Friday, February 28, 2020

XCMG ยืนยันส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด แม้ไวรัสโควิด-19 ระบาด

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา XCMG ได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าจากมณฑลซูโจว ประเทศจีน ไปยังต่างประเทศ ตามคำสั่งซื้อจำนวนมากของลูกค้า โดยผลิตภัณฑ์ XCMG หลายร้อยรายการ ซึ่งรวมถึงรถเครน รถขุด รถตัก รถเกลี่ย รถบดถนน และรถบรรทุกเทท้าย กำลังเดินทางทางทะเลเพื่อไปถึงจุดหมายปลายทางตามเวลาที่กำหนดภายไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

XCMG ยืนยันส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด แม้ไวรัสโควิด-19 ระบาด


คุณหลิว เจียนเซิน รองประธาน XCMG และผู้จัดการทั่วไปของ XCMG Import and Export Company กล่าวว่า "XCMG ได้ประสานงานกับซัพพลายเชนของเราทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าโรงงานผลิตทุกแห่งดำเนินการได้เป็นปกติ และจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อนับตั้งแต่ที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด”

XCMG กลับมาดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ และได้ให้การสนับสนุนเหล่าซัพพลายเออร์ในการกลับมาผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนหลัก ๆ อีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพ ข้อมูล ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ระบุว่า 90% ของซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ XCMG กลับมาเปิดทำการแล้ว

สำหรับซัพพลายเออร์ที่อยู่นอกมณฑลเจียงซู XCMG ได้ประสานงานกับรัฐบาลท้องถิ่น รวมทั้งหน่วยงานด้านการผลิตและโลจิสติกส์ เพื่อรับประกันการจัดส่งที่ตรงเวลา พร้อมกับปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ซึ่งระบบซัพพลายเชนของ XCMG ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทโลจิสติกส์ บริษัทด้านการผลิต การจัดเก็บและการค้าในมณฑลซูโจว รวม 265 บริษัท

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ XCMG ได้ออกเงินกู้สำหรับการควบคุมการระบาดในมณฑลเจียงซูเป็นครั้งแรก ซึ่งระดมทุนได้กว่า 300 ล้านหยวน (42.79 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อสนับสนุนบรรดาวิสาหกิจเอกชนขนาดเล็กในห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ บริษัท XCMG Finance Company ยังเปิดช่องทางสีเขียวสำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาด ข้อมูล ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ระบุว่า บริษัทให้สินเชื่อพิเศษ 466 ล้านหยวน (66.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แก่บริษัทสมาชิกและพันธมิตรในห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ท่ามกลางความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พนักงานในต่างประเทศของ XCMG ไม่เพียงพยายามขยายตลาดต่างประเทศและเพิ่มยอดคำสั่งซื้อเท่านั้น แต่ยังได้จัดส่งเวชภัณฑ์ ได้แก่ หน้ากากอนามัย และ ชุดป้องกัน มาสนับสนุนการกลับมาดำเนินงานของบริษัท และการจัดส่งสินค้าที่ตรงเวลา

ด้วยเครือข่ายการขายและการบริการทั่วโลกที่ประกอบด้วยตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 300 ราย สำนักงานต่างประเทศ 40 แห่ง และศูนย์อะไหล่ขนาดใหญ่ 40 แห่ง ทาง XCMG ในฐานะผู้ส่งออกเครื่องจักรอุตสาหกรรมก่อสร้างชั้นนำ จึงสนับสนุนโครงการก่อสร้างที่สำคัญทั่วโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้โลกใบนี้เป็นโลกที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

เกี่ยวกับ XCMG

XCMG เป็นบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตเครื่องจักรหนักที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 77 ปี และปัจจุบันรั้งอันดับ 6 ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรก่อสร้างของโลก บริษัทส่งออกสินค้าไปยัง 183 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.xcmg.com/en-na, Facebook, YouTube, Twitter, LinkedIn และ Instagram

Huawei Atlas 900 AI Cluster คว้ารางวัล GLOMO Tech of the Future Award จาก GSMA

          ที่งานประกาศรางวัล Tech of the Future Award ในวันนี้ GSMA ได้มอบรางวัล Tech of the Future Award ให้กับ Huawei Atlas 900 AI Cluster ในฐานะเทคโนโลยีที่โดดเด่นด้วยขุมพลัง AI ชั้นนำของโลก ระบบกระจายความร้อน และเครือข่ายคลัสเตอร์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีส่วนช่วยในการเร่งการวิจัยด้าน AI ทั่วโลก และทำให้ AI ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค AI ด้วยพลังการประมวลผลที่ไร้คู่ต่อสู้

Huawei Atlas 900 คว้ารางวัล GLOMO Tech of the Future Award


          เทคโนโลยีระดับนวัตกรรมได้เข้าไปขับเคลื่อนอุตสาหกรรมมือถือให้ไปได้ไกลกว่าที่ผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยียุคแรกคาดการณ์ไว้ GSMA จึงตั้งรางวัล GLOMO Award สาขา Tech of the Future Award ขึ้นมา เพื่อยกย่องเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกในยุคปัจจุบัน และในครั้งนี้ รางวัลดังกล่าวก็ให้การยอมรับคลัสเตอร์ AI Atlas 900 ของหัวเว่ย ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก้าวขึ้นสู่จุดใหม่ของนวัตกรรม AI

          Atlas 900 คือคลัสเตอร์การเทรน AI ที่รวดเร็วที่สุดในโลก ด้วยขุมพลังที่เชื่อมต่อหน่วยประมวลผลกลาง AI Huawei Ascend 910 หลายพันหน่วยสำหรับ petaFLOPS (PFLOPS) FP16 256-1024 ซึ่งมอบพลังการประมวลผลเทียบเท่าคอมพิวเตอร์พีซี 500,000 เครื่อง โดยระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพการทำ ResNet-50 Training ผลปรากฏว่า Atlas 900 ได้ทำลายสถิติโลกด้วยการดำเนินการแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 59.8 วินาที นับเป็นผลิตภัณฑ์เดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถเทรนนิ่งเสร็จสมบูรณ์ในเวลาไม่ถึง 1 นาที

          Atlas 900 สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายทั้งสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการคิดค้นนวัตกรรมในภาคธุรกิจ โดยจะช่วยเปิดทางให้นักวิจัยสามารถทำการฝึกฝนโมเดล AI ด้วยภาพและวิดีโอได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งไม่เพียงช่วยให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้การทำนายด้านดาราศาสตร์, ปิโตรเคมี และสภาพอากาศมีความแม่นยำขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นด้วย

          คลัสเตอร์ Atlas 900 AI มีโหมดเชื่อมต่อไฮสปีด 3 โหมด ได้แก่ Huawei Cache Coherent System (HCCS), PCIe 4.0 และ 100GE โดยใช้สวิตช์ดาต้าเซ็นเตอร์จาก Huawei CloudEngine ในการรองรับเครือข่ายซิงโครไนซ์ตัวแปรเสริมสำหรับระบบฝึกฝนโมเดล AI ที่ทำงานได้เร็วกว่า 100 TB (10^12)/วินาที ซึ่งช่วยลดความหน่วงในกระบวนการซิงโครไนซ์ได้ 10%-70% และทำให้การเทรนนิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบก้าวกระโดด

          เนื่องจากการประมวลผลที่ถึงขีดสุดอาจทำให้ระบบร้อนเกินไป คลัสเตอร์ Atlas 900 AI จึงมีระบบกระจายความร้อนชั้นนำของอุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยโซลูชั่นหล่อเย็นของเหลวแบบไฮบริดที่มีค่าการระบายความร้อนด้วยของเหลวสูงกว่า 95% โดยใช้เทคโนโลยีถ่ายเทความร้อนแบบ adiabatic ซึ่งมีค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ที่เหมาะสมคือ 1.0 ขณะที่แต่ละตู้ที่ติดตั้ง Atlas 900 จะสามารถกระจายความร้อนได้มากถึง 50 kW ด้วยค่า PUE ไม่เกิน 1.1 นอกจากนี้ Atlas 900 ยังใช้พื้นที่น้อยกว่าตู้ทำความเย็น 8kW จึงช่วยลดพื้นที่การติดตั้งอุปกรณ์ลงได้ถึง 79% อีกทั้งระบบหล่อเย็นด้วยของเหลวใหม่ยังช่วยแก้ปัญหา TCO ของลูกค้าที่ใช้ไฟมาก มีความหนาแน่นสูง และค่า PUE ต่ำได้ด้วย

          ความเห็นจากคณะกรรมการตัดสินรางวัลระบุว่า "Atlas 900 AI ได้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อความก้าวหน้าที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายทั้งในอุตสาหกรรมมือถือและอุตสาหกรรมอื่นๆ เปิดทางให้อุตสาหกรรมเหล่านั้นได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุดนี้ในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็วและการทำงานโดยมีอัตราการปล่อยคาร์บอนต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ"

          เกี่ยวกับ หัวเว่ย

          หัวเว่ย เป็นผู้นำของโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะ ด้วยโซลูชั่นครบวงจรที่ครอบคลุม 4 ขอบข่ายหลัก ได้แก่ เครือข่ายโทรคมนาคม ไอที อุปกรณ์อัจฉริยะ และบริการคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างแท้จริง

          หัวเว่ย ให้บริการครบวงจรทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และบริการ โดยมาพร้อมศักยภาพอันโดดเด่นและความปลอดภัย เราทำงานร่วมกันอย่างเปิดกว้างกับพันธมิตรในระบบนิเวศ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนสำหรับลูกค้า สร้างพลังให้กับผู้คน เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตในบ้าน ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กรทุกขนาดและทุกรูปแบบ

          นวัตกรรมของหัวเว่ยมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า เราลงทุนมหาศาลในการวิจัยพื้นฐาน และมุ่งมั่นกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า เรามีพนักงานกว่า 188,000 คน ณ สิ้นปี 2561 และดำเนินงานในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก หัวเว่ยเป็นบริษัทเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ.2530 และพนักงานทุกคนเป็นเจ้าของบริษัทร่วมกันอย่างแท้จริง

          อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวเว่ยได้ที่ www.huawei.com หรือติดตามเราได้ทาง:

          http://www.linkedin.com/company/Huawei
          http://www.twitter.com/Huawei
          http://www.facebook.com/Huawei
          http://www.youtube.com/Huawei

          GSMA GLOMO

          The Global Mobile Awards (GLOMO) เริ่มจัดโดย GSMA ในปี 2539 และได้กลายเป็นหนึ่งในรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งมอบให้กับผลงานสำคัญที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการสื่อสารผ่านมือถือ

หัวเว่ย เปิดตัวโซลูชันเรือธงด้านแคมปัสเน็ตเวิร์กและดาต้าเซ็นเตอร์ มุ่งสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า

          วันนี้ ที่งานประชุม Industrial Digital Transformation Conference ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ หัวเว่ย ได้เปิดตัวโซลูชั่นเรือธงใหม่ล่าสุดสำหรับตลาดองค์กร ได้แก่ HiCampus สำหรับเครือข่ายองค์กร และ HiDC สำหรับศูนย์ข้อมูล โดยหัวเว่ยได้อาศัยความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี 5G เครือข่ายออปติก อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล (IP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยีและธุรกิจควบคู่กันไป เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จของลูกค้าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

นายซุน ฝูโหย่ว รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย


          นายซุน ฝูโหย่ว รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย กล่าวว่า "เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนโฉมโลก และเป็นประโยชน์สำหรับทุกย่างก้าวของชีวิต อย่างไรก็ดี เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรมีความซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้มากขึ้น ทุกองค์กรจึงควรรวมการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management (BCM)) ให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในแผนการพัฒนาระยะยาวของทุกองค์กร และควรรวมระบบ ICT ขององค์กรเข้าในแผนงาน BCM เนื่องจากระบบเหล่านี้เป็นเครื่องมือการผลิตและสินทรัพย์ที่สำคัญ ขณะเดียวกัน นอกจากเป็นผู้สนับสนุนหลักในการกำหนดมาตรฐาน 5G ทั่วโลก และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครือข่ายออปติกแล้ว หัวเว่ยยังติดอันดับ 1 ในฐานะผู้สนับสนุนมาตรฐาน Wi-Fi 6 และเป็นผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถให้บริการโซลูชัน AI แบบฟูลสแตกสำหรับทุกสถานการณ์ ครอบคลุมด้านคลาวด์ เอดจ์ และอุปกรณ์ เราผนวกรวมเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลักในสาขาต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น 5G plus IP, IP plus optical และ IP plus AI เพื่อพัฒนาโซลูชันนวัตกรรมที่จะช่วยปรับเปลี่ยนแผนงานด้านเทคโนโลยีของโลกธุรกิจ โดยในปี 2020 นี้ หัวเว่ยได้เปิดตัวโซลูชันเรือธง 2 โซลูชันด้วยกัน ได้แก่ HiCampus สำหรับเครือข่ายองค์กร และ HiDC สำหรับศูนย์ข้อมูล รวมทั้งยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดาวเด่น 4 รายการ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในตระกูล AirEngine Wi-Fi 6 และ OceanStor Dorado ตลอดจน OptiXtrans DC908 และ SmartLi UPS ด้วยเป้าหมายที่จะตอบสนองลูกค้าที่ต้องการใช้งานเครือข่ายความเร็วสูง รวมถึงการทำงานที่เป็นอัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่โดดเด่นให้แก่ลูกค้า"

นายวิง คิน เหลียง ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรซ์ของหัวเว่ย


          โซลูชัน Huawei HiCampus ช่วยสร้างเครือข่ายแคมปัสสำหรับองค์กรยุคใหม่

          เครือข่ายแคมปัสคือระบบเครือข่ายสำหรับผู้ใช้งานภายในองค์กร ปัจจุบันเครือข่ายแคมปัสขององค์กรกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น เข้าใช้งานได้ยาก ช้า หรือไม่เสถียร กินไฟสูง และไม่รองรับการทำงานเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี โซลูชัน Huawei HiCampus ที่นายซุน ฝูโหย่ว เปิดตัวในวันนี้ มีคุณสมบัติเด่น 3 ประการที่จะช่วยรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ได้แก่:

          1. หัวเว่ยแนะนำเทคโนโลยี 5G RF, อัลกอริทึม 5G อาทิ multi-system co-scheduling, Smart Antenna และเครือข่าย radio access network ทีกำหนดโดยซอฟต์แวร์ รวมถึงแนวคิดการสร้างเครือข่าย 5G เข้าสู่แวดวง IP โดยผลิตภัณฑ์ AirEngine Wi-Fi 6 ของหัวเว่ย ซึ่งมีเทคโนโลยี 5G และ IP เป็นขุมพลังขับเคลื่อนนั้น นำเสนอประสบการณ์การสร้างเครือข่าย 100 Mbit/s ที่เชื่อมต่อตลอดเวลา ทั้งยังเสถียรที่สุดและเร็วที่สุดในโลก คุณสมบัติเด่นของ AirEngine Wi-Fi 6 ประกอบด้วย อัตราการส่งข้อมูลความเร็วสูงสุด 10 Gbit/s ความหน่วง 10ms และรัศมีความครอบคลุมที่เหนือกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม 20% เครือข่ายแคมปัสคุณภาพสูงที่เป็นระบบไร้สายโดยสมบูรณ์นี้ มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเครือข่ายแคมปัสแบบเดิม ๆ ที่ต้องเดินสายเครือข่ายร่วมกับการทำงานแบบไร้สายเป็นอย่างมาก
          2. โซลูชันเครือข่าย Campus OptiX ทำให้เครือข่ายแคมปัสมีการเชื่อมต่อแบบออปติกโดยสมบูรณ์ผ่านทางสถาปัตยกรรม IP plus POL ซึ่งนอกจากความยืดหยุ่น การประมวลผลที่ทรงพลัง ระบบการทำงานที่เป็นอัตโนมัติ และงานด้าน O&M ที่เป็นอัจฉริยะแล้ว โซลูชันนี้ยังรวมข้อดีอื่น ๆ ของเทคโนโลยีออปติกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดพลังงาน ความไม่ยุ่งยาก และประสิทธิภาพสูง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในสนามบิน สถาบันการศึกษา โรงแรม สำนักงาน และสถานการณ์การใช้งานอื่น ๆ ทั้งนี้ จากการประเมินโซลูชันเครือข่ายอย่างครอบคลุมโดย Ovum พบว่า โซลูชัน IP plus POL ของหัวเว่ย มีประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่าโซลูชันแคมปัส layered switching แบบเดิมเป็นอย่างมาก
          3. แพลตฟอร์ม Huawei Horizon Digital Platform ยกระดับเครือข่ายแคมปัสจาก single-scenario intelligence เป็น overall campus intelligence โดย IMOC และ NCE เป็นโซลูชัน O&M อัจฉริยะสำหรับเครือข่ายองค์กรอัจฉริยะ ด้วยความที่เป็นระบบแบบเปิด และสามารถตรวจสอบได้แบบฟูลสแตก ซึ่งช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 20% ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน 15% เพิ่มประสิทธิภาพ O&M ได้อีก 30% และลดเวลาในการหาจุดบกพร่องเหลือไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ

          โซลูชัน Huawei HiDC ประกอบด้วยสถาปัตยกรรม เทคโนโลยี และตัวกลาง

          ปริมาณข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 33 เซตตะไบต์ (ZB) ในปี 2018 เป็น 180 ZB ในปี 2025 ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ ระบบข้อมูลแบบเดิมจะเผชิญกับปัญหาติดขัดด้านสถาปัตยกรรมสำหรับการรวบรวม การจัดเก็บ การประมวลผล การจัดการ และการใช้ข้อมูล ในโอกาสนี้ นายวิง คิน เหลียง ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย จึงได้เปิดตัวโซลูชันศูนย์ข้อมูล Huawei HiDC เพื่อช่วยให้ลูกค้าสร้างศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โซลูชันประกอบด้วยสถาปัตยกรรม เทคโนโลยี และตัวกลางที่ทำให้การหลอมรวมและแบ่งปันข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          1. สถาปัตยกรรมแบบทรี-อิน-วัน: โซลูชันเครือข่ายศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ AI Fabric ล่าสุด โดดเด่นด้วยการสูญหายของข้อมูลเป็นศูนย์ โดยใช้อัลกอริทึม iLossless ในการรวมเครือข่าย Ethernet, InfiniBand และ Fiber Channel เข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการประมวลผลของเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้น 28% และ storage IOPS เพิ่ม 30% โซลูชัน data center interconnection (DCI) นี้ใช้การทำงานประสานกันในรูปแบบของ IP plus optical เพื่อมอบความจุเพิ่มขึ้น 40% และระยะทางในการส่งข้อมูลได้ไกลขึ้น 25% เมื่อเทียบกับผู้จำหน่ายรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม โซลูชันนี้ทำให้สามารถรวมการจัดการและทราฟฟิกเครือข่ายเพื่อลดเวลา time-to-market (TTM) และลดต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) ลงมากกว่า 30%
          2. เทคโนโลยีที่ช่วยให้การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น เพื่อตอบสนองความต้องการการใช้บริการในอีก 10 ปีข้างหน้า: อุปกรณ์ CloudEngine 16800 data center switch ใช้พอร์ต 400GE ที่มีความหนาแน่นที่สุดในอุตสาหกรรม เพื่อมอบการส่งสัญญาณความเร็วสูงพิเศษระดับ ultra-high-speed ทั้งยังกระจายความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม และจ่ายไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ลดการใช้พลังงานต่อบิตลง 50% ซึ่งผลิตภัณฑ์ DCI อย่าง Huawei OptiXtrans DC908 รองรับได้ถึง 800 Gbit/s ต่อหนึ่งความยาวคลื่น และรองรับได้มากถึง 220 ความยาวคลื่น ด้วยการใช้เทคโนโลยี Super C+L band ที่พร้อมรองรับการใช้งานในอนาคต นอกจากนี้ยังติดตั้งใช้งานง่ายมากขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ด้วยสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ทันสมัย ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเริ่มตั้งแต่ศูนย์จนกระทั่งสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างกันแบบ ultra-broadband, ultra-simplified ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลสำหรับองค์กรในยุคของคลาวด์ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เราเตอร์ NetEngine 8000 series ที่ใช้ SRv6 เพื่อให้สามารถเลือกเส้นทางการเชื่อมต่อได้ตามแบนด์วิดท์และความหน่วง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนด SLA ของการใช้งานที่แตกต่างกัน ลดโปรโตรคอลเครือข่าย และอำนวยความสะดวกด้าน O&M โดยปัจจุบันมีการนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์แล้วมากกว่า 20 กรณีทั่วโลก
          3. การปฏิวัติวงการแบตเตอรี: อุปกรณ์จ่ายไฟสำหรับศูนย์ข้อมูลได้เข้าสู่ยุคของลิเธียม จากเดิมที่เป็นแบตเตอรีแบบตะกั่วกรด โดย Huawei SmartLi UPS ผสานเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิก ดิจิทัล และอินเทลลิเจนซ์เข้าด้วยกันอย่างไม่มีใครเคยทำมาก่อน เพื่อยืดอายุแบตเตอรีให้สามารถชาร์จได้ถึง 5000 ครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานยาวนาน 10-15 ปี จึงช่วยลด TCO ของลูกค้าลงได้อย่างมาก อีกทั้งทำให้การจัดการระบบพลังงานของศูนย์ข้อมูลเป็นระบบดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ขณะที่อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลรุ่นใหม่ของหัวเว่ยอย่าง OceanStor Dorado เป็นระบบ all-flash ซึ่งเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมในแง่ของ IOPS ที่ระดับ 20 ล้าน และรักษาความหน่วงคงที่ที่ต่ำกว่า 0.1ms ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถปลดล็อกศักยภาพจากข้อมูล

          กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะหลอมรวมเทคโนโลยีใหม่ ๆ หลากหลายประเภท และใช้การเชื่อมต่อ การประมวลผล แพลตฟอร์ม และระบบนิเวศรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับโลกอัจฉริยะ พร้อมขับเคลื่อนความสำเร็จของลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ปัจจุบัน เมืองต่าง ๆ มากกว่า 700 เมืองทั่วโลก และบริษัท 228 แห่งในทำเนียบ Fortune Global 500 ซึ่งรวมถึง 58 บริษัทใน 100 อันดับแรก ต่างเลือกหัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานประชุม Huawei Industrial Digital Transformation Conference ได้ที่ https://e.huawei.com/topic/mwc2020/en/


East Japan Railway Co. to Open JAPAN RAIL CAFE at Tokyo Station as Site Where Foreign Visitors Interact with One Another

In the news release, " East Japan Railway Co. to Open JAPAN RAIL CAFE at Tokyo Station as Site Where Foreign Visitors Interact with One Another" issued on 26-Feb-2020 by East Japan Railway Company over news agencies, we are advised by the company that URL of JAPAN RAIL CAFE, http://jreast.a1.multi-site.info/e/japanrailcafe/tokyo/website was incorrect. The correct URL is as follows: https://www.jreast.co.jp/e/japanrailcafe/tokyo/

The complete, corrected release follows:

East Japan Railway Co. (JR East) will open "JAPAN RAIL CAFE" at Tokyo Station on March 5, 2020, as a site where visitors from overseas can interact with one another and gather seasonal travel information on Japan.

JAPAN RAIL CAFE will help visitors share the seasonal charms of Japan as ways of enjoying trips are being increasingly diversified. To that end, the cafe will provide inbound tourists with up-to-date information "only now" and "for yourselves only" on various areas of Japan, which cannot be obtained from guidebooks or online, as well as travel support in one-stop service.

Concept
"Talk about trips, meet new friends"
JAPAN RAIL CAFE will help foreign travelers interact with one another and talk about areas they should visit now as well as the charms of their hometowns, thereby exchanging hints about trips in Japan. The cafe will be a hub for trips in Japan where visitors inspire one another about their trips and meet other travelers.

Support for inbound tourists
JR East will establish a tourism information and travel consultation counter at JAPAN RAIL CAFE to propose specific travel plans in Japan in conjunction with tourism promotion campaigns underway in various parts of the country. Visitors can exchange their vouchers for Japan Rail Pass and other specially planned tickets for visitors from overseas as well as selling JR tickets and "Welcome Suica" IC cards for inbound tourists.

Sales of food, drinks, etc.
Also, on sale at the cafe will be seasonal Japanese food and drinks, "ekiben" box lunches, and special food products made exclusively for the cafe under the supervision of Japanese tea producer-dealer "Senchado Tokyo." Moreover, the cafe will advise visitors on how to enjoy Japanese tea during each meal.

The cafe will strive to help visitors enjoy Japan's cuisine culture, share their experiences with other travelers, and learn about food cultures in various regions through their communication with staffers.

Provision of travel information using large screen
A large 140-inch screen will be installed to allow visitors to have virtual experiences of travel in Japan in conjunction with tourism promotion campaigns underway in various parts of Japan. Visitors can also use digital signage content "Wall SHOP," which utilizes the fruits of internet research by the Rakuten group, to enjoy searching for travel information. Therefore, visitors to JAPAN RAIL CAFE can enjoy virtual trips they cannot experience elsewhere.

Furthermore, various video programs from "japan-guide.com" will be shown to provide visitors with up-to-date information on various travel destinations in Japan, which changes from season to season, through exciting footage, thereby giving them tips about where they should visit now.

For more details, visit the JAPAN RAIL CAFE website:
https://www.jreast.co.jp/e/japanrailcafe/tokyo/

Source: East Japan Railway Company

AsiaNet 83087

Liquibox ซื้อกิจการ DS Smith Plastics เสร็จสมบูรณ์แล้ว

Liquibox ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจาก Olympus Partners ได้เข้าซื้อธุรกิจพลาสติกของบริษัท DS Smith plc เสร็จสมบูรณ์แล้ว การซื้อกิจการครั้งนี้ครอบคลุมธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบแข็งและแบบยืดหยุ่น และเมื่อผนวกรวมกันแล้ว บริษัทจะมีโรงงานผลิตรวม 35 แห่ง และมีพนักงานทั่วโลกเกือบ 3,000 คน

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นและธุรกิจ Worldwide Dispensers จะผนวกรวมเป็นแบรนด์ Liquibox ขณะเดียวกัน การรวมทีมบริหารที่แข็งแกร่งและแรงงานที่มีทักษะสูงเข้าด้วยกันจะช่วยให้บริษัทบรรลุวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกันภายใต้แนวคิด One Liquibox ทั้งนี้ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านบรรจุภัณฑ์และฝาปิด Liquibox จะทุ่มเทให้บริการลูกค้าผ่านพันธกิจด้านคุณภาพ ความยั่งยืน ความร่วมมือ และนวัตกรรม

การเข้าซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นของ DS Smith ถือเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในการขยายธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับกาแฟ ชา น้ำดื่ม และของเหลวปลอดเชื้อ นอกจากนี้ ธุรกิจ Worldwide Dispensers ที่เน้นผลิตฝาปิดบรรจุภัณฑ์ตามสั่ง ยังผลักดันให้บริษัทเป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีฝาปิดบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น

ในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบแข็ง ได้แก่ บรรจุภัณฑ์แบบอัดขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์แบบฉีดขึ้นรูป และบรรจุภัณฑ์โฟม จะถูกแบ่งเป็นสามธุรกิจภายใต้แบรนด์ใหม่ ได้แก่ Corplex, DW Reusables และ Engineered Foam Products โดยแต่ละธุรกิจพร้อมที่จะทำตามยุทธศาสตร์ใหม่ภายใต้โครงสร้างธุรกิจใหม่

“เรายินดีที่ซื้อกิจการครั้งสำคัญเสร็จเรียบร้อย และขอต้อนรับพนักงานของ DS Smith Plastics สู่ทีมของเรา” Ken Swanson ซีอีโอของ Liquibox กล่าว “โครงสร้างและอัตลักษณ์แบรนด์ใหม่ของธุรกิจเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์และพันธกิจของเราในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน อุปกรณ์ขึ้นรูปชั้นเยี่ยมของเรา พร้อมทั้งความก้าวหน้าด้านวัสดุและการออกแบบ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของเราเป็นอย่างยิ่ง เราตื่นเต้นที่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แบบฟิล์ม ถุง และฝาปิดที่มีความหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งนวัตกรรมฟิลเลอร์ชั้นเยี่ยมของเรา และการเข้าถึงตลาดทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้น”

Manu Bettegowda หุ้นส่วนบริษัท Olympus Partners กล่าวเสริมว่า “Liquibox เป็นธุรกิจลงทุนหลักของ Olympus Partners และการซื้อกิจการ DS Smith Plastics ก็เป็นก้าวสำคัญในการบรรลุแผนระยะยาวของเรา โดยเราจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจนี้เพื่อส่งเสริมยุทธศาสตร์การเติบโตของเราต่อไป”

เกี่ยวกับ Liquibox

Liquibox เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของเหลวแบบยืดหยุ่นและฝาปิดมานาน 60 ปี ปัจจุบัน Liquibox กำลังขับเคลื่อนยุคใหม่ของการดำเนินงานด้วยความยั่งยืน ด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่ลดคุณภาพ เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ปกป้องทั้งผลิตภัณฑ์และโลกของเรา Liquibox มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย และได้รับเงินลงทุนจาก Olympus Partners โดยมีโรงงานผลิต 23 แห่งทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ liquibox.com

เกี่ยวกับ Olympus Partners

Olympus Partners ก่อตั้งเมื่อปี 2531 โดยเป็นบริษัทไพรเวทอิควิตี้ที่มุ่งสร้างทุนเรือนหุ้นสำหรับการซื้อกิจการในตลาดระดับกลาง และสำหรับบริษัทที่ต้องการทุนในการขยายกิจการ Olympus เป็นผู้ลงทุนระยะยาวในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น บริการด้านธุรกิจ บริการด้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค บริการด้านสุขภาพ บริการด้านการเงิน บริการด้านอุตสาหกรรม และการผลิต บริษัทบริหารจัดการเงินทุนกว่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ ในนามของกองทุนบำเหน็จบำนาญของเอกชน กองทุนเงินสะสม และโครงการเกษียณอายุของรัฐบาล

ที่ปรึกษา

Barclays เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ Liquibox ขณะที่ Kirkland & Ellis LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย

สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ

Paul Kase

โทร. +1 (804) 433-3834

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1096462/Liquibox_Logo.jpg

Liquibox Completes Acquisition of DS Smith Plastics

Liquibox, a portfolio company of Olympus Partners, has completed the acquisition of DS Smith plc's Plastics Division. The acquired division includes both rigid and flexible packaging businesses. The combined companies will have 35 manufacturing facilities and a global workforce of nearly 3,000 employees.

The acquired division's flexible packaging and Worldwide Dispensers businesses will be consolidated into the Liquibox brand. The consolidation brings together two strong management teams and skilled workforces to help the company realize a shared vision and purpose – One Liquibox. As a global leader in liquid packaging and dispensing, Liquibox will be dedicated to servicing customers through a commitment to quality, sustainability, partnership and innovation.

The acquisition of DS Smith's flexible packaging businesses provides a strong platform to further expand Liquibox's leading value proposition into emerging growth markets, such as coffee, tea, water and aseptic packaging. In addition, through its Worldwide Dispensers brand of custom engineered fitments, the company will now assume a leading position globally in dispensing technologies for both rigid and flexible packaging. 

The acquired division's rigid businesses for extruded products, injection molded products and foam products will be split into three newly branded and independently operated businesses, which will operate respectively as Corplex, DW Reusables and Engineered Foam Products. Each of these business units stands ready to execute on new growth plans under the new ownership structure.

"We're excited to complete this transformational acquisition and welcome the DS Smith Plastics employees to our team," said Ken Swanson, CEO of Liquibox. "The new structure and brand identity of these businesses further supports our strategy and commitment to lead the way with sustainable packaging solutions. Our best-in-class converting and molding equipment, coupled with further advancements in materials and design will be a big benefit to our customers. We're excited to unlock additional value through an expanded range of film, bag and dispensing fitments, our best-in-class filler solutions and an expanded global reach."

Manu Bettegowda, Partner at Olympus Partners added: "Liquibox is a core holding for Olympus Partners. The DS Smith Plastics acquisition is an important step in achieving our longer-term plan, and we plan to continue to invest in the business in support of its growth strategy."

About Liquibox

Liquibox has led the way in flexible liquid packaging and dispensing innovation for 60 years. Today, Liquibox is advancing a new era of sustainable performance, with an intensified commitment to minimizing environmental impact without sacrificing quality to deliver solutions that protect products and the world we live in. Headquartered in Richmond, Virginia, Liquibox is a portfolio company of Olympus Partners with facilities in 23 locations around the world. More at liquibox.com.

About Olympus Partners

Founded in 1988, Olympus Partners is a private equity firm focused on providing equity capital for middle market management buyouts and for companies needing capital for expansion. Olympus is an active, long-term investor across a broad range of industries including business services, food services, consumer products, healthcare services, financial services, industrial services, and manufacturing. Olympus manages in excess of $8.5 billion mainly on behalf of corporate pension funds, endowment funds and state-sponsored retirement programs.

Advisors

Barclays served as financial advisor to Liquibox, and Kirkland & Ellis LLP served as legal counsel.

Media contact:

Paul Kase

+1 (804) 433-3834

Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1096462/Liquibox_Logo.jpg

XCMG Ensures Delivery of Hundreds of Products Despite COVID-19 Outbreak

XCMG shipped multiple orders to overseas customers on February 24 from Xuzhou, China. The fleet of XCMG products totalling hundreds of sets of equipment included cranes, excavators, loaders, road graders and rollers, dump trucks will travel by sea to their destinations, arriving on time in the next few months.

"XCMG has coordinated our entire supply chain to ensure production across all factories. So far, there has been no delay in the delivery of orders since the outbreak of the virus," said Liu Jiansen, Assistant President of XCMG and General Manager of XCMG Import and Export Company.

XCMG resumed operations officially on February 10 and has supported its suppliers to restart the manufacture of main engines and parts under safe and effective conditions. As of February 22, 90% of XCMG's major suppliers have resumed work.

For suppliers outside Jiangsu province, XCMG coordinated with local governments and various production and logistic departments to ensure timely transportation while adhering to strict epidemic prevention and control protocols. XCMG's supply chain platform has assisted 265 trade and storage, manufacturing, and logistics companies in Xuzhou.

On February 13, XCMG issued the first outbreak control loan in Jiangsu Province, raising over 300 million yuan (USD42.79 million) to support small, privately owned enterprises in its supply chain.

The XCMG Finance Company also opened a green channel for outbreak-related transactions. As of February 19, the company has provided 466 million yuan (USD 66.46 million) worth of special credit support for member companies and industry chain partners.

Faced with the sudden challenges of the Covid-19 outbreak, XCMG employees abroad not only strived to expand overseas markets and win orders but also brought medical supplies including surgical masks and protective suits to support work resumption and ensure timely delivery of orders.

With an established global sales and service network comprised of more than 300 dealers, 40 overseas offices and 40 major spare parts centers, XCMG, as a leading exporter of construction machinery industry, has been supporting major construction projects worldwide with the common aspiration of making the world better for everyone.

About XCMG

XCMG is a multinational heavy machinery manufacturing company with a history of 77 years. It currently ranks sixth in the world's construction machinery industry. The company exports to more than 183 countries and regions around the world.

www.xcmg.com, Facebook, Twitter, YouTube, LinkedIn, Instagram

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200228/2733721-1

Caption: XCMG Ensures Delivery of Hundreds of Products Despite COVID-19 Outbreak.

Kyoungsung Industry คว้ารางวัลเอสเอ็มอีพัฒนาพนักงานดีเด่น

 ปูซาน เกาหลีใต้--28 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

Kyoungsung Industry ผู้นำตลาดโลจิสติกส์ ได้รับรางวัล SME with Outstanding Employee Development Programs หรือ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีโครงการพัฒนาพนักงานดีเด่น จากกระทรวงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของเกาหลีใต้ ร่วมกับหน่วยงาน Korea SMEs and Startups Agency (KOSME) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

รางวัล SME with Outstanding Employee Development Programs เป็นโครงการที่มุ่งสนับสนุนและพัฒนาบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรบุคคลเพื่อเพิ่มการผลิตและผลกำไร ซึ่งจะกลับคืนสู่พนักงาน อันจะเป็นการส่งเสริมให้บริษัทเติบโตไปพร้อมกับพนักงาน โดย Kyoungsung Industry ได้รับรางวัลดังกล่าว เนื่องจาก Anypack ซึ่งเป็นแบรนด์อุปกรณ์บรรจุภัณฑ์ของบริษัท ประสบความสำเร็จในการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งได้สูงสุด

Anypack เป็นผู้นำอุตสาหกรรมของเกาหลีในด้านระบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโลจิสติกส์และการขนส่ง ด้วยคุณภาพการบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเลิศ Anypack จึงเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของ Kyoungsung Industry ในตลาด

บริการบรรจุภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Anypack แบ่งออกเป็น RSC, SPC และ SPT

โดยบรรจุภัณฑ์ RSC สามาถปรับเปลี่ยนรูปแบบโลจิสติกส์ตามคำขอของลูกค้าและตามลักษณะของสินค้า เนื่องด้วยบรรจุภัณฑ์ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า จึงมีความทนทานสูง และสามาถรถป้องกันการกัดกร่อนจากสภาพเปียกชื้น ทั้งยังสามารถพับเก็บได้ง่ายและลดต้นทุนการขนส่งสำหรับการส่งคืน

ขณะที่บรรจุภัณฑ์ SPC เหมาะสำหรับสินค้าขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ตัวบรรจุภัณฑ์ทำจากวัสดุกระดาษแข็ง จึงสามารถปกป้องสินค้า รวมทั้งรักษาความสมดุลของน้ำหนักขณะวางซ้อนกัน

ส่วนบรรจุภัณฑ์ SPT เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าขนาดเล็กในปริมาณมาก เนื่องจากสามารถใช้พื้นที่ในการจัดวางสินค้าได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่ง นอกจากนี้ยังใช้เรซินสังเคราะห์เพื่อสะท้อนโครงสร้างผลิตภัณฑ์และคุณลักษณะบนกล่อง กล่องถูกผลิตขึ้นเพื่อให้สามารถใช้พื้นที่จัดวางสินค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ด้วยดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม บรรจุภัณฑ์ SPT ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งด้วยการเพิ่มพื้นที่เก็บสินค้าอีกด้วย

เจ้าหน้าที่จาก Kyoungsung Industry ระบุว่า "บริการบรรจุภัณฑ์แต่ละบริการต่างก็มีจุดเด่น เช่น ความทนทาน ต้นทุนการขนส่งที่ลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ จุดแข็งของเราคือ เราสามารถปรับเปลี่ยนตามคำขอของลูกค้าได้"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์อุปกรณ์บรรจุภัณฑ์ Anypack ของ Kyoungsung Industry ได้ที่เว็บไซต์ทางการ

รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200226/2731125-1

คำบรรยายภาพ: Kyoungsung Industry คว้ารางวัลเอสเอ็มอีพัฒนาพนักงานดีเด่น

Kyoungsung Industry คว้ารางวัล "Youth-Friendly Small Giants" จากกระทรวงแรงงานเกาหลีใต้

ปูซาน เกาหลีใต้--28 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

Kyoungsung Industry (ซีอีโอ Kim Kyoung Jo) บริษัทด้านสารขัดถูชั้นนำของเกาหลีที่กำลังขยายตลาดในต่างประเทศ ได้รับรางวัล "Youth-Friendly Small Giants" จากกระทรวงแรงงานและการจ้างงานของเกาหลีใต้ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความทนทานสูง

กระทรวงแรงงานและการจ้างงานเกาหลีใต้มอบรางวัล "Youth-friendly Small Giants" ให้แก่บริษัทที่ทำผลงานดีเด่นใน 3 ด้านที่คนวัยหนุ่มสาวต้องการมากที่สุดในสถานที่ทำงาน ได้แก่ ความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ความมั่นคงในอาชีพ และค่าจ้าง

Kyoungsung Industry ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 และผลิตสารขัดถูหลายประเภทที่ใช้ในการผลิตยานพาหนะ ไฟฟ้า เครื่องบิน รถไฟและพลังงานนิวเคลียร์

โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์หลักของ Kyoungsung อย่าง 'Cut Wire' ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่มอบความทนทานสูง อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพื้นผิวด้วยเม็ดโลหะที่มีความหนาแน่นและอนุภาคได้มาตรฐาน โดยผลิตภัณฑ์ Cut Wire ผลิตมาจากเหล็กลวดคาร์บอนสูงสำหรับการยิงเม็ดโลหะ ไม่มีขอบที่คม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเกิดฝุ่นน้อยที่สุดในระหว่างการผลิต

ขณะที่ 'Shot' กำลังได้รับความสนใจเป็นพิเศษเช่นกัน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ตัวนี้สามารถเพิ่มความทนทานและความแม่นยำ ด้วยการเสริมการต้านความล้า (fatigue strength) และอายุการใช้งาน ทั้งนี้ เนื่องจากการดูแลรักษาพื้นผิวมีความสำคัญเพิ่มขึ้น จึงทำให้ความต้องการผงขัดที่มีอนูขนาดเล็กในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

นายคิม ซีอีโอของ Kyoungsung Industry กล่าวว่า "Kyoungsung Industry ให้ความสำคัญอันดับแรกกับการลงทุนด้านการพัฒนาและการผลิตวัสดุรักษาพื้นผิวแบบใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อยุคของการแข่งขันทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรานำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และเราสัญญาว่าจะเดินหน้าผลิตสารขัดถูที่มีคุณภาพสูงสำหรับตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ แก่สาธารณะ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีหลัก ๆ เพื่อความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม"

กำไรจากการขายของ Kyoungsung Industry กว่า 90% มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งพันธมิตรรายสำคัญของบริษัท ได้แก่ Hyundai, Kia และ Daelim ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สารขัดถูของ Kyoungsung เช่น Stainless Shot, Cut Wire, Glass Beads, Aluminium Oxide & Garnet, Carbon Steel Shot & Grit ได้บนเว็บไซต์ทางการ

รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200226/2731123-1

คำบรรยายภาพ: Kyoungsung Industry คว้ารางวัล "Youth-Friendly Small Giants" จากกระทรวงแรงงานเกาหลีใต้

Shadow Arena เปิดทดลอง Beta Test ทั่วโลก

กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้--28 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์

บริษัท Pearl Abyss ประกาศว่าเกมใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Shadow Arena ได้เปิดให้ทดลองเล่นในช่วง beta test พร้อมกันทั่วโลกผ่านสตรีมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทดลองเล่นในครั้งนี้จะดำเนินการไปจนถึงวันที่ 8 มีนาคม พร้อมภาษาที่รองรับภายในเกมมากถึง 14 ภาษา รวมถึงภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย, ภาษาอินโดนีเซีย, ภาษาจีน (ตัวเต็ม), ภาษาจีน (ตัวย่อ) และ ภาษาตุรกี

Shadow Arena คือสนามรบอันดุเดือดที่ผู้เล่นจำนวน 40 คน มาเข้าร่วมเพื่อชิงชัยในการเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ตัวละครของท่านสามารถแข็งแกร่งขึ้นผ่านการล่ามอนสเตอร์ เพื่อเก็บและอัพเกรดไอเทม หรือรับบัฟต่างๆ ที่จะนำท่านไปคว้าชัยชนะ มีตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากถึง 9 ตัวให้เลือกเล่นได้ตามความต้องการ ด้วยความสำเร็จจากช่วงทดลองเล่นในประเทศเกาหลีใต้และรัสเซีย ทำให้ทางผู้พัฒนาตัดสินใจเพิ่มระบบต่างๆ และเนื้อหาใหม่ๆ เข้าไปในการทดลองเล่นในครั้งนี้

เริ่มต้นที่ บาดัลล์ แห่งตะวันทอง เขาคือตัวละครใหม่ล่าสุดที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน beta test ครั้งนี้ บาดัลล์ คือนักรบหนุ่มไฟแรงที่ขึ้นชื่อเรื่องทักษะคอมโบที่ต่อเนื่อง และความเร็วในการโจมตี ผู้เล่นที่ชื่นชอบในการใช้ทักษะที่แพรวพราวและการโจมตีที่หนักหน่วง คงจะถูกใจเขาคนนี้เป็นแน่

นอกจากนี้ beta test ในครั้งนี้ยังเสนอสนามรบทีม ที่ผู้เล่นสามารถจับคู่กับเพื่อนแล้วสร้างทีมของตนในการระดมหากลยุทธชั้นเลิศ และยังมีสนามรบฝึกหัด สถานที่สำหรับฝึกฝีมือและทำความคุ้นเคยกับระบบพื้นฐานของเกม ท่านสามารถจำลองสงครามขึ้นมากับเพื่อนๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้

การจับคู่ตามระดับของผู้เล่น ที่ท่านสามารถเข้าร่วมต่อสู้กับผู้เล่นอื่นที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน ไอเทมปิดผนึก ระบบที่อนุญาตให้ผู้เล่นสามารถทำการปิดผนึกไอเทมหนึ่งอย่างที่ได้รับจากเกมก่อนหน้า เพื่อนำไปใช้ในเกมถัดไป และผู้เล่นที่กำจัดมอนสเตอร์ได้ จะได้รับบัฟที่สามารถนำไปใช้งานได้ที่แท่นบูชาโบราณ เพื่อรับความสามารถพิเศษ

ตั้งแต่วันนี้ ท่านสามารถสัมผัสกับประสบการณ์การเล่นเกมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นได้ที่Shadow Arena“เกมต่อสู้อันดุเดือด” ที่มีพื้นฐานมาจากเกมประเภท MOBA, battle royale และ MMO ผู้เล่นสามารถเพลิดเพลินไปกับทักษะคอมโบที่สวยงามสมจริงภายในเกมตลอดช่วงเวลาของ beta test เกมShadow Arenaมีแผนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2563 โดยจะเริ่มต้นที่ PC ก่อน และตามด้วยคอนโซล

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shadow Arena ได้ที่ เว็บไซต์ทางการ, Discord, Facebook, YouTube, และ Twitter

[ภาษาที่รับรอง]

เกาหลี, อังกฤษ, รัสเซีย, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, ญี่ปุ่น, โปแลนด์, โปรตุเกส, ภาษาจีน (ตัวเต็ม), ภาษาจีน (ตัวย่อ), ตุรกี, อินโดนีเซีย และ ไทย

[ตารางเวลาช่วง Beta Test]

เซิร์ฟเวอร์เอเชีย : 14:00 - 23:59 (KST)

เซิร์ฟเวอร์อเมริกาเหนือ : 13:00 - 22:59 (PST), 16:00 - 01:59 (EST)

เซิร์ฟเวอร์ยุโรป : 14:00 - 23:59 (CET)

เซิร์ฟเวอร์รัสเซีย : 14:00 - 23:59 (MSK)

รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200227/2732717-1-b

คำบรรยายภาพ - Shadow Arena เปิดทดลอง Beta Test ทั่วโลก

ColorTokens Named Gold Winner for Micro-segmentation at Cybersecurity Excellence Awards

SANTA CLARA California--28 Feb--PRNewswire

ColorTokens Inc., a leader in new-generation, zero-trust cloud security, today announced that it was honored in five categories at the 2020 Cybersecurity Excellence Awards. The company took home the Gold Award for its Micro-segmentation product and earned four Silver Awards for excellence in Cloud Security, Zero Trust Security, Endpoint Security, and Application Security.

Each year, the Cybersecurity Excellence Awards evaluate hundreds of products, companies, and services from the world's leading cybersecurity companies. Winners are determined based on leadership, excellence, and results in cybersecurity.

"Winning the battle against modern cyberattacks requires a comprehensive, proactive approach to security. That's why we've built products that not only visualize and detect known and zero-day threats, but ensure customers stay ahead of them. We're thrilled that the Cybersecurity Excellence Awards have delivered such a strong endorsement of our solutions," said Rajesh Khazanchi, Co-Founder and Executive Vice President of ColorTokens.

The Cybersecurity Excellence Awards are produced by Cybersecurity Insiders in partnership with the Information Security Community on LinkedIn, tapping into the vast experience of over 400,000 cybersecurity professionals to honor the industry's best. ColorTokens' success at the Cybersecurity Excellence Awards comes on the heels of the company taking home an event-best six awards at RSAC 2019, including Next Gen Security Company of the Year.

The ColorTokens Xtended ZeroTrust Platform protects from the inside out with unified visibility, micro-segmentation, zero-trust network access, and cloud workload and endpoint protection. Built 100% in the cloud, the ColorTokens Xtended ZeroTrust platform provides a simple and scalable new-generation security solution that's helping enterprises automate and secure their cloud migration, achieve faster time-to-compliance for PCI, HIPAA, and GDPR, prevent breaches across endpoints, networks, and multi-clouds—all while making zero trust security and networking a reality.

About ColorTokens

ColorTokens Inc., a leader in proactive security, provides a modern and new generation of security that empowers global enterprises to single-handedly secure cloud workloads, dynamic applications, endpoints, and users. Through its award-winning cloud-delivered solution, ColorTokens enables security and compliance professionals to leverage real-time visibility, workload protection, endpoint protection, application security, and zero-trust network access—all while seamlessly integrating with existing security tools. For more information, please visit colortokens.com

Media Contact:

Rajesh Khazanchi

rajesh.khazanchi@colortokens.com


Shadow Arena Now Available for Global Beta Test

SEOUL South Korea--28 Feb--PRNewswire

Pearl Abyss announced that its upcoming title, Shadow Arena, is now available for a global beta test. Available on Steam, the beta will run until March 8 with support in 14 languages.

Shadow Arena is an action battle royale that pits 40 players against each other in a ruthless fight to become the sole survivor. Players can choose from nine Heroes, each with their own unique fighting styles. While battling fiercely against opponents, players must also slay monsters to collect loot in order to upgrade their gear and gain buffs to become the winner. After successful Beta tests in Korea and Russia, Shadow Arena now features a number of new systems and content to offer an improved gameplay experience.

Badal the Golden is the latest Hero to join the roster of Heroes and offers a new combat style that players can enjoy. He is a fierce melee fighter with the ability to throw lightning-fast combos at his opponents. This new Hero is recommended for those looking to defeat their opponents with stylish, bare-fist combat and powerful combos.

In addition, the global beta offers "Team Mode" where players can team up in pairs and combine their skills to gain a tactical edge in combat. "Practice Mode" allows players to learn the basics of the game and test out new tactics. "Private Matches" can also be hosted with select groups of people for a customized gaming experience.

Matchmaking has also been introduced in this beta, which is a purely skills-based system that advances players to higher tiers based on their performance. Item sealing is also available, allowing players who obtain items from a previous match to seal one kind of item and bring it into the next match. Defeating monsters can also grant players special buffs that can be activated at the Ancient Altar to give them a further advantage on the battlefield.

Shadow Arena will offer a game experience that draws from the MOBA, Battle Royale, and MMO genres. Players can explore a range of distinctive skills and abundant features that the game is offering during the beta period. Shadow Arena will be released on PC during the first half of 2020 and is expected to launch on console at a later date.

For more information on Shadow Arena, visit the official website.

Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20200227/2732717-1-a

Caption - Shadow Arena Now Available for Global Beta Test

“โกลบ เทเลคอม” แถลงความสำเร็จหลังทดสอบวิดีโอคอลผ่านเครือข่าย 5G กับ “เอไอเอส”

มะนิลา, ฟิลิปปินส์--27 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกมาถึงฟิลิปปินส์แล้วในที่สุด เมื่อบริษัทโกลบ เทเลคอม (Globe Telecom) สามารถทำการติดต่อผ่านวิดีโอคอลบนเครือข่าย 5G ได้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ของฟิลิปปินส์ กับบริษัทเอไอเอสของไทยผ่านเครือข่ายเคลื่อนที่ 5G

          การสนทนาผ่านวิดีโอคอลดังกล่าวใช้เวลานานกว่า 3 นาที และเกิดขึ้นหลังจากที่โกลบได้รับสายทางเทคนิคจากเอไอเอส เมื่อเอไอเอสทำการทดสอบเครือข่าย 5G ของตนเองในกรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

          อลัน การ์ชิโตเรนา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีและวางแผนบริการของโกลบ เป็นผู้รับสายจากนายฮุย เวง ชอง กรรมการผู้อำนวยการเอไอเอส ขณะที่เอไอเอสได้ทำการทดสอบวิดีโอคอลบนเครือข่าย 5G เป็นครั้งแรก ทั้งนี้ เอไอเอสเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระดับชั้นนำของไทย รวมทั้งเป็นพันธมิตรระดับท้องถิ่นและภูมิภาคที่สำคัญของบริษัทสิงเทลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

          การติดต่อสื่อสารครั้งนี้เป็นไปอย่างลื่นไหลโดยไม่มีอาการหน่วง และนำมาซึ่งประสบการณ์การใช้มือถือยุคใหม่สำหรับทั้งโกลบและเอไอเอส

          คุณฮุย กล่าวหลังจากทำวิดีโอคอลว่า "วิดีโอคอลครั้งนี้ลื่นไหลดีมาก ยอดเยี่ยมจริง ๆ ผมขอชื่นชมความสนับสนุนจากทีมงานของโกลบ"

          เอไอเอสได้ครองคลื่น 5G ใหม่อย่างเป็นทางการในวันเดียวกับที่ได้ทดสอบวิดีโอคอลถึงโกลบ ทั้งนี้ เครือข่าย 5G นับเป็นเทคโนโลยีที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง ซึ่งจะเปิดโอกาสสู่คุณสมบัติเด่นใหม่ ๆ ที่น่าทึ่ง ปัจจุบันบรรดาบริษัทเทเลคอมชั้นนำทั่วโลกต่างก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี 5G ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์การใช้โทรศัพท์มือถือที่ดีขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น

          คุณการ์ชิโตเรนา เปิดเผยว่า นี่เป็นหลักฐานชัดเจนที่พิสูจน์ให้เห็นความพร้อมรับเครือข่ายมือถือ 5G ของโกลบ และเสริมว่า "เทคโนโลยีนี้จะส่งมอบยุคใหม่แห่งการใช้ดิจิทัลสำหรับ AR, VR, Internet of Things (IoT), การใช้ในทางอุตสาหกรรม และอีกหลายอย่างในฟิลิปปินส์"

          โกลบได้เปิดตัวบริการเชื่อมต่อ 5G Fixed Wireless เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เพื่อทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศลำดับที่ 3 ในเอเชียที่มีเทคโนโลยี 5G ขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นสองประเทศแรกในเอเชียที่เปิดตัวเทคโนโลยี 5G ให้แก่ผู้บริโภค

          ล่าสุด โกลบเพิ่งเปิดตัว Huawei Mate 30 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่สามารถใช้เทคโนโลยี 5G ตัวแรกในฟิลิปปินส์ และบริษัทตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนพื้นที่ต่าง ๆ ภายในย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) ชั้นนำให้เป็นพื้นที่ที่สามารถใช้เครือข่าย 5G ได้ภายในปีนี้

          ในรายงานประจำปี 2020 "We Are Social" ที่เผยแพร่โดย Hootsuite พบว่า อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในฟิลิปปินส์อยู่ที่ 67% ซึ่งสูงพอสมควรเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยข้อมูลล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่า การเข้าถึงและการใช้อินเทอร์เน็ตในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          รายงานดังกล่าวยังพบว่า ชาวฟิลิปปินส์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอินเทอร์เน็ตทำสถิติมากที่สุดในโลก โดยใช้เวลาเฉลี่ย 9 ชั่วโมง 45 นาทีต่อวัน และฟิลิปปินส์ยังมีสถิติการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยใช้โทรศัพท์มือถือด้วยเวลาเฉลี่ยต่อวันนานที่สุด โดยใช้เวลา 5 ชั่วโมง 11 นาทีเป็นอย่างต่ำ

          เกี่ยวกับโกลบ เทเลคอม

          โกลบเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ให้บริการแบบครบวงจรระดับชั้นนำในฟิลิปปินส์ และเป็นบริษัทจดทะเบียนมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ โดยมีสัญลักษณ์หุ้นคือ GLO บริษัทตอบสนองความต้องการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีของลูกค้าและภาคธุรกิจ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมด อาทิ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์พื้นฐาน บรอดแบนด์ การเชื่อมต่อข้อมูล อินเทอร์เน็ต และบริการแบบมีการจัดการ บริษัทมีความสนใจอย่างมากในเทคโนโลยีทางการเงิน โซลูชันการตลาดดิจิทัล การระดมทุนเพื่อร่วมลงทุนสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ และเฮลธ์แคร์แบบเสมือนจริง และในปี 2019 โกลบได้ลงนามเป็นสมาชิกข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) โดยมีพันธสัญญาที่จะดำเนินตามหลักการสร้างความยั่งยืนในระดับสากล นักลงทุนรายใหญ่ของโกลบ ได้แก่ อยาลา คอร์ปอเรชัน และสิงเทล ซึ่งเป็นผู้นำในวงการที่เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในภูมิภาค

          ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.globe.com.ph รวมทั้งติดตาม @enjoyglobe ได้ทาง Facebook, Twitter, Instagram และ YouTube

UNISOC Launches New-Gen 5G SoC T7520

SHANGHAI--27 Feb--PRNewswire/InfoQuest

          UNISOC, a leading global supplier of mobile communication and IoT chipsets, today officially launched its new-generation 5G SoC mobile platform - UNISOC T7520. Using cutting-edge process technology, T7520 enables an optimized 5G experience with substantially enhanced AI computing and multimedia imaging processing capabilities while lowering power consumption.

          T7520 is UNISOC's second-generation 5G smartphone platform. Built on a 6nm EUV process technology and empowered by some of the latest design techniques, it offers substantially enhanced performance at a lower level of power consumption than ever.

          T7520 has four Arm Cortex-A76 cores and four Arm Cortex-A55 cores with an Arm Mali-G57 based GPU, providing an incredible streaming and gaming experience at 5G speeds.

          T7520, developed on UNISOC's Makalu 5G platform, integrates the world's first 5G modem to support coverage enhancement for any application scenario(1). By allowing carriers to deploy 5G on their existing 4G spectrums, T7520 expands the application of UNISOC's patented large-bandwidth dynamic spectrum sharing technology, maximizing the utilization of existing resources to facilitate cooperation and sharing for a cheaper and faster deployment of 5G. In particular, T7520 is optimized for use on 500KM/h high-speed railway, providing passengers with a premium 5G experience.

          "T7520 is built upon some of the world's leading technologies, giving it comprehensively enhanced performance at a new low of power consumption," said Steve Chu, CEO of UNISOC. "Its open and innovative architecture demonstrates our commitment to joining hands with partners to provide users with a superior intelligent experiences."

          UNISOC T7520 has the following key features:

          - Advanced 6nm EUV process technology: This process technology uses an extreme ultraviolet light with an extremely short wavelength of 13.5 nm which, with an accuracy close to X-ray, provides an extremely high lithographic resolution and achieves a better balance between cost, performance and power consumption. Compared to the previous 7nm process, the 6nm process has a 18% improvement in density of transistors, which allows more transistors to be integrated per unit area and reduces power consumption by 8%, allowing the battery to last longer.
          - New low of power consumption: T7520 adopts UNISOC's new-generation low-power consumption architecture and AI-based power regulation technology. Compared to mobile platforms which paired with a separate 5G modem, T7520 is the all-around leader in power consumption for both light-load and heavy-load scenarios and delivers a power consumption reduction of up to 35% for some data business scenarios.
          - The world's first 5G modem to support coverage enhancement for all scenarios (1): This modem supports 5G NR TDD+FDD carrier aggregation and uplink and downlink decoupling and can enhance coverage by more than 100%. UNISOC's innovative 5G super transmitter technology can increase the uplink speed by up to 60% and meet demanding scenarios such as VR and 4K/8K ultra-high-resolution live streaming. T7520 supports the Sub-6GHz band, NSA/SA dual-mode networking, and 2G through 5G networks. Under the SA mode, it provides a peak uplink speed of more than 3.25Gbps. In addition, it supports dual-SIM dual-5G and EPS Fall-back and VoNR high-resolution audio and video calls.
          - Powerful AI capabilities and limitless development potential: T7520 integrates a new-generation NPU with greatly improved performance and excellent energy efficiency. The energy efficiency (TOPS/W) increase by more than 50% compared to the previous generation product. Innovative design can better support complex AI applications in high performance, low power consumption mode.
          - Comprehensively enhanced multimedia processing capabilities: T7520 carries UNISOC's proprietary sixth-generation Vivimagic solution and second-generation FDR (Full Dynamic Range) technology, a dedicated AI accelerator, and upgraded four-core ISP architecture to provide an ultra-high resolution of 100MP and multi-camera processing capability. These, together with leading image technologies from ACUTElogic, deliver exceptional image quality of photograph and unlimited video capture capabilities.

          T7520 adopts a new-generation multicore display architecture and supports up to 120Hz of refresh rate. With omni-channel and all-format HDR rendering capabilities, Multi-screen display can support up to 4K at HDR10+ quality. This allows it to substantially improve the user experience for high-frame-rate games, 5G UHD videos and VR/VR applications.
          - Integrated financial-level security: T7520 adopts UNISOC's second-generation Integrated Secure Element solution. This solution integrates the financial level Secure Element into the SOC and provides higher security than embedded SE. It provides a 100% improvement in computing performance and supports computing-intensive security scenarios such as encrypted video calls. It also supports most of crypto algorithms and better scalability and offers a greater storage capacity capable of supporting more than 100 apps. Thanks to a high degree of integration, T7520 significantly reduces the difficulty of PCB design and also lowers the device design and manufacturing costs, providing customers with a more competitive solution.

          (Note 1) The industry's first 5G modem to at once support carrier aggregation, uplink and downlink decoupling and super uplink and achieve coverage enhancement for Sub-6GHz 5G network scenarios.

          About UNISOC

          As a core subsidiary of Tsinghua Unigroup, UNISOC is a leading fabless semiconductor company committed to R&D of core chipsets in mobile communications and IoT. Its products cover mobile chipset platforms supporting 2G/3G/4G/5G communication standards and various chipset solutions in fields including IoT, RFFE, wireless connection, AIoT, and TV. With 4,500 employees, 14 R&D centers and 7 customer support centers around the world, UNISOC is dedicated to becoming one of the world's top 3 mobile chipset suppliers in terms of global market share, the largest chipset provider for IoT and connectivity devices and the leading 5G company in China.

          For more information, please visit http://www.unisoc.com/

Stuttgart Auction House EPPLI Carries Out One of the Largest Handbag Auctions in Europe

 STUTTGART Germany--27 Feb--PRNewswire

- Since the 1990s the market volume for new and vintage luxury bags has more than doubled

- The Stuttgart auction house EPPLI has already specialised in this trend 17 years ago and is now one of the leading handbag auction houses in Europe

- Particularly rare and unique top style bags will be auctioned at the best-of auction 14th March 2020

According to a study by the Boston Consulting Group, the market for luxury fashion items is growing by about 6% per year. Record prices are regularly achieved at auctions and in second-hand shops.

According to the German industry newspaper Textilwirtschaft (2018), one woman in five already owns a luxury handbag.

EPPLI, founded in 1978, was one of the first to specialising for the upmarket segment of fashion and accessories.

In 2018, the company made international headlines by auctioning one of the world's largest collection of the most desired Hermes luxury bags.

Hermes achieved hammer prices of up to 36,000 Euro for an extremely limited it-bag "KELLY BAG 35 TEDDY," coll. 2001.

Since then the family business has systematically expanded this division.

Today, the company already employs 80 people, of which 12 of them specifically for the luxury sector search the international markets for selected items.

For the upcoming years, EPPLI aims to catch up with the New York auction house Christie's in this rapidly growing segment. Christie's is currently considered the market leader for luxury handbags in the international auction market.

On 14th of March, EPPLI will be hosting a best-of auction at Stuttgart's Konigsbau. Besides sought- after Kelly and Birkin bags by Hermes, a particularly rare SEKRE handbag and will be up for bids. From all over the world bidders will be able to participate by telephone or online at  www.eppli.com . Strong international bidders are expected again, for this special event.

- Pictures are available at AP Images ( http://www.apimages.com ) -

Photo -  https://mma.prnewswire.com/media/1095716/Eppli_Auction_SEKRE_Handbag.jpg
Photo -  https://mma.prnewswire.com/media/1095717/Eppli_Auction_Handbags_Charles_Lindbergh.jpg

Press contact:
Bianca Pop
EPPLI & EPPLI MEDIA
Marktplatz 6
70173 STUTTGART
Tel.: +49-711-997-008-141
Mobile: +49-151-52892578
 b.pop@eppli.com

PLMP Fintech's Venture Capital entity secures Fund Management licence to bring blockchain to over 10,000 SMEs in 10 years

PHNOM PENH, Cambodia--27 Feb--PRNewswire/InfoQuest

          The local investment arm of Singaporean blockchain firm PLMP Fintech, PLMP Venture Capital, has been awarded today an Asset and Fund Management licence by the Securities and Exchange Commission of Cambodia (SECC). The move is part of the company's ten-year target to incubate more than 10,000 SMEs through blockchain solutions and networking opportunities.

          "We have a diversified portfolio of technological, real estate and financial projects that are already in the works," says PLMP Fintech Co-Founder Peter Lim citing the examples of the Creatanium Smart City and the ongoing integration of Indonesia's logistics sector with the firm's own blockchain protocol.

          In the words of Kym Kee, Managing Director of PLMP Venture Capital, "The licence will open the doors to institutional and high-net-worth investment as we plan for the Creatanium Silicon Valley." With a projected value of US$5 Billion to be achieved in the span of ten years, once completed, the project would become Cambodia's first Technology Park to house SMEs and start-ups in emerging technologies such as AI, robotics and cybersecurity through blockchain.

          Asset and Fund Management is just the first step of PLMP Fintech's vision to play a major role in the development of Cambodia's SME sector. The firm is in the midst of acquiring a Specialized Bank licence to launch public, private and online services and provide business loans and micro-loans through digital collaterals. Counting on all three segments will grant the flexibility to cater for established companies and institutions while developing new products for the significant number of local entrepreneurs that are still unbanked.

          In the same framework, PLMP Venture Capital together with its partner CSME will be hosting regular events to showcase innovative SMEs from the region and give them the chance to increase their visibility in front of top industry leaders and potential investors. The two firms will be the sponsors behind this April's edition in Phnom Penh of the Startup World Cup, a global competition that will award the best project with a US$ 1,000,000 funding grant.

          For Media Enquiries, please contact: media.comms@creataniumblockchain.com

DERMALOG Fever Detection in Operation at Hanover Exhibition Grounds

The spread of coronavirus also affects the event industry. Congresses and trade fairs are postponed or even canceled worldwide for fear of a pandemic. Event organizer UKi Media & Events is using innovative technology from DERMALOG at its present trade fair in Hanover to protect its visitors.

This week, the Tire Technology Expo has opened in Hannover. More than 5,000 visitors from all over the world come to the fair to learn about new products and innovations in tire manufacturing. At the entrance, the latest technology from DERMALOG ensures greater health safety because organizer UKi Media & Events has implemented the company's new fever detection system.

At the exhibition center entrances, not only the admission ticket but also the visitors' body temperature is checked – without any additional waiting time. The DERMALOG system detects in real-time the temperature of each visitor as he passes through the entrance and sends the measured values to the control staff via screen notification. If a person is detected to have an elevated temperature, the system alarms control staff and the affected person can be sent for a health check.

DERMALOG's fever detection provides more accurate and precise results than competitive camera systems, based on the latest face recognition technology. The high fever-detection accuracy at a distance of up to 2m is one of the solution's outstanding features. The camera has a wide range of applications, for example, at major events such as trade fairs, concerts or sporting events.

The DERMALOG fever detection camera is already in use at border controls. At Don Mueang International Airport in Bangkok, the company has fully integrated its solution into the border control system of the Thai immigration authorities. Thanks to the news system, travelers entering the country can be checked for temperature during passport control.



UNISOC 5G Modem V510 Powers China Unicom's Latest 5G CPE

     UNISOC, a leading global supplier of mobile communications chipsets and IoT chipsets, today announced that its 5G Modem V510 is powering China Unicom's 5G CPE VN007 (Customer Premise Equipment). Selling for CNY 999, this 5G CPE provides high-speed connection, allowing users to access a more intelligent and connected world.

UNISOC V510

     The 5G CPE connects users' Wi-Fi LAN to mobile operators' 5G communications network, allowing both 5G and non-5G phones to access the high-speed 5G network via Wi-Fi.

     UNISOC V510 allows for a high degree of integration with low power consumption, the high-performance chip can automatically adapt to 5G NSA and SA dual-mode networking, overcoming the inability of NSA devices to access 5G in areas covered by an SA network. This is a particularly crucial feature as SA networks are set to rapidly expand in 2020, and allows more users to enjoy 5G.

     Supporting 5G bands n78/n41/n79 – UNISOC V510 allows for full basic network coverage, allowing hundreds of millions of users to enjoy a true wireless super fiber broadband experience. Beyond the home broadband and household device market, UNISOC V510's industrial-grade chip design fits a broad range of applications including corporate wireless networks, campus networks and 5G industrial IoT.

     Additional features of UNISOC V510 include support for VoNR, a low-latency, high-quality 5G voice calling service that enables more immersive virtual reality experiences. UNISOC V510 also supports 2G to 5G networks, meeting the different needs of a wide range of users.

     As another milestone in UNISOC's cooperation with China Unicom following NB-IoT, the release of the China Unicom 5G CPE demonstrates the maturity of UNISOC V510, driving the development of China's 5G industry and empowering more possibilities for the smart and connected era.

     About UNISOC

     UNISOC is a leading fabless semiconductor company committed to R&D of core chipsets in mobile communications and AIoT. Its products cover mobile chipset platforms supporting 2G/3G/4G/5G communication standards and various chipset solutions in the field of IoT, RFFE, wireless connection, TV etc. With estimated 4,500 staff, 15 R&D centers and 7 customer support centers around the world, UNISOC has become the top 3 mobile chipsets supplier in terms of global market share, the leading 5G company in World and one of the largest chipset providers for IoT and connectivity devices in China. For more information, please visit http://www.unisoc.com/



Huawei Releases Huawei ICT Academy Program 2.0, Set to Develop 2 Million ICT Professionals Over the Next Five Years

At the Industrial Digital Transformation Conference-Live, Huawei officially released the Huawei ICT Academy Program 2.0. Through this program, Huawei aims to develop 2 million ICT professionals and popularize digital skills over the next five years by collaborating with universities. This is part of Huawei's digital inclusion initiative, TECH4ALL, which is intended to expand the benefits of digital technology to everyone, everywhere. Huawei will set up the Huawei ICT Academy Development Incentive Fund (ADIF), with a total investment of at least US$50 million over the next five years.



2013 saw the establishment of the Huawei ICT Academy program, under which Huawei has provided quality courses and support services to universities/colleges to help them train teachers, establish and optimize ICT majors, improve the curriculum system, and build standard labs. Huawei ICT Academy also introduces Huawei's ICT technologies and products to students in universities around the world, encourages them to participate in Huawei certification, and develops innovative and application-oriented technical talent for society and the global ICT industry. Since 2015, Huawei has partnered with more than 600 international universities to set up Huawei ICT academies, helping the universities improve their ICT teaching abilities and train more than 1500 teachers.

To meet new requirements and challenges, the Huawei ICT Academy Program will enter the 2.0 phase in 2020. According to its five-year plan, Huawei will develop 2 million ICT professionals and continuously update its school-enterprise cooperation solutions in cutting-edge technologies, such as 5G and Artificial Intelligence (AI).

To achieve this goal, Huawei will set up the Huawei ICT Academy Development Incentive Fund (ADIF), with a total investment of at least US$50 million over the next five years. This fund aims to help ICT academies operate stably by the following four actions:

Providing teaching experiment equipment for cooperative universities to improve students' practical skills.Training teachers through ADIF, providing free exam vouchers to encourage students to take Huawei's certification exams, and setting up an education fund to reward excellent teachers and students.Holding the Huawei ICT Competition to provide a platform for students to communicate with their peers and show their talents.Cooperating with partners on ICT Talent Job Fairs to help students find jobs and promote efficient matching between talent supply and demand.

Hank Stokbroekx, Vice President of Enterprise Service, Huawei Enterprise BG, said that, Huawei will continue to establish more ICT Academies. Every year, we will build 600-1000 Huawei ICT Academies. By doing so, we aim to benefit more university teachers and students in the digital world, enable more people to enjoy equal and high-quality education, enhance digital skills, and inject fresh impetus into the industry.

The launch of Huawei ICT Academy Program 2.0 marks a new stage of Huawei's talent ecosystem development. In the future, Huawei will deepen cooperation with all parties in the ecosystem, increase investment, and accelerate the construction of an all-round, full-cycle sustainable talent ecosystem to fuel the digital transformation of industries.

ACC Art Books ขอนำเสนอ “LOUIS XIII Cognac: The Thesaurus"

หนังสือภาพศิลปะที่ทำให้คุณดื่มด่ำอรรถรส ผสมผสานเรื่องจริงและเรื่องแต่งอย่างลงตัว ถือเป็นเล่มพิเศษ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการสรรเสริญแก่ Cognac LOUIS XIII พร้อมวางจำหน่ายเดือนเมษายนนี้

ACC Art Books สำนักพิมพ์ชั้นนำจากสหราชอาณาจักร ซึ่งผลิตหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์หรูมากมาย ได้อวดโฉมผลงานใหม่ล่าสุด มีชื่อว่า "LOUIS XIII Cognac: The Thesaurus" เป็นหนังสือภาพศิลปะที่จะทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับแก่นแท้ของหนึ่งในสุรารสเลิศและมีความหรูหราที่สุดอีกแบรนด์หนึ่งของโลก



สามารถดูข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ :

https://www.multivu.com/players/uk/8688851-acc-art-books-louis-xiii-cognac-thesaurus/

LOUIS XIII Cognac The Thesaurus  มีทั้งหมด 13 บท แต่ละบทแบ่งออกเป็น 2 ตอน: ตอนที่หนึ่งเป็น “ภาพยนตร์” อีกตอนเป็นสารคดี โดยแต่ละตอนจะถ่ายทอดเรื่องราวที่สำคัญตลอดเส้นทางของ LOUIS XIII หนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวจากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ LOUIS XIII ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 22 มีการถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงควบคู่ไปกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากโลกอนาคต พร้อมรวบรวมรายงานข่าว บทสัมภาษณ์ที่เกิดขึ้นจริง ภาพประกอบดั้งเดิม และรูปภาพที่งดงามตราตรึงใจมาไว้ด้วยกัน

ไม่มีจุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลาง หรือจุดสิ้นสุด

หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณลืมกลวิธีการเล่าเรื่องตามขนบเดิมๆ ไปเลย เพราะหนังสือภาพศิลปะเล่มนี้จะชวนคุณไปสัมผัสกับประสบการณ์อันน่าดื่มด่ำ สะท้อนให้เห็นถึงวัฎจักรเวลาที่ไม่สิ้นสุด ยกย่องประวัติศาสตร์และความลึกลับ อันเป็นมรดกล้ำค่าของ LOUIS XIII ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

แต่ละช่วงเวลาในหนังสือ Thesaurus ถูกบิด เปลี่ยนแปลง และเรียบเรียงได้อย่างน่าประหลาดใจ และไม่มีการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบเดิม เนื่องจากมีการเล่าเรื่องกระโดดไปกระโดดมาจากศตวรรษหนึ่งไปยังอีกศตวรรษหนึ่ง แล้วก็กลับมายังศตวรรษเดิมอีกครั้ง นี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกดื่มด่ำและเป็นของขวัญแสนพิเศษ ซึ่งจะทำให้ได้เจาะลึกย้อนกลับไปแสนไกลถึงจุดกำเนิดของตระกูล ร้อยเรื่องราวที่น่าสนใจถึงตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ทั้งที่มีอยู่จริงและแต่งขึ้นมา โดยมีการจัดวางเอกสารฉบับจริง ภาพประกอบดั้งเดิมและรูปภาพที่งดงามอีกด้วย

LOUIS XIII Cognac: The Thesaurus
ราคาปลีก: 150 ปอนด์
วางจำหน่าย ณ ร้านหนังสือชั้นนำทั่วโลกและรวมถึง Amazon
ตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 เป็นต้นไป

ผู้เขียน: Farid Chenoune
บรรณาธิการ: Karen Howes
เจ้าของความคิดและผู้ผลิต: Herve Landry
สำนักพิมพ์: ACC Art Books
หมายเลข ISBN: 9781851499014

ประวัติเกี่ยวกับ ACC Art Books
ACC Art Books: หนังสือที่สวยงามเกี่ยวกับนฤมิตศิลป์ ซึ่งผสมผสานธรรมเนียมกว่า 50 ปีเข้ากับศิลปะและการออกแบบร่วมสมัยที่ดีที่สุด  ACC Art Books เป็นผู้นำวงการการพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือศิลปะ ชุมชนของเราเสาะหาภาพที่ดีที่สุดจากทั่วโลกและรวบรวมไว้ในสำนักพิมพ์หนังสือภาพศิลปะเพียงแห่งเดียว

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ:  Eleanor.fuller@accartbooks.com

ทรินา โซลาร์ เปิดตัวโมดูลกำลังสูงเกิน 500 วัตต์ สร้างมาตรฐานใหม่ในยุคเซลล์แสงอาทิตย์ 5.0

ทรินา โซลาร์ (Trina Solar) ผู้นำระดับโลกด้านโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเป็นทางการ ได้แก่ Duomax V โมดูลแบบกระจกสองชั้นสองหน้าตัวใหม่ล่าสุด และ Tallmax V โมดูลแบบแผงด้านหลัง โดยโมดูลทั้งสองรุ่นใช้ซิลิคอนเวเฟอร์ขนาดใหญ่ 210 มิลลิเมตร และเซลล์ PERC ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ มาพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัย สามารถผลิตไฟฟ้ากำลังสูงกว่า 500 Wp และมีค่าประสิทธิภาพโมดูลสูงถึง 21% ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของบริษัท และเป็นการเปิดรับยุคเซลล์แสงอาทิตย์ 5.0



จากการประเมินเบื้องต้นโดยอิงข้อมูลจากโรงไฟฟ้าภาคพื้นดินขนาดใหญ่ในมณฑลเฮยหลงเจียงของจีน พบว่า เมื่อเทียบกับโมดูลแบบกระจกสองชั้นสองหน้าขนาด 410 วัตต์โดยทั่วไปแล้ว โมดูล Duomax V ขนาด 500 วัตต์สามารถลดต้นทุนอุปกรณ์ประกอบระบบ (BOS) ได้ 6-8% และลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าปรับเฉลี่ย (LCOE) ได้ 3-4% ทั้งนี้ ทรินา โซลาร์ จะเปิดรับคำสั่งซื้ออย่างเป็นทางการในไตรมาส 2 ของปี 2563 และตั้งเป้าว่าจะทำการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเกิน 5 กิกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้

ด้วยเทคโนโลยีมัลติบัสบาร์ที่เหนือกว่า ทีมวิจัยและพัฒนาของทรินา โซลาร์ จึงสามารถนำเสนอดีไซน์สุดล้ำที่ผสานเทคโนโลยี 1/3-cut ที่ทนทานและมีความหนาแน่นสูง ช่วยลดการสูญเสียกำลังไฟฟ้าให้กับความต้านทาน ทั้งยังเพิ่มความทนทานต่อการแตกหักและจุดร้อนของโมดูล ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่สูงสุด ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสรรค์โมดูลกำลังสูงที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความน่าเชื่อถือสูง ทั้งนี้ หากโมดูลแบบแบ่งครึ่งเซลล์ทั่วไปใช้ซิลิคอนเวเฟอร์ขนาดใหญ่ 210 มิลลิเมตร กระแสไฟฟ้าขาออกแรงสูงของโมดูลจะทำให้เกิดปัญหาในระบบ หรือทำให้โมดูลเกิดการแตกหักหรือกระแสเกิน

นอกจากนี้ ดีไซน์อันโดดเด่นของโมดูลใหม่ยังรับประกันว่ากระแสไฟขาออก ค่าแรงดันไฟฟ้าเปิดวงจร และโหลดทางกลของโมดูลจะสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยทางเทคนิค และสามารถเชื่อมต่อกับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีอยู่เดิมได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ ในงานเปิดตัว ทรินา โซลาร์ ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท POWERCHINA Jiangxi Electric Power Construction, บริษัท China Energy Engineering Investment สาขาเฮยหลงเจียง, บริษัท Shouguang Power Investment Haobang New Energy, บริษัท SEPCOIII Electric Power Construction และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ เพื่อปูทางสู่การใช้งานโมดูลกำลังสูงเป็นพิเศษในตลาดเทอร์มินัล

หยิน หรงฟาง รองประธานบริหารและรองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรินา โซลาร์ กล่าวว่า “ทรินา โซลาร์ สั่งสมประสบการณ์หลายสิบปีในด้านการออกแบบและการผลิตโมดูล เราหวังที่จะสร้างมาตรฐานของโมดูลโดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านการออกแบบและการผลิตของเรา ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังยกระดับการออกแบบโมดูลในฝั่งระบบด้วย นอกเหนือจากประสิทธิภาพของตัวโมดูลเองแล้ว โมดูลที่ดีต้องเข้ากับระบบที่มีอยู่เดิมได้ด้วย ทั้งนี้ ประสบการณ์ของทรินา โซลาร์ ในด้านระบบติดตามดวงอาทิตย์ โซลูชันครบวงจร และโรงไฟฟ้าภาคพื้นดิน ทำให้เราสามารถสำรวจและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานระบบจริงตั้งแต่ในช่วงของการวิจัยและพัฒนา และดึงศักยภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์ออกมา ผมเชื่อว่าโมดูลใหม่ของเราจะผลักดันตลาดเซลล์แสงอาทิตย์ไปอีกขั้น”

ที่มา: Trina Solar Co., Ltd.

เกี่ยวกับ ทรินา โซลาร์

ทรินา โซลาร์ คือผู้นำระดับโลกด้านเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2540 และมีธุรกิจหลักคือผลิตภัณฑ์เซลล์แสงอาทิตย์ ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะ ธุรกิจของบริษัทครอบคลุมการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายเซลล์แสงอาทิตย์ สถานีพลังงาน และอุปกรณ์ประกอบระบบ, การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, ระบบไมโครกริดอัจฉริยะ, การพัฒนาและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานหลายรูปแบบ รวมถึงการบริหารแพลตฟอร์มคลาวด์ด้านพลังงาน ในปี 2561 ทรินา โซลาร์ วิวัฒนาการตัวเองจนกลายเป็นแบรนด์ในวงการพลังงาน IoT (Internet of Things) พร้อมจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือ Trina Solar IoT Industry Development Alliance และจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม New Energy IoT Industry Innovation Center ร่วมกับองค์กรและสถาบันวิจัยชั้นนำทั้งในและนอกประเทศจีน นอกจากนั้นยังสร้างแพลตฟอร์มรองรับการวิจัยพลังงาน IoT และระบบนิเวศ IoT ร่วมกับพันธมิตรหลายราย โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในอุตสาหกรรมพลังงานอัจฉริยะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.trinasolar.com

Trina Solar launches 500W+ ultra-high-power new modules, setting new benchmark for era of PV 5.0

Trina Solar Co., Ltd ("Trina Solar" or the "Company"), a global leading provider of integrated PV modules and smart energy solutions, has formally unveiled its latest Duomax V bifacial double-glass modules and Tallmax V back sheet. Based on the 210mm large-size silicon wafer and monocrystalline PERC cell, the new modules come replete with several innovative design features allowing high power output of more than 500Wp and module efficiency up to 21%, consolidating the Company's leadership and embracing a new era of PV 5.0.



According to preliminary estimates from large-scale ground mounted power stations in China's Heilongjiang province, compared with conventional 410W bifacial double-glass modules, the 500W Duomax V can reduce the balance-of-system (BOS) cost by 6 to 8 per cent and the levelized cost of energy (LCOE) by 3 to 4 per cent. Trina Solar will formally start accepting orders in the second quarter of 2020 and is set to achieve mass production in the third quarter, with production capacity expected to exceed 5GW by the end of the year.

Based on its superior multi-busbar technology, Trina Solar's research and development team has introduced an innovative design that integrates advanced three-piece, non-destructive cutting and high-density packaging technologies. This further reduces the resistance loss and significantly improves the anti-cracking, anti-hot spot performance of the modules while maximizing space utilization. By doing so, the scientists created high-power modules characterized by high efficiency and high reliability. If the traditional half-cut cell design were applied to 210mm ultra-large silicon wafers, the high current output characteristics of the modules could trigger system challenges, or cause the module to crack or run afoul of DC terminal limits.

In addition, the unique design of the new modules can ensure that the output current, open circuit voltage and mechanical load of the modules comply with relevant downstream technical safety specifications and can seamlessly connect with the existing mainstream PV system design. At the launch event, Trina Solar signed strategic cooperation agreements with POWERCHINA Jiangxi Electric Power Construction, China Energy Engineering Investment's Heilongjiang branch, Shouguang Power Investment Haobang New Energy, SEPCOIII Electric Power Construction and other power generation-related firms, paving the way for the full deployment of ultra-high-power modules in the terminal market.

Trina Solar vice general manager and executive vice president Yin Rongfang said, "Trina Solar has accumulated decades of experience in module design and manufacturing. We hope to drive the standardization of modules through our design and manufacturing advantages, which will not only benefit many segments in the industrial chain, but also enhances the design commonality of modules on the system side." Yin added, "In addition to the product itself, a good module requires consideration of its matching capability with existing systems. Thanks to Trina Solar's experience in tracking systems, integrated solution and ground power station projects, we explored and solved the potential challenges that could arise in the practical application of the system early in the research and development stage, and fully tapped the potential of the product. I believe our new modules will bring the photovoltaic market to the next stage."

Source: Trina Solar Co., Ltd.

About Trina Solar

Founded in 1997, Trina Solar is a global leading provider of integrated PV modules and smart energy solutions, with its main business focused on PV products, PV systems and smart energy solutions. Its business covers R&D, production and sales of PV modules, power stations and system equipment, PV power generation and operations services, smart microgrids, development and sales of multi-energy systems, as well as operation and management of energy cloud platforms. In 2018, the company took the lead in evolving into a brand in the world of energy IoT (internet of things), established the Trina Solar IoT Industry Development Alliance and the New Energy IoT Industry Innovation Center in concert with the industry's leading producers and research institutes both in and outside of China, built an innovative platform for research into energy IoT as well as an IoT ecosphere with numerous partners and is committed to becoming a global leader in the smart energy sector. For more information, please visit www.trinasolar.com.

แคมเบียม เน็ตเวิร์ค ขยายความร่วมมือกับ Facebook Connectivity สำหรับโครงการเข้าถึงบริการด้วยระบบไร้สาย

โซลูชัน Terragraph ของ Facebook Connectivity ช่วยให้แคมเบียม เน็ตเวิร์ค สามารถเพิ่มจุดปลายทางในการเข้าถึงบ้าน องค์กร และอาคารชุดของผู้รับบริการ



แคมเบียม เน็ตเวิร์ค (Cambium Networks) ผู้ให้บริการโซลูชันเครือข่ายไร้สายชั้นนำระดับโลกประกาศทำงานร่วมกับ Facebook Connectivity ในโครงการริเริ่มหลายโครงการด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการรวมกลุ่มเครือข่าย Terragraph ในวิทยุไร้สาย Gigabit คลื่นมิลลิเมตร 60GHz (V-Band), ยกระดับโซลูชัน Express Wi-Fi ด้วยเทคโนโลยีการประสานเครือข่าย Wi-Fi รุ่นใหม่ ซึ่งผนวกรวมเข้ากับ Self Organizing Mesh Access (SOMA) และทำงานบนโครงการริเริ่ม Telecom Infra project (TIP) และต้นแบบโครงสร้างพื้นฐาน Smart City เพื่อสร้างมาตรฐานและปรับปรุงการวางระบบสื่อสารไร้สายภาคพื้นเพื่อให้บริการ Wi-Fi นั้นเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจับมือระหว่างแคมเบียม เน็ตเวิร์ค กับ Facebook Connectivity หมายความว่า การเชื่อมต่อ Gigabit สามารถทำได้แล้วสำหรับประชาชนจำนวนมากที่อาศัยและทำงานในพื้นที่ที่การติดตั้งสายสัญญาณยังไม่มีศักยภาพด้านอำนาจการซื้อมากพอ การขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนี้หมายถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้นในการสร้างสภาวะการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และดึงดูดใจมากขึ้น รวมถึงโทรเวชที่มีประสิทธิภาพ และที่มากไปกว่านั้นก็ส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

- การเข้าถึงแบบไร้สายระดับ Gigabit คลื่นมิลลิเมตร 60GHz - แพลตฟอร์มคลื่นมิลลิเมตร 60GHz ของแคมเบียม เน็ตเวิร์ค ผนวกกับเทคโนโลยีการรวมเครือข่ายของ Terragraph ระบบมาตรฐาน 802.11ay หลายโหมดนี้ สามารถปรับแต่งให้รองรับโหมด Point-to-Point (PTP), Point-to-Multipoint (PMP) หรือโหมดรวมเครือข่าย ขณะที่การออกแบบเชิงอุตสาหกรรมมีเป้าหมายเพื่อวางระบบบริการในเขตชานเมืองและตัวเมือง โซลูชันนี้จึงมอบประตูปลายทางในการเข้าถึงบ้าน องค์กร และอาคารชุดของผู้รับบริการ สามารถส่งวิดีโอกล้องวงจรปิด และเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ นอกจากนี้โซลูชันนี้ยังสามารถวางระบบสื่อสาร Gigabit ความหน่วงต่ำสำหรับทราฟฟิกเครือข่าย 4G หรือ 5G ด้วย
- ให้บริการ Wi-Fi ได้เร็วขึ้น - การร่วมมือกันระหว่างทีมวิจัยและพัฒนาของแคมเบียม เน็ตเวิร์ค และ Facebook Connectivity ช่วยให้ผู้ให้บริการวางระบบสื่อสาร Wi-Fi ที่น่าเชื่อถือได้ง่ายขึ้น เชื่อมต่อเข้ากับ SOMA ที่ขับเคลื่อนด้วยจุดเข้าถึง (AP) Wi-Fi และหากระบบ AP ล่มแล้ว เทคโนโลยี SOMA Wi-Fi จะใช้ฟังก์ชันแก้ไขตัวเองในการปรับค่าอัตโนมัติเพื่อให้ทำงานได้ในทุกสถานการณ์ และปรับค่าเพื่อดำเนินการผ่าน AP เครือข่ายรวม หรือ AP เกตเวย์ที่เหลืออยู่
- ปรับปรุงระบบสื่อสารไร้สายภาคพื้น - ระบบสื่อสารไร้สายภาคพื้นบนคลื่นความถี่ที่ไม่มีใบอนุญาตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับบริการ Wi-Fi ในบ้านและนอกอาคาร โดยระบบสื่อสารไร้สายภาคพื้นนี้ไม่ต้องเสียเวลาและต้นทุนในการติดตั้งสายสัญญาณ แต่มีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการเชื่อมต่อกับ AP Wi-Fi ซึ่งแคมเบียม เน็ตเวิร์ค กำลังทำงานกับ Facebook Connectivity และผู้นำอุตสาหกรรมรายอื่น ๆ ในการใช้ประโยชน์ร่วมจากโครงข่ายไร้สายที่ไม่มีใบอนุญาตระหว่างระบบสื่อสารไร้สายภาคพื้นกับวิทยุ Wi-Fi ซึ่งจะนำไปสู่การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่มีใบอนุญาตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับปริมาณงานได้มากขึ้น
- เมืองอัจฉริยะ - แคมเบียม เน็ตเวิร์ค ทำงานร่วมกับ Facebook Connectivity และสมาชิกรายอื่น ๆ ของ TIP เพื่อจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ในการวางโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสารและอื่นๆ ที่เป็นกระดูกสันหลังสำหรับเมืองอัจฉริยะ

“Facebook ยึดมั่นในการทำงานกับพาร์ทเนอร์อุตสาหกรรมทั่วโลก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้น” Dan Rabinovitsj รองประธาน Facebook Connectivity กล่าว “แคมเบียม เป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่มีผลงานกับ Express Wi-Fi, เทคโนโลยี SOMA, โซลูชัน Terragraph และโปรแกรม TIP การจับมือระหว่างแคมเบียม เน็ตเวิร์ค กับ Facebook จะเสริมสร้างพลังแห่งการพัฒนาประชาธิปไตยบนโลกอินเทอร์เน็ต”

รายงาน Gartner's "Market Guide for 5G New Radio Infrastructure" ที่เขียนโดย Peter Liu, Sylvain Fabre และคณะ และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2019 ระบุว่า “ภายในปี 2021 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G NR จะมีสัดส่วนถึง 19% ของรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานระบบไร้สายทั้งหมดของผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs) เพิ่มขึ้นจากระดับ 6% เมื่อปี 2019”

“การร่วมมือเชิงรุกกับผู้นำอุตสาหกรรม ช่วยให้เราสามารถนำเทคโนโลยีไร้สายมาสู่การสนทนาเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ กลุ่มโซลูชันไร้สายระดับ Gigabit ของแคมเบียม เน็ตเวิร์ค ทำให้เกิดการเชื่อมต่อจากระบบคลาวด์สู่ลูกค้า” Atul Bhatnagar ประธานและซีอีโอของแคมเบียม เน็ตเวิร์ค กล่าว “ประสบการณ์ที่เรามีกับเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงกรณีการใช้งาน และความถี่ ช่วยให้เราสามารถพัฒนาโซลูชันได้อย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนการเป็นเจ้าของที่มีความได้เปรียบ โซลูชันการรวมระบบไร้สายที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 60 GHz Terragraph หลายโหมดรุ่นใหม่ ช่วยเพิ่มความเร็วในระดับ Gigabit โดยที่ไม่ต้องลงทุนและเสียเวลากับการติดตั้งสายสัญญาณ ระบบเหล่านี้อาจจัดเตรียมและบริหารจัดการจากคอนโซลคลาวด์ cnMaestro(TM) ซึ่งเปิดโอกาสให้เห็นเทคโนโลยีไร้สายในระบบเครือข่ายได้อย่างครอบคลุม เปิดทางให้โอเปอเรเตอร์รองรับปริมาณงานได้มากขึ้นและทำให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจมากขึ้น โซลูชันไร้สายของเรามอบผลลัพธ์ที่อัศจรรย์ในการแก้ปัญหาความท้าทายในด้านการเชื่อมต่อที่สำคัญทางธุรกิจ”

เกี่ยวกับแคมเบียม เน็ตเวิร์ค
แคมเบียม เน็ตเวิร์ค คือผู้ให้บริการโซลูชั่นการเชื่อมต่อไร้สายชั้นนำระดับโลกที่เชื่อมโยงผู้คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน บริษัทมีความชำนาญในการให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์ไร้สายครบวงจรที่เชื่อถือได้ ยืดหยุ่น และปลอดภัยภายใต้สภาวการณ์ที่กดดัน ช่วยให้ผู้ให้บริการรวมถึงผู้ประกอบการเครือข่ายทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน และภาครัฐ สามารถสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อ Intelligent Edge แคมเบียม เน็ตเวิร์ค มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิคาโก นอกจากนั้นยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอินเดีย และจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่เชื่อถือได้ www.cambiumnetworks.com

สื่อมวลชนติดต่อ:
Sara Black
Vice President
Bospar
โทร: +1 (213) 618-1501
อีเมล: sara@bospar.com

Cambium Networks Expands Collaboration with Facebook Connectivity for Multiple Wireless Access Initiatives

Facebook Connectivity's Terragraph solution enables Cambium Networks to provide last mile access to subscriber homes, enterprises and multi-dwelling buildings


Cambium Networks, a leading global provider of wireless networking solutions, today announced that it is working with Facebook Connectivity on multiple initiatives including incorporating Terragraph mesh networking into its 60GHz millimeter wave (V-Band) Gigabit wireless radios; enhancing Express Wi-Fi solutions with next-generation Wi-Fi mesh technology, combined with Self Organizing Mesh Access (SOMA); and working on joint Telecom Infra project (TIP) initiatives and Smart City infrastructure prototypes to standardize and optimize the deployment of wireless backhaul for fast and efficient Wi-Fi deployments.

Cambium Networks' engagement with Facebook Connectivity means that Gigabit connectivity is now available to a large population of people who live and work in areas where fiber is not economically viable. This expansion of high-speed internet access means increased opportunities for more engaging and productive learning environments, highly effective telemedicine, and more broadly, the economic growth that has been associated with high performance connectivity over the past 20 years.

- 60GHz millimeter wave Gigabit wireless access - Cambium Networks' 60GHz millimeter wave platform incorporates Terragraph's mesh technology. The multi-mode 802.11ay standard system can be configured for Point-to-Point (PTP), Point-to-Multipoint (PMP), or efficient mesh modes and its industrial design reflects expected deployment in suburban and urban environments. The solution provides last mile access to subscriber homes, enterprises, and multi-dwelling buildings as well as transport for video surveillance and public Wi-Fi networks. The solution can also provide low latency Gigabit backhaul for 4G or 5G network traffic.
- Faster Wi-Fi rollout - Cambium Networks and Facebook Connectivity's research and development teams are collaborating to make it easier for service providers to deploy reliable Wi-Fi backhauled by SOMA powered Wi-Fi access points (AP). In the event of an AP failure, SOMA Wi-Fi mesh technology uses its self-healing functionality to automatically reconfigure the mesh to work around the situation and reconfigures the mesh to operate via the remaining meshed APs or gateway APs.
- Optimizing Wireless backhaul - Wireless backhaul over unlicensed frequencies is rapidly gaining popularity for home and outdoor Wi-Fi service. Without the time and cost associated with deploying fiber, wireless backhaul provides an efficient and economical connection to Wi-Fi APs. Cambium Networks is working with Facebook Connectivity and other industry leaders to coordinate the use of unlicensed wireless spectrum between wireless backhaul and Wi-Fi radios, enabling the efficient use of unlicensed spectrum, and increasing throughput.
- Smart Cities - Cambium Networks is working with Facebook Connectivity and other members of TIP to tackle the challenges of rolling out communication and other infrastructure that form the backbone for smart city deployments.

"Facebook is committed to working with industry partners around the world to help bring more people online to a faster internet," said Dan Rabinovitsj, Vice President for Facebook Connectivity. "Cambium is a critical partner with its contributions to Express Wi-Fi, SOMA technology, the Terragraph meshing solution, and the TIP program. Together, Cambium Networks and Facebook are further democratizing the power of the internet."

According to Gartner's "Market Guide for 5G New Radio Infrastructure" report published December 16, 2019 and authored by Peter Liu, Sylvain Fabre, et al., "By 2021, investments in 5G NR network infrastructure will account for 19% of the total wireless infrastructure revenue of communications service providers (CSPs), elevated from 6% in 2019."

"Active collaboration with industry leaders enables us to bring wireless technologies into the conversation that solve contemporary problems. Cambium Networks' portfolio of Gigabit wireless solutions provides connectivity from the cloud to the client," said Atul Bhatnagar, president and CEO of Cambium Networks. "Our experience with different technologies, use cases, and frequencies gives us an edge in rapidly developing solutions with an industry-leading total cost of ownership. Our new multi-mode 60 GHz Terragraph enabled wireless mesh solution provides Gigabit speeds at a fraction of the cost and time of deploying fiber. These systems may also be provisioned and managed from a single cnMaestro(TM) cloud-based console that provides a bird's eye view across multiple wireless technologies in the network, enabling operators to maximize throughput and user satisfaction. Our wireless solutions deliver amazing outcomes that solve mission critical connectivity challenges."

About Cambium Networks
Cambium Networks is a leading global provider of wireless connectivity solutions that strengthen connections between people, places and things. Specializing in providing an end-to-end wireless fabric of reliable, scalable, secure, cloud-managed platforms that perform under demanding conditions, Cambium Networks empowers service providers and enterprise, industrial and government network operators to build intelligent edge connectivity. Headquartered outside Chicago and with R&D centers in the U.S., U.K. and India, Cambium Networks sells through a range of trusted global distributors. www.cambiumnetworks.com

Media Inquiries:
Sara Black
Vice President
Bospar
+1 (213) 618-1501
sara@bospar.com