Tuesday, October 31, 2017

Windlab ผนึกกำลัง Vestas เดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าระบบไฮบริดระดับสาธารณูปโภค โดยผสานพลังงานลม-แสงอาทิตย์ และระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเข้าด้วยกัน



          สองผู้นำแห่งอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้ประกาศรายละเอียดขั้นสุดท้ายของโครงการที่จะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ระบบ Hybrid system โดยพลังงานทดแทน และมีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานทดแทนที่เชื่อถือได้และสามารถตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการเชื่อมต่อไฟฟ้า

          จากการพัฒนาโดยบริษัทพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลียอย่าง Windlab ด้วยการสนับสนุนของ Vestas ผู้นำระดับโลกด้านการผลิตพลังงานจากลม จึงทำให้โครงการ Kennedy Energy Park Phase I กำลังผลิต 60.2 MW สามารถขึ้นแท่นเป็นโครงการระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี ร่วมกับ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แบบออนกริด เพื่อรองรับการใช้งานในระดับสาธารณูปโภคเป็นโครงการแรกของโลก โดยออกแบบให้สามารถจ่ายไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เสถียร เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานการใช้ไฟฟ้าในออสเตรเลีย Kennedy Phase I ยังช่วยปูทางให้ออสเตรเลียและประเทศอื่นๆเพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือกเข้าไปในระบบ Hybrid system และรับมือความท้าทายด้านความเสถียรของระบบจัดการสายส่งไฟฟ้า ซึ่งเดิมถือเป็นข้อจำกัดที่ขัดขวางการใช้พลังงานทดแทนได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น

          โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในฟลินเดอร์ส ไชร์ ในรัฐควีนส์แลนด์(Flinders Shire) ซึ่งมีทำเลเหมาะกับการเป็นฐานผลิตพลังงานจากลมและแสงอาทิตย์ระดับแถวหน้าของโลก โดยโครงการ Kennedy Phase I ประกอบด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้ากังหันลม V136-3.6 MW ของ Vestas ขนาด 43.2 MW พลังงานแสงอาทิตย์ 15 MW และระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี Li Ion ขนาด 2 MW/4 MWh โดยกำลังไฟฟ้าทั้งหมดนี้บริหารจัดการโดยระบบการ ควบคุมของ Vestas ซึ่งจะใช้ในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าระบบไฮบริดแห่งนี้

          ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการสนับสนุนเพิ่มเติมโครงการโรงไฟฟ้าไฮบริดในออสเตรเลีย ทาง Windlab จะร่วมมือกับ Vestas ในการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการสร้างและดำเนินงาน Kennedy Phase I ผ่านทางสำนักงานพลังงานทดแทนแห่งออสเตรเลีย

          โรเจอร์ ไพรซ์ ซีอีโอของ Windlab กล่าวว่า "Kennedy Phase I เป็นโปรเจกต์แรกในประเภทนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นในออสเตรเลีย และนำพาประเทศไปสู่การใช้พลังงานทางเลือกรูปแบบใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าในระบบ เราทำงานกับ Vestas ได้อย่างเข้าขา ผลิตภัณฑ์และศักยภาพด้านบริการของบริษัทมีประโยชน์มากต่อการจัดการการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าและการปฏิบัติตามข้อกำหนดซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย จนสามารถพัฒนาพลังงานที่มีต้นทุนถูกลง"

          การผสมผสานที่ยอดเยี่ยมระหว่างพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ Kennedy Phase I สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่เสถียรและตอบสนองความต้องการได้มากขึ้น และมีศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้น ระบบการควบคุมของ Vestas จะเปิดทางให้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์สามารถทำงานร่วมกันในรูปโรงไฟฟ้าแบบบูรณาการ และจะสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้า

          จอห์นนี ทอมเซน รองประธานอาวุโสการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของ Vestas เปิดเผยว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติ์อย่างมากที่มีโอกาสร่วมมือกับ Windlab ในโครงการนี้ ซึ่งกรุยทางให้เราก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นพลังงานยั่งยืน ทั้งยังถือเป็นประจักษ์พยานว่าเรามอบโซลูชั่นที่ทำให้พลังงานทางเลือกมีต้นทุนที่ต่ำลงและสอดคล้องตามข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์นาน 35 ปีในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านโครงข่ายไฟฟ้าอันซับซ้อนและการพัฒนาระบบควบคุมโรงไฟฟ้าขั้นสูงของ Vestas จึงมีรากฐานในการเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นไฮบริดด้วย"

          ไคลฟ์ เทอร์ตัน ประธาน Vestas Asia Pacific กล่าวว่า "โซลูชั่นที่เป็นการจัดเก็บ แบบผสมผสานพลังงานลมและแสงอาทิตย์ได้มอบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ให้กับออสเตรเลีย โครงการ Kennedy Phase I นี้มีความสามารถในการดึงพลังงานทดแทนที่มีอยู่มากมายในออสเตรเลียมาใช้ อีกทั้งยังเป็นการก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของประเทศในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีแหล่งจ่ายไฟที่มีความมั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่ง Kennedy ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการให้บริการโซลูชั่นของ Vestas และพันธมิตรอย่าง Windlab

          นอกจากนี้ Vestas ยังมีสัญญาการบริการด้านการจัดการพลังงานหรือ Active Output Management 4000 (AOM4000) ระยะเวลา 15 ปี ซึ่งรวมถึงแพคเกจบริการกังหันลมแบบเต็มรูปแบบ ที่ครอบคลุมการดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์, การกักเก็บพลังงาน และระบบไฟฟ้าตามกำหนดระยะเวลาอยู่อีกด้วย

          Vestas และ Quanta Services จะร่วมกันดำเนินการด้านวิศวกรรม, การจัดซื้อจัดจ้าง, และการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในช่วงปลายปี 2561

          โครงการนี้ถูกวางไว้ให้เป็นเฟสแรกของสวนพลังงาน  Kennedy Energy Park ขนาด 1,200 MW ของ Windlab ซึ่งจะมอบผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการผลิตพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับรัฐควีนส์แลนด์และประเทศออสเตรเลีย

ธุรกิจเกื้อกูลสังคมช่วยชุมชนรายได้น้อยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพมากขึ้น

          ธุรกิจเกื้อกูลสังคม หรือ ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Business - IB) ในภาคสาธารณสุข ที่ได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งฟิลิปปินส์ กำลังช่วยให้ชุมชนรายได้น้อยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการปฏิบัติตามวาระการพัฒนาด้านสาธารณสุขของประชาคมอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญกับการที่ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง ช่วยป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน และส่งเสริมการพัฒนารอบด้านอย่างยั่งยืน

          โมเดลธุรกิจเกื้อกูลสังคมขยายขอบเขตการเข้าถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนโอกาสที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการเปิดทางให้ชุมชนรายได้น้อยได้เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะคู่ค้า ผู้จัดหาสินค้า ผู้กระจายสินค้า ลูกค้า หรือลูกจ้าง สำหรับในภาคสาธารณสุขนั้น โมเดลธุรกิจเกื้อกูลสังคมมีบทบาทสำคัญต่อชุมชนที่ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการดูแลสุขภาพเข้าไม่ถึง หรือไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่ควร

          Generika Drugstore จากฟิลิปปินส์ ซึ่งมีธุรกิจหลักคือการจำหน่ายยาสามัญนั้น ได้บุกเบิกโมเดลธุรกิจของตนเอง ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีกยา และกระตุ้นให้เกิดความต้องการยาคุณภาพราคาถูกมากขึ้น Generika มีร้านยา 690 แห่ง กระจายอยู่ตามเทศบาลกว่า 70 แห่งทั่วประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่ง 68% อยู่ในเขตชนบท ที่ซึ่งชาวบ้านให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ มากกว่าบริการด้านสุขภาพ

          ถึงแม้ว่าในระยะเริ่มแรก Generika มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ชุมชนรายได้น้อย แต่ปรากฏว่า ชนชั้นกลางก็มีความต้องการยาสามัญเช่นกัน เนื่องจากราคาที่เอื้อมถึงและประสิทธิผล ส่งผลให้ในขณะนี้ Generika มีการดำเนินการทางธุรกิจมากกว่า 24 ล้านรายการต่อปี

          นอกจากการเข้าถึงยาราคาถูกแล้ว ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนพื้นฐานก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับชาวฟิลิปปินส์ในกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง Glovax เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้ซื้อวัคซีนจากบริษัทยาต่างประเทศและกระจายวัคซีนเหล่านี้ไปยังคลินิกมากกว่า 3,000 แห่งในชุมชนต่างๆ สำหรับในฟิลิปปินส์มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้รับวัคซีนพื้นฐาน เพราะการฉีดวัคซีนในเด็กแรกเกิดให้ครบคอร์สอาจคิดเป็นค่าใช้จ่ายถึง 55% ของรายได้ต่อปีของครอบครัวที่มีรายได้น้อยเลยทีเดียว ซึ่งการที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน อาจทำให้คนกลุ่มนี้เสี่ยงต่อโรคร้ายแรงถึงชีวิต อาทิ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARI) โรคคอตีบ โรคปอดอักเสบ โรคพิษสุนัขบ้า และวัณโรค เป็นต้น

          ยิ่งไปกว่านั้น Glovax นำเสนอทางเลือกในการผ่อนชำระเป็นงวดๆ เพื่อให้ชาวฟิลิปปินส์มีกำลังจ่ายค่าวัคซีนกันได้มากขึ้น โดยจนถึงปัจจุบัน Glovax ลดราคาวัคซีนจากบริษัทยาต่างชาติลงไปได้ถึง 75% ขายวัคซีนได้มากกว่า 5 ล้านโดส และป้องกันประชาชน 2 ล้านคนจากโรคร้ายแรงถึงชีวิต

          "การใช้โมเดลธุรกิจเกื้อกูลสังคมเป็นโอกาสที่บริษัทต่างๆ ในภาคสาธารณสุขควรคว้าไว้ เนื่องจากโมเดลนี้สามารถนำไปสู่การเติบโตในระยะยาว ธุรกิจเกื้อกูลสังคมสามารถปฏิรูปภาคบริการสุขภาพและตอบสนองต่อประชากรในวงกว้างขึ้น ก่อให้เกิดตลาดที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจและสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคมในระดับที่กว้างขึ้น" เซเฟริโน เอส. โรดอลโฟ ปลัดกระทรวงการค้าฟิลิปปินส์ และหัวหน้าผู้จัดการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าว

มหกรรม IOT&CC Expo เมืองหุ้ยโจวเตรียมเปิดฉากวันที่ 1 พ.ย. โชว์เทคโนโลยีล้ำสมัยมุ่งเชื่อมต่อจีน-ยุโรป



          มหกรรม China Huizhou Internet of Things (IoT) and Cloud Computing Technology Application Expo (IOT&CC Expo) ครั้งที่ 6 เตรียมเปิดฉากวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมและนิทรรศการเมืองหุ้ยโจว ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีไฮเทคของจีน

          มหกรรมครั้งนี้จะครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ รถยนต์เชื่อมต่อ แอป โปรแกรมเมืองอัจฉริยะ บริการแอปพลิเคชั่นบิ๊กดาต้า จอแสดงผลความละเอียด 4K และอื่นๆ พร้อมรวบรวมบรรดาบริษัทและสถาบันวิจัยรวมกันทั้งสิ้น 466 แห่ง ทั้งแบรนด์เกิดใหม่และแบรนด์ดัง อาทิ Cisco, SAP, Huawei, Samsung, OPPO, VIVO, ofo และ Mobike

          นอกจากนี้ มหกรรม IOT&CC Expo จะประกอบด้วยผลิตภัณฑ์และโครงการใหม่ๆมากมาย รวมถึงสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจาก Huawei เซมิคอนดัคเตอร์ชิปรุ่นใหม่จาก Qualcommm, HiSilicon และ Tsinghua Unigroup อุปกรณ์ต่อพ่วงชนิดกล้องคู่และชีวมิติ โซลูชั่นชาร์จเร็วแบบไร้สายหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนอัปเดตจากผู้บุกเบิกด้านเศรษฐกิจแบ่งปันอย่าง ofo และ Mobike

          งานมหกรรมนี้ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเชื่อมต่อวงการเทคโนโลยีและแบรนด์ของจีนและยุโรปเข้าด้วยกัน โดยจะไม่ได้เป็นเวทีแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น แต่ยังจะมาพร้อมกับโร้ดโชว์และอีเว้นท์ธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยจากทั้งจีนและยุโรปมากขึ้น ซึ่งรวมถึง

          - งาน China Mobile Innovation Night และการบรรยายจากผู้ประกอบการ
          - โร้ดโชว์โครงการจีน-ยุโรป
          - การประชุมความร่วมมือทางอุตสาหกรรมจีน-ยุโรป
          - เวทีจัดแสดงนวัตกรรมของอุตสาหกรรมมือถือจีนประจำปี 2560 ในเมืองหุ้ยโจว

          โครงการที่เข้าร่วมมหกรรมนี้มีทั้งโครงการแสงนำทางระบบ GPS อัจฉริยะสำหรับจักรยาน เครื่องสแกนพกพาและเครื่องสแกนขยะรีไซเคิลจากกลุ่มการค้าหลักในยุโรป อาทิ หอการค้าปารีส (CCI Paris) และสมาคมหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งเยอรมนี (DIHK)

          "อุตสาหกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งและ IoT ล้วนเป็นเรื่องของนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง โดยเราหวังที่จะมอบเวทีนี้แก่บริษัทต่างๆ ในการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการที่ทั้งล้ำสมัยและพลิกวงการ" ผู้อำนวยการคณะกรรมการจัดงาน IOT&CC Expo กล่าว "งานมหกรรมครั้งนี้ซึ่งจัดขึ้นในมณฑลกวางตุ้ง ศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและอุตสาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีไฮเทคของจีน จะมอบโอกาสอันเหนือชั้นให้แก่ผู้ประกอบการทั่วโลก เพื่อแสวงหาและเชื่อมต่อกับบรรดาบริษัทที่จะเป็นผู้กำหนดอนาคต"

Berkeley Research Group แต่งตั้งผู้อำนวยการประจำปักกิ่ง เสริมแกร่งทีมงานเอเชียแปซิฟิก

Berkeley Research Group บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ระดับโลก ประกาศแต่งตั้ง  Steven Shi ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำกรุงปักกิ่ง โดยเขาจะรับผิดชอบดูแลการดำเนินงานของ BRG ในจีนแผ่นดินใหญ่ Shi มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยอันซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการสอบทานธุรกิจและตรวจสอบองค์กร รวมถึงการตรวจสอบปัญหาฉ้อฉลและต่อต้านการทุจริต (กฎหมายต่อต้านการคอร์รัปชั่นข้ามชาติ - FCPA) ตลอดจนการให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงอื่นๆ

          คุณ Shi เคยมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของบรรษัทข้ามชาติในจีนแผ่นดินใหญ่มาแล้วมากมาย ทั้งยังช่วยสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจีนหลายแห่ง งานของเขามีทั้งการประเมินความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โครงการสอบทานธุรกิจก่อนดำเนินการ งานวิจัยที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมและการตลาด ตลอดจนการให้คำปรึกษาในด้านอื่นๆ อาทิ การตรวจสอบธุรกิจ และบริหารจัดการภาวะวิกฤต นอกจากนี้เขายังมีความรู้และประสบการณ์อันกว้างขวางในหลากหลายสาขา เช่น การบริการทางการเงิน การธนาคาร เทคโนโลยีขั้นสูง การแพทย์และเภสัชกรรม ตลอดจนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

          คุณ Shi กล่าวว่า "แพลตฟอร์มระดับโลกของ BRG เปิดทางให้เราสามารถสนับสนุนบริษัทสัญชาติจีนด้วยแผนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ One Belt One Road ผมตั้งตาคอยที่จะยกระดับขีดความสามารถของเราในจีนแผ่นดินใหญ่ร่วมกับทีมงานมืออาชีพระดับชั้นนำในอุตสาหกรรม"

           Stuart Witchell กรรมการผู้จัดการและผู้นำระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ฝ่าย Global Investigations + Strategic Intelligence ของ BRG กล่าวว่า "มันน่ายินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ Steven อีกครั้ง ความรู้ความสามารถในอุตสาหกรรมผสมผสานกับเครือข่ายของเขาในประเทศจีน จะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยโซลูชั่นคุณภาพสูงเพื่อจัดการปัญหาที่ซับซ้อน เราโชคดีที่ได้คนมีความสามารถสูงอย่างคุณ Steven มาร่วมทีมเรา"

           Allen D. Applbaum กรรมการผู้จัดการ และผู้นำระดับโลกฝ่าย Global Investigations + Strategic Intelligence ของ BRG กล่าวว่า "ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับคุณ Steven เข้าสู่ทีมสำรวจระดับโลกของ BRG ซึ่งเราเองมุ่งที่จะสร้างทีม AsiaPac ระดับโลกต่อไป และจากการที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ Steven มาหลายปี ผมรู้ดีว่าความรู้และความเชี่ยวชาญในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ของเขานั้นเป็นสินทรัพย์อันทรงคุณค่าสำหรับทีมงานเราที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ"

           Michael Slattery ที่ปรึกษาอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ BRG กล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมรู้จักคุณ Steven มานานกว่า 10 ปี เขาเป็นมืออาชีพที่มีคอนเนคชั่นกว้างขวางและมีความรู้รอบในจีน ในฐานะผู้ประสานงานด้านการขยายธุรกิจของ BRG ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผมรู้สึกตื่นเต้นที่คุณ Steven ตัดสินใจเข้าร่วมทีมผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพที่ BRG-AsiaPac และช่วยยกระดับบริษัทให้มีความโดดเด่นในปักกิ่ง"

          เกี่ยวกับ Berkeley Research Group, LLC
          บริษัท Berkeley Research Group จำกัด ( www.thinkbrg.com ) คือบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งให้คำแนะนำอย่างอิสระ วิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัยตามที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ บริการตรวจสอบ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและแนวทางแก้ปัญหาแก่บริษัทต่างๆที่ติดทำเนียบ Fortune Global 500, สถาบันการเงิน, หน่วยงานรัฐบาล, สำนักงานกฎหมายรายใหญ่ รวมถึงหน่วยงานด้านการกำกับดูแลทั่วโลก บรรดาผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาของ BRG ได้นำความรู้ความชำนาญมาใช้ในภาคปฏิบัติ โดยผนวกประสบการณ์ในโลกความเป็นจริงเข้ากับความเข้าใจอันเชิงลึกในด้านอุตสาหกรรมและตลาดต่างๆ ทีมงานของ BRG มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเศรษฐกิจการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติ รวมถึงนโยบายสาธารณะในภาคส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจเรา ซึ่งรวมถึงสาธารณสุข ภาคธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงาน การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ BRG มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสาขากระจายอยู่ในสหรัฐ เอเชีย ออสเตรเลีย แคนาดา ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และสหราชอาณาจักร

Berkeley Research Group Expands Asia Pacific Team with Beijing Director

          Global strategic advisory and expert consulting firm Berkeley Research Group announced today that  Steven Shi has joined as a Director, based in Beijing, where he will head BRG's mainland China operations. He specializes in conducting complex research assignments involving due diligence, corporate investigations including fraud and anti-corruption (Foreign Corrupt Practices Act) investigations and other risk consulting.

          Shi has been involved extensively in assignments for foreign multinationals operating in mainland China and has supported Chinese firms with their overseas investments. These assignments have included geopolitical risk assessments, pre-transactional due diligence projects, focused industry and market research assignments and other reactive advisory services such as corporate investigations and crisis management matters. He has profound knowledge and extensive experience in areas including financial services, banking, high technology, medical and pharmaceuticals, as well as property development sectors.

          "BRG's global platform allows us to better support Chinese firms with their investment strategies outside of China, especially related to the One Belt One Road initiative," said Shi. "I'm looking forward to further growing our capabilities in mainland China with a team of the top professionals in the industry."

          "It is a pleasure to be working again with Steven," said Managing Director Stuart Witchell , the Asia Pacific leader of BRG's Global Investigations + Strategic Intelligence practice. "His industry knowledge combined with his exceptional network in China will allow us to further support our clients with high-quality solutions to complex issues. We are fortunate to have someone of Steven's caliber to join our team."

          "I am very excited to welcome Steven to BRG's global investigations team," said Allen D. Applbaum , Managing Director and Global Leader of BRG's Global Investigations + Strategic Intelligence practice. "We continue to build a world-class AsiaPac team, and I know, having worked with Steven for many years, that his knowledge and expertise in mainland China is a very valuable asset to our ever-expanding team."

          "I have known Steven professionally for well over 10 years. He is the consummate professional with extensive contacts and resources throughout mainland China," commented Michael Slattery , BRG Senior Global Advisor and Managing Director. "As the coordinator for BRG's expansion into the Asia Pacific region, I am thrilled that Steven decided to join an incredible and diverse team of professionals at BRG-AsiaPac and to provide the firm with an important presence in Beijing."

          About Berkeley Research Group, LLC
          Berkeley Research Group, LLC ( www.thinkbrg.com ) is a leading global strategic advisory and expert consulting firm that provides independent advice, data analytics, authoritative studies, expert testimony, investigations, and regulatory and dispute consulting to Fortune 500 corporations, financial institutions, government agencies, major law firms and regulatory bodies around the world. BRG experts and consultants combine intellectual rigor with practical, real-world experience and an in-depth understanding of industries and markets. Their expertise spans economics and finance, data analytics and statistics, and public policy in many of the major sectors of our economy, including healthcare, banking, information technology, energy, construction and real estate. BRG is headquartered in Emeryville, California, with offices across the United States and in Asia, Australia, Canada, Latin America, the Middle East and the United Kingdom.

DAMAC ขึ้นแท่นบริษัทเติบโตเร็วที่สุดในโลก จากการจัดอันดับ Global 2000 Growth Champions ของนิตยสาร Forbes

          การจัดอันดับครั้งนี้ส่งผลให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านผู้ประกอบการทางธุรกิจ และตอกย้ำความสามารถด้านการแข่งขันในเวทีโลก

          DAMAC Properties ผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์สุดหรูของตะวันออกกลาง ครองอันดับ 1 ในรายชื่อ "Forbes Global 2000 Growth Champions" ส่งผลให้เป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในบรรดาองค์กรชั้นนำกว่า 2,000 แห่งทั่วโลก



          Forbes ได้ร่วมมือกับบริษัท Statista ผู้นำระดับโลกด้านการจัดทำสถิติออนไลน์ การวิจัยตลาด และข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เพื่อจัดทำลิสต์รายชื่อดังกล่าว โดยวัดจากเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่ ยอดขาย ผลกำไร ทรัพย์สิน และมูลค่าตลาด รวมถึงได้พิจารณาอัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีในช่วงปี 2556-2559

          นายฮุสเซน สัจวานี ประธานกรรมการบริษัท DAMAC Properties เปิดเผยว่า "การรั้งอันดับ 1 ในโผ Forbes Global 2000 Growth Champions ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผม เพราะเป็นการผลักดันให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และดูไบสามารถแข่งขันบนเวทีโลก การรั้งอันดับดังกล่าวถือเป็นบทพิสูจน์วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงการสนับสนุนของรัฐบาลในการบ่มเพาะผู้ประกอบการและการค้าให้ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ความสำเร็จดังกล่าวยังตอกย้ำให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันชัดเจนของ DAMAC ในแง่ของการเติบโต การนำเสนอนวัตกรรม การวางแผนการเงินและการดำเนินงานที่รอบคอบ รวมถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของพนักงานกว่า 2,000 ชีวิตที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม"

          รายชื่อ Growth Champions จัดทำโดยพิจารณาอัตราการเติบโตของบริษัทต่างๆ ในดัชนี Global 2000 ก่อนที่จะวิเคราะห์ออกมาเป็นรายชื่อของผู้ประกอบการที่ทำผลงานได้ดีที่สุด 250 ราย โดยวัดจากอัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีในช่วง 3 ปีล่าสุด

          DAMAC มียอดขายที่แข็งแกร่งเพราะโครงการต่างๆ ของบริษัทเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ AYKON City, DAMAC Hills หรือ AKOYA Oxygen โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 DAMAC สามารถทำยอดขายได้ 4 พันล้านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เดอร์แฮม หรือเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2545 ธุรกิจของ DAMAC ได้ขยายไปทั่วตะวันออกกลางผ่านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ จอร์แดน เลบานอน สหราชอาณาจักร โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 DAMAC ได้ส่งมอบบ้านไปแล้วกว่า 19,800 หลัง และยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในขั้นของการพัฒนาอีกกว่า 44,000 ยูนิต

          นับตั้งแต่ก่อตั้ง DAMAC ก็ก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และในตะวันออกกลาง รวมทั้งเป็นแม่แบบให้กับแบรนด์และองค์กรต่างๆ ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งในแง่ของการบริหารการเงินและโปรไฟล์ของบริษัท ทั้งนี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆที่ DAMAC พัฒนาขึ้นนั้น ล้วนมีความโดดเด่นและพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

          รับชมรายชื่อ Forbes Global 2000 Growth Champions ทั้งหมดได้ที่ https://www.forbes.com/growth-champions/list/

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.damacproperties.com

          DAMAC Properties เป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์สุดหรูของตะวันออกกลางมาตั้งแต่ปี 2545 โดยมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ผู้อยู่อาศัยที่มาจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนั้นยังนำเสนอการออกแบบที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพอันเหนือชั้น ธุรกิจของบริษัทได้ขยายไปทั่วตะวันออกกลางผ่านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ จอร์แดน เลบานอน และสหราชอาณาจักร

          ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 DAMAC Properties ได้ส่งมอบบ้านไปแล้วประมาณ 19,855 หลัง นอกจากนั้นยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในขั้นของการวางแผนและการพัฒนาอีกกว่า 44,000 ยูนิต ครอบคลุมถึงห้องพักโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และวิลล่ากว่า 13,000 ยูนิต ซึ่งควบคุมดูแลโดยบริษัทในเครืออย่าง DAMAC Hotels & Resorts ทั้งนี้ ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและแรงผลักดันอันแรงกล้า DAMAC Properties กำลังเปิดศักราชใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างหรูหราในตะวันออกกลาง

          ติดตาม DAMAC Properties ได้ทาง Facebook, Twitter (@DAMACofficial) และ YouTube

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ Sherif Elghamrawy, Assistant Vice President, Corporate Communications, DAMAC Properties. โทร. +971-4-3731000 อีเมล: sherif.elghamrawy@damacgroup.com

          ที่มา: TBC

UAE Property Developer DAMAC Ranks First on Forbes Global 2000 List of Fastest Growing Companies Worldwide

          DAMAC's topping of Forbes list puts UAE on world stage for its leadership in business entrepreneurship and global competitiveness 

          DAMAC Properties, a leading luxury real estate developer in the region, has clinched the number one spot on the Forbes Global 2000 List of Growth Champions, making it the fastest growing company worldwide among the top 2,000 listed by Forbes.

          The Forbes list was created in collaboration with Statista, a leading portal providing online statistics, market research and business intelligence, and is based on four metrics - sales, profit, assets and market value, and takes into account a company's compounded annual revenue growth between 2013 to 2016.

          Hussain Sajwani, Chairman of DAMAC Properties, said, "Topping the Forbes Global 2000 Growth Champions list is a personal honour for me as it puts the UAE and Dubai firmly on the global map for competitiveness. This ranking is a testament to the visionary leaders of the UAE, and the government's support in nurturing entrepreneurship and commercial success, particularly in the real estate sector. This achievement also recognizes DAMAC's clear vision for growth, its innovative offerings, its solid financial planning and performance, as well as the relentless ambition of its 2,000 employees to be leaders of the industry."

          The Growth Champions list considers growth rates for all the companies included in the Global 2000 index, and identifies the top 250 outperformers as Growth Champions, based on their compound annual revenue growth over the last three years.

          DAMAC's strong sales performance is attributed to continued demand for its projects including AYKON City, DAMAC Hills and AKOYA Oxygen. In the first half of 2017, DAMAC had booked sales of AED 4 billion, an 11 percent increase over the same period last year. Established in 2002, DAMAC's footprint now extends across the Middle East with projects in the UAE, Saudi Arabia, Qatar, Jordan, Lebanon and the United Kingdom. As of 30 September 2017, DAMAC has delivered over 19,800 homes, and has another 44,000 units at various stages of development.

          Since its establishment, DAMAC has been at the forefront of the real estate industry in the UAE and the region, as well as setting an example for brands and organizations in other industries both financially and profile wise. DAMAC has launched and developed iconic real estate projects that have changed the face of the real estate industry in the UAE.

          The full list of of the Forbes Global 2000 Growth Champions can be found at: https://www.forbes.com/growth-champions/list/

          Get more information at http://www.damacproperties.com

          DAMAC Properties has been at the forefront of the Middle East's luxury real estate market since 2002 - bringing luxury living experiences to residents from all over the world. Making its mark at the highest end of stylish living, DAMAC Properties has cemented its place as the leading luxury developer in the region, offering iconic design and the utmost quality. The company's footprint now extends across the Middle East with projects in the UAE, Saudi Arabia, Qatar, Jordan, Lebanon and the United Kingdom.

          As of 30th September 2017, DAMAC Properties has delivered approximately 19,855 homes. The company has a development portfolio of over 44,000 units at various stages of progress and planning, comprising more than 13,000 hotel rooms, serviced apartments and hotel villas, which will be managed by its hospitality arm, DAMAC Hotels & Resorts. With vision and momentum, DAMAC Properties is building the next generation of Middle East luxury living.

          Follow DAMAC Properties on Facebook, Twitter (@DAMACofficial) and YouTube.

          For more information, please contact: Sherif Elghamrawy, Assistant Vice President, Corporate Communications, DAMAC Properties. Tel: +971-4-3731000, Email: sherif.elghamrawy@damacgroup.com

          Source: TBC

Asia Plantation Capital เปิดเวทีประชุมสามัญประจำปี 2560 ที่กรุงเทพฯ

          Asia Plantation Capital บริษัทจัดการพื้นที่เพาะปลูกระดับรางวัล ได้จัดการประชุมสามัญประจำปี 2560 ขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ


          คุณแบร์รี รอว์ลินสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ APC Group เป็นผู้กล่าวเปิดการประชุมท่ามกลางเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกในประเทศไทยและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกว่า 400 ชีวิต โดยได้กล่าวถึงผลกระทบของภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่มีต่อภาคเกษตรกรรม ทั้งยังแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทีมงานของ Asia Plantation Capital ทุกคนที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อจัดการและบรรเทาผลกระทบเชิงลบจากภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภายใต้แนวทางปฏิบัติและหลักการผลิตของบริษัท

          Asia Plantation Capital ยังคงยึดมั่นในปณิธาน "ความยั่งยืนแบบองค์รวม" โดยตลอดปี 2560 ทางบริษัทได้ดำเนินโครงการต่างๆ ที่เป็นมากกว่าแค่โครงการความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยมอบความห่วงใย ความใส่ใจ และกำลังใจให้แก่พนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงและระดับกลาง เรื่อยไปจนถึงเกษตรกรและครอบครัว

          คุณจินดา ต้นคำใบ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ Asia Plantation Capital ประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม CSR ที่กำลังดำเนินอยู่ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินการมาตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งยังประโยชน์ให้แก่ชุมชนหลายแห่ง

          ในส่วนของแผนการขยายธุรกิจและเพิ่มจำนวนพื้นที่เพาะปลูกเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั้น คุณพนิตตา มาตรวังแสง เจ้าหน้าที่ธุรการ ได้อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ และการสอบทานก่อนซื้อที่ดิน ขณะเดียวกัน คุณภูมิ มาตรวังแสง ตำแหน่งสถาปนิก ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดทางเทคนิค ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบที่ดิน การวางผังที่ดิน การวางระบบประปา ไปจนถึงการวางระบบบริหารจัดการต้นไม้

          คุณสตีฟ วัตส์ ซีอีโอของ Asia Plantation Capital ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของ Asia Plantation Capital Berhad (APCB) บริษัทสาขามาเลเซียของ APC Group ซึ่งเน้นไปที่การร่วมทุนกับบริษัทใหญ่ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา โรงงานในมาเลเซียเป็นโรงกลั่นน้ำมันกฤษณาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบัดนี้ได้เริ่มกระบวนการผลิตใหม่ๆ รวมถึงขยายโรงเพาะเลี้ยงและห้องปฏิบัติการที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือตรวจสอบคุณภาพน้ำมันกฤษณาและวิธีการผลิต คุณวัตส์ประกาศด้วยว่า APCB กำลังอยู่ในช่วงรอรับหนังสือรับรอง GMP และฮาลาล

          หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ APCB คือ การที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการรับรองอย่างไม่มีเงื่อนไขจากหน่วยงาน Suruhanjaya Syarikat Malaysia (SSM) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเทียบเท่ากับ Monetary Authority of Singapore (MAS) ของสิงคโปร์ และ Financial Conduct Authority (FCA) ของสหราชอาณาจักร

          คุณบุญช่วย จอมคำสี ผู้เชี่ยวชาญด้านการป่าไม้ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่เพาะปลูกและกระบวนการปลูกเชื้อของ APC

          ดร.เจยากุมาร์ ผู้ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาการปลูกเชื้อของ Asia Plantation Capital เปิดเผยถึงการเกิดของไม้กฤษณาตั้งแต่ระดับโมเลกุล พร้อมอธิบายถึงความสำคัญของการปลูกเชื้อ นอกจากนั้นยังนำเสนอความคืบหน้าของการวิจัยเกี่ยวกับการแสดงออกของยีนอาร์จินิโนซักซิเนต ซินเธส 1 (ASS1) ในต้นกฤษณาพันธุ์เอควิลาเรีย ซึ่งถูกควบคุมโดยสัญญาณจากรอยแผลที่เกิดจากกระบวนการปลูกเชื้อ

          ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ผกามาศ เจษฎ์พัฒนานนท์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับวิธีการผลิต การประยุกต์ใช้ สรรพคุณทางยา รวมถึงคุณสมบัติอันโดดเด่นอื่นๆ ของน้ำมันกฤษณา

          นอกจากนี้ ผู้ฟังยังได้รับทราบความคืบหน้าของ Fragrance Du Bois จากคุณคลอทิลด์ อองตวน ผู้จัดการฝ่ายแบรนด์และการค้าปลีก โดยแบรนด์น้ำหอมสุดหรูได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ทั้งยังมีการสร้างความร่วมมือครั้งใหม่และเปิดบูติกใหม่หลายสาขาในปารีส ฮ่องกง มิลาน มาร์เบลลา โดฮา และซูริค รวมถึงแฟลกชิปบูติกที่นครเจนีวา

          นอกจากนี้ การย้ายแฟลกชิปบูติกในสิงคโปร์ไปที่ย่านช็อปปิงชื่อดังอย่าง Orchard Road ยังถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าตื่นเต้นในปี 2560 และดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จในทันทีเมื่อพิจารณาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและแบรนด์ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะเดียวกัน คุณอองตวนได้กล่าวถึงการเปิดตัว Pure Oud Atomiser สุดพิเศษ รวมทั้งเปิดเผยแผนในปีหน้าของ Fragrance Du Bois ที่ครอบคลุมถึงการขยายเครือข่ายบูติกในตะวันออกกลาง (โดยจะมีการเปิดบูติกอย่างน้อย 2 แห่งในดูไบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า) รวมทั้งในสหรัฐอเมริกาและโปรตุเกส

          นอกจากนี้ Asia Plantation Capital ได้ประกาศว่า บริษัทได้ลงนามข้อตกลงจัดหาวัตถุดิบให้กับแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวน้องใหม่อย่าง Oud Essentials ที่กำลังมาแรงในวงการสกินแคร์

          หนึ่งในพันธกิจสำคัญของ Oud Essentials ก็คือการ "พลิกโฉมวงการสกินแคร์" ด้วยการใช้น้ำมันกฤษณาบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% ซึ่งผลิตตามหลักจริยธรรมและมาจากแหล่งที่ยั่งยืนในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้พลิกเกมในตลาดสกินแคร์ที่มีการแข่งขันสูงและมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

          Oud Essentials บุกเบิกการใช้น้ำมันกฤษณาในผลิตภัณฑ์สกินแคร์เป็นครั้งแรกของโลก ผ่านการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นล้ำสมัย ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจะมีมูลค่าประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 10 ปีข้างหน้า โดย Asia Plantation Capital จะจัดหาน้ำมันกฤษณาอันทรงคุณค่าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตและมาจากแหล่งปลูกไม้กฤษณาที่ยั่งยืนให้แก่ Oud Essentials

          ในการประชุมสามัญประจำปีนี้ APC Group ได้มอบประกาศนียบัตร 2 ใบให้แก่ Africa Plantation Capital โดยใบหนึ่งมอบให้แก่คุณคอนสแตนตินอส คิโอเลโอกลู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ได้รับรางวัล "Asia Plantation Capital Global Innovation Award 2017" และอีกหนึ่งใบมอบให้แก่คุณเคลวิน คาโลกิ ซิลา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ผู้คว้ารางวัล "Asia Plantation Capital Global Leadership Award 2017"

          การประชุมสามัญประจำปีปิดฉากลงด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ของคุณแบร์รี รอว์ลินสัน ซีอีโอ APC Group ที่ระบุว่า "ปี 2560 เป็นปีที่ดีสำหรับเราทุกคนที่ Asia Plantation Capital เนื่องจากเราได้เห็นการเติบโตในทิศทางบวกขององค์กร และแม้จะเผชิญความท้าทายมากมาย แต่เราก็สามารถรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงาน การเติบโต และทิศทางของธุรกิจทั่วทุกภูมิภาคเอาไว้ได้"

          คุณรอว์ลินสันกล่าวสรุปว่า "ในนามของบริษัท ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้น และพนักงานทุกคน สำหรับความทุ่มเทและการสนับสนุนที่มีให้กันตลอดมา"

          ข้อมูลสำหรับบรรณาธิการ:

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

          ซาอาฮิรา มูฮัมหมัด
          เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์และการตลาดอาวุโส
          อีเมล: zaahira@asiaplantationcapital.com
          โทร. +6012-203-5344

          เกี่ยวกับ Asia Plantation Capital

          Asia Plantation Capital Group เป็นผู้ดำเนินธุรกิจและบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างยั่งยืนที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย บริษัทมีโครงการเพาะปลูกใน 4 ทวีป และมีพนักงานกว่า 2,000 คนทั่วโลก สำหรับคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเราซึ่งเป็นผู้นำในวงการนั้น ประกอบด้วยนักวิชาการระดับแนวหน้าจากนานาประเทศ (จีน ไทย มาเลเซีย อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ที่ร่วมกันพัฒนา รวมทั้งจดสิทธิบัตรระบบและเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรม

          Asia Plantation Capital ให้ความสำคัญกับโครงการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์และธุรกิจแบบบูรณาการแนวดิ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และการค้า จึงก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและไม่หยุดนิ่งตามหลักการสร้างความสมดุล 3 ด้าน (Triple Bottom Line)


LONGi ติดอันดับหุ้นเด่นจีน "New China Nifty 50" ของโกลด์แมน แซคส์

          เมื่อไม่นานมานี้ โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้คัดเลือกหุ้น 50 ตัวที่สะท้อนเศรษฐกิจจีนยุคใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "New China Nifty 50" ซึ่งปรากฏว่า LONGi Green Energy Technology Co., Ltd. (SHA: 601012) เป็นบริษัทจากภาคอุตสาหกรรมพลังงานใหม่เพียงรายเดียวที่ได้รับเลือก ทั้งนี้ บริษัทที่จะเข้าสู่ดัชนีหุ้น "Nifty 50" ได้นั้นจะต้องเข้าเงื่อนไข 3 ประการ ได้แก่ อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่า 15% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ (ROE) สูงกว่า 15% เป็นเวลาสามปีติดต่อกัน และอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ต่ำกว่า 35 ขณะที่หุ้นในรายชื่อ "New China Nifty 50" ควรมีอัตราการเติบโตสูงยิ่งกว่า กำไรสูงกว่า และภาระผูกพันทางการเงิน (Financial Leverage) ต่ำกว่าหุ้นในดัชนี Nifty 50

           LONGi ได้รับเลือกเข้าสู่รายชื่อ "New China Nifty 50" โดยโกลด์แมน แซคส์

          LONGi เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ซิลิคอนเชิงเดี่ยว หรือโมโนคริสตัลไลน์ซิลิคอน รายใหญ่ที่สุดในโลก และก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์รายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการยอมรับจากตลาดทุน โดยแนวโน้มราคาหุ้นและศักยภาพของราคาหุ้นของ LONGi สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์ (PV) ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบกระจาย การขยายตัวของ Top Runner Program และการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อลดความยากจน ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ LONGi จึงได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาด ควบคู่ไปกับการเดินหน้ายกระดับทางเทคนิคของเวเฟอร์ เซลล์ และโมดูลชนิดโมโนคริสตัลไลน์ซิลิคอนอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของความสามารถในการแข่งขันของบริษัท โดยเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์โมโนคริสตัลไลน์ของบริษัทนั้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ซึ่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ LONGi เป็นเพียงบริษัทเดียวในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อ "New China Nifty 50" ของโกลด์แมน แซคส์

เมืองจิงเหมิน มณฑลหูเป่ย ขานรับการลงทุนคึกคัก หลังดำเนินนโยบายสนับสนุน พร้อมนำเสนอบริการคุณภาพ

          เพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรม รัฐบาลเมืองจิงเหมิน มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของประเทศจีน จึงได้นำนโยบายและบริการรูปแบบใหม่ๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของเมือง ซึ่งปรากฏว่าบรรลุผลสำเร็จแล้วในหลายด้าน

          นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมืองจิงเหมินได้ดำเนินโครงการมูลค่ากว่า 100 ล้านหยวนเป็นจำนวน 500 ล้านโครงการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านหยวน จำนวนบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 1,188 แห่ง ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจ (Market Entity) นั้นขยายตัวสูงกว่าอัตราการเติบโตของหูเป่ยในปี 2559 และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560

          เนื่องด้วยการคมนาคมที่ยังไม่พัฒนาและการขาดแคลนทรัพยากร จึงทำให้การพัฒนาเมืองนี้ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และเกษตรกรรมอย่างมาก โดยตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลของเมืองจิงเหมินได้มีความพยายามอย่างเป็นรูปธรรมในการปรับปรุงขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้การสนับสนุนบริษัทที่ทำธุรกิจในเมือง


          "นโยบายใหม่ๆ นั้นใช้ได้จริง" หลี่ เฉียง ประธานบริษัท Hongxin Entrepreneur Incubator Investment Group กล่าว

          ข้อมูลทางการระบุว่า เมืองจิงเหมินได้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมสินค้า 17 รายการ และได้ช่วยบริษัทต่าง ๆ ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 พันล้านหยวน

          ขณะเดียวกัน รัฐบาลเมืองจิงเหมินยังได้จัดตั้งสำนักงานเพื่อให้บริการธุรกิจน้องใหม่โดยเฉพาะ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานราชการ ทั้งนี้ ด้วยการกำหนดมาตรฐาน รัฐบาลเมืองจิงเหมินสามารถยกเลิกขั้นตอนการอนุมัติลงถึง 39 ขั้นตอน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการรออนุมัติได้ถึง 30% อีกทั้งยังมีการยุบรวมงาน 340 รายการในหน่วยงานราชการ 33 แห่ง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่บริษัทต่างๆ ในการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในจิงเหมิน

          โดยผู้นำรัฐบาลเมืองจิงเหมินได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดการลงทุน และได้มีการออกแบบการบริการให้เหมาะสมกับโครงการแต่ละโครงการโดยเฉพาะ

          ทางพรรคคอมมิวนิสต์และผู้นำรัฐบาลทุกระดับล้วนมีส่วนรับผิดชอบประจำแต่ละอุตสาหกรรม และได้จัดตั้งทีมงานขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งรองเลขาธิการ ลั่ว เส้าฮัว แห่งรัฐบาลเมืองจิงเหมิน กล่าวว่า บรรดาผู้นำเมืองจิงเหมินจะต้องเดินทางเพื่อไปทำหน้าที่ดึงดูดการลงทุนอย่างน้อยเดือนละครั้ง และผู้นำแต่ละคนจะต้องนำเสนอโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 500 ล้านหยวนในทุกๆ ปี

          นอกจากนี้ รัฐบาลจะแต่งตั้งเลขาธิการพิเศษประจำแต่ละโครงการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่บรรดานักลงทุน

          ซู เสี่ยวหัว จากรัฐบาลเมืองจิงเหมิน เปิดเผยว่า โครงการใหญ่จำนวน 129 โครงการของจิงเหมินล้วนมีเลขาธิการพิเศษคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อจัดการปัญหาที่คาดไม่ถึง และเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกำหนดเวลา

          "บริการถือเป็นหัวใจสำคัญที่รักษาธุรกิจและการลงทุนเอาไว้" หลิน ชางโจว หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองจงเซียง ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเมืองจิงเหมิน เปิดเผย

          เมืองจงเซียงได้ออกชุดมาตรการสนับสนุนรอบด้านเพื่อรองรับบริษัทที่จะเข้ามาตั้งธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นคำขอต่างๆ การก่อสร้าง การฝึกอบรม หรือแม้กระทั่งที่พักอาศัยสำหรับลูกจ้าง

          ด้วยเล็งเห็นถึงความเอาใจใส่ด้านการบริการของรัฐบาล ฮวง ยู่หง ผู้จัดการทั่วไปของ Hubei Youhong ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ จึงได้ตัดสินใจเปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมืองจงเซียง

          รัฐบาลได้ใช้แนวทางแปลกใหม่เพื่อยกระดับความน่าลงทุนของเมืองแห่งนี้ ซึ่งชุดมาตรการสินทรัพย์หนักก็เป็นหนึ่งในนั้น

          ระบบการลงทุนและการระดมทุนที่รัฐบาลสนับสนุนนั้น เปิดทางให้เมืองจิงเหมินผนึกความร่วมมือเชิงลึกกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลได้รับสินเชื่อระยะกลางและระยะยาวจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปสร้างสินทรัพย์หนัก เพื่อให้บริษัทที่จะเข้ามาตั้งธุรกิจสามารถนำสินทรัพย์เบามาเริ่มการผลิตได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

          จาง อี้เถา นายกเทศมนตรีเมืองจิงเหมิน กล่าวว่า การสร้างสินทรัพย์หนักช่วยได้มากในแง่ของการเพิ่มความน่าสนใจและความสามารถด้านการแข่งขันในการดึงบริษัทใหม่ๆ มาตั้งธุรกิจที่นี่

          ในปีที่แล้ว เมืองจิงเหมินเดินหน้าโครงการสินทรัพย์หนักรวม 62 โครงการด้วยสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติจากธนาคาร 1.8 หมื่นล้านหยวน รวมทั้งสร้างโรงงานและโครงสร้างบริการสาธารณะรวมเนื้อที่กว่า 3 ล้านตารางเมตร

          นิคมการผลิตอุปกรณ์ขนาด 10 ตารางกิโลเมตรได้ถูกสร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากบริษัทการลงทุนที่รัฐบาลสนับสนุน เพื่อนำเสนอโรงงานแบบสั่งทำและแพคเกจอุปกรณ์ให้แก่นักลงทุน

          Jinlin ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องจักร เดิมตั้งใจจะลงทุน 10 ล้านหยวนเพื่อซื้อที่ดินสร้างโรงงาน แต่โครงการสินทรัพย์หนักทำให้บริษัทเปลี่ยนใจหันมาเช่าโรงงานเนื้อที่ 10,000 ตารางเมตรจากรัฐบาลแทน และสามารถเริ่มการผลิตได้ในเวลาเพียง 45 วันเท่านั้น

          นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา รัฐบาลเมืองจิงเหมินได้ให้ความสนใจไปที่การผลิตอุปกรณ์ พลังงานและวัสดุใหม่ การแปรรูปสินค้าเกษตรเชิงลึก ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ทรัพยากรทดแทน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

          นอกเหนือจากการเชิญชวนบริษัทต่างๆ แล้ว รัฐบาลยังให้ความสนใจที่จะสร้างอุตสาหกรรมที่รวมแผนการดำเนินงานในภาพรวม โครงสร้างบริการสาธารณะ ทีมดึงดูดการลงทุนระดับมืออาชีพ บริษัทลงทุนในอุตสาหกรรม และกองทุน

          การดำเนินงานตลอดหลายปีที่ผ่านมาช่วยให้รัฐบาลตัดสินใจได้ดีขึ้น และยกระดับความสามารถในการประสานงาน ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงาน คุณภาพการลงทุน และประสิทธิภาพในการอนุมัติการตั้งธุรกิจ

          ที่มา: รัฐบาลเมืองจิงเหมิน

          ลิงค์ภาพประกอบ: http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=299347

          AsiaNet 70793

Favorable Policies, Quality Services Boost Investment to Central Chinese City

          To solicit investment and promote industrial upgrading, the government of Jingmen City in central China's Hubei Province has introduced a series of supportive policies and services in the city's economic development, and gained some achievements.

          From January to August, the city landed 500 projects of over 100 million yuan, with a total investment volume exceeding 200 billion yuan. The number of large scale enterprises has also arrived at 1,188. Its growth rate of fixed-asset investment and market entities topped Hubei in 2016 and the first half of 2017.

          Due to underdeveloped transportation and lack of resources, the city's development had relied heavily on chemicals and agriculture. Over the past two years, the city government has made concrete efforts to streamline procedures for companies doing business in Jingmen, and provided favorable supports.


          "The new policies are highly practical," said Li Qiang, president of Hongxin Entrepreneur Incubator Investment Group.

          Official data showed that the city has canceled 17 charging items since last year and saved enterprises 2 billion yuan of cost.

          On the other hand, the city government has also established offices to offer targeted services for business newcomers and boost administrative efficiency. Through the establishment of standardization, the government was able to cancel 39 approval processes and shorten the waiting time by 30 percent. A total of 340 items involving 33 government offices have been integrated to offer a more convenient experience for companies setting up new businesses in the city.

          Meanwhile, government leaders have been "all out" to solicit investment and design tailored services for every and each project.

          The Party and government leaders at various levels are all in charge of a certain industry and have organized a team specifically working on investment solicitation. Luo Shaohua, deputy secretary-general of the city government, said city-level leaders were obliged to go on a business trip to attract investment at least once a month, and each of them must introduce at least one project worth over 500 million yuan of investment every year.

          In addition, a special "secretary" from the government would be appointed to each project to facilitate investors in solving problems.

          According to Xu Xiaohua from the city government, the city's 129 major projects have all been appointed with special secretaries who follow closely to address any unexpected issues and make sure everything sticks to the schedule.

          "Service is the key to keeping companies and investment," said Lin Changzhou, Party chief of Zhongxiang City under the administration of Jingmen.

          Zhongxiang has introduced an all-encompassing government supporting package to incoming companies, helping them with application, construction, training, and even housing for employees.

          Taking the city government's meticulous service into consideration, Huang Yuhong, general manager of Hubei Youhong electronics technology company, decided to open his new factory in Zhongxiang.

          Innovative methods have been applied by the city government to improve its investment attractiveness. The heavy-asset package was one of them.

          Based on the government-backed investment and financing platform, the city forged in-depth cooperation with industrial giants. The government secured medium and long-term loans from financial institutions to build heavy assets, so that incoming companies can bring their "light-asset" to begin production within a short period.

          Zhang Yitao, mayor of Jingmen, said heavy-asset building greatly improved the city's attractiveness and competitiveness in persuading new companies to base their industries here.

          Last year, the city implemented 62 heavy-asset projects, with approved bank loans of 18 billion yuan, and built over 3 million square meters of factories and public service platforms.

          A 10-square-km equipment manufacturing park was built thanks to a government-backed investment company to offer tailored factories and equipment packages for investors.

          Jinlin machinery manufacturing company originally planned to invest 10 million yuan to purchase land and build factories. Thanks to the heavy-asset project, the company rented 10,000 square meters of factories from the government and began manufacturing in just 45 days.

          From 2015, the city government decided to focus on the development of equipment manufacturing, new energy and materials, agricultural deep-processing, electronic information, renewable resources utilization and environmental protection.

          In addition to simply introducing companies, the government paid more attention to building an industry that included an overall plan, a public service platform, a professional investment solicitation team, an industrial investment company and a fund.

          Years of work have also enhanced the city government's judgement and overall coordination capability, which further streamlined its procedures, improved investment quality and approving efficiency.

          SOURCE: Jingmen Municipal Government

          Image Attachments Links:
           http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=299347

          AsiaNet 70739

Huizhou IOT&CC Expo to Open in November, Cutting-edge Technologies Connecting China and Europe

          The 6th China Huizhou Internet of Things (IoT) and Cloud Computing Technology Application Expo (IOT&CC Expo or "the Expo") will open on November 1st at the Huizhou Convention and Exhibition Center in China's hub of high tech development and manufacturing, Guangdong Province.



          Gathering 466 research institutions and companies including renowned and emerging brands such as Cisco, SAP, Huawei, Samsung, OPPO, VIVO, ofo and Mobike, the Expo will cover product categories including automotive electronics, connected cars, apps, smart city programs, big data application services, 4K displays and more.

          The Expo will feature many new products and projects including the latest smartphone handsets from Huawei; new semiconductor chips from Qualcomm, HiSilicon and Tsinghua Unigroup; an array of dual-camera and biometric peripherals; various wireless quick-charging solutions; updates from sharing economy innovators such as ofo and Mobike.

          The Expo has been specially-designed to connect Chinese and European technology and brands. Not only will it serve as a showcase for the latest scientific and technological achievements, but the Expo will feature road shows and business startup events to further promote the adoption of cutting-edge technologies from both China and Europe, including:

          - China Mobile Innovation Night and entrepreneur lecture
          - China-Europe project road show
          - China-Europe industrial cooperation conference
          - 2017 China mobile industry showcase in Huizhou

          Participating projects including smart GPS navigating light for bike, portable scanner and recyclable items scanner from major European trade groups such as Paris Chamber of Commerce (CCI Paris) and the Association of German Chambers of Commerce and Industry (DIHK).

          "The cloud computing and IoT industries are all about relentless innovation. We hope to provide companies with this platform to showcase their disruptive, cutting-edge products and services," said the director of IOT&CC Expo Organizing Committee. "This Expo, located in Guangdong province, the heart of China's innovation and high tech manufacturing industries, offers global enterprises an unparalleled opportunity to discover and connect with the companies that are shaping the future."

          About IOT&CC Expo

          The China Huizhou Internet of Things (IOT) and Cloud Computing Expo is organized by the Economic and Information Commission of Guangdong Province, Guangdong Science and Technology Department and the Huizhou Municipal People's Government. Total economic activity realized from investment & cooperation projects generated by the Expo amount to RMB 70 billion (USD1.06 billion) since 2012.



LONGi Selected into "New China Nifty 50" by Goldman Sachs

          Recently, the world's largest investment bank Goldman Sachs selected 50 stocks reflecting the Chinese economy at the new stage, known as the "New China Nifty 50". LONGi Green Energy Technology Co., Ltd. (SHA: 601012) is the only enterprise selected from the new energy industry. A "Nifty 50" stock should meet three conditions: a net profit growth rate higher than 15%, a rate of return on common stockholders' equity (ROE) higher than 15% for three consecutive years, and a price to earnings ratio (P/E ratio) lower than 35. A "New China Nifty 50" stock should have an even higher growth rate, higher profit and lower financial leverage.

          LONGi, the world's largest manufacturer of monocrystalline silicon products, has been acclaimed by the capital market and become the world's largest photovoltaic manufacturer.

          LONGi's stock price trend and potential value reflect the growing demand for monocrystalline PV products stimulated by the growth of distributed PV, the expansion of Top Runner Program, and the development of poverty alleviation photovoltaic projects in the industry. Facing the fierce competition in the photovoltaic industry, on the one hand, LONGi has been expanding the capacity to address the robust market demand. On the other hand, LONGi has continuously improved the technical level of monocrystalline silicon wafer, cell and module with technology as the core competitiveness, and its monocrystalline product technology has always been in the industry leading position. It is these factors that have made LONGi the only enterprise in the new energy industry which was selected into the "New China Nifty 50" list of Goldman Sachs.



GFSI เตรียมมอบรางวัล Global Markets Awards 2018 เพื่อฉลองความสำเร็จในการส่งเสริมโครงการความปลอดภัยด้านอาหาร

          โครงการความปลอดภัยด้านอาหารโลก (GFSI) มีความยินดีที่จะประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้ารับการคัดเลือกรางวัล Global Markets Awards ครั้งที่ 2 ในปี 2018 เพื่อรับรองบริษัทจากทั่วโลกที่ดำเนินการตามข้อกำหนดโครงการ Global Markets Programme ของ GFSI ในฐานะแบบอย่างที่ดีในการสร้างระบบมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้จะได้รับการเชิดชูเกียรติบนเวที  Global Food Safety Conference ของ GFSI และได้โอกาสเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมตลอดงาน และ  Discovery Tour ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2018

         

          กระบวนการผลิตอาหารที่ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคทั่วโลก

          การประกาศรางวัล GFSI Global Markets Awards 2018 ถือเป็นโอกาสดีในการเชิดชูผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารที่พยายามยกระดับความปลอดภัยของอาหาร ตามวิสัยทัศน์ของ GFSI ที่มุ่งส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคทุกหนทุกแห่ง

          โครงการ Global Markets Programme ของ GFSI นับเป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับบริษัทต่างๆที่ขาดแคลนหรือมีระบบความปลอดภัยด้านอาหารที่ล้าหลัง เพื่อพิชิตปัญหาท้าทายโดยการผลิตอาหารที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานอาหารโลก และดำเนินงานเพื่อเข้าถึงตลาด โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นประตูทางเข้าตลาดสำหรับบริษัทเหล่านี้ด้วยแผนงานแบบเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการผลิตและดำเนินงาน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

          ให้การรับรองบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก

          ผู้ดำเนินงานบริษัท ไร่นา และโรงงานผลิตอาหารต่างๆ สามารถสมัครเข้าร่วมคัดเลือกได้โดยการนำเสนอวิธีการการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและยกตัวอย่างการนำโครงการ Global Market Programme ไปปฏิบัติเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับอาหารที่มีความปลอดภัยมากขึ้น

          การมอบรางวัลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ในการดำเนินโครงการ Global Market Programme โดยมีรางวัลประเภทต่างๆสำหรับแอฟริกา เอเชีย ลาตินอเมริกา และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก และรางวัลอีก 1 ประเภทสำหรับประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดงาน Global Food Safety Conference 2018

          คณะกรรมการตัดสินรางวัลประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านความปลอดภัยในอาหาร

          ทางโครงการได้จัดตั้งคณะกรรมการเตรียมการและคณะกรรมการตัดสินรางวัลประจำปี 2018 ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์หลากหลาย พร้อมตัวแทนทั้งจากภาครัฐและเอกชนจาก 4 ทวีป โดยคณะกรรมการคัดเลือกมี Mike Taylor อดีตผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ เป็นประธาน

          ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการเตรียมการได้กำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติต่างๆในการให้คะแนน โดยให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและความหลากหลาย

          GFSI มีความยินดีที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ greenfence ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการมอบรางวัลสำคัญในปีที่ 2 นี้

          การเปิดรับสมัครผู้เข้ารับการคัดเลือกจะหมดเขตในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2017 เวลา 18:00 น.ตามเวลา CET สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมคัดเลือกได้ที่ http://awards.mygfsi.com/



GFSI Launches its Global Markets Awards 2018; Celebrates Successes in Food Safety Capability Building

          The Global Food Safety Initiative (GFSI) is pleased to announce the launch of its Global Markets Awards 2018. For this second edition, the Awards will recognise companies from across the globe that have leveraged GFSI's Global Markets Programme in an exemplary way on their journey towards a world-class food safety system. Award recipients will be honoured on stage at GFSI's  Global Food Safety Conference and benefit from travel and attendance for the full conference and Discovery Tours , taking place in Tokyo, Japan from 5th to 8th March 2018.

         

          The Journey towards Safe Food for Consumers Everywhere

          The GFSI Global Markets Awards are a unique opportunity to highlight the efforts of food operations to scale up their capabilities to produce safe food, in line with the GFSI vision of safe food for consumers everywhere .

          GFSI's Global Markets Programme sets out how companies who lack or have underdeveloped food safety systems can meet the challenge of providing safe food, reducing hazards in global food supply chains and working towards market access. It provides an unaccredited entry point for these companies with its step-by-step programme designed to build capacity within production and manufacturing operations, and implement a routine of continuous improvement.

          Recognising Food and Beverage Companies from Around the World

          Food companies, farms or facilities can apply by demonstrating their food safety journey and illustrating their use of the Global Markets Programme to create an enabling environment for safer food.

          The Awards intend to reflect the geographic diversity of the Global Markets Programme implementation, with categories for Africa, Asia, Latin America and the rest of the world, as well as one category for the host country of the Global Food Safety Conference 2018.

          Panels Made Up of Notable Food Safety Experts and Academics

          A Steering Committee and Selection Committee have been formed for the 2018 edition of the Awards, composed of experts from diverse backgrounds, with representatives from both the public and private sector and spanning four continents. The Selection Committee is chaired by Mike Taylor, former commissioner to the US Food and Drug Administration.

          Over the past months, the Steering Committee developed the application requirements and scoring criteria, paying special attention to inclusivity and diversity.

          GFSI is pleased to partner with greenfence, who is generously sponsoring these significant awards for the second year running.

          Awards applications close on Friday 1st December 2017 at 6.00pm Central European time. To learn more and apply, visit http://awards.mygfsi.com/



ABC Global Alliance ออกกฎบัตรโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามฉบับใหม่ มุ่งเปลี่ยนอนาคตผู้ป่วยทั่วโลก

          กำหนดเป้าหมาย 10 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามภายในปี 2568

          สมาพันธ์โรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามสากล (ABC Global Alliance) ออกกฎบัตร ABC Global Charter ฉบับใหม่ ซึ่งตั้งเป้าหมายชัดเจน 10 ประการเพื่อยกระดับความก้าวหน้าในการดูแลรักษาผู้ป่วย รวมถึงเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยทั่วโลกภายในปี 2568 โดยกฎบัตรดังกล่าวจะอุดช่องโหว่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามอย่างเร่งด่วน อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นในท้ายที่สุด ทั้งนี้ ABC Global Alliance ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก European School of Oncology และถือกำเนิดขึ้นโดยความร่วมมือของหลายฝ่ายในปี 2559 จะผลักดันกฎบัตร ABC Global Charter เพื่อสนับสนุนชุมชนโรคมะเร็งเต้านม ผู้กำหนดนโยบาย และสาธารณชนทั่วโลก ให้รวมพลังกันเปลี่ยนแปลงอนาคตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

         

          ปัจจุบัน การวินิจฉัย การจัดการ และผลการรักษาโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นมีความคืบหน้าอย่างมาก ทว่ายังคงมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ในการรักษาและจัดการโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม โดยอัตราการรอดชีวิตยังคงอยู่ระหว่าง 2-3 ปีหลังการวินิจฉัย ขณะที่ 50% ของผู้ป่วย และ 58% ของผู้เสียชีวิตพบในประเทศด้อยพัฒนา

          ฟาติมา คาร์โดโซ ผู้อำนวยการแผนกเต้านมของ Champalimaud Clinical Centre ในเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส และประธาน ABC Global Alliance กล่าวว่า "การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามยังคงตามหลังการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น และผู้ป่วยจำนวนมากยังคงเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน ABC Global Charter เป็นกฎบัตรที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง เราจะผนึกชุมชนมะเร็งเต้านมระยะลุกลามให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ"

          ABC Global Charter กำหนดเป้าหมายการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 10 ประการ เพื่ออุดช่องโหว่ของการวิจัยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม และโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามในสังคม ตามที่ระบุในรายงาน Global Status of Advanced/Metastatic Breast Cancer: 2005-2015 Decade Report อันนำไปสู่วิสัยทัศน์เบื้องต้น Vision 2025 "Call-to-Action" สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย (mBC)

          การปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 10 ประการ ประกอบด้วย

          1. การเพิ่มอัตราการรอดชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามอีกสองเท่า เป็นอย่างน้อย 4 ปี ภายในปี 2568
          2. การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามด้วยเวชปฏิบัติ
          3. การยกระดับความพร้อมของข้อมูลระบาดวิทยาและผลการรักษาโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม
          4. การยกระดับความพร้อมและการเข้าถึงการดูแลรักษาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการรักษาแบบบรรเทา การรักษาแบบประคับประคอง ตลอดจนการดูแลจิตใจผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล เพื่อรับรองว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุด
          5. การช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามทุกคนได้รับการสนับสนุนทางการเงินในการดูแลรักษา และช่วยเหลือในกรณีที่ไม่สามารถทำงานได้
          6. การฝึกฝนทักษะการสื่อสารให้แก่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทุกคน
          7. การมอบข้อมูลโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามที่แม่นยำและทันสมัยให้แก่ผู้ป่วยทุกคนที่ต้องการ
          8. การเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลามในหมู่ประชาชน
          9. การยกระดับการเข้าถึงบริการสนับสนุนอื่นๆ นอกเหนือจากการรักษา สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม
          10. การปกป้องสิทธิแรงงานสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

          ทั้งนี้ การประชุม ABC Global Alliance ครั้งแรก จะจัดขึ้นในวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2560 ณ เมืองลิสบอน และจะมีการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นหลังการประชุม ABC4 Conference

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.abcglobalalliance.org



Launch of New Advanced Breast Cancer (ABC) Global Charter

          A multi-stakeholder initiative setting out 10 goals to change the future of advanced breast cancer by 2025

          The Advanced Breast Cancer (ABC) Global Alliance has launched the ABC Global Charter, a bold new initiative setting out 10 clear goals to drive global improvements in ABC care and survival by 2025. The ABC Global Charter addresses the most urgent and actionable gaps in the treatment and care of patients with ABC to ultimately improve and extend their lives. The ABC Global Alliance, a European School of Oncology backed, multi-stakeholder platform initiated in 2016, will push forward the ABC Global Charter encouraging the worldwide breast cancer community, policy makers and the public to unite to help change the future of ABC patients.

         

          Much progress has been made in the diagnosis, management and outcomes of early breast cancer, however major gaps still exist in the treatment and management of ABC and median survival has remained stubbornly stuck at two to three years after diagnosis, with 50% of cases and 58% of deaths occurring in less developed countries.

          "The care of ABC has lagged behind that of early breast cancer with too many people still dying too early and change is urgently needed", comments Fatima Cardoso, director of the Breast Unit, Champalimaud Clinical Centre, Lisbon, Portugal and Chair of the ABC Global Alliance. "The ABC Global Charter is an ambitious charter for change. Our goal is to unite the ABC community to work together towards common, achievable goals at international and local levels."

          The Charter centres on 10 Actions for Change addressing gaps in ABC research, ABC patient care and ABC in society as identified by the Global Status of Advanced/Metastatic Breast Cancer: 2005-2015 Decade Report which led to the preliminary mBC Vision 2025 'Call-to-Action'. 

          The 10 Actions for Change:

          1. Double median overall survival for patients with ABC to at least 4 years by 2025
          2. Improve quality of life for ABC patients in clinical practice
          3. Improve availability of robust epidemiology and outcomes data for ABC
          4. Increase availability and access to multidisciplinary care, including palliative, supportive, and psychosocial assistance for patients, families, and caregivers to ensure patients are receiving the best treatment experience
          5. Strive for all patients with ABC to have financial support for treatment, care and assistance if unable to work
          6. Offer communication skills training to all healthcare providers
          7. Provide accurate and up-to-date ABC-specific information tools to all patients who want them
          8. Increase public understanding of ABC
          9. Improve access to non-clinical supportive services for ABC
          10. Protect workforce rights for patients with ABC

          The Actions for Change will be discussed in detail at the first ABC Global Alliance meeting on 4-5 November 2017 in Lisbon which follows the ABC4 Conference.

          For more details see www.abcglobalalliance.org



เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี (ประเทศไทย) เตรียมสร้างระบบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในไทย

          เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซีเดินหน้าสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับบริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดอยุธยา

          เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี (ประเทศไทย) (UAC.SET) เตรียมสร้างระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (PV) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 2.5 MWp ซึ่งจะสามารถรองรับความต้องการพลังงานของคนไทย 1,400 ครัวเรือนต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศปริมาณ 1,800 ตัน อีกทั้งสามารถผลิตพลังงานสะอาดคิดเป็น 3,500,000 kWh/ปี

         

          เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซีจะสร้างระบบ PV ให้กับบริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดอยุธยา (ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ) ประกอบด้วยโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์จำนวน 7,575 เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคาโลหะ 4 แผง ครอบคลุมพื้นที่ 35,500 ตร.ม. โดยเอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซีจะคอยดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์ดังกล่าวให้ด้วย

          แรงจูงใจจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มาจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ครอบคลุมมูลค่าการลงทุน 50% ซึ่งหมายความว่า ระยะเวลาในการคืนทุนจะลดเหลือเพียง 3 ปีด้วยอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) ที่ 24.7% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมากสำหรับโครงการด้านพลังงาน

          นอกจากนี้ ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวยังถูกออกแบบให้ผู้บริโภคสามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานที่ผลิตได้ทั้ง 100% ซึ่งหมายความว่า ค่าไฟจะลดลงถึง 33% เลยทีเดียว   

          เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างเต็มเปี่ยม เนื่องด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันกว้างขวางของบริษัทในการสร้างระบบ PV ที่ผลิตจากส่วนประกอบโซลาร์เซลล์คุณภาพสูง และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่น่าเชื่อถือ และด้วยประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และการบำรุงรักษาที่รวดเร็วนั้น จึงเป็นเหตุผลที่บริษัทค้าเหล็กไทยวางใจเลือกเอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้โครงการประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์ด้านบริการและการบำรุงรักษาหลังจากที่ติดตั้งแล้วเสร็จอีกด้วย

          บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) (TMT) มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 

          เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี (ประเทศไทย) (UAC.SET): เอ็นเนอร์เรย์ดำเนินงานในไทยผ่านทางความร่วมมือกับบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำในกรุงเทพฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เอ็นเนอร์เรย์ได้สร้างแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมมากมาย และยังคว้าสัญญาดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ในโครงการ  PV ขนาด 75 MWp นอกจากนี้เอ็นเนอร์เรย์ ยูเอซี (ประเทศไทย) ยังสร้างและเชื่อมต่อระบบเซลล์แสงอาทิตย์อีกมากมาย ดังนั้นจึงมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในไทยเป็นอย่างมาก http://www.enerray.com



The Solar Epc Enerray UAC Thailand set to Build one of the Biggest Roof-top Photovoltaic Systems in Thailand

          The solar power station will be built for the Thai Metal Trade Public Company Ltd in the Ayutthaya province.

          Enerray-UAC Thailand (UAC.SET) will be building one of the largest roof-top photovoltaic systems in Thailand, with a total capacity of 2.5 MWp, enough to meet the annual energy needs of 1,400 Thai households and avoiding the emission of around 1,800 tonnes of CO2 into the atmosphere, providing an estimated annual output of 3,500,000 kWh of clean energy.

         

          This important PV system will be built by Enerray UAC for the Thai Metal Trade Public Company Ltd in the province of Ayutthaya (near Bangkok). The system will be made up of 7,575 PV modules installed on the sheet metal roofs of four production areas, covering a total of 35,500m2. Enerray UAC will also be in charge of maintenance.

          The Board of Investments of Thailand (BOI) incentive is based on a three-year corporate income tax exemption to cover 50% of the investment value, this means that the payback period for the PV system is reduced to just 3 years with a really advantageous 24.7% Internal Rate of Return, an exceptionally high rate for energy projects.

          Moreover, the system has been designed to ensure 100% consumption of the energy produced, meaning the production plant's electricity bill will drop by 33%.

          Enerray UAC earned the trust of the client thanks to its consolidated expertise and extensive worldwide experience in the building of PV systems based on high-quality solar components, reliable PV power stations and with the added benefits of highly competitive prices and efficient and rapid maintenance. This is why Thai Metal Trade chose Enerray UAC, not only to realize the project, but also to service and maintain the solar system once installed.

          Thai Metal Trade Public Company Limited (TMT) is a Bangkok-based company listed on the SET (Stock Exchange of Thailand).

          Enerray UAC Thailand (UAC.SET): Enerray operates in Thailand through a partnership with the UAC Global Public Company Limited, a leading Bangkok-based company listed on the SET (Stock Exchange of Thailand). Enerray has already built several power plants on commercial and industrial rooftops and it has recently secured 75 MWp in Operation and Maintenance (O&M) contracts. Enerray UAC Thailand has already built and connected different roof-top photovoltaic systems, thus contributing to the development of renewable energy in the country. http://www.enerray.com



ผลวิจัยเผยการใช้ยาแอสไพรินในระยะยาวช่วยลดการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้สูงสุด 47%

          ผลวิจัยใหม่ล่าสุดที่ได้รับการเปิดเผยในการประชุม UEG Week ครั้งที่ 25 แสดงให้เห็นว่า การใช้ยาแอสไพรินในระยะยาวสามารถลดการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ

          คณะนักวิจัยได้ทำการศึกษาผู้ป่วยกว่า 600,000 คน โดยเปรียบเทียบกลุ่มผู้ป่วยที่แพทย์สั่งให้กินยาแอสไพรินในระยะยาว (อย่างน้อย 6 เดือน, ค่าเฉลี่ย 7.7 ปี) กับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้ยาแอสไพริน เพื่อประเมินการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ซึ่งผลปรากฏว่า กลุ่มที่ใช้ยาแอสไพรินมีอัตราการเกิดมะเร็งตับและมะเร็งหลอดอาหารลดลง 47%, การเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารลดลง 38%, การเกิดมะเร็งตับอ่อนลดลง 34% และการเกิดมะเร็งลำไส้ลดลง 24%

          มะเร็งในระบบทางเดินอาหารคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของมะเร็งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในยุโรป โดยมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับอ่อน ติดท็อป 5 มะเร็งที่คร่าชีวิตผู้ป่วยมากที่สุดในยุโรป ขณะที่มะเร็งในระบบทางเดินอาหารทั้งหมดคร่าชีวิตผู้ป่วยคิดเป็นสัดส่วนถึง 30.1%

          แอสไพรินถูกนำไปใช้ทั่วโลกเพื่อรักษาอาการต่างๆ ตั้งแต่บรรเทาอาการปวดในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว แม้วงการแพทย์ยังคงถกเถียงกันในเรื่องของการใช้ยาแอสไพริน ทว่าผลวิจัยเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยที่หยุดใช้ยาแอสไพรินมีแนวโน้มเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะหัวใจวาย มากกว่าผู้ป่วยที่กินยาแอสไพรินต่อเนื่องมากถึง 37%
จุดที่เกิดมะเร็ง   อัตราการเกิดมะเร็งที่ลดลงในกลุ่มผู้ใช้ยาแอสไพริน 

          นอกจากนี้ ผลของการใช้ยาแอสไพรินในระยะยาวที่มีต่อการเกิดโรคมะเร็งยังแสดงให้เห็นนอกระบบทางเดินอาหารเช่นกัน โดยพบว่าอัตราการเกิดมะเร็งบางชนิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก) แต่มะเร็งบางชนิดก็ไม่มีผล (มะเร็งทรวงอก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต และมัลติเพิล มัยอิโลมา)

          Professor Kelvin Tsoi หัวหน้าคณะนักวิจัยจาก Chinese University of Hong Kong ได้นำเสนอผลการค้นพบดังกล่าวในวันนี้ ระหว่างการประชุม UEG Week ครั้งที่ 25 ซึ่งจัดขึ้นที่บาร์เซโลนา พร้อมกับระบุว่า "ผลการค้นพบแสดงให้เห็นว่า การใช้ยาแอสไพรินในระยะยาวสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งพบว่าอัตราการเกิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ที่เด่นชัดที่สุดคือมะเร็งตับและมะเร็งหลอดอาหาร"



Long-term Aspirin use Reduces the Incidence of Digestive Cancers by up to 47%, Study Presented at UEG Week Reveals

          The long-term use of aspirin has been shown to significantly reduce the incidence of digestive cancers, new research presented today at the 25th UEG Week have found.

          In a study involving over 600,000 people, researchers compared patients who were prescribed aspirin over a long period (for at least six months, average duration of aspirin prescribed was 7.7 years) with non-aspirin users and assessed the incidences of a number of cancers. Those prescribed with aspirin showed a 47% reduction in liver and oesophageal cancer incidence, a 38% reduction in gastric cancer incidence, a 34% reduction in pancreatic cancer incidence and a 24% reduction in colorectal cancer incidence.

          Digestive cancers account for almost a quarter of cancer cases in Europe. Colorectal, gastric and pancreatic cancer are within the top five cancer killers throughout the continent, with digestive cancers representing 30.1% of cancer deaths.

          Aspirin is used across the globe to treat a number of health conditions, ranging from short-term pain relief to long-term prescriptions. Whilst the use of aspirin is subject to continued debate within the medical community, a recent study found that patients who stopped taking aspirin were 37% more likely to have an adverse cardiovascular event, such as a heart attack or stroke, than those who continued with their prescription.

          The effect of long-term use of aspirin on cancer incidence was also examined for cancers outside of the digestive system. Here, a significant reduction was shown for some (leukaemia, lung and prostate) but not all (breast, bladder, kidney and multiple myeloma) cancers.

          Lead researcher, Professor Kelvin Tsoi from the Chinese University of Hong Kong, presented the study today at the 25th UEG Week in Barcelona. "The findings demonstrate that the long-term use of aspirin can reduce the risk of developing many major cancers," commented Professor Tsoi. "What should be noted is the significance of the results for cancers within the digestive tract, where the reductions in cancer incidence were all very substantial, especially for liver and oesophageal cancer."



Monday, October 30, 2017

Asia Plantation Capital Holds its Annual General Meeting 2017

          Award-winning plantation management company Asia Plantation Capital held its 2017 Annual General Meeting on Saturday 21 October 2017, at the Intercontinental Hotel, Bangkok, Thailand.

          The APC Group's Chief Executive Officer, Barry Rawlinson, opened the AGM by speaking to the crowd of over 400 Thailand-based plantation owners and stakeholders, about the ongoing effects of climate change in the agriculture sector. Mr Rawlinson also expressed his sincere gratitude to all Asia Plantation Capital staff who have worked tirelessly in addressing and mitigating the negative effects of climate change within the company's agricultural practices and production.

          Asia Plantation Capital continues to remain steadfast in its ethos of 'holistic sustainability'. Throughout 2017, the company has embraced programmes and directives that transcend mere Corporate Social Responsibility (CSR) projects, ensuring that equal care, consideration and encouragement are given to all members of staff -- from top and middle management all the way through to plantation workers and their families.

          Jinda Tonkhambai, Asia Plantation Capital Thailand's Operations Director, outlined the details of Asia Plantation Capital's ongoing CSR activities, as well as those that have been carried out over the last year, from which many local communities have benefited.

          In light of the company's ongoing expansion and the additional plantations that are needed to meet growing demand for its products, Phanitta Matwangsaeng, from General Administration, updated attendees on the processes and due diligence carried out prior to the purchases of land. Technical details, such as the land designing process, plot diagrams, water systems, and tree management systems, were further explained by architect, Phoom Matwangsaeng.

          Steve Watts, Chief Executive Officer of Asia Plantation Capital Asia, spoke about the business operations of Asia Plantation Capital Berhad (APCB) -- the Malaysian arm of the APC Group -- with emphasis placed on the major joint ventures that have been entered into, as well as the breakthroughs that were made in research and development. The factory -- the largest agarwood distillery in Southeast Asia -- now sees some new manufacturing processes, as well as an expanded nursery facility and laboratory with state of the art equipment to monitor oil quality and production methods. Mr Watts also announced that APCB is now in the process of obtaining certification for Good Manufacturing Practice and Halal certification.

          One of the most significant achievements for APCB has been the recent recognition and unconditional approval of its products by the Suruhanjaya Syarikat Malaysia (SSM), which is Malaysia's equivalent to the Monetary Authority of Singapore (MAS), and the Financial Conduct Authority (FCA) in the UK.

          Boonchuay Jomkhamsee -- Forestry Specialist, provided information on plantation management as well as APC's inoculation process.

          Dr Jeyakumar, who was recently appointed as Asia Plantation Capital's Head of Inoculation R&D, revealed links in the formation of agarwood at the molecular level and explained the significance of APC's inoculums. He also presented his ongoing research on Argininosuccinate Synthase 1 (ASS1) gene expression in Aquilaria plants, which is controlled by wound signal through the process of inoculation.

          Special Scientific Advisor and Associate professor, Dr Pakamas Chetpattanondh, from Thailand's Prince of Songkla University, delivered a presentation on the ways in which to produce Oud Oil, its applications, and the medicinal benefits and remarkable properties of Oud oil.

          The audience was also given updates on Fragrance Du Bois, by Clotilde Antoine, who is the Brand and Retail Manager. The luxury perfume brand scaled new heights this year with new partnerships and openings in Paris, Hong Kong, Milan, Marbella, Doha, and Zurich, as well as its very own European flagship boutique in Geneva.

          The relocation of Fragrance Du Bois's flagship boutique in Singapore to the busy shopping area around Orchard Road, was another exciting project that the brand embarked upon in 2017, and appears to have been an instant success with increased levels of brand awareness and revenue. Ms Antoine also mentioned the launch of Fragrance Du Bois's unique Pure Oud Atomiser, as well as providing Fragrance Du Bois's plans for the upcoming year, which includes the expansion of its boutique network in the Middle East (where at least two outlets will be opening in Dubai in the next few weeks), along with outlets in the USA and Portugal.

          Asia Plantation Capital also announced that it has entered into an exclusive supply agreement with dynamic, new skincare and accessories brand, Oud Essentials.

          Part of the Oud Essentials mantra is to 'change the face of skincare', and the inclusion of 100% pure, organic, sustainably sourced and ethically produced Oud in all of the company's products is set to be a 'gamechanger' in the ultra-competitive, multi-billion-dollar market.

          Oud Essentials will introduce the use of Oud oil in skincare - a world's first - through the creation of unique and innovative products. The agreement is said to be valued in the region of US$50 million over the next 10 years, with understanding between the two companies to supply valuable Oud oil, and other Asia Plantation Capital products sourced and manufactured from its sustainable agarwood plantations.

          At the AGM, the APC Group awarded two certificates to Africa Plantation Capital. One to its Chief Executive Officer, Konstantinos Kioleoglou, who received the 'Asia Plantation Capital Global Innovation Award 2017', and the other to Kelvin Kaloki Sila, Business Development Director, who garnered the 'Asia Plantation Capital Global Leadership Award 2017'.

          The AGM ended with a closing speech by APC Group CEO, Barry Rawlinson, who said, "2017 has been a good year for all of us at Asia Plantation Capital, as we have seen positive growth within the organisation. Despite the challenges we have faced, we have managed to ensure that performance, growth and momentum across all regions have been maintained."

          Rawlinson concluded, "On behalf of the company, I would like to thank all our stakeholders, shareholders and every member of staff for their contribution and support."

XCMG เปิดโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศแคเมอรูน

          XCMG ผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างชั้นนำของโลก เปิดโรงเรียนระดับประถมศึกษา XCMG Hope Primary School แห่งแรก ณ หมู่บ้านอะลิเอเต เยฮอมโบ ประเทศแคเมอรูน เพื่อสร้างแหล่งการศึกษาให้แก่ภูมิภาคเนเมยองอันห่างไกลในประเทศแคเมอรูน

          โรงเรียนแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการล่าสุดที่เพิ่งเสร็จสิ้นภายใต้โปรแกรม "Blue Dream" เพื่อการศึกษาระดับนานาชาติของ XCMG อันเป็นส่วนหนึ่งของ "For A Better Life" แคมเปญสวัสดิการสาธารณะทั่วโลกที่ประกอบด้วยโครงการอันทรงคุณค่าทั้งหมด 14 โครงการ

          ตู ฮุย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคแอฟริกา ส่วนงานธุรกิจเครื่องจักรประเภทขุดเจาะของ XCMG กล่าวระหว่างพิธีเปิดโรงเรียนดังกล่าวว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่เด็ก ๆ จะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จตามที่ใฝ่ฝันได้

          "เราหวังว่าโรงเรียนแห่งนี้จะไม่เพียงแค่ช่วยแก้ปัญหาความต้องการด้านการศึกษาแก่เด็ก ๆ ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังหวังด้วยว่าบริษัทและองค์กรอื่น ๆ จะร่วมมือกับเราในการอุทิศตนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-แอฟริกาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"

          โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นประโยชน์แก่เด็ก ๆ ในพื้นที่ซึ่งไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา เด็กชายเอลิจาห์วัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว มาจากครอบครัวที่มีบุตรด้วยกัน 5 คน เขาใช้เวลาช่วงวัยเยาว์ช่วยครอบครัวทำเกษตรกรรมและขายน้ำบรรจุถุงเพื่อหาเลี้ยงทุก ๆ คน แม้ว่าเอลิจาห์และพี่น้องจะมีอายุถึงเกณฑ์เข้าเรียนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเงินเพียงพอสำหรับเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน

          เมื่อโรงเรียนเปิด เอลิจาห์รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เข้าเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ พร้อมหนังสือเรียนหลายเล่มและกระเป๋าใบใหม่ เขาเปิดเผยว่ารู้สึกขอบคุณที่ XCMG นำโอกาสทางการศึกษามายังหมู่บ้าน และเขาจะตั้งใจเรียนเพื่อทำตามความฝันที่จะเข้าทำงานกับบริษัท XCMG ในประเทศจีนเมื่อโตขึ้น

          XCMG มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ยากไร้รวมถึงแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย อาทิ การสร้างแหล่งเก็บน้ำสะอาด 50 แห่งในเอธิโอเปีย, เปิดสถานรับเลี้ยงเด็กที่หมู่บ้านควิงเหลียง ณ มณฑลเสฉวน เพื่อดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง, เป็นเจ้าภาพโครงการ Global Excellent Operator และจัดตั้งทุนการศึกษาระดับนานาชาติมากมาย

          "XCMG จะเดินหน้าปฏิบัติพันธกิจเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้ที่ขาดแคลนผ่านโครงการสวัสดิการสาธารณะต่าง ๆ เพื่อทำให้วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ดีกว่าสำหรับทุกคน" ตู ฮุย ทิ้งท้าย

          เกี่ยวกับ XCMG

          XCMG เป็นบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตเครื่องจักรหนักที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 74 ปี และปัจจุบันติดอันดับ 7 ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรก่อสร้างของโลก บริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 177 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

          สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.xcmg.com หรือเพจ XCMG ทาง Facebook ,  Twitter ,  YouTube ,  LinkedIn  และ  Instagram