Friday, December 20, 2024

ฮ็อป อินน์ มอบโชคใหญ่ประจำปี จับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศญี่ปุ่น จากแคมเปญ "ฉลองครบรอบ 10 ปี ลด แลก แจกหนักตลอดปี 2567"

คุณอรอุมา สว่างแจ้ง รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ และ คุณเบญจมาภรณ์ วิเศษสิงห์ รองประธานฝ่าย Distribution& E-commerce กลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารร่วมเป็นสักขีพยานในการจับรางวัลแคมเปญ "ฉลองครบรอบ 10 ปี ลด แลก แจกหนักตลอดปี 2567" โดยผู้โชคดีจะได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-โตเกียว พร้อมที่พักโรงแรม HOP INN ประเทศญี่ปุ่น สำหรับ 2 ท่าน (พักได้ 3 คืน 4 วัน) จำนวน 2 รางวัล และ ตลอดทั้งปี 2567 ยังจับแจกจริง ทองคำหนัก 1 บาท ทุกเดือนให้กับลูกค้าที่เข้าพักและเป็นสมาชิก HOP REWARD ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน 2567 เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่สนับสนุนโรงแรมเป็นอย่างดีมาตลอด 10 ปี โรงแรมฮ็อป อินน์ มุ่งมั่นเพื่อสร้างมาตรฐานการบริการที่สม่ำเสมอ เพื่อเติมเต็มทุกประสบการณ์เข้าพักของลูกค้าทุกคน ตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีและข่าวสารกิจกรรมอื่นๆได้ที่ Facebook : HOP INN Hotel Thailand

บรรยายใต้ภาพ: จากภาพ คุณเบญจมาภรณ์ วิเศษสิงห์ รองประธาน (สองจากซ้าย) และ คุณอรอุมา สว่างแจ้ง รองประธาน (สามจากซ้าย) กลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศไทย




ข้อมูลทั่วไปของ ฮ็อป อินน์

บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ("ฮ็อป อินน์") บริษัทในเครือของ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับบัดเจ็ทโดยมี 57 สาขาในประเทศไทยและ 10 สาขาในฟิลิปปินส์ 4 สาขาในญี่ปุ่น และพร้อมขยายเครือข่ายโรงแรมให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ด้วยศักยภาพและมาตรฐานในการบริหาร และการเป็นเครือข่ายโรงแรมที่ได้รับความไว้วางใจในคุณภาพการให้บริการจากผู้เข้าพัก เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.hopinnhotel.com 

"การตอบรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอย่างฉับไว" ของปักกิ่ง ถูกยกให้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการมหานครระดับโลก

คณะประเมินประสิทธิภาพบริการสายด่วนและการบริหารจัดการเมืองระดับโลก

รายงานที่เผยแพร่ในงานปักกิ่ง ฟอรัม (Beijing Forum) ประจำปี 2567 ว่าด้วย "การตอบรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอย่างฉับไว" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ระบุว่า ปักกิ่งได้บุกเบิกรูปแบบใหม่ของการบริหารจัดการมหานครผ่านการปฏิรูป "การตอบรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอย่างฉับไว" ซึ่งให้ความสำคัญกับการตอบรับข้อกังวลของประชาชน และได้นำเสนอ "โมเดลปักกิ่ง" ที่มีความก้าวล้ำ และเป็นทางออกแบบฉบับจีน เพื่อรองรับกระแสการบริหารเมืองผ่านระบบสายด่วนทั่วโลก

รายงานประเมินประสิทธิภาพบริการสายด่วนและการบริหารจัดการเมืองระดับโลก (พ.ศ. 2567) ซึ่งเผยแพร่โดยคณะประเมินประสิทธิภาพบริการสายด่วนและการบริหารจัดการเมืองระดับโลก และจัดทำโดยคณะวิจัยร่วมจากศูนย์วิจัยรัฐบาลดิจิทัลซินหัวและสถาบันรัฐบาลดิจิทัลและการบริหารจัดการแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวานั้น นำเสนอผลการประเมินทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับบริการสายด่วนและประสิทธิภาพการบริหารจัดการใน 20 เมืองทั่วโลก พร้อมวิเคราะห์และสรุปรูปแบบการดำเนินงานและประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างละเอียด

รายงานดังกล่าวได้ทบทวนและวิเคราะห์เปรียบเทียบประสบการณ์การดำเนินงานสายด่วนในเมืองต่าง ๆ อย่างครอบคลุม ซึ่งถือเป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญในระดับโลก ตามคำกล่าวของอัลเฟรด โฮ (Alfred Tat-Kei Ho) ศาสตราจารย์จากภาควิชาการบริหารรัฐกิจและกิจการระหว่างประเทศ คณบดีวิทยาลัยศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซิตี้ฮ่องกง และสมาชิกสถาบันบริหารรัฐกิจแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ท่านยังกล่าวอีกด้วยว่า จีนได้บรรลุเป้าหมายในการให้บริการแบบเจาะจงและบริหารจัดการสายด่วนเมืองและบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างละเอียดรอบคอบ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้าและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่มีคุณค่าสำหรับประชาคมโลก

รายงานระบุว่า สายด่วน 12345 ของปักกิ่งเป็นระบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องการบูรณาการ ความครอบคลุม และการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ โดยแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาแบบองค์รวมและรอบด้าน พร้อมจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านการบริหารจัดการกระบวนการ การบริหารแบบร่วมมือ การบริหารอย่างชาญฉลาด และการบริหารที่ตอบสนองความต้องการ ซึ่งปรากฏให้เห็นความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในทุกด้าน

รายงานยังชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ สายด่วน 12345 ของปักกิ่งได้พัฒนาควบคู่ไปกับการเติบโตของเมือง โดยได้จัดตั้งกลไกการให้บริการที่มีสายด่วน 12345 เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ข้อมูลตอบกลับข้อกังวลของประชาชนได้อย่างฉับไว ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อประชาชนและภาคธุรกิจ และท้ายที่สุดก็สร้างความเข้มแข็งให้กับการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารจัดการมหานครได้อย่างล้ำหน้า ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างครอบคลุม แนวทางนี้ไม่เพียงแต่นำเสนอประสบการณ์ในทางปฏิบัติ แต่ยังเป็นทางออกแบบจีนเพื่อรับมือประเด็นซับซ้อนในการบริหารจัดการมหานคร รายงานระบุว่า ความสำเร็จของสายด่วน 12345 ของปักกิ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปรัชญาการพัฒนาและรูปแบบการดำเนินงานที่บูรณาการ เป็นระบบ ชาญฉลาด และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย

ปักกิ่งได้จัดตั้งกลไกการทำงานที่อาศัยการแจ้งเบาะแสจากชุมชนและการประสานงานระหว่างหน่วยงานผ่านสายด่วนบริการภาครัฐ 12345 การบูรณาการทรัพยากรอย่างเป็นระบบนี้ช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ ประสานงานได้อย่างรวดเร็วและให้บริการแบบ "จุดเดียวเบ็ดเสร็จ" ในการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชนได้ โดยโทรเพียงครั้งเดียวสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายเรื่อง

นอกจากนี้ ปักกิ่งยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้เทคโนโลยี เพื่อยกระดับความชาญฉลาดของบริการสายด่วน โดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต บิ๊กดาต้า ปัญญาประดิษฐ์ และบล็อกเชน เพื่อสร้างระบบการตอบสนองและระบบเข้าถึงความรู้ที่มีความอัจฉริยะ เมืองนี้ได้นำระบบหุ่นยนต์ตอบกลับอัจฉริยะและแผนที่บริการปักกิ่ง 12345 มาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพของสายด่วน ยิ่งไปกว่านั้น สายด่วน 12345 ยังขุดข้อมูลบิ๊กดาต้า เพื่อหาประเด็นสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่และอุปสรรคในการบริหารจัดการจากฐานข้อมูลข้อร้องเรียนขนาดใหญ่ และชี้เฉพาะประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยและปัญหาทั่วไปในด้านต่าง ๆ ทำให้เห็นภาพการบริหารจัดการเมืองได้อย่างแม่นยำ สายด่วนนี้จัดการกับประเด็นสำคัญได้อย่างตรงจุด ยกระดับการตอบสนอง และริเริ่มแคมเปญเฉพาะทางเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีความสำคัญสูง กลยุทธ์นี้ช่วยเสริมสร้างความเกี่ยวข้องและประสิทธิผลของการบริหารจัดการมหานครได้อย่างมีนัยสำคัญ

รายงานนี้ยังเน้นย้ำว่า ปักกิ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการออกแบบสายด่วนเมือง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทของหลักนิติธรรมในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการปฏิรูปการตอบสนองอย่างรวดเร็ว การออกกฎระเบียบของเมือง รวมถึงข้อบัญญัติว่าด้วยการตอบรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอย่างฉับไว และมาตรฐานการให้บริการและการจัดการสายด่วน 12345 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของการปฏิรูปจากขั้นการสำรวจไปสู่ขั้นของการพัฒนาที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย มีมาตรฐาน และยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความไว้วางใจและการสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างมากด้วย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สายด่วน 12345 ของปักกิ่งทุ่มเทในการจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยมีการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการแก้ไขประเด็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขข้อกังวลของประชาชนรายบุคคลเท่านั้น แต่ยังเน้นการวิจัยและกำหนดมาตรการเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่พบบ่อยด้วย สายด่วนของเมืองนี้ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางในการปรึกษาเรื่องนโยบายและร้องเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำและขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารจัดการ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสังคมได้อย่างลึกซึ้ง

หลี่ เหวินจาว (Li Wenzhao) รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและบริหารจัดการเมืองหลวง ในสังกัดมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (RUC) มองว่าการปฏิรูป "การตอบรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอย่างฉับไว" ของปักกิ่ง เป็นการออกแบบเชิงสถาบันเพื่อทำความเข้าใจและตอบสนองต่อความรู้สึกของประชาชน การปฏิรูปนี้นำปรัชญาประชาชนต้องมาก่อน (people-first) มาปฏิบัติ โดยเชื่อมโยงข้อร้องเรียนกับการตอบสนองอย่างเป็นระบบ และสร้างกลไกการบริการที่ตอบสนองข้อร้องเรียนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการจัดการที่มีประสิทธิภาพและตอบกลับอย่างฉับไว ซึ่งผสานประชาชนและภาคธุรกิจเข้าไว้ในกรอบการบริหารจัดการเมือง

ที่มา: คณะประเมินประสิทธิภาพบริการสายด่วนและการบริหารจัดการเมืองระดับโลก 

IUX เซ็นสัญญาจับมือเป็นพันธมิตรกับสโมสรฟุตบอล Fulham

IUX ประกาศตัวอย่างเป็นทางการในการจับมือเป็นพันธมิตรครั้งใหม่กับสโมสรฟุตบอล Fulham FC ซึ่งเป็นทีมระดับตำนานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ การเป็นพาร์ทเนอร์ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ IUX ในการก้าวเข้าสู่โลกกีฬา ผสานความเป็นตัวตนของ IUX เข้ากับสโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและเคารพนับถือมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

การผนึกกำลังในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความโดดเด่นของ IUX ในกลุ่มแฟน ๆ ที่ชื่นชอบด้านกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ชมพรีเมียร์ลีกทั่วโลก

ตัวแทนจากทั้ง IUX และ Fulham FC ต่างรู้สึกตื่นเต้นและยินดีอย่างมากในการร่วมมือกันนี้ ทาง IUX ก็กระตือรือร้นที่จะได้ร่วมงานกับสโมสรที่มีค่านิยมที่สอดคล้องกับตัวแบรนด์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การอุทิศตน และความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศได้เป็นอย่างดี

คณะกรรมการบริหารของ IUX แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้ว่า "เรารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Fulham FC การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบระหว่างสององค์กรที่ทุ่มเทเพื่อบรรลุถึงความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม เราตั้งตารอชมความสำเร็จในฤดูกาลนี้ รวมถึงได้กระชับความสัมพันธ์กับแฟนบอลที่หลงใหลในทีม Fulham ด้วย"

จอน ดอน คาโรลิส ผู้อำนวยการฝ่ายพาณิชย์ของสโมสรฟุตบอล Fulham FC กล่าวเสริมว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ IUX ในฐานะพันธมิตรรายใหม่ของเรา เรามุ่งหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือของเรา และรู้สึกตื่นเต้นที่จะช่วยส่งเสริมแบรนด์ IUX ให้ไปไกลในระดับโลก"

แน่นอนว่าการผนึกกำลังครั้งนี้จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ ที่น่ายินดีสำหรับทั้งสองฝ่าย และสำหรับแฟนบอลทั่วโลก โดยที่ IUX และ Fulham FC ตั้งตารอที่จะร่วมมือกันสร้างความสำเร็จในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง

สำหรับข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธมิตรในคราวนี้ แฟน ๆ สามารถติดตามได้ในช่องทางอย่างเป็นทางการของทั้ง IUX และ Fulham FC 

ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ รับรางวัล CSR DIW Continuous Award 2024 ต่อเนื่องปีที่ 3 ตอกย้ำสร้างความยั่งยืนสู่สังคม


ดร.วรวุฒิ วรุตตมพรสุ Country Managing Director บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ารับเกียรติบัตรและโล่รางวัล CSR-DIW Continuous Award 2024 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับสถานประกอบการที่ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน (Corporate Social Responsibility- CSR) ได้ครบถ้วนซึ่งที่ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ เรายึดมั่นความยั่งยืนเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนสิ่งที่ดีเพื่ออนาคตด้านพลังงาน นโยบายความยั่งยืนปี 2030 เป็นกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยอ้างอิงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ที่มุ่งเน้นไปที่มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม มิติสันติภาพ และมิติหุ้นส่วนการพัฒนา ซึ่งแต่ละเสาหลักของมิติความยั่งยืนมีเป้าหมายที่สอดคล้องกันเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างมูลค่าทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงาน เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรเพื่อสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืน - สำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต



Beijing's "Swift Response to Public Complaints" serves as good governance model for megacities worldwide, report

The Worldwide City Hotline Services and Governance Effectiveness Evaluation Team

Beijing, through "Swift Response to Public Complaints" reform, has pioneered a new paradigm of megacity governance driven by citizens' concerns, and contributed a groundbreaking "Beijing model" and Chinese solution to the global wave of hotline-driven urban governance, according to a report released on the 2024 Beijing Forum on Swift Response to Public Complaints on Wednesday.

The Evaluation Report on Worldwide City Hotline Services and Governance Effectiveness (2024), released by the Worldwide City Hotline Services and Governance Effectiveness Evaluation Team and compiled by joint research group from the Xinhua Research Center for Digital Government and Institute for Digital Government and Governance of Tsinghua University, offers scientific evaluations of hotline services and governance effectiveness in 20 representative cities worldwide, along with a thorough analysis and summary of their operational models and experiences. 

The report conducts a comprehensive review and comparative analyses of the hotline operational experiences in representative cities, serving as an important reference worldwide, according to Alfred Tat-Kei Ho, professor with the Department of Public and International Affairs, dean of the College of Liberal Arts and Social Sciences at the City University of Hong Kong, and fellow of the National Academy of Public Administration of the United States. Through big data analysis and interdepartmental collaboration, China has achieved targeted services and refined governance in city hotline and e-government services, providing a valuable reference for the world, Alfred Tat-Kei Ho said.

The report identifies Beijing's 12345 hotline as an integrative one that is characterized by high integration, comprehensive coverage, and efficient coordination featuring all-around and integrated development and showcasing particular strengths in process governance, collaborative governance, smart governance, and responsive governance, with significant progress achieved in all regards.

The report notes that since its launch, Beijing's 12345 hotline has been evolving in step with the city's development. It has established a service mechanism centered around the 12345 hotline to swiftly respond to, efficiently process and offer prompt feedback to public concerns, benefiting both residents and businesses, and ultimately solidified an innovative transformation of megacity governance through encompassing citizen engagement. This approach has offered not only practical experience but also a Chinese solution to the complex issue of megacity governance. The achievements from Beijing's 12345 hotline can be largely attributed to its integrated, systematic, intelligent, and law-based development philosophy and operational model, the report says.

Beijing has established a working mechanism of community based whistleblowing and interdepartmental coordination through the 12345 government service hotline. This systematic integration of resources allows for rapid interdepartmental coordination and offers a "one-stop" response to citizen complaints, with a single call resolving multiple issues.

Moreover, Beijing places a significant focus on technology empowerment to elevate the smart capabilities of its hotline services. Beijing employs the internet, big data, AI and blockchain technologies to build intelligent response and knowledge access systems. The city has introduced smart response robots and the Beijing 12345 Service Map to improve the hotline convenience and efficiency. Furthermore, by using big data mining, the 12345 hotline identifies prominent livelihood issues and governance bottlenecks from the vast database of complaints, and pinpoints high-frequency and common issues in varied fields, offering an accurate portrait of city governance. The hotline addresses key issues in a targeted manner, escalates responses, and launches targeted campaigns to tackle high priority issues. This strategy significantly strengthens the relevance and effectiveness of megacity governance.

The report also highlights that Beijing gives significant attention to top-level design of its city hotline. The city has prioritized the role of the rule of law in solidifying the gains of its swift response reform. The city's enactment of regulations including the ordinance on the swift response to public complaints and the 12345 hotline service and management standards marked the transition of the reform from exploration to a stage of law-based, standardized and sustainable development and also greatly enhanced public trust and support.

Experts note that Beijing's 12345 hotline is dedicated to tackling issues head-on, with its operations centered on resolving key issues. It not only focuses on addressing individual citizen concerns but also emphasizes the research and formulation of policy measures to tackle common issues. The city hotline is not only a channel for policy consulting and expressing complaints but also an important tool for leading and driving governance reforms. Moreover, it has evolved into an effective means for every citizen to deeply engage in social governance.

Li Wenzhao, deputy director of RUC Capital Development and Governance Institute, believes that Beijing's "Swift Response to Public Complaints" reform serves as an institutional design for understanding and responding to public sentiments. It implements the people-first philosophy by organically linking complaints with responses and establishes a service mechanism of rapid responses to citizen complaints through efficient handling, and timely feedback, integrating citizens and businesses into the city governance framework.

Source: The Worldwide City Hotline Services and Governance Effectiveness Evaluation Team 

Thursday, December 19, 2024

พลิกโฉมการรอเที่ยวบินล่าช้าด้วยบัตรกำนัล Delay Lounge Pass เข้าถึงห้องรับรองที่เพียบพร้อมสำหรับผู้ถือประกันการเดินทาง AirAsia

Tune Protect Group Berhad ("Tune Protect" หรือ "The Group") ได้ประกาศเปิดตัวสิทธิประโยชน์ใหม่สำหรับลูกค้าประกันการเดินทางแอร์เอเชีย "ดีเลย์เลานจ์พาส" (Delay Lounge Pass) ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่ให้การเข้าถึงห้องรับรองในสนามบินของแอร์เอเชียเมื่อเกิดเหตุเที่ยวบินล่าช้านานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเปิดให้บริการที่สนามบินกว่า 1,500 แห่งทั่วโลกรวมทั้งห้องรับรองภายใต้เครือข่ายของแอร์เอเชียทั้งหมด ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะมอบบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ซื้อหรือเลือกรับแผนประกันการเดินทางของแอร์เอเชีย เช่น แพ็กสุดคุ้ม (Value Pack), Premium Flex และ AirAsia Plus สำหรับเที่ยวบินทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย ทั้งขาไปและขากลับ

ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) ช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การรอเที่ยวบินล่าช้าให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการมอบสิทธิ์เข้าถึงห้องรับรองในสนามบินที่เพียบพร้อมด้วยบริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ความเร็วสูง ปลั๊กชาร์จไฟ รวมถึงบริการพิเศษอย่างนวดสปา และส่วนลดพิเศษที่บาร์และร้านอาหาร ฟีเจอร์ใหม่นี้มอบสิทธิประโยชน์เหนือกว่าประกันการเดินทางทั่วไป โดยนอกจากผู้โดยสารแอร์เอเชียจะได้รับเงินชดเชยกรณีเที่ยวบินล่าช้าแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายในห้องรับรองสนามบิน ซึ่งช่วยเปลี่ยนช่วงเวลารอให้เป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

How Kim Lian ("How"), ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม Tune Protect กล่าวว่า "การล่าช้าของเที่ยวบินเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และเราทราบดีถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเดินทางเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเมื่อต้องจัดการกับตารางเวลาที่แน่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เช่น ช่วงปีใหม่หรือปิดเทอม ซึ่ง Tune Protect มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและเสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางให้สะดวกสบาย และไร้กังวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ต้องการพื้นที่เงียบสงบเพื่อดูแลลูกหลาน นักธุรกิจที่ต้องการทำงานระหว่างรอเที่ยวบิน หรือผู้ที่เดินทางคนเดียวที่ต้องการพักและผ่อนคลาย การเข้าใช้บริการห้องรับรองในสนามบินสนามบินจึงตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้เดินทางในทุกกลุ่มได้อย่างลงตัว"

ลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์จากดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:

  1. ซื้อหรือเลือกรับประกันการเดินทาง: ลูกค้าต้องซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex, AA Plus) เมื่อทำการจองเที่ยวบิน
  2. ลงทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์: หลังจากที่ทำการซื้อแผนประกันแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลขอบคุณ พร้อมทั้งอีเมลสำหรับลงทะเบียนใช้งานห้องรับรองในสนามบิน ลูกค้าต้องลงทะเบียนเที่ยวบินที่จะมาถึงโดยใช้รหัสเฉพาะที่ได้รับจากการลงทะเบียนเลานจ์ก่อนการเดินทาง
  3. ยืนยันการติดตามเที่ยวบิน: หลังจากลงทะเบียนแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลแจ้งยืนยันการติดตามเที่ยวบินผ่านทาง FlightStats

  4. รับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบิน: หากเที่ยวบินเกิดความล่าช้าตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไป ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความล่าช้า พร้อมกับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบินแบบดิจิทัลเมื่อมาถึงสนามบิน ซึ่งสามารถใช้บัตรกำนัลได้ทันที

คุณคิมเหลียน ("How") ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า "โครงการล่าสุดนี้เน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของ Tune Protect ในการพัฒนาประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เดินทางยุคใหม่ การผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการเข้ากับประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า จึงเป็นแนวทางที่ธุรกิจชั้นนำต่างให้ความสำคัญ และสิ่งที่เราทำคือการนำแนวทางนี้มาปรับใช้ในภาคประกันภัยเพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้คือผู้เดินทาง การมอบสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองในสนามบิน ไม่เพียงแต่ยกระดับประสบการณ์การเดินทางของลูกค้า แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการประกันภัยการเดินทางนับเป็นการปฏิวัติวงการประกันภัยการเดินทางและตอกย้ำความเป็นผู้นำของเราในภูมิภาค"

ในกรณีที่เที่ยวบินเกิดความล่าช้าแต่ลูกค้าไม่ได้ใช้บัตรกำนัลที่ได้รับ ลูกค้ายังคงสามารถใช้บัตรกำนัลดังกล่าวได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกบัตร ที่ห้องรับรองในสนามบินสนามบินใดก็ได้ในเครือข่ายของแอร์เอเชียกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บัตรกำนัลดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะออกให้เฉพาะผู้เดินทางที่ลงทะเบียนและไม่สามารถโอนสิทธิ์การใช้งานได้ และผู้ซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex และ AirAsia Plus) ต้องทำการลงทะเบียนอย่างถูกต้องให้แก่ผู้เดินทางแต่ละคนในกลุ่ม เพื่อผู้เดินทางทุกคนให้ได้รับประสบการณ์ที่สะดวกและราบรื่น

นอกจากดีเลย์เลานจ์พาสแล้ว Tune Protect ยังเสริมฟีเจอร์ใหม่ให้กับแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย ด้วย TravelFlex Lite ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ในการยกเลิกการเดินทางได้อย่างยืดหยุ่นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดย TravelFlex Lite จะชดเชยค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุด 500 ริงกิต หากลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้ ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชียคือ On-Time Guarantee ซึ่งจะให้เงินชดเชยจำนวน 100 ริงกิตหากเที่ยวบินเกิดการล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง รวมถึง Baggage Delay ที่จะจ่ายชดเชย 120 ริงกิตทุก 6 ชั่วโมงของการล่าช้า และชดเชยสูงสุดที่จำนวน 360 ริงกิต

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดีเลย์ห้องรับรองในสนามบินพาส (Delay Lounge Pass) และแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไข สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://delayloungepass.tuneprotect.com/airasia และ https://www.tuneprotect.com/airasia/AABundlePackage/

เกี่ยวกับ Tune Protect Group Berhad

Tune Protect Group Berhad (Tune Protect) เป็นบริษัทผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักของ Bursa Malaysia โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางและไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคต่างๆ Tune Protect มุ่งมั่นที่จะทำให้การเดินทางราบรื่นยิ่งขึ้นด้วยบริการประกันภัยรูปแบบต่างๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายและสะดวกสบาย ด้วยบริษัทย่อยด้านประกันภัยทั่วไปและประกันภัยต่อ บริษัทร่วมทุน และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้รับประกันภัยในท้องถิ่นกว่า 30 ประเทศ รวมถึงพันธมิตรสายการบินหลายแห่ง Tune Protect มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันทั่วไปที่เข้าถึงได้ง่ายในราคาที่จับต้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเดินทาง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tune Protect กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.tuneprotect.com/ 

Transforming Flight Delay Experience: Delay Lounge Pass for AirAsia Travel Insurance Customers

Tune Protect Group Berhad ("Tune Protect or "Group") announced the launch of a new benefit for its AirAsia Travel Insurance customers, the Delay Lounge Pass, a perk that provides access to over 1,500 airport lounges worldwide when flights are delayed by two hours or more. Available across AirAsia's extensive global network[1], the Delay Lounge Pass is available exclusively for customers purchasing or opting in for either one of the AirAsia Travel Insurance plans, which include the Value Pack, Premium Flex, and AirAsia Plus[2] for flights departing from or arriving in Malaysia and Thailand.

The Delay Lounge Pass transforms the experience of flight delays by offering customers access to airport lounges equipped with high-speed Wi-Fi, charging stations and a range of experiential facilities, including spa treatments and discounts at bars and restaurants. This new feature goes beyond the usual travel insurance benefits that AirAsia guests are able to enjoy, further elevating their worry-free travel experience. Aside to gaining monetary compensation due to delayed flights which is part of the AirAsia Travel Insurance coverage, customers are also compensated with the ease and comfort of airport lounges to make the most of their waiting time.

"Travel delays are unsolicited, and we understand the challenges of navigating them when travelling with a big family or managing a busy schedule, especially during peak travel season such as the upcoming year end and school holidays. At Tune Protect, we aspire to enhance every aspect of the travel journey to be as comfortable and stress-free as possible. Whether it is parents seeking a quiet space to manage their children, business travellers needing to catch up on work, or solo travellers wanting a peaceful spot to relax, the access to the airport lounges addresses the needs of every traveller," said How Kim Lian ("How"), Group Chief Executive Officer of Tune Protect.

Customers can enjoy the Delay Lounge Pass benefit by following these simple steps:

  1. Purchase or Opt In for Travel Insurance: Customers must purchase any of the AirAsia Travel Insurance plans (Value Pack, Premium Flex, AA Plus) while booking their flight.
  2. Complete Registration: After purchase, customers will receive a thank-you email along with an email for lounge registration. Customers must register their upcoming flights using the unique code received via the lounge registration email before departure.
  3. Flight Tracking Confirmation: Once registered, customers will receive an acknowledgement email confirming that their flight is being tracked via FlightStats.
  4. Receive Lounge Access Voucher: If their flight is delayed by two hours or more, customers will automatically receive a delay notification along with a digital lounge access voucher upon arrival at the airport. The voucher can be used immediately.


"This latest initiative underscores Tune Protect's commitment to delivering innovative and customer-centric solutions for travellers. Coupling of core products and services with experiential propositions is common in other industries, and what we are doing now is adopting these best practices into the insurance industry to make it more appealing for our target audience, in this case, travellers. The experiential proposition that entails our travel insurance is meant to elevate customers' travel experiences, and the offering of airport lounge access is the beginning of us achieving our aspiration, which is to become a relevant player within the travel ecosystem in the region," How said.

In the event that the flight is delayed, but customers do not utilise the voucher that was issued, it will still be valid for one-time use within 30 days from the issuance date at any of the 1,500 airport lounges worldwide. The Delay Lounge Pass voucher is uniquely assigned to the registered travellers and is non-transferable. Customers purchasing any of the AirAsia Travel Insurance plans (Value Pack, Premium Flex, and AirAsia Plus) for their travel companions must ensure that each guest is accurately registered to ensure a seamless experience.

Aside to the Delay Lounge Pass, Tune Protect has also enhanced its travel insurance features in the AirAsia Travel Insurance plans by introducing TravelFlex Lite, which is a flexible cancellation benefit due to unforeseen circumstances[3]. TravelFlex Lite benefit reimburses the cost of the flight tickets up to RM500 if customers are unable to travel. Other key features of the AirAsia Travel Insurance plans are the On-Time-Guarantee which reimburses RM100 for a 2-hour delay; and Baggage Delay which reimburses RM120 for every 6-hour delay, up to RM360.

For more information on the Delay Lounge Pass and the AirAsia Travel Insurance Plans, including terms and conditions, please visit https://delayloungepass.tuneprotect.com/airasia and https://www.tuneprotect.com/airasia/AABundlePackage/.

[1] Excluding outbound flights from China
[2] For flights departing from Subang SkyPark Terminal
[3] Terms and conditions apply

About Tune Protect Group Berhad

Tune Protect Group Berhad (Tune Protect) is a financial holding company listed on the main market of Bursa Malaysia. With a strong focus on enhancing travel and lifestyle experiences across regions, Tune Protect is committed to making travel smoother and everyday lifestyle more secure through its range of flexible, digital-first insurance solutions tailored to the modern travellers and lifestyle enthusiasts. Through its general insurance and reinsurance subsidiaries, joint venture companies, and strategic partnerships with local underwriters in 30 countries and multiple airline partners, Tune Protect is dedicated to providing accessible and affordable general insurance propositions, particularly in the Travel space.

For more information on Tune Protect, visit their website at https://www.tuneprotect.com/ 

โคเซ่ เข้าซื้อหุ้นบริษัท ปุริ จำกัด ในไทย พร้อมควบรวมเป็นบริษัทในเครือ

โคเซ่ คอร์ปอเรชั่น

- ขยายธุรกิจในตลาดซีกโลกใต้และเร่งดำเนินกลยุทธ์ระดับโลก -

โคเซ่ คอร์ปอเรชั่น (KOSE Corporation) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตชูโอ กรุงโตเกียว และบริษัท ปุริ จำกัด (Puri Co., Ltd.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย และเป็นเจ้าของแบรนด์ ปัญญ์ปุริ (PANPURI) แบรนด์เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (*1) ที่ดำเนินธุรกิจในไทยเป็นหลัก ได้บรรลุข้อตกลงในการโอนหุ้นของปุริให้แก่โคเซ่
(*1) แนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางสังคมอย่างครอบคลุม

โลโก้ของโคเซ่: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI1lg_R6FUNZjV.png

โลโก้ของปัญญ์ปุริ: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI2lg_QfkqZ5BU.jpg

ปัจจุบัน โคเซ่กำลังดำเนินกลยุทธ์ระยะกลางภายใต้วิสัยทัศน์ระยะกลางถึงระยะยาว "Vision for Lifelong Beauty Partner -- Milestone 2030" โดยมีจุดมุ่งหมายในการ "เพิ่มแบรนด์ที่มีรากฐานในภูมิภาค" เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในระดับโลก ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละภูมิภาคโดยยึดหลัก "ไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองอีกต่อไป" เนื่องจากการร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกและการใช้ทรัพยากรภายนอกแทนที่จะยึดติดกับทรัพยากรของตนเองนั้น จะช่วยให้โคเซ่สามารถขยายพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและเร่งผลักดันการเติบโตทางธุรกิจทั่วโลก

ปัญญ์ปุริ ก่อตั้งขึ้นในปี 2546 ในฐานะแบรนด์เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและเครื่องหอมเฉพาะกลุ่มที่หรูหรา สร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในทุกมิติ หยั่งรากลึกในประเพณีตะวันออกและมรดกทางวัฒนธรรมของไทย ยึดมั่นในแนวคิดคลีนบิวตี้ตามมาตรฐาน Zerolist (TM) (*2) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารต้องห้ามกว่า 2,300 รายการ ปัญญ์ปุริขึ้นชื่อเรื่องเครื่องหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมตะวันออกอันประณีต งานฝีมือที่ละเอียดลออ และการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติอันล้ำค่า ทางแบรนด์ได้ผสานประเพณีเข้ากับนวัตกรรมอย่างลงตัว สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความสมดุลและส่งเสริมสุขภาวะด้วยประเพณีการดูแลสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหอม ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การสร้างบรรยากาศภายในบ้าน และประสบการณ์สปาสุดหรู เพื่อบำรุงทุกประสาทสัมผัส ส่งเสริมสุขภาวะ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความสมดุล ปัญญ์ปุริยึดมั่นในแนวคิด Zerolist (TM) ในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สะอาดบริสุทธิ์และมุ่งเน้นความยั่งยืน ผสมผสานงานฝีมือที่ละเอียดลออเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ยกระดับประเพณีการดูแลสุขภาพประจำวันให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสมดุลและความมีสติ ปัญญ์ปุริมุ่งนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย ตลอดจนเปิดสโตร์ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับโลกทัศน์ของแบรนด์ พร้อมทั้งส่งเสริมประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การให้บริการสปาในโรงแรม โดยปัญญ์ปุริบริหารสโตร์ทั้งในห้างสรรพสินค้าหรู โรงแรม รีสอร์ต และห้างค้าปลีกสำหรับนักท่องเที่ยวในไทย และอื่น ๆ โดยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการยกเครื่องแบรนด์ปัญญ์ปุริครั้งใหญ่ด้วยการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การพัฒนาสโตร์ รวมถึงการกำหนดกลยุทธ์การขยายธุรกิจและการสร้างธุรกิจที่มั่นคงในประเทศไทย
(*2) มาตรฐานในการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีความยั่งยืนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตลอดจนมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและสะอาดด้วยสูตรวีแกนและวิธีการไม่ทดลองกับสัตว์

รูปภาพเครื่องหอม: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI3fl_ZMgV6CY8.jpg

การเข้าซื้อหุ้นของปุริจะทำให้โคเซ่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการเติบโตของปุริและขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจของโคเซ่ เพื่อเพิ่มจุดติดต่อกับลูกค้าใหม่และเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ความพยายามเหล่านี้จะช่วยให้โคเซ่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนในตลาดซีกโลกใต้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร

ความคิดเห็นของคาซุโตชิ โคบายาชิ ประธานบริษัทและซีอีโอของโคเซ่ คอร์ปอเรชั่น
รูปภาพ: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI4lg_4qILcQ6r.jpeg

"เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับปัญญ์ปุริเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ในเครือโคเซ่ กรุ๊ป ผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทปุริ ซึ่งมีสถานะที่มั่นคงในประเทศไทย ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เราเชื่อว่าการที่ปัญญ์ปุริสืบสานประเพณีโบราณของไทยและออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยความประณีต เพื่อสร้างสรรค์เครื่องสำอางที่นอกเหนือจากมีประสิทธิภาพแล้ว ยังให้ความรู้สึกดีต่อใจเมื่อใช้ด้วยนั้น มีความสอดคล้องกับแนวทางที่เรายึดมั่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งก็คือการเดินหน้าแสวงหาความเป็นเลิศทางประสาทสัมผัส พร้อมกับสืบสานประเพณีและนวัตกรรม การเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถเร่งดำเนินกลยุทธ์ระดับโลกตามวิสัยทัศน์ระยะกลางถึงระยะยาวของเรา เพื่อสร้างธุรกิจในตลาดซีกโลกใต้และเพิ่มมูลค่าของเราต่อไป"

ความคิดเห็นของวรวิทย์ ศิริพากย์ ซีอีโอของปุริ
รูปภาพ: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI5fl_9bHSg14S.jpg

"ความร่วมมือกับโคเซ่ คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับปัญญ์ปุริ ด้วยนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรระดับโลกของโคเซ่ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยกระดับวิสัยทัศน์ด้านความงามและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของไทย ซึ่งหยั่งรากลึกในภูมิปัญญาท้องถิ่นและยึดมั่นในแนวปฏิบัติที่สะอาดและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เราจะนำแนวทางการดูแลสุขภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของปัญญ์ปุริที่ผสานความประณีตแบบไทย สติปัญญา และความเป็นเลิศด้านประสาทสัมผัส มานำเสนอให้แก่คนทั่วโลกในวงกว้างมากขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถรักษามรดกของเราไว้ได้ พร้อมกับก้าวไปสู่อนาคตแห่งการเติบโต นวัตกรรม และความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างประสบการณ์ความงามที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย"

บริษัท ปุริ จำกัด
ชื่อ: บริษัท ปุริ จำกัด (ชื่อแบรนด์: ปัญญ์ปุริ)
ที่อยู่: อาคารวานิสสา อาคารบี ชั้น 20 เลขที่ 29 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
ชื่อและตำแหน่งของตัวแทน: วรวิทย์ ศิริพากย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ
ธุรกิจหลัก: ขายและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามและเครื่องหอม พร้อมให้บริการสปาและการดูแลสุขภาพ
เงินทุน: 13 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566)
(ประมาณ 58.5 ล้านเยน คำนวณจาก 1 บาท = 4.5 เยน)
ก่อตั้ง: พ.ศ. 2546
จำนวนตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่: 26 รายในประเทศไทย และอื่น ๆ
แนวคิดแบรนด์: การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ยอดขาย: 580 ล้านบาท (ปีงบการเงินสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2566 หรือประมาณ 2,610 ล้านเยน คำนวณจาก 1 บาท = 4.5 เยน)
จำนวนหุ้นที่ถือหลังการเปลี่ยนแปลง: 1,062,702 หุ้น (อัตราส่วนสิทธิออกเสียง: 79.89%)
วันที่บรรลุข้อตกลงการโอนหุ้น: 10 ธันวาคม 2567
วันที่ดำเนินการโอนหุ้น: 30 ธันวาคม 2567 (ตามที่กำหนดไว้)

ปัญญ์ปุริ
รูปภาพ: https://cdn.kyodonewsprwire.jp/prwfile/release/M108468/202412091364/_prw_PI6fl_YpxmR2fd.png

ปัญญ์ปุริ ก่อตั้งขึ้นในปี 2546 ในฐานะแบรนด์เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่มีรากฐานมาจากประเพณีไทย ปัญญ์ปุริขึ้นชื่อเรื่องผลิตภัณฑ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ มีความยั่งยืน และเติมเต็มทุกประสาทสัมผัส โดยนำเสนอแนวคิดใหม่ในการปรนนิบัติตนเองด้วยหลักปรัชญาองค์รวมที่ส่งเสริมความสมดุล ความกลมกลืน และความมีสติ พร้อมนำแนวทางการดูแลสุขภาพเหนือกาลเวลามาสู่วิถีชีวิตสมัยใหม่

ออนไลน์สโตร์อย่างเป็นทางการของปัญญ์ปุริ: https://www.panpuri.com/

ที่มา: โคเซ่ คอร์ปอเรชั่น 

NT เผย 5 คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการเริ่มต้นใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง

ผู้บริหารบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติได้แก่ พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (กลาง) นายวงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานดิจิทัล (ซ้าย) และนายยุทธศาสตร์ นิธิไพจิตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้า (ขวา) ร่วมงาน AWS Public Sector Day 2024 

บริษท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที (NT) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของไทย และเป็นพาร์ทเนอร์ระดับAdvanced Tier ของ อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS หรือ เอ ดับบลิว เอส) เปิดเผยว่า การเดินสายจัดกิจกรรมโรดโชว์ในหลายจังหวัดร่วมกับ AWS รวมทั้งการร่วมงาน AWS Public Sector Day 2024 ได้รับความสนใจและการตอบรับอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงาน

NT จึงได้รวบรวม 5 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง มาแบ่งปันสำหรับผู้ที่สนใจดังนี้:

1. ต้องการเริ่มย้ายเวิร์คโหลดขึ้น AWS มีขั้นตอนอย่างไร

ขั้นตอนการย้าย workloads มี 3 ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่ การประเมิน (assess), การเตรียมการย้าย (mobilize), และ การย้ายข้อมูล (migrate) ขั้นตอนแรกสุดที่ต้องดำเนินการคือ

  1. ประเมินเวิร์คโหลด (assess workload) และปริมาณของเวิร์คโหลด ร่วมกับ ทาง NT เพื่อออกแบบสถาปัตยกรรมของระบบ (หรือ AWS Architecture) ที่จะย้ายขึ้นไปบน AWS Cloud และ ประเมิน Solution ในการย้ายระบบที่เหมาะสมร่วมกัน
  2. การเตรียมการย้าย (mobilize) สร้างทรัพยากร และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ บน AWS Cloud รอการย้าย เช่น เตรียม VPC, Network, และ เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายไว้ ขั้นตอนสุดท้าย
  3. การย้ายข้อมูล (migrate) ทำการย้ายข้อมูลตาม Solution ที่ได้มีการหารือร่วมกัน

2. หากต้องการเปลี่ยนจาก On-Premises ไปใช้เทคโนโลยี AWS Cloud ควรมีการเตรียมความพร้อมขององค์กรอย่างไร ในเชิงทีมงาน งบประมาณ ระยะเวลาในการดำเนินการ

ทีมงาน: ในการใช้งานคลาวด์อย่างยั่งยืน ทีมงานที่ดูแลระบบจำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานบนคลาวด์ ซึ่งแตกต่างจากระบบ On-Premises โดยหากทีมงานยังขาดความรู้หรือความเชี่ยวชาญ สามารถให้ NT ช่วยดูแลในช่วงเริ่มต้น และสนับสนุนการเรียนรู้เกี่ยวกับคลาวด์ผ่านคอร์ส เรียนที่มีให้เลือกทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์

รูปแบบออนไลน์:
ผู้เรียนสามารถเลือกคอร์สที่สะดวกและเหมาะสมกับความต้องการ เช่น

  • AWS Skill Builder แบบ ไม่มีค่าใช้จ่าย: มีคอร์สให้เลือกเรียนมากกว่า 600 คอร์ส
  • AWS Skill Builder แบบ Subscriptions: เข้าถึง Lab ฝึกปฏิบัติกว่า 1,000 Lab และเนื้อหาเตรียมสอบที่ครอบคลุม

รูปแบบออนไซต์:
NT มีคอร์สอบรมที่สอนโดยอาจารย์ที่ผ่านการรับรองจาก AWS พร้อมบริการสอบ Certification ครอบคลุมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับทักษะขั้นสูงในหลากหลายสาขา เช่น AI (Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์), Machine Learning และ Data Analytics

การเรียนเหล่านี้ช่วยเสริมทักษะให้ทีมงานพร้อมรับมือกับการใช้งานคลาวด์ในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

  • ด้านงบประมาณ: ทีม Solution Architect ของ NT พร้อมให้คำปรึกษาในด้านการออกแบบระบบเมื่อต้องการย้ายมาใช้งานบนคลาวด์ รวมถึงบริการช่วยคำนวณงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นแบบรายปีหรือแบบตามสัญญา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายขององค์กร
  • ระยะเวลาดำเนินการ: หลังจากการทำ assess และออกแบบ AWS architecture เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้การย้ายเวิร์คโหลดขึ้นคลาวด์จะขึ้นอยู่กับความพร้อมในการย้ายระบบของทางลูกค้า และ Solution ในการย้ายเวิร์คโหลด ที่จะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างและลูกค้า เพื่อให้การย้ายขึ้นไปใช้งานบนคลาวด์มีประสิทธิ์ภาพสูงสุดและกระทบกับการใช้งานของ User น้อยที่สุด

3. เวิร์คโหลดแบบไหนควรย้ายก่อน

  • เริ่มจาก Workload ที่ง่ายและมีความเสี่ยงน้อย เช่น Website หรือ Webserver เป็นต้น จากนั้นค่อยๆ Migrate ระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น ข้อสำคัญ คือ assess แต่ละ Workload อย่างละเอียด เพื่อหาวิธีการ Migration ที่เหมาะสมที่สุด

4. เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งเหมาะกับองค์กรประเภทใด หากเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือกลาง เหมาะกับการใช้คลาวด์หรือไม่ ในแง่การลงทุนสร้างทีมงานและย้ายจาก On-Premises ขึ้นบนคลาวด์

  • การใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์เหมาะสมกับทั้งองค์กรทุกขนาด โดยสามารถเลือกบริการ และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม และขนาดขององค์กรได้เพราะคลาวด์คอมพิวติ้งมอบความคล่องตัว ช่วยให้สามารถเรียกใช้ทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มการดำเนินงานได้ทันทีตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถสร้างนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ทันกับความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ความยืดหยุ่นของระบบช่วยให้องค์กรสามารถปรับการใช้งานทรัพยากรได้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลด เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานเป็นไปอย่างเหมาะสมโดยไม่ต้องจัดสรรทรัพยากรเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ระบบคลาวด์ยังช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก โดยไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ล่วงหน้าจำนวนมาก และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการจ่ายเฉพาะทรัพยากรที่ใช้งานจริงเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนใน data center ที่มีระยะเวลาของการคุ้มทุนที่นาน และยังมีค่า maintenance สูงอีกด้วย ประโยชน์ของเทคโนโลยีคลาวด์เหล่านี้จะช่วยให้องค์กรธุรกิจมีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากขึ้นในยุคปัจจุบัน

5. หน่วยงานที่ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระค่าบริการได้ แต่อยากใช้เทคโนโลยี AWS Cloud จะมีตัวเลือกในการชำระค่าบริการอย่างไรได้บ้าง

  • สามารถใช้บริการ AWS Cloud ผ่าน partner ผู้ให้บริการ Billing Service เช่น NT ในการออกบิล/ใบกำกับภาษีได้ นอกจากหน่วยงานจะไม่ต้องชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตแล้ว ทาง NT ยังสามารถการออกบิล/ใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าได้ในสกุลเงินบาทไทย ในอัตราแลกเปลี่ยนตามธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนนั้น ๆ หรืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตามที่ตกลงทำสัญญา

สำหรับผู้ที่สนใช้ติดต่อ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริการ AWS Cloud ผ่าน NT Cloud สามารถติดต่อบริษัท ได้ที่ ntcloud@ntplc.co.th หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://ntcloudsolutions.ntplc.co.th/solutions/nt-cloud-aws/

จีนประกาศให้สนามบินชั่วฟ่างในอู๋ซีเป็นจุดผ่านแดนปลอดวีซ่า 240 ชั่วโมง

สถานีตรวจคนเข้าเมืองอู๋ซี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน ประกาศเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) ว่า จีนได้ขยายนโยบายการเดินทางผ่านแดนปลอดวีซ่า (visa-free transit) โดยขยายระยะเวลาที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติพำนักในประเทศได้จากเดิม 72 หรือ 144 ชั่วโมง เป็น 240 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มจุดผ่านแดนใหม่สำหรับผู้ที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าผ่านแดนอีก 21 แห่ง รวมถึงสนามบินชั่วฟ่าง (Shuofang) ในเมืองอู๋ซี

ปัจจุบัน สนามบินชั่วฟ่างในเมืองอู๋ซีมีเส้นทางการบินระหว่างประเทศ 8 เส้นทาง เชื่อมต่อกับเมืองต่าง ๆ เช่น โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น, อินชอน ประเทศเกาหลีใต้, ญาจาง ประเทศเวียดนาม, สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเฉลี่ย 22 เที่ยวบินต่อวัน

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ในปีนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอู๋ซีได้ตรวจสอบเที่ยวบินขาเข้าและขาออกกว่า 7,400 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 125% เมื่อเทียบรายปี และมีผู้โดยสารมากกว่า 820,000 คน เพิ่มขึ้น 134% เมื่อเทียบรายปี โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าและออกผ่านอู๋ซีมีมากกว่า 91,000 คน เพิ่มขึ้น 245% เมื่อเทียบรายปี ในจำนวนนี้ มีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าและแวะพักชั่วคราวมากกว่า 10,000 คน เพิ่มขึ้น 16.4 เท่า เมื่อเทียบรายปี ซึ่งส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติและเพื่อนฝูง

ในช่วงต้นปีนี้ เมืองอู๋ซีได้ประกาศ "10 มาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติในการเข้าเมืองและพำนักที่อู๋ซี" ซึ่งครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่ การเดินทางเข้าและออก การชำระเงิน การทำงานทางธุรกิจ การใช้ชีวิตและการเดินทาง การบริโภค รวมถึงการศึกษาและการรักษาพยาบาล

เมื่อนโยบายการเดินทางผ่านแดนปลอดวีซ่า 240 ชั่วโมงมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เมืองอู๋ซีจะปรับปรุงการบริการด้านศุลกากรให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการปรับผังบริเวณจุดเข้าเมืองใหม่อย่างเป็นระบบ และจัดสรรพื้นที่สำหรับดำเนินการด้านวีซ่าผ่านแดนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เมืองอู๋ซีจะบริหารจัดการและให้บริการชาวต่างชาติระหว่างที่พำนักอยู่ในจีน พร้อมทั้งประสานงานการเปลี่ยนผ่านระหว่างนโยบายผ่านแดนปลอดวีซ่าและข้อกำหนดเกี่ยวกับวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อีกทั้งจะประชาสัมพันธ์นโยบายเดินทางปลอดวีซ่า 240 ชั่วโมงผ่านช่องทางและภาษาต่าง ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมนโยบายผ่านแดนปลอดวีซ่านี้ให้กับบริษัทต่างชาติที่ได้รับทุนจากต่างประเทศ หอการค้าต่างประเทศ บริษัทท่องเที่ยว และสายการบินในเมืองอู๋ซี เมืองอู๋ซีจะจัดตั้งจุดบริการผู้โดยสารขาเข้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้บริการแก่ชาวต่างชาติในด้านต่าง ๆ เช่น การจองสถานที่ท่องเที่ยว การทำเรื่องซิมการ์ดมือถือ และการชำระเงินผ่านมือถือ รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา การใช้ชีวิต และการทำงานของชาวต่างชาติในเมืองอู๋ซี

ที่มา: สถานีตรวจคนเข้าเมืองอู๋ซี

Wednesday, December 18, 2024

น้ำยายืดอายุกระดาษ นวัตกรรมจุฬาฯ อนุรักษ์เอกสารและภาพศิลปะโบราณให้คงสภาพอีกนานนับทศวรรษ

นักวิจัยจุฬาฯ คิดค้นนวัตกรรมน้ำยาเคลือบและยืดอายุกระดาษได้นาน 15-20 ปี โดยกระดาษไม่เปื่อย สีไม่เปลี่ยน เชื้อราไม่ขึ้น ฝุ่นไม่จับ อีกหนึ่งความพยายามที่จะอนุรักษ์เอกสาร ภาพวาดและภาพถ่ายโบราณ ถูกใจบรรณารักษ์และคนรักหนังสือที่อยากถนอมหนังสือไว้อ่านได้นาน ๆ

นอกจากกาลเวลาแล้ว ความร้อน ความชื้น และเชื้อรา นับเป็นตัวเร่งสำคัญในการลบและทำลายร่องรอยทางประวัติศาสตร์ เอกสาร ภาพวาด ภาพถ่ายและแผนที่โบราณซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมหลายร้อยปีต่างแปรสภาพ กระดาษเปื่อย สีจางและลางเลือน ความชื้นจับ ราขึ้น ฝุ่นเกาะ - เหล่านี้เป็นปัญหาที่นักอนุรักษ์ทั่วโลกและชาวหนอนหนังสือทั้งหลายพยายามแสวงหาวิธีที่จะแก้ไขเพื่อยืดอายุประวัติศาสตร์และความทรงจำที่จารึกบนกระดาษ

ในต่างประเทศการเก็บหนังสือ ผลงานศิลปะ และเอกสารในห้องสมุดต่าง ๆ อยู่ในมือนักอนุรักษ์เอกสารโบราณ หรือนักวิทยาศาสตร์อนุรักษ์ (Conservator) ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีความรู้ในการเก็บหนังสือ หรือวัตถุทรงคุณค่าตามกฎการอนุรักษ์ โดยจะใช้สารเคลือบวัตถุที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเนื้อวัตถุ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการแปรสภาพเนื้อวัตถุ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ การเก็บรักษาหนังสือและเอกสารโบราณจึงมักอยู่ในถุงพลาสติกซิปล็อก เก็บวางไว้ในที่แห้งและเย็น ซึ่งสามารถชะลอความเสื่อมของหนังสือได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ชะลอได้ไม่นานนัก

ปัญหาดังกล่าวได้จุดประกายให้ทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกันคิดค้นและพัฒนานวัตกรรม "น้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษ" ที่เหมาะสมกับอากาศร้อนชื้นแบบประเทศไทย โดยทีมวิจัยประกอบด้วย ดร.ลัญจกร อมรกิจบำรุง นักวิจัยหลังปริญญาเอก C2F ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์, รองศาสตราจารย์ ดร.คเณศ วงษ์ระวี ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ และอาจารย์ ดร.ภณิตา ศิลปวิทยาดิลก ภาควิชาภาษาตะวันตก คณะอักษรศาสตร์

นวัตกรรมน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษได้รางวัลสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ระดับดี ประจำปี 2567 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และหอสมุดชั้นนำหลายแห่งในประเทศก็ได้นำน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษไปใช้จริงแล้วด้วยโดยการชุบเคลือบหนังสือเอกสารโบราณต่าง ๆ

"น้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษไม่เพียงเหมาะกับการอนุรักษ์หนังสือ เอกสารทางประวัติศาสตร์ ภาพวาดและภาพถ่ายโบราณ แต่สำหรับบุคคลทั่วไป น้ำยาดังกล่าวยังช่วยในการรักษาเอกสารสำคัญ หนังสือเล่มโปรด ภาพวาดและภาพถ่ายที่อยากเก็บให้คงสภาพและรักษาสีสันดั้งเดิมเอาไว้ให้นานยิ่งขึ้นด้วย" ดร.ลัญจกร หนึ่งในทีมวิจัยและผู้ก่อตั้งบริษัท รี-บอนดิ้ง จำกัดกล่าว

จุดเริ่มต้นนวัตกรรมน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษ

ดร.ลัญจกรเล่าว่า "น้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษเป็นนวัตกรรมที่ต่อยอดจากงานวิจัยระดับปริญญาเอก ขณะที่ศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยกราซ (University of Graz) ประเทศออสเตรีย"

"โจทย์วิจัยในตอนนั้น คือ การค้นหาวิธีรักษาเอกสารทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวนมากในห้องสมุดให้คงอยู่ ไม่สลายไปตามกาลเวลา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ทำให้กระดาษแปลงสภาพ และช่วยยืดอายุ ชะลอความเสื่อมสภาพของกระดาษได้นาน 10 ปีขึ้นไป"

ผลการวิจัยประสบผลสำเร็จด้วยดี ดร.ลัญจกรจึงคิดจะต่อยอดการวิจัยเมื่อกลับมาประเทศไทย

"สภาพอากาศแบบประเทศไทย กระดาษมีความเสี่ยงที่จะเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าในประเทศที่มีสภาพอากาศแห้งและหนาวเย็น เราจึงต้องเอางานวิจัยนี้มาพัฒนาปรับสูตรให้เหมาะกับสภาพอากาศของประเทศเรา"

สูตรสารเคลือบกระดาษที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นแบบประเทศไทยได้ผ่านการพิสูจน์ Aging Test ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าได้ผล ดร. ลัญจกรกล่าว

"เราจำลองสภาพแวดล้อมในห้องทดลองที่อุณหภูมิสูงถึง 80 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูง 75% เป็นระยะเวลา 7 วันติดต่อกัน ซึ่งเทียบเท่ากับการอยู่ในอากาศภายนอก 20 ปี แล้วนำผลมาตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของกระดาษที่ถูกเคลือบ พบว่ากระดาษที่เคลือบน้ำยาจะเหลืองน้อยกว่า ไม่เกิดเชื้อรา เนื้อกระดาษมีความแข็งแรงกว่ากระดาษที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา"

ดร.ลัญจกรอธิบายว่า "น้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก 100% ผลิตจากเซลลูโลสที่สกัดได้จากพืชและใช้เทคโนโลยีนาโนคอมโพสิต จึงปลอดภัยทั้งกับวัสดุกระดาษต่าง ๆ และผู้ใช้งาน"

"นวัตกรรมน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษสามารถใช้ได้กับวัสดุที่มีส่วนประกอบจากเซลลูโลสทุกประเภท เช่น กระดาษ หนังสือ เอกสารโบราณ งานศิลปะ สิ่งทอ งานไม้ เป็นต้น โดยน้ำยาจะช่วยปกป้องและชะลอการเสื่อมสภาพของกระดาษและวัสดุได้ยาวนานถึง 15 - 20 ปี โดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพของกระดาษ สีวาด หมึกพิมพ์ และองค์ประกอบของหนังสือ มีคุณสมบัติกันน้ำ กันความชื้น กันรังสียูวี กันเชื้อรา กันฝุ่นและคราบสกปรก ไม่ทำให้กระดาษเหลือง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดาษได้มากถึง 65%"

สูตรน้ำยาเคลือบยืดอายุหนังสือและงานศิลปะ

นวัตกรรมน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษได้จดอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และมีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า SalvaStory (ซัลวาสตอรี) โดย ดร.ลัญจกรกล่าวว่าทีมวิจัยได้พัฒนาน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษไว้ 2 สูตรด้วยกัน คือ

สูตรอนุรักษ์หนังสือ

สูตรอนุรักษ์หนังสือนี้น้ำยาเคลือบจะมีความเข้มข้นสูง ป้องกันน้ำ ช่วยเสริมความยืดหยุ่น ยืดอายุกระดาษ ไม่ทำให้กระดาษเป็นคลื่น ไม่ทิ้งคราบบนกระดาษ ลักษณะบรรจุภัณฑ์มี 2 แบบ คือ

  1. น้ำยาเคลือบบรรจุขวดแกลอนสามารถเทน้ำยาใส่ภาชนะและนำหนังสือมาชุบได้เลย เหมาะกับบรรณารักษ์หอสมุด และประชาชนผู้ที่มีหนังสือเก่า หรือหนังสือทรงคุณค่าจำนวนมาก
  2. สเปรย์สำหรับฉีดพ่น เหมาะสำหรับผู้ต้องการฉีดพ่นแผ่นเอกสารขนาดใหญ่ เช่น โฉนดที่ดิน แผนที่ขนาดใหญ่ หรือผู้ที่มีหนังสือเล่มบาง ๆ ที่ต้องการยืดอายุ

สูตรอนุรักษ์งานศิลปะ

สูตรอนุรักษ์งานศิลปะเป็นน้ำยาแบบพ่นเคลือบ ไร้สี ไร้กลิ่นฉุน ไม่เพิ่มความเงา กระดาษทนน้ำ ใช้ได้กับสีไม้ สีน้ำ สีชาร์โคล สีชอล์ก สีอะคริลิก ดินสอแกรไฟต์ เหมาะสำหรับการผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณสมบัติทนน้ำให้กระดาษ ลดการหลุดลอกของสี ลดความเสี่ยงเกิดคราบเหลือง ไม่เปลี่ยนสภาพกระดาษและสีบนงานศิลปะ แต่สูตรนี้จะเข้มข้นน้อยกว่าสูตรอนุรักษ์หนังสือ

"นวัตกรรมนี้จะช่วยยืดอายุวัสดุ ให้คงความสวยงามและสภาพเดิมได้ยาวนานเพิ่มขึ้น 15-20 ปี น้ำยาเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติ จึงปลอดภัยกับผู้ใช้งาน และไม่ส่งผลให้เนื้อดั้งเดิมของวัสดุเปลี่ยนแปลง ข้อจำกัดเดียวในตอนนี้คือราคายังสูงอยู่สักหน่อย เพราะสารบางอย่างยังหายากและราคาแพง" ดร.ลัญจกรสรุปจุดเด่นของน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษ

ชุบชีวิต ยืดอายุเอกสารโบราณ ง่ายใน ขั้นตอน

น้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษใช้ง่าย "ประชาชนทั่วไปสามารถทำเองได้ ไม่ซับซ้อน" ดร.ลัญจกรกล่าว พร้อมแนะนำวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสูตรอนุรักษ์หนังสือและสูตรสเปรย์เคลือบงานศิลปะ ดังนี้

กรณีชุบเคลือบหนังสือ มี 4 ขั้นตอน คือ

  1. เทน้ำยาใส่ภาชนะ
  2. จุ่มแช่หนังสือลงไปทั้งเล่ม ให้น้ำยาท่วมและซึมเข้าหนังสือทั้งเล่ม นาน 5-10 นาที
  3. ยกหนังสือขึ้นจากน้ำยาเคลือบ
  4. ผึ่งลมหนังสือให้แห้ง จะปิดหนังสือ หรือเปิดหน้าหนังสือไว้ก็ได้ น้ำยามีคุณสมบัติแห้งไวประมาณ 2-3 ชั่วโมง

วิธีการจุ่มเคลือบหนังสือ

กรณีสเปรย์น้ำยาเคลือบ มี 3 ขั้นตอน คือ

  1. เขย่าขวดก่อนใช้งาน
  2. ฉีดพ่นน้ำยาเคลือบบนภาพวาด ภาพถ่าย หน้าหนังสือ หรือเอกสารที่ต้องการเคลือบให้เปียกชุ่ม ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั่วทั้งชิ้นงาน
  3. ผึ่งลมรอแห้ง ประมาณ 5 นาที

"เพียงเท่านี้ก็สามารถปกป้องหนังสือและงานศิลปะจากน้ำ เชื้อรา คราบสกปรก ความร้อน การแตกเปราะ รวมถึงปกป้องหมึก สีภาพวาดไม่ให้หลุดลอกได้นานยิ่งขึ้น"

ส่วนหนังสือหรือเอกสารกระดาษที่แห้งกรอบมาก ๆ ดร.ลัญจกรแนะนำเพิ่มเติมว่า "สามารถชุบ หรือพ่นซ้ำได้ (หลายครั้ง) โดยรอให้การเคลือบรอบก่อนหน้าแห้งสนิทแล้วค่อยทำซ้ำ ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และแข็งแกร่งแก่เอกสารกระดาษชุดนั้น"

ก้าวต่อไปของนวัตกรรมอนุรักษ์โบราณวัตถุ

หอสมุดชั้นนำหลายแห่งในประเทศ อาทิ หอสมุดกลางและหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฯลฯ ได้นำน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษไปใช้ชุบเคลือบหนังสือเอกสารโบราณแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในระยะต่อไป ดร.ลัญจกรและทีมวิจัยจึงวางแผนที่จะพัฒนานวัตกรรมให้ครอบคลุมการอนุรักษ์ด้านอื่น ๆ ด้วย

"ทีมวิจัยเรามองการพัฒนาไว้ 2 แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบให้มีประสิทธิภาพทั้งปกป้องวัตถุ และสามารถฆ่าเชื้อราที่เกิดขึ้นแล้วได้ด้วย ส่วนแนวทางที่สอง เราอยากจะต่อยอดนวัตกรรมนี้ให้ใช้กับโบราณวัตถุประเภทอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น งานไม้และงานปูนปั้น โดยน้ำยาเคลือบจะต้องไม่เป็นสารแปลกปลอมหรือส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเนื้อโบราณวัตถุไปจากเดิมตามกฎของการอนุรักษ์" ดร.ลัญจกรกล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมน้ำยาเคลือบยืดอายุกระดาษ SalvaStory (ซัลวาสตอรี) ได้ที่เว็บไซต์ https://www.chula.ac.th/highlight/197364/

"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่สร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงติด 100 อันดับแรกของโลกด้านชื่อเสียงทางวิชาการ โดย (QS) World University Rankings 2021-2022" 

Chula's Innovation: The Nano Coating Paper Archival Varnish to Preserve Old Documents and Art Pieces for Decades to Come

Chulalongkorn University researchers have produced an innovative nano-coating paper archival varnish that extends the life of the paper for 15-20 years. The paper will not rot, change its color, get moldy, or even dusty. This is another effort to conserve documents, paintings, and old photos. Both librarians and book lovers who want to preserve books will love them.

In addition to time, heat, humidity, and mold are major catalysts in destroying historical traces, documents, drawings, photographs, and ancient maps comprising several centuries of cultural heritage. Alteration, decay, fading, mold, moisture damage, and dust are issues that preservationists and bookworms worldwide seek to address to prolong the history and memory inscribed on the paper.

In foreign countries, conservators of books, works of art, and documents in various libraries are conservation experts. They have the knowledge to preserve books or valuable objects by using a coating substance close to the textures of the objects and will not alter it. However, in Thailand, there are no experts in this field. Preservation of books and ancient documents is usually done by placing them in ziplock bags and stored in a dry and cool place. This can slow down the deterioration of the books for a while, but not for long.

The problem has sparked the interest of a Chula research team to invent an innovative "paper preservation coating solution" suitable for hot and humid weather like Thailand. The research team consists of Dr. Lunjakorn Amornkitbamrung, a C2F (Second Century Fund) postdoctoral researcher, Department of Chemistry, Faculty of Science, Associate Professor Dr. Kanet Wongravee, Department of Chemistry, Faculty of Science, and Lecturer Dr. Panita Silapavithayadilok, Department of Western Languages, Faculty of Arts.


The "Nano Coating Paper archival varnish" was awarded Good Invention Award for the year 2023 from the National Research Council (NRC), and many leading libraries in the country have already put the nano-coating paper archival varnish to real use with old books and documents.

"Nano Coating Paper Archival Varnish is not only suitable for preserving books, historical documents, old paintings, and photographs, but it's for individuals who want to preserve important documents, favorite books, paintings, and photographs to maintain their original colors for a longer time," said Dr. Lunjakorn, one of the research team members and founder of Re-Bonding Co., Ltd.

The beginning of the Nano Coating Paper Archival Varnish

"The Nano Coating Paper Archival Varnish" is an innovation that's built on my doctoral research at the University of Graz, Austria," says Dr. Lunjakorn.

"The research question at the time was to find a way to keep many of the valuable historical documents in the library intact over time using natural extracts that won't change the natural state of the paper and slow down the paper's decay for 10 years or more."

The research was very successful, so Dr. Lunjakorn thought of continuing to further develop the project when he returned to Thailand.

"With Thailand's climate, paper runs the risk of deteriorating faster than in countries with dry and cold climates, so we need to use this research to develop formulas to suit our country's climate."

The Nano Coating Paper Archival Varnish formula, suitable for hot and humid climates like Thailand, has been scientifically proven by Aging Test, confirmed Dr. Lunjakorn.

We simulated a laboratory environment at temperatures up to 80 degrees Celsius and with 75% high humidity for seven consecutive days, equivalent to 20 years in the outside air, and then examined the changes in the coated paper and found that the coated paper was less yellow, without fungi, and stronger than the uncoated paper. "

"The Nano Coating Paper Archival Varnish is a 100% organic product made with cellulose extract from plants using nanocomposite technology, making them safe for both paper materials and users," explains Dr. Lunjakorn.

"The innovative nano-coating paper archival varnish can be used for all types of cellulose-based materials such as paper, books, antique documents, artwork, textiles, woodworking, etc. The varnish will help protect and slow down the deterioration of paper, paint, ink, and other components of books for up to 15 - 20 years without changing the condition of the paper. It is waterproof, moisture-proof, UV-proof, mold-proof, dustproof, stain-resistant, and non-yellowing, as well as increasing the strength of the paper by up to 65%"

Two varnish formulas for extending the life of books and artworks

The innovative Nano Coating Paper Archival Varnish has been patented and is manufactured under the trademark SalvaStory. According to Dr. Lunjakorn, the research team has developed two formulas:

Book Preservation Formula

This book preservation formula is highly concentrated to help protect against water while reinforcing the elasticity and extending the life of the paper. It does not cause cockling, or leaving stains on the paper. The formula comes in two types of packaging:

  1. A Gallon bottle - the varnish can be poured into a container and books and be submerged in the solution right away. It's suitable for librarians and individuals who have many old and valuable books.
  2. Spray is suitable for those who want to spray large sheets of documents such as land titles large maps, or those who want to extend the life of thin books.

Art preservation formulas

The art conservation formula is a colorless, odorless, non-gloss coating paste. Water-resistant paper works with wood color, watercolor, charcoal, chalk, acrylic, and graphite pencil. Suitable for those who want to add water-resistant properties to the paper. Reduces the risk of yellowing stains. Does not change the paper and color of the art, but this formula is less concentrated than the book conservation formula.

"This art preservation formula will extend the life and maintain the original beauty and condition of the art material for an additional 10-15 years. The solution is a natural extract, so it is safe for users and does not change the original texture of the art materials. The only limitation now is that the price is still a little high because some substances are still rare and expensive," Dr. Lunjakorn summarizes the highlights of the paper archival varnish.

Revive old documents in 4 easy steps

The paper archival varnish is easy to use. "The general public can use the product on their own," Dr. Lunjakorn said while recommending how to use the product, including the book preservation varnish and artwork varnishing spray, as follows:

For book varnish, there are four steps:

  1. Pour the solution into a container.
  2. Submerge the entire book in the solution until the whole book is covered. Leave it for 5-10 minutes.
  3. Lift the book from the solution.
  4. Let the book air-dry completely. You can either close the book or keep the pages open. The solution is quick-drying within 2-3 hours.

In the case of spray coatings, there are three steps:

  1. Shake well before use.
  2. Spray the varnish thoroughly on both sides of the artworks, photographs, books, or documents you want to preserve.
  3. Air-dry. Wait for about 5 minutes to dry.

"That's all it takes to protect books and artwork from water, mold, dirt, heat, cracking, and peeling paint and ink for longer."

As for books or paper documents that are very crispy and dry, Dr. Lunjakorn further suggested that "they can be re-varnished or re-sprayed (several times) by waiting for the previous coating to dry completely and then repeating the process will increase the flexibility and strength of that paper document."

"This art preservation formula will extend the life and maintain the original beauty and condition of the art material for an additional 10-15 years. The solution is a natural extract, so it is safe for users and does not change the original texture of the art materials. The only limitation now is that the price is still a little high because some substances are still rare and expensive," Dr. Lunjakorn summarizes the highlights of the paper archival varnish.

Revive old documents in 4 easy steps

The paper archival varnish is easy to use. "The general public can use the product on their own," Dr. Lunjakorn said while recommending how to use the product, including the book preservation varnish and artwork varnishing spray, as follows:

For book varnish, there are four steps:

  1. Pour the solution into a container.
  2. Submerge the entire book in the solution until the whole book is covered. Leave it for 5-10 minutes.
  3. Lift the book from the solution.
  4. Let the book air-dry completely. You can either close the book or keep the pages open. The solution is quick-drying within 2-3 hours.

In the case of spray coatings, there are three steps:

  1. Shake well before use.
  2. Spray the varnish thoroughly on both sides of the artworks, photographs, books, or documents you want to preserve.
  3. Air-dry. Wait for about 5 minutes to dry.

"That's all it takes to protect books and artwork from water, mold, dirt, heat, cracking, and peeling paint and ink for longer."

As for books or paper documents that are very crispy and dry, Dr. Lunjakorn further suggested that "they can be re-varnished or re-sprayed (several times) by waiting for the previous coating to dry completely and then repeating the process will increase the flexibility and strength of that paper document."

"This art preservation formula will extend the life and maintain the original beauty and condition of the art material for an additional 10-15 years. The solution is a natural extract, so it is safe for users and does not change the original texture of the art materials. The only limitation now is that the price is still a little high because some substances are still rare and expensive," Dr. Lunjakorn summarizes the highlights of the paper archival varnish.

Revive old documents in 4 easy steps

The paper archival varnish is easy to use. "The general public can use the product on their own," Dr. Lunjakorn said while recommending how to use the product, including the book preservation varnish and artwork varnishing spray, as follows:

For book varnish, there are four steps:

  1. Pour the solution into a container.
  2. Submerge the entire book in the solution until the whole book is covered. Leave it for 5-10 minutes.
  3. Lift the book from the solution.
  4. Let the book air-dry completely. You can either close the book or keep the pages open. The solution is quick-drying within 2-3 hours.

In the case of spray coatings, there are three steps:

  1. Shake well before use.
  2. Spray the varnish thoroughly on both sides of the artworks, photographs, books, or documents you want to preserve.
  3. Air-dry. Wait for about 5 minutes to dry.

"That's all it takes to protect books and artwork from water, mold, dirt, heat, cracking, and peeling paint and ink for longer."

As for books or paper documents that are very crispy and dry, Dr. Lunjakorn further suggested that "they can be re-varnished or re-sprayed (several times) by waiting for the previous coating to dry completely and then repeating the process will increase the flexibility and strength of that paper document."

In the case of spray coatings, there are three steps:

  1. Shake well before use.
  2. Spray the varnish thoroughly on both sides of the artworks, photographs, books, or documents you want to preserve.
  3. Air-dry. Wait for about 5 minutes to dry.

"That's all it takes to protect books and artwork from water, mold, dirt, heat, cracking, and peeling paint and ink for longer."

As for books or paper documents that are very crispy and dry, Dr. Lunjakorn further suggested that "they can be re-varnished or re-sprayed (several times) by waiting for the previous coating to dry completely and then repeating the process will increase the flexibility and strength of that paper document."

The next step of innovation in antiquities preservation

Many leading libraries in the country, such as the Central Library and the Memorial Hall of Chulalongkorn University, the Archive of Srinakharinwirot University, the Central Library of Chiang Mai University, etc., have applied paper archival varnish to preserve their ancient documents. The results are satisfactory. In the next phase, Dr. Lunjakorn and the research team plan to develop innovations to cover other aspects of preservation as well.

"Our research team considers two approaches to the development. The first approach is to develop a coating product that effectively protects objects and can kill the mold that has already occurred. For the second approach, we would like to expand this innovation to apply to other types of antiquities, such as woodworking and stucco work. The varnish must not contain foreign substances or cause changes in the antiquities according to the rules of preservation," Dr. Lunjakorn concluded.

For more information about the nano-coating paper archival varnish SalvaStory, please visit https://www.chula.ac.th/en/highlight/204708/

"Chulalongkorn University sets the standard as a university of innovations for society and is listed in the World's Top 100 Universities for Academic Reputation, in the Quacquarelli Symonds (QS) World University Rankings 2021-2022."