Tuesday, October 31, 2023

เทคโนเปิดตัว "Universal Tone" เทคโนโลยีการถ่ายภาพหลากโทนสีผิว สะท้อนความโดดเด่นของทุกคนในภาพเดียว

          เทคโนเฉลิมฉลองความงามอันหลากหลายของมนุษย์ด้วยการเปิดตัวระบบถ่ายภาพหลากสีผิว "Universal Tone" เทคโนโลยีสมาร์ตโฟนที่ปฏิวัติการถ่ายภาพสีผิว

          เทคโน (TECNO) ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการถ่ายภาพของสมาร์ตโฟนระดับโลก มีความภูมิใจที่ได้เปิดเผยความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ด้านเทคโนโลยีกล้องที่เรียกว่า Universal Tone เทคโนโลยีการถ่ายภาพหลากสีผิวพลังเอไอ (AI) ที่แสนล้ำหน้าของเทคโน ที่ผสมผสานฐานข้อมูลด้านสเปกตรัมและข้อมูลเชิงลึกใหม่ล่าสุดของอุตสาหกรรม เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาขึ้นโดยเทคโนและได้รับการยกระดับผ่านการวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลก โดยนำข้อมูลใหม่ที่เก็บรวบรวมและวิเคราะห์จากงานวิจัยวิทยาศาสตร์มาบูรณาการเข้ากับระบบ ทั้งนี้ เทคโนโลยี Universal Tone เปิดตัวอย่างน่าทึ่งในหนังสั้น "Portrait For Everyone" ที่ผลิตโดยบีบีซี สตอรีเวิร์กส์ (BBC StoryWorks) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม
          Universal Tone ของเทคโนถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อการจับภาพที่แม่นยำและการแสดงผลสีและพื้นผิวของทุกโทนสีผิวอย่างเหมาะสมในการถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟน ซึ่งเทคโนโลยีนี้นำเสนอความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละสีผิวและพื้นผิวได้อย่างแท้จริง พร้อมกับมอบภาพถ่ายบุคคล (portrait) ที่ได้รับการยกระดับอย่างเต็มที่ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนด้วย
          "เทคโนมองการพัฒนาเทคโนโลยีว่าเป็นหนทางในการมอบชุดความคิดเชิงบวกต่อสังคมและอนาคตแก่ผู้บริโภคอยู่เสมอ" คุณแจ็ก กัว (Jack Guo) ผู้จัดการทั่วไปของเทคโน กล่าว "Universal Tone ของเทคโนคือตัวแทนของพันธกิจนี้ โดยอาศัยแนวทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลอย่างเคร่งครัดเพื่อส่งเสริมการถ่ายภาพอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และรับประกันการถ่ายทอดความงดงามที่หลากหลายของผู้ใช้งานทั่วโลกได้ถึงแก่นแท้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าทุกใบหน้าจะปรากฏครบในภาพเดียว"
          เทคโนโลยี Universal Tone ของเทคโนผสมผสาน 3 เอนจินเอาไว้ในขุมพลังเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งได้แก่ Multi-Skin Tone Restoration Engine, Local-Tuning Engine และ AI-Powered Computational Portrait Engine
  • The Multi-Skin Tone Restoration Engine เป็นตัวแทนของสุดยอดการคำนึงถึงความหลากหลายในด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพโทนสีผิว ที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เห็นในเทคโนโลยีโทนสีผิวพลังเอไอก่อนหน้านี้ เอนจินดังกล่าวใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลด้านสเปกตรัมที่หลากหลายที่ใหญ่ที่สุดที่รวบรวมมา โดยเฉพาะสีผิวที่มักถูกมองข้ามในอุตสาหกรรมด้วยวิธีการวิจัยเชิงวิชาการที่ล้ำสมัย ครอบคลุมโทนสีผิวที่หลากหลายเพื่อขจัดอคติภายในเทคโนโลยี เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้สามารถสร้างระดับสีผิวที่ครอบคลุมและปรับแต่งอัลกอริทึมอย่างละเอียดเพื่อแสดงสีผิวได้อย่างแม่นยำ
  • The Local-Tuning Engine ทุ่มเทให้กับการปรับแต่งภาพให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่หลากหลายในโลกความเป็นจริง โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น สภาพแสง ภูมิทัศน์ทางธรณีสัณฐาน และอุณหภูมิสี เพื่อให้คนกับสภาพแวดล้อมดูกลมกลืนกันและได้ภาพที่ออกมาสมบูรณ์แบบ โซลูชันการปรับแต่งออกแบบมาให้เหมาะสมกับภูมิภาคและประเทศต่าง ๆ เพื่อจับภาพแก่นแท้ของแต่ละพื้นที่
  • The AI-Powered Computational Portrait Engine ใช้อัลกอริทึมที่พัฒนาขึ้นเองของเทคโนและแพลตฟอร์มระบบภาพบุคคลเพื่อสร้างประสบการณ์การถ่ายภาพบุคคลที่ได้รับการปรับแต่งอย่างเหมาะสมกับแต่ละคนและแต่ละท้องที่ แพลตฟอร์มการประมวลผลภาพบุคคลนี้ช่วยมอบโซลูชันการยกระดับภาพบุคคลที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความงามและค่านิยมทางวัฒนธรรม ลักษณะใบหน้า และสีผิวอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาค ซึ่งโซลูชันเหล่านี้รวมถึงการยกระดับความแม่นยำของโทนสีผิว พื้นผิว การปรับแต่งการถ่ายภาพโทนสีผิวให้เหมาะสม และการแต่งภาพให้ดูดีเหมาะกับแต่ละบุคคล เพื่อให้มั่นใจว่า ภาพถ่ายบุคคลจะสะท้อนความงามของแต่ละบุคคลจากมุมมองทางจิตวิทยา
          การทำงานร่วมกันของเอนจินทั้ง 3 ตัวนี้ดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของ Universal Tone ของเทคโนออกมา โดยในขั้นแรก Multi-Skin Tone Restoration Engine จะปรับเทียบ (calibrate) และทำให้สีผิวต่าง ๆ ดูดีขึ้น ต่อมา Local-Tuning Engine จะช่วยรองรับการปรับโครงสร้างโทนหน้าและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเพื่อแก้ไขแสงเงา เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละภูมิภาคและสถานการณ์ และท้ายที่สุด AI-Powered Computational Portrait Engine จะใช้อัลกอริทึมที่ถูกปรับให้เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมด้านความงามและข้อมูลเชิงลึกของแต่ละภูมิภาค ซึ่งการปรับแต่งนี้ รวมถึงการรักษาเค้าหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น รอยและปาน ในขณะเดียวกันก็ปรับเส้นใบหน้าให้ดูดีขึ้น เพื่อสร้างภาพบุคคล 3 มิติที่ดูมีรายละเอียดเป็นธรรมชาติ
          ดร.ไคต่า เสี่ยว (Kaida Xiao) รองศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สีและการถ่ายภาพจากมหาวิทยาลัยลีดส์ (University of Leeds) ผู้ให้คำปรึกษาแก่เทคโนระหว่างการพัฒนา Universal Tone กล่าวว่า "เทคโนและผมอาศัยแนวทางการใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาความแม่นยำให้กับการ์ดสีสำหรับโทนสีแต่ละโทนภายในเทคโนโลยี Universal Tone ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องยอมรับโทนสีผิวที่สว่างเกินไปหรือสีซีดจางเกินไปอันเกิดจากข้อมูลที่มีอคติอีกต่อไป การวิจัยที่เราได้ดำเนินการช่วยให้เราฝึกฝนอัลกอริทึม Universal Tone อย่างไร้ซึ่งอคติและแม่นยำ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงสามารถถ่ายภาพที่ชูความหลากหลายได้อย่างแท้จริง"
          ในท้ายที่สุด Universal Tone ของเทคโนช่วยรับประกันว่า เมื่อผู้คนหลากหลายสีผิวมาอยู่ในเฟรมเดียวกัน โทนสีผิวของแต่ละคนจะถูกระบุอย่างแม่นยำและปรับแต่งให้สวยงาม นอกจากนี้ สิ่งที่สวนทางกับเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟนอื่น ๆ คือ การปรับแต่งภาพให้เหมาะสมกับ "แต่ละบุคคล" ของ Universal Tone ไม่เพียงแค่เคารพลักษณะเด่นดั้งเดิมของโทนสีผิวที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำความสำคัญในมุมมองทางจิตวิทยาของการถ่ายภาพบุคคลที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าภาพที่ออกมาสะท้อนตัวเขาได้อย่างแท้จริง โดยรวมแล้ว Universal Tone สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการผ่านความสามารถในการถ่ายภาพความงดงามของความหลากหลาย เฉลิมฉลองความเป็นปัจเจก และนำเสนอภาพถ่ายบุคคลตามจริงซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ร่วมกันของเราได้อย่างแท้จริง
          ในฐานะแบรนด์ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและมีกลยุทธ์การปรับให้เหมาะกับแต่ละท้องถิ่นทั่วโลก เทคโนดำเนินตามปรัชญา "Stop At Nothing" (ไม่มีอะไรหยุดเราได้) เพื่อแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อมอบประสบการณ์ที่สุดยอดที่สุดที่เป็นไปได้ การพัฒนา Universal Tone ของเทคโนถือเป็นอีกก้าวสำคัญในเส้นทางของแบรนด์สู่การสร้างอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนที่คำนึงถึงความหลากหลายมากขึ้น และตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างนวัตกรรมที่ยกระดับและส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ทั่วโลก
          วิดีโอ - https://mma.prnewswire.com/media/2260793/video.mp4

Select the Right Medical-Grade TPU:ICP DAS - BMP Launches a New TPU Series at COMPAMED & IPF Japan 2023

 


          ICP DAS - Biomedical Polymers, Asia's first medical-grade TPU (thermoplastic polyurethane) manufacturer and supplier, will be exhibiting at COMPAMED in Germany and IPF in Japan in November and December 2023. The company proudly presents its new Arothane(TM) ARP-W series loaded with 30-80% Tungsten as the radiopacifier, finishing this year's commitment to networking, marketing, and brand exposure on a high note.

          The radiopaque filler is added in a one-step process instead of a secondary compounding process, allowing the TPU produced to exhibit superior physical properties and processability. Tungsten, renowned for its exceptional radiopacity, makes Tungsten-filled TPU particularly ideal for manufacturing small-dimension or thin-walled devices such as TPU coating for guidewires.
          On display are Alithane(TM) (ALP series), Durathane(TM) (ALC series), and Arothane(TM) (ARP series). All TPU series are made in Taiwan, and available in various colors, radiopaque fillers (Tungsten/Barium Sulfate), and hardness levels. We also accept small order quantities, ranging from 50 to 100 kilograms, providing flexibility for customer-specific needs in the early stages of product development.
          At ICP DAS - BMP, our one clear goal is to focus on research and development and quality management of the TPU pellets we produce. Besides, we offer a diverse range of over 80 products with short delivery times enabled by smart manufacturing.
          ICP DAS - BMP high-quality medical-grade TPU has been selected by clients worldwide to manufacture electromedical devices, advanced catheters used in cardiovascular, urological, gastrointestinal, and cancer treatment procedures, as well as for coating of guidewires and ophthalmic consumables.
          In 2023, the ICP DAS - BMP team participated in more than ten world-leading exhibitions and carried out rounds of customer visits. The holistic after-sales service and technical support we provide allow us to establish strong relationships with clients and partners. If you share our motivation to pursue long-term goals in this field, we sincerely invite you to join us as a distributor.
          Meet with our professionals to learn more about new updates.
          COMPAMED 2023 (Nov 13-16) 
Booth Hall 8b, C09-1, Dusseldorf Trade Fair Centre, Germany
IPF Japan 2023 (Nov 28 - Dec 2)
Booth 50813, Makuhari Messe Convention Center, Japan
          About ICP DAS - BMP 
ICP DAS - BMP is an ISO 13485-certified TPU manufacturer situated in Hsinchu, Taiwan. We have dedicated laboratories for commitment to TPU quality. We conduct physical & chemical properties analysis, mechanical properties, processability, and cytotoxicity analysis. In addition, all TPU series we manufacture are USP Class VI and/or ISO 10993 certified: ISO 10993-4 for hemocompatibility testing, ISO 10993-5 for cytotoxicity testing, ISO 10993-6 for local effects after implantation, ISO 10993-10 for skin sensitization testing, ISO 10993-11 for systemic toxicity testing, and ISO 10993-23 for irritation testing. Our products also comply with REACH and RoHS.
          For more details, please visit our website: https://bmp.icpdas.com/  
          Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2262019/COMPAMED___IPF_Japan_2023.jpg

ไต้หวันพลัสจับมืออาร์เต รวมทีมสร้างเสียงประสานกับซีรีส์ "บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี: คลื่นเทคโนระหว่างไทเปกับปักกิ่ง"

          สารคดีชุดใหม่นำเสนอข้อมูลเจาะลึกวงการเพลงเทคโนใต้ดินของไต้หวันและจีน

          รับชมได้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 ทางไต้หวันพลัส
          ไต้หวันพลัส (TaiwanPlus) และอาร์เต (ARTE) ร่วมกับซอร์บา (ZORBA) และโวลอส ฟิล์มส์ (Volos Films) นำเสนอซีรีส์ 'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี: คลื่นเทคโนระหว่างไทเปกับปักกิ่ง' (BPM ECSTASY: The Techno Wave Between Taipei and Beijing) สารคดีสี่ตอนที่เปี่ยมพลังโดยผู้กำกับโอลิเวอร์ ริชาร์ด (Olivier Richard) พาสำรวจวงการเพลงเทคโนใต้ดินทั้งในไต้หวันและจีนในรูปแบบที่น่าหลงใหลแต่เป็นกันเอง โดยติดตามดีเจหลายคนในขณะที่พวกเขานำทางและตามล่าหากุญแจสำคัญในการจุดประกายชุมชน โดยที่ 'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี' จะเผยแพร่ครั้งแรกผ่านทางช่องยูทูบไต้หวันพลัส ด็อกส์ (TaiwanPlus Docs YouTube Channel) ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ส่วนทางอาร์เตจะเผยแพร่ผ่านช่องทางยูทูบ เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย ในวันที่ 14 พฤศจิกายน สำหรับผู้ชมชาวยุโรป
          'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี' เจาะลึกวงการเพลงเทคโนที่เคยเจริญรุ่งเรืองในไทเปและปักกิ่ง โดยนำเสนอมุมมองที่ใกล้ชิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมย่อยนี้ พร้อมเบื้องหลังของการเป็นดีเจในโลกหลังการแพร่ระบาด โดยตัวซีรีส์จะติดตามดีเจชื่อดังอย่างซังค์ (SUNK) ทามิเอ็กซ์ (tamiX) เอลวิส ที (Elvis. T) และอีกมากมาย เพื่อแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน
          ซีรีส์นี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมย่อยที่มีเอกลักษณ์ ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการเป็นชุมชนนานาชาติ โดยคุณไมเคิล อวี๋ (Michael Yu) ซีอีโอของไต้หวันพลัส เน้นย้ำเรื่องนี้ว่า "ด้วยความพยายามของเรากับอาร์เต เรามุ่งมั่นที่จะเฉลิมฉลองความหลากหลาย แบ่งปันเรื่องราว และส่งเสริมความรู้สึกร่วมกันที่ทุกคนสามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ได้" ซึ่งซีรีส์ 'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี' เกิดจากความร่วมมือระหว่างไต้หวันกับฝรั่งเศสเรื่องแรกในลักษณะนี้ โดยนำเสนอความสามารถในการสร้างภาพยนตร์และการเล่าเรื่องของซอร์บา และโวลอส ฟิล์มส์
          คุณเดวิด เกา (David Kao) โปรดิวเซอร์ของไต้หวันพลัส ก็ได้เน้นย้ำว่า ซีรีส์ 'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี' เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เจาะลึกเข้าไปในส่วนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนในแวดวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในไต้หวันและจีน "โปรเจ็กต์นี้สัญญาว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพลังของดนตรี โดยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรวมเป็นหนึ่งและนำผู้คนมารวมกัน"
          ดูตัวอย่างและคอยติดตามซีรีส์ 'บีพีเอ็ม เอ็กสตาซี: คลื่นเทคโนระหว่างไทเปกับปักกิ่ง' ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=lBnKHS4QM0g
          เกี่ยวกับไต้หวันพลัส
          ไต้หวันพลัส (TaiwanPlus) เป็นผู้ให้บริการข่าวและสาระบันเทิงภาษาอังกฤษชั้นนำระดับโลกจากไต้หวัน โดยนำเสนอข่าวที่น่าเชื่อถือ มุมมองที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ รวมถึงเนื้อหาไลฟ์สไตล์ที่สร้างแรงบันดาลใจโดยเน้นไปที่อาหาร การเดินทาง และความบันเทิง ไต้หวันพลัสตั้งอยู่ในไต้หวัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในดินแดนที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยทีมงานสื่อมวลชนและผู้กำกับที่มีความหลากหลายมุ่งมั่นที่จะนำเสนอข่าวสารและเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระ เพื่อบอกกล่าว จุดประกาย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทั่วโลก สามารถรับชมมุมมองระดับโลกในแง่มุมของไต้หวันได้บนเว็บไซต์ แอปมือถือ ช่องทีวี และช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของเรา
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2261851/BPM_Ecstasy_1920x1080__1.jpg

Embrace Exquisite Living with Innovative Personal Care Products at the 134th Canton Fair

          At Phase 3 of the 134th Canton Fair onsite, held between October 31st and November 4th, "Personal Care Products" exhibition section has been rescheduled from Phase 2 to 3, emerging as a major highlight. Spanning an expansive area of around 11,000 square meters, this section caters to the growing health consciousness and desire for a refined lifestyle among worldwide individuals. It brings together an assortment of offerings, including cosmetics, accessories, skincare and dental care products, presenting global audiences with innovative solutions to enhance their quality of life.

          Guangzhou Xujohn Bio-technique Co., Ltd. presented its Hydrogel Eye Mask at the Canton Fair, a cutting-edge product that embodies their commitment to sustainability. This innovative creation utilizes a smooth gel with a polymer network system, thus it is not only extremely gentle on the skin but also biodegradable. It offers a soft, safe, and non-irritating way to address forehead wrinkles, crow's feet, nasolabial folds, and other concern. For more details, please click https://goo.su/OOWvUw.
          Shanghai Shift Electrics Co., Ltd. brought an array of oral care products to the Canton Fair, where one of their highlights is the smart handheld dental rinser. This rinser features a 360? rotating nozzle design and a fixed-point injection and stop function. The microbubbles it ejects serve to safeguard gums and ensure a cleaner rinse. With 3 rinsing modes and a stable water pressure output, this product effectively addresses tooth sensitivity and caters to diverse oral needs. For details, click on https://goo.su/ahg4S.
          The remarkable entry of Ningbo Jiali Century Group Co., Ltd. into the Canton Fair was marked by the launch of their game-changing razor, incorporating a handle made from an innovative blend of bamboo fiber and metal. By utilizing cutting-edge technology, the cutter head employs an innovative "L" shape integrated six-layer bending blade. This blade is enhanced with a surface nano-level coating, providing users with a significantly smoother and more comfortable usage. Moreover, it boasts twice longevity compared to conventional cutter heads. To access further details, please visit https://goo.su/qEHqmf.
          Personal Care Products showcases a diverse range of innovative products, extending a genuine welcome to buyers worldwide to uncover potential business openings and embrace exquisite living. To gather additional details about the 134th Canton Fair, please visit the official website of the Canton Fair at https://www.cantonfair.org.cn/en-US/posts/646531331412942848, or contact caiyiyi@cantonfair.org.cn.
          Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2261938/image_5003628_22053147.jpg

หัวเว่ยเปิดแล็บสุขภาพแห่งใหม่ในฟินแลนด์ ส่งเสริมการวิจัยด้านสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงในระดับโลก

          หัวเว่ย (Huawei) เปิดตัวแล็บสุขภาพหัวเว่ย (HUAWEI Health Lab) แห่งใหม่ ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ แล็บปฏิบัติการแห่งนี้พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทดสอบที่ก้าวหน้าล้ำสมัย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มการวิจัยสำหรับธุรกิจสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของหัวเว่ย

          แล็บปฏิบัติการแห่งนี้มีขนาดเกือบ 1,000 ตารางเมตร พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์กีฬาระดับโลกหลากหลายประเภท ครอบคลุมกีฬากว่า 20 ชนิด แต่ละพื้นที่จะจัดแสดงอัลกอริทึมสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ด้านกีฬาและความสมบูรณ์แข็งแรงในการใช้งานจริง และในขณะเดียวกัน จะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มวิจัยแบบเปิดที่มีส่วนในการวิจัย การตรวจพบ และการตรวจสอบรับรองทางเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนามาตรฐาน และการบ่มเพาะในภาคอุตสาหกรรม
          ขับเคลื่อนพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์กีฬาและการวิจัยด้านสุขภาพระดับโลก
          หัวเว่ยตระหนักถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรง จึงตั้งมั่นที่จะขยายความลึกของการวิจัยในด้านอัลกอริทึมการติดตามสุขภาพผ่านเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ของหัวเว่ย นำไปสู่การก่อตั้งแล็บสุขภาพหัวเว่ย 3 แห่งทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ประกอบด้วย ในเมืองซีอาน และทะเลสาบซงซานในจีน และขณะนี้มีอีกหนึ่งแห่งในกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
          แล็บสุขภาพหัวเว่ยในฟินแลนด์มีบุคลากรในทีมวิจัยทางวิทยาศาสตร์สหวิทยาการ ประกอบด้วย ด็อกเตอร์ด้านวิทยาศาสตร์ (ปริญญาดุษฎีบัณฑิต) 6 คน ผู้เชี่ยวชาญ 20 คนจาก 5 แขนงสำคัญ ได้แก่ สรีรวิทยา ปัญญาประดิษฐ์ การเรียนรู้ของเครื่องจักร การทดสอบซอฟต์แวร์ และวิศวกรรมซอฟต์แวร์ใน 7 ประเทศในสหภาพยุโรป เช่นนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกด้านของการวิจัยกีฬาและสุขภาพจะสอดรับกับมาตรฐานที่ก้าวหน้าของโลก
          ศูนย์ทดสอบจำลองกีฬาระดับโลก
          แล็บปฏิบัติการแห่งนี้สร้างสภาพแวดล้อมและสภาวการณ์กีฬาที่สมจริงในพื้นที่ทดสอบหลัก 5 จุด ครอบคลุมกีฬามากกว่า 20 ชนิด และติดตามตัวบ่งชี้เชิงสรีรวิทยาและชีวกลกว่า 200 รายการ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รับการทดสอบยังจะถูกติดตามขณะใช้อุปกรณ์สวมใส่รุ่นใหม่ล่าสุดของหัวเว่ย อย่างเช่น หัวเว่ย วอทช์ จีที 4 (HUAWEI WATCH GT 4) พื้นที่หลักทั้ง 5 จุดนี้ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำทวนกระแส เครื่องเล่นสกีจำลอง ลู่มัลติฟังก์ชัน ลู่พร้อมอุปกรณ์ และพื้นที่ยิมแบบเปิดซึ่งรองรับการออกกำลังแบบคาร์ดิโอหลากหลายชนิด
          หัวเว่ยได้สร้างสระว่ายน้ำทวนกระแสของหัวเว่ยเองโดยอิงจากมาตรฐานระดับมืออาชีพ เพื่อให้นักว่ายน้ำประเมินสมรรถภาพการว่ายน้ำของตนได้อย่างเที่ยงตรง สระน้ำดังกล่าวนี้มาพร้อมกับเจ็ตพ่นน้ำที่มีไดนามิกซึ่งสามารถสร้างอัตรากระแสน้ำที่ควบคุมได้สูงสุด 350 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถปรับอุณหภูมิและคุณภาพน้ำได้ด้วย
          เนื่องจากสกียังคงเป็นกีฬายอดนิยมอันดับต้น ๆ ในยุโรป แล็บแห่งนี้จึงนำเสนอเครื่องเล่นสกีจำลอง ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าความเร็ว การลาดเอียง และเส้นทางและไม้ค้ำแบบอินเทอร์แอคทีฟ เครื่องเล่นสกีจำลองนี้ยังมีเซนเซอร์ในตัวที่ตรวจจับความเร็ว ตำแหน่ง มุมการเอียงตัว แรง และข้อมูลสมรรถภาพของผู้ใช้
          ลู่มัลติฟังก์ชันสามารถทดสอบการวิ่ง การปั่นจักรยาน การแข่งรถวีลแชร์ ฯลฯ โดยสามารถปรับความเร็วได้สูงสุด 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลู่ดังกล่าวนี้สามารถนำเข้าข้อมูลจีพีเอ็กซ์ (GPX) จากอุปกรณ์จีพีเอส (GPS) เพื่อจำลองสภาพภูมิประเทศและเส้นทางในโลกจริง เพื่อมอบสภาวการณ์ที่สอดคล้องกับสภาพจริงซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ทดสอบทักษะการวิ่งหรือปั่นจักรยานได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำมากขึ้น จากนั้นกล้องจะตรวจจับสมรรถภาพของพวกเขาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และมอบฟีดแบ็คโดยทันทีเพื่อให้สามารถปรับปรุงเทคนิคได้แบบเรียลไทม์
          จับมือกับสถาบันสุขภาพและกลุ่มการวิจัยในยุโรป รวมถึงการวิจัยสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของสหภาพยุโรป
          เพื่อยกระดับชีวิตของผู้บริโภคอย่างแท้จริงผ่านกีฬาเชิงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุขภาพ หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับสถาบันท้องถิ่นในฟินแลนด์และผู้เชี่ยวชาญในยุโรปอย่างแข็งขัน
          ไอแคร์โฟร์ซีวีดี (iCARE4CVD) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มด้านสุขภาพเชิงนวัตกรรม (Innovative Health Initiative หรือโครงการ IHI) ซึ่งเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมการแพทย์และเทคโนโลยีและสหภาพยุโรป โดยเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยที่ทะเยอทะยานที่สุดในด้านปัญญาประดิษฐ์และโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันหัวเว่ยเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่รายเดียวที่เข้าร่วมในไอแคร์โฟร์ซีวีดี และจะร่วมนำการดำเนินงานที่พัฒนาวิธีเพิ่มแรงจูงใจของผู้ป่วย
          หัวเว่ยได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอินเทอร์ไลฟ์ (Interlive) กับมหาวิทยาลัยระดับท็อปของยุโรป 6 แห่ง โดยมีมาตรฐานการทดสอบที่เป็นวิทยาศาสตร์และเข้มงวดที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ กลุ่มดังกล่าวมุ่งที่จะพัฒนาข้อเสนอแนะการปฏิบัติที่เป็นเลิศสำหรับอุปกรณ์สวมใส่สำหรับผู้บริโภคเพื่อวัดประเมินมาตรวัดแบบโดยตรงและแบบย้อนกลับ ความร่วมมือครั้งนี้เสริมสร้างความเชื่อถือได้ของเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ของหัวเว่ย ประกอบกับทำให้เกิดความถูกต้องเที่ยงตรงทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์สวมใส่หัวเว่ยโดยยึดมาตรฐาน 4 ประการ ได้แก่ อัตราหัวใจเต้น การนับก้าว แคลอรีที่ใช้ไป และการใช้ออกซิเจนสูงสุด
          ปัจจุบัน หัวเว่ยวางแผนที่จะดำเนินความร่วมมือการวิจัยกับมหาวิทยาลัยในยุโรปและศูนย์สุขภาพผู้พิการ เพื่อสานต่อการวิจัยเกี่ยวกับความต้องการของผู้ใช้ที่มีความพิการ ในแง่นี้ ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการด้านกีฬาและการจัดการความสมบูรณ์แข็งแรงของผู้ใช้รถวีลแชร์ และนำมาซึ่งโซลูชันเพิ่มเติม ผู้ใช้สามารถตั้งตารอเทคโนโลยีการติดตามสุขภาพด้านกีฬาและสมรรถภาพที่มีไดนามิกมากขึ้นในอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะในอนาคตของหัวเว่ย
          ปกป้องความลับให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยทุกราย
          หัวเว่ยได้พัฒนาหลักการความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ของหัวเว่ย ขณะที่บริษัทดำเนินการทำงานแบบเปิดร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศบริการสุขภาพและกีฬา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าความร่วมมือเหล่านี้ดำเนินการโดยปฏิบัติตามหลักการด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างเต็มที่ หมายความว่าทุกขั้นของกระบวนการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยการเก็บข้อมูล การอนุญาต การส่งผ่าน และการจัดเก็บ ล้วนปฏิบัติตามหลักการด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2261046/Ski_simulator_Huawei_s_Health_Lab_Finland.jpg

Leon Wang from Huawei: Net5.5G-oriented Products Will Be Launched in 2024, Inspiring New Business Growth of Carriers




Imagine for a moment that you are in 2030, an intelligent world. Immersive experience and digital home services are all the rage, and requirements for AI computing power have snowballed. At the bottom layer of the intelligent world, a network base created from next-generation intelligent network infrastructure is indispensable.

At UBBF 2023, Leon Wang, President of Huawei Data Communication Product Line, delivered a keynote speech titled "Bring Net5.5G to Reality, Inspire New Growth." He announced that Huawei will officially release Net5.5G-oriented products and solutions in 2024.

"In the 5.5G era, four types of services — including home broadband, mobile broadband, enterprise campus, and enterprise private line — will need an upgrade to 10 Gbps, presenting new business opportunities for carriers," Wang stated. He went on to explain that by supporting ubiquitous 10 Gbps connections, elastic ultra-broadband transport, and autonomous network self-optimization, Net5.5G will drive new business growth for carriers.

Access to Four Types of 10 Gbps Ultra-Broadband Services
Drives New Business Growth for Carriers

Emerging new applications are proving hard for traditional static services, experience-based OAM, and 1 Gbps broadband access to deal with. This means flexible, elastic, and high-quality ultra-broadband networks have gone up in demand to support service transmission. Wang pointed out that home broadband, mobile broadband, enterprise campus, and enterprise private line will need an upgrade to 10 Gbps. This is where Net5.5G comes into play.

With the upgrade of home broadband and mobile broadband to 10 Gbps, the IP transport network will evolve to a 400GE converged metro network and backbone network. Carriers will be able to upgrade their IP transport networks to support the high concurrency of massive 10 Gbps services and use new capabilities like network slicing to ensure service experience and improve user satisfaction.

Digital transformation also drives the quality upgrade of enterprise campus networks. By implementing the upgrade to 10 Gbps based on Wi-Fi 7 and leveraging the technology for zero frame freezing during video conferencing, carriers can add enterprise campus networks on top of private lines. In this way, they can provide one-stop services by offering premium Managed LAN services, making it possible to deliver high-quality 10 Gbps wireless connection, video service, and O&M service experience to enterprise customers, thereby accelerating B2B service growth.

As AI permeates various industries, new growth opportunities such as computing services and elastic computing service private lines emerge. With their natural advantages in E2E network and computing assurance, carriers can provide efficient computing power through 800GE data center networks, agile connections to computing power through 10 Gbps elastic private lines, and computing power services for more users through high-throughput computing power access.

Net5.5G Network Digital Map is also critical in helping carriers make their network operations far more efficient. It enables network visualization from the physical layer to the application layer, helping carriers realize experience-driven network self-optimization, significantly improve network management efficiency, and reduce the operating expense (OPEX) by 50%.

Net5.5G-oriented Series Products to Be Released in 2024

In October 2022, Omdia released a white paper entitled Research on the Trends of Data Communication Network for 2030. The paper detailed the core intention and 6 key characteristics, such as green ultra-broadband, IPv6 Enhanced, and intelligent network, of the future data communication network, providing insights to the network evolution of a digital world.

Net5.5G has received growing recognition from industry partners since the concept was first proposed. With its years of experience accumulated in the data communication field, Huawei is proactively driving Net5.5G from just conceptual research to application practice.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2262066/image_5009699_28315635.jpg
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2262067/image_5009699_28316054.jpg



งานแอบเซน ออทัมน์ อีเวนต์ ประจำปี 2566 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม พันธมิตรระดับสูงจากทั่วโลกเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง


แอบเซน (Absen) ผู้ผลิตจอแอลอีดีชั้นนำระดับโลก ประสบความสำเร็จในการจัดงานแอบเซน แอนด์ แอบเซนไลฟ์ ออทัมน์ อีเวนต์ (Absen and AbsenLive Autumn Event) ในหัวข้อ Live & Love together โดยมีพันธมิตรจากทั่วโลกเข้าร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง และในโอกาสนี้ แบรนด์แอบเซนไลฟ์ (AbsenLive) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้จัดกิจกรรมต้อนรับอย่างอบอุ่นมากมาย พร้อมเปิดเผยเหตุการณ์สำคัญใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ สำหรับแขกทุกท่านที่เดินทางมาจากทั่วประเทศจีนและจากต่างประเทศ

งานเริ่มต้นขึ้นด้วยการนำผู้เข้าร่วมงานไปชมรอบ ๆ ศูนย์การผลิตอัจฉริยะตงเจียงของแอบเซน (Absen Dongjiang Intelligent Manufacturing Centre) ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วในเฟสที่สอง รวมถึงศูนย์ประสบการณ์ (Experience Centre) ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้

ศูนย์การผลิตอัจฉริยะแห่งนี้เกิดจากการผสานรวมวิสัยทัศน์ของแอบเซนเข้ากับการลงทุนรวมกว่า 160 ล้านดอลลาร์ โดยมีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 1.17 ล้านตารางฟุต และสามารถผลิตจอแสดงผลได้มากถึง 10.8 ล้านตารางฟุตต่อปีเลยทีเดียว

คุณรูเบน เรงเกล (Ruben Rengel) รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับโลกของแอบเซน รับหน้าที่กล่าวเปิดการประชุม พร้อมกับแนะนำคุณฮานเซิน ติง (Hansen Ding) ประธานบริษัท ที่มาร่วมกล่าวสุนทรพจน์เปิดงานซึ่งสะกดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ตามมาด้วยคุณเอมมา ลุย (Emma Lui) ผู้จัดการทั่วไปของแอบเซนไลฟ์ ที่มากล่าวถึงภาพรวมของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในปัจจุบัน

คุณเอมมาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความก้าวหน้าเชิงบวกที่บริษัทมุ่งมั่นสร้างมา โดยแอบเซนมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน มีบริษัทในเครือ 18 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดำเนินงานในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก โดยมีการส่งออกสินค้ามายาวนานกว่า 22 ปีแล้ว อีกทั้งยังครองตำแหน่งผู้ผลิตจอแสดงผลรายใหญ่ระดับโลก ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านตารางเมตรต่อปี พร้อมเกียรติประวัติอีกมากมาย โดยล่าสุดในปี 2566 แอบเซนได้รับการจัดอันดับจากเวิลด์ แบรนด์ แล็บ (World Brand Lab) ให้เป็นหนึ่งใน 500 แบรนด์ ที่มีมูลค่าสูงสุดของจีน

นอกจากนี้ แอบเซนยังรายงานผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วและการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ และเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพการบริหารจัดการก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถลดทั้งวงจรการดำเนินงาน (Operating Cycle) และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน คุณเอมมาได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ของแอบเซนในการพัฒนาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ได้ตามอัตราที่กำหนด เพื่อให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนขึ้นอันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ ช่องทางการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ และองค์กร เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายยอดขาย 1 หมื่นล้านภายในสามปี

ส่วนทางด้านคุณสโตน สือ (Stone Shi) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของแอบเซน ได้มาร่วมเจาะลึกเรื่องการสร้างแบรนด์แอบเซนไลฟ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ของแอบเซนที่เน้นไปที่ตลาดการเช่าจอและการติดตั้งจอบนเวที รวมถึงการถ่ายทำเสมือนจริงและ xR

แบรนด์แอบเซนไลฟ์มุ่งนำเสนอ "จอแอลอีดีที่ล้ำสมัยสำหรับเวทีระดับโลก" ไม่ว่าจะเป็นเวทีการแสดงดนตรีสด อีเวนต์ต่าง ๆ หรือการถ่ายทำเสมือนจริงและ xR ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ของแอบเซนไลฟ์คือการให้บริการโซลูชันแอลอีดีแบบครบวงจรแก่พันธมิตรมืออาชีพ โดยให้ความสำคัญกับความต้องการของตลาดการเช่าจอและการติดตั้งจอบนเวที ด้วยเหตุนี้ แอบเซนไลฟ์จึงพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยและสามารถสร้างกำไรมากขึ้นให้กับตลาดที่แข็งแกร่งและกำลังเติบโตนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพระยะยาว ด้วยความสามารถด้านวิศวกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ คุณคริสเตียน ซิมนี (Christian Czimny) ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ได้แก่ จอแสดงผลโปร่งใสน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ซีรีส์ จูปิเตอร์ วีทู (Jupiter V2) และซีรีส์ จูปิเตอร์ โปร (Jupiter Pro) ที่ออกแบบมาเพื่อการทัวร์คอนเสิร์ตโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังมีจอแสดงผลน้ำหนักเบาเป็นพิเศษซีรีส์ แซทเทิร์น (Saturn) ซึ่งเป็นน้องใหม่สำหรับตลาดเช่าจอ รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่จากซีรีส์ พิกเซล เรียลลิตี (Pixel Reality) ด้วยเช่นกัน

หลังจากพักเบรกเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ฟังได้ตกผลึกข่าวสารการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และพูดคุยกัน การอภิปรายแบบคณะอย่างเจาะลึกก็ได้เปิดฉากขึ้น ซึ่งดำเนินรายการโดยคุณคริสเตียน ซิมนี และมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากทั่วโลกมาร่วมกันสำรวจความก้าวหน้าของจอแอลอีดี และให้ความกระจ่างเกี่ยวกับพัฒนาการของตลาดในมุมมองของตน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากผู้อภิปรายหลายท่าน ได้แก่ คุณเวย์น โรมาโนวสกี (Wayne Romanowski) จากบริษัทโฟร์วอลล์ (4 Wall), คุณแดน เครตซ์ (Dan Kretz) จากบริษัทออปติกเอท (Optic8), คุณดั๊ก แว็ก (Doug Wack) จากบริษัทบลูวอเตอร์ (Bluewater), คุณสจ๊วต โฮล์มส์ (Stuart Holmes) จากบริษัทมิดวิช (Midwich), คุณนิคลัส ยุง (Niclas Ljung) จากบริษัทครีเอทีฟ เทคโนโลยี (Creative Technology) และคุณนิโคลัส ซอวิกนี (Nicolas Sauvigny) จากบริษัทโนเวลตี (Novelty) 

การประชุมครั้งสำคัญนี้ปิดฉากลงด้วยงานเลี้ยงอาหารค่ำแบบค็อกเทลสำหรับแขกที่ได้รับเชิญ ทั้งนี้ กิจกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และแอบเซนก็ตั้งตารอที่จะจัดกิจกรรมเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2260782/1.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2260783/2.jpg


งานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 134 เปิดโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีระดับ


          งานแคนตันแฟร์ (Canton Fair) ครั้งที่ 134 เฟส 3 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน ได้มีการกำหนดเวลาใหม่ในการเปิดพื้นที่จัดแสดงสินค้าในโซน "ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล" (Personal Care Products) จากเฟส 2 เป็นเฟส 3 โดยเป็นโซนไฮไลต์ประจำงานนี้ ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 11,000 ตารางเมตร เพื่อตอบสนองความตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นและความปรารถนาในการใช้ชีวิตอย่างมีระดับทั่วโลก โดยรวมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง อุปกรณ์เสริม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก เพื่อนำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ให้กับผู้ชมทั่วโลกเพื่อใช้ยกระดับคุณภาพชีวิต
          บริษัท กวางโจว ซูจอห์น ไบโอ-เทคนิค จำกัด (Guangzhou Xujohn Bio-technique Co., Ltd.) นำเสนอไฮโดรเจล อาย มาสก์ (Hydrogel Eye Mask) ที่งานแคนตันแฟร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยที่แสดงถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืน นวัตกรรมใหม่นี้ใช้เจลเนื้อเนียนพร้อมระบบเครือข่ายโพลีเมอร์ ซึ่งนอกจากจะอ่อนโยนต่อผิวแล้ว ยังย่อยสลายทางชีวภาพได้อีกด้วย เพื่อจัดการกับริ้วรอยบนหน้าผาก ตีนกา ร่องแก้ม และข้อกังวลอื่น ๆ ได้อย่างนุ่มนวล ปลอดภัย และไม่ระคายเคือง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.su/OOWvUw
          บริษัท เซี่ยงไฮ้ ชิฟต์ อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด (Shanghai Shift Electrics Co., Ltd.) ยกทัพนำผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากมาจัดแสดงที่งานแคนตันแฟร์ โดยหนึ่งในไฮไลต์เด็ดอยู่ที่เครื่องพ่นน้ำทำความสะอาดฟันขนาดพกพาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ ออกแบบหัวฉีดให้หมุนได้ 360 องศา รวมถึงฟังก์ชันฉีดเฉพาะที่และฟังก์ชันหยุด เครื่องนี้จะปล่อยไมโครบับเบิลเพื่อปกป้องเหงือกและช่วยให้ล้างได้สะอาดยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์นี้ล้างได้ 3 โหมดและให้แรงดันน้ำคงที่ ไม่ทำให้เสียวฟัน และตอบสนองความต้องการทำความสะอาดช่องปากได้อย่างหลากหลาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.su/ahg4S
          บริษัท หนิงป่อ เจียลี่ เซ็นจูรี กรุ๊ป จำกัด (Ningbo Jiali Century Group Co., Ltd.) ได้สร้างชื่อไว้อย่างโดดเด่นในงานแคนตันแฟร์ ด้วยการเปิดตัวมีดโกนที่บุกเบิกวงการ โดยนำเส้นใยไม้ไผ่และโลหะมาทำเป็นด้ามจับได้อย่างไม่เหมือนใคร ขณะที่หัวมีดโกนใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย มาพร้อมใบมีดโค้งงอ 6 ชั้นทรงตัว "L" ใบมีดนี้ได้รับการปรับปรุงด้วยการเคลือบพื้นผิวระดับนาโน ช่วยให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีอายุการใช้งานยาวนานถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับหัวมีดโกนทั่วไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.su/qEHqmf
          โซนผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าอย่างจัดเต็ม พร้อมให้การต้อนรับผู้ซื้อจากทั่วโลก เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจและเปิดรับการใช้ชีวิตอย่างมีระดับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 134 ได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของงานแคนตันแฟร์ https://www.cantonfair.org.cn/en-US/posts/646531331412942848 หรือติดต่อ caiyiyi@cantonfair.org.cn
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2261938/image_5003628_22053147.jpg

Hefty Seed Company Selects Meristem's Patented BIO-CAPSULE(TM) Technology


          "...an extremely exciting partnership  for our customer base..."
          Meristem Crop Performance Group, LLC (www.MeristemAg.com) and Hefty Seed Company (www.HeftySeed.com) today announced a strategic alliance and supply agreement focused on increasing the impact of beneficial biologicals on crop production and return on investment (ROI) for American farmers.
          "Hefty Seed Company's stellar reputation for bringing the best in crop inputs and agronomic advice to help farmers make the most of every crop is second to none," says Mitch Eviston, Founder and CEO of Meristem Crop Performance, in announcing the alliance. "We are thrilled to be selected as a Hefty Seed Company go-to-market partner for delivering beneficial biologicals to their customers through our patented BIO-CAPSULE(TM) Technology."
          With this new alliance, Hefty Seed will gain access to Meristem's patented BIO-CAPSULE for the delivery of its proprietary blend of microbes and micronutrients. This agreement is a first of its kind for the technology.
          "Finding a way to deliver biology, along with micronutrients and other bio-stimulants, in a talc delivery system to our customers is one of our key areas for growth," says Matt Thompson, Hefty Naturals Brand Manager. "It is very easy to damage living biology with micronutrients and other bio-stimulants, and by keeping the biology away from any potential harm until the grower needs it, it increases consistency of the product's performance." 
          Thompson explained that as growers upgrade planters, fewer and fewer are investing in in-furrow capabilities. 
          "Using the BIO-CAPSULE to deliver our yield-improving products opens our customers to a new avenue to use these products," he says. "This is an extremely exciting partnership for our customer base that will continue to advance the Hefty Naturals portfolio."
          About Hefty Seed Company
Hefty Seed Company (www.HeftySeed.com) is a family-owned crop input supplier known as an industry leader for agronomic recommendations and practical agronomic education. With 50 stores, the company is now the 8th largest crop protection retailer in the U.S. and ranks number 7 as a seed supplier. Hefty Brand Seed (Corn & Soybeans) is one of the fastest-growing seed brands in the country. 
          About Meristem Crop Performance
Meristem Crop Performance Group, LLC (www.MeristemAg.com) is one of the fastest-growing crop input companies in America. Meristem sources, formulates, licenses, and delivers high-quality crop inputs to farmers at the highest possible value offering substantial savings. Meristem is focused on building a highly efficient channel to bring crop inputs to market so farm businesses can make the most of their infrastructure and intellectual property investments and better compete in the global agricultural market. Meristem's team of experienced ag professionals also works to create real productivity gains for farm businesses through novel biological delivery systems and accelerated access to farm-ready innovation. For more information, visit www.MeristemAg.com or follow us on  Facebook, LinkedIn, Twitter and YouTube.

โอไลท์ จัดแคมเปญการกุศลเพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ประจำปี 2566 จุดประกายความหวังร่วมกับมูลนิธิมะเร็งเต้านมทั่วโลก

          โอไลท์ (Olight) ผู้นำด้านไฟฉายแบบพกพา เสร็จสิ้นภารกิจการจัดทำแคมเปญการกุศลเพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ประจำปี 2566 อย่างงดงาม โดยสรุปยอดเงินที่ระดมทุนได้ทั้งสิ้น 77,313.43 ดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใน 13 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เกาหลีใต้ ไทย อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สเปน ออสเตรีย และจีน ในโอกาสนี้ โอไลท์ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการกุศลของโอไลท์
          ในระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคมที่ผ่านมา โอไลท์ สหรัฐอเมริกา ได้วางจำหน่ายไฟฉาย 4 รุ่น (imini 2 Pink, Gober, Obulb pro S และ Wyvern Pink) ทางออนไลน์บนเว็บไซต์ olightstore.com ขณะที่เว็บไซต์โอไลท์ในประเทศอื่น ๆ ก็วางจำหน่ายสินค้าเหล่านี้ตามลำดับด้วยเช่นกัน โดยรายได้จากการจำหน่ายทั้งหมดมอบให้แก่มูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรอีกหลายรายทั่วโลก เช่น สมาคมมะเร็งเต้านมแห่งเยอรมนี และมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของออสเตรเลีย ทั้งนี้ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โอไลท์ระดมทุนได้แล้วทั้งสิ้น 518,930 ดอลลาร์ ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมโดยตรงมากกว่า 10,000 รายทั่วโลก
          สำหรับปีนี้มีกิจกรรมน่าประทับใจเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งคือ การจัดกิจกรรมนอกสถานที่ในสหรัฐอเมริกา โดยโอไลท์ได้ร่วมมือกับมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ออกบูธรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในเมืองฟริสโก รัฐเท็กซัส เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับโรค นอกจากนี้ โอไลท์ยังมีของกำนัลเป็นไฟฉายรุ่นพิเศษ กระเป๋าใบเล็กสีชมพู ฯลฯ มอบให้กับอาสาสมัครและผู้ป่วยที่มาเยี่ยมชมบูธ และยังได้เตรียมไฟฉายโอไลท์และของขวัญอื่น ๆ ในชุดของขวัญแห่งความหวัง (HOPE Kits) เพื่อมอบให้แก่ผู้ป่วย 300 รายอีกด้วย
          ในช่วงที่มีการจัดงานอยู่นั้น โอไลท์ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบสามปีของการเป็นพันธมิตรจากมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการแสดงการยอมรับต่อความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของบริษัทในภารกิจนี้ ซึ่งในโอกาสนี้ คุณมาวิส เสี่ยว (Mavis Xiao) รองประธานของโอไลท์ ได้กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำภารกิจเคียงบ่าเคียงไหล่กับมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาสามปีแล้ว และในฐานะองค์กรหนึ่งที่เป็นพลเมืองโลก โอไลท์ไม่เพียงมุ่งหวังที่จะมอบแสงสว่างให้กับทั่วโลกด้วยอุปกรณ์ส่องสว่างเท่านั้น แต่เรายังมุ่งหมายที่จะจุดประกายความหวังให้แก่ทั่วโลกอีกด้วย"
          การทำงานร่วมกันระหว่างโอไลท์กับเหล่าพันธมิตรอย่างเช่นมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้ช่วยกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยสื่อสารในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเน้นความสำคัญของการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน คุณบรูค อดัมส์ (Brooke Adams) ผู้อำนวยอาวุโสการฝ่ายการบริจาคเพื่อการกุศลและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ของมูลนิธิมะเร็งเต้านมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวขอบคุณความทุ่มเทของโอไลท์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งความร่วมมือที่คาดว่าจะมีขึ้นต่อไปในอนาคต
          ทั้งนี้ มะเร็งเต้านมยังคงเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้น โอไลท์และพันธมิตรทั่วโลกจะยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนและให้ความหวังแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อไป
          โอไลท์
          โอไลท์ (Olight) คือผู้นำด้านไฟฉายแบบพกพา ซึ่งอุทิศตนให้กับพันธกิจในการ "มอบแสงสว่างให้กับทั่วโลก" ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของเราพร้อมรองรับสถานการณ์การใช้งานต่าง ๆ รวมถึงการใช้งานในครัวเรือน กลางแจ้ง และอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายและถูกนำไปใช้งานในทวีปยุโรป อเมริกา และภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก
          สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอไลท์ได้ที่ www.olightworld.com
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2260970/Olight_NBCF.jpg

เมาเซอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เปิดตัวเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใหม่กว่า 16,000 ชิ้นในไตรมาสที่สามปี 2566

          บริษัทผู้จัดจำหน่ายทั่วโลกรายนี้ขึ้นแท่นผู้นำในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
          เมาเซอร์ อิเล็กทรอนิกส์ อิงค์ (Mouser Electronics, Inc.) เป็นผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต โดยมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อมอบข้อได้เปรียบให้ลูกค้าและช่วยเร่งเวลานำสินค้าเข้าตลาด แบรนด์ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กว่า 1,200 ราย ต่างไว้วางใจเมาเซอร์เพื่อช่วยให้พวกเขานำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนเองในตลาดโลก ลูกค้าของเมาเซอร์คาดหวังได้ว่าผลิตภัณฑ์จะเป็นของแท้และได้รับการรับรอง 100% ทั้งยังสืบถึงผู้ผลิตแต่ละรายได้อย่างเต็มที่
          ในไตรมาสที่ผ่านมา เมาเซอร์ได้เปิดตัวชิ้นส่วนใหม่ที่พร้อมจัดส่งแล้วกว่า 16,000 แบบ
          ผลิตภัณฑ์ใหม่บางส่วนที่เมาเซอร์เปิดตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย
          -  Seeed Studio NVIDIA(R) Jetson Orin(TM) Nano 8GB Developer Kit
          NVIDIA Jetson Orin(TM) Nano 8GB Developer Kit โดยซีด สตูดิโอ (Seeed Studio) มอบประสิทธิภาพสูงสุด 40 TOPS สำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ระดับเริ่มต้น ชุดเครื่องมือนี้ประกอบด้วยโมดูล เจ็ตสัน ออริน นาโน (Jetson Orin Nano) ขนาด 8GB รวมถึงแผงระบายความร้อน บอร์ดแคริเออร์ และแหล่งจ่ายไฟ ชุดไอโอที่หลากหลายนี้ประกอบด้วยพอร์ตยูเอสบี 3.2 เจน 2 และ 2x M.2 Key M สำหรับ SSD รวมถึงโมดูลไวไฟ (Wi-Fi(R)) ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า และอื่น ๆ อีกมากมาย
          -  STMicroelectronics VL53L7CH Time-of-Flight (ToF) Sensor
          เซ็นเซอร์ VL53L7CH Time-of-Flight (ToF) โดยเอสทีไมโครอีเล็คโทรนิคส์ (STMicroelectronics) มีขอบเขตการมองเห็น (FoV) แนวทแยงมุมกว้างพิเศษ 90 องศา และใช้พลังงานต่ำ มอบเอาต์พุตข้อมูลที่ฮิสโตแกรม (CNH) ที่กะทัดรัดและเป็นมาตรฐาน ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับแอปพลิเคชันเอไอที่ต้องการข้อมูลดิบแบบหลายโซนจากเซ็นเซอร์ ToF แบบหลายโซนสมรรถนะสูง
          -  Cree LED XLamp(R) XP-G4 LEDs
          XLamp XP-G4 LED โดยครี แอลอีดี (Cree LED) นำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแอลอีดีกำลังสูงล่าสุดมาใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการมองเห็นระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม ไฟแอลอีดี XP-G4 ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับการคุมทิศทางไฟทั้งในร่มและกลางแจ้งที่ต้องการการควบคุมแสงที่แม่นยำ สีที่ดีตลอดทั้งมุม และความน่าเชื่อถือในระยะยาว
          -  Molex Brad M12 Power L-Code Connector System
          ระบบตัวเชื่อมต่อ Brad M12 Power L-Code ของโมเล็กซ์ (Molex) มอบความยืดหยุ่นที่ประหยัดพื้นที่ด้วยความจุไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับนวัตกรรมอุตสาหกรรม 4.0 สมัยใหม่ ตรงตามมาตรฐานโปรฟิบัส (PROFIBUS) และโปรฟิเน็ต อินเตอร์เนชันแนล (PROFINET International หรือ PI) สำหรับระบบโปรฟิเน็ต ตัวเชื่อมต่อปิดผนึกระดับ IP67 และสายเคเบิลเชื่อมตะกรันและทนน้ำมัน (WSOR) ช่วยให้มั่นใจถึงความทนทานและความน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมที่หนักหน่วง
          ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ https://info.mouser.com/new_products/ 
          เกี่ยวกับเมาเซอร์ อิเล็กทรอนิกส์
          เมาเซอร์ อิเล็กทรอนิกส์ (Mouser Electronics) บริษัทในเครือเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) เป็นผู้จัดจำหน่ายเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นทางการให้กับแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำ โดยมุ่งเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Introductions) จากพันธมิตรผู้ผลิตชั้นนำ และในฐานะที่เป็นผู้จัดจำหน่ายระดับโลก เมาเซอร์มุ่งให้บริการชุมชนวิศวกรออกแบบอิเล็กทรอนิกส์และผู้ซื้อทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ mouser.com ที่ใช้งานได้ในหลายภาษาและหลายสกุลเงิน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์กว่า 6.8 ล้านรายการจากแบรนด์ผู้ผลิตกว่า 1,200 แบรนด์ เมาเซอร์มีศูนย์บริการลูกค้า 27 แห่งทั่วโลกเพื่อให้บริการชั้นเยี่ยมในภาษาท้องถิ่น สกุลเงินท้องถิ่น และเขตเวลาท้องถิ่น นอกจากนั้นยังจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้ากว่า 650,000 รายใน 223 ประเทศ/เขตแดน จากศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัยขนาด 1 ล้านตารางฟุตในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mouser.com/
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2261910/mouser_new_product_insider.jpg

"ลอนจี" เพิ่มการเข้าถึงไฟฟ้าทั่วโลก ส่งเสริมความเท่าเทียมด้านพลังงาน มุ่งขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นหนึ่งเดียวด้วยแสงสว่าง


          ขณะที่เลบานอนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้เครื่องปั่นไฟฟ้าส่วนตัวกลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปตามท้องถนนของประเทศนี้มานับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 โดยโรงพยาบาลที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเลบานอนอย่างโรงพยาบาลอัลซาฮารา (AL Zaharaa) เป็นโรงพยาบาลครบวงจรที่มีทั้งการรักษาพยาบาล การศึกษาทางการแพทย์ และการวิจัยทางการแพทย์ โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนระบบทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศของโรงพยาบาลอัลซาฮาราจะใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก แต่การขาดแหล่งพลังงาน ซึ่งมักส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงพยาบาลแห่งนี้
          ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โรงพยาบาลอัลซาฮาราที่ประสบปัญหา "ขาดแคลนไฟฟ้า" ได้รับการช่วยเหลือจากลอนจี (LONGi) โดยได้รับบริจาคเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงราว 20 กิโลวัตต์ เพื่อบรรเทาปัญหาด้านพลังงานในโรงพยาบาลอัลซาฮารา พร้อมปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของคนในโรงพยาบาล ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นี้มอบการสนับสนุนที่เชื่อถือได้เพื่อให้การดำเนินงานของโรงพยาบาลราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จของโครงการนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีและนำมาซึ่งโอกาสมากมาย การจัดหาพลังงานที่สะอาด คาร์บอนต่ำ และยั่งยืนกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการจัดการกับความท้าทายด้านไฟฟ้าในท้องถิ่น ความสำคัญของโซลูชันพลังงานสะอาดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการปรับปรุงชีวิตประจำวันจะดึงดูดความสนใจจากสาธารณะมากขึ้นเรื่อย ๆ
          ลอนจีซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านเซลล์แสงอาทิตย์ระดับโลก ยังให้การช่วยเหลือพื้นที่อื่นๆ ให้สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้เช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่โรงพยาบาลอัลซาฮารา
          "ลอนจีให้ความสำคัญกับการพัฒนาประชากรในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือขาดแคลนไฟฟ้าทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าจะยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ขาดแหล่งไฟฟ้า ส่งเสริมการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น และส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม" คุณเดนนิส เชอ (Dennis She) รองประธานของลอนจี กล่าวระหว่างการประชุมดับบลิวทีโอ พับลิก ฟอรัม (WTO Public Forum) ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นเวทีที่รวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเป็นการหารือเกี่ยวกับวิธีที่ "การค้าและองค์การการค้าโลกจะสามารถช่วยสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น" โดยลอนจีได้เรียกร้องให้มีการ "ส่งเสริม 'ความเท่าเทียมด้านพลังงาน' ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่จากเซลล์แสงอาทิตย์" ที่ตอบสนองชีวิตผู้คนได้ทุกระดับ
          ประชากรโลกราว 11 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้า และราว 1/3 ของประชากรทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร ความยากจนด้านพลังงานเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่นและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รายงานที่เผยแพร่ร่วมกันโดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ สำนักงานพลังงานทดแทนระหว่างประเทศ ฝ่ายสถิติแห่งสหประชาชาติ ธนาคารโลก และองค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่า ผู้คนกว่า 1.9 พันล้านคนทั่วโลกจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการประกอบอาหารที่สะอาด และกว่า 660 ล้านคนทั่วโลกจะไม่มีไฟฟ้าใช้ในปี 2573 หากไม่มีการดำเนินการเพิ่มเติมใด ๆ ในปัจจุบัน
          ความแตกต่างเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชากรกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ด้อยพัฒนาและเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
          คุณเดนนิสเชื่อว่า การจัดหาพลังงานสะอาดด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เป็นหลักจะกลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาที่สอดคล้องกันทั่วโลก ความเสมอภาคด้านพลังงานขึ้นอยู่กับการให้บริการพลังงานที่สะอาด ราคาเอื้อมถึง และไม่เลือกปฏิบัติ ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์มีอยู่ทั่วโลกและเข้าถึงได้ง่ายกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม และเอื้อต่อประเทศด้อยพัฒนามากกว่า การพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องจะทำให้ต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาพลังงานทดแทนในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์จึงสามารถเพิ่มอิสระด้านพลังงาน ส่งเสริมความสอดคล้องกันในระดับโลก และลดผลกระทบมากมายที่เกิดจากวิกฤตพลังงาน
          ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของโลก ลอนจีมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการจัดหาโซลูชันพลังงานใหม่จากเซลล์แสงอาทิตย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนแก่ประชากรที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ลอนจีได้บริจาคโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงขนาด 301 กิโลวัตต์ ให้กับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในประเทศแอฟริกา ด้วยความช่วยเหลือจากมูลนิธิโซพาวเวอร์ฟูล (Sopowerful Foundation) ผลิตภัณฑ์เซลล์แสงอาทิตย์เหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังจุดหมายปลายทาง 12 แห่งในแอฟริกา ครอบคลุมโรงพยาบาล คลินิกผู้ป่วยนอก โรงเรียน และหมู่บ้านต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างระบบชลประทานในพื้นที่เกษตรกรรมและกระตุ้นการใช้ไฟฟ้า รวมถึงส่งมอบแสงสว่างให้กับภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ การใช้งานเหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยไฟฟ้านอกระบบ ซึ่งสามารถยกระดับการรักษาพยาบาล การศึกษา และมาตรฐานการใช้ชีวิตของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          ตั้งแต่บูร์กินาฟาโซในแอฟริกาไปจนถึงปากีสถานในเอเชียใต้และเลบานอนในตะวันออกกลาง ลอนจีมุ่งมั่นที่จะรวบรวมความสามารถทั้งหมด เพื่อนำเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์มาช่วยลดจำนวนผู้ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ นำความรักและแสงสว่างมาสู่พื้นที่ที่ยากจนและขาดแคลนพลังงาน
          แสงสว่างนำความก้าวหน้าและอารยธรรมมาสู่มนุษยชาติ ลอนจีจึงอาศัยการปฏิวัติพลังงานครั้งที่ 4 เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความเท่าเทียมกันด้านพลังงานทั่วโลก ผ่านการใช้เทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ แสงแดดทั่วโลกจะนำความสุขและความอบอุ่นมาสู่ผู้คนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้มากขึ้น สร้างระบบพลังงานสะอาดที่เท่าเทียมมากขึ้นแก่มนุษยชาติ นำเสนอความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในสภาวะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คาร์บอนต่ำ และมีพลังงานใช้อย่างอุดมสมบูรณ์
          เกี่ยวกับลอนจี
          ลอนจี (LONGi) ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 โดยมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าโดยมีความต้องการของลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเต็มรูปแบบ
          พันธกิจของลอนจีคือ "การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างโลกสีเขียว" บริษัทอุทิศตนเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยได้ก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาห้าภาคส่วน ประกอบด้วยเซลล์และโมดูลเวเฟอร์โมโนคริสตัลไลน์ซิลิคอน โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์แบบกระจายศูนย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม โซลูชันพลังงานสีเขียว และอุปกรณ์ไฮโดรเจน ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายขีดความสามารถในการจัดหาพลังงานสีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้นำโซลูชันและผลิตภัณฑ์ไฮโดรเจนสีเขียวมาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ทั่วโลก
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2251013/LONGi_donated_Hi_MO_6_modules_Beirut_hospital.jpg

Xinhua Silk Road: E. China's Jiangyin sees 217 projects signed at 4th Jiangyin Development Summit

 

          217 projects involving a total investment over 100 billion yuan were signed at the Fourth Jiangyin Development Summit & 2023 Jiangyin Symposium on Economic and Trade Cooperation held on October 28 in Jiangyin City, east China's Jiangsu Province.
          The projects, covering new energy, integrated circuits, biomedicine, new materials, digital economy and other fields, are expected to further accumulate momentum for promoting Jiangyin's new industrialization.
          Focusing on high-end, intelligent and green industrial transformation, Jiangyin continues to accelerate the new industrialization. 
          Since the beginning of this year, projects with a total investment of more than 10 billion yuan such as JCET Jiangyin's microelectronics wafer-level microsystem integration project and SJ Semiconductor Corp.'s 3DIC packaging project have been selected into the list of major projects of Jiangsu Province. Biomedical projects conducted by Jiangyin USUN Pharmaceutical Co., Ltd. and Jiangsu ProteLight Pharmaceutical & Biotechnology Co., Ltd., and high-end equipment projects implemented by Shuangliang Group and Zoomlion have also made sound progress.
          Jiangyin aims to achieve breakthroughs in attracting investment on four strategic emerging industries including new energy, integrated circuits, high-end equipment, and biomedicine, said Tan Haiping, head of Industry and Information Technology Bureau of Jiangyin.
          At present, Jiangyin has three hundred-billion-level industries including high-end textile and clothing, petrochemical new materials, and metal new materials. The high-end equipment industry is expected to become the fourth hundred-billion-level industrial cluster in Jiangyin this year.
          Known as "the first county in terms of manufacturing industrial strength in China", Jiangyin's business environment is highly attractive for high-quality emerging industry projects at home and abroad. BEKAERT, one of the first batch of Belgian foreign enterprises in China, has settled in Jiangyin for more than 30 years, with a total investment more than 1 billion euros here, creating its only fully functional headquarters base in China.
          In 2022, Jiangyin saw its gross domestic product (GDP) reaching 475.418 billion yuan, ranking second among county-level cities in China.
          Original link: https://en.imsilkroad.com/p/336866.html  
          Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2262007/ff4e0533d365430a8fa028b6ea30bfe3.jpg

"ลอนจี" มุ่งสร้างความเสมอภาคด้านพลังงาน จุดประกายอนาคตเยาวชนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์


          โรงเรียนกลอเรีย มาเรีย คาลคานโญ่ (Gloria Mar?a Calca?o) ตั้งอยู่ในเมืองซานเชซ (Sanchez) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นโรงเรียนโพลีเทคนิคที่มีนักเรียน 326 คน และครู 21 คน โดยการที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลและมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ทำให้ทางโรงเรียนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในโรงเรียนมีห้องเรียน 8 ห้อง ห้องปฏิบัติการ 6 ห้อง สำนักงาน 1 ห้อง โรงอาหาร 1 ห้อง และห้องเรียนอเนกประสงค์ 1 ห้อง ปัญหาไฟฟ้าขัดข้องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งส่งผลกระทบต่อเวลาเรียนของนักเรียนมากกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ และกิจกรรมการสอนและการทดลองจำนวนมากมักถูกขัดจังหวะเนื่องจากไฟฟ้าไม่เพียงพอหรือแหล่งจ่ายไฟไม่เสถียร
          "เพื่อแก้ไขปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในโรงเรียน ส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอุปกรณ์การศึกษา และเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพการสอน เราได้บริจาคโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 5.5 กิโลวัตต์ให้กับโรงเรียนแห่งนี้ในสาธารณรัฐโดมินิกัน หลังจากติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์แล้ว ห้องปฏิบัติการของโรงเรียนจะผลิตไฟฟ้าได้เอง นอกจากนี้ ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ยังสามารถจ่ายพลังงานให้กับระบบกักเก็บพลังงานได้อย่างต่อเนื่องเมื่อแหล่งจ่ายไฟเดิมไม่เพียงพอ การบริจาคดังกล่าวได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนอย่างมาก ทำให้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องคุณภาพการสอนของโรงเรียนอย่างครอบคลุม"
          คุณเดนนิส เชอ (Dennis She) รองประธานของลอนจี กล่าวระหว่างการประชุมดับบลิวทีโอ พับลิก ฟอรัม (WTO Public Forum) ประจำปี 2566 ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเวทีที่รวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเป็นการหารือเกี่ยวกับวิธีที่ "การค้าและองค์การการค้าโลกจะสามารถช่วยสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น" ลอนจีในฐานะผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ได้ผลักดันแนวคิด "ความเสมอภาคด้านพลังงาน" ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากทุกภาคส่วน
          คุณเดนนิสกล่าวว่า ความไม่สมดุลที่อยู่ในการพัฒนาเศรษฐกิจโลกได้นำไปสู่ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการใช้พลังงานต่อประชากรของประเทศต่าง ๆ โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั่วโลกถูกใช้โดยกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ความยากจนด้านพลังงานจึงเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่นและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งรวมถึงการศึกษา
          โรงเรียนบางแห่งในพื้นที่ด้อยพัฒนาหรือพื้นที่ห่างไกล มักดำเนินกิจกรรมการศึกษาหรือจัดการสอนตามปกติไม่ได้ เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน ส่งผลให้ความพยายามในการผลักดันความเสมอภาคทางการศึกษาทั่วโลกได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ในบริบทของการลดคาร์บอนทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในวงกว้างอย่างจริงจังและการยกระดับการศึกษาสำหรับผู้คนรุ่นต่อไปไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนอีกด้วย
          คุณเดนนิสเชื่อว่า การจัดหาพลังงานสะอาดด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เป็นหลักจะกลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาที่สอดคล้องกันทั่วโลก เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากความแตกต่างของประเทศต่าง ๆ ในการใช้พลังงานและการกระจายแหล่งพลังงานอย่างไม่ยุติธรรม ความเสมอภาคด้านพลังงานขึ้นอยู่กับการให้บริการพลังงานที่สะอาด ราคาเอื้อมถึง และไม่เลือกปฏิบัติ ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์มีอยู่ทั่วโลกและเข้าถึงได้ง่ายกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม และเอื้อต่อประเทศด้อยพัฒนามากกว่า การพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องจะทำให้ต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาพลังงานทดแทนในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์จึงสามารถเพิ่มอิสระด้านพลังงาน ส่งเสริมความสอดคล้องกันในระดับโลก และลดผลกระทบมากมายที่เกิดจากวิกฤตพลังงาน
          ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีพลังงานสีเขียวชั้นนำของโลก ลอนจีมุ่งมั่นที่จะรวบรวมความพยายามร่วมกันของฝ่ายต่าง ๆ มาโดยตลอด เพื่อต่อสู้กับความยากจนด้วยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ส่งเสริมการศึกษาคุณภาพสูงในพื้นที่ที่ขาดแคลนพลังงาน และจุดประกายอนาคตเยาวชนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
          นอกจากสาธารณรัฐโดมินิกันแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาลอนจียังได้บริจาคโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่น เมืองมาร์ดานในปากีสถาน และประเทศมาลาวีในแอฟริกา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งพลังงาน สิ่งเหล่านี้ได้ยกระดับสภาพโครงสร้างพื้นฐานของสถานศึกษาหลายแห่งเป็นอย่างมาก พร้อมวางรากฐานแห่งอนาคตที่สว่างไสวให้กับเหล่าเยาวชน
          ในปัจจุบัน ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการสาธารณะของลอนจียังคงดำเนินไปทั่วโลก บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่ง "แสงสว่าง" ในหัวใจของเด็ก ๆ จำนวนมากขึ้นในพื้นที่ที่ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก เราเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่เพียงแต่โรงเรียนในพื้นที่ที่ห่างไกล แต่รวมถึงพื้นที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล ฟาร์ม และองค์กรการค้าอื่น ๆ ทั่วโลกที่ประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน จะเข้าถึงพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ในวงกว้าง
          เกี่ยวกับลอนจี
          ลอนจี (LONGi) ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 โดยมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าโดยมีความต้องการของลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเต็มรูปแบบ
          พันธกิจของลอนจีคือ "การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างโลกสีเขียว" บริษัทอุทิศตนเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยได้ก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาห้าภาคส่วน ประกอบด้วยเซลล์และโมดูลเวเฟอร์โมโนคริสตัลไลน์ซิลิคอน โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์แบบกระจายศูนย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม โซลูชันพลังงานสีเขียว และอุปกรณ์ไฮโดรเจน ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายขีดความสามารถในการจัดหาพลังงานสีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้นำโซลูชันและผลิตภัณฑ์ไฮโดรเจนสีเขียวมาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ทั่วโลก
          รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2250979/LONGi_donated_Hi_MO_series_modules_Gloria_Mar_a_Calca_o_Polytechnic.jpg

Olight 2023 Breast Cancer Charity Campaign: Illuminating Hope with Breast Cancer Foundations Across the World


Olight, a leading mobile lighting manufacturer, successfully concludes its 2023 Breast Cancer Charity Campaign, raising $77,313.43 for breast cancer support across 13 countries, including the USA, UK, Canada, Korea, Thailand, Italy, Germany, France, Australia, Japan, Spain, Austria, and China, thanks to all buyers of Olight charity products.

From October 24 to 26, OlightUSA offered four flashlight models (imini 2 Pink, Gober, Obulb pro S, and Wyvern Pink) for sale on olightstore.com. Olight websites in other countries also launched sales respectively. All proceeds were dedicated to the National Breast Cancer Foundation (NBCF) in the USA and other global partners, such as Brustkrebs Deutschland e.V. in Germany and Australia National Breast Cancer Foundation. Over the past three years, Olight has raised $518,930, directly impacting over 10,000 patients globally for breast cancer.

A notable addition this year was an offline setting in the USA: Olight established an Awareness Booth in Frisco, Dallas, in partnership with NBCF. This booth provided breast cancer information and fostered community participation against the disease. Olight also gifted volunteers and patients with special flashlights, pink pouches, etc. on site. Additionally, 300 patients will receive Olight flashlights and other gifts in HOPE Kits.

During the event, Olight received the prestigious third Anniversary Partner Award from NBCF, recognizing its unwavering commitment to the cause. Mavis Xiao, Vice President of Olight, said, "It's a honor to stand by NBCF in this mission for three years. As a global corporate citizen, Olight aims not only to illuminate the world with lighting, but also to infuse it with HOPE."

The collaboration between Olight and partners, such as NBCF, facilitated vital conversations about early detection and treatment, emphasizing the significance of awareness and community engagement. Brooke Adams, Sr. Director of Charitable Giving and Strategic Partnerships at NBCF, expressed thanks for Olight's dedication and anticipated further collaborations.

Breast cancer remains a global concern, and Olight will continuously provide support and hope to those affected with global partners.

Olight

Olight is a leading provider of portable lighting solutions, dedicated to its mission of "illuminating the world". It's diverse range of products serves various scenarios, including household, outdoor, and other applications, with products that are sold and utilized worldwide across Europe, the Americas, and other regions worldwide.

For more information about Olight, please visit www.olightworld.com.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2260970/Olight_NBCF.jpg


ชิคปรับจุดขายแบรนด์ใหม่ มุ่งผสานนวัตกรรมเข้ากับสไตล์อย่างลงตัว

ชิค (CHiQ) ภูมิใจนำเสนอแนวคิดสมาร์ทอย่างมีสไตล์ (Smart with Style) สร้างคุณค่าแบรนด์ใหม่เพื่อใช้เป็นหัวใจในกิจกรรมทางการตลาด ชิคจะมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมที่ไม่สิ้นสุด ผสมผสานกับการออกแบบที่งดงาม แนวคิดสมาร์ทอย่างมีสไตล์มีเป้าหมายเพื่อสะท้อนถึงความทุ่มเทของชิคในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลามาสร้างบ้านอัจฉริยะอย่างมีสไตล์

ชิคมุ่งเน้นไปที่ค่านิยมหลักที่กำหนดบุคลิกลักษณะ อัตลักษณ์ และวัตถุประสงค์ ซึ่งได้แก่ การออกแบบที่งดงาม นวัตกรรมที่ไม่สิ้นสุด และคุณภาพที่เหนือชั้น แนวคิดสมาร์ทอย่างมีสไตล์เกิดจากค่านิยมหลักเหล่านี้ และนั่นคือวิธีที่เราก้าวไปข้างหน้าด้วยความเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และบริการ แนวคิดสมาร์ทอย่างมีสไตล์จะเป็นจุดกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดและการมีตัวตนของแบรนด์ชิค โดยวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะ ที่ดึงดูดทุกคนที่สนใจยกระดับประสบการณ์การใช้ระบบอัตโนมัติภายในบ้านด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการออกแบบร่วมสมัย

ตั้งแต่ปี 2560 ชิคได้เปิดตัวในตลาดออสเตรเลียในฐานะแบรนด์อิสระ รวมทั้งในตลาดยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน ชิคได้เจาะตลาดมากกว่า 40 ประเทศและภูมิภาคด้วยขอบเขตธุรกิจที่ครอบคลุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป, อาเซียน, อเมริกากลางและใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, เกาหลีใต้ และอื่น ๆ อีกหลายแห่ง ทั้งนี้ แบรนด์ได้สร้างความสัมพันธ์ความร่วมมืออันแน่นแฟ้นกับองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติหลายแห่งร่วมกัน และได้เข้าสู่ช่องทางออฟไลน์หลักในออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอื่น ๆ อีกมากมาย ชิคเข้าสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกระแสหลักมากกว่า 30 แห่งทั่วโลก ได้แก่ อะเมซอน (Amazon) ในยุโรป, ลาซาด้า (Lazada) และช้อปปี้ (Shopee) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชิคได้สร้างภูมิทัศน์ตลาดที่ครอบคลุมสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นชุดทีวี, ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องซักผ้า, จอภาพ และอื่น ๆ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชิคได้รับรางวัล "ตู้เย็นที่ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด" โดยแคนสตาร์ บลู (Canstar Blue) และ "รางวัลผลิตภัณฑ์แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Commended Award) สำหรับแบรนด์ตู้แช่แข็งยอดเยี่ยม" โดยไฟน์เดอร์ (Finder) ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นองค์กรตรวจสอบที่เชื่อถือได้จากออสเตรเลีย เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้อยู่ในรายชื่อสินค้าขายดีของอะเมซอนในเยอรมนีและฝรั่งเศสมายาวนาน และชิคก็ประสบความสำเร็จเป็นที่หนึ่งอยู่หลายครั้งในด้านยอดขายหมวดทีวีบนช้อปปี้ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของอินโดนีเซีย

ชิคเป็นแบรนด์เฉพาะของบริษัทฉางหง (Changhong) ในเดือนธันวาคม ปี 2565 ฉางหงได้รับรางวัลหนึ่งใน 500 แบรนด์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อมุ่งเน้นที่การเชื่อมโยงทางเทคโนโลยีและมนุษย์ระหว่างผลิตภัณฑ์และผู้บริโภค ชิคยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างและนำเสนอผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่มีมูลค่าดียิ่งกว่าเดิมให้กับโลกต่อไป

วิดีโอ - https://www.youtube.com/watch?v=gpvvYEc8dY4

Huawei's new Health Lab in Finland is Advancing Global Efforts in Health & Fitness Research


Huawei launched a new HUAWEI Health Lab located in Helsinki, Finland. Equipped with state-of-the-art testing equipment, the laboratory serves as the research platforms for Huawei's health & fitness sector.

Sized at almost 1000 square metres, the laboratory is equipped with a diverse range of world class sports equipment covering over 20 types of sports. Each area will showcase Huawei's wearable sports and fitness algorithms in real life applications. At the same time, these will serve as open research platforms that contribute to technological research, detection and verification, standards R&D and industry incubation.

Advancing the Global Field of Sports Science and Health Research

Acknowledging the growing need in the health and fitness market, Huawei has pledged to deepen its research in health monitoring algorithms through its wearable technologies. This led to the establishment of three HUAWEI Health Labs across the globe since 2016: Xi'an and Songshan Lakes in China, and now one in Helsinki of Finland.

HUAWEI Health Lab in Finland is staffed with a multidisciplinary scientific research team comprising of 6 Doctors in Science (PhD), 20 experts from 5 major fields - physiology, AI, machine learning, software testing, and software engineering - across 7 EU countries. This assures that every area of sports and health research reaches the world's advanced standards.

World-Class Sports Simulation Testing Facilities

The laboratory built true-to-life sports environments and scenarios in 5 major testing areas covering more than 20 sports and tracking over 200 physiological and biomechanical indicators. Participants will also be monitored while using Huawei's latest wearable devices, such as the HUAWEI WATCH GT 4. The main 5 areas include a counter-current pool, a ski simulator, a multi-functional treadmill, an instrumented treadmill, and an open gym area comprising of various cardiovascular workouts.

Huawei built its very own counter-current pool based on professional standards, ensuring that swimmers can be accurately assessed on their swimming performance. The pool is equipped with dynamic water jets that can produce a controllable current flow rate up to 350 m3/hour and also allows the modification of water temperature and quality.

As skiing remains one of the most popular sports in Europe, the lab has introduced a ski simulator with adjustable speed, incline, and interactive routes and poles. The simulator is also built with sensors that detect the user's speed, position, carving angles, forces, and performance data.

The multi-functional treadmill can test running, cycling, wheelchair racing etc., with speeds adjustable up to 50km/h. The treadmill can even import GPX data from GPS devices to simulate real-world terrains and routes, giving participants true-to-life scenarios that will more accurately put their running/cycling skills to the test. The camera then detects their performance scientifically, providing immediate feedback to allow technique improvement in real-time.

Joining Hands with European Health Institutions and Research Groups, including EU's Cardiovascular Health Study

To truly improve consumers' lives through innovative sports and health technologies, Huawei has actively collaborated with local Finnish institutions and regional European experts.

iCARE4CVD is part of the IHI (Innovative Health Initiative) program which brings together medical and technology industry and the European Union, one of the most ambitious research initiatives in the area of artificial intelligence and cardiovascular disease. Huawei is currently the only wearable device manufacturer to participate in iCARE4CVD, and will co-lead the work package that will develop methods to improve patient motivation.

Huawei has co-founded Interlive consortium with 6 top European universities with one of the most scientific and rigorous testing standards for wearable devices, the consortium strives towards developing best-practice recommendations for consumer wearables to measure direct and derived metrics. The partnership has further cemented Huawei's wearable technology reliability and will ensure the continued scientific validity of Huawei wearables based on four standards: heart rate, step counts, caloric expenditure and VO2 Max (maximum oxygen intake).

Currently, Huawei plans to pursue research cooperation with European universities and disability health centres to further its research into the needs of users with disabilities. By understanding the sports and fitness management needs of wheelchair users and uncovering more solutions, users can look forward to a more dynamic sports health and performance monitoring technology in Huawei's future smart wearables.

Protecting the Data Confidentiality of all Research Participants

Huawei has formulated strict privacy and security principles for its wearables. While the company remains openly collaborative with partners in the Healthcare and Sports ecosystem, it ensures that these partnerships are carried out with full compliance to data privacy causes. This means that every step of the research process - which includes data collection, authorisation, transmission, and storage - complies strictly with privacy and security principles.

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/2261046/Ski_simulator_Huawei_s_Health_Lab_Finland.jpg