หัวเว่ย เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ “HUAWEI P10” และ “P10+” ครั้งแรกกับกล้องหน้าจาก Leica

          หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสิเนส กรุ๊ป เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ HUAWEI P10 และ P10+ ที่สุดแห่งนวัตกรรมและสไตล์ โดยผนึกความร่วมมือทางวิศวกรรมกับ Leica นำเสนอเอฟเฟกต์ส่งตรงจากสตูดิโอ เพื่อการถ่ายภาพบุคคลผ่านมือถือที่พัฒนาไปอีกขั้น นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจับมือกับสถาบันด้านสีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Pantone Color Institute(TM) เปิดตัวสมาร์ทโฟนสีเทรนด์ใหม่ล่าสุด ผสานผิวสัมผัสสุดพิเศษ Hyper Diamond-Cut และด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Huawei Supercharge จึงส่งให้ HUAWEI P10 และ P10+ เป็นสองสมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายภาพที่ล้ำสมัยที่สุดในขณะนี้

         

          HUAWEI P10 และ P10+ มาพร้อมกล้องหน้า Leica เป็นครั้งแรกในวงการ เติมเต็มกล้องหลังคู่จากผู้ผลิตเดียวกัน HUAWEI P10 และ P10+ ผสานเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกเพื่อให้ได้เครื่องมือระดับสตูดิโอที่สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายบุคคลที่สวยงาม นำสมัย และมีกลิ่นอายของ Leica อันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ ฟีเจอร์ปรับแสงแบบในสตูดิโอและเทคโนโลยีจับใบหน้าแบบ 3 มิติ ที่ช่วยให้ภาพถ่ายสวยๆ เกิดขึ้นได้ในทุกสภาพแวดล้อม

          สำหรับกล้องหน้าสามารถเก็บภาพบุคคลได้ในสไตล์ Leica ส่วนกล้องหลังก็สามารถเก็บรายละเอียดของใบหน้าได้อย่างน่าทึ่งด้วย Hybrid Zoom ซึ่งเป็นฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสจุดใดจุดหนึ่งในภาพโดยไม่ที่ลดทอนความคมชัดของภาพโดยรวม

          นอกเหนือจากการกำหนดนิยามใหม่ของการถ่ายภาพบุคคลด้วยเทคโนโลยีล่าสุดแล้ว HUAWEI P10 และ P10+ ยังกำหนดบรรทัดฐานใหม่แห่งสีสันและดีไซน์ด้วยการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับ Pantone Color Institute สู่การนำสองสีของ Pantone มาใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ได้แก่ สี PANTONE Greenery* ซึ่งเป็นสีแห่งปี 2017 อย่างเป็นทางการของ PANTONE และสีน้ำเงินเข้ม Dazzling Blue ชวนหลงใหล

          ความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและ Pantone Color Institute ประกอบกับการรังสรรค์อย่างประณีต นำมาสู่สองกลุ่มสีที่เข้ากันได้ดีกับผิวสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของ HUAWEI P10 และ P10+ เกิดเป็นสมาร์ทโฟนที่สวยทั้งในยามมองและยามใช้งาน สำหรับสี Greenery มาพร้อมพื้นผิวผ่านการขัดด้วยการพ่นทราย ดูสะอาดตาและมีสไตล์ ขณะที่สี Dazzling Blue มาพร้อมผิวสัมผัส Hyper Diamond-Cut มันวาว นอกจากนี้ HUAWEI P10 และ P10+ ยังมีสีอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย ทั้ง Ceramic White, Dazzling Gold, Prestige Gold, Graphite Black, Rose Gold และ Mystic Silver

          HUAWEI P10 และ P10+ เป็นสมาร์ทโฟนในซีรีส์ P ที่มีดีไซน์คุณภาพสูง ทั้งตัวเครื่องบางพิเศษ ขอบโค้งมน และเน้นความเรียบง่าย มาพร้อมฟังก์ชั่นประสิทธิภาพเหนือชั้น อาทิ ฟีเจอร์ชาร์จแบตเร็วเป็นพิเศษ ด้วยเทคโนโลยี SuperCharge อันเป็นกรรมสิทธิ์ของหัวเว่ย

          ริชาร์ด หยู ซีอีโอของหัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า "HUAWEI P10 และ P10+ คือสมาร์ทโฟนที่ปฏิวัติและกำหนดนิยามใหม่ของการถ่ายภาพบุคคล ความร่วมมือกับ Leica Camera ที่รุดหน้า เปิดทางให้ลูกค้าของหัวเว่ยได้ใช้กล้อง Leica ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และเพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกยอดเยี่ยมทัดเทียมกับนวัตกรรมภายใน หัวเว่ยจึงร่วมมือกับ Pantone Color Institute เพื่อรังสรรค์ความสวยงามให้กับตัวเครื่อง HUAWEI P10 และ P10+ จึงเป็นสมาร์ทโฟนที่มีสไตล์และใช้งานได้ดีด้วย"

          ลอรี เพรสแมน รองประธานของ Pantone Color Institute กล่าวเสริมว่า "ปัจจุบันผู้บริโภคพึงพอใจที่จะแสดงออกด้วยสีมากขึ้น จึงมีการทดลองและใช้สีในเชิงสร้างสรรค์กันมากขึ้น สีเป็นสื่อกลางที่ผู้คนใช้แสดงตัวตนให้โลกเห็น ทางหัวเว่ยได้เล็งเห็นกระแสที่ไม่หยุดนิ่งตรงนี้จึงตัดสินใจร่วมมือกับเรา และเราจะช่วยให้ลูกค้าของหัวเว่ยได้แสดงตัวตนอย่างเต็มที่ผ่านสีสัน"

          นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับหอศิลป์ซัทซี่ (Saatchi Gallery) และ Leica Camera ในการกำหนดนิยมใหม่ของการถ่ายภาพบุคคล โดยได้มอบหมายให้ช่างภาพชื่อดัง 7 ท่าน[1] ซึ่งได้รับการแนะนำจากสถาบันทั้งสองแห่ง สร้างสรรค์ภาพถ่ายที่โดดเด่นชวนตะลึงโดยใช้สมาร์ทโฟน HUAWEI P10 โดยช่างภาพแต่ละคนสามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายบุคคลในแบบของตนเอง เพื่อสื่อถึงวิวัฒนาการของการถ่ายภาพบุคคล

          ผลงานของช่างภาพกลุ่มนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในนิทรรศการพิเศษ ณ มหกรรม Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ จากนั้นผลงานบางส่วนจะนำไปจัดแสดงในนิทรรศการ "From Selfie to Self-Expression" ณ หอศิลป์ซัทซี่ในกรุงลอนดอน ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคมเป็นต้นไป

          อ้างอิง
          [1] Berndnaut Smilde, Manfred Baumann, Jacob Aue Sobol, Stephane Lavoue, Josephine Meckseper, Chris Levine, Laura Pannack

          * 15-0343

          ติดต่อ:
          อีเมล: Hannah.Moseley@hkstrategies.com
          โทร. +44-(0)20-7413-3205

          ที่มา: หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสิเนส กรุ๊ป

Huawei Launches New HUAWEI P10 and P10+ with Photo Enhancement

          HUAWEI P10 and P10+ make every shot a cover shot - exclusively available in the latest on-trend colours

          Huawei Consumer Business Group has today announced the launch of the new HUAWEI P10 and P10+, innovative and stylish smartphones, co-engineered with Leica, which bring professional studio-like effects to enhance portrait photography. Through a special partnership with Pantone Color InstituteTM, the world's pre-eminent thought leader on colour, the devices are introduced in the latest on-trend colours, specially optimised for their unique Hyper Diamond-Cut finish. Complemented by cutting edge technological innovations inside, including Huawei SuperCharge, HUAWEI P10 and P10+ are the most advanced photography smartphones available.

         

          For the first time in a smartphone, HUAWEI P10 and P10+ feature a Leica front camera, to complement their Leica Dual rear camera. By utilising the world's most advanced photographic technology to create modern artistic portraits in Leica's signature image style, the HUAWEI P10 and P10+ include tools of an artistic studio. With features including studio-like re-lighting and 3D facial detection technology, beautiful photography can be taken in any environment.

          The new front camera captures perfect portrait photography in Leica image style whilst the rear camera captures facial features with incredible detail. Huawei's Hybrid Zoom is an additional feature that allows users to focus in on specific areas of an image while still keeping the sharpness of image quality.

          As well as redefining portrait photography through the latest photographic technologies, the HUAWEI P10 and P10+ set a new standard in colour and design. Co-created with Pantone Color Institute, the devices launch in two specially selected Pantone colours: PANTONE Greenery*, the official PANTONE Colour of the Year 2017, and a captivating deep blue shade which Huawei is offering as Dazzling Blue.

          The result of hours of careful craftsmanship and cross-collaboration between Huawei and Pantone Color Institute is two colourways which have been specially optimised for the surface and texture of the HUAWEI P10 and P10+ to deliver smartphones that are as beautiful to look at as they are to use. Greenery delivers a clean and stylish sandblast finish, whilst the unique Hyper Diamond-Cut in Dazzling Blue is brought to life through a stunning glow effect. To complement these unique colourways, the HUAWEI P10 and P10+ are also available in a selection of other colours including Ceramic White, Dazzling Gold, Prestige Gold, Graphite Black, Rose Gold and Mystic Silver.

          As part of the Huawei P series, the HUAWEI P10 and P10+ feature an ultra slim, minimalistic form with rounded curves. The high-quality design extends to its high-performance functions which include super-fast charging, thanks to Huawei's proprietary SuperCharge technology.

          Richard Yu, CEO of the Huawei Consumer Business Group, said: "With HUAWEI P10 and P10+ we have created a smartphone that revolutionises and redefines portrait photography. Thanks to the evolution of our partnership with Leica Camera users now have an incredible Leica front camera on their Huawei device in addition to the rear. To match this innovation inside, Huawei's partnership with Pantone Color Institute ensures that the devices are equally as beautiful on the outside. The HUAWEI P10 and P10+ are smartphones that are as fashionable as they are functional."

          Laurie Pressman, VP of Pantone Color Institute adds, "With consumers increasingly comfortable using colour as a form of expression, we are seeing more experimentation and creative uses of colour. Colour is truly a medium through which individuals can express themselves to the world around them. Huawei recognises this evolving consumer dynamic and through our partnership we're looking forward to providing Huawei customers with the ability to make a bold colour statement."

          Huawei has harnessed its relationship with Saatchi Gallery and Leica Camera to redefine portrait photography. Seven renowned photographers[1] recommended by these iconic institutions have created a collection of stunning, artistic works using the HUAWEI P10 smartphone. Focusing attention on the evolution of portraiture, the photographers have created their own interpretation of portrait photography, using the handset.

          These artists' work debut for the first time at a special pop-up exhibition in Barcelona, from 26 February - 28 February 2017. Selected works will be included in the 'From Selfie to Self-Expression' exhibition at Saatchi Gallery London from 30 March.

          [1] Berndnaut Smilde, Manfred Baumann, Jacob Aue Sobol, Stephane Lavoue, Josephine Meckseper, Chris Levine, Laura Pannack

          * 15-0343

          Contact: Hannah.Moseley@hkstrategies.com +44-(0)20-7413-3205

          Source: Huawei Consumer Business Group

CLX Communications และ Waterfall จับมือ Google ให้บริการส่งข้อความแบบ RCS ผ่านทาง Early Access Program

          CLX Communications ผู้ให้บริการระบบการสื่อสารแบบคลาวด์ และ  Waterfall แพลตฟอร์มการตลาดแบบคลาวด์ ประกาศความร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการระบบส่งข้อความล้ำยุคแก่นักการตลาดของแบรนด์ต่างๆ โดยใช้มาตรฐานการส่งข้อความแบบ  Rich Communication Services (RCS) ที่ถูกฝังมาในแอปพลิเคชั่นส่งข้อความที่ผู้บริโภคใช้งานอยู่

    

          ความร่วมมือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ  Google' Early Access Program (EAP) ที่มีการประกาศในวันนี้ และเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งาน  Mobile World Congress ในบาร์เซโลนา โปรแกรมดังกล่าวจะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านทางบริการส่งข้อความรูปแบบใหม่ "เสมือนแอปมือถือ" ที่ฝังมาในโทรศัพท์มือถือระบบ Android โดยจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การแนะนำข้อความตอบกลับ ริชมีเดีย และการสร้างแบรนด์

          ขณะนี้มีผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ผลิตอุปกรณ์ 27 รายแล้วที่ประกาศว่าจะให้บริการ RCS แก่ผู้ใช้มือถือ Android ร่วมกับ Google โปรแกรม Early Access Program จึงถือเป็นความคืบหน้าก้าวแรกในการทำให้การส่งข้อความแบบ RCS เป็นที่แพร่หลายทั่วโลก CLX และ Waterfall ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงฐานผู้ใช้ RCS ที่กำลังเติบโตทั่วโลก ด้วยการสร้างช่องทางการสื่อสารที่มีฟีเจอร์มากมายให้แก่ลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบ Android และอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการส่งข้อความแบบ RCS ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

          โปรแกรม EAP จะเปิดทางให้ CLX และ Waterfall สามารถช่วยให้บริษัทต่างๆ สร้างสรรค์เทคโนโลยี วางแผนโรดแม็ป และเป็นบริษัทกลุ่มแรกๆ ที่นำเสนอประสบการณ์การรับส่งข้อความแบบใหม่แก่ลูกค้า เหล่านักการตลาดสามารถใช้บริการ RCS Business Messaging เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ และขับเคลื่อนการติดต่อสื่อสารโดยไม่ต้องละทิ้งแอปส่งข้อความที่ใช้อยู่เดิม

          ความนิยมในการใช้แอปส่งข้อความ OTT ที่กำลังเติบโตขึ้นนั้น ช่วยยืนยันถึงความต้องการทางเลือกในการส่งข้อความที่มีประสิทธิภาพและราบรื่นมากกว่าแอปพลิเคชั่นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยบริการส่งข้อความแบบใหม่นี้จะมอบทางเลือก ซึ่งมีฟีเจอร์แบบเดียวกับแอปส่งข้อความ จึงช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถส่งข้อความถึงลูกค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องสร้างกลุ่มผู้ใช้แอปขึ้นใหม่แต่อย่างใด

          ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับองค์กรธุรกิจและนักการตลาดรายแรกที่รองรับ RCS Waterfall จะสร้างจุดสัมผัสเบ็ดเสร็จในจุดเดียวเพื่อให้นักการตลาดสามารถกระจายข้อความสู่ฐานผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมด โดยโซลูชั่นซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง Waterfall และ CLX นั้น สามารถระบุตัวผู้บริโภคที่ใช้อุปกรณ์ที่รองรับ RCS ได้โดยอัตโนมัติ และช่วยปรับคอนเทนท์ให้ส่งข้อความที่ดีที่สุดไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

          สำหรับอุปกรณ์มือถือแบบออฟไลน์หรือไม่รองรับ RCS จะถูกตั้งค่าให้ใช้มาตรฐาน SMS และ MMS โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงรับประกันได้ว่า ข้อความจะถูกส่งถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ทั้งหมด และด้วยเหตุที่อัตราการเข้าถึงบริการ RCS กำลังเติบโตขึ้น จึงคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการมือถือจำนวนมากขึ้นที่ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์รูปแบบใหม่นี้ผ่านทางแพลตฟอร์มแบบให้บริการตนเองของ Waterfall

          Robert Gerstmann กรรมการผู้จัดการของ CLX Communications กล่าวว่า "RCS Business Messaging มีฟีเจอร์และข้อดีมากมายแบบเดียวกับที่ MMS มี แต่ยังไม่เคยมีใครได้สัมผัส อันเนื่องมาจากความซับซ้อนทางเทคนิค ต้นทุนค่าใช้จ่าย และการกระจายตัวของตลาด"

           "Early Access Program ของ Google จะช่วยให้ CLX มีเครื่องมือการสื่อสารที่สมบูรณ์ ตอบโจทย์และสมจริงมากขึ้น เพื่อให้บริการแก่พันธมิตร ลูกค้า องค์กรธุรกิจ และแบรนด์ต่างๆ"

          "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับ Google และพันธมิตรของเราที่ CLX Communications เพื่อที่จะเป็น ASP รายแรกที่นำความสามารถอันหลากหลายของ RCS Business Messaging ไปสู่แบรนด์ใหญ่ๆ ของโลก" Matt Silk หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Waterfall กล่าว "RCS ช่วยให้ลูกค้าสามารถปฏิบัติภารกิจที่สำคัญในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น เช่น การออกตารางนัดหมาย การป้อนคำสั่ง หรือการหาทิศทาง โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งการส่งข้อความรูปแบบเดิม RCS ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะช่วยผลักดันความสามารถของแบรนด์ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และช่วยยกระดับการสนทนาได้"

          สำหรับผู้ที่สนใจรับชมสาธิตที่งาน Mobile World Congress กรุณาติดต่อ sales@clxcommunications.com หรือ sales@waterfall.com เพื่อทำการนัดหมาย

          เกี่ยวกับ CLX Communications

          CLX Communications เชื่อมองค์กรธุรกิจต่างๆ เข้ากับผู้คนและสิ่งของ โดยเรารวมระบบ API ที่ตั้งโปรแกรมได้ และระบบคลาวด์คอมพิวติง เข้ากับเครือข่าย Tier 1 Super Network ที่เหนือชั้นของเรา เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถทำการสื่อสารในระดับโลกได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเสียง SMS หรือการเชื่อมต่อเข้ากับแอป กระบวนการทางธุรกิจ และอุปกรณ์ IoT

          บริการการสื่อสารในรูปแบบ Platform-as-a-Service (CPaaS) ของเรานั้น มีระดับการให้บริการที่สูงที่สุดบริการหนึ่งในอุตสาหกรรม โดยจัดการสาย API มากกว่า 1 พันล้านรายการต่อเดือน ทั่ว 6 ทวีป เราให้บริการด้านต่างๆ แก่บริษัท CPaaS ระดับท็อป 5 ถึง 4 บริษัท และให้บริการการเชื่อมต่อแก่แบรนด์อินเทอร์เน็ตระดับท็อป 5 ถึง 3 แบรนด์ ผ่านทางเครือข่ายระดับ Tier 1 ที่แบรนด์เหล่านี้ต่างไว้วางใจ

          CLX Communications จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาด NASDAQ Stockholm ภายใต้ชื่อ XSTO: CLX

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.clxcommunications.com

          เกี่ยวกับ Waterfall

          Waterfall เป็นผู้นำด้านการให้บริการ SaaS และโซลูชั่นการตลาดบนมือถือ ที่ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างฐานข้อมูลลูกค้า และขับเคลื่อนรายได้ ด้วยคอนเทนท์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายผ่านทางมือถือ Waterfall ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก และมีสำนักงานย่อยอยู่ในออสตินและบอสตัน เทคโนโลยีของ Waterfall ไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นส่งข้อความแบบ RCS, SMS, MMS, Wallet, rich media, Push หรือ Beacon ช่วยให้การสร้างประสบการณ์ด้านการตลาดข้ามช่องทางนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไร้รอยต่อ อีกทั้งยังสามารถผนวกรวมเข้ากับซอฟต์แวร์หรือฐานข้อมูลของผู้ให้บริการภายนอกได้ บริษัทต่างๆ อาทิ 7-Eleven, Cabela's, Jack in the Box, Papa Murphy's, Pier 1 Imports, Tailored Brands และ TGI Friday's ต่างเลือกใช้โซลูชั่นเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ของ Waterfall ในการส่งต่อข้อความด้านการตลาดไปยังช่องทางโทรศัพท์มือถือ

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.waterfall.com

          ที่มา: CLX Communications AB (publ)

“หัวเว่ย” เปิดตัว HUAWEI WATCH 2 นาฬิกาข้อมือเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ผนวกฟังก์ชันติดตามสมรรถภาพทางกาย พร้อมดีไซน์สุดคลาสสิก

          หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสิเนส กรุ๊ป เปิดตัว HUAWEI WATCH 2 นาฬิกาข้อมือที่ผสานการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน, แอพพลิเคชั่นเพื่อการใช้ชีวิตอันชาญฉลาด พร้อมอุปกรณ์ประเมินผลการออกกำลังกายและการดำเนินกิจกรรมของผู้สวมใส่ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในนาฬิกาข้อมือสุดคลาสสิกเปี่ยมสไตล์ จากผลการวิจัย และการพัฒนาล่าสุดของผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยีอย่างหัวเว่ย

          HUAWEI WATCH 2 สืบทอดดีไซน์สุดคลาสสิกตามแบบฉบับของนาฬิกาข้อมือ HUAWEI WATCH ควบคู่ไปกับการเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้าไปในทุกองค์ประกอบเพื่อตอบโจทย์ทั้งในแง่ของการใช้งานและการใช้ชีวิต

          HUAWEI WATCH 2 จะวางจำหน่ายในสเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, อิตาลี, เยอรมัน และจีน ช่วงเดือนมี.ค. 2560 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 329 ยูโร แตกต่างกันตามรูปแบบและคุณสมบัติของแต่ละรุ่น และจะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, รัสเซีย และออสเตรเลีย ในเดือนเม.ย. 2560 สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ สามารถติดตามได้จากท้ายบทความ

          ในโลกที่เทคโนโลยีกลายมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตคนเรามากขึ้นทุกวัน ๆ HUAWEI WATCH 2 คือนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้ที่แสวงหาอิสระที่ถึงแม้ในยามเดินทางก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัว ด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm(R) Snapdragon(TM) Wear 2100 ซึ่งทำให้ HUAWEI WATCH 2 (รุ่นที่รองรับ 4G) สามารถเชื่อมต่อได้อย่างอิสระ ให้ผู้ใช้ส่งข้อความหรือโทรออกได้โดยไม่ต้องอาศัยโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังรองรับแอพพลิเคชั่นเพื่อการใช้ชีวิตอันชาญฉลาดรุ่นล่าสุดด้วย นอกจากนี้ การรองรับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และ Android Wear[TM] 2.0 เวอร์ชันใหม่ ทำให้ HUAWEI WATCH 2 ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั้งในระบบ Android[TM] และ iOS ซึ่งเป็นการการันตีว่านาฬิกาข้อมือในตระกูลนี้เปิดกว้างสำหรับผู้ใช้งานทุกคนโดยแท้จริง

          การเชื่อมต่อสุดอิสระเพื่อตอบทุกโจทย์ที่ต้องการ

          ทั้งนี้ ผู้ใช้งาน HUAWEI WATCH 2 (เวอร์ชั่นที่รองรับ 4G) สามารถวางโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ที่บ้านแล้วออกไปวิ่ง, ปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นได้โดยที่ไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถรับสายเรียกเข้า, พิมพ์ข้อความ หรือใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ อย่าง Uber, Foursquare และ Telegram ได้ ผ่านการเชื่อต่ออย่างอิสระผ่านมือถือ และ GPS ชิปที่ติดมากับตัวเรือน ซึ่งนวัตกรรมการออกแบบสุดล้ำนี้การันตีว่าการเชื่อมต่อแสนวิเศษดังกล่าวพร้อมกับคุณภาพอันไร้ที่ติ สำหรับการโทรออกหรือรับสายด้วยเสียง (VoLTE support) และไมโครโฟนคู่ตัดเสียงรบกวน (dual-mic noise elimination) นั้น ก็ช่วยให้การคุยโทรศัพท์เป็นไปอย่างเสถียรและไร้เสียงกวนใจ ซึ่งเสาอากาศที่ติดตั้งไว้บริเวณส่วนบนของตัวเรือนเพื่อรองรับ dual 4G, GPS, Wi-Fi, Bluetooth และ NFC นั้นช่วยเสริมสมรรถนะการเชื่อมต่อให้มีความเสถียร

          ยิ่งไปกว่านั้น HUAWEI WATCH 2 ยังรองรับ eSIM (มีเฉพาะในบางประเทศ) นอกเหนือจากซิมการ์ดทั่วไปที่ใช้กันทั่วโลกด้วย

          ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะผู้ใช้งาน HUAWEI WATCH 2 ไม่จำเป็นต้องเปิดเบอร์ใหม่ เพราะนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้สามารถใช้เบอร์เดียวกับโทรศัพท์มือถือได้ HUAWEI WATCH 2 (เวอร์ชั่นที่รองรับ 4G) จึงมอบการเชื่อมต่ออันคล่องตัวซึ่งตอบโจทย์ชีวิตคนสมัยใหม่ที่เร่งรีบได้เพียงปลายนิ้ว

          อุปกรณ์คู่ใจด้านสุขภาพและการออกกำลังกายแบบครบเครื่อง

          HUAWEI WATCH 2 ยังเป็นอุปกรณ์สุขภาพคุณภาพคับแก้วซึ่งมีระบบตรวจจับอัจฉริยะติดตั้งในตัวเรือนคอยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลกิจกรรมของผู้ใช้งานอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง, ความเร็ว, จำนวนก้าว, อัตราการเต้นของหัวใจ, ช่วงอัตราการเต้นของหัวใจ, แคลอรี, ท่าทาง รวมถึงเส้นทางออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งนับเป็นวิธีการขั้นสูงเพื่อนำเสนอโซลูชั่นด้านสุขภาพ และช่วยให้การออกกำลังกายเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น

          เพียงกดที่เม็ดมะยมแค่ครั้งเดียว HUAWEI WATCH 2 จะเปิดหน้าแอพออกกำลังกายพร้อมให้คำแนะนำกับผู้ใช้ในทันที โดยทางลัดเข้าสู่โหมดการวิ่งแบบ "เผาผลาญไขมัน" และ "คาร์ดิโอ" จะช่วยให้ผู้ใช้เริ่มขยับได้โดยไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งนาฬิกาจะแสดงคำแนะนำเพื่อให้ผู้วิ่งรักษาระดับความเร็วได้ถูกต้องตามโซนอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสม การวิ่งไปกับ HUAWEI WATCH2 นั้นจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำแนะนำแบบเรียลไทม์ ทั้งการแจ้งเตือนระยะทาง, ความคืบหน้าในการทำตามเป้าหมาย และคำเตือนเมื่อหัวใจเต้นเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแจ้งผู้ใช้ให้เร่งหรือลดความเร็วได้อย่างทันท่วงทีในทุกระยะการวิ่ง โดยอ้างอิงจากแผนการฝึกที่คำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว HUAWEI WATCH 2 ยังมี GPS และระบบตรวจจับชีพจร จึงสามารถวัดค่า VO2max หลังจากวิ่งเสร็จแต่ละครั้ง และเมื่อการวิ่งสิ้นสุดลง นาฬิกาจะออกรายงานเพื่อแจ้งระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูร่างกาย และผลจากการวิ่งโดยอัตโนมัติ

          สำหรับองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สนับสนุนการทำงานของ HUAWEI WATCH 2 ได้แก่ GPS ที่ติดตั้งมากับตัวเรือนซึ่งคอยติดตามเส้นทางการออกกำลังกายของผู้ใช้ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มเพลงเพื่อฟังระหว่างออกกำลังกายผ่านแอพ Google Play[TM] Music โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเพลง, ฟังเพลงผ่านสตรีม และเข้าสู่รายชื่อเพลงของตนเองได้

          นอกเหนือจากการออกกำลังกาย HUAWEI WATCH 2 ยังสนับสนุนการใช้ชีวิตที่แข็งแรงตลอดวัน ด้วยแอพ Daily Tracking ที่สามารถบอกจำนวนก้าว, ระยะเวลาซึ่งบันทึกเมื่อมีการออกกำลังกายในระดับเข้มข้นปานกลางจนถึงสูง และนับจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ยืนหลังจากนั่งหรือไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานได้อย่างแม่นยำ โดยข้อมูลทั้งหมดนี้จะรายงานผลผ่านแถบความคืบหน้าเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้มีสุขภาพที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามจังหวะการเต้นของหัวใจแบบต่อเนื่องอยู่บนพื้นหลัง ซึ่งจะรายงานอัตราการเต้นของหัวใจในช่วง 6 ชั่วโมงล่าสุดผ่านรูปแบบของเส้นโค้ง ยิ่งไปกว่านั้น HUAWEI WATCH 2 ยังสามารถวัดชีพจรขณะพักซึ่งจะบันทึกไว้ในแอพติดตามการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

          ดีไซน์สไตล์หน้าปัด

          HUAWEI WATCH 2 คือนาฬิกาข้อมือที่สะท้อนรูปแบบสุดคลาสสิกซึ่งผสมผสานคุณสมบัติอัจฉริยะ และฟังก์ชั่นการออกกำลังกายโดยไม่ทิ้งดีไซน์นำสมัย เม็ดมะยมคู่ทำจากวัสดุพิเศษที่มอบความรู้สึกเรียบหรู สะท้อนการให้ความสำคัญกับการออกแบบในแนวทางคลาสสิก ซึ่งปรับให้เข้ากับบุคลิกของผู้สวมใส่ได้ทั้งแบบคลาสสิกและแบบสปอร์ต หน้าจอความละเอียดสูงสามารถปรับแต่งได้หลายแบบซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแอพโปรดและแอพที่ใช้งานบ่อยได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากดีไซน์สไตล์หน้าปัดแล้ว HUAWEI WATCH 2 ยังใช้หนามเตยที่ทำจากเซรามิกเพื่อให้ได้นาฬิกาคุณภาพดีสวมใส่สบาย

          HUAWEI WATCH 2 ยังได้รับการออกแบบให้สวมใส่สบายและมีความกระชับ โดยตัวเรือนจะโค้งพาดข้อมือได้อย่างพอดิบพอดี ซึ่งนาฬิการุ่นใหม่นี้มีขนาดเล็กและกระทัดกว่า HUAWEI Watch รุ่นก่อน โดยชิ้นส่วนของ HUAWEI WATCH 2 เพียงด้านเดียวคิดเป็น 88% ของพื้นที่นาฬิกาทั้งหมด

          Porsche Design HUAWEI Smartwatch

          ผู้นำเทคโนโลยีอย่างหัวเว่ยและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมอย่าง Porsche Design ได้เดินหน้าสานต่อความร่วมมือครั้งใหม่ผ่านการประกาศเปิดตัวนาฬิกาข้อมือรุ่น Porsche Design HUAWEI Smartwatch ที่จะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟน Porsche Design HUAWEI Mate 9 ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ได้อย่างครบเครื่อง โดยความร่วมมือในครั้งนี้ผสานเอานวัตกรรมใหม่ล่าสุดเข้ากับดีไซน์ที่สามารถใช้งานได้จริง ก่อเกิดเป็นความสมดุลระหว่างสุนทรียศาสตร์และฟังก์ชันการใช้งานอันยอดเยี่ยม โดย Porsche Design HUAWEI Smartwatch ได้ติดตั้งฟังก์ชันตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกายและการจัดการสุขภาพ ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะของนาฬิกาข้อมือรุ่นล่าสุด สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการทั้งสไตล์ที่โดดเด่นและอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้จริง Porsche Design HUAWEI Smartwatch คือคำตอบที่ลงตัวซึ่งมาพร้อมกับระบบติดตามสมรรถภาพทางกาย ฟังก์ชันอัจฉริยะรุ่นล่าสุด และดีไซน์เหนือระดับที่รวมอยู่บนข้อมือของคุณ

          นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่ Porsche Design ได้สร้างสรรค์นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ รวมถึงผลิตภัณฑ์อัจฉริยะอื่น ๆ ซึ่งจะเผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้

          ริชาร์ด หยู ซีอีโอของหัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสิเนส กรุ๊ป กล่าวเนื่องในโอกาสการเปิดตัว HUAWEI WATCH 2 ว่า "ในยุคที่ข้อมูลมีการกระจายตัว ฟังก์ชันเทคโนโลยีที่ดีต้องสามารถมอบความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ราบรื่นให้กับผู้ใช้งานได้โดยไม่รุกล้ำชีวิตส่วนตัวมากจนเกินไป หัวเว่ยเองปรารถนาที่จะรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการจำกัดการสื่อสารให้น้อยลง แต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์อยู่ โดยผู้ที่เป็นเจ้าของ HUAWEI WATCH 2 ไม่จำเป็นต้องถือพกสมาร์ทโฟนติดตัวอีกต่อไป ทั้งยังสามารถออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานได้อย่างหมดกังวลว่าจะไม่พลาดทุกข้อความสำคัญ ด้วยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างอิสระและแอพพลิเคชั่นอัจฉริยะต่าง ๆ ที่สั่งผ่านข้อมือได้จากทุกที่

          แม้สุขภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรงจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อผู้บริโภคยุคใหม่ แต่อุปกรณ์ประเภทสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพแบบเดิม ๆ มักมีขั้นตอนการใช้งานที่ยุ่งยาก ทำให้ผู้คนสนุกกับมันแค่ในช่วงแรกก่อนที่จะเลิกใช้งานไปในที่สุด หัวเว่ยจึงมุ่งมั่นผสานเทคโนโลยีการติดตามสุขภาพที่ทันสมัยที่สุดเข้ากับอุปกรณ์อัจฉริยะดีไซน์โดนใจ เพื่อให้เครื่องมือดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ แต่ยังช่วยเสริมสไตล์การแต่งตัวให้ดูทันสมัย ควบคู่ไปกับการทำให้ชีวิตประจำวันของคุณง่ายขึ้น"

          กำหนดการวางจำหน่ายและอุปกรณ์เสริม

          HUAWEI Watch 2 เตรียมวางจำหน่ายในกว่า 20 ประเทศและดินแดน ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้:

          วางจำหน่ายเดือนมีนาคม - สเปน ฝรั่งเศส โปรตุเกส อิตาลี เยอรมนี และจีน

          วางจำหน่ายเดือนเมษายน - สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฮอลแลนด์, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, ไอร์แลนด์, กลุ่มประเทศนอร์ดิก, ไทย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, รัสเซีย, อินเดีย, แอฟริกาใต้, โปแลนด์, ออสเตรีย, ซาอุดิอาระเบีย, ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

          วางจำหน่ายเดือนพฤษภาคม – มาเลเซีย

CLX Communications and Waterfall to Modernize Mobile Messaging via Google Early Access Program to RCS Business Messaging

          Cloud-based communications provider,  CLX Communications , and cloud mobile marketing platform, Waterfall , have announced a partnership with Google to provide the next generation of messaging services to brand marketers using  Rich Communication Services (RCS) standard embedded directly into consumers' native messaging apps.

          The partnership is part of  Google's Early Access Program (EAP) announced today and debuting at  Mobile World Congress in Barcelona next week. The program will allow brands to reach customers in new and dynamic "mobile app-like" ways directly within Android smartphones' native messaging service, providing features including suggested replies and actions, dynamic rich media, and company branding.

          With 27 carriers and device manufacturers committed to launching RCS to Android users with Google, the Early Access Program is the first progression towards making RCS messaging universally available worldwide. CLX and Waterfall are striving to provide enterprises access to the growing global RCS userbase, enabling feature-rich communication with consumers that use Android and other handsets that support RCS now and in the future.

          Through the EAP, CLX and Waterfall will enable enterprises to build with the technology, influence the roadmap, and be the first to offer customers an upgraded messaging experience. Marketers can use RCS Business Messaging to engage with customers, grow subscribers, and drive transactions without leaving the native messaging app.

          The rising popularity of OTT messaging apps confirms the demand for a messaging option more powerful and seamless than currently available natively. The new messaging service serves as an alternative to apps by giving brands similar features directly in the messaging environment without the need to build an app audience.

          As the first software cloud enabling RCS for enterprises and brand marketers, Waterfall will create a single point of contact for marketers to broadcast messages to their entire mobile subscriber base. The solution made possible by Waterfall and CLX automatically identifies consumers with RCS-enabled handsets and optimizes the content to deliver the best messages to its respective audiences.

          Non-RCS enabled or offline handsets will automatically default to SMS and MMS standards, so message delivery is guaranteed to a brand's entire audience. As RCS penetration rates grow, more subscribers will access the enhanced experiences created in the self-service Waterfall platform.

          Managing Director at CLX Communications, Robert Gerstmann, said, "RCS Business Messaging has many of the features and benefits that were promised by MMS but were never delivered due to technical complexity, cost and market fragmentation.

          "Google's Early Access Program will give CLX the ability to provide our partners, their customers, enterprises and brands the tools to provide richer, more meaningful and immersive communications, strengthening that proposition dramatically."

          "We are delighted to work with Google and our partners at CLX Communications to be the first ASP to bring truly dynamic RCS Business Messaging capabilities to the largest consumer brands in the world," said Matt Silk, Head of Strategy at Waterfall. "RCS simplifies the way consumers perform everyday essential tasks such as scheduling an appointment, refilling a prescription or finding directions instantly, without having to leave the messaging environment. It's a new paradigm that will boost a brand's ability to increase engagement and heighten conversions."

          Interested in getting a demo at Mobile World Congress? Reach out to sales@clxcommunications.com or sales@waterfall.com to schedule a meeting.

          About CLX Communications
           CLX Communications connects enterprises to people and things. We combine programmable API's and cloud computing with our unparalleled Tier 1 Super Network to make it easy for businesses to embed global communications, including voice, SMS and connectivity into their apps, business processes, and IoT devices.

          Our leading communications Platform-as-a-Service (CPaaS) delivers one of the highest service levels in the industry while processing more than 1 billion API calls per month across six continents. We provide services to 4 of the top 5 CPaaS companies, and 3 of the top 5 global internet brands with Tier 1 connectivity on which many of their services rely.

          CLX Communications' shares are traded at NASDAQ Stockholm - XSTO: CLX.

          Visit http://www.clxcommunications.com for more information.

          About Waterfall
           Waterfall is a leading provider of mobile marketing SaaS and solutions that allows brands to build their existing customer database and drive top-line revenue with targeted, relevant mobile content. Founded in 2005, Waterfall is headquartered in San Francisco with offices in Austin and Boston. Through RCS, SMS, MMS, Wallet, rich media, Push or Beacon messaging solutions, Waterfall's technology creates seamless cross-channel marketing experiences and integrates with third-party software or databases. Companies such as 7-Eleven, Cabela's, Jack in the Box, Papa Murphy's, Pier 1 Imports, Tailored Brands and TGI Friday's use Waterfall's technology solutions and strategic expertise to extend their marketing conversations to the mobile channel.

          Visit http://www.waterfall.com for more information.

          Source: CLX Communications AB (publ)

EyeLock โชว์เทคโนโลยีสแกนม่านตาที่ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835 ในมหกรรม Mobile World Congress 2017

          EyeLock LLC ผู้นำด้านการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยการสแกนม่านตา พร้อมโชว์สุดยอดโซลูชั่นตรวจสอบม่านตาแบบไบโอเมตริกที่ใช้หน่วยประมวลผลใหม่ล่าสุด Qualcomm(R) Snapdragon(TM) 835 มาพร้อมการเชื่อมต่อความเร็วสูง X16 LTE ในมหกรรม Mobile World Congress 2017 (27 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคม) ที่บูธของ Qualcomm หมายเลข 3E10 ฮอลล์ 3

         

          หน่วยประมวลผล Snapdragon 835 ประกอบด้วยแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย Qualcomm Haven(TM) ที่ผสมผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีไบโอเมตริกเข้าด้วยกัน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและการชำระเงินออนไลน์ นอกจากนั้นยังมีฮาร์ดแวร์ยืนยันตัวตนผู้ใช้ ยืนยันอุปกรณ์ และรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ เพื่อรองรับการชำระเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตขององค์กร และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

          นอกจากการยืนยันตัวตนโดยใช้ลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัยแล้ว หน่วยประมวลผล Snapdragon 835 ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายที่เหนือกว่าด้วย Secure Camera โซลูชั่นตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคลผ่านกล้องถ่ายรูปที่จะจดจำใบหน้าและม่านตาของผู้ใช้ เพื่อช่วยให้การใช้งานอุปกรณ์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

          Sy Choudhury ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของ Qualcomm Technologies, Inc. กล่าวว่า "ภายในปี 2018 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ เกือบทุกรุ่นจะมาพร้อมเทคโนโลยีพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลไบโอเมตริก อย่างระบบรักษาความปลอดภัย Haven Secure Camera บนหน่วยประมวลผล Qualcomm 835 ที่ช่วยให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้น ม่านตาของคุณจะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดผ่านทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เราเชื่อว่าการทำงานของ Security Camera บนหน่วยประมวลผล Snapdragon 835 จะเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับโซลูชั่น EyeLock"

          บรรดาผู้พัฒนาสมาร์ทโฟนเริ่มนำเทคโนโลยีพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยการสแกนม่านตามาใช้กันมากขึ้น เพราะมีข้อมูลที่แน่นหนาแน่นรองรับ โดยเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ EyeLock สามารถตรวจสอบเอกลักษณ์เฉพาะของม่านตาของดวงตาแต่ละดวงได้มากกว่า 240 รูปแบบอย่างรวดเร็วและง่ายดายในระยะห่าง 60 เซนติเมตร ความสามารถในการทำงานอย่างรวดเร็วและแม่นยำนี้ได้รับการทดสอบและรับรองโดย Novetta ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการวิเคราะห์ขั้นสูงและการทดสอบไบโอเมติกด้วยความเป็นกลาง โดยโซลูชั่นของ EyeLock เหนือว่าโซลูชั่นที่มีอยู่ในตลาด ด้วยค่า False Accept Rate เพียง 1 ใน 1.5 ล้านครั้งสำหรับการสแกนดวงตา 1 ดวง และค่า False Reject Rate ไม่ถึง 1%

          Jeff Carter ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ EyeLock กล่าวว่า "EyeLock และ Qualcomm Technologies ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ รวมถึงการใช้งานไบโอเมตริกสำหรับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT โดยรวม นวัตกรรมที่เรานำมาสาธิตในงาน Mobile World Congress สามารถตรวจสอบม่านตาได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายในระยะห่างประมาณหนึ่งช่วงแขน โดยอาศัยประสิทธิภาพอันทรงพลังของ Qualcomm Haven Secure Camera ที่มีการประมวลผลและเข้ารหัส ก่อนที่จะนำไปจัดเก็บและทำการจับคู่ม่านตาด้วยการวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ เราจึงสามารถนำเสนอหนึ่งในเทคนิคการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้"

          พบกับ Qualcomm และ EyeLock ได้ในมหกรรม Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคม ที่บูธของ Qualcomm หมายเลข 3E10 ฮอลล์ 3

          เกี่ยวกับ EyeLock
          EyeLock LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Voxx International Corporation (NASDAQ: VOXX) คือผู้นำด้านการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยด้วยการสแกนม่านตาขั้นสูงสำหรับอุปกรณ์ IoT โดยมอบความปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยี EyeLock ID(TM) การสแกนม่านตานั้นมีความปลอดภัยสูง เพราะม่านตาของทุกคนมีความแตกต่างกันและเป็นตัวระบุเอกลักษณ์บุคคลที่แม่นยำมากที่สุดรองจากดีเอ็นเอ EyeLock ครอบครองทรัพย์สินทางปัญญาสำคัญๆมากมาย ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรและสิทธิบัตรที่รอการอนุมัติกว่า 95 ฉบับ ตลอดจนเทคโนโลยีกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่ทำให้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลมีความปลอดภัยและสะดวกสบายทั้งในเชิงตรรกะและกายภาพ โซลูชั่นของ EyeLock ถูกนำไปติดตั้งและใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มของลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร ทำให้ไม่ต้องพึ่งพารหัส PIN และรหัสผ่านอีกต่อไป ขณะเดียวกัน บริษัทหลายแห่งที่ติดอันดับ Fortune 500 ต่างยอมรับในความปลอดภัยของ EyeLock โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีอัตราความผิดพลาดต่ำมาก นอกจากนั้นยังใช้งานและปรับแต่งได้ง่ายด้วย ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นสมาชิกผู้สนับสนุน FIDO (Fast IDentity Online) Alliance องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่อุทิศตนให้กับการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมั่นคงมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค EyeLock ได้มุ่งพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัยอย่างไม่หยุดยั้ง รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.eyelock.com

          Qualcomm และ Snapdragon เป็นเครื่องหมายการค้าของ Qualcomm Incorporated ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ส่วน Qualcomm Haven เป็นเครื่องหมายการค้าของ Qualcomm Incorporated

          Qualcomm Snapdragon และ Qualcomm Haven เป็นผลิตภัณฑ์ของ Qualcomm Technologies, Inc.

          ติดต่อ EyeLock:
          Anthony Antolino, CMO, CBDO
          โทร. 1-917-301-6295
          อีเมล: aantolino@eyelock.com
   

The Complete Smart Fitness Watch Arrives with HUAWEI WATCH 2

          Huawei Consumer Business Group (CBG) today defined a new category of wearable technology with the HUAWEI WATCH 2. Using the latest research result and developments from technology innovator Huawei, the watch combines the connectivity of a smartphone, the smarter living applications of a premium smartwatch and the detailed performance coaching and tracking of a leading sports tracking device, all in the form of a stylish classical wristwatch.

          HUAWEI WATCH 2 inherits the classic design of the original HUAWEI WATCH while introducing new innovations in every category to better empower users' spirit of exploration and help them enjoy an active lifestyle.

          The watch will go on sale in Spain, France, Portugal, Italy, Germany and China this March, priced from 329 EUR depending on the design and features being chosen. It will become available in additional countries including the US, the UK, Russia and Australia from April. For full details on release schedule see notes to editors below.

          In a world where technology has become more and more integrated into our lives, the HUAWEI WATCH 2 is a product for those who yearn for the freedom to explore while staying connected, without having to be glued to a smartphone. Powered by the Qualcomm(R) Snapdragon(TM) Wear 2100 processor HUAWEI WATCH 2 (4G supported version) has independent connectivity, allowing users to send messages or make calls independently of a mobile phone. It also features compatibility for the latest smart living applications. Featuring support for cellular networks and running on the new Android Wear[TM] 2.0 ensures connectivity for both Android[TM] and iOS users and means the HUAWEI WATCH 2 embodies the spirit of openness and exploration for all.

          Independent connectivity to suit your exploration

          With HUAWEI WATCH 2 (4G supported version), users can leave their mobile phone at home and go running, cycling or just exploring while staying connected. Thanks to independent mobile connectivity and a built in GPS chip, users can respond to calls and text messages, use independent apps like Uber, Foursquare and Telegram. The innovative design means that this extra connectivity comes with no sacrifice on quality. VoLTE support and dual-mic noise elimination help ensure a stable and clear telephone experience while the integration of the antennae on the upper watch case for dual 4G, GPS, Wi-Fi, Bluetooth and NFC in the device significantly strengthens connectivity, allowing HUAWEI WATCH 2 to stay compact while ensuring good signal reception.

          Besides the SIM version working with mobile network carriers worldwide, the HUAWEI WATCH 2 also provides an eSIM version (available to limited countries).

          What's more, some carriers feature a one-number-multi-SIM service. There's no need for a new number, as the watch and your mobile phone can share the same number. Going far beyond being just a partner to a smartphone, the HUAWEI WATCH 2 (4G supported version) provides the flexible connectivity required in a modern active life and gets everything controlled by one hand.

          The complete health and exercise partner

          HUAWEI WATCH 2 is also a high specification fitness device that uses multiple sensors with advanced algorithms to provide fitness solutions and make working out more efficient and effective. Built-in smart sensors collect comprehensive data on user activity, including distance, speed, steps, heart rate, heart rate range, calories, gait, route and more.

          With one click on the crown HUAWEI WATCH 2 opens the workout App to start training in an instant. Quick start running modes "fat-burning run" and "cardio run" allow runners to start quickly and the watch will guide your speed to stay in the correct heart rate zone. Running with HUAWEI WATCH 2 enables you to get real time guidance including notifications on distance, target completion status and racing heart warning and based on calculated workout plans, HUAWEI WATCH 2 can also dynamically notify you to either accelerate or decelerate to guide you through every stage of your run. With the support of HUAWEI WATCH 2's GPS and heart rate detection system, HUAWEI WATCH 2 measures your VO2max after each run. After a valid run the watch automatically generates a report that advises on recovery time and training effects.

          Other supporting elements include the built in GPS that tracks your exercise route. HUAWEI WATCH 2 also allows you to add music to your workout through the Google Play[TM] Music app. Users can download songs, stream music and access their playlists.

          Beyond just exercise, HUAWEI WATCH 2 promotes healthy living all day. The Daily Tracking App accurately tracks users' daily steps, record time taken for medium to high intensity exercises, and detect the number of times you stand up after long sedentary periods. All this information is reported via progress bars to encourage a healthier and more active life. Continuous heart rate monitoring tracks your heart rate in the background and reports your heart rate of the last six hours in a curved line. HUAWEI WATCH 2 also measures your Resting Heart Rate, which is recorded in the activity monitor app.

          Chronograph watch design

          The HUAWEI WATCH 2 has a classical wristwatch design that integrates its smart features and sport functions while maintaining a stylish look. Made from sophisticated materials, a dual crown design delivers a premium feel. While honouring the classics, the watch is adaptable to the wearer's personality, with both classical and sporty design options. The high-definition display is customisable with multiple face designs, allowing users quick access to their favourite and most frequently used apps. In addition to a chronograph design, HUAWEI WATCH 2 features a ceramic bezel that provides a fine quality while offering a comfortable wearing experience.

          The watch is also designed for comfort and fit during exercise, meaning it is curved to sit perfectly against the wrist. It is smaller and more compact than the previous generation HUAWEI Watch with its parts on one side accounting for 88% of the total area of the watch.

          Porsche Design HUAWEI Smartwatch

          Technology innovator Huawei and premium lifestyle brand Porsche Design extend their partnership with the announcement of the new Porsche Design HUAWEI Smartwatch. Complementing the Porsche Design HUAWEI Mate 9, which was launched in November 2016, the product further enriches the user experience. Again, the collaboration brings together the latest innovations in technology with the most functional design, creating an equilibrium of aesthetics and function. It combines the latest activity tracking and fitness management functions with the connectivity and smart technology of a leading smart wearable device. For those who demand style and substance, the Porsche Design HUAWEI Smartwatch delivers professional standard fitness tracking, the latest smart functions and sophisticated design - all from the wrist.

          The innovative smart watch is the first ever to be created by Porsche Design and part of a continuous roll out of smart devices, which will be released in the upcoming months.

          Richard Yu, CEO of Huawei Consumer Business Group said of the launch: "In today's fragmented information age, the real function of technology is to provide convenience and connectivity without intruding on your daily life. We wanted to make a product that suits those individuals who wish to explore the limits of their own expression, while still being bound by a need to stay connected. With this product there is no need to stay glued to your smartphone. The independent connectivity and smart applications that can be used from your wrist mean you can go for a run or a cycle and leave your phone behind with the freedom of knowing you won't miss an important message.

          Health and wellbeing are vital for the modern consumer, but traditional monitoring devices are overly complicated and often get used for a while and then cast aside. We wanted to bring in all the most up to date monitoring technology into a stylish and smart package, making this the tool that doesn't just keep you healthy, it is also stylish and helps make your everyday life easier."

          Availability and Accessories

          HUAWEI Watch 2 will be available in more than 20 countries and regions. These include:

          Launching in March - Spain, France, Portugal, Italy, Germany, China.

          Launching in April - US, UK, Holland, Belgium, Switzerland, Ireland, The Nordics, Thailand, Australia, New Zealand, Russia, India, South Africa, Poland, Austria, Saudi Arabia, Japan, UAE

          Launching in May - Malaysia

EyeLock to Demonstrate Secure Iris Biometric Capability on the Qualcomm Snapdragon 835 Mobile Platform at Mobile World Congress 2017

          EyeLock LLC, a leader of iris-based identity authentication solutions, will demonstrate its elite iris biometric solution on the latest Qualcomm(R) Snapdragon(TM) 835 mobile platform with X16 LTE at Mobile World Congress 2017 (February 27 – March 2, 2017) in Qualcomm's Booth in Hall 3, Stand 3E10.
         

          The Snapdragon 835 processor contains the Qualcomm Haven(TM) security platform—a combination of hardware, software and biometrics technologies that help to provide additional security features for online banking and payments. It also includes hardware-based user authentication, device attestation, and device security for use cases such as mobile payments, enterprise access, and personal data protection.

          Beyond secure fingerprint identification, a Snapdragon 835 processor is designed to provide a user with an extra level of safety and simplicity using Secure Camera—a camera-based biometric solution for iris and facial recognition engineered to help enhance device security.

          "By 2018, most new smartphones released in the world will include biometrics. The Qualcomm 835 Haven Secure Camera feature provides additional security for your most personal information – your biometric iris template, the key to all your data, with specialized hardware and software," said Sy Choudhury, senior director of product management, Qualcomm Technologies, Inc. "Further, we believe the Snapdragon 835 security camera implementation provides a solid foundation for the EyeLock solution."

          Smartphone developers are increasingly adopting iris recognition as the gold-standard among biometric solutions because of its rich information density. EyeLock's proprietary iris authentication technology examines more than 240 unique iris characteristics of each eye and provides a fast, user-friendly experience with a natural sensing distance of roughly 60 cm. The algorithm performance capabilities for speed and accuracy have been tested and validated by Novetta, a leader in advanced analytics technology and independent biometric testing, as unmatched in the market with a false accept rate of 1 in 1.5 million for single eye authentication and a false reject rate of less than 1%
.
          "EyeLock and Qualcomm Technologies worked together to achieve a breakthrough level of device security and biometric usability for smartphones and the IoT segment-at-large," said Jeff Carter, Chief Technology Officer at EyeLock. "The device we will demonstrate at Mobile World Congress features fast iris recognition at a comfortable arm's-length distance?. Utilizing the Qualcomm Haven Secure Camera interface with dedicated processing and encryption to sign, store and execute matching of mathematical templates of your iris biometric, we now are able to offer one of the most advanced security techniques available."

          Visit Qualcomm and EyeLock at Mobile World Congress in Barcelona from February 27 - March 2 in Qualcomm's Booth in Hall 3, Stand 3E10

          About   EyeLock

          EyeLock LLC , a majority owned subsidiary of Voxx International Corporation (NASDAQ: VOXX), is an acknowledged leader in advanced iris authentication for the Internet of Things (IoT), providing the highest level of security with EyeLock ID? technology. Iris authentication is highly secure because no two irises are alike and the iris is the most accurate human identifier other than DNA. The company's significant IP portfolio, including more than 95 patents and patents pending, and proprietary technology enables the convenient and secure authentication of individuals across physical and logical environments. EyeLock's solutions have been integrated and embedded across consumer and enterprise products and platforms, eliminating the need for PINs and passwords. Corporations across the Fortune 500 recognize the level of security EyeLock provides due in part to its extremely low false acceptance rate, ease of use, and scalability. As a sponsor member of the FIDO (Fast IDentity Online) Alliance, a non-profit organization dedicated to creating a safer and more secure digital presence for consumers, EyeLock is dedicated to advancing digital privacy and next generation security. For more information, please visit www.eyelock.com .

          Qualcomm and Snapdragon are trademarks of Qualcomm Incorporated, registered in the United States and other countries. Qualcomm Haven is a trademark of Qualcomm Incorporated.

          Qualcomm Snapdragon and Qualcomm Haven are products of Qualcomm Technologies, Inc.

          EyeLock Contact:
          Anthony Antolino, CMO, CBDO
          Phone: 1-917-301-6295
          Email: aantolino@eyelock.com
         

ZTE แสดงศักยภาพโซลูชั่น Pre5G FDD Massive MIMO ด้วยการส่งถ่ายข้อมูลในอัตราความเร็วสูงสุด 2.6Gbps

          ZTE Corporation ( 0763.HK / 000063.SZ ) ผู้ให้บริการรายใหญ่ในด้านโซลูชั่นโทรคมนาคม เทคโนโลยีระดับองค์กรและผู้บริโภคสำหรับอินเทอร์เน็ตมือถือ ประกาศว่า โซลูชั่น Massive MIMO สำหรับย่านความถี่ Pre5G FDD ของบริษัท ได้รับการพิสูจน์ศักยภาพในการทำงานกับอุปกรณ์ปลายทางที่เชื่อมต่อกัน 8 เครื่องบนเครือข่าย 4G ด้วยอัตราความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดถึง 2.6Gbps ในหนึ่งเซลล์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 8 เท่า

          ZTE ได้เปิดตัวโซลูชั่น Massive MIMO ที่ทำงานบนเครือข่าย FDD-LTE เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องในการทดสอบภาคสนามก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์ร่วมกับผู้ให้บริการอย่าง China Unicom และ China Telecom ทั้งนี้ จากการที่เทคโนโลยี Massive MIMO สำหรับย่านความถี่ TDD ซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายนั้น พบว่ามีการสะสมของข้อมูลการรับส่งในปริมาณมาก ดังนั้น  ZTE จึงได้นำเสนออัลกอริทึมสำหรับตรวจวัดและประมาณค่าช่องสัญญาณ FDD Massive MIMO เพื่อช่วยให้เครือข่าย FDD สามารถแลกเปลี่ยนช่องสัญญาณได้ (channel reciprocity) พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพของสเปกตรัม โดยไม่ต้องเปลี่ยนเทอร์มินัล 4G แต่อย่างใด นอกจากนี้ ชิปประมวลผลแบบเวคเตอร์ของ ZTE อย่าง MCS2.0 ยังมาพร้อมกับศักยภาพอันแข็งแกร่งในการคำนวณและประมวลผลสัญญาณด้วย เพื่อเติมเต็มอัลกอริทึมของ FDD Massive MIMO ที่มีความซับซ้อน

          จาง เจี้ยนกั๋ว รองประธานอาวุโสของ ZTE กล่าวว่า "Massive MIMO เป็นเทคโนโลยีระดับแนวหน้าในบริการ Pre5G ของ ZTE หลังจากที่เราได้นำร่องเปิดตัวและให้บริการ TDD Massive MIMO ในเชิงพาณิชย์ เราก็ได้เดินหน้าพัฒนาต่อเพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยี Massive MIMO ให้ครอบคลุมเครือข่าย FDD-LTE ซึ่งเป็นเทคโนโลยี 4G ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เราได้นำเสนอเทคโนโลยี 5G ให้กับเครือข่าย 4G เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค 5G ได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งหาก FDD Massive MIMO สามารถเติบโตในเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เรามีศักยภาพในการส่งมอบโซลูชั่น Pre5G ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุด และยังสามารถมอบประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย"

          จากการเปิดตัวเทคโนโลยีระดับแกนกลางในขอบข่าย Pre5G อย่าง Massive MIMO ให้ครอบคลุมในย่านความถี่ FDD นั้น ในอนาคตข้างหน้า บริษัทจะเปิดให้บริการ Pre5G เชิงพาณิชย์ให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น โดยเมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ได้มีการใช้งานเครือข่าย Pre5G ของ ZTE กว่า 40 จุดแล้วใน 30 ประเทศทั่วโลก และในปี 2560 ทาง ZTE จะอาศัยข้อได้เปรียบของ Massive MIMO เพื่อเร่งเปิดให้บริการ FDD Massive MIMO ในเชิงพาณิชย์ เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านประสิทธิภาพของสเปกตรัมที่เหนือกว่า พร้อมกรุยทางสำหรับผู้ให้บริการ 4G ทั่วโลกในการก้าวเข้าสู่ยุค 5G อย่างสมบูรณ์

Alcatel เปิดตัว A5 LED สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ฝังหลอดไฟ LED ไว้ในฝาหลัง

          -มอบช่วงเวลาแห่งความเจิดจรัสให้กับบรรดาคนหนุ่มสาวที่แสวงหาพลังแห่งความบันเทิง

           Alcatel ประกาศเปิดตัว Alcatel A5 LED สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มีแผงไฟ LED ฝังอยู่ในฝาหลัง เพื่อส่งมอบนวัตกรรมที่เปล่งประกายแห่งความสนุกสนานในรูปแบบของ Alcatel ให้กับบริโภครุ่นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ในมหกรรม Mobile World Congress

          วิลเลียม โดวี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลงานของ Alcatel  กล่าวว่า "Alcatel  A5 LED มอบความสนุกรูปแบบใหม่ให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น แสงไฟแจ้งเตือนบนฝาหลัง LED แบบไม่ซ้ำใครที่คุณสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง ตลอดจนเพิ่มประสบการณ์ในรูปแบบมัลติมีเดีย พร้อมเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับการถ่ายและแชร์รูปเซลฟี่ สำหรับผู้ที่รักความสนุกสนานและต้องการปล่อยประกายความเป็นตัวตน"

          โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น

          Alcatel นำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครที่จะพบได้แต่ในสมาร์ทโฟนรุ่น A5 LED ที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถแสดงความเป็นตัวตนออกมาผ่านสมาร์ทโฟนส่วนตัวด้วยแสงที่ส่องสว่างจากแผงไฟ LED บนฝาหลัง:

          - สว่างขึ้นเมื่อมีการแจ้งเตือนด้วยแสงไฟที่แตกต่างกัน เพื่อแสดงสายเรียกเข้าที่สำคัญ ข้อความ สัญญาณเตือน และโซเซียลมีเดีย
          - เปล่งประกายความมีชีวิตชีวา ด้วยการกำหนดการแสดงผลบนแผงไฟ LED ที่ฝาหลังด้วยตนเองในรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร ผ่าน Color Catcher 2.0 เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับทุกวันของคุณ
          - จุดประกายแห่งจินตนาการด้วยแสงสีที่สะดุดตาในแบบฉบับของคุณ
          - ปลุกเสียงดนตรีในตัวคุณ ด้วยแสงไฟแสดงผลตามจังหวะ สลับกับการสั่นไหวของเครื่อง

          ประสิทธิภาพอันแข็งแกร่ง พร้อมเพิ่มความสนุกสุดเหวี่ยงให้กับการถ่ายเซลฟี่

          Alcatel A5 LED มอบสุดยอดประสบการณ์ในรูปแบบมัลติเมียให้กับผู้ใช้ ด้วยการเชื่อมต่อกับระบบ 4G LTE ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งชิปประมวลผล octa-core ให้คุณสามารถดาวน์โหลดรูปถ่าย เกม และภาพยนตร์ได้อย่างราบรื่นในหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 5.2 นิ้ว ที่มาพร้อมความคมชัดระดับ HD

          Alcatel A5 LED มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 5MP พร้อมเซลฟี่แฟลช ที่จะเพิ่มความสว่างให้กับรูปเซลฟี่ของคุณแม้ในที่ที่มีแสงน้อย พร้อมซอฟต์แวร์ Face Beauty เพื่อให้รูปถ่ายออกมาสวยแบบไร้ที่ติ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสนุกมากยิ่งขึ้นด้วยการสร้างวีดีโอจากรูปเซลฟี่ด้วยโปรแกรม Face Show และกล้องหลังความละเอียด 8MP พร้อม Dual-Tone Flash อีกทั้งมีโหมดความเป็นส่วนตัว (Private Mode) ที่ผู้ใช้สามารถเลือกลงชื่อเข้าใช้บัญชีในที่แตกต่างกันเพื่อซ่อนรูปหรือแอพที่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นได้อีกด้วย

          Alcatel A5 LED มีขนาดพอดีมือและได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ด้วยตัวเครื่องที่บางเฉียบและขอบโค้งมน

ZTE เปิดตัวสถานีฐาน 5G สำหรับปฏิบัติการก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

          ZTE Corporation ( 0763.HK / 000063.SZ ) ผู้ให้บริการโซลูชั่นโทรคมนาคม โซลูชั่นเทคโนโลยีระดับองค์กรและผู้บริโภคสำหรับอินเทอร์เน็ตมือถือ ได้ประกาศเปิดตัวสถานีฐาน 5G คลื่นความถี่ mmWave และ Sub6GHz สำหรับการปฏิบัติการก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ และเตรียมสาธิตความเร็วในการใช้งานสูงสุด 50 Gbps บนความถี่ mmWave ของสถานีฐาน 5G ภายในงาน Mobile World Congress 2017 (MWC) ที่เมืองบาร์เซโลนา การเปิดตัวดังกล่าวเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ให้บริการเครือข่าย สามารถติดตั้งโซลูชั่นเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที เพื่อไขว่คว้าโอกาสทางธุรกิจในยุค 5G เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเพลิดเพลินกับความเหนือชั้นของเครือข่าย 5G ได้ก่อนใคร

          ที่งาน MWC 2017 โซลูชั่นสำหรับการปฏิบัติการก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์ผ่านเครือข่าย 5G บนคลื่นความถี่ mmWave และ Sub6GHz นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในการรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อทางอากาศ (Air Interface) รูปแบบใหม่ตามมาตรฐาน 5G New Radio (NR) ของคณะทำงาน 3rd Generation Partnership Projects (3GPP) เช่นเดียวกับย่านความถี่ 5G เดิมในอุตสาหกรรม โซลูชั่นดังกล่าวทำหน้าที่โดยอาศัยเทคนิค Multiple Input, Multiple Output (MIMO) รวมถึงเทคโนโลยี Beam Tracking, Beamforming และเทคโนโลยีระบบ 5G อื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ด้านการปฏิบัติการบนเครือข่าย 5G ก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์ในหลายสถานการณ์ โดยสถานีฐาน 5G Sub6GHz นั้นมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาที่สุดที่มีการผสานเทคโนโลยีระดับสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยมีอัตราการส่งถ่ายข้อมูล (Data Throughput) สูงสุดถึง 10 Gbps นอกจากนี้ ทาง ZTE และหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่าง China Mobile ยังได้ร่วมกันสาธิตการทำงานของสถานีฐาน 5G mmWave ก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์อีกด้วย

          เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา ZTE ได้กลายเป็นผู้ให้บริการรายแรกของโลก ในการพิสูจน์ศักยภาพของเทคโนโลยีหลักในแวดวง 5G mmWave และ 5G Sub6GHz และได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบ 5G mmWave ภาคสนาม ด้วยศักยภาพอันโดดเด่น ZTE จึงกลายเป็นผู้นำและผ่านบททดสอบทั้งหมดในการทดสอบเครือข่าย 5G เฟสแรกในจีน โดย ZTE ประสบความสำเร็จในการทดสอบและยืนยันความถูกต้องในเทคโนโลยี 5G single-point รวมทั้งการทดสอบต้นแบบ และในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ช่วงการทดสอบโซลูชั่น 5G และช่วงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) โดยการเปิดตัวสถานีฐาน 5G mmWave และ 5G Sub6GHz อย่างเต็มรูปแบบนั้น ได้ปูทางสู่การทดสอบและใช้งานเครือข่าย 5G ก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์ในภายหลัง

          Massive MIMO เป็นเทคโนโลยีหลักอย่างหนึ่งในแวดวง 5G เทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพด้านความถี่และแบนด์วิดท์สำหรับการเชื่อมต่อทางอากาศ โดยในเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา ZTE ได้กลายเป็นผู้ให้บริการรายแรกของโลก ที่เดินหน้าผลักดันแนวคิดนวัตกรรม Pre5G ในยุค 4G และได้นำเทคโนโลยี Massive MIMO มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งตอบสนองความต้องการด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า ทั้งยังกรุยทางสำหรับการทดสอบและติดตั้งก่อนให้บริการเชิงพาณิชย์ในยุค 5G อย่างเต็มรูปแบบ นับจนถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี Pre5G Massive MIMO ของ ZTE ได้รับการนำไปใช้อย่างกว้างขวางโดยผู้ให้บริการอย่าง China Mobile, Softbank (ในญี่ปุ่น) และในตลาดไฮเอนด์อื่นๆทั่วโลก

          Massive MIMO ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างจากกลุ่มผู้ให้บริการและในอุตสาหกรรม ปัจจุบันได้มีการนำไปใช้แล้วกับโครงการ 5G ของเครือข่ายมือถือต่างๆ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาทางเทคโนโลยีและการใช้งานที่เกิดขึ้นในกระบวนการปฏิบัติงานเชิงพาณิชย์ และยังช่วยยกระดับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G หลัก พร้อมทั้งร่นระยะเวลาในการทวนสอบผลิตภัณฑ์ และการใช้งานเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง ZTE ได้ยื่นเรื่องจดสิทธิบัตรทางเทคทิคแล้วกว่าหลายร้อยฉบับ และได้มีส่วนในการกำหนดข้อเสนอที่มีประโยชน์อย่างยิ่งจากเหล่าองค์กรผู้กำหนดมาตรฐานในเรื่องกระบวนการทางเทคโนโลยีดังกล่าว ตามฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บมาจากเหตุการณ์จริง

          จาง เจี้ยนกั๋ว รองประธานอาวุโสของ ZTE กล่าวว่า "ZTE จะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมในแวดวง 5G ต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการของลูกค้า โดย ZTE จะเข้ามาครองตลาด 5G ที่ให้บริการเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก พร้อมวางรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในวันข้างหน้า"

          เกี่ยวกับ ZTE

          ZTE เป็นผู้ให้บริการด้านระบบโทรคมนาคมขั้นสูง รวมถึงอุปกรณ์เคลื่อนที่ และโซลูชั่นเทคโนโลยีองค์กร เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ผู้ให้บริการเครือข่าย ภาคธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ กลยุทธ์ M-ICT ของ ZTE มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอนวัตกรรมแบบครบวงจรที่ทำงานแบบบูรณาการให้กับลูกค้า เพื่อมอบความเป็นเลิศและคุณประโยชน์ต่างๆ ในยุคที่เทคโนโลยีโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว โดย ZTE ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซินเจิ้น (รหัสหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง:  0763.HK / รหัสหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น: 000063.SZ ) ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับกลุ่มผู้ให้บริการกว่า 500 รายในกว่า 160 ประเทศ ในแต่ละปี ZTE จัดสรรเงินรายได้ 10% ให้กับการวิจัยและพัฒนา และมีบทบาทผู้นำในองค์กรผู้กำหนดมาตรฐานในระดับโลก ทั้งนี้ ZTE มุ่งมั่นเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และยังเป็นสมาชิกของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) ด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถรับชมได้ที่ www.zte.com.cn

          สื่อมวลชนติดต่อ:

          Margrete Ma
          ZTE Corporation
          โทร: +86 755 26775207
          อีเมล: ma.gaili@zte.com.cn

          Daniel Beattie
          AxiCom
          โทร: +44 (0)20 8392 8071
          อีเมล: daniel.beattie@axicom.com

ZTE 5G Solutions Primed for Commercial Pre-deployment in 2018

          ZTE Corporation ( 0763.HK / 000063.SZ ) announced that the company's 5G solutions are scheduled for commercial pre-deployment starting from the third-quarter of 2018, as ZTE enables operators to minimize the time to build 5G-ready networks.

          At Mobile World Congress 2017 in Barcelona this week, ZTE is unveiling a new series of 5G products, giving operators first-mover advantages in their transition to next-generation services. ZTE projects that its 5G products will be deployed in commercial 5G networks in the first quarter of 2019.

          At MWC 2017, ZTE is releasing a full range of new mmWave and sub-6Ghz base stations. The new 5G solutions support 5G New Radio (NR) air interfaces of 3rd Generation Partnership Projects (3GPP) and mainstream 5G frequency bands in the industry. The new ZTE 5G base stations use massive multiple input, multiple output (MIMO), Beam Tracking, beamforming and other key 5G technologies, meeting pre-commercial deployment requirements for 5G.

          ZTE invests more than RMB 1 billion annually on research and development of 5G, and was the world's first vendor to verify key technologies in the 5G mmWave and sub-6GHz in 2016, successfully completing 5G mmWave field testing. ZTE was the first to pass all parts of the first phase of National 5G tests in China. ZTE has successfully completed 5G single-point technology and prototype verification and has now entered the solution verification and research and development (R&D) phase.

          ZTE's proprietary Pre5G solutions enable operators to emulate the performance of 5G networks on existing 4G LTE infrastructure, delivering gains in data throughput and reductions in latency. ZTE's Pre5G solutions are designed to be easily upgradable to 5G in the future, and have been deployed in more than 40 networks in 30 countries around the world.

          As a provider of end-to-end innovations for 5G, ZTE is also leading the way in the development of future-oriented mobile devices and terminals. At MWC 2017, ZTE unveiled the world's first Gigabit smartphone, supporting data transmission rates of 1 Gbps, delivering a quantum leap in user experience.

          As a leader in 5G technology, ZTE has signed strategic partnerships on 5G development with the world's top telecommunications carriers including Deutsche Telekom, Telefonica, SoftBank, KT Group, China Mobile, China Telecom and China Unicom.

          About ZTE

          ZTE is a provider of advanced telecommunications systems, mobile devices, and enterprise technology solutions to consumers, carriers, companies and public sector customers. As part of ZTE's M-ICT strategy, the company is committed to providing customers with integrated end-to-end innovations to deliver excellence and value as the telecommunications and information technology sectors converge. Listed in the stock exchanges of Hong Kong and Shenzhen (H share stock code:  0763.HK / A share stock code: 000063.SZ ), ZTE's products and services are sold to over 500 operators in more than 160 countries. ZTE commits 10 per cent of its annual revenue to research and development and has leadership roles in international standard-setting organizations. ZTE is committed to corporate social responsibility and is a member of the UN Global Compact. For more information, please visit www.zte.com.cn .

          Media Contacts:

          Margrete Ma                                                  
          ZTE Corporation
          Tel: +86 755 26775207
          Email: ma.gaili@zte.com.cn

          Daniel Beattie
          AxiCom
          Tel: +44 (0)20 8392 8071
          Email: daniel.beattie@axicom.com

XCMG ส่งเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในมาเลเซีย

         เครื่องดันท่อ XDN525 จาก XCMG ผู้ผลิตเครื่องจักรชั้นนำของโลก ได้มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในมาเลเซียเป็นครั้งแรก ผ่านทางโครงการบำบัดน้ำเสียในกรุงกัวลาลัมเปอร์

          โครงการบำบัดน้ำเสียในเมืองและเขตชานเมืองของกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการยกระดับระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อเติมอากาศที่มีอยู่เดิม ด้วยการปรับปรุงดัดแปลงบ่อผึ่งให้เป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัย พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานสุขภาพและสุขาภิบาลในภูมิภาค

          ในฤดูฝนของมาเลเซียซึ่งกินระยะเวลานาน เครื่องดันท่อ XDN525 ของ XCMG ไม่เพียงต้องรับมือกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเวลาด้วย

          ผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังนี้ถือเป็นความสำเร็จด้านเทคโนโลยีล่าสุดของบริษัท โดยเครื่อง XDN525 ได้ดำเนินการก่อสร้างวางท่อโดยวิธีดันท่อลอดแล้วเสร็จสามช่วงระยะภายในเวลาสองเดือน ซึ่งเป็นการเอาชนะอุปสรรคด้านสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน รวมถึงระยะเวลาก่อสร้างที่สั้น

          "เครื่องดันท่อ XDN525 สามารถวางท่อได้วันละ 15 เมตร ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากลูกค้าของเราเป็นอย่างมาก" คง ชิงหัว ผู้จัดการทั่วไปของ XCMG Foundation Construction Machinery Co.,Ltd. กล่าว "การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้จะทำให้โรงงานบำบัดน้ำเสียในกัวลาลัมเปอร์สามารถปล่อยน้ำที่ได้รับการบำบัดให้สะอาดขึ้นลงสู่แม่น้ำได้ และ XCMG รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาวมาเลเซียและสิ่งแวดล้อม"

          ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา XCMG ได้จัดหาอุปกรณ์เครื่องจักรและโซลูชั่นประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม เพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น โครงการรถไฟไทย-จีน ซึ่งมีเส้นทางผ่าน 10 จังหวัดของไทย การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 6 ในกัมพูชา "โครงการเคหะเวเนซุเอลา" ในกรุงคาราคัส ประเทศเวเนซุเอลา ทางรถไฟมอมบาซา-ไนโรบีในแอฟริกา และอีกหลายโครงการ

          "การสนับสนุนโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนานั้นมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างงานใหม่ๆ อีกด้วย" นายคงกล่าว

          เกี่ยวกับ XCMG:

          XCMG เป็นบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตเครื่องจักรหนักที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 73 ปี และปัจจุบันติดอันดับ 5 ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรก่อสร้างของโลก บริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

Gionee เปิดตัวสมาร์ทโฟน A1 และ A1 Plus ชูจุดเด่นถ่ายเซลฟี่สวยเป๊ะ

          Gionee เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในซีรีส์ A ได้แก่ A1 และ A1 Plus ในมหกรรม Mobile World Congress (MWC) 2017 มาพร้อมแบตเตอรี่อึดทนนานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถ่ายเซลฟี่ได้สวยขึ้น

          สุดยอดเซลฟี่

          สมาร์ทโฟนซีรีส์ A ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ Gionee ในตลาดต่างประเทศ และชูจุดแข็งด้านการถ่ายเซลฟี่เช่นเดิม ด้วยกล้องเซลฟี่ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องหลังคู่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และ 5 ล้านพิกเซล สมาร์ทโฟน A1 Plus จึงช่วยให้ถ่ายเซลฟี่และถ่ายภาพได้สว่างสดใสเป็นธรรมชาติในทุกสภาพแสง

          เพื่อให้ถ่ายเซลฟี่ได้สวยเป๊ะอย่างใจ สมาร์ทโฟนรุ่นนี้จึงมาพร้อมแฟลชสำหรับกล้องเซลฟี่โดยเฉพาะ ช่วยกระจายแสงลงบนใบหน้าอย่างเรียบเนียนสม่ำเสมอ ส่วนเอฟเฟกต์แสงอ่อนๆ จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสอมชมพูดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีระบบตรวจจับใบหน้าและใส่เอฟเฟกต์ที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ

          สุดยอดแบตเตอรี่

          ทั้ง A1 และ A1 Plus มาพร้อมแบตเตอรี่อึดทนนานอันเป็นจุดเด่นของ Gionee เพื่อการใช้งานอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด โดยมีการบูรณาการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนเพื่อรับประกันว่าสมาร์ทโฟนจะมีแบตเพียงพอเสมอ

          A1 Plus มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4550 mAh ส่วน A1 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 4010 mAh ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวันหรือนานกว่านั้น ไม่ว่าผู้ใช้จะดูวิดีโอออนไลน์ เล่นเกมกราฟฟิกสูง หรือใช้ GPS นำทางก็ตาม

          Gionee ใช้ชิป dual charging และ ultrafast charge 18W ในสมาร์ทโฟนซีรีส์ A ช่วยให้ชาร์จแบตได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยไร้กังวล โดยสามารถชาร์จแบตเต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง* (จากการทดลองในห้องแล็บ) นอกจากนั้นยังมาพร้อมที่ชาร์จแบตสีสันสวยงามที่ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนรุ่นนี้โดยเฉพาะ

          สุดยอดประสบการณ์

          การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ส่งผลให้สมาร์ทโฟนซีรีส์ A ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวและประหยัดพลังงาน โดยสมาร์ทโฟน A1 Plus ใช้ชิปประมวลผล MTK Helio P25 ขณะที่ A1 ใช้ชิป Helio P10 โดยทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการล่าสุด Android 7.0 มาพร้อมแรม 4 GB และรอม 64 GB รองรับการใช้งานหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งแอปและเกมที่กินแรมมาก โดยไม่ทำให้เครื่องช้าหรือค้าง

          นอกจากนี้ Gionee ยังใช้ชิปเสียง Waves MaxxAudio ในสมาร์ทโฟน A1 และ A1 Plus โดยร่วมมือกับ Waves Audio ผู้นำของโลกด้านการพัฒนาเทคโนโลยี DSP และเจ้าของรางวัล Technical GRAMMY Award และที่พิเศษกว่านั้นคือ A1 Plus ยังมาพร้อมลำโพงระบบสเตอริโอที่ให้เสียงทรงพลังและสมจริงยิ่งกว่าเดิม

          ติดต่อ:

          Fu Juan
          โทร. +86-18926040791
          อีเมล: fujuan@gionee.com

ดร.ยูจีน การ์ฟีลด์ ผู้บุกเบิก Web of Science ในเครือ Clarivate Analytics เสียชีวิตด้วยวัย 91 ปี

          ฟิลาเดลเฟีย--28 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          ผู้บุกเบิกการวิเคราะห์และการทำดัชนีการอ้างอิง สร้างคุณูปการอย่างยั่งยืนให้แก่แวดวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และวิชาการ

          Clarivate Analytics รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับการจากไปของดร.ยูจีน การ์ฟีลด์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และรู้สึกซาบซึ้งที่เขาได้สร้างความก้าวหน้าด้านสารสนเทศศาสตร์ให้แก่แวดวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิชาการ นอกจากนั้นยังเป็นผู้บุกเบิกการวิเคราะห์การอ้างอิง (citation analysis) ด้วยการพัฒนาระบบทำดัชนีที่ปฏิวัติแนวทางการทำรายงานของนักวิจัย ทั้งนี้ คุณการ์ฟีลด์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

       

          การทำดัชนีการอ้างอิง (citation indexing) ออกแบบมาเพื่อใช้ในการสืบค้นข้อมูล แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลเพื่อใช้ประเมินผลงานการวิจัยแต่ละชิ้น โดยดูจากความถี่ที่งานวิจัยนั้นถูกนำไปอ้างอิงโดยนักวิจัยคนอื่นๆ การที่คุณการ์ฟีลด์พัฒนาการวิเคราะห์การอ้างอิงและมาตรวัดสารนิเทศ (infometrics) ขึ้นมานั้น ได้นำไปสู่การพัฒนาฐานข้อมูลการอ้างอิงจำนวนมาก ครอบคลุมถึง Web of Science(TM) ของ Clarivate Analytics และ Journal Citation Reports ซึ่งรายงานความถี่ของการอ้างอิงวารสารทางวิชาการหลายพันฉบับ รวมถึงข้อมูลอ้างอิงอื่นๆ

          ในปี 2507 Institute for Scientific Information องค์กรที่คุณการ์ฟีลด์ก่อตั้งขึ้นและกรุยทางให้กับ Clarivate Analytics ได้เปิดตัวดัชนี Science Citation Index เป็นครั้งแรก ดัชนีดังกล่าวได้บันทึกข้อมูลการอ้างอิงและการอ้างถึงทางบรรณานุกรมของบรรดาวารสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก โดยผู้ใช้สามารถติดตามการอ้างอิงเพื่อเชื่อมต่อไปยังผลงานวิจัยที่จะมีประโยชน์กับงานของตนเองมากที่สุด

          ปัจจุบัน Web of Science ซึ่งเป็นผลงานการบุกเบิกของคุณการ์ฟีลด์ ได้เติบโตขยายวงกว้างออกไปมาก และยังคงทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสำหรับโลกของการวิจัย ข้อมูลสถิติการอ้างอิงของ Web of Science ซึ่งบันทึกผลงานการวิจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทุกวงการจากการตัดสินของนักวิจัยด้วยกันเอง ถือเป็นรากฐานของการประเมินและการวัดมาตรฐานผลงานวิจัยของบุคคล สถาบัน ประเทศ และภูมิภาค

          เจย์ แนดเลอร์ ซีอีโอของ Clarivate Analytics กล่าวว่า "เรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับการจากไปของดร.ยูจีน การ์ฟีลด์ ผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการเข้าถึงและประเมินผลงานวิจัยทั่วโลก เขาสร้างคุณูปการมากมายต่อแวดวงการวิจัยและต่อองค์กรของเรา ทั้งในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เพื่อนร่วมงาน และมิตรแท้ เราจะเดินหน้าพัฒนาตนเองเพื่อสานต่องานของดร.การ์ฟีลด์ ในด้านสารสนเทศศาสตร์ต่อไป"

          Clarivate Analytics

          Clarivate(TM) Analytics ช่วยเร่งกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและข้อมูลวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้ให้แก่ลูกค้าทั่วโลก ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถคิดค้น คุ้มครอง และทำการตลาดแนวคิดใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วขึ้น Clarivate Analytics ซึ่งในอดีตคือธุรกิจ Intellectual Property & Science ในเครือ Thomson Reuters เป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจต่างๆในรูปแบบให้บริการแก่สมาชิก โดยมุ่งเน้นไปที่การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิชาการ การวิเคราะห์สิทธิบัตรและมาตรฐานด้านกฎเกณฑ์ การพัฒนานวัตกรรมด้านเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพ การคุ้มครองเครื่องหมายการค้า การคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในตราสินค้า และการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ปัจจุบัน Clarivate(TM) Analytics เป็นบริษัทที่ดำเนินงานอย่างอิสระ มีพนักงานมากกว่า 4,000 คน และมีการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังเป็นเจ้าของแบรนด์ดังมากมาย เช่น Web of Science(TM), Cortellis(TM), Thomson Innovation(TM), Derwent World Patents Index(TM), CompuMark(TM), MarkMonitor(R) และ Techstreet(TM) เป็นต้น สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Clarivate.com

Founding Father of Clarivate Analytics' Web of Science, Dr. Eugene Garfield Dies at 91

          PHILADELPHIA--28 Feb--PRNewswire/InfoQuest

          A pioneer in the field of citation indexing and analysis, Garfield made a lasting impact on scientific, medical and scholarly research

          Clarivate Analytics marks the passing of one if its founding fathers, Dr. Eugene Garfield, and gives thanks for his contributions to information science in the service of scientific and scholarly research. A pioneer in the practice of citation analysis through the development of an indexing system that revolutionized the way researchers work with the literature, Garfield passed away suddenly on February 26.

     

          Citation indexing was initially designed for information retrieval, but it also provided data for evaluating the impact of a particular work of research, based on how frequently the work was footnoted, or cited, by other researchers. Garfield's development of citation analysis and infometrics led to the development of numerous citation databases, including the Clarivate Analytics'  Web of Science? and the Journal Citation Reports, which reports impact factors and other citation data for thousands of scholarly journals.

          In 1964, the Institute for Scientific Information, the organization that Garfield originally founded and the forerunner of Clarivate Analytics, released the first Science Citation Index. This resource recorded the bibliographical and citation contents of the world's most influential journals, allowing users to follow citation links to find the specialized research most germane to their own work.

          Currently embodied and greatly expanded in the online Web of Science, Garfield's original invention continues to serve as a reliable and efficient guide to the sprawling world of research. The Web of Science's body of citation statistics, documenting the most influential research in any given field as directly judged by researchers themselves, provides the basis for assessing and benchmarking the research performance of individuals, institutions, nations, and regions.

          "It is with deep sadness that we mark the passing of Dr. Eugene Garfield," said Jay Nadler, CEO, Clarivate Analytics.  "Dr. Garfield's work has shaped the way that research is accessed and evaluated across the globe. We honor him for the contribution he has made to research, and to our organization as a visionary leader, colleague and friend. As Clarivate Analytics we will continue to innovate with the spirit that Dr. Garfield embodied in his groundbreaking work in information science."

          Clarivate Analytics

          Clarivate(TM) Analytics accelerates the pace of innovation by providing trusted insights and analytics to customers around the world, enabling them to discover, protect and commercialize new ideas faster. Formerly the Intellectual Property and Science business of Thomson Reuters, we own and operate a collection of leading subscription-based businesses focused on scientific and academic research, patent analytics and regulatory standards, pharmaceutical and biotech intelligence, trademark protection, domain brand protection and intellectual property management. Clarivate(TM) Analytics is now an independent company with over 4,000 employees, operating in more than 100 countries and owns well?known brands that include Web of Science(TM), Cortellis(TM), Thomson Innovation(TM), Derwent World Patents Index(TM), CompuMark(TM), MarkMonitor(R) and Techstreet(TM), among others. For more information, please visit Clarivate.com.

HT-SAAE Launches A Range of High-efficiency PV Modules In Tokyo

          TOKYO--28 Feb--PRNewswire/InfoQuest

          Shanghai Aerospace Automobile Electromechanical Co., Ltd (HT-SAAE), world's leading manufacturer of solar PV products, showcased the latest lineup of its high-efficiency module products in Tokyo on Feb. 28.

          http://photos.prnasia.com/prnvar/20170227/0861701458-a
          http://photos.prnasia.com/prnvar/20170227/0861701458-b
          http://photos.prnasia.com/prnvar/20170227/0861701458-c
          http://photos.prnasia.com/prnvar/20170227/0861701458-d

          The lineup includes the HyperC high-efficiency mono-crystalline PV modules, Hyper Black high-efficiency poly-crystalline PV modules, and the Milky Way N-type bifacial Dual Glass 5BB modules. Launching these high-efficiency modules at the same time shows that HT-SAAE has blazed a trail in multiple production lines and enjoyed a robust year in product variety and volume.

          The new product ranges brought by HT-SAAE, the BNEF Tier 1 Module Manufacturer, come with many features. The HyperC high-efficiency mono-crystalline PV modules and Hyper Black high-efficiency poly-crystalline PV modules are created with the enhanced techniques of the HIGHWAY series. Featuring 5BB cell technology, anti-PID cell and high reliability encapsulation material, the two products come with lower series resistance, higher cell conversion efficiency and higher power output per unit.

          The HyperC PV module series adopts the PERC (passivated emitter rear cell) technique developed by HT-SAAE, making the cell efficiency for mass production up to 21.2%. And the output power can reach 300W and above for a 60-cell module.

          The Hyper Black PV module series are made with diamond wire slicing technique, which largely reduces costs. In addition, the nano texture method leads to uniformity in cells' overall appearance. The products also adopt the metal-assisted chemical etching (MACE) technique, raising cell efficiency up 0.3% to 0.5%. The cell efficiency level for mass production can reach up to 19.8% and the output power can reach 280W and above for a 60-cell module with the advanced PERC technique.

          Both HyperC and Hyper Black PV module series have passed the anti-ammonia gas test, anti-salt mist test, anti-dust and anti-PID test.

          The Milky Way N-type bifacial Dual Glass 5BB PV modules are upgraded versions of the Milky Way Bifacial N-type PERT Mono-crystalline PV modules. HT-SAAE made a bold move by adopting the new generation high-efficiency 5BB cell technique in the N-type cell module field, bringing a 10W increase in power output compared with the first generation of Milky Way PV modules with the 4BB technique.

          HT-SAAE expanded its business globally a few years ago. With optimized quality and attentive services, its products are well received among a range of countries including the U.S., Europe, India, and Japan. Since 2011, the company's sales volume in Japan has reached almost 800MW. Catering to the increasing demand for rooftop PV modules from the global market, HT-SAAE developed the HyperC high-efficiency mono-crystalline PV module (50 pcs). It adopts the PERC technique as its core technique. Coming out in only 50 pieces of modules, it is relatively compact and light, reducing the burden on roofs, while its length-to-width ratio of 2-to-1 fits perfectly on the roof. Although it's quite compact, the maximum power output can still reach 250W.

          "As the only one Chinese state-owned enterprise to reach the production capacity of GW-level with a comprehensive PV industrial chain, HT-SAAE has long been working on technique innovation and high-efficiency products to appeal to different market demands around the world," said Ruan Zhongli, the Vice-general Manager of HT-SAAE' s photovoltaic business.

          In 2017, the company will keep working on high-efficiency product innovation and explore more new fields such as multi-grid, lamination, slicing and many others.

          About HT-SAAE

          Shanghai Aerospace Automobile Electromechanical Co., Ltd (HT-SAAE) is a subsidiary of China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC), a Fortune 500 Global company. It was established in 1998 and publicly listed on the Shanghai Stock Exchange (Stock Code 600151). It focuses its business mainly on New Energy PV, Auto Parts and New Material Application. As early as 1999, HT-SAAE launched commercial deployment of photovoltaic technology. To date, the company has developed a completely integrated PV industry supply chain (silicon, wafers, solar cells, PV modules & systems) and provided more than 3GW of superior quality PV products to the global market. According to an internationally recognised third party organisation, in 2014 HT-SAAE achieved a ranking amongst the Top 10 Chinese PV Module Suppliers and for many years the company has been recognized as a "Tier 1" Module Manufacturer by Bloomberg New Energy Finance (BNEF).