สองผู้นำแห่งอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้ประกาศรายละเอียดขั้นสุดท้ายของโครงการที่จะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ระบบ Hybrid system โดยพลังงานทดแทน และมีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานทดแทนที่เชื่อถือได้และสามารถตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการเชื่อมต่อไฟฟ้า
จากการพัฒนาโดยบริษัทพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลียอย่าง Windlab ด้วยการสนับสนุนของ Vestas ผู้นำระดับโลกด้านการผลิตพลังงานจากลม จึงทำให้โครงการ Kennedy Energy Park Phase I กำลังผลิต 60.2 MW สามารถขึ้นแท่นเป็นโครงการระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี ร่วมกับ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แบบออนกริด เพื่อรองรับการใช้งานในระดับสาธารณูปโภคเป็นโครงการแรกของโลก โดยออกแบบให้สามารถจ่ายไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เสถียร เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานการใช้ไฟฟ้าในออสเตรเลีย Kennedy Phase I ยังช่วยปูทางให้ออสเตรเลียและประเทศอื่นๆเพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือกเข้าไปในระบบ Hybrid system และรับมือความท้าทายด้านความเสถียรของระบบจัดการสายส่งไฟฟ้า ซึ่งเดิมถือเป็นข้อจำกัดที่ขัดขวางการใช้พลังงานทดแทนได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในฟลินเดอร์ส ไชร์ ในรัฐควีนส์แลนด์(Flinders Shire) ซึ่งมีทำเลเหมาะกับการเป็นฐานผลิตพลังงานจากลมและแสงอาทิตย์ระดับแถวหน้าของโลก โดยโครงการ Kennedy Phase I ประกอบด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้ากังหันลม V136-3.6 MW ของ Vestas ขนาด 43.2 MW พลังงานแสงอาทิตย์ 15 MW และระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี Li Ion ขนาด 2 MW/4 MWh โดยกำลังไฟฟ้าทั้งหมดนี้บริหารจัดการโดยระบบการ ควบคุมของ Vestas ซึ่งจะใช้ในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าระบบไฮบริดแห่งนี้
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการสนับสนุนเพิ่มเติมโครงการโรงไฟฟ้าไฮบริดในออสเตรเลีย ทาง Windlab จะร่วมมือกับ Vestas ในการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการสร้างและดำเนินงาน Kennedy Phase I ผ่านทางสำนักงานพลังงานทดแทนแห่งออสเตรเลีย
โรเจอร์ ไพรซ์ ซีอีโอของ Windlab กล่าวว่า "Kennedy Phase I เป็นโปรเจกต์แรกในประเภทนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นในออสเตรเลีย และนำพาประเทศไปสู่การใช้พลังงานทางเลือกรูปแบบใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าในระบบ เราทำงานกับ Vestas ได้อย่างเข้าขา ผลิตภัณฑ์และศักยภาพด้านบริการของบริษัทมีประโยชน์มากต่อการจัดการการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าและการปฏิบัติตามข้อกำหนดซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย จนสามารถพัฒนาพลังงานที่มีต้นทุนถูกลง"
การผสมผสานที่ยอดเยี่ยมระหว่างพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ Kennedy Phase I สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่เสถียรและตอบสนองความต้องการได้มากขึ้น และมีศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้น ระบบการควบคุมของ Vestas จะเปิดทางให้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์สามารถทำงานร่วมกันในรูปโรงไฟฟ้าแบบบูรณาการ และจะสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้า
จอห์นนี ทอมเซน รองประธานอาวุโสการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของ Vestas เปิดเผยว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติ์อย่างมากที่มีโอกาสร่วมมือกับ Windlab ในโครงการนี้ ซึ่งกรุยทางให้เราก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นพลังงานยั่งยืน ทั้งยังถือเป็นประจักษ์พยานว่าเรามอบโซลูชั่นที่ทำให้พลังงานทางเลือกมีต้นทุนที่ต่ำลงและสอดคล้องตามข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์นาน 35 ปีในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้าอันซับซ้อนและการพัฒนาระบบควบคุมโรงไฟฟ้าขั้นสูงของ Vestas จึงมีรากฐานในการเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นไฮบริดด้วย"
ไคลฟ์ เทอร์ตัน ประธาน Vestas Asia Pacific กล่าวว่า "โซลูชั่นที่เป็นการจัดเก็บ แบบผสมผสานพลังงานลมและแสงอาทิตย์ได้มอบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ให้กับออสเตรเลีย โครงการ Kennedy Phase I นี้มีความสามารถในการดึงพลังงานทดแทนที่มีอยู่มากมายในออสเตรเลียมาใช้ อีกทั้งยังเป็นการก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของประเทศในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีแหล่งจ่ายไฟที่มีความมั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่ง Kennedy ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการให้บริการโซลูชั่นของ Vestas และพันธมิตรอย่าง Windlab
นอกจากนี้ Vestas ยังมีสัญญาการบริการด้านการจัดการพลังงานหรือ Active Output Management 4000 (AOM4000) ระยะเวลา 15 ปี ซึ่งรวมถึงแพคเกจบริการกังหันลมแบบเต็มรูปแบบ ที่ครอบคลุมการดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์, การกักเก็บพลังงาน และระบบไฟฟ้าตามกำหนดระยะเวลาอยู่อีกด้วย
Vestas และ Quanta Services จะร่วมกันดำเนินการด้านวิศวกรรม, การจัดซื้อจัดจ้าง, และการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในช่วงปลายปี 2561
โครงการนี้ถูกวางไว้ให้เป็นเฟสแรกของสวนพลังงาน Kennedy Energy Park ขนาด 1,200 MW ของ Windlab ซึ่งจะมอบผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการผลิตพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับรัฐควีนส์แลนด์และประเทศออสเตรเลีย