Tuesday, May 31, 2016

Asia Plantation Capital เปิดบ้านต้อนรับนักศึกษาเข้าฝึกงานที่โรงกลั่นน้ำมันกฤษณาในรัฐยะโฮร์

         Asia Plantation Capital เตรียมเปิดโครงการฝึกงานอุตสาหกรรมให้กับเหล่านักศึกษาจาก Universiti Putra Malaysia (UPM) และ International Islamic University Malaysia (IIUM) โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559

       
โรงกลั่นน้ำมันกฤษณาของ Asia Plantation Capital ในเมืองยะโฮร์บาห์รู ประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดประตูต้อนรับนักศึกษาฝึกงาน

          โรงกลั่นและศูนย์วิจัยไม้กฤษณาของ Asia Plantation Capital ได้ดำเนินการอย่างเต็มกำลังในปีที่ผ่านมา และบัดนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นให้เข้าร่วมฝึกงาน โดยเมื่อเร็วๆนี้ Asia Plantation Capital Berhad ได้ยืนยันความร่วมมือกับ Universiti Putra Malaysia (UPM) และ International Islamic University Malaysia (IIUM) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในโครงการฝึกงานของมหาวิทยาลัยเหล่านี้

          ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะส่งนักศึกษาหนึ่งคนมายังโรงกลั่น Asia Plantation Capital ในรัฐยะโฮร์ เพื่อฝึกงานตามข้อกำหนดเป็นระยะเวลาสามเดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปีนี้

          สำหรับมหาวิทยาลัย UPM นั้น Asia Plantation Capital ร่วมมือกับคณะวนศาสตร์ จัดโครงการฝึกงานอุตสาหกรรมให้แก่นักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางไม้ นักศึกษาฝึกงานคนแรกของคณะดังกล่าวนี้จะเริ่มฝึกงานกับฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่โรงกลั่นและศูนย์การวิจัยของ Asia Plantation Capital ในรัฐยะโฮร์ ซึ่งนักศึกษาจะได้มีส่วนช่วยในกระบวนการผลิต และจะได้เข้าร่วมในการวิจัยเชิงพัฒนาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณยางไม้ที่ผลิตน้ำมันจากไม้กฤษณา

          ในส่วนของความร่วมมือกับ IIUM จะมุ่งไปที่นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์โดยเฉพาะ โดย Asia Plantation Capital จะเปิดโรงกลั่นในยะโฮร์ให้นักศึกษาในสาขาวิศวกรรมชีวเคมีและชีวเทคโนโลยีเข้าฝึกงาน โดยนักศึกษาเหล่านี้จำเป็นต้องผ่านการฝึกงานในโครงการ Engineering Industrial Training (EIT) จึงจะสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาตรี นักศึกษาฝึกงานคนแรกจากโครงการนี้จะมีส่วนช่วยในเรื่องที่เกี่ยวกับการเพาะเชื้อและการทำดีเอ็นเอบาร์โค้ดของไม้กฤษณา

          สตีฟ วัตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Asia Plantation Capital ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "จุดประสงค์ของการจัดโครงการฝึกงานอุตสาหกรรมสำหรับนักศึกษาในระดับปริญญาตรีคือเพื่อให้นักศึกษาเหล่านี้ได้รับประสบการณ์ตรงในสภาพแวดล้อมการทำงานจริงขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากในรั้วมหาวิทยาลัย หรือในสถาบันการศึกษาที่เน้นด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว โรงกลั่นและศูนย์วิจัยของเราในรัฐยะโฮร์ จะเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักศึกษาเหล่านี้ เพราะพวกเขาจะได้ประสบการณ์จากชีวิตการทำงาน ตลอดจนเรียนรู้ว่าจะนำทักษะและความรู้ไปใช้อย่างไร เมื่อใด และที่ใด อีกทั้งยังจะมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานของบริษัทระหว่างประเทศภายในโรงงานที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอีกด้วย เราหวังว่านักศึกษาเหล่านี้จะได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นภายในระยะเวลาการฝึกงานกับเราตลอดสามเดือน" คุณวัตส์กล่าวสรุป "เราส่งเสริมให้นักศึกษาจาก UPM และ IIUM มาร่วมฝึกงานกับเรามากขึ้น มาดูว่าเรากำลังทำอะไร และคว้าประโยชน์จากการได้ทำความรู้จักกับเราในระหว่างการฝึกงานที่โรงงาน"

          โรงกลั่นและศูนย์วิจัยไม้กฤษณาอันทันสมัยของ Asia Plantation Capital ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาไซ รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย และได้เปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว และเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบการเปิดทำการครบ 1 ปี Asia Plantation Capital จะทำพิธีเปิดโรงงานอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก YB Datuk Abu Bakar Mohamad Diah รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (MOSTI) ในวันที่ 2 มิ.ย. 2559

          เกี่ยวกับ Asia Plantation Capital

          Asia Plantation Capital Berhad ในมาเลเซีย กำลังทุ่มลงทุนอย่างมหาศาลในภาคการเพาะปลูกของมาเลเซีย โดยได้มีการพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกและโรงงานผลิตไม้กฤษณาแห่งใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ บริษัทได้ย้ายสำนักงานใหญ่มาที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในมาเลเซีย หลังจากที่เมื่อปีที่แล้วได้เปิดโรงงานแปรรูปไม้กฤษณาและโรงกลั่นน้ำมันกฤษณาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ประเทศมาเลเซีย

          Asia Plantation Capital Group เป็นผู้ดำเนินธุรกิจและบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างยั่งยืนที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย บริษัทมีโครงการต่างๆใน 4 ทวีป และมีพนักงานกว่า 2,000 คนทั่วโลก สำหรับคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเราซึ่งเป็นผู้นำในวงการนั้น ประกอบด้วยนักวิชาการระดับแนวหน้าจากนานาประเทศ (จีน ไทย มาเลเซีย อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ที่ร่วมกันพัฒนา รวมทั้งจดสิทธิบัตรระบบและเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรม

          ด้วยการให้ความสำคัญกับโครงการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ และธุรกิจแบบบูรณาการแนวดิ่ง ซึ่งมอบผลประโยชน์ที่ผสมผสานกันระหว่างชุมชน สิ่งแวดล้อม และการค้า Asia Plantation Capital จึงก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและไม่หยุดนิ่งตามหลักการสร้างความสมดุล 3 ด้าน

JA Solar จัดหาเซลล์แสงอาทิตย์ 44% ให้โปรเจคท์ "Front Runner" ของทางการจีน

          JA Solar Holdings Co., Ltd. (Nasdaq: JASO) ผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประกาศว่า บริษัทได้จัดหาเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 420 เมกะวัตต์ ให้แก่โครงการสาธิตเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์แห่งชาติในเมืองต้าถง มณฑลซานซี ซึ่งเป็นโครงการแรกภายใต้โปรเจคท์ "Front Runner" ของทางการจีน โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสิ้น 950 เมกะวัตต์ ดังนั้น เซลล์แสงอาทิตย์ที่ JA Solar จัดหาให้จึงคิดเป็นสัดส่วน 44% ของทั้งหมด

         


          สำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีนได้ริเริ่มโปรเจคท์ "Front Runner" เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทันสมัยในหมู่ซัพพลายเออร์ในประเทศ โดยการลงทุนในโครงการแรกมีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และจะประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 13 แห่ง เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1.5 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งจะช่วยให้รัฐมีรายได้จากการเก็บภาษี 260 ล้านหยวน และลดการใช้ถ่านหินลงได้ 480,000 ตันต่อปี

          ด้วยเทคโนโลยีหลักที่ก้าวล้ำนำสมัย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 JA Solar จึงได้รับเลือกจากรัฐบาลท้องถิ่นเมืองต้าถงให้เป็นนักลงทุนของโครงการสาธิตดังกล่าว โดยรับหน้าที่เป็นผู้จัดหาเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับโครงการ "Leader + New Technology + New Model Demonstration" ขนาด 50 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ JA Solar ยังจัดหาเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 370 เมกะวัตต์ให้แก่บริษัทอีก 6 แห่งที่ลงทุนในโครงการสาธิตโครงการอื่นๆ ได้แก่ China Three Gorges Corporation, China Huadian Corporation, China Power Investment Corporation, China Guangdong Nuclear Power Group, Beijing Energy Investment Holding และ Sungrow Power Supply

          ในการเข้าร่วมโปรเจคท์ "Front Runner" นั้น เหล่าซัพพลายเออร์จะต้องมีประสิทธิภาพและคุณภาพตามมาตรฐานระดับสูงที่กำหนดโดยสำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีน โดยเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์และโมโนคริสตัลไลน์จะต้องมีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูงกว่า 16.5% และ 17% ตามลำดับ ด้านอัตราการลดทอนของเซลล์แสงอาทิตย์ในปีแรกหลังเริ่มใช้งานจะต้องไม่เกิน 2.5% และ 3% ตามลำดับ ส่วนในปีต่อๆไปต้องไม่เกิน 0.7% ต่อปี และอัตราการลดทอนโดยรวมตลอดอายุการใช้งานของเซลล์แสงอาทิตย์จะต้องไม่เกิน 20%

          JA Solar ตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ 4 รายการที่ได้มาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐานของ "Front Runner" ได้แก่ เซลล์แสงอาทิตย์ Cypress ชนิดโมโนคริสตัลไลน์, เซลล์แสงอาทิตย์ Cypress ชนิดโพลีคริสตัลไลน์, เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง Percium ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ และเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง Riecium ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2559 เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง Riecium ชนิดโพลีคริสตัลไลน์แบบกระจกสองด้านของ JA Solar ยังได้รับการรับรองจากศูนย์รับรองคุณภาพของจีน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพและเทคโนโลยีของ "Front Runner"

          ปัจจุบัน ลูกค้าที่ต้องการเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูงจะมีกำลังการผลิตติดตั้งต่อหน่วยพื้นที่สูงตามไปด้วย ส่งผลให้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น มีต้นทุนพื้นที่ต่อวัตต์ลดลง ต้นทุนขนส่งและติดตั้งลดลง รวมทั้งสร้างรายรับมากขึ้น ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า JA Solar ตั้งใจว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตต่อปีของเซลล์แสงอาทิตย์ในโปรเจคท์ "Front Runner" เป็น 1.8 กิกะวัตต์สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ และเป็น 2.3 กิกะวัตต์สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้สำเร็จภายในปีเดียว

          คุณเจี้ยน เซียะ ประธานของ JA Solar กล่าวว่า "โปรเจคท์ "Front Runner" ช่วยให้อุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ของจีนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการมากมาย ด้วยการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การยกระดับกระบวนการผลิต การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ รวมถึงการสร้างมาตรฐานระดับสูงในด้านคุณภาพและการทดสอบ JA Solar มีความภูมิใจที่ได้เป็นผู้จัดหาเซลล์แสงอาทิตย์เกือบครึ่งหนึ่งของโครงการแรกในเมืองต้าถง และเราจะเดินหน้าบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ของจีนต่อไป"


KuangChi Science Announces Singapore-Based Innovation HQ

          - Opening of Singapore Innovation Headquarters to Perpetuate Advancement Toward Future Cities

          KuangChi Science Ltd., a subsidiary of Kuang-Chi GCI, has announced it has established its ASEAN Innovation Headquarters in Singapore during the 27th International Communications and Information Technology Exhibition & Conference on May 31, as a base for expansion throughout Asia, specifically in the ASEAN countries.

          The newly-created Singapore-based headquarters is a creative hub for furthering development of the company's Future City strategy. KuangChi Science has also signed an agreement to cooperate with HyalRoute Communications Group, which has already received investments totaling more than USD600 million from Kuang-Chi GCI.

          Kuang-Chi GCI refers to the Global Community of Innovation initiated by Kuang-Chi Group, which brings together innovators from all over the world and turns science fiction and dreams into reality to deliver the future to the world.

          Founded in 2010 by five distinguished Chinese scientists after completion of doctorate degrees at top universities, Kuang-Chi GCI is a global innovation group based in Shenzhen, China, which has made advancements in the fields of metamaterials, photonics, satellite technology, aviation, and robotics over the past five years.

          Acting through public companies, private holdings, and research institutes, the group's value exceeds USD10 billion. The group has invested in companies including Solar Ship Inc., Martin Aircraft Company, biometrics pioneer Zwipe, and communications group HyalRoute.

          Singapore is an important international finance and commerce hub and ranked as the most technology-ready country in the world by the World Economic Forum. According to Dr. Zhang Yangyang, Co-CEO of KuangChi Science, "Singapore provides an ideal innovation base and by creating an innovation headquarters in Singapore, KuangChi Science plans to further collaborate with Singaporean companies and institutes for research and development."

          In addition to the Innovation HQ announcement, KuangChi Science is announcing its smart city objective, the Future City Strategy. The goal of building smart cities is to improve the quality of life for urban dwellers by using technology to improve the efficiency of services and meet residents' needs.
The strategy has been influenced by Singapore's 'Smart Nation' initiative, which was launched in 2014 to make living better for all through tech-enabled solutions, harnessing ICT, communications networks, and big data.
Information and communications technology allows local governments to interact directly with the community and the city infrastructure to monitor what is happening in the city and how it is evolving, and to ultimately create a better quality of life for citizens.

          KuangChi Science has been making investments in security, data transfer, and wireless coverage technology to help make cities smarter and better, effectively optimizing key services to improve city living around the world. HyalRoute has been one of the company's key investments to support this goal.

          HyalRoute, now a part of Kuang-Chi GCI's portfolio of technology innovation companies, is one of the most advanced network infrastructure developers and transnational telecommunication operators in the Asian-Pacific market. The company is engineering and implementing an international fiber-optic network spanning more than 1 million kilometers in length and linking 50 countries.

          "HyalRoute's technology is part of KuangChi Science's Future City Strategy, which utilizes KuangChi Science's Cloud, Solarship, Traveler, and more," said Guo Jie, CEO of Singapore Innovation HQ. KuangChi Science's products have created a foundation for the Future City and HyalRoute's communication network will make the city's picture more complete.

          Early this month, Kuang-Chi GCI launched an international innovation fund based in Israel to invest in companies worldwide. The newly established fund had an initial investment of $50 million, which is planned to grow to $300 million over the next three years.

          Contact:
          Kirk Lan
          +86-181-2625-4673
          xiaokelan@kuang-chi.com

Wolf Blass ขึ้นแท่นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

          - วู้ล์ฟ บลาสส์ ไวน์ยี่ห้อดังจากแดนจิงโจ้ จับมือกับทีมที่สร้างสีสันมากที่สุดทีมหนึ่งในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

          วู้ล์ฟ บลาสส์ (Wolf Blass) แบรนด์ไวน์ชั้นนำจากประเทศออสเตรเลีย ประกาศความร่วมมือด้านการตลาดเป็นระยะเวลาหลายปีร่วมกับสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทำให้ วู้ล์ฟ บลาสส์ ขึ้นแท่นเป็นผู้สนับสนุนเครื่องดื่มอย่างเป็นทางการ (Official Wine Partner) ของทีมเรือใบสีฟ้าในเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา (MEA) และเม็กซิโก

          รับชมข่าวประชาสัมพันธ์พร้อมมัลติมีเดียได้ที่: http://en.prnasia.com/mnr/treasurywine_201605.shtml

         

          ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ วู้ล์ฟ บลาสส์ ในการเดินหน้าให้การสนับสนุนแวดวงการกีฬาในภูมิภาคดังกล่าว หลังจากที่ทางแบรนด์ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับสมาคมบาสเก็ตบอลแห่งชาติของจีน และสมาคมเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นและเกาหลีไปเมื่อไม่นานมานี้

          ทั้งนี้ วู้ล์ฟ บลาสส์ จะเข้าถึงบรรดาแฟนกีฬาในตลาดหลักๆ เหล่านี้ ผ่านแคมเปญอันน่าตื่นเต้นในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นตามร้านค้า การออกผลิตภัณฑ์โดยใช้แบรนด์ร่วมกัน การแจกของรางวัล การสร้างกระแสในสื่อดิจิตอลและโซเชี่ยลมีเดีย รวมถึงการจัดกิจกรรมสำหรับผู้บริโภค

          โรเบิร์ต ฟอยด์ (Robert Foye) ประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา และละตินอเมริกา บริษัท Treasury Wine Estates ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ วู้ล์ฟ บลาสส์ กล่าวว่า "วู้ล์ฟ บลาสส์ มีความสัมพันธ์กับแวดวงการกีฬามาอย่างยาวนาน และมีความมุ่งมั่นในการไล่ล่าความสำเร็จ เราจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมกับกีฬาอันดับหนึ่งของโลก และเป็นพันธมิตรกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก"

          "วู้ล์ฟ บลาสส์ จะนำแคมเปญระดับโลก 'Here's To The Chase' ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกย่องการตามล่าคว้าชัยชนะ มาสร้างสีสันผ่านทางความร่วมมือกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เราตั้งตารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งกับแมนเซสเตอร์ ซิตี้ ในการคว้าถ้วยแชมป์มาครองเพิ่มเติม และเฉลิมฉลองความสำเร็จของทีมด้วยไวน์ วู้ล์ฟ บลาสส์ อันโด่งดัง"

          คริส แฮทเชอร์ (Chris Hatcher) หัวหน้าไวน์เมกเกอร์ ของวู้ล์ฟ บลาสส์ กล่าวว่า "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย วู้ล์ฟ บลาสส์ ไม่เคยหยุดยั้งที่จะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดผู้ผลิตไวน์ เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พยายามรักษามาตรฐานการเล่นฟุตบอลที่สวยงามที่สุดในโลกไว้อย่างต่อเนื่อง"

          เดเมี่ยน วิลลอห์บี้ (Damian Willoughby) รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ ซิตี้ฟุตบอลมาร์เก็ตติ้ง กล่าวว่า "วู้ล์ฟ บลาสส์ เป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมไวน์ ซึ่งมีความใส่ใจในการรักษาความสม่ำเสมอของคุณภาพและคุณลักษณะของแบรนด์เช่นเดียวกันกับเรา ความร่วมมือครั้งใหม่นี้มอบโอกาสอันน่าตื่นเต้นให้กับเราที่จะได้ใกล้ชิดกับแฟนๆ และผู้บริโภค เราตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับ วู้ล์ฟ บลาสส์ เพื่อเติบโตในแนวทางใหม่และสร้างสรรค์ไปด้วยกัน"

          ในฐานะผู้สนับสนุนเครื่องดื่มอย่างเป็นทางการ (Official Wine Partner) ของแมนเซสเตอร์ ซิตี้ วู้ล์ฟ บลาสส์ จะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคอลูกหนังผู้ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยฐานแฟนบอลกว่า 240 ล้านคนในเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงผู้ติดตามในโซเชี่ยลมีเดียอีกหลายล้านคน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทั้งเก่าและใหม่ได้รู้จักไวน์ วู้ล์ฟ บลาสส์ มากขึ้น และร่วมสร้างจิตวิญญาณแห่งการไล่ล่าความสำเร็จไปพร้อมกัน

          สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mcfc.co.uk

          สำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:

          Gwendolyn Cheong
          Treasury Wine Estates
          อีเมล: Gwendolyn.Cheong@tweglobal.com
          โทร: +65-8233-9383

          วิดีโอ - http://static.prnasia.com/pro/media/201605/treasurywine/treasurywine.mp4
          รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-a
          รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-b
          รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-c
          รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-d

Wolf Blass Scores with Manchester City Football Club

          - Iconic Australian wine brand partners with one of the English Premier League's most exciting teams

          Leading Australian wine brand Wolf Blass, announced today a multi-year marketing partnership with Manchester City Football Club, making Wolf Blass the Official Wine Partner of Manchester City Football Club for Asia, Middle East and Africa (MEA), and Mexico.

          To view the full multimedia release, click here: http://en.prnasia.com/mnr/treasurywine_201605.shtml

         

          The partnership will see Wolf Blass further expand the brand's sports sponsorship footprint in the region following recently signed agreements with the National Basketball Association in China, and professional baseball organizations in Japan and Korea.

          Through the multi-platform agreement, Wolf Blass will engage fans in key markets via an exciting consumer campaign that will include in-store promotions, co-branded merchandising, giveaways, digital and social media activations, as well as consumer events.

          Robert Foye, President and Managing Director of Asia, MEA and Latin America, at Treasury Wine Estates, the owner of Wolf Blass wines, said: "Wolf Blass has a long association with competitive sports and a passion in the chase for success. So we are thrilled to be involved with the number one sport globally, and one of the most popular and successful football clubs in the world."

          "Through this partnership with Manchester City FC, Wolf Blass will bring to life our global brand campaign 'Here's To The Chase', which celebrates the bold pursuit of triumph. We look forward to joining Manchester City in their bid to win more trophies, and celebrate their growing success with our iconic Wolf Blass wines."

          Chris Hatcher, Wolf Blass Chief Winemaker, said: "As one of the most awarded wineries in Australian history, Wolf Blass is always striving for the absolute pinnacle of winemaking, just as Manchester City constantly strives to play the most beautiful football in the world".

          Damian Willoughby, VP Director of Partnerships, APAC at City Football Marketing, said: "Wolf Blass is a pioneer in their industry whose commitment to quality, character and consistency echoes our own. Our new partnership offers us an exciting opportunity to connect with fans and consumers and we are looking forward to working with Wolf Blass as we both continue to grow in new and imaginative ways."

          As the Official Wine Partner of Manchester City, Wolf Blass will have access to one of the most passionate and highly engaged base of football fans in the world. With more than 240 million fans in Asia, Middle East and Africa, along with millions of followers across the Club's growing social media presence, Manchester City provides an unprecedented platform for new and existing consumers to engage with Wolf Blass wines and share in the spirit of the chase for success.

          For more information, please visit www.mcfc.co.uk

          For media enquiries, please contact:

          Gwendolyn Cheong
          Treasury Wine Estates
           Gwendolyn.Cheong@tweglobal.com
          +65-8233-9383

          Video - http://static.prnasia.com/pro/media/201605/treasurywine/treasurywine.mp4
          Photo - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-a
          Photo - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-b
          Photo - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-c
          Photo - http://photos.prnasia.com/prnh/20160526/8521603195-d

JA Solar Provides 44% of Modules for First Phase of China's "Front Runner" PV Demonstration Base

          JA Solar Holdings Co., Ltd. (Nasdaq: JASO) ("JA Solar"), one of the world's largest manufacturers of high-performance solar power products, announced that it is providing 420MV of modules for a national advanced PV technology demonstration project in Datong, Shanxi province. The first phase of the "Front Runner" project has a total installed capacity of 950MW. JA Solar is providing 44% of the modules for this first phase.

         


          The National Energy Administration established the "Front Runner" program in order to promote the development of advanced solar PV technology by domestic suppliers. The Datong demonstration project is the first of several planned GW-scale "Front Runner" projects. Investment in the first phase of the facility is estimated at 10 billion yuan (approximately US$1.6 billion) and will consist of 13 PV power stations. Upon completion, the facility is expected to generate 1.5 billion kWh of on-grid energy per year, which will contribute 260 million yuan of tax revenue and eliminate the burning of 480,000 tons of standard coal annually.

          As a result of its advanced core technologies, in July 2015 JA Solar was selected by the municipal government of Datong as investor in one of the demonstration projects, providing products for the 50MW "Leader + New Technology + New Model Demonstration" project. JA Solar also furnished 370MW of modules to six companies who are also investors in the demonstration projects: China Three Gorges Corporation, China Huadian Corporation, China Power Investment Corporation, China Guangdong Nuclear Power Group, Beijing Energy Investment Holding and Sungrow Power Supply.

          In order to participate in the "Front Runner" project, equipment suppliers must meet high standards of performance and quality established by the National Energy Administration. The conversion efficiency of polycrystalline and monocrystalline modules must exceed 16.5% and 17%, respectively. The attenuation rate of ordinary PV products in the first year after commissioning is required to not exceed 2.5% and 3% respectively, while the same rate in subsequent years is to be no higher than 0.7% per year. The overall attenuation rate over the useful life of the modules must not exceed 20%.

          JA Solar demonstrated its global technology leadership by submitting four products that meet or exceed the "Front Runner" standard: its conventional monocrystalline Cypress modules, conventional polycrystalline Cypress modules, high-efficiency monocrystalline Percium modules and high-efficiency polycrystalline Riecium modules. Furthermore, in early 2016 JA Solar's high-efficiency polycrystalline Riecium double-glass modules also received an authentication certificate from the China Quality Certification Centre, validating compliance with China's "Front Runner" standard of technology and quality.

          Customer demand for high-efficiency products is growing. High conversion efficiency translates into greater installed capacity per unit area, resulting in more electricity generation, reduced land cost per watt, reduced transportation and installation costs, and better project income. To fulfill rapidly growing customer demand, within a year JA Solar intends to increase annual production capacity of its "Front Runner" products to 1.8GW for monocrystalline products and 2.3GW for polycrystalline products.

          Mr. Jian Xie, President of JA Solar, commented, "The 'Front Runner' program is helping the Chinese PV equipment industry achieve many desirable goals. The program promotes ongoing technological innovation, improved manufacturing processes, new and useful applications, and high standard for quality and testing. JA Solar is proud to supply nearly half of the modules for this first demonstration project in Datong. We intend to pursue further technology innovations that will contribute to the healthy evolution of China's PV and manufacturing sectors."



รัฐบาลนานาชาติจับมือเดินหน้ากำจัดโรคไวรัสตับอักเสบให้หมดสิ้นไปภายในปี 2573

          194 ชาติสมาชิกให้คำมั่นร่วมกันกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ ณ การประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก

          เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกทั้ง 194 ชาติได้ประกาศฉันทามติครั้งประวัติศาสตร์ในการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบให้หมดสิ้นภายในปี 2573 ระหว่างการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกครั้งที่ 69 โดยรัฐบาลประเทศต่างๆมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้ "กลยุทธ์ต่อสู้กับโรคไวรัสตับอักเสบ" เป็นครั้งแรกของโลก นับว่าเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรับมือกับโรคร้ายนี้

          เป้าหมายของกลยุทธ์ดังกล่าวคือการเดินหน้ากำจัดไวรัสตับอักเสบบีและซีให้หมดสิ้นภายในปี 2573 โดยครอบคลุมถึงเป้าหมายทั้งในเชิงป้องกันและรักษา ซึ่งหากบรรลุเป้าหมายดังกล่าวก็จะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตรายปีลงได้ถึง 65% และเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาถึง 80% ซึ่งจะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่า 7.1 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2573

          โรคไวรัสตับอักเสบคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปมากกว่า 1.4 ล้านคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเชื้อเอชไอวีหรือมาลาเรีย ทั้งยังเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้เรามีวัคซีนและยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบให้หมดไปภายในปี 2573 ได้

          "การใช้กลยุทธ์ดังกล่าวคือก้าวแรกสู่การกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีผู้ป่วยทั่วโลกกว่า 400 ล้านราย เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่รัฐบาลแต่ละชาติมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง" Raquel Peck ซีอีโอของสมาพันธ์โรคตับอักเสบสากล (World Hepatitis Alliance: WHA) กล่าว "หากรัฐบาลแต่ละชาติปฏิบัติตามมติดังกล่าว เราจะได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในการเอาชนะโรคหนึ่งซึ่งเป็นภัยคุกคามสูงสุดภายในช่วงชีวิตของเรา"

          แม้ว่าการประกาศกลยุทธ์ดังกล่าวจะแสดงถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างแรงกล้า แต่การกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบยังต้องอาศัยการลงมือลงแรงอีกมากจึงจะสัมฤทธิ์ผล เนื่องจากข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 ระบุว่า มีเพียง 36 ประเทศที่มีแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติในการรับมือกับโรคไวรัสตับอักเสบ และอีก 33 ชาติกำลังพัฒนาแผนดังกล่าว นั่นหมายความว่ามีอีก 125 ประเทศสมาชิกที่ยังไม่มียุทธศาสตร์ระดับชาติในการรับมือกับโรคนี้ ดังนั้น การเพิ่มทรัพยากรที่จำเป็นและการยกระดับความสำคัญของโรคร้ายนี้จึงถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

          สมาพันธ์โรคตับอักเสบสากลและประเทศสมาชิก 230 ชาติ จะดำเนินงานร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า แต่ละประเทศจะปฏิบัติตามมติและใช้มาตรการต่างๆที่จำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมาย ทั้งนี้ เนื่องใน วันตับอักเสบโลก (28 กรกฎาคม 2559) ทางสมาพันธ์โรคตับอักเสบสากลจะเปิดโครงการระดับโลก  NOhep เป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบให้หมดไปภายในปี 2573

          สำหรับบรรณาธิการ

          เกี่ยวกับสมาพันธ์โรคตับอักเสบสากล

           สมาพันธ์โรคตับอักเสบสากล เป็นองค์กรเอ็นจีโอที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นหลัก ทางสมาพันธ์มีสมาชิกกว่า 230 ชาติ และเป็นผู้นำในการลงมือกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ โดยดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตรเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ป่วย รณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงภัยของโรค รวมถึงช่วยวางกลยุทธ์ในการรับมือกับโรคร้ายชนิดนี้



Governments on Track to Eliminate Viral Hepatitis by 2030

          194 Member States commit to eliminating viral hepatitis at World Health Assembly

          On 28 May, 194 Member States made a historic commitment to eliminate viral hepatitis by 2030. At the 69th World Health Assembly, governments unanimously voted to adopt the first ever Global Viral Hepatitis Strategy, signalling the greatest global commitment in viral hepatitis to date.

          The Strategy sets a goal of eliminating hepatitis B and C by 2030 and includes a set of prevention and treatment targets which, if reached, will reduce annual deaths by 65% and increase treatment to 80%, saving 7.1 million lives globally by 2030.

          Worldwide viral hepatitis kills 1.4 million people every year - more than HIV or malaria, and are among the leading causes of liver cirrhosis and cancer. With vaccines and effective treatments for hepatitis B and a cure for hepatitis C available, the targets outlined in the strategy are feasible and eliminating hepatitis by 2030 is achievable.

          "The adoption of WHO Viral Hepatitis Strategy signals the first step in eliminating viral hepatitis, an illness which affects 400 million worldwide. We congratulate governments for showing great ambition. " Raquel Peck, CEO of the World Hepatitis Alliance said. "If governments remain committed, we will witness one of the greatest global health threats eliminated within our lifetimes."

          Although the adoption of the strategy demonstrates considerable political will, more work will be needed to make the elimination of viral hepatitis a reality. As of February 2016, 36 countries had viral hepatitis national plans in place and 33 had plans in development. That means 125 WHO Member States don't have national strategies to tackle this global killer. A dramatic scale up in resources and prioritisation is vital.

          The World Hepatitis Alliance (WHA) and its 230 member states will continue to work to ensure that countries honour their commitment and that they implement measures to reach the targets. On  World Hepatitis Day (July 28, 2016), WHA will launch NOhep , the first global movement aimed at galvanizing support toward the elimination of viral hepatitis by 2030.

          Notes of Editors

          About the World Hepatitis Alliance

          The  World Hepatitis Alliance is a patient-led and patient driven NGO. With over 230 members, WHA provides global leadership to drive action to eliminate hepatitis. They work with governments and key partners to elevate patient voices, raise awareness and help establish hepatitis strategies.



“ดังกิ้น โดนัท” ร่วมฉลองวันโดนัทโลก ซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว แถมโดนัท 1 ชิ้นฟรี 3 มิ.ย. นี้

          โปรโมชั่นพิเศษนี้สามารถใช้ได้ ณ ร้านดังกิ้น โดนัท สาขาที่ร่วมรายการทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

          ดังกิ้น โดนัท (Dunkin' Donuts) หนึ่งในเครือร้านขนมอบและกาแฟชั้นนำของโลก  จัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจคนรักโดนัททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายนนี้ ร้านดังกิ้น โดนัท ทั่วภูมิภาคที่เข้าร่วมรายการ จะแจกโดนัทฟรี 1 ชิ้น (จนกว่าสินค้าจะหมด) ให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันโดนัทโลกของดังกิ้น โดนัท ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว ทั้งนี้ เงื่อนไขขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ โดยดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ณ ร้านดังกิ้น โดนัท ที่ร่วมรายการ
         



          "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มอบความสุขให้กับคนทั่วโลกผ่านโปรโมชั่นพิเศษสำหรับวันโดนัทโลกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว" คริส ฟูกัว รองประธานฝ่ายการตลาดแบรนด์ ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคทั่วโลก และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของดังกิ้น แบรนด์ส กล่าว "เรามีความภูมิใจที่ดังกิ้น โดนัท เป็นตำนานของขนมอบและกาแฟมากว่า 65 ปี และหวังว่าลูกค้าของเราจะเพลิดเพลินไปกับโปรโมชั่นแจกโดนัทฟรี 1 ชิ้นให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว ในวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายนนี้"

          ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินไปกับข้อเสนอพิเศษในวันโดนัทโลกโดยรับโดนัทคลาสสิคหลากหลายรสชาติ อาทิ บอสตันครีม โดนัทเคลือบช็อคโกแลต โดนัทสอดไส้เยลลี่ โดนัทช็อกโกแลตเคลือบน้ำตาลไอซิ่ง เมื่อซื้อเครื่องดื่มของดังกิ้นโดนัท ซึ่งมีให้เลือกมากมาย ทั้งกาแฟร้อนและเย็น ลาเต้ เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่ ชา และคูลลาต้า โฟรเซ่น (Coolatta(R) frozen) ณ ร้านดังกิ้น โดนัท สาขาที่ร่วมรายการในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

          นอกจากนี้ ร้านดังกิ้น โดนัท สาขาที่ร่วมรายการทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเตรียมนำเสนอ สมายลี่ เฟซ โดนัท (Smiley Face Donut) แสนอร่อย เพื่อฉลองความสุขที่ผู้คนได้รับเมื่อรับประทานโดนัท สมายลี่ เฟซ ซึ่งเป็นโดนัทเชลล์ที่ตกแต่งเป็นรูปหน้ายิ้มแสนน่ารัก โดยไส้ของโดนัทจะมีรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ เช่น ไส้เยลลี่ ครีมบาวาเรียน และครีมช็อกโกแลต เป็นต้น

          ดังกิ้น โดนัท เสิร์ฟโดนัทและกาแฟคุณภาพสูงมากว่า 65 ปี โดยเมื่อปีที่แล้วมียอดจำหน่ายโดนัทและมันช์กิ้นกว่า 2.8 พันล้านชิ้น รวมถึงกาแฟร้อนและเย็นมากกว่า 1.9 พันล้านแก้ว จากร้านกว่า 11,800 สาขาใน 44 ประเทศทั่วโลก

          ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดังกิ้น โดนัท ได้ที่ www.facebook.com/DunkinDonuts

          เกี่ยวกับ ดังกิ้น โดนัท   
          ดังกิ้น โดนัท ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2493 เป็นหนึ่งในบริษัทขนมอบและกาแฟชั้นนำของโลก ให้บริการกาแฟคุณภาพสูง เครื่องดื่มเอสเพรสโซ ชา แซนวิช และขนมอบประเภทต่างๆ โดยบริษัทมีร้านขายโดนัทกว่า 11,800 สาขา ใน 44 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ดังกิ้น โดนัท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแคนตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และเป็นบริษัทในเครือของดังกิ้น แบรนด์ กรุ๊ป (จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ภายใต้ชื่อ DNKN) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์  http://www.dunkindonuts.com



Dunkin' Donuts Celebrates Global Donut Day on Friday, June 3rd by Offering Guests a Free Donut with the Purchase of a Beverage

          Special offer available at participating Dunkin' Donuts restaurants across the Asia Pacific region

          Dunkin' Donuts, one of the world's leading baked goods and coffee chains, today announced a delicious deal for donut lovers across the Asia Pacific region. On Friday, June 3rd, participating Dunkin' Donuts restaurants across the region will offer guests a free donut of their choice (while supplies last) with the purchase of a Dunkin' Donuts beverage in honor of the brand's fourth annual Global Donut Day celebration. Certain restrictions apply by country. See store for details.

         


          "We're excited to celebrate the joy that donuts bring to people around the world with our fourth annual Global Donut Day promotion," Chris Fuqua, Vice President, Brand Marketing, Global Consumer Insights & Product Innovation, Dunkin' Brands. "We're proud of Dunkin' Donuts' rich bakery and coffee heritage, which goes back more than 65 years. We hope our guests enjoy our offer of a free donut with a beverage purchase on Friday, June 3rd."

          Guests can enjoy this special Global Donut Day offer on the brand's wide range of classic donut varieties, including Boston Kreme, Chocolate Glazed, Jelly-Filled, Glazed and Chocolate Frosted, when purchasing a Dunkin' Donuts beverage. Beverage options include hot and iced coffee, lattes, espresso, cappuccino, tea and Coolatta(R) frozen drinks. The offer is available at participating Dunkin' Donuts locations throughout the region in Indonesia, Malaysia, New Zealand, Pakistan, the Philippines, Singapore, Thailand and Vietnam.

          In addition to the special Global Donut Day offer, select participating Dunkin' Donuts restaurants across the Asia Pacific region will also be featuring a delicious Smiley Face Donut to celebrate the smiles donuts bring to peoples' faces. The Smiley Face Donut is a filled yeast shell donut decorated with an endearing smiley face. Fillings for the donut will vary by market to cater to local tastes, and include fillings such as Jelly, Bavarian Kreme and Chocolate Kreme.

          Dunkin' Donuts has been offering high-quality donuts and coffee for more than 65 years, and last year sold more than 2.8 billion donuts and MUNCHKINS(R) donut hole treats and more than 1.9 billion cups of hot and iced coffee at its more than 11,800 restaurants in 44 countries around the world.

          To learn more about Dunkin' Donuts, follow us on Facebook at www.facebook.com/DunkinDonuts .

          About Dunkin' Donuts
          Founded in 1950, Dunkin' Donuts is one of the world's leading baked goods and coffee companies, offering a range of high-quality coffees, espresso beverages, teas, sandwiches and baked goods. The company has more than 11,800 restaurants in 44 countries worldwide. Based in Canton, Mass., Dunkin' Donuts is part of the Dunkin' Brands Group, Inc. (Nasdaq: DNKN) family of companies. For more information, visit http://www.dunkindonuts.com/ .



ฮ่องกงสวนกระแสเศรษฐกิจเอเชีย ผงาดขึ้นครองอันดับ 1 ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดของโลก

          ฮ่องกง โชว์ฟอร์มสมฉายา "ไข่มุกแห่งตะวันออก" โดยสามารถยืนหยัดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเอเชีย จนก้าวขึ้นชิงตำแหน่งจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ในการจัดอันดับประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดย IMD World Competitiveness Center [http://www.imd.org/wcc ]

         


          ฮ่องกงคว้าตำแหน่งสูงสุดในการจัดอันดับ World Competitiveness Ranking ประจำปี 2559 ซึ่งเป็นการกลับขึ้นสู่อันดับหนึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 ขณะที่สิงคโปร์ ซึ่งรั้งอันดับ 4 ในการจัดอันดับครั้งนี้ เป็นเพียงอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่ติด 10 อันดับแรก

         สหรัฐอเมริกาครองอันดับหนึ่งในปี 2556, 2557 และ 2558 ในขณะที่ฮ่องกงหล่นลงมาถึงอันดับ 4 อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่สามารถรักษาความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจไว้ได้ต่อไป จึงเปิดทางให้ประเทศที่ใช้ยุทธศาสตร์การแข่งขัน เช่น ฮ่องกงที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ หรือ สิงคโปร์ที่ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการขนส่งสินค้า สามารถก้าวขึ้นมาต่อกรกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้

          สำหรับการจัดอันดับครั้งล่าสุดนี้ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย ฮ่องกงในอันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์อันดับ 2 สหรัฐอเมริกาอันดับ 3 ตามด้วยสิงคโปร์ สวีเดน เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และแคนาดา

          หากไม่รวมฮ่องกงและสิงคโปร์แล้ว ผลการวิจัยพบว่าขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของทวีปเอเชียนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ที่มีการเผยแพร่ผลการจัดอันดับประจำปีที่แล้ว

          ไต้หวันซึ่งอยู่ที่อันดับ 14 มาเลเซียที่อันดับ 19 เกาหลีใต้ที่อันดับ 29 และอินโดนีเซียที่อันดับ 48 ต่างมีอันดับร่วงลงจากปีที่แล้วทั้งสิ้น ในขณะที่จีนยังคงอยู่ใน 25 อันดับแรก

          ศาสตราจารย์ อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการของ IMD World Competitiveness Center กล่าวว่า "หากมองในภาพรวมแล้ว ทวีปเอเชียมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจากปีที่แล้วอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และงบดุลที่ย่ำแย่ทั้งในภาครัฐและเอกชน"

          ศ.บริสกล่าวเสริมว่า ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของฮ่องกงในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่ภาคธุรกิจ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ฮ่องกงสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจในภูมิภาคมาได้

          เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ฮ่องกงนั้นเป็นศูนย์กลางการเงินและการธนาคารชั้นนำที่ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจด้วยการจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำและไม่ซับซ้อน รวมทั้งไม่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุน

          นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นประตูสู่การลงทุนของนานาชาติในประเทศจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่ของโลก และในทางกลับกัน ก็ช่วยให้ธุรกิจจากจีนสามารถเข้าถึงตลาดทุนทั่วโลกได้

          การจัดอันดับของ IMD ใช้เกณฑ์ชี้วัดกว่า 340 รายการ บนพื้นฐานของ 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของรัฐบาล ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

           ศ.บริสกล่าวว่า "มีความจริงที่สำคัญประการหนึ่งที่เราได้เน้นย้ำทุกปี นั่นคือการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันความสามารถทางการแข่งขันในอนาคต แนวทางที่ทุกประเทศใน 20 อันดับแรกต่างให้ความสำคัญเหมือนกันคือ การจัดทำกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและที่จับต้องไม่ได้ รวมถึงสถาบันบูรณาการ"

          โรงเรียนธุรกิจ IMD [http://www.imd.org ] ได้จัดทำและเผยแพร่ผลการจัดอันดับประจำปีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532

          สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดอันดับได้ที่ https://worldcompetitiveness.imd.org/Press - กรุณาติดต่อฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ของ IMD เพื่อขอรับบัตรประจำตัวสื่อมวลชน



Hong Kong Bucks Trend to Become World's Most Competitive Economy

          The Pearl of the Orient, China Hong Kong, is living up to its nickname and has defied a pattern of decline among Asian economies to supplant the United States of America (USA) as the world's most economically competitive country, according to the latest ranking released by the IMD World Competitiveness Center [http://www.imd.org/wcc ].

         


          The territory claims top spot in the 2016 edition of the prestigious World Competitiveness Ranking, returning to the number-one position for the first time since 2012. Singapore, ranking 4th is the only other Asian nation in the Top 10.

          The USA ranked first in 2013, 2014 and 2015, with China Hong Kong slipping as low as fourth, but the sheer power of the US economy is no longer sufficient to maintain its dominance. Countries who take strategic action to compete, as in China Hong Kong's efforts to create a business friendly environment, or in Singapore's investment in infrastructure, especially around shipping, are able to stand up to large economies.

          The latest ranks China Hong Kong first, Switzerland second and the USA third, with Singapore, Sweden, Denmark, Ireland, the Netherlands, Norway and Canada completing the top 10.

          Besides China Hong Kong and Singapore, the research suggests Asia's competitiveness has declined markedly overall since the publication of last year's ranking.

          Taiwan (14th), Malaysia (19th), Korea Republic (29th) and Indonesia (48th) have all suffered significant falls from their 2015 positions, while only China Mainland stayed in the top 25.

          Professor Arturo Bris, Director of the IMD World Competitiveness Center, said: "On the whole, there has been a significant drop in Asia's competitiveness since our last ranking.

          "This general decline has been caused by the fall in commodity prices, a strong dollar and the deterioration of balance sheets in both the private and public sectors."

          Professor Bris added that China Hong Kong's consistent commitment to providing a favorable business environment had been central to its ability to defy the region's wider woes.

          A leading banking and financial center - like Singapore - the territory encourages innovation through low and simple taxation and imposes no restrictions on capital flows.

          It also offers a gateway for foreign direct investment in Mainland China, the world's newest economic superpower, and enables businesses there to access global capital markets.

          IMD analyses over 340 criteria derived from four principal factors - economic performance, government efficiency, business efficiency and infrastructure - to produce its rankings.

          Professor Bris said: "One crucial fact that our research underlines year after year is that current economic growth is by no means a guarantee of future competitiveness.

          "The common pattern among all of the countries in the top 20 is their focus on business-friendly regulation, physical and intangible infrastructure and inclusive institutions."

          IMD business school [http://www.imd.org ] has published the ranking each year since 1989.

          More details of the ranking are available at https://worldcompetitiveness.imd.org/Press - Please contact IMD media relations for press credentials.



Monday, May 30, 2016

New Diamond Technology ทำลายสถิติอีกครั้งดัวย 4 เพชรสังเคราะห์เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก

          New Diamond Technology (NDT) จากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เตรียมพิสูจน์เทคโนโลยีการสังเคราะห์เพชรในห้องแล็บที่ปฏิวัติวงการ ด้วยการอวดโฉมเพชรสังเคราะห์ 4 เม็ดที่ได้รับการรับรองสถิติใหม่ในฮ่องกงโดยสถาบัน International Gemological Institute (IGI) ในมหกรรมอัญมณี JCK Las Vegas ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 มิถุนายน 2559 ที่บูธหมายเลข B41184 ในโซน "First Look"



          เพชรเหลี่ยมมรกต – น้ำหนัก 5.27 กะรัต เกรดความสะอาดระดับ VS1 สี Fancy Deep Blue
          เพชรสังเคราะห์เหลี่ยมมรกตสีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

          เพชรรูปหัวใจ – น้ำหนัก 5.26 กะรัต เกรดความสะอาดระดับ VVS1 สี Fancy Deep Blue
          เพชรสังเคราะห์รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

          เพชรแฟนซี – รูปหัวใจ น้ำหนัก 5.05 กะรัต เกรดความสะอาดระดับ VS2 D
          เพชรสังเคราะห์รูปหัวใจไร้สีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

          เพชรทรงกลม – น้ำหนัก 5.06 กะรัต เกรดความสะอาดระดับ VS2 D
          เพชรสังเคราะห์ทรงกลมไร้สีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก


          "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสนำเสนอเพชรสุดพิเศษของเราในมหกรรม JCK Las Vegas ซึ่งเป็นหนึ่งในงานแสดงอัญมณีที่มีชื่อเสียงที่สุด" Tamazi Khikhinashvili ประธานของ NDT กล่าว "ในงานนี้เมื่อปีที่แล้ว เราได้เปิดตัวเพชรสีขาวน้ำหนัก 10.02 กะรัต ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอัญมณี และเราหวังว่าจะสร้างความประหลาดใจให้แก่เพื่อนร่วมอุตสาหกรรมต่อไปเรื่อยๆทุกปี"

          "ตลาดเพชรสังเคราะห์กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำระดับโลกเข้ามาในตลาดนี้มากมาย แสดงให้เห็นชัดเจนถึงแนวโน้มที่เป็นบวก" คุณ Khikhinashvili กล่าวเสริม "ที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับบรรดาแบรนด์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ช่วยกันขับเคลื่อนกลไกในตลาดด้วยตัวเอง"

          เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว NDT ได้เปิดตัวเพชรสีน้ำเงินเหลี่ยมมรกตที่สังเคราะห์โดยฝีมือมนุษย์ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ณ มหกรรม BaselWorld ที่สวิตเซอร์แลนด์ ส่วนในงานนี้ NDT ในฐานะที่เป็นผู้นำทั้งในเรื่องของสี ความใส และขนาดของเพชรสังเคราะห์ จะจัดแสดงเพชรอื่นๆที่มีน้ำหนัก 1.00-4.00 กะรัต สี D-F และ Fancy Blue ซึ่งทั้งหมดได้รับการรับรองจาก IGI เป็นที่เรียบร้อย

          Marc Brauner ซีอีโอร่วมของ IGI Worldwide ยืนยันว่า เทคโนโลยีการสังเคราะห์เพชรของ NDT มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดและสร้างปรากฏการณ์ในทุกๆด้าน ทั้งขนาด ความใส รวมถึงสี และเพชรทั้ง 4 เม็ดคือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน เพราะสามารถทำลายทุกสถิติของเพชรของ NDT ที่เคยได้รับการรับรองจาก IGI ก่อนหน้านี้

          สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NDT ได้ที่ http://ndtcompany.com

          สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IGI ได้ที่ http://igiworldwide.com

          ไฟล์รูปภาพ
          https://www.dropbox.com/sh/m0xfaoq6w0prfc2/AACSotYF6jAF58FaI9kJA0Cla?dl=0

Tech Mahindra เตรียมซื้อกิจการ Target Group หวังต่อยอดบริการ BPaaS รองรับตลาด BFSI





          - เดินกลยุทธ์เสริมสร้างศักยภาพ เพื่อคว้าประโยชน์จากตลาดเทคโนโลยีการเงินที่กำลังเติบโต ด้วยโซลูชั่นอัตโนมัติและการประมวลผลโดยตรง (STP)

          - เพิ่มพูนข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของ Tech Mahindra เพื่อยกระดับบริการแก่ตลาดเอาท์ซอร์สในภาคธนาคาร บริการทางการเงิน และประกันภัย (BFSI) ของสหราชอาณาจักร การผนึกกำลังครั้งนี้ครอบคลุมการพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับตลาดอื่นๆทั่วโลก และโอกาสในการทำ Cross-Selling

          - ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปี (CAGR) ตลอดระยะเวลาสามปีที่ 22% รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญา สัญญาระยะยาวและความสัมพันธ์ที่ Target Group ได้สานต่อกับลูกค้า นำเสนอโอกาสผนึกกำลังเพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับบริษัท

          Tech Mahindra Ltd. ผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้ดิจิตอล การให้คำปรึกษา และการยกเครื่องธุรกิจ ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อซื้อกิจการของ Target Group ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มประมวลผลชั้นนำของสหราชอาณาจักร โดยคาดว่าจะสามารถสรุปข้อตกลงเสร็จสิ้นได้ในไตรมาสสองของปีงบการเงิน 2560 เมื่อได้รับการอนุมัติจากฝ่ายกำกับดูแลแล้ว

          การซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างธุรกิจ BFSI ของ Tech Mahindra ให้แข็งแกร่ง ด้วยการเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญาและแพลตฟอร์ม ซึ่งช่วยวางระบบอัตโนมัติให้กับกระบวนการต่างๆอย่างครบวงจร ทั้งในตลาดเงินกู้ การลงทุน และประกันภัย และยังจะเข้ามายกระดับศักยภาพของ Tech Mahindra พร้อมเปิดโอกาสให้ Tech Mahindra สามารถคว้าส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ในตลาด BFSI ของสหราชอาณาจักรที่มีการใช้จ่ายค่าซอฟต์แวร์และบริการรวมกันถึง 4.5-6 หมื่นล้านปอนด์ต่อปี ทั้งนี้ Tech Mahindra ตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากการดำเนินงานทั่วโลก และยกระดับแพลตฟอร์มที่ว่านี้เพื่อรองรับตลาดอื่นๆ

          ข้อตกลงซื้อกิจการดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ของ Tech Mahindra ในการยกระดับศักยภาพด้านเทคโนโลยีการเงินของบริษัท และผนวกรวมทรัพย์สินทางปัญญาและแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อขับเคลื่อนระบบ Non Linearity และรุกตลาด BFSI โดยแพลตฟอร์มที่ทาง Target Group ได้พัฒนาขึ้นนั้น ช่วยให้ขั้นตอนประมวลผล การบริการ และการบริหารจัดการเงินกู้ การลงทุน และประกันภัย ที่มีความสำคัญและซับซ้อนนั้นทำงานเป็นระบบอัตโนมัติ แพลตฟอร์มนี้นำเสนอบริการอันเป็นเลิศ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีการควบคุม ซึ่งสามารถปรับระบบเพื่อให้บริการตลาดใหม่ๆได้อย่างง่ายดาย

          Target Group มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหราชอาณาจักร ด้วยพนักงาน 740 ราย และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs, Morgan Stanley และ Credit Suisse ผู้ให้บริการเงินกู้อย่าง Shawbrook และองค์กรแบบมีผลประโยชน์ตอบแทนอย่าง Yorkshire Building Society และเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา Target Group สามารถทำรายได้ถึง 51 ล้านปอนด์ โดยความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่าง Target Group กับลูกค้า ช่วยให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Target Group ยังมีโครงสร้างแข็งแกร่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถตรวจสอบรายได้และก่อให้เกิดกระแสเงินสด

          ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า Tech Mahindra ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้นของ Target Group ทั้งหมด 100% โดย Target Group จะยังคงเป็นบริษัทแยกตัวอิสระ และยังคงไว้ซึ่งแบรนด์เดิมที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาด สำหรับคณะผู้บริหารทั้งหมดของ Target จะยังคงอยู่กับบริษัทต่อไป โดยมีความรับปิดชอบในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่

          แพลตฟอร์มที่เป็นกรรมสิทธิ์: บริการที่แตกต่าง

          Target Group ให้บริการแพลตฟอร์ม BPaaS ในแวดวงบริการเงินกู้และการลงทุนแก่ลูกค้าตามโมเดลราคาที่ยืดหยุ่น แพลตฟอร์มดังกล่าวรองรับปริมาณงานได้ค่อนข้างสูงบนระบบอัตโนมัติ ด้วยค่าการประมวลผลโดยตรง (STP) สูงถึง 95%

          การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซอฟต์แวร์ การดำเนินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐาน และความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ Target Group โดดเด่นเหนือคู่แข่ง

          การผนึกกำลังครั้งสำคัญ

          ศักยภาพของ Target Group นับเป็นส่วนเติมเต็มความสามารถในการให้บริการทางไอทีแก่ตลาด BFSI ของ Tech Mahindra และยังยกระดับบริการด้านเทคโนโลยีทางการเงินของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญด้วย การซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลให้ Tech Mahindra ขึ้นแท่นผู้ให้บริการทางการเงิน 3 อันดับแรกของสหราชอาณาจักร ในส่วนของผลิตภัณฑ์เงินกู้และการลงทุนบางประเภทที่มีความซับซ้อน และยังช่วยหนุนการทำธุรกิจของ Tech Mahindra ในยุโรป เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆให้เข้ามาใช้บริการ

          ข้อตกลงซื้อกิจการจะช่วยให้ Tech Mahindra สามารถต่อยอดบริการของตนในภาคเงินกู้ เงินออม การลงทุน และการประกันภัย และยังมอบโอกาสครั้งสำคัญในการทำ Cross-sell โซลูชั่น Tech Mahindra/ Target กับฐานลูกค้าของแต่ละฝั่ง พร้อมส่งเสริมการจำหน่ายแพลตฟอร์มนี้ให้ครอบคลุมตลาดอื่นๆ

          ซีพี กูร์นานี เอ็มดีและซีอีโอของ Tech Mahindra กล่าวว่า "ทรัพย์สินทางปัญญาและแพลตฟอร์มที่ Target Group ได้พัฒนาขึ้นนั้น ช่วยยกระดับธุรกิจเทคโนโลยีการเงินของเราได้เป็นอย่างมาก การซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้เรามีบทบาทอันน่าเกรงขามในตลาด BFSI ของสหราชอาณาจักร โดยมีสถาบันทางการเงินชั้นนำกว่า 50 รายเป็นลูกค้า ข้อตกลงซื้อกิจการนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของเรา ได้แก่ เสริมทัพทรัพย์สินทางปัญญา เพิ่มรายได้จากธุรกิจ BFSI เป็นสองเท่า และขยายธุรกิจในยุโรป ทั้งนี้ เราหวังที่จะให้การต้อนรับบุคลากรของ Target Group สู่ครอบครัว Tech Mahindra"

          แพดดี้ ไบร์น ประธานของ Target Group กล่าวว่า "Target Group ได้มุ่งไปที่การเสริมสร้างความเชี่ยวชาญในแวดวงเงินกู้ การลงทุน และประกันภัย เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในแต่ละตลาดที่เราดำเนินงาน เราเติบโตขึ้นอย่างมากตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ด้วยการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายปัจจุบันอย่าง Pollen Street Capital โดยเราหวังที่จะได้เห็นบริษัทเติบโตต่อไปในระยะต่อไป ทั้งนี้ การผนึกกำลังกับบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอย่าง Tech Mahindra นั้น จะเปิดโอกาสให้เราสามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการยกระดับโซลูชั่นและบริการของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้สร้างทีมบริหารที่แข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งทำให้แบรนด์ของเราได้รับความไว้วางใจในตลาดที่เราดำเนินงาน และเรายินดีที่จะได้มีโอกาสขับเคลื่อนบริการที่ผสานกันระหว่าง Target Group/Tech Mahindra ให้ครอบคลุมภาคส่วนและภูมิภาคใหม่ๆ ในตลาดการธนาคาร บริการทางการเงิน และการประกันภัย"

          เกี่ยวกับ Tech Mahindra

          Tech Mahindra มุ่งมั่นสร้างสรรค์โลกที่เชื่อมถึงกันมากขึ้น ผ่านการนำเสนอบริการและโซลูชั่นเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและตรงตามความต้องการของลูกค้า เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กร หุ้นส่วน และสังคมก้าวไปข้างหน้าตามแนวคิด Rise(TM) บริษัทของเรามีมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้เชี่ยวชาญรวมกันกว่า 105,400 คนใน 90 ประเทศ ที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้ากว่า 800 รายทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้มีบริษัทระดับ Fortune 500 รวมอยู่ด้วยหลายแห่ง แพลตฟอร์มสุดล้ำสมัยและสินทรัพย์หมุนเวียนของเราได้ช่วยหลอมรวมเทคโนโลยีต่างๆไว้ด้วยกัน เพื่อมอบคุณค่าทางธุรกิจที่จับต้องได้ให้แก่ผู้ถือผลประโยชน์ทุกคน ทั้งนี้ Tech Mahindra เป็นบริษัทระดับ Fab 50 ในเอเชีย จากการจัดอันดับของ Forbes ในปี 2557

          Tech Mahindra เป็นส่วนหนึ่งของ Mahindra Group เครือบริษัทที่มีมูลค่า 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีพนักงานรวมกันกว่า 200,000 คนในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เครือบริษัทดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมหลักๆที่มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเป็นผู้นำในแวดวงรถแทรกเตอร์ รถยนต์อเนกประสงค์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจตลาดหลังการขาย และ บริการที่พักแบบ vacation ownership

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อรู้จักเราให้มากขึ้นได้ที่ http://www.techmahindra.com

          เกี่ยวกับ Target Group

          Target Group เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านการจ้างทำกระบวนการธุรกิจ (BPO) และโซลูชั่นซอฟต์แวร์ แก่บรรดาสถาบันการเงินชั้นนำกว่า 50 แห่งทั่วโลก เช่น Goldman Sachs, Morgan Stanley, Credit Suisse, Barclays และ Shawbrook Bank

          แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการเงินอันล้ำสมัยของเราได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านปอนด์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าของเราสามารถปรับขั้นตอนทำงาน การบริการ และจัดการเงินกู้ การลงทุน และการประกันภัยที่มีความสำคัญและซับซ้อนให้ทำงานแบบอัตโนมัติ เรามอบข้อได้เปรียบในการแข่งขันและโอกาสในการเติบโตที่วัดผลได้ โดยนอกเหนือจากบริการ BPO และโซลูชั่นซอฟต์แวร์แล้ว Target ยังจะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกเพื่อคอยให้คำแนะนำในเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการทำงาน การสอบทานธุรกิจ และการปฏิบัติงานให้สอดคล้องมาตรฐาน

          ปัจจุบัน ระบบของ Target มีการประมวลผลบัญชีกว่า 18 ล้านรายการ พร้อมบันทึกการชำระเงินแบบหักบัญชีเป็นจำนวน 3 พันล้านปอนด์ในแต่ละปี ในนามของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Target Group สามารถรับชมได้ที่ http://www.targetgroup.com

          ติดต่อ
          Vikas Jadhav
          หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์
          โทร +91 20 42252839
          อีเมล: vikas.jadhav@techmahindra.com
          investor.relations@techmahindra.com

          Chris Tuite
          รองผู้อำนวยการ
          MRM
          โทร: 0203 326 9925 / 07471 350 810
          อีเมล: chris.tuite@mrm-london.com

          Kirsten Scott
          ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลลูกค้า
          ?clat Marketing
          โทร: +44 (0)1276 486 000, มือถือ: +44 (0)7799 824158
          อีเมล: Kirsten@eclat.co.uk

          แหล่งข่าว: Tech Mahindra

Tech Mahindra to Acquire Target Group - to Augment Platform BPaaS Offerings in BFSI

          - Strategic Move Strengthens Capabilities to Capitalize From the Burgeoning Fintech Market, With Automation and Straight Through Processing

          - Move Consolidates Tech Mahindra's Competitive Advantage to Better Service the UK Banking, Financial Services and Insurance (BFSI) Outsourcing Market. Synergies Include Expansion of the Platform to Other Global Markets, and  Significant Cross-Selling Opportunities

          - Target Group's Three-Year Revenue CAGR Of 22%, Their IP and Long Term Client Contracts and Relationships Represent Significant Revenue Synergy Opportunities

          Tech Mahindra Ltd., a specialist in digital transformation, consulting and business re-engineering, has agreed to enter into an agreement to acquire Target Group, one of the leading processing platform companies in the UK. The transaction is expected to close in Q2 FY17, subject to the receipt of regulatory approvals.

          The acquisition strengthens Tech Mahindra's BFSI practice by access to IP and a platform which helps automate end-to-end processes in the lending, investments and insurance market. The acquisition will enhance Tech Mahindra's capabilities and allow Tech Mahindra to capture a larger share of the GBP 45-60 billion annual spend by UK BFSI companies on software and services. Tech Mahindra intends to leverage its global footprint and enhance the platform to service other markets.

          The acquisition is in line with Tech Mahindra's strategy of expanding its Fintech capabilities and adding IP and platforms to drive non linearity and play aggressively in the BFSI sector. Target Group's proprietary platform automates complex and critical processing, servicing and administration of loans, investments and insurance. The platform helps deliver high quality services with built in compliance in a highly complex and regulated environment. Its capabilities are easily transferrable to new markets.

          Headquartered in the UK, Target Group has 740 employees and a strong client franchise, including leading financial institutions such as Goldman Sachs, Morgan Stanley and Credit Suisse, specialist lenders such as Shawbrook and mutual organisations, such as Yorkshire Building Society. Target Group had revenues of GBP 51 Million in 2015. Target Group's strong client relationships help it generate significant recurring revenues. Target Group also has a strong pipeline which provides for high earnings visibility and cash flow generation.

          As part of the agreement, Tech Mahindra has agreed to purchase 100% of the shares of Target Group. Target Group will remain a standalone entity retaining its existing brand, which has a strong reputation in the marketplace. The entire management team at Target will stay with the business and continue to have full operational responsibility.

          Proprietary platform: differentiated offerings

          Target Group provides BPaaS offerings in the areas of lending and investment products servicing to its clients, on variable pricing models. Its platform operates at considerable volume with high levels of automation, with 95% 'straight through processing'.

          The combination of proprietary software, strong regulatory compliance practice and domain knowledge is a key differentiator for Target Group.

          Significant Synergies

          Target Group's capabilities are highly complementary to Tech Mahindra's strong BFSI IT services capabilities and significantly enhance its Fintech offerings. The acquisition catapults Tech Mahindra to one of the top 3 processors in UK Financial Services for certain complex lending and investment product categories. It also strengthens Tech Mahindra's European presence and adds several new clients.

          The acquisition will help Tech Mahindra to expand its offerings in the lending, savings and investment and insurance sectors. There is also a significant opportunity to cross-sell Tech Mahindra/ Target offerings in each other's client base and extend the platform to other markets.

          CP Gurnani, MD & CEO, Tech Mahindra, says "Target Group's strong IP and disruptive proprietary platform significantly enhances our Fintech offerings. This acquisition will make us a formidable player in the UK BFSI market with over 50 major financial institutions as clients. The acquisition lies at the confluence of several of our strategic priorities - add IP, double BFSI revenue and expand European footprint. We look forward to welcoming Target Group's employees into the Tech Mahindra family."

          Paddy Byrne, Chairman, Target Group, says "Target Group has been focused on building expertise in the lending, investments and insurance sectors, becoming a market leading player in each of our verticals. We have delivered significant growth over the last four years, with the support of our current shareholder, Pollen Street Capital. We now look forward to the next stage in our growth. By joining with the USD 4 billion Tech Mahindra, it will allow us to serve our clients better through greatly expanding the solutions and services we provide. We have built a strong and extremely credible management team which has enabled us to create a strong brand in our chosen markets, and we relish the opportunity to take the combined Target Group/Tech Mahindra proposition to broader sectors and geographies within the Banking, Financial Services and Insurance markets."

          About Tech Mahindra

          Tech Mahindra represents the connected world, offering innovative and customer-centric information technology services and solutions, enabling Enterprises, Associates and the Society to Rise(TM). We are a USD 4.0 billion company with 105,400+ professionals across 90 countries, helping over 800 global customers including Fortune 500 companies. Our innovation platforms and reusable assets connect across a number of technologies to deliver tangible business value to our stakeholders. Tech Mahindra is also amongst the Fab 50 companies in Asia as per the Forbes 2015 List.

          We are part of the USD 16.9 billion Mahindra Group that employs more than 200,000 people in over 100 countries. The Group operates in the key industries that drive economic growth, enjoying a leadership position in tractors, utility vehicles, after-market, information technology and vacation ownership.

          Connect with us on http://www.techmahindra.com

          About Target Group

          Target Group is a leading provider of Business Process Outsourcing (BPO) and software solutions for over 50 major financial institutions across the globe, including clients such as Goldman Sachs, Morgan Stanley, Credit Suisse, Barclays and Shawbrook Bank.

          Our leading fintech platform manages assets in excess of GBP24 billion, enabling our clients to automate complex critical processing, servicing and administration of loans, as well as investments and insurance. We deliver competitive advantage and enable scalable growth. Alongside BPO and software solutions, Target leverages deep domain expertise to advise on process improvement, due diligence, and regulatory compliance.

          Target systems currently process over 18 million accounts and collect GBP3billion of direct debit payments each year on behalf of both private and public sector clients.

          For further information about Target Group, please visit http://www.targetgroup.com

          Contact
          Vikas Jadhav
          Head - Investor Relations
          Phone +91 20 42252839
          Email: vikas.jadhav@techmahindra.com
          investor.relations@techmahindra.com

          Chris Tuite
          Associate Director
          MRM
          0203 326 9925 / 07471 350 810
          chris.tuite@mrm-london.com

          Kirsten Scott
          Account Director
          ?clat Marketing
          T: +44 (0)1276 486 000, M: +44 (0)7799 824158
          Kirsten@eclat.co.uk

          Source: Tech Mahindra

จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เปิดตัว “Johnnie Walker House” ในสนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัม

          ลองจินตนาการถึงการได้ลิ้มลองสก็อตช์วิสกี้รสเลิศของโลก พร้อมโอกาสในการเลือกซื้อวิสกี้หายากที่ไม่มีขายที่อื่น รวมถึงการได้พูดคุยกับแอมบาสเดอร์ผู้มากด้วยทักษะและความรู้ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับการเดินทางครบรสในโลกของวิสกี้ ณ แกลเลอรี่และบาร์ส่วนตัวที่ออกแบบอย่างหรูหราอลังการ สุดท้าย ลองจินตนาการถึงการได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ขณะรอขึ้นเครื่องดูสิ


          ผู้โดยสารที่มาพักผ่อนในเลานจ์ 2 ของสนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัมจะได้สัมผัสกับ Johnnie Walker House(TM) แห่งแรกในยุโรป อันเป็นสถานที่รับรองของแบรนด์สก็อตช์วิสกี้สุดหรูที่เปิดตัวภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Diageo Global Travel และ Schiphol Airport Retail



          Johnnie Walker House ณ สนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัม สานต่อความสำเร็จของการเปิด Johnnie Walker House ในสนามบินหลายแห่งทั่วเอเชีย ทั้งในสิงคโปร์ มุมไบ รวมถึงไต้หวัน และได้รับการออกแบบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักเดินทาง ผ่านการนำเสนอประวัติ ต้นกำเนิด และจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของแบรนด์จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โดยเปิดโอกาสให้ทุกท่านที่มาเยือนได้สัมผัสกับความประณีตและคุณภาพอันเหนือชั้นของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ และเครื่องดื่มของแบรนด์ ผ่านการเดินทางอันครบรสเพื่อสัมผัส ลิ้มลอง และดื่มด่ำส่วนผสมหายากที่ใช้รังสรรค์สก็อตช์วิสกี้อันโด่งดังของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์

          ดั๊ก บักลีย์ กรรมการผู้จัดการของ Diageo Global Travel & Middle East กล่าวว่า "ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้รับฟีดแบคที่ดีเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการเปิดตัว Johnnie Walker House ในสนามบินหลายแห่งทั่วเอเชีย บัดนี้ เราได้นำประสบการณ์สุดพิเศษดังกล่าวมาสู่ยุโรปเป็นครั้งแรก และเรามั่นใจว่าจะสร้างความประทับใจและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในยุโรปอย่างแน่นอน เราต้องการให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างจากร้านค้าในสนามบินทั่วไปโดยสิ้นเชิง พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ซึมซาบเรื่องราวสุดพิเศษของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ และได้ลิ้มรสสก็อตช์วิสกี้ชั้นเลิศของโลก"

          ปีเตอร์-แจน โรเซนเบิร์ก กรรมการผู้จัดการของ Schiphol Airport Retail กล่าวเสริมว่า "Johnnie Walker House ณ สนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัม ช่วยเติมเต็มความพิเศษให้กับเลานจ์ 2 ทั้งยังเปิดโอกาสให้คอวิสกี้และมือใหม่หัดดื่มได้เรียนรู้เกี่ยวกับสก็อตช์วิสกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก ท่ามกลางบรรยาการสุดหรูพร้อมการบริการลูกค้าอันดีเยี่ยม สนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับนักเดินทางในยุโรป และเรายินดีอย่างยิ่งที่เหล่าผู้มาเยือนจะได้สัมผัสประสบการณ์จาก Johnnie Walker House ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะสร้างบรรยากาศร้านค้าในสนามบินให้โดดเด่นและน่าจดจำ"

          Johnnie Walker House ณ สนามบินสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัม มีความสูง 2 ชั้น และตกแต่งด้วยทองแดง น้ำ ข้าวบาร์เลย์ ถ่านหินเลน และไม้โอ๊ค ให้อารมณ์กึ่งแกลเลอรี่กึ่งพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอประวัติอันยาวนานของการผลิตวิสกี้ จุดเด่นของสถานที่นี้ประกอบด้วย "whisky constellation wall" ที่ถ่ายทอดศิลปะแห่งการผสมวิสกี้ของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ และวิธีการทำซิงเกิลมอลต์ รวมถึง "flavour wall" ที่แสดงการผสมผสานศาสตร์และศิลป์ในกระบวนการผสมวิสกี้


          นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถซื้อวิสกี้ได้ที่เลานจ์และบาร์ส่วนตัวสุดหรูบนชั้น 1 ที่ให้บริการตลอดทั้งปีสำหรับสมาชิก Johnnie Walker House และยังสามารถซื้อผลิตภัณฑ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีขายเฉพาะใน Johnnie Walker House เท่านั้น

          เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัว Johnnie Walker House แห่งใหม่ล่าสุดนี้ ลูกค้าสามารถซื้อวิสกี้ Johnnie Walker House(TM) Blue Label(TM) Casks Edition-Schiphol Limited Edition ได้อีกด้วย ขวดวิสกี้รุ่นนี้ออกแบบโดยเมอร์จิน ฮอส ศิลปินดังของเนเธอร์แลนด์ โดยเป็นภาพของ "คนก้าวเดิน" กำลังเดินทางจากสกอตแลนด์ไปยังสคิปโฮลด้วยรองเท้าไม้ขนาดใหญ่ท่ามกลางดอกทิวลิป กังหันลม และจักรยานอันเป็นเอกลักษณ์ของเนเธอร์แลนด์

          นอกจากนี้ ทางแบรนด์ยังวางจำหน่าย Johnnie Walker House Exclusive Collections เป็นครั้งแรกในยุโรปที่ Johnnie Walker House แห่งใหม่นี้ โดยคอลเลคชั่นดังกล่าวประกอบด้วย John Walker & Sons(TM) Master Blenders Collection, Johnnie Walker(R) Epic Dates Collection และ Johnnie Walker House(TM) Zodiac Collection

          กรุณาดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.DRINKiQ.com

          The Johnnie Walker, Master Blenders Collection, Epic Dates Collection, Zodiac Collection, Blue Label(TM) Casks Edition และคำว่า Keep Walking รวมถึงสัญลักษณ์และโลโก้ที่เกี่ยวข้องกับรูป "คนก้าวเดิน" เป็นเครื่องหมายการค้าของ (C) John Walker & Sons 2016

          แหล่งข่าว: Diageo

Luxury Scotch Whisky Embassy Lands in Amsterdam Airport Schiphol


          Imagine sampling some of the world's finest Scotch Whiskies with the opportunity to purchase rare blends available nowhere else. Imagine access to highly skilled and knowledgeable whisky ambassadors taking you on a multi-sensory journey, all cocooned in a luxurious and sumptuously designed gallery and private bar. Now imagine the opportunity to experience this while waiting for your flight.



          Passengers travelling through Lounge 2 of Amsterdam Airport Schiphol will now be welcomed into Europe's first Johnnie Walker House(TM) - a luxury Scotch Whisky embassy launched by Diageo Global Travel together with Schiphol Airport Retail.

          Designed to inspire travellers by bringing to life the history, provenance and pioneering spirit of the Johnnie Walker(R) brand, the Johnnie Walker House Amsterdam Airport Schiphol follows successful airport launches in Singapore, Mumbai and Taiwan. Open to all travellers passing through the lounge, the House allows guests to explore the craftsmanship and exceptional quality of Johnnie Walker and its liquids through a unique sensorial journey to touch, taste and smell the rare elements that make up the famous blends.



          Doug Bagley, Managing Director, Diageo Global Travel and Middle East, said: "Over the past few years, we've had exceptional success and fantastic consumer feedback from our Johnnie Walker House openings in airports across Asia. Now we are bringing this unique experience to Europe for the first time, and we're confident it will similarly surprise and delight consumers in this market. Our aim is to immerse visitors in something totally different from the norm in travel retail, giving them an exclusive insight into the Johnnie Walker story and access to some of the world's finest Scotch Whiskies."

          Peter-Jan Rozenberg, Managing Director, Schiphol Airport Retail, added: "The Johnnie Walker House Amsterdam Airport Schiphol is a fantastic addition to Lounge 2 and a great opportunity for both whisky lovers and novices alike to learn more about the world's bestselling Scotch in an unique luxury lifestyle environment with ultimate customer service. Amsterdam Airport Schiphol is a key hub for travellers in Europe, and we're delighted to bring them the Johnnie Walker House experience as part of our ongoing ambition to create a memorable and captivating travel retail environment."

          Built over two stories, the Johnnie Walker House Amsterdam Airport Schiphol features copper, water, barley, peat and oak in its design, immersing travellers in a part gallery, part museum experience which encapsulates the rich history of the whisky making experience. Key features include a 'whisky constellation wall' dedicated to theJohnnie Walker art of blending, and providing a comprehensive index for Single Malt Scotch Whiskies and a 'flavour wall' showcasing the meeting of science and art in the blending process.

          Guests also have the opportunity to purchase select tasting sessions in the private, luxury bar and lounge on the 1st floor, open year-round to Johnnie Walker House members, and purchase Johnnie Walker House exclusive products available nowhere else.

          To celebrate the opening of the House, a limited edition Johnnie Walker House(TM) Blue Label(TM) Casks Edition - Schiphol Limited Edition, is available exclusively to visitors. Illustrated by local artist Merjin Hos, the bottle shows the iconic Striding Man travelling from Scotland to Schiphol in a large wooden clog surrounded by iconic tulips, windmills and bicycles.



          For the first time in Europe, Johnnie Walker House Exclusive Collections will also be available at retail, through the Johnnie Walker House Amsterdam Airport Schiphol. These Collections include: John Walker & Sons(TM) Master Blenders Collection, Johnnie Walker(R) Epic Dates Collection, and Johnnie Walker House(TM) Zodiac Collection.

          Please drink responsibly, visit http://www.DRINKiQ.com

          The Johnnie Walker, Master Blenders Collection, Epic Dates Collection, Zodiac Collection, Blue Label(TM) Casks Edition and Keep Walking words, the Striding Figure device and associated logos are trademarks (C) John Walker & Sons 2016.

Asia Plantation Capital Welcomes Interns From Local Universities to its Johor Distillery

          Asia Plantation Capital will be providing industrial training for undergraduate students from Universiti Putra Malaysia (UPM) and the International Islamic University Malaysia (IIUM) starting in June 2016.

 


          Asia Plantation Capital's agarwood processing factory in Johor Bahru, Malaysia, will provide industrial training for undergraduates

          Operations at Asia Plantation Capital's purpose-built agarwood distillation and research centre has been in full swing for the past year, and is now ready to open its doors to interns from local universities. Asia Plantation Capital Berhad has recently confirmed collaborations with Universiti Putra Malaysia (UPM) and the International Islamic University Malaysia (IIUM) to be a part of these universities' internship or industrial training programmes.

          To commence proceedings, each university is sending one student to the Asia Plantation Capital Johor facility for a period of three months, to fulfil his or her industrial training requirements. The placement will begin in June of this year.

          With UPM, Asia Plantation Capital joins forces with the University's Faculty of Forestry, to provide industrial training for undergraduate students under the Bachelor of Wood Science and Technology programme. The first intern from this faculty will be placed in the Asia Plantation Capital's research and development (R&D) department at the Johor distillery and research centre. Within this department, the intern will be assisting in production processes, and will participate in the developmental research that has been designed to increase oil-producing resins from agarwood.

          Asia Plantation Capital's partnership with IIUM is specifically with the University's Kulliyyah (Faculty) of Engineering. With this collaboration, Asia Plantation Capital is opening its Johor facility to provide industrial training for undergraduates from the Biochemical-Biotechnology Engineering programme, who are required to participate in the Engineering Industrial Training (EIT) programme in order to complete their Bachelor's degree. The first intern from this programme will be assisting in matters relating to inoculation and DNA barcoding of agarwood.

          Steve Watts, Asia Plantation Capital's Chief Executive Officer, Asia Pacific, said, "The objective of industrial training in a university's undergraduate programme is to allow students to gain first-hand experience of the actual working environment in an organisation within an industry. This is always difficult to achieve within the confines of a university's premises or in a purely academic setting. Our distillery and research centre in Johor will be a perfect place for these students, not only to experience working life and to learn how, when and where to apply their skills and knowledge, but also to expose them to the environment of an international company in a purpose-built facility. We hope and expect that these students will learn and grow within the three months of their internship with us," he concluded, "and we encourage more students from UPM and IIUM to join us, see what we're doing, and benefit from a relationship with us during the course of their industrial training."

          Asia Plantation Capital's state-of-the-art agarwood distillation and research centre is located in the Masai Industrial Park, Johor, Malaysia, and has been fully operational since early last year. To mark its first anniversary of operations, Asia Plantation Capital will be celebrating with an official opening ceremony of the facility, which will be launched by YB Datuk Abu Bakar Mohamad Diah, Deputy Minister of the Ministry of Science, Technology and Innovation (MOSTI) on the 2nd of June 2016.

         About Asia Plantation Capital

          Asia Plantation Capital Berhad in Malaysia is currently investing heavily in the Malaysian plantation sector, developing new plantations and factories for the production of agarwood (gaharu) and other associated products for international export markets. The company is further strengthening its presence in Malaysia by moving its headquarters to downtown Kuala Lumpur, a year after opening Southeast Asia's biggest agarwood processing factory and distillery in Johor Bahru, Malaysia.

          The Asia Plantation Capital Group is a multi-award-winning sustainable plantation operator and management company, with projects across four continents, and a global workforce in excess of 2,000. A market leader in the industry, its Scientific Advisory Board is comprised of leading academics from various countries (China, Thailand, Malaysia, India, Switzerland and the United Arab Emirates), who have, between them, developed and patented industry-leading technologies and systems.

          With a focus on commercial plantation projects and vertically integrated businesses that offer a combination of commercial, environmental and community benefits, Asia Plantation Capital has created a successful and dynamic 'triple bottom line' company.

นครปักกิ่งเปิดตัวแคมเปญโปรโมทงานมหกรรมพืชสวนโลก 2019 Beijing Expo เชื่อมั่นประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

          ที่งานมหกรรมพืชสวนโลก Antalya International Horticultural Exposition ในเมืองอันทาเลีย ประเทศตุรกี นครปักกิ่งถือฤกษ์ดีในวัน China National Pavilion Day เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2016 เพื่อเปิดตัวแคมเปญแนะนำและโปรโมตงาน 2019 Beijing Expo ณ อาคารจัดแสดงประเทศจีน China Huayuan Garden ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ร่วมงานได้อย่างล้นหลาม




          โดยเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 27 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่น หลี่ ไห่โป ผู้เชี่ยวชาญการจัดดอกไม้ของจีน ได้รังสรรค์ผลงานสองชิ้นจากไม้ไผ่และดอกไม้ ซึ่งมีฉากหลังเป็นสวนโบราณแห่งซูโจว ผลงานทั้งสองชิ้นได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างมาก ผลงานชิ้นแรกมีชื่อว่า "Tu Po" (ฟันฝ่า) ซึ่งสอดคล้องกับธีม "Eco Life and Beautiful Homeland" ของงาน Beijing Expo ขณะที่ผลงานอีกชิ้นมีชื่อว่า "He Xie" (ความปรองดอง) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกันระหว่างจีนและตุรกี นอกจากการจัดแสดงดอกไม้แล้ว ยังมีการแสดงในโรงละครเล็กมาสร้างสีสันให้กับแคมเปญนี้อีกด้วย หนึ่งในนั้นได้แก่การบรรเลงเพลงพื้นบ้านชื่อดังของจีนอย่าง "Huan Xisha" (ทรายแห่งสายน้ำล้างผ้าไหม)  "Silu Huayu" (ตามทางสายไหม) และเพลงดอกมะลิ โดย Crystal วงออร์เคสตราที่มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ที่เข้ามาชมความงามสุดคลาสสิคของ Huayaun Garden ด้านคณะกายกรรม Gold Lion ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชมผ่านการแสดงชุด "Qiao Huadan" โดยในระหว่างการเปิดตัวแคมเปญดังกล่าว เจ้าหน้าที่จากสำนักประสานงาน Beijing Expo ยังได้มีโอกาสเยี่ยมชมอาคารจัดแสดง 51 แห่งของประเทศศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก เพื่อแนะนำและโปรโมตงานที่ปักกิ่งด้วย

          ผู้อำนวยการสำนักประสานงานเปิดเผยว่า การจัดเตรียมงาน Beijing International Horticultural Exposition กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นระเบียบเรียบร้อย นครปักกิ่งมีความเชื่อมั่นว่างาน 2019 Beijing Expo จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร วิเศษ และยากที่จะลืมเลือน

          ทั้งงาน 2019 Beijing Expo และงาน 2016 Antalya Expo ต่างได้รับการจัดอันดับให้เป็นงานนิทรรศการนานาชาติระดับ A-1 โดยงาน Beijing Expo ภายใต้ธีม "Eco Life and Beautiful Homeland" จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน – 7 ตุลาคม รวมระยะเวลา 162 วัน ที่หยานชิ่ง นครปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ด้วยเช่นกัน