Wednesday, July 31, 2024

เอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป เผยผลงานความสำเร็จด้านการเติบโตและความยั่งยืน

นิปปอน เอ็กซ์เพรส โฮลดิงส์ อิงค์

เอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป (NX Group) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลก ได้เปิดเผยรายงานบูรณาการประจำปี 2567 ของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป (NX Group Integrated Report 2024) และรายงานข้อมูลความยั่งยืนประจำปี 2567 ของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป (NX Group Sustainability Data Book 2024) เมื่อวันพุธที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการริเริ่มต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจของทางเครือบริษัทมีความเป็นสากล สร้างผลกำไร และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

โลโก้ของเอ็นเอ็กซ์: https://kyodonewsprwire.jp/img/202407264236-O3-CqYxPxH8

รูปภาพ 1: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M103866/202407264236/_prw_PI4fl_35n0Y1LU.jpg

รูปภาพ 2: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M103866/202407264236/_prw_PI5fl_ERGHC5SM.jpg

รายงานบูรณาการฉบับนี้เน้นย้ำ 3 ประเด็นสำคัญจากแผนบริหาร 5 ปีล่าสุดของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกและการเติบโตทางธุรกิจ การยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจและผลกำไรเพื่อเสริมสร้างมูลค่าองค์กร และการผลักดันการบริหารจัดการที่ยั่งยืนให้เป็นรากฐานของทุกกิจกรรมทางธุรกิจ

รายงานดังกล่าวยังให้ข้อมูลอัปเดตนโยบายและกลยุทธ์ต่าง ๆ ของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ภายใต้การนำของคุณซาโตชิ โฮริคิริ (Satoshi Horikiri) ประธานคนใหม่ของนิปปอน เอ็กซ์เพรส โฮลดิงส์ (NIPPON EXPRESS HOLDINGS) รวมถึงแผนบริหาร 5 ปี (แผนบริหารเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ปี 2571: การเติบโตแบบก้าวกระโดด 2.0 - เร่งการเติบโตในระดับโลก) และการปรับโครงสร้างเป็นระบบคณะกรรมการตรวจสอบ

รายงานนี้ยังกล่าวถึงความริเริ่มในการขยายธุรกิจในตลาดโลก รวมถึงความสำเร็จในการผนวกรวมกิจการอย่างราบรื่นกับคาร์โก-พาร์ทเนอร์ (cargo-partner) บริษัทโลจิสติกส์สัญชาติออสเตรียที่เอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป เข้าซื้อกิจการเสร็จสิ้นเมื่อเดือนมกราคม 2567 การควบรวมครั้งนี้สร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และช่วยผลักดันให้เอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ก้าวสู่การเป็นตัวแทนให้บริการขนส่งสินค้าระดับโลกอย่างแท้จริง

คุณโฮริคิริ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในตลาดโลกให้เติบโตยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มฐานลูกค้าและขยายขอบเขตบริการของเรา"

ส่วนรายงานข้อมูลความยั่งยืนนั้นได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ในการรับมือกับประเด็นสำคัญอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าองค์กรด้วยการตอบสนองความต้องการของผู้คน ธุรกิจ และสังคม

รายงานฉบับนี้ยังได้นำเสนอความพยายามของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป ในการรับมือกับประเด็นความยั่งยืนที่สำคัญ โดยมองผ่านมุมมองด้าน "คุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม" "คุณค่าต่อสังคม" "คุณค่าทางเศรษฐกิจ" และ "ธรรมาภิบาล" นอกจากนี้ ทางกลุ่มบริษัทยังได้ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ในส่วนของความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อให้ข้อมูลมีความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

เว็บไซต์

1. "รายงานบูรณาการประจำปี 2567 ของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป": https://www.nipponexpress-holdings.com/en/ir/library/annual/

2. "รายงานข้อมูลความยั่งยืนประจำปี 2567 ของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป": https://www.nipponexpress-holdings.com/en/sustainability/report/

3. หน้าเว็บหัวข้อความยั่งยืนที่ปรับปรุงใหม่บนเว็บไซต์ของนิปปอน เอ็กซ์เพรส โฮลดิงส์: https://www.nipponexpress-holdings.com/en/sustainability/

เกี่ยวกับเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป: https://kyodonewsprwire.jp/attach/202407264236-O1-08DDWm7y.pdf

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป: https://www.nipponexpress.com/

บัญชีลิงด์อินอย่างเป็นทางการของเอ็นเอ็กซ์ กรุ๊ป: https://www.linkedin.com/company/nippon-express-group/

ที่มา: นิปปอน เอ็กซ์เพรส โฮลดิงส์ อิงค์ 

NX Group Reports on Growth and Sustainability Efforts

NIPPON EXPRESS HOLDINGS, INC.

The NX Group, one of the world's leading logistics providers, on Wednesday, July 31, published the NX Group Integrated Report 2024 and NX Group Sustainability Data Book 2024 detailing initiatives to make the group's businesses even more global, profitable, and sustainable.

NX Logo: https://kyodonewsprwire.jp/img/202407264236-O3-CqYxPxH8

Image1: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M103866/202407264236/_prw_PI4fl_35n0Y1LU.jpg

Image2: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M103866/202407264236/_prw_PI5fl_ERGHC5SM.jpg

The Integrated Report focuses on three key points from the group's latest five-year management plan: improving global competitiveness and achieving business growth; enhancing corporate value by increasing business competitiveness and profitability; and promoting sustainability management as the foundation for all its business activities.

The report provides updates on policies and strategies of the NX Group under new NIPPON EXPRESS HOLDINGS President Satoshi Horikiri; the five-year management plan (NX Group Management Plan 2028: Dynamic Growth 2.0 - Accelerating Global Growth); and the transition to an Audit Committee structure.

Global-growth initiatives described in the report include the smooth integration of cargo-partner, the Austrian logistics company whose acquisition by the NX Group was completed in January 2024. The combination is creating value for stakeholders and helping to transform the NX Group into a truly global forwarder.

"We will further grow our global business by increasing our customer base and expanding the range of services we offer," Horikiri said.

The Sustainability Data Book explains in detail how the NX Group aims to address important issues such as climate change; contribute to global prosperity; and enhance corporate value by addressing the needs of people, businesses, and society.

The data book outlines the NX Group's efforts to address major sustainability issues from the perspectives of "environmental value," "social value," "economic value," and "governance." In addition, the Sustainability page on the group website has been revamped to provide information in an easy-to-understand manner.

Websites

1. "NX GROUP Integrated Report 2024": https://www.nipponexpress-holdings.com/en/ir/library/annual/

2. "NX GROUP Sustainability Data Book 2024": https://www.nipponexpress-holdings.com/en/sustainability/report/

3. Updated sustainability page on NIPPON EXPRESS HOLDINGS website: https://www.nipponexpress-holdings.com/en/sustainability/

About the NX Group: https://kyodonewsprwire.jp/attach/202407264236-O1-08DDWm7y.pdf

NX Group official website: https://www.nipponexpress.com/

NX Group's official LinkedIn account: https://www.linkedin.com/company/nippon-express-group/

Source: NIPPON EXPRESS HOLDINGS, INC. 

สยามพิวรรธน์ ร่วมกับ สถาปัตย์ จุฬา ฯ เปิดตัวหลักสูตรสร้างผู้นำการบริหารจัดการศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน ครั้งแรกในประเทศไทย

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับ สยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่น อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอ้าท์เล็ต กรุงเทพ เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยกับหลักสูตร WORLD CLASS SHOPPING MALL ECOSYSTEM DEVELOPMENT: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future เพื่อพัฒนาองค์ความรู้สู่ความเป็นเลิศด้านการบริหารศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในธุรกิจการค้าปลีกและยกระดับความสามารถของคนไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ตอกย้ำแนวคิดการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสสำหรับทุกภาคส่วน ผ่านการเรียนรู้หลักการและแนวคิดจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติ สู่การเข้าใจถึงบทบาทของศูนย์การค้ากับเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับเมือง และศึกษาดูงานเบื้องหลังการทำงานจริงจากกรณีศึกษาศูนย์การค้าระดับโลก

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และผู้นำในการบริหารจัดการศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน (Facility Management for Sustainability) เพื่อสร้างผลกระทบ (Impact) ด้านการจัดการ ESG ต่อการพัฒนาศูนย์การค้าไทยให้เติบโตไปพร้อมกัน รวมทั้งให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจถึงการบริหาร Shopping mall ทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบุคลากรทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและตระหนักกับความสำคัญของการจัดการร่วมกัน เนื่องจาก ในปัจจุบัน ศูนย์การค้าไทยติดอันดับหนึ่งในศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก เป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกปักหมุดให้เป็นสถานที่ที่ต้องมาเยือนสำหรับนักเดินทางจากทั่วโลก ศูนย์การค้าจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของเมือง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ร่วมกับสยามพิวรรธน์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำระดับโลก เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาผู้นำการบริหารจัดการศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน (Facility Management for Sustainability) เพื่อให้ศูนย์การค้าไทยสามารถร่วมสร้างรากฐานเศรษฐกิจและเติบโตไปพร้อมกับเมืองอย่างยั่งยืน

หลักสูตร World Class Shopping Mall Ecosystem Development: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future เป็นโครงการอบรมระยะสั้นเฉพาะทาง จัดขึ้นทุกวันเสาร์ ระหว่างวันที่ 14 ก.ย. - 2 พ.ย. 2567 จัดกิจกรรมโดยศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU D4S)


เนื้อหาหลักสูตรออกแบบพิเศษ ภายใต้แนวคิดการบริหารย่านศูนย์การค้า จากตึกสู่ย่าน จากย่านสู่เมือง สร้างความเข้าใจระบบนิเวศธุรกิจการค้า ตั้งแต่การริเริ่มโครงการ รู้ทันเทรนด์พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้า วิธีการและแนวทางดำเนินธุรกิจการค้าระดับโลก การออกแบบศูนย์การค้า การบริหารทรัพยากรกายภาพ งานบริหารอาคาร การดูแลรักษาระบบวิศวกรรมอาคาร ตลอดจนการจัดการย่านการค้าอย่างมืออาชีพ หลักสูตรได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น University College London และ Zurich University of Applied Sciences โดยมีคณาจารย์ วิทยากร และผู้นำ ผู้มีประสบการณ์ชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ อาทิ Prof. Michel Pitt และ Daniel Von Felten และ ผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญจาก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้า นักพัฒนาโครงการ นักพัฒนาธุรกิจ ผู้จัดการโครงการ ผู้จัดการอาคาร สถาปนิก วิศวกรประจำอาคาร

โดยการเปิดตัวหลักสูตรครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการศูนย์การค้า และ Community mall ทั่วประเทศ ซึ่งความสำเร็จของโครงการที่คาดว่าจะได้รับนอกจากจะเพื่อพัฒนาบุคลากร ยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพด้านการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับสากลแล้ว คณะสถาปัตย์จุฬาฯและสยามพิวรรธน์อคาเดมี มีแผนการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันในระยะยาว เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ด้านวิชาการและวิชาชีพ ผนึกกำลังระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมสู่ความยั่งยืน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า "คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีนโยบายในการขับเคลื่อนการเรียนรู้นอกหลักสูตรมากขึ้น เพื่อให้ตอบสนองกับอุตสาหกรรมและความต้องการของตลาดแรงงานในระบบเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับโครงการการจัดอบรมหลักสูตร World Class Shopping Mall Ecosystem Development ร่วมกับสยามพิวรรธน์ อคาเดมี เพื่อมุ่งหวังที่จะยกระดับในเรื่องของการต่อยอดองค์ความรู้ Upskill & Reskill ให้กับคนที่อยู่ในตลาดแรงงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมของศูนย์การค้า ที่มีการออกแบบและการจัดการอาคารของสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมากในเมือง โดยเฉพาะการบริหารจัดการศูนย์การค้าในประเทศไทยให้มีการพัฒนาและสามารถอยู่ร่วมกันกับการเติบโตของเมืองอย่างยั่งยืน มิได้สร้างปัญหาและในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของภูมิภาคของเมืองในระดับย่านให้เกิดการเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างเข้มแข็ง ดังนั้นการมีคนจำนวนมากอยู่ในศูนย์การค้า บุคลากรที่บริหารศูนย์การค้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานเรื่องระบบนิเวศศูนย์การค้า (Shopping Mall Ecosystem) ซึ่งหมายรวมถึงบทบาทและความเชื่อมต่อของศูนย์การค้ากับชุมชนและเมือง การออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของประชาชนและลูกค้า การบริหารจัดการนอกเวลา เวลาปิดเปิด การออกแบบที่เข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน ตลอดจนจิตวิทยาการบริหารงานต่างๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาและให้บริการประชาชนได้อย่างราบรื่น ด้วยการนี้ คณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ จึงต้องการสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อผลิตคนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านศูนย์การค้าของประเทศ"



คุณณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ เป็นผู้พัฒนาโครงการระดับโลกที่ได้ยึดมั่นในหลักการทำธุรกิจสู่ความยั่งยืนมาโดยตลอด และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีทีได้ร่วมผนึกกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับความรู้ความสามารถของบุคลากรในธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยให้ก้าวไปอีกขั้น โดยการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญในสายงานที่เกี่ยวข้องที่จะมาให้องค์ความรู้ต่างๆ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อสร้างประสบการณ์จริงเสมือนการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด สะท้อนถึงการเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตที่ดีและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกภาคส่วน (Well-growing platform) ของสยามพิวรรธน์อย่างชัดเจน ภายใต้โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (SIAM PIWAT Academy) สถาบันการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่นำองค์ความรู้ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีก แลกเปลี่ยนกับภาคการศึกษาไทย

ส่องไฮไลต์หลักสูตร:

  • ฟังการบรรยายและเสวนาจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและต่างประเทศ
  • เยี่ยมชมกรณีศึกษาการบริหารจัดการย่านการค้าระดับโลก
  • ทำ Workshop case studies ภายใต้คำปรึกษาของวิทยากร
  • เพื่อเรียนรู้?การจัดการระบบกายภาพศูนย์การค้าชั้นนำและย่านการค้าระดับ World-Class ในทุกมิติ
  • เรียนรู้ศาสตร์ด้านการออกแบบ และการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและบริหารธุรกิจศูนย์การค้าสมัยใหม่
  • ประสานองค์ความรู้จากภาควิชาการและวิชาชีพ
  • ยกระดับและพัฒนามาตรฐานวิชาชีพนักบริหารทรัพยากรกายภาพสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน
  • แบ่งปันและเรียนรู้นวัตกรรมการบริหารทรัพยากรกายภาพเตรียมพร้อมต่อความท้าทายในอนาคต
  • ส่งเสริมแนวคิดการบริหารทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์พร้อมสนับสนุนองค์กรและธุรกิจสู่การแข่งขันระดับโลก


โครงการนี้จัดอบรม ทุกวันเสาร์ ในระหว่างวันที่ 14 ก.ย. - 2 พ.ย. 2567 เวลา 9:00 - 16:00 น. จำนวนรวม 8 วัน ระยะเวลา 64 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการอบรม 35,000 บาท/ท่าน สำหรับผู้ที่สนใจเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 โปรดติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook: CUD4S สอบถามข้อมูลได้ที่ Line OA: @cud4s โทร 02-218-4316 Email: contact@cud4s.ac.th 

Tuesday, July 30, 2024

มณฑลซานซีผลิตน้ำส้มสายชูดำรสชาติใหม่

ศูนย์ข่าวและสารสนเทศของสำนักข่าวซินหัว สาขาซานซี

เมื่อผู้คนนึกถึงมณฑลซานซีของจีน ก็ต้องนึกถึง "น้ำส้มสายชูดำ" (Mature Vinegar) สูตรต้นตำรับ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่มีมายาวนานกว่า 3,000 ปี น้ำส้มสายชูชนิดนี้มีรสชาติเปรี้ยว หอม หวาน กลมกล่อม และสดชื่น โดยผ่านกรรมวิธีหลัก 5 อย่างตามด้วยวิธีผลิตอีก 82 ขั้นตอน ทั้งนึ่ง หมัก รมควัน แช่ และบ่ม ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึงมากกว่า 10 ปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์

คำกล่าวจีนโบราณที่ว่า "มีน้ำส้มสายชูในบ้าน ไม่ดิ้นพล่านไปหาหมอ" สะท้อนให้เห็นว่าชาวซานซีต่างยอมรับสรรพคุณด้านสุขภาพของน้ำส้มสายชู โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซานซีได้แนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ทำจากน้ำส้มสายชู และผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกับยาและอาหาร ซึ่งช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำส้มสายชูดำซานซีให้มากยิ่งขึ้น

มณฑลซานซีได้ศึกษาวัฒนธรรมการใช้น้ำส้มสายชูอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่สามารถรักษารสชาติดั้งเดิมของน้ำส้มสายชูดำเอาไว้ได้ ซึ่งนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็น "ไอศกรีมน้ำส้มสายชูดำ" ที่ผสมน้ำส้มสายชูและครีมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างรสชาติที่น่ารับประทาน และ "มื้ออาหารน้ำส้มสายชูดำ" ซึ่งนำเสนอเมนูอย่างปลารมควันคู่กับน้ำส้มสายชูดำ และวอลนัตแช่น้ำส้มสายชู โดยอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่คงรสชาติดั้งเดิมไว้เท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของน้ำส้มสายชูอีกด้วย

เพื่อนำเสนอเทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิมและมรดกทางวัฒนธรรมของน้ำส้มสายชูดำซานซีอย่างเต็มที่ ทางมณฑลซานซีจึงได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์น้ำส้มสายชู สวนน้ำส้มสายชู และเปิดเวิร์กช็อปน้ำส้มสายชูในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น เมืองโบราณผิงเหยา (Pingyao) และเมืองไท่หยวน (Taiyuan) โครงการเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมทั้งในและต่างประเทศได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมน้ำส้มสายชูของซานซี พร้อมสัมผัสฝีมือเบื้องหลังมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เช่นนี้

ที่มา: ศูนย์ข่าวและสารสนเทศของสำนักข่าวซินหัว สาขาซานซี 

Friday, July 26, 2024

Shanxi Mature Vinegar Brews New Flavors

The Shanxi branch of Xinhua News Agency's News & Information Center

When people think of China's Shanxi province, the ancient "Mature Vinegar" with over 3,000 years of history comes to mind. This unique vinegar, known for its sour, fragrant, sweet, mellow, and fresh flavors, undergoes five main steps and 82 procedures, including steaming, fermenting, smoking, drenching, and aging. The process can take anywhere from one year to over ten years to complete.

The saying "A bit of vinegar in your home, no need to see the doc alone" reflects the long-standing recognition of vinegar's health benefits by the people of Shanxi. In recent years, Shanxi has introduced vinegar-based health products and food-medicine homology products, further enhancing the health benefits of Shanxi Mature Vinegar.

While preserving the traditional taste of Mature Vinegar, Shanxi has deeply explored vinegar culture, leading to the emergence of trending products. These include "Mature Vinegar Ice Cream," which combines vinegar and cream to create a delightful taste, and "Mature Vinegar Cuisine," featuring dishes like smoked fish with mature vinegar, and vinegar-soaked walnuts. These dishes not only retain traditional flavors but also highlight vinegar's health-promoting properties.

To fully showcase the traditional production techniques and cultural heritage of Shanxi Mature Vinegar, Shanxi has established vinegar museums, vinegar gardens, and opened vinegar workshops in popular tourist destinations like the ancient cities of Pingyao and Taiyuan. These initiatives provide both domestic and international visitors with an opportunity to understand Shanxi's vinegar culture and experience the craftsmanship of this national intangible cultural heritage.

Source: The Shanxi branch of Xinhua News Agency's News & Information Center 

วิกฤต CrowdStrike โซเชียลไทยคิดเห็นอย่างไร?

วิกฤต CrowdStrike สั่นสะเทือนโลกไอที โซเชียลระอุ! แห่แชร์ผลกระทบรวมถึงจอฟ้ามรณะ ดันเอ็นเกจเมนต์พุ่งเกือบ 6 แสนครั้ง พร้อมเผยกลยุทธ์ Real-time Marketing สุดสร้างสรรค์ที่บรรดาแบรนด์และชาวเน็ตโดดร่วมวงฉวยโอกาสจากวิกฤตทำ Real-time Content เพิ่มเอ็นเกจเมนต์ให้แบรนด์

CrowdStrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำ กลายมาเป็นกระแสให้คนทั่วโลกพูดถึงจนขึ้นเทรนด์เอ็กซ์ระดับโลกในวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 หลังการอัปเดตซอฟแวร์ใหม่โดยส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows กว่า 8.5 ล้านเครื่องทั่วโลกเกิด "จอฟ้ามรณะ" หรือ "Blue Screen of Death" ทำให้ใช้งานไม่ได้ ผลกระทบลุกลามสู่ธุรกิจสำคัญ ทั้งสายการบิน ธนาคาร และโรงพยาบาล ต้องหยุดให้บริการชั่วคราว


บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม 2567 พบว่ามีการพูดถึง (Mention) ถึง 3,654 ครั้ง และ ได้รับการมีส่วนร่วม หรือเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) จำนวน 579,759 ครั้ง โดย Engagement ของ DXT360 จะนับรวมเฉพาะ reactions comments และ shares

Key Takeaways

  • วิกฤตปัญหา CrowdStrike พบว่าชาวโซเชียลในไทยพูดถึงประเด็นเรื่องผลกระทบต่อระบบและการให้บริการมากที่สุด 38.6%
  • คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจและกล่าวถึงปัญหา Blue Screen จาก Windows มากกว่า ปัญหาการอัปเดตระบบของ CrowdStrike
  • Real-time Marketing ยังคงได้ผลลัพธ์ที่ดีและช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้เสมอ หากแบรนด์และผู้ติดตามมีความเข้าใจและทันต่อเหตุการณ์ที่อยู่ในกระแส
  • KOL (Key Opinion Leader) เป็นอีกหนึ่งที่พึ่งสำคัญของชาวโซเชียลในการหาคำตอบสำหรับเรื่องที่พูดถึงกันบนสังคมออนไลน์ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ของ KOL ในการสื่อสารกับผู้ติดตาม
  • Social Listening Tool จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมและเข้าใจผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

รับมือจอฟ้ากับการตลาดในยามวิกฤต… Blue Screen Marketing ก็มา!

ถึงแม้ จอฟ้ามรณะ (Blue Screen of Death) จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่สำหรับนักการตลาดและเหล่าครีเอเตอร์ไทย กลับฉกฉวยวิกฤตครั้งนี้มาสร้างสรรค์คอนเทนต์แบบ Real-time Marketing ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มยอด Engagement สร้างผลดีให้กับแบรนด์แล้ว ยังเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ของคนไทยที่ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาที่หนักหนาแค่ไหน ก็พร้อมจะฝ่าฟันไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้กลายเป็นเรื่องที่เบาลงได้ แบรนด์ที่ออกมาทำ Real-time Marketing บนโซเชียลมีเดีย เช่น QuanTum, AP, และไผ่ทอง เป็นต้น


CrowdStrike จุดประกายความสนใจเรื่อง IT ของคนไทย พากันตามหาข้อมูลจาก KOL

วิกฤตไซเบอร์ระดับโลกจาก CrowdStrike ได้สร้างความตื่นตัวในประเทศไทย แม้จะไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางมาก่อนเนื่องจากเป็นธุรกิจ B2B (Business-to-business) ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ดึงดูดความสนใจของสื่อไทยทั้งในโซเชียลมีเดียและสื่อกระแสหลัก ต่างมีการนำเสนอข้อมูลของบริษัท CrowdSrike สาเหตุของปัญหา และผลกระทบระดับโลก ส่งผลให้คนไทยจำนวนมากต้องการฟังคำอธิบายและวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น

นายอาร์ม หนึ่งใน KOL ด้านไอทีที่ได้รับความเชื่อถือจากชาวโซเชียลไทย กลายเป็นที่พึ่งของชาวเน็ตจากปัญหาวิกฤตนี้ หลายคนได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นในโพสต์ข่าวว่ารอฟังการวิเคราะห์จากนายอาร์มอยู่  บางคนถึงกับใช้วลีเฉพาะแฟนคลับอย่าง "คืองี้เว้ยแชท" เพื่อรอติดตามการแสดงความเห็นจากช่องของเขา โดยในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2567 นายอาร์มก็ได้ Live ถ่ายทอดสดพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบที่จะตามมากับ CrowdStrike และลูกค้าของ CrowdStrike โดยร่วมกับคุณอู๋ spin9 ทำคอนเทนต์ผ่าน Channel YouTube ใหม่ที่ทำร่วมกันในชื่อ Spin9arm ซึ่งจากการ Live สดพูดคุยประเด็นเรื่องปัญหา Crowdstrike ได้ยอด Engagement ที่ 9,512 ครั้งและยอด views รวม 257,739 ครั้ง

ประเด็นฮอตบนโซเชียลท่ามกลางวิกฤตจอฟ้า


ผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ส่งผลเป็นวงกว้างทั่วโลก โดยจากการสรุปประเด็นความคิดเห็นที่เกิดขึ้น พบว่า พฤติกรรมของชาวโซเชียลในไทยจำนวนมากคือ "การแชร์ข้อมูล เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อวิถีชีวิตคู่ไปกับเทคโนโนโลยี" โดยพบประเด็นที่ได้รับการแชร์มากที่สุด ตามลำดับ ดังนี้

  • ผลกระทบต่อระบบและการให้บริการ: 38.6% (ได้แก่ ระบบโอน-ถอนเงิน, mobile banking, เที่ยวบินดีเลย์, การเข้าถึงข้อมูลภายในโรงพยาบาล)
  • ปัญหาทางเทคนิคและระบบปฏิบัติการ: 22.7% (ได้แก่ การพูดถึงปัญหาจอฟ้า, bitlocker)
  • ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการแก้ไขปัญหา: 13.6%
  • ข้อเสนอแนะ 4.1%
  • อื่นๆ  21.0%

ต้องหาแผนสำรองป้องกันปัญหาเกิดซ้ำ

จากวิกฤตที่เกิดขึ้นพบว่าชาวโซเชียลไทยเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับแผนสำรอง หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อเป็นการป้องกัน หรือหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากระบบไอทีล่ม เช่น การพกเงินสดติดตัวเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เน้นการชำระเงินผ่าน QR Code มีการพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องมีโน๊ตบุ๊ค หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ระบบปฎิบัติการอื่นที่ไม่ใช่ Windows เป็นต้น 

เหตุการณ์ จอฟ้ามรณะ (Blue Screen of Death) ในครั้งนี้ถือเป็นปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวล ความสับสนต่อข่าวสารที่พรั่งพรูออกมาจากสื่อต่าง ๆ และความตื่นตัวต่อเหตุการณ์นี้ของชาวโซเชียลไทย รวมไปถึงความพยายามในการหาข้อมูลและวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ในขณะเดียวกันก็มีการใช้มุกตลกสื่อสารออกมาทั้งในรูปแบบของการแสดงความคิดเห็นและการสร้างคอนเทนต์

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 19-24 กรกฎาคม 2567

เกี่ยวกับ DXT360

DXT360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้ 

Thursday, July 25, 2024

ชุดตรวจวัดสารมึนเมา THC ในผลิตภัณฑ์ที่ผสมกัญชา นวัตกรรมจุฬาฯ ลดเสี่ยงสุขภาพ เพิ่มความปลอดภัยผู้บริโภค

นักวิจัยจุฬาฯ พัฒนาสตริปเทสเคมีไฟฟ้าตรวจปริมาณสาร THC ในกัญชาที่ทำให้เกิดอาการมึนเมา ชุดตรวจนอกห้องปฏิบัติการที่มีความไวสูง รู้ผลเร็ว แม่นยำ ช่วยผู้บริโภคปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการบริโภคสารที่เป็นโทษต่อร่างกาย

ภายหลังการปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดเป็นพืชสมุนไพรควบคุม ปัจจุบันได้มีการนำกัญชามาใช้อย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งใช้ในการปรุงอาหารและผสมในเครื่องดื่ม โดยอ้างสรรพคุณต่าง ๆ ของกัญชาเพื่อสุขภาพ

แต่สิ่งใดที่มีคุณประโยชน์ ก็มีโทษได้ด้วยเช่นกัน กัญชามีสารต่าง ๆ มากกว่า 400 ชนิด โดยสารสำคัญที่มักถูกกล่าวถึงเสมอ ๆ มี 2 ชนิด ได้แก่ CBD (Cannabidiol) สารที่นำมาใช้ทางการแพทย์ในการรักษาโรค และ THC (Tetrahydrocannabinolซึ่งเป็นสารที่ให้โทษต่อร่างกาย ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการมึนเมา อาการหลอน และที่อันตรายอย่างยิ่งคือผู้ที่บริโภค THC ในปริมาณมากเกินค่ามาตรฐานและในกลุ่มผู้ที่มีอาการแพ้สาร THC อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดให้ปริมาณ THC ในอาหารและเครื่องดื่มต้องไม่เกิน 2% มิฉะนั้นจะถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นสารเสพติด

แล้วผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา ปลอดสารที่เป็นโทษ?

ดร.สุดเขต ไชโย นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้พัฒนานวัตกรรม "สตริปเทสเคมีไฟฟ้าอย่างเร็วสำหรับตรวจประเมินปริมาณ THC" โดยต่อยอดองค์ความรู้ที่ได้เคยพัฒนาชุดตรวจ ATK ที่ทำงานร่วมกับเคมีไฟฟ้าสำหรับวินิจฉัยคัดกรองโรคโควิด-19 ซึ่งเป็น ATK ที่ผลิตโดยคนไทย

"ปัจจุบันการตรวจวัดปริมาณ THC จะต้องทำในห้องปฏิบัติการด้วยเครื่องมือขนาดใหญ่ และมีกระบวนการค่อนข้างซับซ้อน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองสาร THC ในผลิตภัณฑ์กัญชา เราจึงคิดพัฒนาสตริปเทสเคมีไฟฟ้าขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบสาร THC ในเบื้องต้นได้เอง เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นในการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมกัญชา" ดร.สุดเขตกล่าว

ชุดตรวจ THC แบบพกพา ใช้ง่าย วัดค่าสารอันตรายได้ในระดับนาโน

ดร.สุดเขตกล่าวว่าแม้โครงสร้างทางเคมีของ CBD และ THC ในกัญชาจะมีความคล้ายคลึงกัน อีกทั้งกัญชาแต่ละสายพันธุ์มีปริมาณสาร CBD และ THC ไม่เท่ากัน แต่สตริปเทสเคมีไฟฟ้าสำหรับตรวจประเมินปริมาณของ THC ก็มีความไวในการตรวจวัดค่า THC ได้อย่างแม่นยำ และใกล้เคียงกับการตรวจวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค High Performance Liquid Chromatography (HPLC) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจปริมาณ THC




"ชุดตรวจนี้ทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์ที่ตรวจวัดปริมาณ THC ในอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างรวดเร็วและมีความไวในการตรวจ แม้จะมีสาร THC ในปริมาณเพียง 1.3 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร ก็ตรวจเจอได้"

ทั้งนี้ ดร.สุดเขตเผยว่าประสิทธิภาพของชุดตรวจมาจากการบูรณาการสองศาสตร์เข้าด้วยกัน กล่าวคือการตรวจวัดที่รวดเร็วของแถบทดสอบอิมมูโนแอสเสย์แบบการไหลด้านข้าง และการตรวจวัดด้วยความไวสูงของเทคนิคทางเคมีไฟฟ้า

"ชุดตรวจใช้หลักการเดียวกับ ATK ตรวจโควิด-19 จึงใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงเรานำสารสกัดจากกัญชาในอาหารหรือเครื่องดื่มไปผสมกับน้ำยาที่มีความจำเพาะกับสตริปเทส แล้วหยดลงบนสตริปเทส เพียงแค่ 2 หยด รอประมาณ 6 นาทีก็สามารถอ่านผลได้จากสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์"

ชุดตรวจแถบทดสอบเคมีไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่สะดวกต่อการพกพา ใช้ง่าย ราคาไม่แพง (ชิ้นละ 20 บาท) ดร.สุดเขตหวังให้เป็นหนึ่งทางเลือกในการตรวจประเมินปริมาณ THC นอกห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ใช้งานในกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา และเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมปริมาณ THC ในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา

"สตริปเทสเคมีไฟฟ้านี้จะเป็นตัวช่วยกรองให้ประชาชนไม่บริโภคสิ่งที่เป็นโทษเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ควบคุมปริมาณกัญชาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายต่อร่างกายจากสาร THC อีกด้วย" ดร.สุดเขตกล่าว

นวัตกรรมนี้ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2567 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

อนาคตสตริปเทส อุปกรณ์อย่างง่ายช่วยคัดกรองโรค

ดร.สุดเขตและคณะผู้วิจัยจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มในรูปแบบสตริปเทสร่วมกับเคมีไฟฟ้าต่อไปเพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยปัจจุบันกำลังศึกษาวิจัยและพัฒนาสตริปเทสเคมีไฟฟ้าในการตรวจคัดกรองกามโรคในเบื้องต้น ซึ่งเป็นโรคที่วัยรุ่นไทยมีความเสี่ยงในการเกิดโรคและไม่กล้าไปปรึกษาแพทย์ รวมทั้งสตริปเทสร่วมกับเคมีไฟฟ้าในการตรวจคัดกรองผู้มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคไข้หูดับจากการรับประทานเนื้อหมูดิบ เป็นต้น

ผู้ประกอบการที่สนใจจะร่วมพัฒนาสตริปเทสเคมีไฟฟ้าเพื่อใช้คัดกรองปริมาณ THC เพื่อการผลิตในเชิงพาณิชย์ สามารถติดต่อ ดร.สุดเขต ไชโย สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร.0-2218-8056  E-mail : sudkate.c@chula.ac.th 

Test Kit for THC Amount in Cannabis Products - Innovation to Reduce Health Risk and Increase Consumer Safety

Chulalongkorn University Researchers have developed an electrochemical strip Test for the amount of THC which is the psychoactive agent in Cannabis. A highly sensitive, non-laboratory test kit yields fast, accurate results, helps ensure consumers' safety and reduces the risk of ingesting harmful substances.

After the unlocking of cannabis from narcotic drugs to be a controlled medicinal plant, cannabis has now been widely used in various products, including cooking and mixing in beverages, citing the various health benefits of cannabis. 

But anything that has benefits can also have drawbacks. Cannabis contains more than 400 different substances, with the two most important substances that are often mentioned being CBD (Cannabidiol) for medicinal purposes, and THC (Tetrahydrocannabinol), a substance that is harmful to the body, can affect the nervous system, cause intoxication, and hallucinations. What is most dangerous is that overconsumption and allergies to THC can be fatal. Therefore, the Announcement of the Ministry of Public Health stipulates that the amount of THC in food and beverages must not exceed 2%, otherwise it will be considered narcotics.

How will consumers know if cannabis products are free of harmful substances?

Dr. Sudkate Chaiyo, a researcher at the , Chulalongkorn University,has developed an innovative "Rapid electrochemical strip test for THC amount" by adding to the knowledge on ATK test kit development that works with electrochemistry for the diagnosis and screening of COVID-19 produced by Thai people.

"Currently, the measurement of THC must be done in the laboratory with large instruments and the process is quite complicated. The Food and Drug Administration (FDA) is the main agency that is responsible for the screening of THC substances in cannabis products. Therefore, we have developed an electrochemical strip test to allow consumers to initially check for THC themselves for more confidence and safety in consuming foods or beverages containing cannabis, Dr. Sudkate said. 

Portable, easy-to-use THC test for measuring hazardous substances at the nanoscale 

Dr. Sudkate said that although the chemical structure of CBD and THC in cannabis is quite similar, each strain of cannabis has a different CBD and THC amount. However, the electrochemical strip test for assessing the amount of THC is sensitive enough to accurately measure the THC value and is similar to the assay using the High-Performance Liquid Chromatography (HPLC) technique, which is the standard method used to detect the amount of THC.




"This test serves as a sensor that quickly measures the amount of THC in a certain food or drink with a high detection sensitivity, even if only 1.3 ng/mL of THC is detected." 

Dr. Sudkhet revealed that the efficacy of the kit comes from the integration of two sciences: rapid measurement of the lateral flow immunoassay test strips and high sensitivity measurement of electrochemical techniques. 

"The test kit uses the same principles as the COVID-19 ATK test, so it's easy to use. Just mix the cannabis-infused food or drink with the solution specific to the test strip and drip 2 drops onto the test strip, then wait about 6 minutes to read the results from the smartphone connected to the device." 

Electrochemical test strip kits are portable, easy to use, and inexpensive (costing 20 baht each). Dr. Sudkate hopes for the test to be an alternative way to assess the amount of THC outside the laboratory. This will be suitable for users in the group that need to use cannabis products and staff who are responsible for monitoring and controlling the amount of THC in cannabis-infused products. 

"This electrochemical strip test will help prevent people from accidentally consuming harmful substances, control the amount of cannabis to a safe level, and reduce the risk of accidents or harm to the body from THC," Dr. Sudkate said. 

This innovation received the Invention Award 2024 from the National Research Council of Thailand (NRCT).

The Future of Strip Test — A Simple device to help with disease screening 

Dr. Sudkate and the researchers from the Chula Institute of Biotechnology and Genetic Engineering continue to strive to develop a platform in the form of strip tests in conjunction with electrochemistry for medical use. Currently, the team is developing electrochemistry strip tests for venereal disease screening, a disease that Thai teenagers are at risk of developing and do not dare to consult a doctor.  The team is also working on electrochemical strip test kits to screen for people at high risk of contracting Streptococcus Suis from eating raw pork, etc. 

Entrepreneurs interested in co-developing electrochemical strip tests to screen THC content for commercial production can contact Dr. Sudkate Chaiyo, Chulalongkorn University Biotechnology and Genetic Engineering Research Institute, Tel. 0-2218-8056?E-mail: .

"Chulalongkorn University sets the standard as a university of innovations for society and is listed in the World's Top 100 Universities for Academic Reputation, in the Quacquarelli Symonds (QS) World University Rankings 2021-2022." 

ไฟร์สโตนนำเสนอนวัตกรรมยางเพื่อความยั่งยืนในการแข่งขันรายการ Indianapolis 500 (Indy 500) ครั้งที่ 108

  • ยาง Firestone Firehawk ที่ใช้ในการแข่งขันรายการ Indianapolis 500 (Indy 500) ในปีนี้ผลิตจากวัสดุโมโนเมอร์ที่ได้รับการรับรองจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) สกัดจากกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม1 
  • ยาง Firestone Firehawk ที่ใช้ในการแข่งขันรายการ NTT INDYCAR SERIES และ Indy 500 ผลิตภายใต้การรับรองจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) ที่ศูนย์ Advanced Tire Production Center (ATPC) ของบริดจสโตน 1
  • ยางใหม่ที่ใช้ในการแข่งขันรายการ Indy 500 เป็นตัวอย่างล่าสุดที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริดจสโตนที่รุดหน้าใช้วัสดุและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนผ่านมอเตอร์สปอร์ต

บริดจสโตนอเมริกา (บริดจสโตน) นำเสนอนวัตกรรมวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนผ่านมอเตอร์สปอร์ตในการแข่งขันรายการ Indianapolis 500 (Indy 500) ครั้งที่ 108 ปี 2567

ไฟร์สโตนได้ฉลองครบรอบ 25 ปี ในฐานะผู้จัดหายางที่ใช้ในการแข่งขันรายการ NTT INDYCAR SERIES และรายการ Indy 500 โดยบริดจสโตนได้ผลิตยาง Firestone Firehawk สำหรับการแข่งขันรายการ Indy 500 ซึ่งใช้วัสดุโมโนเมอร์ 2 ชนิดที่สกัดจากกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม ได้แก่ ไบโอ-สไตรีนและบูทาไดอีน โดยได้การรับรองจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) เป็นระบบรับรองคาร์บอนและความยั่งยืนระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัสดุเพื่อความยั่งยืนแบบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน 1

คุณ Cara Krstolic กรรรมการบริหารทีมวิศวกรรมและทีมการผลิตยางเพื่อการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต บริดจสโตนอเมริกา เผยว่า "ประวัติศาสตร์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตด้วยยาง Firestone ย้อนกลับไปมากกว่า 100 ปี นับตั้งแต่การแข่งขันรายการ Indy 500 ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) เรามีความตั้งใจที่จะรักษาเกมกีฬาที่เราชื่นชอบไว้ให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต" "ความต้องการด้านการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่เหนือชั้นผ่านการนำเสนอนวัตกรรมของเรา และเพื่อพิสูจน์ว่าสมรรถนะระดับพรีเมียมสามารถถ่ายทอดผ่านวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน เราจึงได้ขยายความร่วมมือผ่านกีฬามอเตอร์สปอร์ตสู่การสร้างสรรค์โซลูชั่นสำหรับการเดินทางในอนาคต"


โดยรวมแล้วทีมวิศวกรรมและทีมการผลิตยางเพื่อการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตอีกเกือบ 60 คน ได้ผลิตยางที่ใช้ในการแข่งขันรายการ Indy 500 มากกว่า 5,000 เส้น เพื่อใช้ในรอบฝึกซ้อม คัดเลือก และแข่งขันจริงที่สนาม Indianapolis Motor Speedway (IMS) ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา



การส่งเสริมความยั่งยืนผ่านมอเตอร์สปอร์ต

โดยยาง Firestone Firehawk Indy 500 ที่ใช้สำหรับการแข่งขันในปีนี้ผลิตจากวัสดุโมโนเมอร์เพื่อความยั่งยืน นับเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริดจสโตนในการใช้วัสดุและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนผ่านมอเตอร์สปอร์ตและการแข่งขันรายการ NTT INDYCAR SERIES

  • ยาง Firestone Firehawk ที่ใช้ในการแข่งขันรายการ NTT INDYCAR SERIES ผลิตภายใต้การรับรองจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) ที่ศูนย์ Advanced Tire Production Center (ATPC) ของบริดจสโตน ที่เมืองแอครอน รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัสดุเพื่อความยั่งยืนแบบย้อนกลับได้ ได้แก่ วัสดุชีวภาพ การหมุนเวียนของวัสดุชีวภาพและยางสังเคราะห์ที่มีส่วนประกอบจากแหล่งชีวภาพ 1
  • บริดจสโตนได้ร่วมมือกับบริษัทโซลูชั่นการขนส่ง Penske Truck Leasing และการรับรองมาตรฐานระบบจัดการแบบบูรณาการ IMS เพื่อขนส่งยาง Firestone Firehawk Indy 500 ทั้งหมดไปยังสนามแข่งโดยใช้รถบรรทุกไฟฟ้า Freightliner eCascadia
  • บริดจสโตนใช้ยางธรรมชาติที่ได้จากต้นวายูเล่ในกระบวนการผลิตแก้มยาง Firestone Firehawk สำหรับใช้แข่งขันในรายการ NTT INDYCAR SERIES ซึ่งต้นวายูเล่เป็นไม้พุ่มทะเลทรายปลูกในศูนย์วิจัยของบริดจสโตนในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา และกำลังได้รับการวิจัยในฐานะแหล่งทางเลือกที่มีศักยภาพสำหรับยางธรรมชาติ

บริดจสโตนยังคงใช้เวทีการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกเป็นทั้งแพลตฟอร์มการร่วมสร้างคุณค่าระดับโลกและเป็นเวทีพิสูจน์ในการส่งมอบคุณค่าของ Bridgestone E8 Commitment (พันธสัญญา E8 ของบริดจสโตน) ความมุ่งมั่นด้านการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตเชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมผ่านคุณค่าทั้ง 8 ด้านเพื่อโลกที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตของบริดจสโตนและไฟร์สโตนสอดคล้องกับ Bridgestone E8 Commitment (พันธสัญญา E8 ของบริดจสโตน) ด้าน Emotion (ความรู้สึก), Energy (พลังงาน) และ Ecology (สิ่งแวดล้อม) ซึ่งการดำเนินงานด้านมอเตอร์สปอร์ตร่วมกับโครงการต่างๆ ของบริดจสโตนจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและเป้าหมายการผลิตยางที่ทำจากวัสดุหมุนเวียนและวัสดุรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)

วัสดุรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) ซึ่งเป็นระบบรับรองคาร์บอนและความยั่งยืนระหว่างประเทศ เพื่อความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพที่เหนือชั้นและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สำหรับรายละเอียดการรับรองจาก ISCC และ ATPC ISCC PLUS อ่านเพิ่มเติมได้ที่ .

เกี่ยวกับบริดจสโตน ประเทศไทย:

บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นด้านการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และสำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด คือหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทยจำกัด ผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาดยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์บริดจสโตน, ไฟร์สโตน และเดย์ตันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมที่หลากหลายและโซลูชั่นขั้นสูงซึ่งพัฒนาจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาการเดินทางการใช้ชีวิต, การทำงาน และการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก 

Firestone Adds New Sustainably-Sourced Raw Materials to Race Tires for 108th Running of the Indianapolis 500


  • Firestone Firehawk Indy 500 race tires for this year's event include two ISCC PLUS-certified monomers produced from waste residue of palm oil processing. 1
  • All Firestone Firehawk race tires are produced at Bridgestone's ISCC PLUS certified Advanced Tire Production Center (ATPC). 1
  • The new Indy 500 race tires are the latest example of Bridgestone's efforts to prove and accelerate the use of more sustainable materials and technologies through motorsports.

Bridgestone Americas (Bridgestone) is once again demonstrating and accelerating the use of more sustainable materials and technologies in motorsports at this year's 108th Running of the Indianapolis 500.

As its Firestone brand celebrates 25 consecutive years as the exclusive tire supplier of the NTT INDYCAR SERIES and Indianapolis 500, Bridgestone has produced a Firestone Firehawk Indy 500 race tire that incorporates two monomers sourced from the waste residue of palm oil processing. The bio-styrene and butadiene monomers included in this year's race tires are certified by the International Sustainability and Carbon Certification (ISCC) for the transparency and traceability of sustainable raw materials throughout the supply chain. 1

"Our racing heritage with Firestone dates back more than 100 years to the very first Indy 500 in 1911, and we remain focused on helping sustain the sport we love for future generations," said Cara Krstolic, Executive Director of Race Tire Engineering and Production, Bridgestone Americas. "The demands of racing also offer the ultimate challenge for our innovation. In proving the same premium performance can be delivered at this level through more sustainable materials and technologies, we can work to extend these efforts beyond motorsports into solutions being designed for the future of mobility."


In all, the Firestone Race Tire Engineering team and nearly 60 race tire production teammates will produce more than 5,000 Indy 500 race tires for use in practice, qualifying, and competition at Indianapolis Motor Speedway (IMS) during the Month of May.



Advancing Sustainability Through Motorsports

Using the sustainably-sourced monomers in this year's Firestone Firehawk Indy 500 race tires is the latest example of Bridgestone's efforts to prove and accelerate the use of sustainable materials and technologies through motorsports and the NTT INDYCAR SERIES.

  • All Firestone Firehawk race tires for the NTT INDYCAR SERIES are manufactured at Bridgestone's ISCC PLUS-certified Advanced Tire Production Center (ATPC) in Akron, Ohio. The facility was awarded the certification in 2022 for its transparency and traceability of sustainable raw materials including bio, bio-circular, and circular-based synthetic rubber. 1
  • Bridgestone is once again partnering with Penske Truck Leasing and IMS to transport all Firestone Firehawk Indy 500 tires to the track using electric-powered Freightliner eCascadia trucks.
  • Outside of the Indy 500, Bridgestone uses guayule-derived natural rubber in the sidewalls of the Firestone Firehawk alternate race tires made for NTT INDYCAR SERIES street course races. Guayule is a desert shrub grown at Bridgestone's research facility in Arizona that is being explored as a potential alternative source of natural rubber.

Bridgestone continues to use world-class racing as both a global co-creation platform and a proving ground for delivering the values of the Bridgestone E8 Commitment. This corporate commitment outlines eight areas where the company is focused on contributing to a more sustainable world.

Bridgestone and Firestone motorsports activities demonstrate the E8 values of emotion, energy, and ecology. Together with broader initiatives across the company, these efforts are designed to help advance Bridgestone toward its targets of achieving carbon neutrality and tires made with 100% renewable and recycled materials by 2050.

The recycled material is allocated using the International Sustainability & Carbon Certification (ISCC) mass balance approach. Find out more about ISCC and our ATPC ISCC PLUS certification at: .

About Bridgestone in Thailand:

Bridgestone is a global leader in tires and rubber building on its expertise to provide solutions for safe and sustainable mobility. In Thailand, Thai Bridgestone Co., Ltd. (TBSC) is a leading manufacturer in the Thai automotive industry, while Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd. (BSTL) is the exclusive importer & distributor, and supervises the marketing strategy for Bridgestone, Firestone and Dayton branded tires in Thailand. Bridgestone is a brand trusted by its customers, dealers and business partners. Bridgestone offers a diverse product portfolio of premium tires and advanced solutions backed by innovative technologies, improving the way people around the world move, live, work and play.