Friday, April 30, 2021

CGTN: จีนส่งโมดูลหลักของสถานีอวกาศเทียนเหอขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จ

การก่อสร้างสถานีอวกาศของจีนยังดำเนินต่อไป โดยโมดูลหลักของสถานีอวกาศเทียนเหอ (Tianhe) ซึ่งมีความหมายว่า "ความสามัคคีแน่นแฟ้นในสรวงสวรรค์" ได้ถูกส่งสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดฉากชุดภารกิจสำคัญของจีนที่ตั้งเป้าสร้างสถานีอวกาศให้แล้วเสร็จภายในปี 2565


เทียนเหอถูกส่งไปยังอวกาศด้วยจรวดขนส่ง Long March-5B Y2 จากศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินชาง บริเวณชายฝั่งมณฑลไหหนานซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีน โดยภารกิจดังกล่าวเป็นภารกิจแรกจากทั้งหมด 11 ภารกิจในการก่อสร้างและจัดเตรียมอุปกรณ์ให้กับสถานีอวกาศจีน


เทียนเหอจะทำหน้าที่เป็นโมดูลหลักของสถานีอวกาศแห่งแรกของจีนอย่าง "เทียนกง" ซึ่งแปลว่าวิมานลอยฟ้า โดยประจำอยู่ในวงโคจรระดับต่ำของโลก


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน กล่าวในแถลงการณ์แสดงความยินดีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ความสำเร็จในการปล่อยโมดูลหลักเทียนเหอแสดงให้เห็นว่า การก่อสร้างสถานีอวกาศจีนได้เข้าสู่ระยะที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นการปูรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับภารกิจต่อไป


ปธน.สีกล่าวว่า การก่อสร้างสถานีอาวกาศและห้องปฏิบัติการอวกาศแห่งชาติถือเป็นเป้าหมายสำคัญในกลยุทธ์ 3 ขั้นของภารกิจการบินอวกาศโดยใช้มนุษย์ควบคุม รวมถึงโครงการสำคัญที่มีเป้าหมายยกระดับความแข็งแกร่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน รวมถึงด้านอวกาศด้วยเช่นกัน


พร้อมกันนี้ ปธน.สีได้เรียกร้องให้สมาชิกที่มีส่วนร่วมในภารกิจทุกคนให้รู้จักพึ่งพาตัวเองและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อคว้าความสำเร็จในภารกิจการก่อสร้างสถานีอวกาศ และสร้างความสำเร็จครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ให้กับการโครงสร้างที่มีความครอบคลุมของจีน


แพลตฟอร์มที่เปิดกว้าง


นายห่าว ชุน ประธานสำนักงานด้านวิศวกรรมอวกาศที่มีมนุษย์ขับเคลื่อนของจีน (China Manned Space Engineering Office) กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษกับ CGTN ว่า สถานีอวกาศแห่งใหม่ของจีนไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อนักวิทยาศาสตร์จีนเท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างให้กับนักบินอวกาศต่างชาติ และพร้อมอ้าแขนรับความร่วมมือด้านการทดลองวิทยาศาสตร์ระดับโลก


นายห่าวกล่าวว่า "จีนและสำนักงานกิจการอวกาศแห่งสหประชาชาติ ได้ประสานความร่วมมือด้านอุปกรณ์สำหรับใช้งานในสถานีอวกาศของจีน โดยเราได้ลงนามในข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว"


จนถึงปัจจุบัน จีนได้คัดเลือก 9 โครงการอวกาศที่ได้รับการเสนอจาก 17 ประเทศรวมถึงฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ในการทดลองรอบแรกซึ่งจะปฏิบัติการในห้องทดลองอวกาศแห่งใหม่


"สำหรับในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องมีนักบินอวกาศต่างชาติเข้ามาร่วมบิน ปฎิบัติภารกิจ และอาศัยบนสถานีอวกาศของจีน ซึ่งในปัจจุบันเรามีนักบินอวกาศต่างชาติที่ได้เข้าร่วมไฟลท์บินกับจีน และเรียนรู้ภาษาจีนด้วย" นายห่าวกล่าว


ผลักดันสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการบินอวกาศ


นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 18 ปธน.สี ร่วมด้วยเลขาธิการใหญ่แห่งคณะกรรมการกลาง CPC ได้มีคำสั่งให้เริ่มดำเนินโครงการหลัก ๆ ในด้านการบินอวกาศ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการบินอวกาศ


"การสำรวจอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล การพัฒนาโครงการด้านอวกาศ และการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านอวกาศ เป็นความฝันที่เราไล่ตามมาตลอด" ปธน.สีกล่าวในวันอวกาศแห่งชาติจีนซึ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2559


ในปี 2563 อุตสาหกรรมอวกาศจีนประสบความสำเร็จในหลายภารกิจด้านอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นการที่จีนสามารถนำดาวเทียมดวงสุดท้ายอย่าง "เป่ยโต่ว" ขึ้นสู่วงโคจรอวกาศได้อย่างสมบูรณ์ในวันที่ 23 มิ.ย. รวมถึงปล่อยจรวดไร้คนขับขึ้นสู่อวกาศในภารกิจสำรวจดาวอังคารเมื่อวันที่ 23 ก.ค., การปล่อยยานไร้คนขับ Chang'e-5 ขึ้นไปเก็บตัวอย่างวัตถุบนดวงจันทร์เมื่อวันที่ 24 พ.ย. และการที่จีนประสบความสำเร็จในการนำยาน Chang'e-5 ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.


https://news.cgtn.com/news/2021-04-29/Tianhe-lifts-off-China-s-space-station-ambition--ZR9lfbX2iA/index.html


วิดีโอ - https://www.youtube.com/watch?v=WHdkt9ncb9M

คำบรรยาย - CGTN: จีนส่งโมดูลหลักของสถานีอวกาศเทียนเหอขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จ

PQE Group ยกปี 2564 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ประกาศทำลายลำดับชั้นในองค์กรพร้อมแผนจ้างพนักงานใหม่ 550 คน

PQE Group บริษัทที่ปรึกษาในภาคเภสัชกรรมและชีวการแพทย์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี และสำนักงานย่อย 26 แห่งทั่วโลก ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ


ในช่วงสิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดทั่วโลก ผลประกอบการของบริษัทเพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้บริษัทเติบโตได้โดยการขยายจำนวนพนักงานและเปิดสำนักงานใหม่ในต่างประเทศ และความเปลี่ยนแปลงของบริษัทมิได้มีเพียงเท่านี้


Gilda D'Incerti  ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง PQE Group ได้แจ้งข่าวที่แท้จริงให้พนักงานทราบในเดือนที่ผ่านมา เกี่ยวกับการเปิดตัวแผนผังองค์กรใหม่ด้วยแนวทางฮิวริสติกที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันและมีส่วนร่วมจากข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริง


โครงสร้างใหม่ของบริษัทเรียกว่า "องค์กรสีทีล (Teal Organization)" ซึ่งคำว่าทีลมีความหมายมากกว่าแค่สี การบริหารดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะด้วยรูปแบบองค์กรที่มีความเป็น "วิวัฒนาการ" ที่ลำดับชั้นแบบดั้งเดิมจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและให้พื้นที่เพื่อความเป็นอิสระมากขึ้นภายในองค์กร แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน รูปแบบองค์กรใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่บุคคลทั้งในแง่มุมการทำงานและมุมมองมนุษย์ทั่วไป รวมถึงการมองพวกเขาในฐานะสมาชิกของส่วนรวม


แนวคิด "องค์กรสีทีล" มาจากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอเมริกา 4.0 ทั้งยังเป็นผลจากการเร่งเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด เพราะแนวคิดดังกล่าวปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว โครงสร้างองค์กรใหม่นี้จะช่วยให้กลุ่มบริษัทสามารถปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรใหม่ ที่จะเข้ามารองรับการจัดการนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และอาร์เจนตินา ซึ่งแผนการสรรหาบุคลากรได้คาดการณ์ว่าจะมีพนักงานใหม่ประมาณ 250 คนในอิตาลี และ 300 คนในบริษัทสาขาอื่น ๆ


ปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานมากกว่า 900 คนทั่วโลก ซึ่งพนักงาน 150 คนในจำนวนนั้นได้รับการว่าจ้างในไตรมาสแรกของปี 2564 พนักงานเหล่านี้เป็นผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ เคมี ชีววิทยา และเภสัชศาสตร์ และหลายคนมีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศเป็นอย่างดี


ยิ่งไปกว่านั้น แผนพัฒนานี้ยังสนับสนุนพันธกิจขององค์กร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจ้างคนจำนวนมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงเพศ อายุ เชื้อชาติ หรือศาสนา เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีจริยธรรม ซึ่งความหลากหลายเป็นจุดแข็งที่แท้จริงและเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ


โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1332110/PQE_Group_Logo.jpg

2021, a turning point for PQE Group: no more internal hierarchy and a hiring plan of 550 new employees

PQE Group, a consulting company in the pharmaceutical and biomedical sector headquartered in Florence, Italy with 26 offices worldwide, has announced important changes.


By the end of 2020, a year marked by the global pandemic, the company's turnover increased by 10% and allowed it to grow by expanding its staff and opening new foreign offices. But not just that.


The real news was announced to the employees last month by Gilda D'Incerti, CEO and founder of PQE Group, and concerns the introduction of a new organization chart with a heuristic approach that is based on shared and participatory decisions from real-world input.


This new company structure is known as a "Teal Organization" in which the word teal identifies more than just a colour. It is characterized by a so-called "evolutionary" organizational model: traditional hierarchy is left behind and gives more space to greater independence within the organization while still sharing one common purpose. This new organizational model focuses on the person from both a professional and a human point of view, as well as viewing them as a member of a common whole.


The concept of "Teal Organization" comes from the transformation of American 4.0 industries and this type of transition's strong acceleration during the period of the pandemic, thanks to its nature of having to adapt quickly to changes. This new organizational structure will allow the group to improve the management of new resources, which will also help with handling the new legal entities established in the United Kingdom, France and Argentina. In fact, the recruitment plan forecasts the entry of about 250 new employees in Italy and 300 in the local subsidiaries.


The company currently has more than 900 employees worldwide, of which 150 were already hired in the first quarter of 2021. Among them are graduates in scientific subjects such as biotechnology, medicine, chemistry, biology, and pharmacy, and many possess a good knowledge of foreign languages.


This development plan further supports the corporate mission, which involves hiring the largest number of people regardless of sex, age, race or religion, to create an ethical work environment in which diversity is the real strength and key to success.


Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1332110/PQE_Group_Logo.jpg

Yili Group Achieves Remarkable Growth in 2020 Annual Report, and Announces Record First Quarter 2021 Results

 


      On April 28, Yili released its 2020 annual report. According to the data, the company's total revenue reached RMB 96.886 billion and net profit attributable to the parent company was RMB 7.078 billion, highlighting the company's healthy growth trend and excellent profitability. The Q1 2021 report released at the same time showed that the company's total revenue in the first quarter reached RMB 27.363 billion, a YOY increase of 32.49%, of which the net profit attributable to the parent company was RMB 2.831 billion, a YOY increase of 147.69%.

Strengthening the Competitive Advantage of the Whole Industry Chain

In terms of products, the Company continued to promote product optimization, with the sales revenue of key products recording a YOY increase of 9.6%. In addition, Yili has been continuously exploring new growth points through innovation. The Company's sales revenue for new products accounted for 16% of total sales revenue.

In terms of channels, the Company actively expanded new retail models on e-commerce platforms, with a YOY growth of 55%. The Company's market share of retail sales for UHT milk on e-commerce platforms was 28.1% during the same period, ranking first in the UHT milk market segment.

In addition, the Company has steadily promoted its business in Oceania, Southeast Asia, and other overseas markets.

Focus on "Consumers-Oriented" Strategy

Consumers-orientation not only means understanding consumers and attaching great importance to them, but also changing the Company's role to be a "true fan" of consumers, said Pan Gang.

The Company promoted cooperation across the industry chain, continued to invest more in R&D, technology, and innovation, and continuously innovated its product categories and accelerated the layout of health business by relying on a global network connecting Asia, Europe, Oceania, and the Americas, and using big data to gain insights of consumers.

Creating Common Prosperity of Commercial and Social Value

After China announced its goal of achieving carbon neutrality by 2060 last year, Yili, positively making a response to this call by releasing its own vision of carbon neutrality, was the first dairy company committed to do so in China.

In the future, Yili will continue to build a "global health ecosystem", take the lead in promoting the sustainable development through the common prosperity of both commercial and social value.

Yili Group รายงานผลประกอบการปี 2563 เติบโตสดใส พร้อมรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2564 แข็งแกร่ง

เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา Yili ได้รายงานผลประกอบการปี 2563 โดยบริษัทมีรายได้รวม 9.6886 หมื่นล้านหยวน และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทแม่ 7.078 พันล้านหยวน ซึ่งตอกย้ำแนวโน้มการเติบโตอันแข็งแกร่งของบริษัทและผลกำไรอันดีเยี่ยม ขณะเดียวกัน บริษัทได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2564 โดยบริษัทมีรายได้รวม 2.7363 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32.49% เมื่อเทียบรายปี และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทแม่ 2.831 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 147.69% เมื่อเทียบรายปี

เสริมแกร่งความสามารถด้านการแข่งขันในห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ในแง่ของผลิตภัณฑ์ บริษัทยังคงเดินหน้าปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์หลักเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ Yili ยังเดินหน้าสำรวจจุดเติบโตใหม่ ๆ ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ใหม่คิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้จากการขายทั้งหมด

ในแง่ของช่องทางจัดจำหน่าย บริษัทได้ขยายการค้าปลีกรูปแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยมีการเติบโตถึง 55% เมื่อเทียบรายปี ขณะเดียวกัน บริษัทมีส่วนแบ่งในตลาดค้าปลีกนม UHT ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 28.1% ซึ่งครองอันดับหนึ่งในตลาดผลิตภัณฑ์นม UHT

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าโปรโมทธุรกิจในโอเชียเนีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตลาดต่างประเทศอีกหลายแห่ง

มุ่งเน้นกลยุทธ์ "ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง"

นายพาน กัง ประธานและประธานกรรมการบริษัท Yili Group กล่าวว่า การมุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางไม่ได้หมายความว่าเข้าใจผู้บริโภคและให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทของบริษัทให้กลายเป็น "แฟนพันธุ์แท้" ของผู้บริโภคด้วย

บริษัทส่งเสริมความร่วมมือทั่วห่วงโซ่อุตสาหกรรม รวมทั้งเดินหน้าลงทุนมากขึ้นทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนาหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์และเร่งวางแผนงานธุรกิจสุขภาพ โดยอาศัยเครือข่ายระดับโลกที่เชื่อมโยงเอเชีย ยุโรป โอเชียเนีย และทวีปอเมริกา และใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้าเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภค

สร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ควบคู่กับคุณค่าทางสังคม

เมื่อปีที่แล้ว หลังจีนประกาศบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2603 ทาง Yili ก็ตอบสนองอย่างดีด้วยการประกาศวิสัยทัศน์เป็นกลางทางคาร์บอนของบริษัทเอง โดยถือเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์นมรายแรกในจีนที่ประกาศพันธกิจดังกล่าว

ในอนาคต Yili จะเดินหน้าสร้าง "ระบบนิเวศสุขภาพระดับโลก" เพื่อเป็นผู้นำในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ควบคู่กับคุณค่าทางสังคม

ที่มา: Yili Group


ลิงก์รูปภาพ:

รูปภาพ: http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=390383

XP-PEN รีแบรนด์พร้อมเปิดตัวซีรีส์ใหม่ Deco Fun

 


ความร่วมมือระหว่าง XP-PEN และ Siegel+Gale มีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตของแบรนด์ร่วมกัน

XP-PEN ผู้จัดจำหน่ายแท็บเล็ตปากกาและจอปากกา กำลังรีแบรนด์ร่วมกับ Siegel+Gale บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์แบรนด์ การออกแบบ และประสบการณ์ชั้นนำในเดือนเมษายน 2564 โดย Siegel+Gale เป็นส่วนหนึ่ง Omnicom Group ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NYSE และเป็นกลุ่มการสื่อสารครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพนักงานกว่า 75,000 คนทั่วโลก และให้บริการ 50,000+ แบรนด์ในกว่า 100 ประเทศและดินแดน โดยเอเจนซีของบริษัทได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในเอเจนซีโฆษณาและสร้างแบรนด์ที่สร้างสรรค์ที่สุดในโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี Siegel+Gale ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาแบรนด์ชั้นนำภายใต้ Omnicom ได้ช่วยเหลือแบรนด์ชื่อดังของโลกหลายรายในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยี โดยลูกค้าของพวกเขาประกอบด้วย Google, Adobe, Microsoft, AMD, HP, SAP และอื่นๆ ความร่วมมือในการรีแบรนด์ระหว่าง XP-PEN และ Siegel+Gale มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแบรนด์ที่มุ่งมั่นในอุตสาหกรรมแท็บเล็ตปากกาและจอปากการะดับโลก 

Deco Fun ที่เปิดตัวใหม่ ได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับผู้ใช้ในหลายสถานการณ์ ทั้งการเรียนรู้ออนไลน์, การประชุมทางไกล, การเล่นเกม และวาดภาพ

การใช้แท็บเล็ตปากกาของ Deco Fun สำหรับการเรียนรู้ทางไกลช่วยให้ทั้งนักเรียนและครูสามารถแชร์ความคิดและไอเดียได้แบบเรียลไทม์ ด้วยแปรงและสีที่ไม่จำกัด รวมถึงตัวเลือกรูปแบบต่างๆ เปิดทางให้ผู้ใช้สร้างและแชร์สิ่งที่สอนและนำเสนอได้อย่างง่ายดาย ส่วนในการประชุมทางไกลนั้น Deco Fun ช่วยให้ผู้ใช้แสดงจุดที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเขียนหรือร่างเส้นกราฟและคอมเมนต์บนเนื้อหาที่แชร์ ผู้ใช้ยังสามารถใช้ Deco Fun ในการเซ็นเอกสารแบบดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่การใช้ Deco Fun ในการเล่นเกม OSU! นั้นช่วยให้กดตามจังหวะได้ดีขึ้นเพื่อทำอันดับ ซึ่งการตอบสนองที่รวดเร็วช่วยให้ผู้ใช้ทำผลงานได้ดีกว่าผู้เล่นคนอื่นที่ใช้เมาส์ 

Deco Fun ใช้ได้กับระบบปฏิบัติการ Android, Chrome OS, Linux, Windows และ Mac OS และรองรับโปรแกรม Microsoft Office, Zoom, Skype, Adobe, Photoshop, SAI และอื่นๆ โดยมีให้เลือก 3 ขนาด และ 4 สี เพื่อตอบสนองความต้องการและความจำเป็นส่วนบุคคล

ซีรีส์ Deco Fun จะวางจำหน่ายบน Amazon.com และพาร์ทเนอร์ XP-PEN อื่นๆ ที่ได้ใบอนุญาตในเดือนเมษายน 

Artist Pro 16 TP, XP-PEN จับมือกับศิลปินชื่อดังอย่าง SHAN JIANG ซึ่งเคยร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย โดยจอแสดงผลปากกานี้มีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการควบคุมแบบมัลติทัชและจอความละเอียดสูงระดับ 4K นำมาซึ่งประสบการณ์ธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ซึ่งจะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้  

XP-PEN ร่วมมือกับ Siegel+Gale ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเพื่อจะนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่แก่ผู้บริโภคด้วยซีรีส์ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่แสดงถึงความเชื่อของแบรนด์อย่าง 'ความฝัน ความกล้า ความจริง' เพื่อก้าวเป็นแบรนด์ที่มุ่งมั่นในอุตสาหกรรมแท็บเล็ตปากกาและจอปากกา

เกี่ยวกับ XP-PEN:

XP-PEN คือแบรนด์มีชื่อเสียงระดับโลกที่เชี่ยวชาญในการผลิต การวิจัยและพัฒนา และจำหน่ายแท็บเล็ตปากกา, จอปากกา และปากกาสไตลัส ทีมงานของเรามุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมแบบไม่รู้จบด้วยเป้าหมายที่จะนำศิลปินทุกคนมาสู่ยุคดิจิทัลด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา  

สามารถติดต่อเราได้ผ่านทาง co-marketing@xp-pen.com  


Laiye ระดมทุนได้ 50 ล้านดอลลาร์จากการระดมทุนรอบ Series C+

      Laiye ผู้นำด้านระบบการทำงานอัตโนมัติอัจฉริยะของจีน ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทระดมทุนได้ 50 ล้านดอลลาร์จากการระดมทุนรอบ series C+ ซึ่งเป็นรอบที่ระดมทุนร่วมกันนำโดย Ping An Global Voyager Fund และ Shanghai Artificial Intelligence Industry Equity Investment Fund ร่วมกับ Lightspeed China Partners, Lightspeed Venture Partners, Sequoia Capital China และ Wu Capital

ในรอบปีที่ผ่านมา Laiye ประสบความสำเร็จหลายครั้งผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และระบบอีโคซิสเต็มที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว Laiye ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้เร็วขึ้น แม้เผชิญกับโรคระบาดในขณะนี้ และกำลังให้บริการฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทหลายแห่งที่ติดทำเนียบฟอร์จูน 500, องค์กรของภาครัฐ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMB) รายได้จากการสมัครใช้ซอฟต์แวร์ RPA รายปีของ Laiye ก็พุ่งขึ้นมากด้วยอัตราการเติบโตเมื่อเทียบรายปีถึง 900% ขณะที่ Laiye Chatbot ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ AI ตอบกลับการสนทนาของผู้จำหน่ายระบบทำงานอัตโนมัติอัจฉริยะรายนี้ ยังคงได้รับการตอบรับที่น่าพอใจจากกลุ่มผู้ใช้ด้วย ความสำเร็จต่าง ๆ เหล่านี้ก็สอดคล้องกับ Laiye ซึ่งได้รับกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจในองค์กร และความสามารถในการทำกำไรสำหรับธุรกิจแชทบอทในไตรมาส 4 ปี 2020

LI Wei ซีอีโอร่วม และประธาน Laiye กล่าวว่า การระดมทุนรอบนี้จะนำไปใช้เพื่อการขยายธุรกิจไปทั่วโลก และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยธุรกิจต่าง ๆ ในการสร้างระบบการทำงานอัตโนมัติอัจฉริยะแบบครบวงจร Laiye ตั้งเป้าที่จะส่งเสริมการนำเสนอ RAP ที่มีความสามารถด้าน native AI, สามารถทำงานกับระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น Linux และ Android และติดตั้งลงในแพลตฟอร์มบนคลาวด์ตัวหลัก ๆ ทั้งหมดได้ บริษัทจะยังคงสรรหาบุคลากรระดับหัวกะทิเพื่อมาพัฒนาโซลูชันที่ใช้เฉพาะกับอุตสาหกรรม และพัฒนาระบบอีโคซิสเต็มของนักพัฒนาและพันธมิตรให้แข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน Laiye ดำเนินธุรกิจไปทั่วโลกครอบคลุมทั่วเอเชีย สหรัฐ และยุโรป โดยมีพันธมิตรระดับโลกอย่าง Microsoft, Deloitte, KPMG และ Digital China นอกจากนี้ Laiye ยังประสบความสำเร็จในการตั้งสำนักงานใหม่ในต่างประเทศในสิงคโปร์ เพื่อรองรับการเป็นสำนักงานใหญ่ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัทยังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะหาทางเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะทำความเข้าใจความคาดหวังและเทรนด์ทางเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อรับรองว่าโซลูชันของบริษัทจะมีความหมายกับตลาดเป้าหมาย

Jonathan Larsen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรม Ping An Group และซีอีโอ Ping An Global Voyager Fund ซึ่งนำการระดมทุนในรอบนี้ กล่าวว่า "Laiye ได้สร้างตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำที่ชัดเจนในจีนในวงการที่กำลังมีการเติบโตเร็วมาก และน่าสนใจมากจริงๆ โซลูชันของ Laiye มีความสำคัญเป็นพิเศษกับสถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันในจีนเพิ่งจะเริ่มได้ผลตอบแทนจากการใช้งาน RPA ทั้งนี้ Ping An รู้สึกยินดีมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Laiye เพื่อช่วยให้ Laiye ก้าวไปสู่การเติบโตในระยะต่อไป"

WU Wei กรรมการผู้จัดการ Shanghai Artificial Intelligence Industry Equity Investment Fund ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายล่าสุดของ Laiye กล่าวว่า "Laiye มีความรู้ลึกซึ้งในด้าน RPA รวมทั้งเทคโนโลยี AI เช่น deep learning, NLP และการปฏิสัมพันธ์ที่อาศัยรูปแบบหลากหลาย ประกอบกับความสามารถในการวางโซลูชันแบบเชิงลึกและเบ็ดเสร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาจึงสามารถช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สร้างเครื่องมืออัจฉริยะและโซลูชันกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะสนับสนุน Laiye ต่อไป เพื่อทำให้ผู้เล่นมากขึ้นในวงการนี้ในเซี่ยงไฮ้และที่อื่น ๆ ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีดิจิทัล"

James Mi หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งจาก Lightspeed China ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายแรก ๆ ของ Laiye กล่าวว่า "นับตั้งแต่ที่เราลงทุนใน Laiye ในการระดมทุนรอบก่อตั้งธุรกิจ (seed round) เราก็ได้เห็นการเติบโตของ Laiye จนกลายมาเป็นผู้นำของจีนในด้านระบบการทำงานอัตโนมัติอัจฉริยะ และสร้างชุมชนนักพัฒนาและระบบอีโคซิสเต็มพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของจีนขึ้นมา"

Laiye มีชุมชนขนาดใหญ่ โดยมีนักพัฒนากว่า 400,000 ราย และพันธมิตรกว่า 500 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจีน และกำลังเร่งขยายชุมชนนอกจีนอย่างรวดเร็วผ่านพันธมิตรต่าง ๆ อาทิ SAMART RAASPAL จากไทย

Wang Guanchun ประธานและซีอีโอ Laiye กล่าวว่า "Laiye ได้พัฒนาชุมชนนักพัฒนาให้เติบโตขึ้น ด้วยการจัดการแข่งขัน RPA+AI และเปิด bot store ที่เชื่อมโยงธุรกิจ SMB ที่มีความต้องการระบบทำงานอัตโนมัติกับนักพัฒนาที่ทำงานแบบฟรีแลนซ์ Laiye ตั้งเป้าที่จะสนับสนุนชุมชนนักพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลกสำหรับซอฟต์แวร์โรบอท และสร้างตลาดซื้อขายบอทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอีก 3 ปีข้างหน้า เรายังมีแผนที่จะรับรองนักพัฒนาซอฟต์แวร์โรบอท 1 ล้านคนเป็นอย่างต่ำภายในปี 2025 เราเชื่อว่า การทำงานในรูปแบบดิจิทัล (digital workforce) และระบบทำงานอัตโนมัติแบบอัจฉริยะจะเข้าถึงคนทุกสาขาอาชีพทั้งหมด ตราบใดที่คนได้รับการพัฒนาทักษะด้วยความรู้ในด้าน RPA และ AI กันมากขึ้น"

เกี่ยวกับ Laiye

Laiye มีประสบการณ์มากมายในด้าน RPA + AI โดยช่วยให้ธุรกิจและผู้คนทำให้ศักยภาพที่เต็มเปี่ยมของพวกเขาเกิดขึ้นจริง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักร ด้วยโซลูชันในการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย มีการพัฒนาไม่หยุดนิ่ง มีระบบดิจิทัลที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และใช้โค้ดน้อย Laiye ส่งมอบโซลูชัน AI/RPA/NLP แบบเชิงลึกที่สุดและทันสมัยที่สุด เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ มีประสิทธิผล มีประสิทธิภาพ คล่องตัว และประสบผลสำเร็จมากขึ้น บริษัทยังช่วยปลดปล่อยผู้คนเพื่อไปให้ความสำคัญกับการริเริ่มสร้างงานที่มีความสำคัญ เป็นนวัตกรรมใหม่ และมีความสำคัญต่อภารกิจ

เทคโนโลยีที่เป็นแกนหลักได้แก่กระบวนการทำงานอัตโนมัติโดยหุ่นยนต์ (RPA) การทำเหมืองกระบวนการ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ปัญญาประดิษฐ์ในการตอบโต้การสนทนา การรู้จำข้อความ และการจดจำรูปภาพ

www.laiye.com/en


เมืองอัลอูลาเปิดเผยรายละเอียดของ The Kingdoms Institute ศูนย์กลางทางโบราณคดีแห่งใหม่ของโลก พร้อมเผยข้อมูลการค้นพบใหม่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย

      The Kingdoms Institute ศูนย์กลางการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ระดับโลกในเมืองอัลอูลา ได้รับการเปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ โดยจะเป็นแหล่งบุกเบิกการวิจัยและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์มีชีวิตขนาด 22,000 ตารางกิโลเมตรของซาอุดีอาระเบีย

การศึกษาอย่างละเอียดในเมืองอัลอูลาและสถานที่อื่น ๆ ทำให้ค้นพบประเพณีการสร้างอนุสรณ์สถานเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบ ซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสังคมยุคหินใหม่ (Neolithic)

คณะนักวิจัยได้ทำการสำรวจทางอากาศในเมืองอัลอูลาและพื้นที่โดยรอบ ตามด้วยการสำรวจภาคพื้นดินอย่างครอบคลุมและการขุดค้นในพื้นที่เป้าหมาย

The Kingdoms Institute ศูนย์กลางการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ในเมืองอัลอูลา ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศการค้นพบทางโบราณคดีครั้งสำคัญในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ นั่นคือ การค้นพบว่าโครงสร้างอันซับซ้อนในลักษณะอนุสรณ์สถานที่เรียกว่า "mustatil" มีอายุเก่าแก่กว่าที่เคยเชื่อกันมา โดยข้อมูลใหม่ดังกล่าวได้รับการเปิดเผยในวาระครบรอบ 5 ปีของการประกาศวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 และ The Kingdoms Institute จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าว 

รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ https://www.multivu.com/players/uk/8889651-alula-reveals-new-global-hub-for-archaeology-the-kingdoms-institute/ 

ผลการศึกษาและบทสรุปจะได้รับการแจกแจงรายละเอียดและเผยแพร่ผ่านวารสาร Antiquity ในวันที่ 30 เมษายน 2021

The Kingdoms Institute ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ได้รับการจัดตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนจาก Royal Commission for AlUla (RCU) โดย RCU ได้ดำเนินโครงการวิจัยอย่างครอบคลุมทั่วอัลอูลา นำไปสู่การขยายขอบเขตความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในพื้นที่ และกลายเป็นรากฐานทางปัญญาของ The Kingdoms Institute ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลกด้านการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์

เจ้าชายบาดร์ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบียและผู้ว่าการ RCU กล่าวว่า "ด้วยแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียในการปกป้องประวัติศาสตร์ 200,000 ปีของเมืองอัลอูลา มรดกทางวัฒนธรรมของเมืองแห่งนี้จึงได้รับการสืบสานโดย The Kingdoms Institute ซึ่งเป็นศูนย์กลางความรู้ การวิจัย และความร่วมมือระดับโลก ที่มุ่งสำรวจขอบเขตความรู้ทางโบราณคดีและสร้างงานใหม่ในชุมชน นับเป็นสถานที่แห่งการค้นพบและเฉลิมฉลองความสำเร็จ ในขณะที่เราเปิดเผยบทบาทของซาอุดีอาระเบียที่มีต่อมวลมนุษยชาติ"

การศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เราทราบถึงการมีอยู่ของ mustatil แล้ว แต่ mustatil มากกว่า 1,000 แห่งที่ทีมงานของ RCU บันทึกไว้ มีมากกว่าที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า

ทีมงานจาก University of Western Australia ได้ทำการสำรวจทางอากาศและภาคพื้นดินอย่างครอบคลุมด้วยการสำรวจระยะไกล (remote sensing) และเฮลิคอปเตอร์ หลังจากบันทึกภาพทางอากาศเรียบร้อยแล้ว ทีมงานได้สำรวจภาคพื้นดินราว 40 จุด และทำการขุดค้นพื้นที่เป้าหมาย 1 จุด นับเป็นการศึกษา mustatil ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยโครงสร้างโบราณเหล่านี้ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายของซาอุดีอาระเบียคือหลักฐานของการทำพิธีกรรมของมนุษย์โบราณ

การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี เพื่อระบุอายุของฟันและเขาควายที่ค้นพบในโพรงของ mustatil แห่งหนึ่งในเมืองอัลอูลา ซึ่งอยู่ปะปนกับวัตถุอื่น ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะใช้ในพิธีกรรม เผยให้เห็นว่ามาจากยุคหินใหม่ตอนปลาย (Late Neolithic) หรือราว 6,000 ปีก่อนคริสตกาล

การวิจัย mustatil คือเป้าหมายหลักของ RCU โดยโครงการวิจัยทางโบราณคดีทั่วเมืองอัลอูลา ซึ่งรวมถึงการค้นพบ mustatil ได้รับการถ่ายทอดผ่านสารคดีชุด Architects of Ancient Arabia ทางช่อง Discovery Channel 

ศูนย์กลางการค้นพบ

The Kingdoms Institute ได้รับการจัดตั้งขึ้นให้เป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์ระดับโลกสำหรับการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ โดยมุ่งศึกษายุคประวัติศาสตร์และยุคก่อนประวัติศาสตร์ของคาบสมุทรอาหรับ รวมทั้งอนุรักษ์มรดกตกทอดในฐานะจุดเชื่อมสามทวีป โดยการปฏิบัติงานภาคสนามทั่วอัลอูลาได้ช่วยเติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติในพื้นที่นี้

The Kingdoms Institute ได้รับแรงบันดาลใจจากบทบาทของเมืองอัลอูลาในฐานะจุดตัดทางวัฒนธรรม รวมถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการค้าโลก โดยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวิชาการและแหล่งรวมวัฒนธรรมทั้งองค์ความรู้ การสำรวจ และแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเสาหลักของโครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมในเมืองอัลอูลาภายใต้แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan ที่เพิ่งเปิดตัวไปในเดือนนี้

The Kingdoms Institute จะช่วยเติมเต็มเป้าหมายของวิสัยทัศน์ Vision 2030 ในการพัฒนาซาอุดีอาระเบียให้เป็นสังคมที่คึกคัก เศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง และชาติที่เต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นอกเหนือจากการพัฒนาศูนย์กลางประวัติศาสตร์ระดับโลกในเมืองอัลอูลาแล้ว The Kingdoms Institute ยังเตรียมฝึกอบรมนักโบราณคดีรุ่นใหม่ของประเทศและผู้นำในอนาคตของทางสถาบัน เพื่อเปิดโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่ในประเทศ

บ้านถาวรของ The Kingdoms Institute ซึ่งเป็นโครงสร้างหินทรายสีแดงที่สะท้อนถึงอารยธรรมดาดัน (Dadan) ตั้งอยู่ในเขตดาดันของเมืองอัลอูลา บนพื้นที่ 28,857 ตารางเมตร โดยจะเปิดต้อนรับผู้มาเยือนกลุ่มแรกภายในปี 2030 และ RCU คาดการณ์ว่าจะมีผู้มาเยือนปีละ 838,000 คน ภายในปี 2035   

การก่อสร้างสถานที่ดังกล่าวยังคงอยู่ในขั้นตอนของการวางแผน แต่ในฐานะที่เป็นองค์กรวิจัยที่ทำงานมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการก่อตั้ง RCU นักโบราณคดีกว่า 100 ชีวิตจึงได้เริ่มสำรวจ ขุดค้น และศึกษาทั่วเมืองอัลอูลาแล้ว และวัตถุสะสมถาวรของ The Kingdoms Institute ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

แม้ว่าภารกิจของ The Kingdoms Institute จะครอบคลุมประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติในเมืองอัลอูลาที่ยาวนานกว่า 200,000 ปี แต่ "ยุคราชอาณาจักร" ซึ่งประกอบด้วยราชอาณาจักรดาดันและราชอาณาจักรแนบาเทีย ในช่วงราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสตศักราช 106 จะเป็นจุดสนใจหลักของทางสถาบัน

The Kingdoms Institute จะทำภารกิจการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์หลายสิบโครงการทั่วเมืองอัลอูลา ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชา ขณะที่ทีมงานจากสถาบันต่าง ๆ ทั้งในซาอุดีอาระเบียและต่างประเทศได้เริ่มทำงานไปแล้ว เช่น King Saud University ได้วางรากฐานการทำงานอันมีค่ามาตลอด 15 ปี รวมถึงองค์กรอีกหลายแห่ง อาทิ UNESCO, ICOMOS, Centre national de la recherche scientifique จากฝรั่งเศส, Deutsches Archaologisches Institut จากเยอรมนี และ University of Western Australia เป็นต้น

"เราเพิ่งเริ่มบอกเล่าเรื่องราวของราชอาณาจักรโบราณแห่งอาระเบียเหนือที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน" Jose Ignacio Gallego Revilla กรรมการบริหารฝ่ายโบราณคดี การวิจัย และการอนุรักษ์มรดกของ RCU กล่าว "เราค้นพบมรดกทางโบราณคดีในพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งที่ไม่เคยได้รับการจัดแสดงมาก่อนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาก็จะได้รับการนำเสนออย่างที่ควรจะเป็นใน The Kingdoms Institute"

The Kingdoms Institute ไม่เพียงลอกคราบประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองอัลอูลาและอิทธิพลระหว่างวัฒนธรรมผ่านการค้นพบทางโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังพัฒนาโครงการฝึกอบรมเชิงวิชาการและวิชาชีพทั้งในระดับชาติและนานาชาติด้วยวิธีการและเทคนิคที่ทันสมัย เพื่อบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญชาวซาอุดีอาระเบียรุ่นใหม่ให้มาช่วยสานต่อภารกิจของ The Kingdoms Institute จากรุ่นสู่รุ่น

ทั้งนี้ Dr. Abdulrahman Alsuhaibani ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ ขณะที่ Munirah Almushawh ได้รับตำแหน่งนักโบราณคดีหญิงคนแรกที่เป็นผู้อำนวยการร่วมของโครงการทางโบราณคดีในซาอุดีอาระเบีย 

Dr. Rebecca Foote ผู้อำนวยการฝ่ายโบราณคดีและการวิจัยมรดกทางวัฒนธรรมของ RCU กล่าวว่า "เมืองอัลอูลากำลังทำโครงการวิจัยมากมาย และจะก้าวขึ้นเป็นพื้นที่ที่มีการวิจัยทางโบราณคดีคึกคักที่สุดในตะวันออกกลาง เราเพิ่งเสร็จสิ้นการสำรวจพื้นที่ 22,000 ตารางกิโลเมตรทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน และบันทึกจุดที่มีความสำคัญทางโบราณคดีกว่า 30,000 จุด นอกจากนั้นยังทำการขุดค้นพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุด ทำให้ได้รับข้อมูลมากมายโดยเฉพาะเกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย (ราว 6,000-2,000 ปีก่อนคริสตกาล) พร้อมผลการค้นพบอันน่าทึ่ง เช่น ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับ mustatil"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Kingdoms Institute และแผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan ได้ที่ https://ucl.rcu.gov.sa/ 

เกี่ยวกับอัลอูลา

อัลอูลา อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ห่างจากกรุงริยาด 1,100 กิโลเมตร รุ่มรวยด้วยมรดกของมนุษย์และธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ พื้นที่อันกว้างขวาง 22,561 ตารางกิโลเมตร มีทั้งหุบเขาอันเขียวชอุ่ม ภูเขาหินทรายตั้งตระหง่าน และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอายุเก่าแก่หลายพันปี

สถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลอูลาคือเมืองโบราณเฮกรา (Hegra) แหล่งมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เมืองโบราณแห่งนี้มีพื้นที่ 52 เฮกตาร์ และเคยเป็นเมืองสำคัญทางตอนใต้ของราชอาณาจักรแนบาเทีย โดยมีสุสานเกือบ 100 แห่งที่ยังอยู่ในสภาพดีและมีการตกแต่งผนังภายนอกอย่างวิจิตรงดงามด้วยการขุดภูเขาหินทราย ผลวิจัยบ่งชี้ว่าเฮกราคือดินแดนใต้สุดของอาณาจักรโรมัน หลังจากเอาชนะราชอาณาจักรแนบาเทียในคริสตศักราช 106

นอกจากเมืองโบราณเฮกราแล้ว อัลอูลายังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น เมืองโบราณ (Old Town) ที่ล้อมรอบด้วยโอเอซิสโบราณ, ดาดัน (Dadan) เมืองหลวงของราชอาณาจักรดาดัน ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในคาบสมุทรอาหรับในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล, การจารึกและงานศิลปะบนหินหลายพันชิ้นในจาบาล อิกมาห์ (Jabal Ikmah) และสถานีรถไฟฮิญาซ (Hijaz)

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ

The Kingdoms Institute เป็นพหูพจน์และไม่แสดงความเป็นเจ้าของ

ชื่อเมืองอัลอูลาในภาษาอังกฤษสะกดว่า AlUla เสมอ ไม่ใช่ Al-Ula

เกี่ยวกับ Royal Commission for AlUla

Royal Commission for AlUla (RCU) ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาในเดือนกรกฎาคมปี 2017 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ แผนการระยะยาวของ RCU คือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความระมัดระวัง รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้กับชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1499035/Kingdoms_Institute_Conceptual_design.jpg 

Silixa ภูมิใจโซลูชันข้อมูลผ่านไฟเบอร์ของบริษัทได้รับรางวัลยกย่องคุณภาพ

      Silixa Ltd. ผู้อยู่เบื้องหลังโซลูชันข้อมูลผ่านไฟเบอร์ ได้รับรางวัล Queen's Award for Enterprise: Innovation 2021 จากการวางจำหน่ายระบบสุดล้ำอย่าง Carina(R) Sensing System ซึ่งยกระดับความครอบคลุมที่มีความหนาแน่นสูงของเซ็นเซอร์กระจายตัวไปอีกขั้น เหนือกว่าที่พอยต์เซ็นเซอร์ทำได้ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับระบบดังกล่าวในภาคพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน เหมืองแร่ และสิ่งแวดล้อม โซลูชันดังกล่าวช่วยมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่เดิมและพัฒนารูปแบบการใช้งานใหม่ ๆ เพื่อยกระดับความยั่งยืน ลดต้นทุน และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน

รางวัล Queen's Award for Enterprise ให้การยกย่องนวัตกรรมประกอบกับความสำเร็จในการวางจำหน่าย โดยในปี 2018-2020 Silixa มีอัตราการเติบโตต่อปีทำสถิติกว่า 40% และทำยอดขายได้ 22.42 ล้านปอนด์ในปี 2020

Glynn Williams ซีอีโอของ Silixa กล่าวว่า "ด้วยการเปิดตัว Carina Sensing System เมื่อปี 2019 เราได้เพิ่มเดิมพันกับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงของเรา โดยบุกภาคส่วนที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองที่จำเป็นต้องใช้โซลูชันตรวจสอบติดตามที่แม่นยำ การเติบโตอันน่าประทับใจจากกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงคุณประโยชน์ที่เทคโนโลยีนี้มอบให้ในการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ เช่น การดักจับคาร์บอนและการจัดเก็บใต้ดิน ระบบเสริมพลังงานความร้อนใต้พิภพ ระบบติดตามความสมบูรณ์ของเขื่อน ไปจนถึงบ่อน้ำมันและก๊าซใต้ทะเล"

ระบบ Carina Sensing System เป็นเซ็นเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือนแบบไฟเบอร์ออปติกในลักษณะกระจายตัว (DAS) ของ Silixa ซึ่งใช้ไฟเบอร์เอ็นจิเนียร์ตระกูล Constellation ให้ความไวมากกว่าไฟเบอร์มาตรฐานทั่วไปถึง 100 เท่า โดยความไวที่สูงขึ้นนี้ช่วยจัดการกับความท้าทายในการวัดที่นับวันยิ่งปรากฏให้เห็นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และปูทางสู่การให้บริการโซลูชันตรวจสอบแบบต่อเนื่องในราคาเอื้อมถึงในตลาดของ Silixa

Mahmoud Farhadiroushan ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารของ Silixa กล่าวเสริมว่า "นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งสำหรับบริษัทของเรา และเรามีความยินดีที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในระดับสากลเช่นนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการทำงานเป็นทีมอันยอดเยี่ยมของ Silixa ตามศูนย์ดำเนินงานของเราทั่วโลก ระบบ Carina Sensing System พัฒนาขึ้นด้วยการสนับสนุนจากนักลงทุนของเราอย่าง Chevron Technology Ventures, Lime Rock Partners และ Equinor Ventures โดยมีบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ๆ เลือกใช้มากมาย ในอนาคตข้างหน้า เราเชื่อว่าขีดความสามารถในการตรวจสอบแบบพาสซีฟของระบบนี้ จะสร้างศักยภาพมหาศาลในภาคส่วนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่อุบัติขึ้นใหม่มากมาย"

Carina Sensing System เปิดโอกาสสู่การพัฒนาโซลูชันดิจิทัลใหม่ ๆ ที่แต่เดิมเป็นไปไม่ได้ โดยจะเข้ามาแก้ไขปัญหาท้าทายทางเทคนิคและสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง :
เกี่ยวกับ Silixa 
รูปภาพ 

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1499363/Silixa_Logo.jpg


Research in north-west Arabia uncovers one of world's oldest series of monumental structures as AlUla reveals details of its new global hub for archaeology - the Kingdoms Institute

      The Kingdoms Institute - AlUla's global hub for archaeological and conservation research announced earlier this month - is providing the platform for pioneering scientific research and discovery in Arabia's 22,000 square kilometre Living Museum.

Detailed study in AlUla and beyond uncovers one of the oldest monumental building traditions yet identified: 'This will transform how we view Neolithic societies.' 

Researchers conducted an unprecedented aerial survey of AlUla and the surrounding region followed by extensive ground survey and targeted excavation. 

The Kingdoms Institute, the recently unveiled centre for archaeological research and conservation studies in AlUla, today announced a significant archaeological discovery in north-west Saudi Arabia: the monumental, complex structures called mustatils are more ancient than previously believed. The update comes on the anniversary of the announcement of Saudi Vision 2030, which was unveiled five years ago this week, and to which The Kingdoms Institute will be a key contributor.

To view the Multimedia News Release, please click: https://www.multivu.com/players/uk/8889651-alula-reveals-new-global-hub-for-archaeology-the-kingdoms-institute/ 

The study and conclusions will be detailed and published in the peer-reviewed journal Antiquity on April 30th, 2021.

The Kingdoms Institute, unveiled earlier this month, was established under the auspices of the Royal Commission for AlUla (RCU). The RCU has been conducting a programme of extensive research across AlUla County that is expanding knowledge of the area's human history while also becoming the intellectual foundation of the institute as a global hub for archaeological research and conservation.

His Highness Prince Badr, the Saudi Minister of Culture and Governor of the RCU, said: "Inspired by His Royal Highness the Crown Prince's Vision for AlUla to protect 200,000 years of history, AlUla's cultural legacy continues with the Kingdoms Institute: a global hub for knowledge, research and collaboration, exploring the frontiers of archaeology and unlocking new careers for our community. A place for discovery and celebration, as we unfold Arabia's contribution to humanity."

Largest study to date

While the existence of the mustatils was previously known, the more than 1,000 mustatils that the RCU-commissioned team recorded are roughly twice as many as were previously identified.

The unprecedented aerial and ground research by a team from the University of Western Australia surveyed vast stretches of the region by remote sensing and helicopter. After recording their presence from the air, the team then explored some 40 at ground level and excavated one - altogether constituting the largest study of mustatils to date. These ancient structures in the Arabian desert provide early evidence of ritual activity.

Radiocarbon dating of a cattle horn and tooth that were found in a chamber at one mustatil in AlUla, and which, along with others, appear to have been used as ritual offerings, revealed a Late Neolithic, sixth-millennium BC date.

Mustatil research is a priority for the RCU. The campaign of archaeological research across AlUla, including the mustatil discoveries, is currently featured in the Discovery Channel documentary series Architects of Ancient Arabia.

A centre of discovery                                      

The Kingdoms Institute is being established as a world-class scientific centre for archaeological and conservation research, dedicated to the study of the history and prehistory of the Arabian Peninsula and aiming to preserve its legacy as the crossroads connecting three continents, supported by fieldwork across AlUla County that is already filling gaps in the region's natural and human history.

Inspired by the role of AlUla as a cultural crossroads and its historical importance in the global cultural and trade exchange, the Kingdoms Institute will be an academic centre as well as a cultural platform for knowledge, exploration and inspiration. It will be one of the pillars of the cultural infrastructure in AlUla within The Journey Through Time Masterplan, launched this month.

The Kingdoms Institute will help fulfill Vision 2030's goal of advancing Saudi Arabia as a vibrant society, a thriving economy and an ambitious nation. In addition to developing a global hub on the AlUla County's history, The Kingdoms Institute will also train the next generation of Saudi archaeologists and future leaders of the institute, opening new avenues for the nation's young professionals.

The Kingdoms Institute's permanent home, a red-sandstone structure that will echo the monumental works of the Dadan civilisation, will open its doors to its first visitors by 2030. The RCU estimates that the institute will have 838,000 visitors a year by 2035 in a permanent home covering 28,857 square metres at its location in the Dadan District of AlUla.

Its permanent physical presence is still in the planning stages, but as an active research organisation since the inception of the RCU, over 100 archaeologists are already digging, surveying and conducting associated studies across AlUla during seasonal fieldwork. The institute's permanent collection is growing as well.

Although the Kingdoms Institute's mandate covers AlUla's 200,000 years of human and natural history, the 'era of the kingdoms' - the time of the Dadan, Lihyan and Nabataean kingdoms circa 1000 BCE to 106 CE - will be an area of emphasis for the institute.

The institute will have under its scope dozens of archaeological and conservation missions involving experts of multiple allied disciplines working across AlUla County. Already efforts involve teams from Saudi and international institutions, including King Saud University - which has performed invaluable groundwork at AlUla over the past 15 years - as well as UNESCO, ICOMOS, France's Centre national de la recherche scientifique, Germany's Deutsches Archaeologisches Institut and the University of Western Australia, among others.

"We have only begun to tell the hidden story of the Ancient Kingdoms of North Arabia," said Jose Ignacio Gallego Revilla, the RCU's Archaeology, Heritage Research and Conservation Executive Director. "There is much more to come as we reveal the depth and breadth of the area's archaeological heritage, which for decades has been under-represented, but which will finally have the showcase it deserves in the Kingdoms Institute."

Not only will the institute peel back the layers of AlUla's deep history and inter-cultural influence through the lens of archaeological discovery, but also develop national and international training programmes, academic and vocational, highlighting state-of-the-art methods and techniques, deeply investing in the next generation of Saudi specialists to sustain The Kingdoms Institute for generations to come.

Progress has already been made with the appointment of Dr Abdulrahman Alsuhaibani as Acting Director of Museums and Exhibitions, as well as Munirah Almushawh, as the first female archaeologist co-directing an archaeological project in Saudi Arabia.

Dr Rebecca Foote, Director of Archaeology and Cultural Heritage Research for RCU, said: "With the many research programmes under way, AlUla County is becoming the most active area of archaeological research in the Middle East. We have just completed surveying its more than 22,000 sq km of terrain from the air and on the ground and recorded more than 30,000 areas of archaeological significance. Targeted excavations at more than 50 of those sites are providing data to inform especially later prehistory (circa 6,000-2,000 BCE) with astonishing results such as our new insights into the mustatils."

To learn more about the Kingdoms Institute and The Journey Through Time Masterplan, visit https://ucl.rcu.gov.sa/

About AlUla

Located 1,100km from Riyadh in north-west Saudi Arabia, AlUla is a place of extraordinary natural and human heritage. The vast area, covering 22,561km?, includes a lush oasis valley, towering sandstone mountains and ancient cultural heritage sites dating back thousands of years.

The most well-known and recognised site in AlUla is Hegra, Saudi Arabia's first UNESCO World Heritage Site. A 52-hectare ancient city, Hegra was the principal southern city of the Nabataean Kingdom and is comprised of nearly 100 well-preserved tombs with elaborate facades cut into sandstone outcrops. Current research suggests Hegra was the most southern outpost of the Romans after conquering the Nabataeans in 106 CE.

In addition to Hegra, AlUla is home to a series of fascinating historical and archaeological sites such as: an Old Town surrounded by an ancient oasis; Dadan, the capital of the Dadan and Lihyan Kingdoms, which is considered one of the most developed 1st-millennium BCE cities of the Arabian Peninsula; thousands of ancient rock art sites and inscriptions in Jabal Ikmah; and Hijaz Railway stations.

Note to editors:

Kingdoms Institute is plural, no possessive.

It is always AlUla / not Al-Ula

About the Royal Commission for AlUla

The Royal Commission for AlUla (RCU) was established by royal decree in July 2017 to preserve and develop AlUla, a region of outstanding natural and cultural significance in north-west Saudi Arabia. RCU's long-term plan outlines a responsible, sustainable, and sensitive approach to urban and economic development, that preserves the area's natural and historic heritage, while establishing AlUla as a desirable location to live, work, and visit. This encompasses a broad range of initiatives across archaeology, tourism, culture, education and the arts, reflecting a commitment to meeting the economic diversification, local community empowerment, and heritage preservation priorities of the Kingdom of Saudi Arabia's Vision 2030 programme.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1499035/Kingdoms_Institute_Conceptual_design.jpg

CGTN:Tianhe lifts off China's space station ambition

      The construction of China's own space station is underway, with the core module Tianhe, which means "heavenly harmony," sent into space Thursday, kicking off a series of key launch missions that aim to complete the construction of the station by the end of 2022.

Tianhe was carried into space by a Long March-5B Y2 carrier rocket from the Wenchang Spacecraft Launch Site on the coast of south China's Hainan Province. It is the first of 11 missions to build and supply the space station.

Tianhe will act as the foundational module for China's first space station in low-Earth orbit named Tiangong, which means "heavenly palace" in Chinese.

Chinese President Xi Jinping said in a congratulatory message Thursday that the successful launch of the core module Tianhe means that China's space station construction has entered the full implementation stage, which lays a solid foundation for follow-up tasks.

Building a space station and national space laboratory is an important goal of the three-step strategy of China's manned space program, and an important leading project to boost the country's strength in science and technology, as well as in space, Xi said in the message.

He called on all members who participated in the mission to be self-reliant and innovative, to win the overall victory of the space station construction mission, and to make new and greater contributions to the comprehensive construction of a modern socialist country.

An open platform

China's new space station will not just be for Chinese scientists. Foreign astronauts and global cooperation on scientific experiments are most welcome in China's space station, Hao Chun, the director of China Manned Space Engineering Office, said in an exclusive interview with CGTN.

"China and the United Nations Office for Outer Space Affairs carried out cooperation on applications concerning the use of China's space station. We signed an agreement," said Hao.

So far, a total of nine projects proposed by 17 countries including France, Germany and Italy have been selected for the first round of experiments to be conducted in the new space lab.

"In the future, there will surely be foreign astronauts participating in China's space flight, working and living on our space station. In addition, some foreign astronauts are already participating in Chinese flights and are already learning Chinese," said the director.

Build an aerospace power

Since the 18th National Congress of the Communist Party of China (CPC), Xi, also general secretary of the CPC Central Committee, has personally directed the implementation of major aerospace projects, and promoted China's steady progress to become an aerospace power.

"Exploring the vast universe, developing space programs and becoming an aerospace power have always been the dream we've been striving for," Xi said in an instruction on China's first Space Day on April 24, 2016.

In 2020, China's space industry has produced remarkable achievements: China successfully put into orbit its final Beidou satellite on June 23; an unmanned probe to Mars was sent into space on July 23; an uncrewed mission called Chang'e-5 with the aim of collecting lunar material was launched on November 24 and China successfully landed the Chang'e-5 probe on the moon's surface on December 1.

https://news.cgtn.com/news/2021-04-29/Tianhe-lifts-off-China-s-space-station-ambition--ZR9lfbX2iA/index.html

Video - https://www.youtube.com/watch?v=WHdkt9ncb9M
Caption - CGTN:Tianhe lifts off China's space station ambition

XP-PEN Rebrands and Launches New Series, Deco Fun

XP-PEN, the well-known pen tablet and pen display provider, is working on its rebranding with Siegel+Gale, the leading brand strategy, design and experience consultancy, in April 2021. Siegel+Gale is part of the NYSE-listed Omnicom Group, the world's largest integrated communications group. It employs more than 75,000 people worldwide and serves 5,000+ brands in more than 100 countries and regions, its agencies have long been recognized as some of the world's most creative advertising and branding agencies. With more than 50 years of experience, Siegel+Gale, as a leading brand consultancy under Omnicom, has helped many world-renowned brands in consumer electronics, internet, and technology industries. Their clients include Google, Adobe, Microsoft, AMD, HP, SAP and more. The cooperation for XP-PEN brand's rebranding between XP-PEN and Siegel+Gale aims to develop an aspirational brand in the global pen tablet and pen display industry.

The newly launched Deco Fun is tailored for users in multi-scenarios: online learning, remote meetings, playing games, and drawing.

Using the Deco Fun pen tablet for remote learning allows both students and teachers to share thoughts and ideas in real-time. With infinite brushes and colors, and patterns options, allows users to create and share tutorials and presentations effortlessly. In remote meetings, Deco Fun allows users to express important points more effectively by writing or sketching on the shared content with graphs and comments. Users can even use Deco Fun to quickly sign documents digitally. Using Deco Fun to play OSU! could follow the rhythm better and hit the rankings. The quick response helps users exceed the level of players with a mouse.

Deco Fun is compatible with Android, Chrome OS, Linux, Windows, and Mac OS and supports Microsoft Office, Zoom, Skype, Adobe, Photoshop, SAI, and more. It's available in three sizes and four colors, to meet users personal preference and needs.

The Deco Fun series will be available on Amazon.com and other XP-PEN authorized partners in April.

Artist Pro 16 TP, XP-PEN partnered with the well-known Artist SHAN JIANG who has cooperated with notable world-class brands. This pen display features a perfect combination of multi-touch control and a 4K high-resolution screen, bringing a natural experience with multiple advanced technologies and will launch soon.

XP-PEN, through its collaboration with Siegel+Gale, the global leading brand consultancy, will deliver a new image to its consumers with its series of products and services, embodying its brand belief 'Dream -Brave -True', to be an aspirational brand in the pen tablets and pen display industry.

About XP-PEN:

XP-PEN is an internationally renowned brand specializing in the production, R&D and sales of pen tablets, pen display and stylus pens. Our team is committed to endless innovation with the goal of bringing every artist into the digital era with tools and technology to suit their individual needs.

Feel free to contact us via co-marketing@xp-pen.com

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1499842/XP_PEN_Siegel_Gale_s_cooperation_aims_build_future_brand.jpg

Caption - XP-PEN and Siegel+Gale's cooperation aims to build the future of brand together 

The Empire State Building to Celebrate 90 Years

      New Historical Tours, Giveaways, and Other Year-Long Anniversary Celebrations Planned

The World's Most Famous Building, the Empire State Building (ESB) will celebrate its 90th anniversary May 1, 2021.

"The Empire State Building, the international icon and symbol of dreams, was a record breaker and trendsetter 90 years ago," said Anthony E. Malkin, chairman, president, and CEO of Empire State Realty Trust. "Today she is fully modernized for the 21st century, a world leader in energy efficiency retrofits in the built environment, indoor environmental quality, and on building health practices."

"Since we first opened our doors 90 years ago, the Empire State Building Observatory has been the must-visit for travelers from around the world," said Jean-Yves Ghazi, president of the Observatory. "We've welcomed everyone from the Queen of England to the Queen of Christmas (Mariah Carey) through our doors, and our most important visitors are our Observatory guests from around the world who today visit our brand new, $165 million recreation of our entire experience. With New York reopened as of July 1, we look forward to visits from our fans near and far who can safely travel to celebrate this important anniversary."

Brand-New Offerings for Visitors

To mark 90 years, the Empire State Building will kick off a wealth of new offerings, with more announcements to be made over the course of the year-long festivities.

  • Birthday Lighting: ESB's world-famous tower lights will sparkle in white with a special "90" illuminated in the mast throughout the night.
  • New Historical Tour: The new 90 in 90 Tour will take guests on a 90-year journey in 90 minutes as they explore the building's rich history. Treated as a VIP with their own ESB Ambassador at their side, guests quickly become insiders and go behind-the-scenes at the Empire State Building.
  • 90th Anniversary Collectors' Items: The Empire State Building's gift shop will offer limited edition, 90th Anniversary items available only on-site.
  • Birthday Giveaway: With the purchase of a Sunrise, Premium or All Access ticket to the Observatory, guests will be gifted a complimentary, celebratory 90th anniversary tote bag.
  • David Yurman Window Display: In honor of ESB's 90th anniversary, America's foremost luxury jewelry brand David Yurman will launch its new "Empire Collection" of women's jewelry and men's accessories - all inspired by the Art Deco architectural wonder - with a window display in the building's famed Fifth Avenue lobby. The Empire collection will be available exclusively at David Yurman retail stores and on DavidYurman.com.
  • Sweeping Views with Starbucks Coffee: For the entire month of May, guests who show their Observatory ticket at the 34th Street Starbucks located inside ESB before or after their visit will receive a $0.90 tall, hot or iced coffee and a Starbucks reusable cup while supplies last.

A Reimagined Guest Experience

Since its construction, the Empire State Building has taken pride in its status as the World's Most Famous Building - an international symbol of technology, imagination, and ambition. Recent renovations and a reimagined visitor experience serve as an example for other buildings and attractions across the globe.

  • Reimagination of The Observatory Experience : A five-year, $165 million overhaul of the visitor journey to the 86th Floor Observatory was completed in 2019 and introduced a new dedicated guest entrance on 34th Street, an immersive 10,000 square foot museum, and additional exhibits on the redesigned 80th Floor. A brand-new 102nd Floor Observatory with floor-to-ceiling windows complete the redo. ESB also improved indoor air quality throughout the building and specifically throughout the Observatory Experience with industry-leading MERV 13 filters and AtmosAir bi-polar ionization. The building lives within the larger Empire State Realty Trust real estate portfolio, which was the first in the Americas to achieve the evidence-based, third-party verified WELL Health-Safety Rating for overall health and safety.
  • Sustainability Retrofit Over the last 10 years, the Empire State Building underwent a ground-breaking energy and efficiency retrofit as part of the $550 million Empire State ReBuilding program that transformed it into one of today's most efficient historic landmarks. The building is in the top 20 percent of all Class A commercial assets in the nation and has been recognized by more than ten independent organizations for its sustainability leadership. As a result of these efforts, ESRT earned the highest?possible?GRESB?5 Star Rating and Green Star recognition for sustainability performance in real estate and was named a?Fitwel?Champion for healthy, high-performance buildings. ESB looks forward to a more sustainable future with a recently announced target to reach carbon neutrality by 2030.
  • Updated Tower Lights : In 2012, the Empire State Building upgraded its world-famous tower lights to now display more than 16 million colors. The new lights debuted with the building's first music-to-light show set to Alicia Keys' Girl on Fire and Empire State of Mind. The building recently brought back the classic show during 2020 to bring a moment of joy to all New Yorkers during the pandemic.
  • Restoration of an Art Deco Classic In 2009, the celestial ceiling mural of the Empire State Building's Fifth Avenue Lobby was fully restored. The project used aluminum leaf and 23-karat gold, the same materials from 1931, and took more than 20,000 man hours. Just last year, the silhouette of the Empire State Building was also restored to the original design that influenced various architectural styles. With the removal of various antennas and a new coat of silver waterproof paint, ESB sparkles like new.

"Over the past 90 years, the Empire State Building has been the undisputed landmark of the New York City skyline, with its iconic tower lights that shine as a symbol of hope, strength and perseverance," said Mr. Malkin. "We will continue to innovate and push boundaries in technology, sustainability and tourism to ensure that the Empire State Building remains America's Favorite Building for the next 90 years as well."

Images and b-roll of the Empire State Building's archival footage, Observatory Experience, and signature lightings can be found here. With more news and announcements to come, be sure to follow the Empire State Building on LinkedIn, Instagram, Twitter and Facebook to stay up to date. For more information and to purchase tickets, please visit https://www.esbnyc.com/90.

About the Empire State Building
The Empire State Building, "The World's Most Famous Building," owned by Empire State Realty Trust, Inc. (ESRT: NYSE), soars 1,454 feet above Midtown Manhattan from base to antenna. The $165 million reimagination of the Empire State Building Observatory Experience creates an all-new experience with a dedicated guest entrance, an interactive museum with nine galleries, and a redesigned 102nd Floor Observatory with floor-to-ceiling windows. The journey to the world-famous 86th Floor Observatory, the only 360-degree, open-air observatory with views of New York and beyond, orients visitors for their entire New York City experience and covers everything from the building's iconic history to its current place in pop-culture.  Learn more at www.esbnyc.com.  2021 is the 90th anniversary year of the building which officially opened on May 1, 1931. Declared "America's Favorite Building" by the American Institute of Architects, as well as the world's most popular travel destination by Uber and the #1 New York City attraction by Lonely Planet it welcomes more than 4 million annual visitors from around the world.

Since 2011, the building has been fully powered by renewable wind electricity, and its many floors primarily house a diverse array of office tenants such as LinkedIn, Shutterstock, and Global Brands Group, as well as retail options like STATE Grill and Bar, Tacombi, and Starbucks. For more information and Observatory Experience tickets visit esbnyc.com or follow the building's Facebook, Twitter, Instagram, Weibo, YouTube, or TikTok.

About Empire State Realty Trust
Empire State Realty Trust, Inc. (NYSE: ESRT) owns, manages, operates, acquires and repositions office and retail properties in Manhattan and the greater New York metropolitan area, including the Empire State Building, the "World's Most Famous Building." The company's office and retail portfolio covers 10.1 million rentable square feet, as of Dec. 31, 2020, which consists of 9.4 million rentable square feet across 14 office properties, including nine in Manhattan, three in Fairfield County, Connecticut, and two in Westchester County, New York; as well as approximately 700,000 rentable square feet in the retail portfolio. 

Empire State Realty Trust is a leader in energy efficiency in the built environment and sustainability space, with 76 percent of the eligible portfolio ENERGY STAR certified and 100 percent fully powered by renewable wind electricity. As the first commercial real estate portfolio in the Americas to achieve the evidence-based, third-party verified WELL Health-Safety Rating for health and safety, ESRT additionally earned the highest possible GRESB 5 Star Rating and Green Star recognition for sustainability performance in real estate and was named a Fitwel Champion for healthy, high-performance buildings. To learn more about Empire State Realty Trust, visit empirestaterealtytrust.com and follow ESRT on Facebook, Instagram, Twitter and LinkedIn.  

Source: Empire State Realty Trust, Inc.
Category: Empire State Building

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1500293/Empire_State_Realty_Trust_Inc_90th_Anniversary.jpg

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1500294/Empire_State_Building_90th_Anniversary.jpg

Logo - https://mma.prnewswire.com/media/479871/Empire_State_Realty_Trust_Inc_Logo.jpg

Breakthrough, Climate-Friendly ACs: Winners of the Global Cooling Prize Announced

      Manufacturing giants showcased breakthrough technologies with 5X less climate impact than conventional AC units and are planning to bring them to market by 2025.

A global coalition initiated by the Government of India, Mission Innovation, and RMI announced today the winners of the Global Cooling Prize, an international innovation competition to develop super-efficient and climate-friendly residential cooling solutions. Gree Electric Appliances, Inc. of Zhuhai with partner Tsinghua University; and Daikin with partner Nikken Sekkei Ltd. emerged as the two winners among eight Finalists after shattering the perceived ceiling of performance. These companies have produced prototypes that have five times (5X) less climate impact than standard air conditioning units available in the market today. When scaled, such technologies can prevent 132 GT of CO-equivalent emissions cumulatively between now and 2050 and mitigate over 0.5?C of global warming by the end of the century.

Congratulating the winners of the competition, Sir Richard Branson, founder of the Virgin Group said: "A market transformation opportunity for the cooling sector is now a reality. As this incredible achievement begins to be recognized and applauded, it's time for regulators to focus on the policies and standards that will help us bring these technologies to market."

The eight Finalist teams were led by some of the world's largest air conditioner (AC) manufacturers and promising startups from India, China, Japan, the United States, and the United Kingdom.

RMI Chief Executive Officer Jules Kortenhorst highlighted how collaboration across governments, industry, and civil society organizations, resulted in the success of the initiative. "In this decisive decade, let this herald a new era of collaboration to spur innovations and the discovery of viable solutions in the other sectors that are yet to move towards low-carbon, efficient, and clean technologies."

The Prize Finalists, which collectively produce well over 20% of the world's residential room ACs, are determined to bring them to market within the next few years. Gree Electric Appliances, Inc. of Zhuhai, a winner of the Prize, and Qingdao Haier Air Conditioner Gen Corp. Ltd., a partner of Finalist Transaera Inc., have announced their intention to join in the COP26 "Race to Zero Breakthrough" for the cooling sector.

The winners will share the prize purse of US$1 million equally.

CONTACT: Alexandra Chin, 973-262-0002, achin@rmi.org

Video - https://mma.prnewswire.com/media/1499870/Video.mp4