต่อต้านไวรัสนี้เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือกับสถาบันเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ Rega (KU Leuven/University of Leuven) ในเบลเยียม

ตามที่ประกาศไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทและ BARDA ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรทั่วโลก เพื่อตรวจคัดกรองห้องสมุดที่เก็บโมเลกุลต่อต้านไวรัสของแจนส์เซน เพื่อเร่งการค้นหาวิธีรักษาโควิด-19 ให้เร็วขึ้น

โรคโควิด-19 มีต้นเหตุจากกลุ่มไวรัสที่มีชื่อว่าโคโรนาซึ่งโจมตีระบบทางเดินหายใจ ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีน การรักษา หรือยารักษาโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการแบบหลายด้านของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ได้ที่ www.jnj.com/coronavirus

เกี่ยวกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

เราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีคือรากฐานของชีวิตที่สดใส ชุมชนที่เจริญรุ่งเรือง และอนาคตที่ก้าวหน้า ตลอดระยะเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมา เราจึงมุ่งมั่นสร้างเสริมสุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัยและทุกช่วงของชีวิต ปัจจุบัน เราเป็นบริษัทเฮลธ์แคร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโลก และจะใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการทำประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป เรามุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงสร้างสรรค์ชุมชนที่มีสุขภาพดีกว่าเดิม ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกคนทั่วโลกได้มีสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสภาพแวดล้อมที่ดี เราใช้หัวใจ วิทยาศาสตร์ และความรอบรู้ ในการเปลี่ยนแปลงวิถีสุขภาพเพื่อมวลมนุษยชาติ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jnj.com ติดตามเราได้ที่ @JNJNews

เกี่ยวกับแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล

ที่แจนส์เซน เรากำลังสร้างอนาคตที่โรคร้ายเป็นเรื่องในอดีต เราเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้อนาคตที่วางไว้กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับผู้ป่วยในทุกที่ ด้วยการต่อสู้กับความเจ็บป่วยด้วยวิทยาศาสตร์ ปรับปรุงช่องทางเข้าถึงให้ดีขึ้นด้วยความชาญฉลาด และรักษาความสิ้นหวังด้วยหัวใจ เราให้ความสำคัญกับเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเราสามารถสร้างความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดได้ ซึ่งได้แก่โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเผาผลาญ, ระบบภูมิคุ้มกัน, โรคติดต่อ & วัคซีน, ประสาทวิทยาศาสตร์, มะเร็งวิทยา และภาวะความดันเลือดในปอดสูง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.janssen.com และติดตามเราได้ที่ @JanssenGlobal

หมายเหตุถึงนักลงทุนเกี่ยวกับข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มี "ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต" ตามที่นิยามไว้ในกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 ในส่วนของความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกลวิธีที่มีศักยภาพป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 อ่านไม่ควรยึดถือข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตมากเกินไป เพราะข้อความเหล่านี้อิงตามการคาดการณ์ในปัจจุบัน หากข้อสันนิษฐานไม่ถูกต้อง หรือความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนที่ทราบหรือไม่ทราบมาก่อนเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่แท้จริงก็อาจจะแตกต่างไปอย่างมากจากการคาดการณ์และการประมาณการณ์ของแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล และ/หรือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ความท้าทายและความไม่แน่นอนที่อยู่ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนของความสำเร็จทางคลินิก และการได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบ ความไม่แน่นอนในเรื่องความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ความยากลำบากและความล่าช้าในการผลิต การแข่งขัน ซึ่งรวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ใหม่ และสิทธิบัตรที่คู่แข่งได้ไป การยื่นคัดค้านสิทธิบัตร ประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ หรือความกังวลเรื่องความปลอดภัยอันเป็นผลมาจากการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ หรือการดำเนินการด้านกฎระเบียบ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และรูปแบบการใช้จ่ายของผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์และบริการด้านดูแลสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้บังคับ รวมทั้งการปฏิรูปการดูแลสุขภาพทั่วโลก และแนวโน้มต่อการจำกัดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่น ๆ สามารถอ่านได้ในรายงานประจำปีของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บน Form 10-K สำหรับปีการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2562 ซึ่งรวมถึงในส่วนที่ระบุว่า “Cautionary Note Regarding Forward-Looking Statements” และ “Item 1A. Risk Factors” และในรายงานประจำไตรมาสบน Form 10-Q ที่ทางบริษัทได้ยื่นไปล่าสุด ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ โดยสำเนาของเอกสารดังกล่าวและเอกสารที่ยื่นในภายหลัง มีการเผยแพร่ในระบบออนไลน์ผ่านทาง www.sec.gov, www.jnj.com หรือสามารถขอได้จากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ทั้งนี้ แจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไม่มีพันธะผูกพันในการปรับปรุงข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตใด ๆ แม้ว่าจะมีข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดเกิดขึ้นในอนาคต

Johnson & Johnson Announces a Lead Vaccine Candidate for COVID-19; Landmark New Partnership with U.S. Department of Health & Human Services; and Commitment to Supply One Billion Vaccines Worldwide for Emergency Pandemic Use

Johnson & Johnson and BARDA Together Commit More than $1 Billion to Novel Coronavirus Vaccine Research and Development; Company Expects to Initiate Phase 1 Human Clinical Studies of Vaccine Candidate at Latest by September 2020


Johnson & Johnson Will Establish New U.S. Vaccine Manufacturing Capabilities and Additional Production Capacity Outside the U.S. to Begin Production at Risk to Help Ensure Global Vaccine Supply

Johnson & Johnson (NYSE: JNJ) (the Company) today announced the selection of a lead COVID-19 vaccine candidate from constructs it has been working on since January 2020; the significant expansion of the existing partnership between the Janssen Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson and the Biomedical Advanced Research and Development Authority (BARDA); and the rapid scaling of the Company's manufacturing capacity with the goal of providing global supply of more than one billion doses of a vaccine. The Company expects to initiate human clinical studies of its lead vaccine candidate at the latest by September 2020 and anticipates the first batches of a COVID-19 vaccine could be available for emergency use authorization in early 2021, a substantially accelerated timeframe in comparison to the typical vaccine development process.

Through a landmark new partnership, BARDA, which is part of the Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response (ASPR) at the U.S. Department of Health and Human Services, and Johnson & Johnson together have committed more than $1 billion of investment to co-fund vaccine research, development, and clinical testing. Johnson & Johnson will use its validated vaccine platform and is allocating resources, including personnel and infrastructure globally, as needed, to focus on these efforts. Separately, BARDA and the Company have provided additional funding that will enable expansion of their ongoing work to identify potential antiviral treatments against the novel coronavirus. 

As part of its commitment, Johnson & Johnson is also expanding the Company's global manufacturing capacity, including through the establishment of new U.S. vaccine manufacturing capabilities and scaling up capacity in other countries. The additional capacity will assist in the rapid production of a vaccine and will enable the supply of more than one billion doses of a safe and effective vaccine globally. The Company plans to begin production at risk imminently and is committed to bringing an affordable vaccine to the public on a not-for-profit basis for emergency pandemic use.

Alex Gorsky, Chairman and Chief Executive Officer, Johnson & Johnson, said, "The world is facing an urgent public health crisis and we are committed to doing our part to make a COVID-19 vaccine available and affordable globally as quickly as possible. As the world's largest healthcare company, we feel a deep responsibility to improve the health of people around the world every day. Johnson & Johnson is well positioned through our combination of scientific expertise, operational scale and financial strength to bring our resources in collaboration with others to accelerate the fight against this pandemic."

Paul Stoffels, M.D., Vice Chairman of the Executive Committee and Chief Scientific Officer, Johnson & Johnson, said, "We greatly value the U.S. government's confidence and support for our R&D efforts. Johnson & Johnson's global team of experts has ramped up our research and development processes to unprecedented levels, and our teams are working tirelessly alongside BARDA, scientific partners, and global health authorities. We are very pleased to have identified a lead vaccine candidate from the constructs we have been working on since January. We are moving on an accelerated timeline toward Phase 1 human clinical trials at the latest by September 2020 and, supported by the global production capability that we are scaling up in parallel to this testing, we expect a vaccine could be ready for emergency use in early 2021."

Johnson & Johnson's Lead COVID-19 Vaccine Candidate

Johnson & Johnson began efforts in January 2020, as soon as the novel coronavirus (COVID-19) sequence became available, to research potential vaccine candidates. Research teams at Janssen, in collaboration with Beth Israel Deaconess Medical Center, part of Harvard Medical School, constructed and tested multiple vaccine candidates using the Janssen AdVac(R) technology.

Through collaborations with scientists at multiple academic institutions, the vaccine constructs were then tested to identify those with the most promise in producing an immune response in preclinical testing.

Based on this work, Johnson & Johnson has identified a lead COVID-19 vaccine candidate (with two back-ups), which will progress into the first manufacturing steps. Under an accelerated timeline, the Company is aiming to initiate a Phase 1 clinical study in September 2020, with clinical data on safety and efficacy expected to be available by the end of the year. This could allow vaccine availability for emergency use in early 2021. For comparison, the typical vaccine development process involves a number of different research stages, spanning 5 to 7 years, before a candidate is even considered for approval.

For more than 20 years, Johnson & Johnson has invested billions of dollars in antivirals and vaccine capabilities. The COVID-19 vaccine program is leveraging Janssen's proven AdVac(R) and PER.C6(R) technologies that provide the ability to rapidly develop new vaccine candidates and upscale production of the optimal vaccine candidate. The same technology was used to develop and manufacture the Company's Ebola vaccine and construct our Zika, RSV, and HIV vaccine candidates which are in Phase 2 or Phase 3 clinical development stages.

Expanded Antiviral Research

In addition to the vaccine development efforts, BARDA and Johnson & Johnson have also expanded their partnership to accelerate Janssen's ongoing work in screening compound libraries, including compounds from other pharmaceutical companies. The Company's aim is to identify potential treatments against the novel coronavirus. Johnson & Johnson and BARDA are both providing funding as part of this partnership. These antiviral screening efforts are being conducted in partnership with the Rega Institute for Medical Research (KU Leuven/University of Leuven), in Belgium.

As announced in February 2020, the Company and BARDA have been working closely with global partners to screen Janssen's library of antiviral molecules to accelerate the discovery of potential COVID-19 treatments.

COVID-19 belongs to a group of viruses called coronaviruses that attack the respiratory system. There is currently no approved vaccine, treatment or cure for COVID-19.

For more information on Johnson & Johnson's multi-pronged approach to combatting the pandemic, visit: www.jnj.com/coronavirus.

About Johnson & Johnson

At Johnson & Johnson, we believe good health is the foundation of vibrant lives, thriving communities and forward progress. That's why for more than 130 years, we have aimed to keep people well at every age and every stage of life. Today, as the world's largest and most broadly-based healthcare company, we are committed to using our reach and size for good. We strive to improve access and affordability, create healthier communities, and put a healthy mind, body and environment within reach of everyone, everywhere. We are blending our heart, science and ingenuity to profoundly change the trajectory of health for humanity. Learn more at www.jnj.com. Follow us at @JNJNews.

About the Janssen Pharmaceutical Companies

At Janssen, we're creating a future where disease is a thing of the past. We're the Pharmaceutical Companies of Johnson & Johnson, working tirelessly to make that future a reality for patients everywhere by fighting sickness with science, improving access with ingenuity, and healing hopelessness with heart. We focus on areas of medicine where we can make the biggest difference: Cardiovascular & Metabolism, Immunology, Infectious Diseases & Vaccines, Neuroscience, Oncology, and Pulmonary Hypertension. Learn more at www.janssen.com. Follow us at @JanssenGlobal.

Notice to Investors Concerning Forward-Looking Statements

This press release contains "forward-looking statements" as defined in the Private Securities Litigation Reform Act of 1995 regarding development of potential preventive and treatment regimens for COVID-19. The reader is cautioned not to rely on these forward-looking statements. These statements are based on current expectations of future events. If underlying assumptions prove inaccurate or known or unknown risks or uncertainties materialize, actual results could vary materially from the expectations and projections of the Janssen Pharmaceutical Companies and/or Johnson & Johnson. Risks and uncertainties include, but are not limited to: challenges and uncertainties inherent in product research and development, including the uncertainty of clinical success and of obtaining regulatory approvals; uncertainty of commercial success; manufacturing difficulties and delays; competition, including technological advances, new products and patents attained by competitors; challenges to patents; product efficacy or safety concerns resulting in product recalls or regulatory action; changes in behavior and spending patterns of purchasers of health care products and services; changes to applicable laws and regulations, including global health care reforms; and trends toward health care cost containment. A further list and descriptions of these risks, uncertainties and other factors can be found in Johnson & Johnson's Annual Report on Form 10-K for the fiscal year ended December 29, 2019, including in the sections captioned "Cautionary Note Regarding Forward-Looking Statements" and "Item 1A. Risk Factors," and in the company's most recently filed Quarterly Report on Form 10-Q, and the company's subsequent filings with the Securities and Exchange Commission. Copies of these filings are available online at www.sec.gov, www.jnj.com or on request from Johnson & Johnson. None of the Janssen Pharmaceutical Companies nor Johnson & Johnson undertakes to update any forward-looking statement as a result of new information or future events or developments.