Monday, December 2, 2024

SolarEdge Technologies ประกาศความพร้อมจำหน่ายโซลูชั่นพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานแบบสามเฟส เจาะกลุ่มภาคครัวเรือนในประเทศไทย

บริษัท SolarEdge Technologies ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะ ประกาศความพร้อมจำหน่ายระบบ SolarEdge Home แบบสามเฟส ซึ่งเป็นโซลูชั่นครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน, กักเก็บพลังงาน, และสำรองไฟฟ้าสำหรับเจ้าของบ้าน โซลูชั่นนี้ประกอบด้วย SolarEdge Home Hub Inverter รุ่นใหม่, SolarEdge Power Optimizer, SolarEdge Home Battery และ SolarEdge Home Backup Interface ทั้งหมดสามารถควบคุมและบริหารจัดการได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชั่น mySolarEdge ช่วยให้เจ้าของบ้านติดตาม, ควบคุม, และปรับแต่งการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์, การใช้พลังงาน, และการลดก๊าซคาร์บอนได้อย่างราบรื่น

หลังจากเปิดตัวโซลูชั่นแบบเฟสเดียวในปี 2566 ระบบสำรองไฟแบบสามเฟสรุ่นใหม่นี้ ช่วยขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ SolarEdge เพื่อตอบสนองความต้องการของบ้านขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยมอบความมั่นคงด้านพลังงานให้กับบ้านทั้งในระบบออนกริดและออฟกริด SolarEdge Home Hub Inverter ขนาด 10 กิโลวัตต์ เมื่อทำงานร่วมกับ SolarEdge Home Battery 48V และ Backup Interface จะมอบพลังงานสำรองสูงสุด 10 กิโลวัตต์ ควบคู่กับแบตเตอรี่ความจุ 5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้ ระบบนี้ยังรองรับการต่อขยายแบตเตอรี่โมดูลเพิ่มเติมสูงสุด 23 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บพลังงาน

SolarEdge Home ได้รับความนิยมในบ้านเรือนทั่วโลก ด้วยการออกแบบที่ช่วยดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้มากกว่า ระบบแบตเตอรี่แบบ DC-Coupled ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน โดยกำจัด "ข้อเสียจากการแปลงพลังงานสามเท่า" (Triple-conversion Penalty) ด้วยการลดการแปลงพลังงานลง 2 ครั้ง เมื่อเทียบกับระบบแบบ AC-Coupled ส่งผลให้ระบบมีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแบบไปกลับ (Round-trip Efficiency) สูงถึง 95.4% ซึ่งถือเป็นระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ระบบยังรองรับ DC oversizing ที่ 200% ช่วยให้ผลิตพลังงานได้มากขึ้นตลอดอายุการใช้งาน

SolarEdge Home ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานขั้นสูงที่ติดตั้งมาพร้อม เช่น SafeDC(TM) และระบบตรวจจับและหยุดยั้งอาร์คไฟฟ้า (Arc Fault Detection & Termination) ซึ่งช่วยให้ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด รวมถึงมาตรฐานบังคับของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)

สำหรับผู้ติดตั้ง ระบบ SolarEdge Home ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงการใช้งานจริง ช่วยลดเวลาในการติดตั้งด้วยระบบเชื่อมต่อแบบไร้สายแบบปลั๊กแอนด์เพลย์

"เรามีความยินดีที่จะนำเสนอโซลูชั่นพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งสู่ตลาดไทย" นายวีรุจน์ เตชะสุวรรณา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SolarEdge Technologies กล่าว "โซลูชั่นนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการมอบโซลูชั่นที่ล้ำหน้า, ปลอดภัย, และเชื่อถือได้ ให้กับเจ้าของบ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานควบคู่กับการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น" สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.solaredge.com/th/products/residential 

SolarEdge Announces Availability of New Three-Phase Solar and Energy Storage Solution for Thai Homeowners

SolarEdge Technologies, a global leader in smart energy technology, today announces the availability of its Three-phase SolarEdge Home ecosystem, a comprehensive solution designed to optimize energy savings, storage, and backup capabilities for homeowners. The solution includes the new SolarEdge Home Hub Inverter, SolarEdge Power Optimizers, SolarEdge Home Battery, and SolarEdge Home Backup Interface, all managed through mySolarEdge app, where homeowners can seamlessly track, control, and optimize their solar production, energy usage, and carbon reduction.

Following the launch of SolarEdge's single-phase solution in 2023, the new three-phase backup system expands the company's offering to meet the needs of larger homes in Thailand, providing reliable power to homes both on and off the grid. The SolarEdge 10kW Home Hub Inverter, paired with the SolarEdge Home Battery 48V and Backup Interface, offers up to 10kW of backup power with a 5kWh battery capacity. This scalable system allows for the stacking of additional battery modules, supporting up to 23 kWh for increased energy storage capacity.

SolarEdge Home is already in use in numerous homes worldwide. Designed to harvest more energy from the sun, the DC-Coupled battery architecture reduces energy losses, by eliminating the 'triple-conversion penalty', with two less power conversions required than AC-coupled alternatives, for industry-leading round-trip efficiency of 95.4%. Additionally, the system's 200% DC oversizing, ensuring greater energy production over the system's lifetime.

SolarEdge Home prioritizes safety with advanced built-in features including SafeDC(TM) and arc fault detection & termination functionality, helping to meet stringent safety regulations, including the EIT mandatory standards.

For installers, the SolarEdge Home portfolio is designed to simplify installation from design to commissioning and reduce installation time thanks to its plug-and-play wireless connectivity.

"We are excited to bring one of the most advanced solar and energy storage solutions to the Thai market," said Weeruj Techasuwanna, Country Manager for Thailand at SolarEdge Technologies. "This solutions emphasizes our commitment to providing homeowners with innovative, safe, and reliable solutions to meet their energy needs while contributing to a more sustainable future."

For more information, please see here https://www.solaredge.com/th/products/residential

About SolarEdge

SolarEdge is a global leader in smart energy technology. By leveraging world-class engineering capabilities and with a relentless focus on innovation, SolarEdge creates smart energy solutions that power our lives and drive future progress. SolarEdge developed an intelligent inverter solution that changed the way power is harvested and managed in photovoltaic (PV) systems. The SolarEdge DC optimized inverter seeks to maximize power generation while lowering the cost of energy produced by the PV system. Continuing to advance smart energy, SolarEdge addresses a broad range of energy market segments through its PV, storage, EV charging, batteries, and grid services solutions. Visit us at: solaredge.com 

เมืองเวินโจวของจีนพลิกโฉมสู่ศูนย์กลางเส้นทางสายไหมทางทะเลยุคใหม่ เดินหน้าสร้างนวัตกรรมและจับมือพันธมิตรทั่วโลก

คณะกรรมการบริหารการประชุมแลกเปลี่ยนระดับนายกเทศมนตรีว่าด้วยอิทธิพลของเมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเล ประจำปี 2567

ในขณะที่ปี 2567 กำลังจะสิ้นสุดลง เส้นทางสายไหมทางทะเลกำลังจะได้เห็นบทใหม่อันเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาอันรุ่งเรืองตลอดปีที่ผ่านมา โดยการประชุมแลกเปลี่ยนระดับนายกเทศมนตรีว่าด้วยอิทธิพลของเมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเล ประจำปี 2567 มีกำหนดจัดขึ้นที่เมืองท่าอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างเวินโจว ในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม

การประชุมครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมจิตวิญญาณเส้นทางสายไหม อันประกอบด้วยสันติภาพและความร่วมมือ การเปิดกว้างและการอยู่ร่วมกัน การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน และการได้ประโยชน์ทุกฝ่าย โดยจะเปิดเผยรายชื่อ 10 เมืองทรงอิทธิพลบนเส้นทางสายไหมทางทะเลประจำปี 2567 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและเสน่ห์ของเมืองต่าง ๆ ของจีนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมทางทะเลในรอบปีที่ผ่านมา

เมืองเวินโจวตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์กลางแนวชายฝั่งตะวันออกของจีน ด้วยทำเลทองที่แม่น้ำบรรจบทะเล ทำให้มีท่าเรือที่เหมาะแก่การค้าขาย นับตั้งแต่ก่อตั้งเมืองในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออกเมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน เวินโจวก็เติบโตเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่คึกคักมาโดยตลอด

แหล่งท่าเรือโบราณซั่วเหมิน (Shuomen Ancient Port) ที่ค้นพบจากการขุดค้นทางโบราณคดีในปี 2564 เป็นประจักษ์พยานอันโดดเด่นถึงบทบาทสำคัญของเวินโจวในเส้นทางสายไหมทางทะเลโบราณ ด้วยระบบที่ผสมผสานทั้งเมือง ท่าเรือ และเส้นทางน้ำ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีที่หาได้ยากยิ่งทั้งในจีนและทั่วโลก และเป็นหลักฐานชัดเจนที่แสดงถึงความรุ่งเรืองและความต่อเนื่องของเส้นทางสายไหมทางทะเลโบราณ

การพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลไม่เพียงช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างเวินโจวกับโลกภายนอก แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีอีกด้วย

ตลอดเส้นทางที่พระสงฆ์และพ่อค้าได้บุกเบิกไว้ สมบัติทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งงานหัตถศิลป์อันประณีตอย่างเครื่องเขินและเครื่องลายคราม รวมถึงงานพิมพ์โบราณ เช่น ภาพจิตรกรรมพุทธศิลป์และวรรณกรรมกวีนิพนธ์ ได้แพร่หลายข้ามทะเลสู่นานาประเทศ การแลกเปลี่ยนเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมและถ่ายทอดความรู้ทางเทคโนโลยี

ปัจจุบัน เวินโจวยังคงทำหน้าที่สำคัญในฐานะสะพานเชื่อมการไหลเวียนของสินค้า วัฒนธรรม และเทคโนโลยีระหว่างตะวันออกกับตะวันตก พร้อมกับมุ่งมั่นแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนาเมือง

การประชุมครั้งนี้จะมีกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการนำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีท่าเรือซั่วเหมิน นิทรรศการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแห่งเส้นทางสายไหมทางทะเล การสัมมนาและนิทรรศการด้านนวัตกรรมงานศิลปหัตถกรรม การนำเสนอแบรนด์การท่องเที่ยวเมืองระดับโลก กิจกรรม "ราตรีเวินโจว" และงานแสดงสินค้าที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเวินโจวและวิถีชีวิตสมัยราชวงศ์ซ่ง

กิจกรรมเหล่านี้มุ่งสร้างเวทีระดับนานาชาติแห่งใหม่เพื่อส่งเสริมการสื่อสารและความร่วมมือ โดยอาศัยเมืองต่าง ๆ บนเส้นทางสายไหมทางทะเลเป็นตัวเชื่อม เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในด้านวัฒนธรรม ศิลปะ การศึกษาวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข กีฬา และการท่องเที่ยว การประชุมครั้งนี้หวังส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างเมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเลให้ลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากการแลกเปลี่ยนด้านเศรษฐกิจและการค้า

ในศตวรรษที่ 21 ขณะที่เส้นทางสายไหมทางทะเลกำลังฟื้นคืนชีพ เมืองท่าการค้าอายุพันปีอย่างเวินโจวยังคงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง ในยุคใหม่นี้ เมืองเวินโจวมุ่งมั่นที่จะสำรวจหาแนวทางพัฒนาที่เปิดกว้างมากขึ้น การแลกเปลี่ยนที่กว้างขวางขึ้น และความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในด้านการพัฒนาเมืองนั้น เวินโจวได้ดึงดูดสถาบันการศึกษาชั้นนำให้เข้ามามีบทบาทในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางจากสิงคโปร์ และมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคฮ่องกง

ส่วนในด้านการคมนาคม เมืองเวินโจวทุ่มเทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมระดับชาติแบบครบวงจร และศูนย์กลางการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาค

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เวินโจวได้สร้างสายสัมพันธ์ฉันมิตรกับ 30 เมือง โดยหลายเมืองตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมทางทะเล ความโดดเด่นในการสร้างเครือข่ายเมืองพี่เมืองน้องในระดับนานาชาติทำให้เวินโจวได้รับ "รางวัลเมืองมิตรภาพระหว่างประเทศดีเด่น" ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างเมืองพี่เมืองน้องของจีน

ในการประชุมปีนี้ เมืองเวินโจวจะเชิญผู้บริหารจากเมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหมทางทะเล มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การพัฒนาเมืองผ่านการประชุมโต๊ะกลม เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในความร่วมมือระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ การประชุมนี้จะประกาศแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความร่วมมือด้านนวัตกรรมระหว่างเมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งเป็นผลจากการหารือเชิงลึกของผู้แทนที่เข้าร่วมประชุม แถลงการณ์นี้มุ่งส่งเสริมการเผยแพร่จิตวิญญาณแห่งเส้นทางสายไหมให้กว้างไกลยิ่งขึ้น และผลักดันบทบาทสำคัญของเส้นทางสายไหมในศตวรรษใหม่

การมีเส้นทางสายไหมทางทะเลและเป้าหมายการพัฒนาร่วมกัน นำมาซึ่งโอกาสในการร่วมมือที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยเมืองเวินโจวจะใช้การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสในการส่งเสริมการสื่อสารและความร่วมมือกับเมืองต่าง ๆ ตลอดเส้นทางสายไหมทางทะเล เพื่อผลักดันให้เมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเลมีอนาคตสดใสยิ่งขึ้นในสหัสวรรษใหม่

ที่มา: คณะกรรมการบริหารการประชุมแลกเปลี่ยนระดับนายกเทศมนตรีว่าด้วยอิทธิพลของเมืองบนเส้นทางสายไหมทางทะเล ประจำปี 2567

China's Wenzhou renews Maritime Silk Road hub charm via innovative development, global cooperation

 The 2024 Mayors Exchange Conference on Maritime Silk Road City Influence Executive Committee

With the year of 2024 approaching its end, the Maritime Silk Road will see another landmark chapter to its prosperous development over the past year, as the 2024 Mayors Exchange Conference on Maritime Silk Road City Influence is set to be held in the time-honored port city of Wenzhou in east China's Zhejiang Province from November 29 to December 1.

As an important platform for promoting the Silk Road Spirit of peace and cooperation, openness and inclusiveness, learning from each other, mutual benefits and win-win results, the conference will unveil the annual list of 2024 top 10 influential cities along the Maritime Silk Road. This list aims to showcase the achievements and charm of Chinese cities along the Maritime Silk Road over the past year.

Situated along the central section of China's eastern coastline and blessed with excellent port conditions where rivers meet the sea, Wenzhou has enjoyed a thriving commercial and logistical sector since its establishment over 2,200 years ago during the Eastern Jin Dynasty.

The Shuomen Ancient Port site, discovered through archaeological excavations in 2021, stands as a remarkable testament to Wenzhou's integral role in the ancient Maritime Silk Road. With its integrated system of city, port, and waterways, this site represents a unique and rare archaeological wonder in China and the world, providing solid evidence of the prosperity and continuity of the ancient Maritime Silk Road.

The development of the Maritime Silk Road has not only facilitated economic and trade exchanges between Wenzhou and the world but has also fostered cultural and technological exchanges.

Following in the footsteps of monks and merchants, exquisite crafts such as lacquerware and porcelain, as well as printed materials like Buddhist paintings and poetry collections, have traversed the seas and reached the global stage. These exchanges have played a significant role in promoting cultural and technological interactions.

Today, Wenzhou continues to play a vital role as a bridge for the flow of goods, culture, and technology between the East and the West, while actively engaging in the innovative exploration of urban development.

The conference will feature various events, including an academic exchange and research results presentation on the Shuomen Ancient Port site, a Maritime Silk Road intangible cultural heritage exhibition, a seminar and exhibition on innovative approaches in arts and crafts, a world city tourism IP roadshow, the "Night of Wenzhou," and the Song Dynasty-style and Wenzhou characteristic fair.

These activities aim to establish a new international platform for communication and cooperation, with the Maritime Silk Road cities as the carrier, to further strengthen exchanges and cooperation in the fields of culture, arts, science education, healthcare, sports, and tourism. Through these endeavors, the conference aims to promote deeper and broader mutual learning and mutual benefit among Maritime Silk Road cities, extending beyond the realm of economic and trade exchanges.

As the Maritime Silk Road experiences a revival in the 21st century, the thousand-year-old commercial port of Wenzhou continues to drive urban development through innovation. In this new era, Wenzhou is committed to exploring more open development, broader exchanges, and deeper levels of cooperation.

In terms of urban development, Wenzhou has introduced high-level innovation platforms such as Nanyang Technological University in Singapore and the Hong Kong Polytechnic University.

Striving to enhance connectivity, Wenzhou has been advancing transportation infrastructure and is building a comprehensive national transportation hub and a regional international shipping center.

When it comes to international exchanges, Wenzhou has developed 30 friendly cities or cities with friendly exchange relationships, many of which are located along the Maritime Silk Road. Wenzhou's outstanding efforts in building international sister cities have earned it the highest honor in China's international sister city relations -- the "International Friendship City Award for Outstanding Contribution."

During this year's conference, Wenzhou will continue to invite officials from selected representative cities along the Maritime Silk Road to share their experiences in urban development through roundtable discussions, aiming to explore new opportunities for international cooperation.

In addition, the conference will release a consensus on cultural exchange and innovative cooperation among Maritime Silk Road Cities based on in-depth discussions among attending delegates. The consensus seeks to promote a wider dissemination of the Silk Road spirit and promote its increasingly significant role in the new century.

Shared Maritime Silk Road and development goals bring opportunities for cooperation for win-win outcomes. Wenzhou will take the conference as an opportunity to strengthen communication and cooperation with cities along the Maritime Silk Road in a bid to create a more brilliant future for Maritime Silk Road cities in the new millennium.

Source: The 2024 Mayors Exchange Conference on Maritime Silk Road City Influence Executive Committee