Friday, May 31, 2019

ไฮเออร์ ประเทศไทย เผยกลยุทธ์สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างหนุนยอดขายเดือนม.ค.-เม.ย. ทะยาน 29%

          บริษัท ไฮเออร์ ประเทศไทย ในเครือไฮเออร์ กรุ๊ป กลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านยักษ์ใหญ่จากจีน มียอดขายเพิ่มขึ้น 29% ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2562 เมื่อเทียบรายปี โดยได้รับแรงหนุนจากกลยุทธ์การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง

          ยอดขายเครื่องปรับอากาศในช่วงเวลาดังกล่าวทะยานขึ้นถึง 38% นับว่ามีอัตราการเติบโตสูงสุดในบรรดาแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีนในประเทศไทย

          มร.จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความสำเร็จของไฮเออร์ในไทยเป็นผลพวงมาจากการตลาดที่เหมาะสมกับลูกค้าในประเทศ การสื่อสารเชิงรุกกับผู้ใช้งาน รวมถึงกลยุทธ์การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง

          เขาเปิดเผยว่า ไฮเออร์นำเสนอเครื่องปรับอากาศเทคโนโลยี self-purifying เพื่อให้เข้ากับสภาพการใช้งานในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมียอดขาย 30,000 เครื่องในปี 2561 และบริษัทคาดว่าจะขายได้ถึง 100,000 เครื่องในปีนี้

          ปัจจุบัน ไฮเออร์มีกำลังการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านราว 1.5 ล้านยูนิตต่อปีในไทย โดย 40% จากทั้งหมดจำหน่ายในประเทศ ส่วนอีก 60% ส่งออกไปจำหน่ายที่ยุโรป มาเก๊า อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง

          ไฮเออร์ทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2545 จากนั้นได้เทคโอเวอร์โรงงานของบริษัท ซันโย อิเล็กทริก ในปี 2550 และแปลงโฉมเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีทั้งสายการผลิต ศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงศูนย์จัดจำหน่าย ธุรกิจของไฮเออร์ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา

Haier Thailand recently organized a marathon in Bangkok

          ในขณะที่ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ไฮเออร์ ประเทศไทย ก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคม

          เมื่อไม่นานมานี้ ไฮเออร์ ประเทศไทย ได้จัดงานวิ่งมาราธอนที่กรุงเทพฯ พร้อมมอบรายได้จากการจัดงานวิ่งกว่า 200,000 บาทให้แก่มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก

          รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20190531/2483274-1
          คำบรรยายภาพ - ไฮเออร์ ประเทศไทย จัดงานวิ่งมาราธอนที่กรุงเทพฯ เมื่อไม่นานมานี้

Haier Thailand sees sales up 29 percent between January and April on product differentiation strategy

          Haier Thailand, an arm of Chinese home appliance giant Haier Group, saw its sales in the first fourth months of this year increase 29 percent year on year, thanks to its product differentiation strategy.
Haier Thailand recently organized a marathon in Bangkok

          To be specific, sales of its air-conditioning products during the period increased by 38 percent, the highest growth rate among all Chinese appliance brands in Thailand.

          Zhang Zhenghui, president of Haier Thailand Sales, attributed Haier's success in Thailand to its localized marketing, active communication with users, and product differentiation strategy.

          He said that the self-purifying air conditioner is a model for Haier to create differentiated products based on local conditions. The sales volume of the product in 2018 amounted to 30,000 units, and the company is expected to sell 100,000 units this year.

          At present, the annual production capacity of Haier's white goods in Thailand has been 1.5 million units and 40 percent of its products are sold locally, while the remaining 60 percent are exported to Europe, Macao, South America and the Middle East.

          Haier has been in the Thai market since 2002 and it took over a plant from Sanyo Electric in 2007, turning it into the largest white goods base, integrating manufacturing, R&D and sales in Southeast Asia. Since 2016, Haier has achieved rapid growth and sustainable development of its business in Thailand.

          While making rapid progress in business, Haier Thailand has paid much attention to public welfare undertakings.

          Recently, Haier Thailand organized a marathon in Bangkok and donated the registration fees worth more than 200,000 baht (about 6,200 U.S. dollars) to a foundation focusing children's heart surgery.


Haier Thailand sees sales up 29 percent between January and April on product differentiation strategy

Haier Thailand, an arm of Chinese home appliance giant Haier Group, saw its sales in the first fourth months of this year increase 29 percent year on year, thanks to its product differentiation strategy.

To be specific, sales of its air-conditioning products during the period increased by 38 percent, the highest growth rate among all Chinese appliance brands in Thailand.

Zhang Zhenghui, president of Haier Thailand Sales, attributed Haier's success in Thailand to its localized marketing, active communication with users, and product differentiation strategy.

He said that the self-purifying air conditioner is a model for Haier to create differentiated products based on local conditions. The sales volume of the product in 2018 amounted to 30,000 units, and the company is expected to sell 100,000 units this year.

At present, the annual production capacity of Haier's white goods in Thailand has been 1.5 million units and 40 percent of its products are sold locally, while the remaining 60 percent are exported to Europe, Macao, South America and the Middle East.

Haier has been in the Thai market since 2002 and it took over a plant from Sanyo Electric in 2007, turning it into the largest white goods base, integrating manufacturing, R&D and sales in Southeast Asia. Since 2016, Haier has achieved rapid growth and sustainable development of its business in Thailand.

Haier Thailand recently organized a marathon in Bangkok

While making rapid progress in business, Haier Thailand has paid much attention to public welfare undertakings.

Recently, Haier Thailand organized a marathon in Bangkok and donated the registration fees worth more than 200,000 baht (about 6,200 U.S. dollars) to a foundation focusing children's heart surgery.


Caption: Haier Thailand recently organized a marathon in Bangkok

Bank Leumi, CIBC และ National Australia Bank ร่วมเปิดตัวพอร์ทัลออนไลน์ มุ่งผลักดันความร่วมมือกับบริษัทฟินเทค

          สมาชิกกลุ่มพันธมิตรธนาคารระหว่างประเทศอย่าง Bank Leumi of Israel (TASE: LUMI), CIBC และ National Australia Bank (ASX: NAB) ร่วมกันเปิดตัว Global Alliance Fintech Link พอร์ทัลออนไลน์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า ด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารและบริษัทด้านเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค)

          บริษัทฟินเทคจะสามารถส่งมอบโซลูชั่นที่สร้างสรรค์ผ่านทางดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อตอบสนองต่อโอกาสด้านต่างๆ ที่ธนาคารเสนอให้เมื่อมีความต้องการ โดยที่ธนาคารจะสามารถเข้าไปขอคำปรึกษาจากบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายได้โดยตรง

          Global Alliance Fintech Link ช่วยให้สตาร์ทอัพทั่วโลกสามารถเข้าถึงกลุ่มธนาคารระดับโลกได้อย่างง่ายดาย ด้วยการเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้เข้าไปร่วมมือกับสถาบันการเงิน 3 แห่งใน 3 ทวีป โดยที่พอร์ทัลจะช่วยเปิดทางให้พวกเขาสามารถนำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีในพื้นที่สำคัญๆ ที่ธนาคารต้องการปรับปรุงประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้

          การเปิดตัวครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Bank Leumi, CIBC และ National Australia Bank ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่เดือนก.ย. 2559 โดยโครงการดังกล่าวไม่เพียงถูกออกแบบมาเพื่อให้ความร่วมมือระดับโลกเป็นไปได้อย่างง่ายมากขึ้น หากแต่ยังต้องการให้บริษัทฟินเทคทั้งหลายสามารถเข้าถึงพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพที่จะเข้ามาช่วยขยายธุรกิจของพวกเขาให้เติบโตขึ้น พร้อมมอบโอกาสยิ่งใหญ่ให้กับระบบนิเวศด้านการธนาคารและเทคโนโลยีทั่วโลก

          แพลตฟอร์มนี้ได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในฐานะแพลตฟอร์มนำร่องและจะมีการพัฒนาต่อไปเมื่อมีความท้าทายเพิ่มเติม

          ถ้อยแถลง:

          "ความร่วมมือครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Bank Leumi, National Australia Bank และ CIBC ไม่ใช่เพียงผู้นำที่มีแค่ความคิด แต่ยังลงมือทำเพื่อบ่มเพาะความพยายามในการกระตุ้นให้เกิดข้อเสนอที่มีมูลค่ามากขึ้น" คุณ Tamar Yassur Tamar Yassur รองผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลของ Bank Leumi กล่าว "เรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มใหม่นี้จะช่วยจุดประกายนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ระดับสากลเพื่อปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้าในธนาคารทั่วทุกแห่งบนโลกนี้ได้"

          "นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา และแพลตฟอร์มใหม่นี้ก็ทำให้เราได้มีโอกาสในการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนโซลูชั่นในขณะที่เรากำลังสร้างธนาคารที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์กับโลกสมัยใหม่" คุณ Greg Elcich รองประธานฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและสร้างความมั่งคั่งด้วยดิจิทัลของ CIBC กล่าว "เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับ National Australia Bank และ Bank Leumi ในพอร์ทัลนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และการเติบโตในอุตสาหกรรมฟินเทคระดับโลก"

          "สำหรับธนาคารที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนอย่าง NAB, CIBC และ Bank Leumi นี่ป็นความท้าทายสำหรับบริษัทฟินเทคในการค้นหาเส้นทางที่จะนำไปสู่ผู้ใช้งานที่ถูกคน ด้วยการพิจารณาแนวคิดที่มีอยู่อย่างเหมาะสม" คุณ Jonathan Davey ผู้จัดการฝ่ายดิจิทัลและนวัตกรรมจาก National Australia Bank กล่าว "แพลตฟอร์มใหม่นี้จะมอบการประมวลผลที่ง่ายและสะดวกสบายให้กับบริษัทฟินเทค เพื่อให้พวกเขาสามารถเชื่อต่อเข้ากับระบบของธนาคาร โดยที่เราเองก็จะสามารถเชื่อมโยงแนวคิดดังกล่าวเข้ากับผู้ใช้ที่มีความสนใจในสิ่งที่ฟินเทคนำเสนอ และยังสามารถทำงานกับพวกเขาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม"

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.globalfintechlink.com

          เกี่ยวกับ Bank Leumi:

          Bank Leumi เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินชั้นนำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสราเอล ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2445 เพื่อมอบบริการทางการเงินที่มีความครอบคลุม โดยครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศคิดเป็นสัดส่วนราว 30%

          Leumi เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการธนาคารในอิสราเอล ซึ่งมอบบริการทางการเงินด้วยระบบดิจิทัลหลายหลายรูปแบบโดยอาศัยเทคโนโลยีสุดล้ำ Leumi ได้เปิดตัว "Pepper" แอปพลิเคชันเพื่อการทำธุรกรรมการเงินผ่านสมาร์ทโฟนเต็มรูปแบบตัวแรกในอิสราเอล ที่พัฒนาขึ้นจากโมเดลคลาวด์แบบไฮบริดและซอฟต์แวร์ศูนย์ข้อมูลออกมาเมื่อปี 2560 ซึ่งสามารถเรียกความสนใจจากนานาชาติได้อย่างล้นหลาม จนคว้ารางวัล "2018 Innovator Award" จาก Dell Technologies มาครองได้ในเดือนเม.ย. 2561

          เกี่ยวกับ CIBC

          CIBC คือสถาบันการเงินชั้นนำของอเมริกาเหนือที่ให้บริการแก่ลูกค้าส่วนบุคคล, ธุรกิจ, ภาคเอกชน และลูกค้าสถาบันกว่า 10 ล้านราย CIBC ได้มอบคำแนะนำ โซลูชัน และบริการต่างๆ ตั้งแต่การบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจส่วนตัวและธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงธนาคารพาณิชย์และการบริหารจัดการความมั่งคั่ง ตลอดจนธุรกิจด้านตลาดทุน ผ่านเครือข่ายธนาคารดิจิทัลชั้นนำของทางบริษัทที่ตั้งอยู่ในแคดานา สหรัฐ และทั่วโลก

          เกี่ยวกับ National Australia Bank

          National Australia Bank (NAB) เป็นหนึ่งในสี่ธนาคารยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลีย และเป็นธนาคารเพื่อธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยธนาคารมีพนักงานอยู่กว่า 33,000 คนที่พร้อมให้บริการลูกค้ากว่า 9 ล้านคนทั่วออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

          NAB เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง ด้วยศูนย์กลางนวัตกรรมระดับสากลอย่าง NAB Labs ซึ่งเน้นไปที่การสร้างอนาคตของธนาคารผ่านนวัตกรรมที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง บริษัทมีกลยุทธ์ในการเข้าไปลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพผ่านเครื่องมือการลงทุนที่มีชื่อว่า NAB Ventures ตลอดจนเข้าไปร่วมมือกับบริษัทฟินเทคทั้งหลาย และเร่งความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยี NAB ด้วยความมุ่งหวังที่จะส่งมอบคุณค่าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าทุกท่าน

Bank Leumi, CIBC and National Australia Bank launch online portal to drive collaboration with fintechs

          As part of an international banking alliance, Bank Leumi of Israel (TASE: LUMI), CIBC and National Australia Bank (ASX: NAB) today introduced Global Alliance Fintech Link, a global online portal developed to help drive client-focused innovation by facilitating collaboration between the banks and financial technology firms (fintechs).

          Through the digital platform, fintechs can submit creative technology solutions in response to a wide range of opportunities identified by the banks. Upon receiving the proposals, the banks will consult directly with the technology firms.

          Global Alliance Fintech Link offers startups around the world easy access to the global banking marketplace by enabling direct collaboration with three financial institutions on three continents. The portal opens the door for companies to provide technology solutions to key areas where banks want to enhance customer experiences.

          Stemming from Bank Leumi, CIBC and National Australia Bank's strategic alliance formed in September 2016, the initiative is not only designed to simplify global cooperation but to offer fintechs access to potential partners that could help scale their business. It also offers the opportunity to bring these world class companies into a global technology and banking ecosystem.

          The platform has been initially launched as a pilot and will evolve as additional challenges are added to the site.

          Quotes:

          "This partnership shows that Bank Leumi, National Australia Bank and CIBC are leaders not just in thought but also in action when it comes to seeding international efforts to spur better value propositions" said Tamar Yassur, FEVP and Chief Digital Officer, Bank Leumi. "We're confident this new platform will help spark international innovation and creativity to enhance customer services in banking across the globe."

          "Transformative innovation is key to meeting the ever-evolving needs of clients, and this new platform gives us the opportunity to identify new and emerging technologies that will drive solutions as we build a relationship focused bank for a modern world," said Greg Elcich, VP Enterprise Innovation & Wealth Digital at CIBC. "We're delighted to partner with National Australia Bank and Bank Leumi on this portal to help stimulate further creativity and growth in the global fintech industry."

          "In big and complex banks like NAB, CIBC and Bank Leumi, it can be a challenge for fintechs with good ideas to find the right path to the right people, where their concepts can be appropriately considered," said Jonathan Davey, EGM Digital and Innovation, National Australia Bank. "This new platform provides a simple and easy process for fintechs to help connect them into the bank where we can connect that idea to the right people who may be interested in what they have to offer and how we might be able to work together, no matter where they are based."

          For further information: visit www.globalfintechlink.com

          About Bank Leumi:

          Bank Leumi, established in 1902, is one of the leading and largest financial corporations in Israel, providing comprehensive banking services and commanding an approximate 30% domestic market share.

          Leumi is leading the way for innovation in Israeli Banking, with a wide range of innovative digital banking servicesbased on cutting-edge technology. In 2017 Leumi launched Israel's first standalone fully-mobile Bank – 'Pepper', built on a hybrid cloud model and software-defined data center. Since its launch Pepper has drawn international attention and was awarded the '2018 Innovator Award' by Dell Technologies (April, 2018).

          About CIBC

          CIBC is a leading North American financial institution with 10 million personal banking, business, public sector and institutional clients. Across Personal and Small Business Banking, Commercial Banking and Wealth Management, and Capital Markets businesses, CIBC offers a full range of advice, solutions and services through its leading digital banking network, and locations across Canada, in the United States and around the world.

          About National Australia Bank:

          National Australia Bank is one of Australia's 'Big Four' banks and is Australia's largest business bank. It has more than 33,000 employees, serving 9 million customers across Australia and New Zealand.

          NAB is at the forefront of innovation with an internationally renowned innovation hub, NAB Labs, which is focused on shaping the future of banking through customer-led innovation. Through strategic investments in start-ups, via venture capital arm NAB Ventures, as well as collaborating with fintechs, accelerators and technology companies, NAB aims to deliver market-leading value propositions that bene?t its customers.

Whale Cloud ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพลิกโฉมสู่ดิจิทัล ด้วย Alibaba Cloud

          Whale Cloud ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด Alibaba Cloud Summit ประจำปีนี้ ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ ซันเทค สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีลูกค้า พันธมิตรระบบนิเวศ และพันธมิตรอุตสาหกรรมจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมกว่า 1,000 ราย มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและแนวทางการปฏิบัติด้านการสร้างนวัตกรรมและการขยายความเป็นไปได้ทางธุรกิจด้วยข้อมูลอัจฉริยะของ Alibaba

          ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ Yang Bo ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายโซลูชั่นของ Whale Cloud ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้ร่วมเป็นวิทยากรที่งาน "APAC Partner Summit" เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "Power Up: Reinventing your business with AI, Cloud and Data Intelligence" ซึ่งอธิบายถึงการเป็นหุ้นส่วนและการทำงานร่วมกันระหว่าง Alibaba Cloud และ Whale Cloud ในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมแนวตั้งสู่ความเป็นดิจิทัล

          "เราได้สร้างองค์กรธุรกิจระดับกลาง ข้อมูลระดับกลาง และ AI ระดับกลาง ด้วยโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba รวมถึงบิ๊กดาต้าและความสามารถของ AI นอกเหนือจากนั้น เรายังนำเสนอโซลูชั่นที่เฉพาะเจาะจง เช่น การบริการลูกค้าอัจฉริยะ (WhaleTalk) การตลาดอัจฉริยะ การค้าปลีกใหม่ และโซลูชั่น IoT แก่ลูกค้าองค์กร รวมถึงผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม การท่องเที่ยวและเกม รัฐบาล สถาบันการเงิน เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน" Yang Bo กล่าว

          "Whale Cloud ดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาเป็นเวลา 15 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เราเริ่มความร่วมมือกับ Alibaba Cloud ในเอเชียแปซิฟิกเมื่อปีที่ผ่านมาด้วยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เราประสบความสำเร็จในการขยายขอบเขตการตลาดของเรา จากเดิมที่ให้บริการแก่ผู้ประกอบการโทรคมนาคม มาสู่อุตสาหกรรมแนวตั้ง" คุณ Chen Yishi ผู้จัดการทั่วไปของ Whale Cloud ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว "ตอนนี้เรามีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่สิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นสถานที่ที่เหมาะสมและเป็นตลาดที่มีพลวัตในภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันเราต้องการมีส่วนร่วมในโครงการ 'Smart Nation' ของรัฐบาลสิงคโปร์มากยิ่งขึ้น เราจึงเริ่มต้นจากที่นี่ และจะขยายสู่ประเทศและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในภูมิภาคต่อไป โดยจะนำบิ๊กดาต้าและเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาใช้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ตลอดจนปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม และอัดฉีด 'Smart Brain' เข้าสู่อุตสาหกรรมและตลาดแรงงานมากขึ้น เราปักหลักที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเราต้องการทำให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพลิกโฉมสู่ความเป็นดิจิทัล"

งานแคนตันแฟร์ขยายการค้ากับประเทศต่างๆ ตามแนวเส้นทางสายไหม

 กว่างโจว, จีน--31 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          งานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกของจีน หรืองานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 125 ที่เพิ่งปิดฉากไปเมื่อไม่นานนี้ มีมูลค่าการค้ากับประเทศต่างๆ ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เพิ่มขึ้น 9.9% สู่ระดับ 1.063 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ BRI กับจีนคิดเป็นสัดส่วน 35.8% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดภายในงาน ขณะที่ผู้ซื้อจากประเทศ BRI มีจำนวนเพิ่มขึ้น 0.5% และผู้ซื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 0.94%

          คุณสวี่ ปิง โฆษกงานแคนตันแฟร์และรองผู้อำนวยการศูนย์การค้าต่างประเทศจีน กล่าวว่า "งานแคนตันแฟร์มีการโปรโมทตัวเองมากขึ้นในประเทศและดินแดนต่างๆ ตามแนวเส้นทางสายไหม เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้ามีความสำคัญต่อการส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจ จำนวนผู้ซื้อจากประเทศ BRI เพิ่มขึ้นแตะ 80,000 ราย คิดเป็นสัดส่วน 45% ของผู้ซื้อทั้งหมด ขณะเดียวกันก็มีผู้จัดแสดงสินค้าจากประเทศ BRI มากถึง 8,198 ราย ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการจัดงาน"

          จีนสานสัมพันธ์ประเทศ BRI เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจและการค้าร่วมกัน

          คุณหลี่ กุ้ยเหวิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล กรมศุลกากรจีน กล่าวว่า บริษัทค้าขายจีนมีรากฐานที่มั่นคงในประเทศแล้ว และกำลังขยายธุรกิจไปสู่ตลาดเกิดใหม่ในประเทศ BRI โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการนำเข้าและส่งออกระหว่างจีนกับประเทศ BRI เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 2.73 ล้านล้านหยวน (394,921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

          ผู้ซื้อจากประเทศ BRI ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในงานครั้งนี้ สะท้อนถึงขาขึ้นของความสัมพันธ์ทางการค้า โดยผู้ซื้อจากประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และกัมพูชา เพิ่มขึ้น 10.75%, 9.08%, 23.71%, 4.4% และ 8.83% ตามลำดับ ส่วนผู้ซื้อจากรัสเซียเพิ่มขึ้น 1.29%

          งานแคนตันแฟร์กับการขยายธุรกิจในระดับโลก

          งานแคนตันแฟร์ช่วยยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างจีนกับประเทศ BRI ด้วยโครงการความร่วมมือระดับโลก งานนี้ได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับองค์กรการค้าและอุตสาหกรรม 48 แห่ง จาก 32 ประเทศ BRI เพื่อร่วมมือกันในด้านการส่งเสริมการค้า การจัดแสดง การเยี่ยมชมงาน และบริการสารสนเทศ ซึ่งเป็นการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับหลายประเทศ BRI และคาดว่าจะครอบคลุมทุกประเทศ BRI ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

          คุณเทมัวร์ เอ็ม เอสซาม ผู้จัดการฝ่ายจัดแสดงสินค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออกประเทศอียิปต์ กล่าวว่า งานแคนตันแฟร์ดึงดูดทั้งบริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อมในอียิปต์ ให้มาทดลองเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในตลาดต่างประเทศ

          "แคนตันแฟร์คือมหกรรมแสดงสินค้างานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก ในปีนี้ บริษัทอียิปต์ 9 แห่งได้ใช้โอกาสนี้ในการพบปะกับลูกค้าจากแอฟริกาและละตินอเมริกา พร้อมกับสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายการค้าทั่วโลก" คุณเอสซามกล่าว

          http://www.cantonfair.org.cn/en/index.aspx

งานแคนตันแฟร์ขยายการค้ากับประเทศต่างๆ ตามแนวเส้นทางสายไหม
       

Albane Cleret เจ้าแม่ผู้จัดงานปาร์ตี้ จับมือ Sony International เนรมิตงาน “ONCE UPON A TIME...IN HOLLYWOOD” ฉลองเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

 คานส์, ฝรั่งเศส--30 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          Albane Cleret คือเจ้าแม่แห่งความหรูหราสง่างาม ผู้อยู่เบื้องหลังการเนรมิตดาดฟ้าโรงแรม JW Marriott ให้กลายเป็นพื้นที่ที่เอ็กซ์คลูซีฟที่สุดประจำเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ความพิเศษนี้เป็นผลจากการรวมกันของ 3 สถานที่ด้วยกัน ซึ่งรวมถึง Le Club และ La Terrasse by Albane โดยคุณ Albane นั้นมีชื่อเสียงในฐานะผู้จัดอีเว้นท์ที่ทั้งหรูหรา เอ็กซ์คลูซีฟ และส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่จัดขึ้นที่กรุงปารีส สำหรับอีเว้นท์ที่เมืองคานส์นี้ หัวใจสำคัญของงานดังกล่าวอยู่ที่การ "สร้างเรื่องราวที่ลื่นไหลอย่างมีความมุ่งหมาย" ซึ่งได้ดึงดูดบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดงชื่อดังมายังคลับสุดไพรเวทแห่งนี้ทุกคืน เพื่อเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันผ่อนคลาย หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เป็นอันแล้วเสร็จ

          Sony International จึงได้แท็กทีมกับสตรีผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงงานปาร์ตี้รายนี้ รวมถึงทีมงานของเธอ เพื่อร่วมสร้างงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ในชื่อ "Once Upon A Time…in Hollywood" งานดังกล่าวจัดขึ้นหลังจากที่ภาพยนตร์ชื่อเดียวกันนี้ได้เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ ซึ่งมีคนดังเข้าร่วมมากมาย รวมถึง Quentin Tarantino ผู้กำกับ เช่นเดียวกับนักแสดงนำอย่าง Brad Pitt, Leonardo DiCaprio และ Margot Robbie โดยคุณ Stephane Huard กรรมการผู้จัดการของ Sony Pictures Releasing France กล่าวว่า "คุณ Albane เป็นศิลปินตัวจริง ที่ได้เข้ามารังสรรค์ปาร์ตี้ระดับตำนานแก่ภาพยนตร์เรื่อง Once Upon A Time… In Hollywood ซึ่งจะกลายเป็นที่จดจำตลอดไปในแวดวงงานปาร์ตี้เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์"

          คุณ Albane มีชื่อเสียงจากการจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัวเล็ก ๆ แต่คราคร่ำไปด้วยบรรดาคนดัง แต่สำหรับอีเว้นท์เมืองคานส์ครั้งนี้ เธอได้รับมอบหมายให้เข้ามาสร้างสรรค์บรรยากาศความเป็นส่วนตัวแบบเดียวกัน ให้กับแขกที่มากถึง 600 คน

          นับเป็นครั้งแรกของเทศกาลเมืองคานส์ คุณ Albane ได้เปิดพื้นที่ดาดฟ้าทั้งหมดเพื่อจัดเพียงอีเว้นท์เดียว เพื่อให้เกิดความลื่นไหลระหว่าง 3 สถานที่ ซึ่งประกอบไปด้วยร้านอาหารสุดไพรเวทพร้อมเทอร์เรซ พื้นที่กลางสำหรับงานปาร์ตี้พร้อมเคาน์เตอร์บาร์กลมและคาบาน่าส่วนตัว ไปจนถึงคลับเลาจน์อันน่าทึ่งภายใต้แสงดาวและวิวอ่าวเมืองคานส์ โดยมีแบรนด์ดังร่วมเป็นสปอนเซอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hennessey, Chanel, Moet และ Breitling ซึ่งทาง Hennessey ได้รังสรรค์ค็อกเทลสุดพิเศษแก่ผู้ร่วมงานปาร์ตี้นี้ด้วย และหลังจากที่ภาพยนตร์ดังกล่าวได้รับการยืนปรบมือนานถึง 7 นาทีเมื่อหนังฉายจบ ก็ได้มีการจัดดินเนอร์อย่างเป็นส่วนตัวแก่ Quentin Tarantino รวมถึงทีมนักแสดง ผู้สร้าง และผู้บริหารของ Sony งานดินเนอร์นี้สร้างสรรค์ขึ้นโดยเชฟอันดับต้น ๆ ของฝรั่งเศสผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "The French Chef" อย่าง Cyril Lignac ซึ่งได้ทำงานร่วมกับเชฟระดับมิชลิน 3 ดาวอย่างเชฟ Alain Passard จากร้าน Arpege เช่นเดียวกับเชฟขนมอย่าง Pierre Herme ทั้งนี้ คุณ Sal Ladestro รองประธานบริหารฝ่าย International Marketing ของ Sony กล่าวว่า "เรามีความยินดีในการทำงานร่วมกับคุณ Albane ที่ได้เข้ามารังสรรค์งานปาร์ตี้แก่การฉายภาพยนตร์ของคุณ Quentin รอบปฐมทัศน์ จนกลายเป็นช่วงเวลายามราตรีที่เราจะจดจำตลอดไป เธอผู้นี้เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และรอบรู้เรื่องโลก ทำให้เธอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานอีเว้นท์อันดับต้น ๆ ของโลก และเราหวังที่จะทำงานร่วมกับเธออีกในอนาคต"

          เกี่ยวกับ Sony Pictures Entertainment
          Sony Pictures Entertainment (SPE) เป็นบริษัทในเครือของ Sony Entertainment Inc. ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัท Sony Corporation ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น SPE มีการดำเนินงานในระดับโลก ครอบคลุมทั้งในด้านการสร้าง ซื้อ และจัดจำหน่ายภาพยนตร์ รวมถึงการสร้าง ซื้อ และจัดจำหน่ายรายการโทรทัศน์ ไปจนถึงเครือข่ายโทรทัศน์ การสร้างและจัดจำหน่ายดิจิทัลคอนเทนต์ การบริหารจัดการสตูดิโอ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีความบันเทิงใหม่ ๆ รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sonypictures.com

Legendary party host Albane Cleret partners with Sony International on the "ONCE UPON A TIME...IN HOLLYWOOD" Cannes event

  CANNES, France--30 May--PRNewswire/InfoQuest

          Albane Cleret is the elegant mastermind behind transforming the rooftop of the JW Marriott into the most exclusive space at the Cannes Film Festival. Although, it is a combination of three venues; Le Club and La Terrasse by Albane. Albane is renowned for orchestrating events that are glamorous, exclusive and intimate mostly in Paris. During Cannes she describes her party philosophy as "creating a story with an intentional flow" that draws Cannes filmmakers and actors nightly to the private club to enjoy its relaxed atmosphere after their official festival activities have been completed.


          Sony International teamed up with this legendary club doyenne and her team to produce the "Once Upon A Time…in Hollywood" after party. The party followed the film's world premiere attended by filmmaker Quentin Tarantino and his lead actors Brad Pitt, Leonardo DiCaprio and Margot Robbie.  Stephane Huard, Managing Director of Sony Pictures Releasing France stated: "Albane is a true artist who created a legendary party for Once Upon A Time… In Hollywood that will forever be remembered as part of Cannes party lore."

          Albane is known for her small private parties with high wattage celebrities, but for this Cannes event her challenge was to create the same intimate atmosphere for a 600 person guest list.

          For the first time at the Festival, Albane opened the whole rooftop space for one event to create a flow between three unique spaces including a private restaurant and terrace, a central party space with a circular bar and bespoke private cabanas and a stunning club lounge under the stars with a view of the Cannes bay. Major sponsors such as Hennessey, Chanel, Moet, and Breitling partnered on the event, with Hennessey creating original cocktails for partygoers. Following a seven minute standing ovation at the Palais, a private dinner was prepared for Quentin Tarantino, the cast, the producers and Sony executives. The dinner was created one of France's leading chefs, lovingly referred to as "The French Chef" Cyril Lignac, who has worked alongside three-star Michelin chef Alain Passard at Arpege and pastry chef Pierre Herme. Sal Ladestro, Executive Vice President of International Marketing for Sony said: " We were delighted to partner with Albane who made the party for our world premiere of Quentin's film an evening that we will always remember. Her creative instincts and international sensibility make her one of the leading event specialists in the world and we look forward to partnering up with her again in the future."

         About Sony Pictures Entertainment
          Sony Pictures Entertainment (SPE) is a subsidiary of Sony Entertainment Inc., a subsidiary of Tokyo-based Sony Corporation. SPE's global operations encompass motion picture production, acquisition and distribution; television production, acquisition and distribution; television networks; digital content creation and distribution; operation of studio facilities; and development of new entertainment products, services and technologies. For additional information, go to http://www.sonypictures.com .


Zoomlion ทุบสถิติติดตั้งใบพัดกังหันลมสูงที่สุดในจีน

หยางโจว, จีน--30 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          บริษัท Zoomlion Heavy Industry Science & Technology จำกัด (Shenzhen: 000157) สร้างสถิติติดตั้งใบพัดกังหันลมสูงที่สุดในจีน ซึ่งเป็นการทำลายสถิติเดิมที่เพิ่งทำไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว โดยทีมงานได้ใช้รถเครนตีนตะขาบรุ่น ZCC9800W ของ Zoomlion ในการติดตั้งใบพัดกังหันลมที่ความสูง 152 เมตร ทำลายสถิติเดิม 140 เมตรที่ทำไว้เมื่อช่วงต้นเดือน

          กังหันลมโลหะที่สูงที่สุดในประเทศจีนตั้งอยู่ในฟาร์มกังหันลมหยางโจวที่มีกังหันลม 46 ชุด และจะทำให้ฟาร์มกังหันลมแห่งนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 100 เมกะวัตต์

          คุณจือเว่ย หลัว ผู้จัดการ Zoomlion Crawler Crane กล่าวว่า "การติดตั้งใบพัดกังหันลมที่สูงที่สุดในจีนเป็นความท้าทายครั้งใหม่สำหรับรถเครนตีนตะขาบของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในสภาพภูมิประเทศที่มีความยากลำบาก ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เพียงเป็นเครื่องพิสูจน์ทักษะอันเหลือเชื่อของทีมวิศวกรและทีมงานภาคสนามของเราเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพของเครื่องจักรของเราด้วย"

          รถเครนตีนตะขาบรุ่น ZCC9800W ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนและท้าทาย และเป็นรถเครนที่ทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด รถเครนรุ่นนี้มีความคล่องตัวสูงเพราะมีน้ำหนักเบาและถอดประกอบได้ โดยสามารถถอดแยกชิ้นส่วนและขนส่งอย่างสะดวกสบายในทุกสภาพถนนและทุกภูมิประเทศ เพื่อนำไปประกอบหน้างานและใช้งานต่อไป

Zoomlion ทุบสถิติติดตั้งใบพัดกังหันลมสูงที่สุดในจีน

          รถเครนตีนตะขาบรุ่น ZCC9800W เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง 4.0 รุ่นล่าสุดของ Zoomlion ที่มาพร้อมเทคโนโลยี IoT และใช้วัสดุขั้นสูงเพื่อตอบสนองความต้องการในยุคการผลิตอัจฉริยะ (Intelligent Manufacturing: IM) แขนบูมของรถเครนสามารถยืดออกได้สูงสุด 178 เมตร และมีความยาวรอกสูงสุด 180 เมตร

          "พลังงานลมเป็นแหล่งพลังงานใหม่ที่สะอาด แต่การใช้พลังงานลมอย่างเต็มประสิทธิภาพต้องอาศัยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่อง" คุณหลัวกล่าว

          ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม Zoomlion ได้ให้การสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดหลายโครงการ โดยรถเครนขนาดใหญ่รุ่น QAY2000 รวมถึงรถเครนตีนตะขาบรุ่น ZCC8800W และ ZCC9800W มีส่วนสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าของฟาร์มกังหันลมและการใช้พลังงานสีเขียวเป็นอย่างมาก Zoomlion จะเดินหน้าลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการสนับสนุนการก่อสร้างที่สะอาดขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

          สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.zoomlion.com/




ไมโครซอฟท์ ร่วมกับเมืองจ้าวชิ่ง ประเทศจีน เปิดตัว Microsoft "Cloud and Mobile Technology Incubation Program"

 กว่างโจว และ จ้าวชิ่ง, จีน--30 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          - Zhaoqing Unicorn Field เริ่มเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ

          การประชุม 2019 Zhaoqing Science and Technology Innovation and Development Summit ในหัวข้อ "สร้างสรรค์อนาคตอย่างชาญฉลาดด้วยขุมพลังวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม" ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ ณ เขตเมืองใหม่จ้าวชิ่ง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานยังได้มีการเปิดตัว Microsoft "Cloud and Mobile Technology Incubation Program" - Zhaoqing Cloud and Mobile Application Incubation Platform อย่างเป็นทางการ โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งมีชื่อเล่นว่า "Unicorn Field" เกิดจากความร่วมมือของคณะกรรมการบริหารเขตเมืองใหม่จ้าวชิ่ง และบริษัทไมโครซอฟท์ ประเทศจีน และบริหารงานโดยบริษัท Heungkong Cloud Science and Technology (Zhaoqing) Co., Ltd. ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างพื้นที่นวัตกรรมขนาดใหญ่ โดยมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะนวัตกรรมบิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งหกทีมแรกที่ผ่านเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะนี้ได้ขึ้นรับรางวัลบนเวทีที่งานนี้ด้วย

          นาย Dai Ziting ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Microsoft Innovation Alliance เปิดเผยว่า นอกจากจะให้บริการมืออาชีพแก่โครงการบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมแล้ว ไมโครซอฟท์ยังจะให้การสนับสนุนทางด้านทรัพยากรตลาดชั้นนำ รวมถึงการสนับสนุนทางเทคนิคทั่วโลก ผ่านทาง Microsoft "Cloud and Mobile Technology Incubation Program" ในเมืองจ้าวชิ่ง

          นาย Feng Jianlin ผู้จัดการทั่วไปศูนย์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของ Heungkong Group และซีอีโอ Unicorn Field กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นแบรนด์อิสระภายในภาคอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของ Heungkong Group ทาง Unicorn Field ซึ่งอาศัยทรัพยากรจาก Heungkong International Technology Innovation Center มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนาและบริหารจัดการระบบนิเวศวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมในเมืองจ้าวชิ่ง "แพลตฟอร์มบ่มเพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของเราจะช่วยเร่งผลักดันการเติบโตของธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรมในท้องถิ่น ด้วยการเชื่อมโยงกำลังคน องค์ประกอบ และทรัพยากรทั้งหมดในด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกัน"

          Microsoft "Cloud and Mobile Technology Incubation Program" - Zhaoqing Cloud and Mobile Application Incubation Platform (Unicorn Field - Zhaoqing) จะเริ่มเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ โดยอาศัยความได้เปรียบจาก R&D ที่อยู่ในเมืองจ้าวชิ่ง ทั้งยังผนวกรวมกับอุตสาหกรรมไฮเทคได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น การผลิตอัจฉริยะ การอนุรักษ์พลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มนี้จะมุ่งเน้นไปที่คลาวด์คอมพิวติ้ง อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ บิ๊กดาต้า ปัญญาประดิษฐ์ และ 5G โดยจะบ่มเพาะนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการให้กับทีมที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์ม และธุรกิจต่าง ๆ พร้อมด้วยบริการที่เป็นมืออาชีพ เช่น พื้นที่สำหรับสตาร์ทอัพ สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ร่วมกัน บริการทางเทคนิค บริการให้คำปรึกษา การลงทุนและจัดหาเงินทุน การแนะแนวความเป็นผู้ประกอบการ และการแปลกเปลี่ยนทรัพยากร

          จ้าวชิ่งเป็นหนึ่งในเก้าเมืองในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง (Pearl River Delta) และเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองที่มีความสำคัญในแง่ของการพัฒนาเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area) ด้วยความพร้อมของพื้นที่สำนักงาน และทำเลทางภูมิศาสตร์ที่เชื่อมเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า กับพื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมืองจ้าวชิ่งจึงเชื่อมติดกับฮ่องกงด้วยเช่นกัน เมืองจ้าวชิ่งวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากการสร้างเขต Greater Bay Area อย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดทรัพยากรระดับไฮเอนด์จากฮ่องกง เร่งผลักดันการปฏิรูปอุตสาหกรรม และพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองผ่านทางการใช้โซลูชั่นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ จ้าวชิ่งกำลังวางแผนที่จะสร้างเขตนำร่องความร่วมมือพิเศษ เขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (จ้าวชิ่ง) (Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area (Zhaoqing) Special Cooperation Pilot Zone) ซึ่งหน่วยงานบริหารที่เกี่ยวข้องของมณฑลกวางตุ้งได้ให้การอนุมัติในเบื้องต้นแล้ว โดยนางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้เดินทางเยือนเมืองจ้าวชิ่ง ในโอกาสเข้าร่วมการประชุม Hong Kong-Guangdong Co-Operation Joint Conference ครั้งที่ 21 ซึ่งจัดขึ้นในกวางตุ้ง เมื่อวันที่ 16-17 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ในวันที่ 19 พ.ค. คณะกรรมการวางผังเมืองของฮ่องกงยังได้เดินทางตรวจเยี่ยมเมืองจ้าวชิ่ง "เพื่อที่จะทำความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับ Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area (Zhaoqing) Special Cooperation Pilot Zone รวมถึงการวางผังและก่อสร้างเมือง Zhaoqing Hong Kong City" ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคฮ่องกงและมหาวิทยาลัยเปิดแห่งฮ่องกง ต่างวางแผนที่จะเปิดวิทยาเขตในเมืองจ้าวชิ่ง

Microsoft "Cloud and Mobile Technology Incubation Program" เปิดตัวแล้วในเมืองจ้าวชิ่ง
     

ปกป้องการลงทุน Low Pin Count (LPC) ของคุณ ด้วย eSPI to LPC Bridge เชิงพาณิชย์ตัวแรกของอุตสาหกรรม

กรุงเทพฯ--30 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

          - ผลิตภัณฑ์ใหม่จากไมโครชิพช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นประมวลผลอุตสาหกรรม สามารถผนวกรวมมาตรฐาน eSPI เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่เดิม จึงช่วยลดต้นทุนการพัฒนา พร้อมกับยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์

          ปัจจุบันวงการประมวลผลอุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนผ่านจาก Low Pin Count (LPC) ไปเป็นเทคโนโลยีบัส (bus) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่าง Serial Peripheral Interface (eSPI) ด้วยเหตุนี้ นักพัฒนาจึงเผชิญกับต้นทุนการพัฒนาที่สูงขึ้นในการปรับปรุงอุปกรณ์ที่มีอยู่เดิมให้เป็นมาตรฐานใหม่ ดังนั้น เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นตามมาตรฐาน eSPI ในขณะที่ยังคงปกป้องการลงทุนขนาดใหญ่ในอุปกรณ์ LPC ที่ใช้อยู่เดิม บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด (Nasdaq: MCHP) จึงประกาศเปิดตัวอุปกรณ์ eSPI-to-LPC bridge เชิงพาณิชย์ตัวแรกของอุตสาหกรรม ได้แก่ ECE1200 bridge ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้มาตรฐาน eSPI ในแผงวงจรที่มีคอนเนคเตอร์และเพอริเฟอรัล LPC แบบเก่า ซึ่งทำให้ลดต้นทุนและความเสี่ยงในการพัฒนาลงได้เป็นอย่างมาก

          อายุการใช้งานที่ยาวนานมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ประมวลผลอุตสาหกรรมรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากต้องลงทุนสูงในครั้งแรก ECE1200 eSPI-to-LPC bridge ช่วยให้นักพัฒนายังคงรักษาอายุการใช้งานที่ยาวนานเอาไว้ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนเทคโนโลยี eSPI bus ที่จำเป็นสำหรับแอปพลิเคชั่นประมวลผลใหม่ ๆ ที่ใช้ชิปเซ็ตและ CPUs รุ่นใหม่ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงสำหรับนักพัฒนา เทคโนโลยี eSPI bus ยังได้ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับแอปพลิเคชั่นการประมวลผลอุตสาหกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนได้รับการพิสูจน์ยืนยันโดยบรรดาบริษัทประมวลผลชั้นนำ

          "ไมโครชิพเป็นผู้จัดหา eSPI ระดับแนวหน้ามาตั้งแต่มาตรฐานของวงการประมวลผลยังอยู่ในระยะเริ่มต้น" เอียน แฮร์ริส รองประธานหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ประมวลผลของไมโครชิพ กล่าว "เรานำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ eSPI ซึ่งผลิตภัณฑ์ ECE1200 ได้ต่อยอดความเป็นผู้นำของเราในตลาดนี้ และทำให้ลูกค้าใช้มาตรฐาน eSPI ได้โดยที่ไม่ต้องแลกกับอุปกรณ์ LPC แบบเก่าที่ทุ่มลงทุนมาหลายปี"

          ECE1200 ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบรับกับข้อกำหนดด้าน eSPI ในปัจจุบัน โดยสามารถตรวจจับและรองรับโหมด Modern Standby ด้วย low standby current ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นประมวลผลอุตสาหกรรมสามารถบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานและประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ได้ ขณะที่ยังครบครันด้วยฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานคาดหวังว่าจะได้รับจากบรรดาอุปกรณ์สมัยใหม่ ECE1200 ทำให้การใช้งานเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมแต่อย่างใด

          เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา

          เพื่อช่วยให้การพัฒนามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ECE1200 จึงมาพร้อมกับ BIOS porting guide, schematics และ layout guide

          ราคาและการวางจำหน่าย

          ผลิตภัณฑ์ ECE1200-I/LD วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในแพคเกจ 40-pin VQFN ที่สนนราคาชิ้นละ 2.66 ดอลลาร์ เมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 ชิ้น

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อพนักงานขายหรือตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับแต่งตั้งจากไมโครชิพ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ และสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ได้ที่พอร์ทัลจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของไมโครชิพ หรือติดต่อพันธมิตรจัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต

          แหล่งข้อมูลและภาพ

          ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):

ภาพการใช้งาน
ภาพถ่ายชิป
       


 แผนภาพบล็อก

          เกี่ยวกับไมโครชิพ เทคโนโลยี

          บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้นำด้านการจัดหาเซมิคอนดักเตอร์สำหรับโซลูชั่นควบคุมแบบฝังที่เป็นอัจฉริยะ เชื่อมต่อ และปลอดภัย เครื่องมือพัฒนาที่ใช้งานง่าย ตลอดจนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์งานออกแบบได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง ลดต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โซลูชั่นของบริษัทให้บริการลูกค้ามากกว่า 125,000 รายในตลาดอุตสาหกรรม ยานยนต์ ผู้บริโภค อวกาศและการป้องกันประเทศ การสื่อสารและการประมวลผล สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำเสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่ www.microchip.com

          หมายเหตุ : ชื่อและโลโก้ The Microchip และโลโก้ Microchip เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในที่นี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ

Preserve Legacy Low Pin Count (LPC) Investments with the Industry's First Commercial eSPI to LPC Bridge

BANGKOK--30 May--PRNewswire/InfoQuest

          - Device allows industrial computing developers to integrate the eSPI standard in existing equipment, minimizing development costs and extending product lifecycles

          As the industrial computing industry transitions from Low Pin Count (LPC) to enhanced Serial Peripheral Interface (eSPI) bus technology, developers face high development costs to update existing equipment to the new standard. To allow developers to implement the eSPI standard while preserving large investments in legacy LPC equipment, Microchip Technology Inc. (Nasdaq: MCHP) today announced the industry's first commercially available eSPI-to-LPC bridge. The ECE1200 bridge enables developers to implement the eSPI standard in boards with legacy LPC connectors and peripherals, substantially minimizing development costs and risk.

          Product longevity is critical in industrial computing equipment applications because of the significant upfront investment required. The ECE1200 eSPI-to-LPC bridge allows developers to maintain long lifecycles while supporting the eSPI bus technology that is required for new computing applications utilizing the next generation of chipsets and CPUs. To reduce risk for developers, the eSPI bus technology went through intensive validation for industrial computing applications and has been validated with leading processor companies.

          "Microchip has been at the forefront of providing eSPI since the standard's infancy in the computing space," said Ian Harris, vice president of Microchip's computing products business unit. "We are continuously bringing new products to market to help the industry transition to eSPI. The ECE1200 extends our leadership in this market and allows customers to implement eSPI without sacrificing years of investments in legacy LPC equipment."

          Designed for today's eSPI requirements, the ECE1200 detects and supports Modern Standby mode with low standby current. This helps industrial computing developers manage operating costs and efficiencies, while maintaining the features end users expect from modern devices. The ECE1200 is simple to implement and does not require any software.

          Development Tools

          To streamline development, the ECE1200 comes with a BIOS porting guide, schematics and a layout guide.

          Pricing and Availability

          The ECE1200-I/LD is available today in a 40-pin VQFN package for $2.66 each in 10,000-unit quantities.
For additional information, contact a Microchip sales representative, authorized worldwide distributor or visit Microchip's website. To purchase products mentioned here visit our purchasing portal or contact a Microchip authorized distributor.

          Resources

          High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):

          - Application image: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/47924341198/
          - Chip shot: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/47924344901
          - Block diagram: https://www.flickr.com/photos/microchiptechnology/47924335546/

          About Microchip Technology

          Microchip Technology Inc. is a leading semiconductor supplier of smart, connected and secure embedded control solutions. Its easy-to-use development tools and comprehensive product portfolio enable customers to create optimal designs which reduce risk while lowering total system cost and time to market. The company's solutions serve more than 125,000 customers across the industrial, automotive, consumer, aerospace and defense, communications and computing markets. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com.

          Note: The Microchip name and logo, and the Microchip logo, are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.



CIFTIS opens a new door for China's service trade

BEIJING--30 May--PRNewswire/InfoQuest

          The 2019 China International Fair for Trade in Services (CIFTIS) opened on May 28 in Beijing, continuing to promote high-quality development of China's economy and high-level cooperation in international service trade.

          The CIFTIS, which was before named China (Beijing) International Fair for Trade in Services, has a new name this year, and meanwhile combines several other well-known exhibitions.

          The CIFTIS was established to facilitate exchanges in financial services, communication services, cultural services, legal services with its trading negotiation platform and industry forums.

          Since 2012, the CIFTIS has attracted a total of 646,000 merchants from 179 countries and regions around the world, including all top 20 countries and regions in international service trade.

          From this year on, the CIFTIS has changed from a two-year event to an annual one, with about 8,000 Chinese and foreign institutions, more than 36,000 business representatives, and over 300 experts and scholars participating in it.

          The import and export volume of China's service trade has ranked second in the world for five consecutive years, accounting for an increasing proportion of international trade, and with improved quality and structure and more knowledge-intensive service products, said Jin Xu, president of the Beijing-based China Association of International Trade. With its broad platform, the CIFTIS is expected to open a new door for China's service trade to enter the huge market, commented Jin.

          In conjunction with the growth of the CIFTIS, in recent years, Beijing has continued to open up its service trade industry. In 2015, the State Council officially approved Beijing to be the only comprehensive pilot city for the expansion and opening-up of the service trade industry in China, bringing new opportunities for domestic and foreign-funded enterprises involved in this field.

          Internationally renowned rating agencies such as Moody's, S&P and Fitch have set legal entities in Beijing. UBS Securities Co. Limited, China's first foreign-invested fully-licensed securities firm, and Japanese record company Avex Group also settled in the city.

          In 2018, the added value of Beijing's service trade accounted for 81.0 percent of the city's GDP, an increase of 3.1 percentage points from 2014. Since Beijing has become the service trade pilot city, 640,200 new enterprises have been established here, of which 95.2 percent are service enterprises.

ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำชี้ โลกเผชิญความท้าทายยุคใหม่ แนะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส

          อนาคตของเศรษฐกิจโลกเป็นเช่นไร ความได้เปรียบในการแข่งขันสำหรับรัฐต่าง ๆ คืออะไร เราจะรับประกันความสามารถในการแข่งขันและบรรลุความก้าวหน้าในโลกที่เป็นโลกาภิวัตน์ได้อย่างไร เหล่านึ้คือประเด็นที่นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และนักลงทุนระดับแนวหน้า อภิปรายร่วมกันที่การประชุม Astana Economic Forum ครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม ณ กรุงนูร์-ซุลตัน เมืองหลวงของคาซัคสถาน ภายใต้ธีม "ส่งเสริมการเติบโตของผู้คน เมือง และเศรษฐกิจ"


          สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ "Economic Research Institute" ได้จัดพิมพ์เผยแพร่บทวิเคราะห์ เรื่อง "คาซัคสถานกับโลกโลกาภิวัตน์: ความท้าทายและโอกาส" ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการประชุม AEF โดยบทวิเคราะห์ดังกล่าวครอบคลุมถึงข้อเสนอแนะและมาตรการเชิงปฏิบัติเพื่อช่วยให้โลกเผชิญหน้ากับความท้าทายยุคใหม่

          ทางสถาบันได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในการจัดเตรียมเผยแพร่บทวิเคราะห์ฉบับนี้ ได้แก่ Kazakhstan Fund for Economic Initiatives, the Boston Consulting Group, PwC, European Bank of Reconstruction and Development, Asian Development Bank และ Reinventing Bretton Woods Committee ขณะที่แขกผู้มีเกียรติ ผู้อภิปราย และผู้เข้าร่วมการประชุม AEF ต่างให้คำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างมาก

          บทวิเคราะห์ดังกล่าวประกอบด้วยข้อเสนอแนะและมาตรการเชิงปฏิบัติ เพื่อช่วยประชาคมโลกเผชิญกับความท้าทายยุคใหม่ ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกท่านเห็นพ้องกันว่า โลกกำลังประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก อันเนื่องมาจากสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตลาดแรงงานซึ่งมีสาเหตุมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม แม้มีความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องหาปัจจัยการเติบโตให้พบ และมองหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์เหล่านี้

          ความเสี่ยงที่โลกเผชิญ ซึ่งรวมถึงสงครามการค้า การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามจากการพึ่งพาไซเบอร์ ความไม่เสมอภาคที่เพิ่มขึ้น และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ส่งผลให้รัฐต่าง ๆ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน

          ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกท่านเห็นพ้องต้องกันว่า โลกกำลังประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก อันเนื่องมาจากสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตลาดแรงงานซึ่งมีสาเหตุมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมองหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์เหล่านี้ร่วมกันและอย่างมีเป้าหมาย

          นายมอริซ ออบส์เฟลด์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และอดีตหัวหน้านักเศรษฐกรของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า "พลวัตทางการเมืองในปัจจุบันก่อให้เกิดวงจรของปัญหา ซึ่งหากไม่มีมาตรการดำเนินการร่วมกัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมจะเสื่อมถอย"

          อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสมัยใหม่ไม่ได้มาพร้อมความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งโอกาสสำหรับการเติบโตด้วย

          ผู้เชี่ยวชาญได้เน้นย้ำว่า ประชาชน ทุนมนุษย์ และเมืองสมัยใหม่ที่พัฒนาแล้ว สามารถสร้างการเติบโตในสภาวการณ์เหล่านี้ได้

          นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังได้ชี้ด้วยว่า เมืองที่มีการจัดการและการวางแผนที่ดี สามารถใช้ประโยชน์จากความเป็นเมือง เพื่อสร้างการเติบโตและรักษาการเติบโตได้

          นางคริสทีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการ IMF ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงและการบูรณาการทางเทคโนโลยีนำมาซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ ผ่านการเพิ่มผลิตภาพและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยุ่งยาก และส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน"

          นายแร ควอน ชุง ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ระบุว่า "ช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความสมานฉันท์ทางสังคม และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ นับเป็นปัญหาร้ายแรงที่เราไม่เคยเผชิญมาก่อน"

          เพื่อแก้ปัญหานี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า โลกจำเป็นต้องเติบโตให้ได้อย่างยั่งยืนและทั่วถึงมากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนทั่วโลก ความเป็นผู้ประกอบการแบบเกื้อกูลสังคมถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับความก้าวหน้าทางสังคม-เศรษฐกิจ เพราะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจ ตลอดจนปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

          อ่านบทวิเคราะห์ได้บนเว็บไซต์ของสถาบันวิจัย Economic Research Institute: www.eri.kz

          http://astanaeconomicforum.org/en

Global Challenges: Experts' Assessment

          What is the future of the global economy? What is the decisive competitive advantage for states? How to ensure competitiveness and achieve progress in the globalized world? These issues were discussed by leading politicians, economists, scientists and investors at the XII Astana Economic Forum on May 16-17 in Nur-Sultan, the capital of Kazakhstan, with the theme: "Inspiring growth: people, cities, economies".



          The "Economic Research Institute" published specifically for AEF an analytical review "Kazakhstan and the global world: challenges and opportunities". It includes recommendations and practical measures to help confront modern challenges.

          The following institute's partners were involved in the preparation of this publication: the Kazakhstan Fund for Economic Initiatives, the Boston Consulting Group, PwC, European Bank of Reconstruction and Development, Asian Development Bank, and the Reinventing Bretton Woods Committee. Valuable recommendations were given by guests, speakers and international participants of the AEF.

          The publication includes suggestions and practical measures to help the global community confront modern challenges. Almost all experts agreed that the world is experiencing difficult times due to trade wars, climate change, and transformation of labor markets caused by technological development. Despite political and economic risks, it is necessary to find points of growth and look for solutions to these crisis situations.

          Global risks, including trade wars, technological race, climate change, threats of cyber-dependence, increasing inequality, and other issues, require states to be prepared for joint and targeted efforts.

          Almost all experts agreed that the world is experiencing challenging times due to trade wars, climate change, and transformation of labor markets caused by technological development. It's necessary for states to look for jointed and targeted solutions to these crises.

          Maurice Obstfeld, professor of economics at the University of California and former IMF Chief Economist, said: "The current political dynamic creates a vicious circle. Without joint action, economic and social conditions will deteriorate."

          However the new economy carries not only risks, but also many opportunities for growth.

          Experts stressed that people, human capital and developed modern cities create growth in these conditions.

          Experts also noted that well-planned and managed cities can take advantage of urbanization to generate and maintain growth.

          Christine Lagarde, Managing Director of IMF, stated: "Technological change and integration bring benefits by boosting productivity and economic growth, but also generate difficult changes and crowd out workers."

          Rae Kwon Chung, Nobel Peace Prize laureate, noted: "The growing gaps between economic growth and sustainable development goals, including environmental protection, social cohesion and a transition to low-carbon energy, are serious problems that we never faced before."

          To solve this problem, there is a unanimous opinion that it's necessary to implement a more inclusive and sustainable growth model that contributes to raising global living standard. Inclusive entrepreneurship is a powerful tool for socio-economic progress, enabling new growth opportunities for businesses, and improving people's lives.

          The publication can be found on the Economic Research Institute's website: www.eri.kz.

          http://astanaeconomicforum.org/en

ตึกเอ็มไพร์สเตทจำหน่ายบัตรเข้างานฉลองวันชาติสหรัฐ

         เต็มตากับดอกไม้ไฟสุดอลังการ เต็มอิ่มกับอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม

          ตึกเอ็มไพร์สเตทประกาศจำหน่ายบัตรเข้างานฉลองวันชาติสหรัฐ ณ หอชมวิวบนชั้น 86 ของอาคาร โดยผู้ซื้อบัตรวีไอพีเพียง 200 คนจะได้ชมการแสดงพลุ Macy's 4th of July Fireworks Spectacular อย่างเต็มตา รวมถึงเต็มอิ่มกับอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม



          หอชมวิวของตึกเอ็มไพร์สเตทจะปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปในช่วงเวลา 19.00-22.00 น.ของวันที่ 4 กรกฎาคม เพื่อเปิดให้ผู้ซื้อบัตรเข้างานได้ชมดอกไม้ไฟจากจุดที่ดีที่สุดในมหานครนิวยอร์ก แขกพิเศษทุกท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของดอกไม้ไฟ คลอด้วยเสียงเพลงประกอบการแสดง จากอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้

          STATE Grill and Bar ร้านอาหารชื่อดังของตึกเอ็มไพร์สเตท พร้อมเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน

          สำหรับบัตรเข้างานจะจำหน่ายในจำนวนจำกัดที่ราคาใบละ 500 ดอลลาร์ (รวมภาษี) โดยสามารถซื้อบัตรล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ www.empirestatebuilding.com/july4 หรือห้องจำหน่ายบัตรของตึกเอ็มไพร์สเตท

          นอกจากนี้ อินสตาแกรมของตึกเอ็มไพร์สเตทยังเปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้ลุ้นบัตรเข้างานสุดเอ็กซ์คลูซีฟจำนวน 2 ใบ โดยสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม ถึงวันอังคารที่ 4 มิถุนายน เวลา 12.00 น.ตามเวลา ET โดยจะมีการสุ่มผู้โชคดีและประกาศผลในวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน

          ทั้งนี้ นอกจากการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐแล้ว ตึกเอ็มไพร์สเตทจะฉายไฟสีแดง ขาว และน้ำเงิน บนยอดตึกในวันที่ 4 กรกฎาคมด้วย

          เกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตท

          ตึกเอ็มไพร์สเตทมีความสูง 1,454 ฟุต (จากฐานถึงเสาอากาศ) เหนือย่านมิดทาวน์แมนฮัตตัน อาคารแห่งนี้เป็นของบริษัท เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ และเป็น "อาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" การลงทุนใหม่ๆในเรื่องการประหยัดพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่สาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ส่งผลให้ตึกเอ็มไพร์สเตทสามารถดึงดูดผู้เช่าชั้นหนึ่งจากหลากหลายวงการทั่วโลก ทั้งนี้ ตึกเอ็มไพร์สเตทได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของโลกจากการสำรวจของอูเบอร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาคารยอดนิยมของสหรัฐอเมริกาจากการสำรวจของสถาบันสถาปัตยกรรมแห่งอเมริกา รับชมรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตทได้ที่ www.empirestatebuilding.com, www.facebook.com/empirestatebuilding, @EmpireStateBldg, www.instagram.com/empirestatebldg, http://weibo.com/empirestatebuilding,? www.youtube.com/esbnyc และ www.pinterest.com/empirestatebldg/

          เกี่ยวกับเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์

          เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ (NYSE: ESRT) คือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ โดยเป็นผู้ครอบครอง บริหารจัดการ ดำเนินงาน เข้าซื้อ และรีโพสิชั่นอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกบนเกาะแมนฮัตตันรวมถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่งรวมไปถึงตึกเอ็มไพร์สเตท "อาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก และนับจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 บริษัทมีสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารวม 10.1 ล้านตารางฟุต ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ให้เช่า 9.4 ล้านตารางฟุตในอาคารสำนักงาน 14 แห่ง แบ่งเป็นบนเกาะแมนฮัตตัน 9 แห่ง ในเขตแฟร์ฟิลด์ รัฐคอนเนคทิคัต 3 แห่ง และในเขตเวสต์เชสเตอร์ รัฐนิวยอร์กอีก 2 แห่ง รวมถึงพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าอีกประมาณ 700,000 ตารางฟุต

Empire State Building Exclusive 4th of July Celebration

          Expansive Views of Fireworks with Food and Open Bar

          The Empire State Building (ESB) today announced that tickets are now on sale for its annual 4th of July celebration on its world-famous 86th Floor Observatory. This exclusive event offers breathtaking views of the Macy's 4th of July Fireworks Spectacular, a premium open bar, and gourmet food exclusively for just 200 VIP ticket purchasers.


          From 7:00 p.m. until 10:00 p.m., the Observatory will close to the general public, allowing our special 4th of July guests private access to the open-air observation deck and the opportunity to view the fireworks from the best vantage point in New York City. Speakers will play the 4th of July Fireworks soundtrack while guests enjoy an unparalleled view of the fireworks, from the World's Most Famous Building.

          Food and drinks will be provided by STATE Grill and Bar, ESB's flagship restaurant.

          Tickets are $500 each (tax included) and are available on a first-come, first-served basis. Tickets must be purchased or gifted online at www.empirestatebuilding.com/july4 or in advance at the ESB ticket office.

          Two (2) pairs of tickets to this exclusive event will be given away through a contest run on ESB's Instagram channel (listed below). Fans of the Empire State Building can enter the contest from Thursday, May 30th through Tuesday, June 4th, at 12:00 p.m. ET. Winners will be randomly selected and announced on Friday, June 7th.

          In addition to hosting the 4th of July celebration, the ESB will shine its world-famous tower lights in dynamic red, white and blue flourishes on July 4.

          About the Empire State Building

          Soaring 1,454 feet above Midtown Manhattan (from base to antenna top), the Empire State Building, owned by Empire State Realty Trust, Inc., is the "World's Most Famous Building." With new investments in energy efficiency, infrastructure, public areas and amenities, the Empire State Building has attracted first-rate tenants in a diverse array of industries from around the world. The Empire State Building was named the world's most popular travel destination in a study conducted by Uber and was named America's favorite building in a poll conducted by the American Institute of Architects. For more information on the Empire State Building, please visit www.empirestatebuilding.com, www.facebook.com/empirestatebuilding, @EmpireStateBldg, www.instagram.com/empirestatebldg, http://weibo.com/empirestatebuilding,? www.youtube.com/esbnyc or www.pinterest.com/empirestatebldg/.

          About Empire State Realty Trust

          Empire State Realty Trust, Inc. (NYSE: ESRT), a leading real estate investment trust (REIT), owns, manages, operates, acquires and repositions office and retail properties in Manhattan and the greater New York metropolitan area, including the Empire State Building, the "World's Most Famous Building." Headquartered in New York, New York, the Company's office and retail portfolio covers 10.1 million rentable square feet, as of?March 31, 2019, consisting of 9.4 million rentable square feet in 14 office properties, including nine in Manhattan, three in Fairfield County, Connecticut, and two in Westchester County, New York; and approximately 700,000 rentable square feet in the retail portfolio.?

Canton Fair Experiences an Expansion in Trade with Belt and Road Countries

          The recently-closed 125th China Import and Export Fair (Canton Fair or "the Fair") experienced an increase of the trade volume from the countries in the Belt and Road Initiative (BRI) of 9.9 percent, reaching USD 10.63 billion. Trade between BRI countries and China at the 125th Fair accounted for 35.8 percent of the total turnover. Buyers from BRI countries also increased by 0.5 percent with new buyers growing by 0.94 percent.


          Xu Bing, Spokesperson of the Canton Fair and Deputy Director General of China Foreign Trade Centre, said, "Canton Fair has increased promotion in countries and regions along the BRI route, as trade connections are important to promoting business cooperation." Xu added, "The average number of buyers from BRI countries reached 80,000, accounting for 45 percent of the total amount. 8,198 exhibitors from BRI countries exhibited their products at Canton Fair; the largest group in the Fair's History."

          China's connection with BRI designed for mutual trading and business benefit

          Li Kuiwen, Director of the Department of Analysis, Chinese General Administration of Customs, noted that Chinese trade companies, having consolidated their presence in the domestic market, are now expanding into emerging markets along the BRI route. In the first four months of 2019 alone, the import and export trade volume between China and BRI countries reached CNY 2.73 trillion (USD 394,921 billion), a year-on-year increase of 9.1 percent.

          The increase in the number of buyers at the Canton Fair from BRI countries reflects this rise. Buyers from Thailand, Malaysia, Vietnam, Singapore and Cambodia increased by 10.75, 9.08, 23.71, 4.4 and 8.83 percent respectively. Russia has also seen an increase of buyers to the Canton Fair by 1.29 percent.

          Canton Fair and the expansion of global business

          The Canton Fair has helped improve business cooperation between China and BRI countries by introducing its Global Partnership Program. The Fair has now established strategic partnerships with 48 industrial and commercial organizations in 32 BRI countries, working together on promotion, exhibition, visits and information service. The effect has been a boost in economic and trade cooperation along the BRI, with partnerships expected to cover the entire BRI area in the next 2 to 3 years.

          Taymour M. Essam, International Exhibitions Project Manager at the Export Development Authority, Egypt, said that Canton Fair had attracted not only big names in Egypt but also small and medium-sized enterprises to test their product in the international market.

          "Canton Fair is one of the largest fairs in the world. This year, 9 Egyptian companies at this year's fair took advantage of this status to meet clients from Africa and Latin America and have established a relationship with the global network as a result," said Essam.



Whale Cloud powers up vertical industry digital transformation with Alibaba Cloud in APAC region

          Whale Cloud participated in this year's Alibaba Cloud Summit, which took place in Suntec Singapore on May 30th, where over 1,000 customers, eco-partners, and industry allies from the Asia-Pacific (APAC) region joined together to share the insights and practices on innovating and extending business possibilities with Alibaba's data intelligence.

          Under this summit, Yang Bo, chief solution officer of Whale Cloud APAC participated as a guest speaker at "APAC Partner Summit". He delivered a speech on the topic "Power Up: Reinventing your business with AI, Cloud and Data Intelligence", which explains the partnership and collaboration between Alibaba Cloud and Whale Cloud on enabling vertical industry digital transformation.

          "We've built our enterprise-class business mid-end, data mid-end and AI mid-end based on Alibaba's cloud computing infrastructure as well as big data and AI capabilities. On top of that, we offer tailored solutions such as Intelligent Customer Service (WhaleTalk), Intelligent Marketing, New Retail, and IoT solutions for enterprise customers, including telecom operators, tourism and gaming, government, financial institutions to improve their customer experience and streamline operational efficiency," said Yang Bo.

          "Whale Cloud has been working in the APAC region for the last 15 years, mainly in the telecom industry. We started our cooperation with Alibaba Cloud in APAC last year since the strategic investment. We have successfully expanded our market landscape from telecom operators to vertical industries," said Mr. Chen Yishi, General Manager of Whale Cloud APAC. "We now have an APAC headquarters in Singapore, as Singapore is the ideal location and a dynamic market in the APAC region and we want to get more involved in the 'Smart Nation' initiatives of the Singapore government. We will start from here and radiate to more countries and industries in APAC, bringing big data and intelligence to more industries, improving the operational efficiency of traditional industries, and injecting a 'Smart Brain' into more industries and jobs. We are here in APAC, and we are for the digital APAC."



TMILL พบนักลงทุนในงาน Opp Day เผยผลงาน Q1/62 กวาดรายได้ 380 ล้านบาท โต 6.3%

          บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL ผู้ผลิตแป้งสาลีรายใหญ่ของประเทศไทย พบนักลงทุนในงาน Opp Day เผยผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้จากการขายอยู่ที่ 380.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.3% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.70 ล้านบาท ตั้งเป้าเดินหน้าเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีที่ 80%



          นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี (ขวา) และนางสาวสุรางค์รัตน์ จงประสพทรัพย์ (ซ้าย) รองผู้อำนวยการฝ่ายโรงงาน บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เข้าร่วมแนะนำบริษัทและนำเสนอข้อมูลผลประกอบการ ไตรมาสแรก ปี 2562 ให้แก่นักลงทุนในกิจกรรม "บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน" (Opportunity Day) แก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักลงทุนและสื่อมวลชนที่สนใจเข้าร่วมงาน         

          นางแววตา กล่าวว่า "ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/2562 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 380.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.3% ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 358.19 ล้านบาท ในส่วนของกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.70 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 8% หรือประมาณ 2.14 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.2 % อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6.5 % ลดลง 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.5% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น สำหรับรายได้รวมจากการขาย 380.91 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายแป้ง 324.96 ล้านบาท และรายได้จากการขายรำ 55.95 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 1/2562 บริษัทฯ ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 75.41% เพิ่มขึ้น 3.43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 71.98% โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 80%

          ในส่วนของแผนธุรกิจปี 2562 บริษัทฯ จะเน้นเพิ่มยอดขายทั้งกับลูกค้ารายเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มองว่ายังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก"

          ด้านนางสาวสุรางค์รัตน์ เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุนติดตั้งหุ่นยนต์ (Robot) ในเฟสที่ 2 ภายใต้งบลงทุนไม่เกิน 10 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตในส่วนของการร่อนแป้ง หลังจากที่ได้ใช้หุ่นยนต์เฟสแรกในส่วนของการจัดการคลังสินค้าไปแล้วก่อนหน้านี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานได้ภายในปีนี้"

          เกี่ยวกับ บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) (TMILL)

          บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตแป้งสาลีรายใหญ่ของประเทศไทย โดยเริ่มดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2550 บริษัทได้ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพของสินค้า เริ่มตั้งแต่การเลือกสรรพันธุ์ข้าวที่มีมาตรฐานสูง ปริมาณโปรตีน และกลูเตนที่เหมาะสม ทำการแปรรูปให้ได้แป้งสาลีที่มีคุณภาพ สำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่ใช้ในการผลิต ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และอาหารหลากหลายชนิด ด้วยการเลือกสรรอุปกรณ์เครื่องจักรอันล้ำสมัย โดยใช้ระบบแปรรูปแป้งสาลีอัตโนมัติแบบ CIM (Computer Integrated Manufacturing) ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการควบคุมคุณภาพของแป้งสาลีสูตรต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ สะอาด และถูกสุขลักษณะ ภายใต้ระบบการวิเคราะห์และควบคุมจุดวิกฤตอันตรายในกระบวนการผลิต อันส่งผลกระทบต่อคุณภาพทางเคมี ชีวภาพ และกายภาพของแป้งสาลี (Hazardous Analysis Critical Control Points: HACCP) อีกทั้งยังคำนึงถึงความปลอดภัยด้านอาหารเป็นสำคัญ

          บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตทั้งด้านระบบคุณภาพ สุขอนามัยและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ อาทิเช่น ISO 22000, GMP, HACCP และ HALAL เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคผลิตภัณฑ์จากแป้งสาลีที่มีคุณภาพสูงสุดและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เพื่อให้เกิดความมั่นใจสูงสุด นอกจากนี้ยังมีทีมค้นคว้าและวิจัยผลิตภัณฑ์ ซึ่งคอยให้บริการผลิตแป้งสาลีตามสูตรเฉพาะ (Tailor – Made Flour) และคิดค้นแป้งสาลีประเภทใหม่ๆ สูตรพิเศษ (Novel Products) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอีกด้วย



PLMP Fintech บริษัทบล็อกเชนจากสิงคโปร์ ลงนามความร่วมมือมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อปฏิรูปภาคการขนส่งของอินโดนีเซีย

          PLMP Fintech บริษัทบล็อกเชนสัญชาติสิงคโปร์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Agency for Free Trade Zone and Free Port of Batam และบริษัท Central Distribusi Batam จากอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาโครงการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ร่วมกับกระทรวงการค้า ภายใต้วัตถุประสงค์ในการปฏิรูปภาคการขนส่งของประเทศโดยเริ่มจากจังหวัดรีเยา ซึ่งเป็นหมูเกาะที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย

          ระหว่างการพัฒนาช่วงนำร่อง Fintech จะนำโปรโตคอลบล็อกเชน Creatanium ไปใช้ในเมืองบาตัน เพื่อสร้างมาตรฐานในการประมูลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าโภคภัณฑ์ โดยคุณ Clayton Ong ผู้จัดการประจำอินโดนีเซียซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก PLMP Fintech ให้ดูแลกิจการในต่างประเทศระหว่างการขยายการดำเนินงานออกไปทั่วอินโดนีเซียกล่าวว่า "ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์จากกระบวนการเรียบง่ายที่จะทำให้การเสนอราคาและดำเนินการซื้อขายเป็นไปอย่างเปิดเผยและโปร่งใส"

          ในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเต็มไปด้วยดินแดนซึ่งมีความท้าทายครอบคลุมป่าเขาและหมู่เกาะหลายพันแห่ง อินโดนีเซียจะได้ประโยชน์จากการใช้งานแพลตฟอร์มติดตามสินค้าที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานที่ต้องอาศัยเวลาการในทำงานที่ยาวนานให้กลายมาเป็นเครื่องจักรกลที่ทรงประสิทธิภาพ "โซลูชั่นของเราช่วยให้อัพเดทตำแหน่งของสินค้าได้ตลอดเวลา จึงสามารถป้องกันการล่าช้าและทำให้กระบวนการทั้งหมดมีประสิทธิภาพมากขึ้น" คุณ Kym Kee ผู้ร่วมก่อตั้ง PLMP Fintech กล่าวระหว่างการนำเสนอโซลูชั่นของบริษัท

          ภาคการขนส่งของอินโดนีเซียได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านกว่า 2 เท่าจึงนำมาสู่การไร้ดุลยภาพในระดับประเทศ อีกทั้งการขาดประสิทธิภาพในการขนส่งและส่งมอบสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญอย่างข้าวและน้ำตาล ยังทำให้สินค้าจำเป็นเหล่านั้นมีราคาสูงขึ้น ซึ่งโซลูชั่นบล็อกเชนของ PLMP Fintech นี้จะเข้าไปช่วยสร้างความโปร่งใสและมอบความสามารถในการตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวให้มีความเท่าเทียม

          โครงการนี้เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ PLMP Fintech ในการสร้างระบบนิเวศบล็อกเชนที่แข็งแกร่งโดยใช้โปรโตคอลของตัวเองและรายได้ที่มาจากหลายภาคธุรกิจตั้งแต่โซลูชั่นบล็อกเชนไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ แรงสนับสนุนจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเอเชียแปซิฟิก รวมถึงโครงการล่าสุดในบาตัม ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ตลาดมีต่อบริษัท ยังทำให้เหรียญดิจิทัล Creatanium มีมูลค่าแซงหน้าดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาเพียงไม่ถึงปีนับตั้งแต่เปิดตัวออกมาในเดือนพ.ค.2561



ผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลเยาวชนจากหลายประเทศเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ International Football for Friendship Forum 2019 ที่กรุงมาดริด

          การประชุมนานาชาติ International Football for Friendship Forum 2019 ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟุตบอลเยาวชนนานาชาติ Football for Friendship ฤดูกาลที่ 7 ซึ่งจัดโดยบริษัทก๊าซพรอม (Gazprom) ได้จัดขึ้นที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ในวันที่ 30 พฤษภาคม โดยถือเป็นครั้งแรกที่ทางโครงการได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ทั้งผู้ฝึกสอนฟุตบอลมืออาชีพ แพทย์ประจำทีมฟุตบอลเยาวชน นักเตะชื่อดัง ผู้สื่อข่าวจากองค์กรสื่อชั้นนำ รวมถึงตัวแทนจากโรงเรียนฟุตบอลและสมาคมฟุตบอลนานาประเทศ


          Viktor Zubkov ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทก๊าซพรอม, Roberto Carlos นักเตะระดับตำนานของทีมเรอัลมาดริดและทีมชาติบราซิล แชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่า 3 สมัย, Ananya Kamboj ยุวทูตของโครงการ Football for Friendship จากอินเดีย และ Miquel Puig ซีอีโอ Soccer Barcelona Youth Academy ได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมนานาชาติ International Football for Friendship Forum 2019

          สำหรับปีนี้มีการประชุมย่อย 10 หัวข้อว่าด้วยคำถามสำคัญๆ เกี่ยวกับการพัฒนากีฬาเยาวชน โดยผู้เชี่ยวชาญได้หารือถึงวิธีการฝึกสอนฟุตบอล การบริหารการแข่งขันกีฬาเยาวชน การป้องกันการบาดเจ็บในฟุตบอลเยาวชน การพูดคุยระหว่างเด็กกับพ่อแม่ รวมถึงการส่งเสริมความมีศักดิ์ศรีและน้ำใจนักกีฬา ส่วนประเด็นที่มีการให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ วิธีการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ฝึกสอนฟุตบอลเยาวชน

          นอกจากนี้ยังมีอีกหลายท่านที่ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมครั้งนี้ เช่น Cyrill Pellevat ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ UEFA Foundation for Children, Joseph Gambao ผู้จัดการสโมสรฟุตบอล Delhi Dynamos, Pablo Cesar Torres ประธานสโมสรฟุตบอลเยาวชน Penarol (อุรุกวัย), Gerard Timmers ผู้ประสานงานของสโมสรฟุตบอลหญิง Alkmaar (เนเธอร์แลนด์) และอีกมากมาย

          ขณะเดียวกันยังมีการอภิปรายแบบคณะว่าด้วยผลกระทบของสื่อที่มีต่อการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน โดยมีบรรดาผู้สื่อข่าวจากองค์กรสื่อชั้นนำระดับโลกเข้าร่วมการอภิปราย

          Roberto Carlos นักเตะระดับตำนานของทีมเรอัลมาดริดและทีมชาติบราซิล กล่าวว่า "ผมยินดีที่ได้ร่วมกิจกรรมของ Football for Friendship โครงการเพื่อสังคมของก๊าซพรอมที่สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนทั่วโลก การรวบรวมเยาวชนจาก 211 ประเทศถือเป็นการส่งเสริมการเล่นกีฬาในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วโลก การให้ความรู้ภายใต้โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มทักษะของผู้ฝึกสอน เพื่อยกระดับการฝึกสอนนักฟุตบอลเยาวชนทั่วโลกไปอีกขั้น"



2019 International Football for Friendship Forum in Madrid United Experts of Children's Football From Different Countries

          Gazprom International Children's Social Programme Football for Friendship 2019 International Forum was held in Madrid on May 30. For the first time, the Seventh Season of the programme has united the experts from around the world: professional football coaches, children's teams doctors, invited stars, journalists of the world's leading media, and representatives of the international football academies and federations.


          The Chairman of the Board of Directors of Gazprom Viktor Zubkov, Real Madrid and Brazil Legend, World Cup winner and 3 times UEFA Champions League Winner Roberto Carlos, the Young Ambassador of the programme Ananya Kamboj from India, and Soccer Barcelona Youth Academy CEO Miquel Puig gave their speeches at the opening of the 2019 International Football for Friendship Forum.

          This year, the Forum united 10 theme sessions dedicated to the topical questions of the children's and youth sports development. The experts have discussed the methods of training, management of children's sporting events, work on prevention of traumas in children's football, features of the dialog between the child and the parents, and methods of encouragement of honour and fairness. Special attention was paid to what ways of professional development of children's coaches exist now.

          The official representative of the UEFA Foundation for Children Cyrill Pellevat, Delhi Dynamos FC Manager Joseph Gambao, the President of the youth football and scout club Pe?arol (Uruguay) Pablo Cesar Torres, Women FC Alkmaar (the Netherlands) Coordinator Gerard Timmers, and many others gave speeches at the Forum.

          In addition, a panel discussion dedicated to the impact of the media on the development of the children's football took place within the framework of the Forum with the participation of journalists of the world's leading media.

          "I am happy to participate in the events of Football for Friendship. It is a unique social initiative of Gazprom that contributes enormously to the development of children and youth football around the world. Uniting the participants in the 211 countries it supports global promotion of sports among the younger generation. The educational initiative of the programme aimed at improving coaches' skills, which allows to take the training of young players around the world to a higher level," said Roberto Carlos, Real Madrid and Brazil Legend.



Thursday, May 30, 2019

Sqills จับมือ RDG พลิกโฉมรูปแบบการท่องเที่ยวทางรถไฟเพื่อผู้โดยสารทั่วอังกฤษ

          - Sqills ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินค้าคงคลัง, การจำหน่ายตั๋ว และสำรองที่นั่ง ในอุตสาหกรรมรถไฟและรถบัสชั้นนำของเนเธอร์แลนด์ จะนำแพลตฟอร์ม SaaS (S3 Passenger) มาใช้ในการให้บริการรถไฟในอังกฤษ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของอุตสาหกรรมรถไฟอังกฤษ ซึ่งจะมอบทางเลือกและความหยืดหยุ่นให้กับผู้โดยสาร ผ่านการใช้งานแพลตฟอร์มสินค้าคงคลังที่มีความทันสมัย

          รถไฟทุกขบวนที่ให้บริการในสหราชอาณาจักรล้วนเป็นสมาชิกของ Rail Delivery Group (RDG) ซึ่งมีเป้าหมายในการมอบทางรถไฟที่ดีกว่าให้กับผู้โดยสารและอังกฤษ แพลตฟอร์ม S3 Passenger จึงจะถูกนำไปใช้ครอบคลุมทุกการจองที่นั่งในทุกบริการรถไฟทั่วประเทศ

          โครงการดังกล่าวซึ่งใช้เวลาพัฒนามากว่า 18 เดือน จะเข้ามาแทนที่ระบบการจองตั๋วทั่วประเทศ (NRS) แบบเดิม เพื่อสานต่องานของ RDG และสมาชิกในการพัฒนาบริการรถไฟเพื่อลูกค้าทุกท่าน
         
          ระบบการจองตั๋วเอนกประสงค์สำหรับชาวยุโรป

          แม้ทางรถไฟระยะยาวจะถูกสร้างขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีปัจจัยสำคัญที่เข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมรูปแบบดังกล่าวคือ การที่ผู้ให้บริการไม่ใช้มาตรฐานการจองตั๋วแบบเดียวกัน

          การอนุญาตให้ผู้ให้บริการสามารถเชื่อมต่อระบบสินค้าคงคลังหลายๆ ระบบในหมู่พันธมิตร ทำให้แพลตฟอร์ม S3 Passenger สามารถเปิดทางสู่การกระจายสินค้าคงคลังได้แบบไร้รอยต่อ โดยไม่จำกัดอยู่แค่ในระบบของผู้ให้บริการรายหนึ่งรายเดียวเพียงเท่านั้น

          ภายในปีหน้า ผู้ให้บริการรถไฟทั้ง 21 รายในอังกฤษจะใช้แพลตฟอร์ม S3 Passenger และสามารถเชื่อมต่อสินค้าคงคลัง (ของแต่ละฝ่าย) เข้ากับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม S3 Passenger รายอื่น ๆ อาทิ Irish Rail, Eurostar, Thalys/IZY, Ouibus, Ouigo รวมถึงผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม S3 Passenger ในอนาคตได้

          แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยให้การซื้อตั๋วของลูกค้าเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยเปิดทางสู่การท่องเที่ยวแบบเชื่อมต่อถึงกันทั่วยุโรป และทำให้การเดินทางด้วยระบบรถไฟทางไกลเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการใช้งาน บริการ และจุดหมายปลายทางที่มีความสะดวกสบาย จนท้ายที่สุด การพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย

          เกี่ยวกับ Sqills

          S3 Passenger เป็นแพลตฟอร์ม SaaS ชั้นนำในอุตสาหกรรมจัดการสินค้าคงคลัง การซื้อตั๋ว และการสำรองที่นั่ง ซึ่งประกอบด้วยฟีเจอร์สุดสร้างสรรค์นับพันๆรายการ ที่เปิดทางให้ผู้โดยสารรถไฟและรถบัสได้รับสิทธิประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด พร้อมคุณสมบัติในการบริการตนเองอันทรงพลัง

          ในปี 2561 แพลตฟอร์ม S3 Passenger จาก Sqills ได้ถูกนำไปใช้ในการค้นหาเพื่อการเดินทางถึง 4 พันล้านครั้งโดยกลุ่มผู้โดยสาร 31.5 ล้านคน Sqills ได้ส่งมอบโซลูชันซอฟต์แวร์สำหรับการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้กับลูกค้าอย่าง Irish Rail, SNCF/OUIGO, Thalys/IZY รวมถึงบริษัทอื่นๆอีกหลายแห่ง สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Sqills.com