Polyeco International และ Lamor Corporation จะควบรวมธุรกิจระดับโลกของทั้งสองบริษัทเพื่อจัดตั้ง Polyeco Group บริษัทผู้ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุด Polyeco Group จะส่งมอบบริการต่างๆอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งครอบคลุมถึง การตอบสนองเหตุฉุกเฉิน การฝึกอบรม การฟื้นฟู การแก้ไขและบริการจัดการขยะ ด้วยโรงงาน/สำนักงาน 20 แห่ง ใน 5 ทวีปทั่วโลก
Lamor เครือข่ายระดับโลกที่จัดตั้งขึ้นมายาวนานกว่า 30 ปี จะส่งมอบรากฐานเพื่อจัดตั้งเครือข่ายการตอบสนองในระดับภูมิภาคที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในประเทศให้สอดคล้องไปกับประสิทธิภาพการสนับสนุนระหว่างประเทศ ขณะที่ Polyeco ได้นำประสบการณ์กว่า 40 ปีจากการดำเนินงานทั่วโลกมาใช้กับพื้นที่ที่ยากลำบากที่สุด ด้วยการผสานความสามารถของ Lamor และ Polyeco นั้น Polyeco Group จะสามารถส่งมอบบริการจัดการขยะปฏิกูลและการตอบสนองเหตุฉุกเฉินด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เหนือกว่า
David Nazha ซีอีโอ Polyeco Group กล่าวว่า "การจัดตั้ง Polyeco Group ช่วยตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศที่มีต่ออุตสาหกรรม และยังถือกำเนิดขึ้นจากการตระหนักที่ว่า ผู้ให้บริการจำเป็นต้องลงทุนในบริการที่ได้รับการยกระดับ เพื่อส่งมอบโซลูชั่นที่คุ้มค่าและทันสมัยให้แก่ลูกค้าทั่วโลก บริการ HNS และ hazmat ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบริการจัดการขยะอย่างครอบคลุมและการรับมือกับการรั่วไหลของน้ำมัน จะสามารถดำเนินการได้ผ่านทางหน่วยงาน ทรัพย์สินและบุคลากรทั่วตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล อเมริกาเหนือและใต้ และยุโรป รวมทั้งการให้บริการโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจะทำให้ Polyeco Group ก้าวเป็นผู้ให้บริการการตอบสนองเหตุฉุกเฉินและบริการกำจัดขยะที่ครอบคลุมและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
Fred Larsen ซีอีโอและประธาน Lamor Corporation กล่าวว่า "บุคลากรหลักของ Lamor จะร่วมมือกับ Polyeco Group เพื่อส่งมอบความเชี่ยวชาญและการสนับสนุนให้แก่ธุรกิจการบริการระดับโลก Lamor จะเดินหน้าพัฒนาเครื่องมือจัดการการรั่วไหลของน้ำมันที่ล้ำสมัยและโซลูชั่นการตอบสนองที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวของเรา
Athanasios Polychronopoulos ประธานบริหาร Polyeco Group กล่าวว่า "Polyeco ทำงานอย่างไม่หยุดยั้งมาโดยตลอด นับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว เพื่อลงทุนและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง การควบรวมบริษัทครั้งนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเราและชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความมุ่งมั่นที่จะมอบบริการการจัดการขยะและโซลูชั่นสิ่งแวดล้อมที่ปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าทั่วโลก สำหรับหลักการดำเนินงานของเรานั้น เรายังเป็นบริษัทที่บริหารงานโดยสมาชิกในครอบครัวเหมือน Lamor ทั้งนี้ หลักการและมาตรฐานที่สนับสนุนธุรกิจของบริษัทตั้งอยู่บนคุณภาพงานและประสบการณ์หลายทศวรรษด้านการดูแลการเข้าถึงโซลูชั่นอันยืดหยุ่นที่ขับเคลื่อนโดยลูกค้า Lamor จึงสร้างเครือข่ายบริการคุณภาพที่น่าเชื่อถือและกว้างขวางและผสานเข้ากับการบริหารงานแบบครอบครัวของ Polyeco Group อันจะนำไปสู่องค์กรร่วมแห่งใหม่ในอุตสาหกรรม
ข้อมูลบริษัท:
http://www.lamor.com/wp-content/uploads/2016/04/pr_polyeco_company_profiles.pdf
http://www.polyecogroup.com
http://www.lamor.com
http://www.polyeco.gr
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
Polyeco Group
Loraini Alimantiri, โทร. +30-6948500531, l.alimantiri@polyecogroup.com
Lamor Corporation
Tristan Owens, โทร. +358-40-759-9040, tristan.owens@lamor.com
แหล่งข่าว: Lamor Corporation
Friday, April 29, 2016
Polyeco International & Lamor Merge Global Service Operations into Polyeco Group, a Fully Integrated Environmental Services Company
Polyeco International and Lamor Corporation will merge their global divisions into Polyeco Group to form the largest world-wide environmental service provider. Polyeco Group will offer a full spectrum of services including emergency response, training, recovery, remediation and waste management services across five continents with 20 operating entities.
The world-wide network Lamor has built over the last 30 years will provide the foundation to implement regional response networks that utilize in-country resources in conjunction with international support capabilities. Polyeco brings 40 years of experience in operating worldwide in some of the most difficult locations. By combining both Lamor's and Polyeco's capabilities the group will be able to offer a wide range of waste management and emergency response services backed by unparalleled expertise and experience.
David Nazha, CEO of Polyeco Group, said, "The creation of Polyeco Group is a response to the changing landscape of our industry and is born out of recognition that service providers need to invest in enhanced services to offer cost-effective and streamlined solutions to our clients worldwide. The fusion of comprehensive waste management services, oil spill response, HNS and hazmat services with facilities, assets and personnel across the Middle East, Far East, North and South America and Europe, with a flexible approach to providing solutions to our clients' requirements will make Polyeco Group the largest full-coverage emergency response and waste services provider."
Fred Larsen, CEO & President of Lamor Corporation, added, "Key Lamor personnel will join Polyeco Group to provide expertise and support global service businesses. Lamor will continue to develop cutting-edge oil spill response equipment and response solutions in-line with our long-term growth strategy.
Athanasios Polychronopoulos, the Executive Chairman of Polyeco Group, commented, "We at Polyeco have worked tirelessly, since the inception of the company nearly 40 years ago, to continually invest and adapt to market demands. This merger signifies another phase in our long history and shows our continued development and commitment to providing a large range of waste management and environmental solutions customized to our global clientele. At our core, we remain a family-owned company as is Lamor. Both businesses uphold principles and standards based on quality work and decades of experience maintaining a flexible approach to customer-driven solutions. Lamor has established a trusted and widespread network of quality services and this addition to the Polyeco Group family will result in a synergistic alliance new to the industry."
Company Profiles:
http://www.lamor.com/wp-content/uploads/2016/04/pr_polyeco_company_profiles.pdf
http://www.polyecogroup.com
http://www.lamor.com
http://www.polyeco.gr
For further information, please contact:
Polyeco Group
Loraini Alimantiri, tel. +30-6948500531, l.alimantiri@polyecogroup.com
Lamor Corporation
Tristan Owens, tel: +358-40-759-9040, tristan.owens@lamor.com
Source: Lamor Corporation
“เอ็มไพร์สเตท” เปิดให้แฟนๆโหวตเลือกแบบไฟประดับอาคารฉลองครบรอบ 85 ปี
แฟนๆสามารถโหวตได้ทางโซเชียลมีเดียของตึกเอ็มไพร์สเตท
ตึกเอ็มไพร์สเตทเปิดให้แฟนๆทางโซเชียลมีเดียได้โหวตเลือกแบบไฟประดับอาคาร เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 85 ปีในวันที่ 1 พฤษภาคม ไฟประดับตึกเอ็มไพร์สเตทถือเป็นแลนด์มาร์คประดับขอบฟ้าของมหานครนิวยอร์กมาเนิ่นนาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนทั่วไปจะได้มีส่วนร่วมในการเลือกรูปแบบไฟประดับอาคารที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งนี้
ในวันที่ 28 เมษายน ไฟประดับทั้ง 5 แบบอันเป็นผลงานของนักออกแบบแสงไฟชื่อดังระดับโลกอย่างมาร์ก บริคแมน จะเผยโฉมทางโซเชียลมีเดียของตึกเอ็มไพร์สเตท โดยแฟนๆสามารถโหวตเลือกไฟประดับแบบที่ชอบผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เวยป๋อ และวีแชท ได้จนถึงเวลา 16.00 น.ของวันที่ 30 เมษายนตามเวลา EST สำหรับรูปแบบไฟประดับที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจะเปิดให้ได้ชมพร้อมกันที่ตึกเอ็มไพร์สเตทในช่วงค่ำของวันที่ 1 พฤษภาคม
ไฟประดับทั้ง 5 แบบที่มีให้เลือกประกอบด้วย
- แบบมีชีวิตชีวา ได้แรงบันดาลใจมาจากพลุและดอกไม้ไฟ
- แบบหลากสีสดใส
- แบบแสงสีขาววูบวาบเหมือนเปลวเทียน
- แบบแสงสีแดงตัดกับแถบริบบิ้นสีขาว
- แบบแสงสีขาวระยิบระยับ
นอกจากนี้ ทางตึกเอ็มไพร์สเตทยังจัดกิจกรรมพิเศษผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยจะนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตท รูปภาพในอดีต คำถามสนุกๆ รวมถึงกิจกรรมตกแต่งอาคารแบบอินเตอร์แอคทีฟ ตลอดช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองในเดือนพฤษภาคม เพื่อให้แฟนๆได้มีส่วนร่วมในการฉลองครบรอบ 85 ปีของอาคาร ขณะเดียวกันผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยการใช้แฮชแท็ก #ESBday และติดแท็ก ESB ในทุกๆโพสต์บนเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เวยป๋อ และวีแชท
"เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เฉลิมฉลองร่วมกับแฟนๆทั่วโลก และเราขอเชิญชวนทุกๆคนมาร่วมสนุกด้วยกัน" แอนโทนี อี มัลกิน ประธานและซีอีโอของเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ (NYSE: ESRT) กล่าว "อาคารอายุ 85 ปีแห่งนี้เป็นที่รักของคนทั่วโลก และเราอยากเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมฉลองไปด้วยกัน การปรับปรุงอาคารให้เข้ากับยุคศตวรรษที่ 21 ทำให้ตึกเอ็มไพร์สเตทไม่ใช่แค่แลนด์มาร์คประดับขอบฟ้าของมหานครนิวยอร์กเท่านั้น แต่ยังเป็นอาคารที่มีความสำคัญมากกว่าที่เคย เพราะมีความแข็งแกร่ง มีการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียิ่งกว่าอาคารใหม่ๆหลายแห่ง"
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตท และซื้อบัตรเพื่อขึ้นชมวิวด้านบนได้ที่ www.empirestatebuilding.com
เกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตท
ตึกเอ็มไพร์สเตทมีความสูง 1,454 ฟุต (จากฐานถึงเสาอากาศ) เหนือย่านมิดทาวน์แมนฮัตตัน อาคารแห่งนี้เป็นของบริษัทเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ และเป็น "อาคารสำนักงานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" ด้วยการลงทุนใหม่ๆในเรื่องการประหยัดพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่สาธารณะ และภูมิทัศน์ ตึกเอ็มไพร์สเตทจึงสามารถดึงดูดผู้เช่าชั้นหนึ่งจากหลากหลายวงการทั่วโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยีการแพร่ภาพและกระจายเสียงที่แข็งแกร่งของตึกเอ็มไพร์สเตทยังสามารถรองรับสถานีโทรทัศน์และวิทยุสำคัญๆในมหานครนิวยอร์ก ตึกเอ็มไพร์สเตทได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาคารยอดนิยมของสหรัฐอเมริกาโดยสถาบันสถาปัตยกรรมแห่งอเมริกา ส่วนหอชมวิวของตึกเอ็มไพร์สเตทก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้ชื่นชอบมากที่สุดในโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของภูมิภาค สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตึกเอ็มไพร์สเตท โปรดเยี่ยมชม www.empirestatebuilding.com , www.facebook.com/empirestatebuilding , @EmpireStateBldg , www.instagram.com/empirestatebldg , http://weibo.com/empirestatebuilding , www.youtube.com/esbnyc หรือ www.pinterest.com/empirestatebldg/
เกี่ยวกับเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์
เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ (NYSE: ESRT) คือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ โดยเป็นผู้ครอบครอง บริหารจัดการ ดำเนินงาน เข้าซื้อ และรีโพสิชั่นอาคารสำนักงานและห้างค้าปลีกบนเกาะแมนฮัตตันรวมถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่งรวมไปถึงตึกเอ็มไพร์สเตท อาคารสำนักงานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก และนับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 บริษัทมีสำนักงานและอาคารค้าปลีกให้เช่าเป็นพื้นที่รวมกัน 10.1 ล้านตารางฟุต ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ให้เช่า 9.3 ล้านตารางฟุตในอาคารสำนักงาน 14 แห่ง แบ่งเป็นบนเกาะแมนฮัตตัน 9 แห่ง ในเขตแฟร์ฟิลด์ รัฐคอนเนตทิคัต 3 แห่ง และในเขตเวสต์เชสเตอร์ รัฐนิวยอร์กอีก 2 แห่ง นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าอีกประมาณ 723,000 ตารางฟุต
ข้อความคาดการณ์อนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วย "ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคต" ซึ่งอาจจำแนกได้ด้วยการใช้คำว่า "เชื่อ" "คาด" "อาจ" "จะ" "ควร" "แสวงหา" "ประมาณ" "ตั้งใจ" "วางแผน" "เสนอ" "คาดคะเน" "พิจารณา" "มุ่งหมาย" "เดินหน้า" "น่าจะ" หรือ "คาดหวัง" หรือคำและวลีอื่นๆที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน ปัจจัยต่อไปนี้ และอื่นๆ อาจจะทำให้ผลลัพธ์จริงและเหตุการณ์ในอนาคตมีความแตกต่างไปจากที่ได้ระบุไว้ในข้อความคาดการณ์ ปัจจัยเหล่านี้รวมอยู่ใน (i) รายงานประจำปีของบริษัทบนแบบฟอร์ม Form 10-K สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 รวมถึงปัจจัยที่อยู่ภายใต้หัวข้อ "Risk Factors" "Management's Discussion and Analysis of Financial Condition and Results of Operations" "Business" และ "Properties" และ (ii) ในรายงานต่างๆในอนาคต ซึ่งบริษัทต้องยื่นตามกฎหมาย Securities and Exchange Act of 1934 ที่มีการปรับปรุงแก้ไข แม้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคตจะสะท้อนถึงความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจของบริษัท แต่ข้อความดังกล่าวไม่สามารถรับประกันผลการดำเนินงานในอนาคตได้ บริษัทไม่มีภาระผูกพันในการเผยแพร่ข้อความคาดการณ์ที่ได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไขเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสมมติฐานหรือปัจจัยพื้นฐาน, ข้อมูล สถิติ หรือระเบียบวิธีใหม่ๆ, เหตุการณ์ในอนาคตหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ หลังจากวันที่จัดทำข่าวประชาสัมพันธ์นี้ เว้นแต่เป็นไปตามบังคับของกฎหมาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้และอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ ผลการดำเนินงาน หรือการทำธุรกรรมของบริษัทในอนาคต ได้ที่หัวข้อ "Risk Factors" ในรายงานประจำปีของบริษัทบน Form 10-K สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 รวมทั้งความเสี่ยงอื่นๆที่อธิบายอยู่ในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ผู้ลงทุนที่มีความสนใจไม่ควรยึดถือข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคตมากเกินควร เนื่องจากเป็นการคาดการณ์โดยอ้างอิงข้อมูลที่ทางบริษัทมีอยู่ ณ ปัจจุบันเท่านั้น (หรือเป็นข้อมูลที่ได้จากบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้จัดทำข้อความคาดการณ์)
Empire State Building Lets Fans Choose 85th Birthday Suit
Celebratory Lighting to be Chosen by Social Media Fan Vote
The Empire State Building will give social media fans the choice of its tower lights for its 85th anniversary on May 1. The World's Most Famous Building's lights are the iconic focus of the New York City skyline and this is the only time in history that the public has been given a voice in its lighting scheme.
On April 28, five lighting schemes, designed by world-famous lighting designer Marc Brickman, will be featured on ESB's social media platforms. Fans will have until 4 P.M. EST on April 30 to vote via Facebook, Twitter, Instagram, Weibo and WeChat. The winning colors will be revealed at sundown on May 1, when the tower lights are illuminated.
Fans will have the option of choosing from the below lighting schemes which celebrate the birthday theme:
- Dynamic, fireworks-inspired lighting
- Confetti flourishes of color
- Signature white lights with a flickering candle
- Red with white ribbon stripes
- Sparkling signature white lights
As an extra treat, ESB will share interesting facts about the building, historical photos, quizzes, and an interactive "decorate the building" activity on social media throughout its anniversary month of May to engage followers in the celebration of the fact the Building is 85 years young. Users can engage in the festivities by using the hashtag #ESBday and tagging ESB in all posts on Facebook, Twitter, Instagram, Weibo and WeChat.
"We are excited to celebrate this milestone with the worldwide fans of the building, and we encourage everyone to join in the fun," says Anthony E. Malkin, Chairman and CEO of the building's owner, Empire State Realty Trust (NYSE: ESRT). "At 85 years young, the building is loved around the world and we wanted to invite everyone to join the celebration. Completely upgraded for the 21st Century, the only urban campus within a building, the Empire State Building is more than just the center of the New York City skyline. She is more vital than ever and more competitive, energy efficient, and technologically advanced than virtually any brand new building."
To learn more about ESB and to purchase tickets to our world-famous Observatories, please visit www.empirestatebuilding.com .
About the Empire State Building
Soaring 1,454 feet above Midtown Manhattan (from base to antenna), the Empire State Building, owned by Empire State Realty Trust, Inc., is the "World's Most Famous Building." With new investments in energy efficiency, infrastructure, public areas and amenities, the Empire State Building has attracted first-rate tenants in a diverse array of industries from around the world. The skyscraper's robust broadcasting technology supports all major television and FM radio stations in the New York metropolitan market. The Empire State Building was named America's favorite building in a poll conducted by the American Institute of Architects, and the Empire State Building Observatory is one of the world's most beloved attractions as the region's #1 tourist destination. For more information on the Empire State Building, please visit www.empirestatebuilding.com , www.facebook.com/empirestatebuilding , @EmpireStateBldg, www.instagram.com/empirestatebldg , http://weibo.com/empirestatebuilding , www.youtube.com/esbnyc or www.pinterest.com/empirestatebldg/ .
About Empire State Realty Trust
Empire State Realty Trust, Inc. (NYSE: ESRT), a leading real estate investment trust (REIT), owns, manages, operates, acquires and repositions office and retail properties in Manhattan and the greater New York metropolitan area, including the Empire State Building, the world's most famous building. Headquartered in New York, New York, the Company's office and retail portfolio covers 10.1 million rentable square feet, as of December 31, 2015, consisting of 9.3 million rentable square feet in 14 office properties, including nine in Manhattan, three in Fairfield County, Connecticut and two in Westchester County, New York; and approximately 723,000 rentable square feet in the retail portfolio.
Forward-Looking Statements
This press release includes "forward looking statements". Forward-looking statements may be identified by the use of words such as "believes," "expects," "may," "will," "should," "seeks," "approximately," "intends," "plans," "pro forma," "estimates," "contemplates," "aims," "continues," "would" or "anticipates" or the negative of these words and phrases or similar words or phrases. The following factors, among others, could cause actual results and future events to differ materially from those set forth or contemplated in the forward-looking statements: the factors included in (i) the Company's Annual Report on Form 10-K for the year ended December 31, 2014, including those set forth under the headings "Risk Factors," "Management's Discussion and Analysis of Financial Condition and Results of Operations," "Business," and "Properties" and (ii) in future periodic reports filed by the Company under the Securities and Exchange Act of 1934, as amended. While forward-looking statements reflect the Company's good faith beliefs, they are not guarantees of future performance. The Company disclaims any obligation to publicly update or revise any forward-looking statement to reflect changes in underlying assumptions or factors, or new information, data or methods, future events or other changes after the date of this press release, except as required by applicable law. For a further discussion of these and other factors that could impact the Company's future results, performance or transactions, see the section entitled "Risk Factors" in the Annual Report on Form 10-K for the year ended December 31, 2014 and other risks described in documents subsequently filed by the Company from time to time with the Securities and Exchange Commission. Prospective investors should not place undue reliance on any forward-looking statements, which are based only on information currently available to the Company (or to third parties making the forward-looking statements).
Risen จับมือ Chemtech Solar รุกขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในแอฟริกา
Risen Energy Co., Ltd ผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงระดับเทียร์ 1 ได้ทำการส่งมอบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 11 เมกะวัตต์ให้แก่บริษัท Chemtech Solar จากคำสั่งซื้อทั้งสิ้น 22 เมกะวัตต์ สำหรับนำไปใช้กับโครงการในสาธารณรัฐเซเนกัลในแอฟริกาตะวันตก
Risen ได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Chemtech Solar จากอิตาลีมานานกว่า 8 ปีแล้ว และบรรลุผลสำเร็จในโครงการต่างๆมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับคำสั่งซื้อเซลล์แสงอาทิตย์ล็อตล่าสุด 22 เมกะวัตต์นั้น Risen ได้แบ่งการส่งมอบออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งละเท่าๆกัน โดยการส่งมอบครั้งแรกเป็นไปตามที่ระบุข้างต้น ส่วนการส่งมอบครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 3 นับว่าทั้งสองบริษัทต่างได้ขยายธุรกิจของตนเองให้มีความครอบคลุมตลาดใหม่ๆมากขึ้น
ดังคำกล่าวที่ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" Mr. Piergiorgio Balicco หุ้นส่วนผู้จัดการของ Chemtech ได้แสดงความเห็นว่า "Risen ช่วยให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เราจึงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ และกลับไปใช้บริการจาก Risen ตลอดหลายปีมานี้ Risen สนับสนุนวิสัยทัศน์ของเราด้วยตัวแปรที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งมอบที่ซื่อตรงและเชื่อถือได้ เราจึงสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกทวีปทั่วโลก"
Chemtech เป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP) และบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บริษัทจึงมีศักยภาพในการประเมินห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์ Ms. Junshu Zeng หุ้นส่วนผู้จัดการอีกท่านหนึ่งของ Chemtech กล่าวว่า "ประวัติการร่วมมือกับ Risen ได้มีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ความสำเร็จมากมายของเราเป็นผลพวงมาจากการเป็นพันธมิตรกับ Risen สำหรับการส่งมอบครั้งล่าสุดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการขนาดใหญ่ที่เราร่วมมือกับ Risen เพื่อขยายธุรกิจในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีเป้าหมายร่วมกันอย่างโปร่งใส รวมถึงความเข้าใจในปัจจัยทางธุรกิจอย่างแท้จริง อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทของเรา ลูกค้าของเรา และผู้ใช้"
Mr. Bypina Veerraju Chaudary ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาดของ Risen Energy กล่าวว่า "ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างและรักษาไว้ให้ดี ส่วน Chemtech ก็มีความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของตนเอง เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของ Chemtech Solar และเชื่อมั่นว่าเราสามารถจับมือกันเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป"
ความร่วมมือระหว่าง Risen และ Chemtech ยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองบริษัทและลูกค้าของบริษัท การทุ่มเทเวลาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือ ทั้งยังทำผลงานได้สูงกว่าความคาดหวังของลูกค้า นี่จึงเป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับ Risen
Risen Energy คือผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงและผู้ให้บริการโซลูชั่นธุรกิจการผลิตไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับเทียร์ 1 และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ก่อนที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2553 และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าทั่วโลก นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพได้ทำให้โซลูชั่นเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัททรงพลังและคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทมีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในภูมิภาคและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราจึงสามารถสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับเหล่าพันธมิตรเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และสามารถคว้าประโยชน์สูงสุดจากพลังงานสีเขียวที่กำลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกี่ยวกับ Chemtech Solar
Chemtech Solar เป็นธุรกิจในเครือ Chemtech Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2537 และดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP), บริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) และกลุ่มลงทุนระดับโลก โดยส่วนใหญ่จะรุกตลาดพลังงานแสงอาทิตย์เกิดใหม่ในแอฟริกา และยังมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรปด้วย
Risen ได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Chemtech Solar จากอิตาลีมานานกว่า 8 ปีแล้ว และบรรลุผลสำเร็จในโครงการต่างๆมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับคำสั่งซื้อเซลล์แสงอาทิตย์ล็อตล่าสุด 22 เมกะวัตต์นั้น Risen ได้แบ่งการส่งมอบออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งละเท่าๆกัน โดยการส่งมอบครั้งแรกเป็นไปตามที่ระบุข้างต้น ส่วนการส่งมอบครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 3 นับว่าทั้งสองบริษัทต่างได้ขยายธุรกิจของตนเองให้มีความครอบคลุมตลาดใหม่ๆมากขึ้น
ดังคำกล่าวที่ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" Mr. Piergiorgio Balicco หุ้นส่วนผู้จัดการของ Chemtech ได้แสดงความเห็นว่า "Risen ช่วยให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เราจึงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ และกลับไปใช้บริการจาก Risen ตลอดหลายปีมานี้ Risen สนับสนุนวิสัยทัศน์ของเราด้วยตัวแปรที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งมอบที่ซื่อตรงและเชื่อถือได้ เราจึงสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกทวีปทั่วโลก"
Chemtech เป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP) และบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บริษัทจึงมีศักยภาพในการประเมินห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์ Ms. Junshu Zeng หุ้นส่วนผู้จัดการอีกท่านหนึ่งของ Chemtech กล่าวว่า "ประวัติการร่วมมือกับ Risen ได้มีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ความสำเร็จมากมายของเราเป็นผลพวงมาจากการเป็นพันธมิตรกับ Risen สำหรับการส่งมอบครั้งล่าสุดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการขนาดใหญ่ที่เราร่วมมือกับ Risen เพื่อขยายธุรกิจในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีเป้าหมายร่วมกันอย่างโปร่งใส รวมถึงความเข้าใจในปัจจัยทางธุรกิจอย่างแท้จริง อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทของเรา ลูกค้าของเรา และผู้ใช้"
Mr. Bypina Veerraju Chaudary ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาดของ Risen Energy กล่าวว่า "ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างและรักษาไว้ให้ดี ส่วน Chemtech ก็มีความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของตนเอง เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของ Chemtech Solar และเชื่อมั่นว่าเราสามารถจับมือกันเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป"
ความร่วมมือระหว่าง Risen และ Chemtech ยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองบริษัทและลูกค้าของบริษัท การทุ่มเทเวลาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือ ทั้งยังทำผลงานได้สูงกว่าความคาดหวังของลูกค้า นี่จึงเป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับ Risen
Risen Energy คือผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงและผู้ให้บริการโซลูชั่นธุรกิจการผลิตไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับเทียร์ 1 และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ก่อนที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2553 และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าทั่วโลก นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพได้ทำให้โซลูชั่นเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัททรงพลังและคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทมีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในภูมิภาคและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราจึงสามารถสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับเหล่าพันธมิตรเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และสามารถคว้าประโยชน์สูงสุดจากพลังงานสีเขียวที่กำลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกี่ยวกับ Chemtech Solar
Chemtech Solar เป็นธุรกิจในเครือ Chemtech Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2537 และดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP), บริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) และกลุ่มลงทุนระดับโลก โดยส่วนใหญ่จะรุกตลาดพลังงานแสงอาทิตย์เกิดใหม่ในแอฟริกา และยังมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรปด้วย
4 ทวีปทั่วโลกร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ
บริษัท ก๊าซพรอม (Gazprom) นำเยาวชนจากประเทศต่างๆ ร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ (International Day of Football and Friendship) ในโครงการ Football for Friendship (F4F) ฤดูกาลที่ 4
โดยในวันที่ 25 เม.ษ.นี้จะถูกประกาศให้เป็นวันหยุดในประเทศที่มีผู้เข้าร่วมโครงการ F4F ซึ่งได้แก่ 32 ประเทศในแอฟริกา เอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้ เพื่อร่วมฉลอง
ในวันนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬาและและกิจกรรมสำหรับสื่อต่างๆ ในฐานะยุวทูตที่เข้าร่วมโครงการจะได้แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างเพื่อนๆและคนรู้จักภายใต้คุณค่าที่โครงการให้ความสำคัญได้แก่ มิตรภาพ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม สุขภาพ สันติภาพ การทุ่มเท ชัยชนะ ประเพณี และเกียรติยศ
กิจกรรมทั้งหมดที่จัดขึ้นในวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติจะเริ่มด้วยการแลกสายรัดข้อมือ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ผู้เข้าร่วมโครงการที่สวมใส่เท่านั้นแต่ยังรวมถึงศิลปินดาราดังที่ให้การสนับสนุนโครงการในประเทศต่างๆด้วย ในปีนี้นักกีฬาอย่าง หลุยส์ เฟอร์นานเดซ , มาริโอ โกเมซ, มาร์ติน ปาแลโม รวมถึงนักกีฬาและบุคคลที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆจากหลายประเทศที่ได้ให้การสนับสนุนโครงการร่วมกับผู้สนับสนุนในปีที่แล้วเช่น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ดิค แอดโวแคท, หลุยส์ เนโต, อนาโตลี ติโมชุค, จูเลียน แดรกซ์เลอร์ ด้วย
งานที่จัดขึ้นใน 4 ทวีปประกอบไปด้วยการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร การจัดทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล การฝึกฝนฟุตบอลกับนักกีฬาชื่อดัง วันหยุดประจำเมือง งานประชาสัมพันธ์และรายการพิเศษทางโทรทัศน์ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการและร่วมการเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพสากลจากทั่วโลกคาดว่ามากถึงกว่า 90,000 คน
ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของโครงการได้เดินทางมายังกรุงมอสโกเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ และได้พบกับทีมฟุตบอลเด็กของสโมสร FC Zenit ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศรัสเซีบไปร่วมประชุมและแข่งขันในรายการ Fourth International Children's F4F Forum and Tournament ที่มิลานในเดือนพ.ค.นี้ นอกจากนี้ เบคเคนบาวเออร์ ยังได้พูดคุยกับตัวแทนสื่อมวลชนและเป็นแขกในรายการโทรทัศน์ของรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ
"วันนี้เป็นวันที่รวมผู้คนมาอยู่ด้วยกันโดยไม่เกี่ยงเรื่องอายุ เพศ เชื้อชาติ และสภาพร่างกาย ทุกคนสามารถร่วมเฉลิมฉลองและเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันฟุตบอลได้ ในวันนี้เราจะเห็นทั้งศิลปินและนักข่าว เด็กและผู้ใหญ่ เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย นักกีฬาและผู้ที่มีต้องการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทุกคนต่างมายืนอยู่ในสนามเดียวกัน ชอบและทำในสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่โครงการนี้กำลังผลักดัน" ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ กล่าว
ที่มา: ศูนย์สื่อมวลชน โครงการ International Children's Social FOOTBALL FOR FRIENDSHIP
โดยในวันที่ 25 เม.ษ.นี้จะถูกประกาศให้เป็นวันหยุดในประเทศที่มีผู้เข้าร่วมโครงการ F4F ซึ่งได้แก่ 32 ประเทศในแอฟริกา เอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้ เพื่อร่วมฉลอง
ในวันนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬาและและกิจกรรมสำหรับสื่อต่างๆ ในฐานะยุวทูตที่เข้าร่วมโครงการจะได้แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างเพื่อนๆและคนรู้จักภายใต้คุณค่าที่โครงการให้ความสำคัญได้แก่ มิตรภาพ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม สุขภาพ สันติภาพ การทุ่มเท ชัยชนะ ประเพณี และเกียรติยศ
กิจกรรมทั้งหมดที่จัดขึ้นในวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติจะเริ่มด้วยการแลกสายรัดข้อมือ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ผู้เข้าร่วมโครงการที่สวมใส่เท่านั้นแต่ยังรวมถึงศิลปินดาราดังที่ให้การสนับสนุนโครงการในประเทศต่างๆด้วย ในปีนี้นักกีฬาอย่าง หลุยส์ เฟอร์นานเดซ , มาริโอ โกเมซ, มาร์ติน ปาแลโม รวมถึงนักกีฬาและบุคคลที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆจากหลายประเทศที่ได้ให้การสนับสนุนโครงการร่วมกับผู้สนับสนุนในปีที่แล้วเช่น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ดิค แอดโวแคท, หลุยส์ เนโต, อนาโตลี ติโมชุค, จูเลียน แดรกซ์เลอร์ ด้วย
งานที่จัดขึ้นใน 4 ทวีปประกอบไปด้วยการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร การจัดทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล การฝึกฝนฟุตบอลกับนักกีฬาชื่อดัง วันหยุดประจำเมือง งานประชาสัมพันธ์และรายการพิเศษทางโทรทัศน์ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการและร่วมการเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพสากลจากทั่วโลกคาดว่ามากถึงกว่า 90,000 คน
ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของโครงการได้เดินทางมายังกรุงมอสโกเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ และได้พบกับทีมฟุตบอลเด็กของสโมสร FC Zenit ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศรัสเซีบไปร่วมประชุมและแข่งขันในรายการ Fourth International Children's F4F Forum and Tournament ที่มิลานในเดือนพ.ค.นี้ นอกจากนี้ เบคเคนบาวเออร์ ยังได้พูดคุยกับตัวแทนสื่อมวลชนและเป็นแขกในรายการโทรทัศน์ของรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับวันแห่งฟุตบอลและมิตรภาพนานาชาติ
"วันนี้เป็นวันที่รวมผู้คนมาอยู่ด้วยกันโดยไม่เกี่ยงเรื่องอายุ เพศ เชื้อชาติ และสภาพร่างกาย ทุกคนสามารถร่วมเฉลิมฉลองและเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันฟุตบอลได้ ในวันนี้เราจะเห็นทั้งศิลปินและนักข่าว เด็กและผู้ใหญ่ เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย นักกีฬาและผู้ที่มีต้องการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทุกคนต่างมายืนอยู่ในสนามเดียวกัน ชอบและทำในสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่โครงการนี้กำลังผลักดัน" ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ กล่าว
ที่มา: ศูนย์สื่อมวลชน โครงการ International Children's Social FOOTBALL FOR FRIENDSHIP
Four Parts of the World are Celebrating Day of Football and Friendship
Participants of the fourth season of the International Children's FOOTBALL FOR FRIENDSHIP programme, implemented by Gazprom company, have celebrated the International Day of Football and Friendship.
The holiday is being held on the 25th of April in all countries participating in the F4F programme. This year it is celebrated in 32 countries in Africa, Asia, Europe and South America.
On this Day young football players, participants of the F4F programme, take part in various sport and media events. As young ambassadors they promote among their peers and acquaintances key programme values: friendship, equality, fairness, health, peace, devotion, victory, traditions and honour.
All the events of the International Day of Football and Friendship start with the exchange of Friendship bracelets, which are worn not only by F4F programme participants, but also celebrities, supporting the programme in different countries. This year Luis Fernandez, Mario Gomez, Martin Palermo and other famous sportsmen and cultural figures in different countries have joined Didier Drogba, Dick Advocaat, Luis Neto, Anatoly Tymoshchuk, Julian Draxler and many others, who supported the programme during last years.
In four parts of the world friendly matches, football tournaments, open trainings with star footballers, city holidays, media events and TV shows were held. In total over 90 000 persons all over the world were involved in the International Day of Football and Friendship initiatives.
The Global ambassador of the F4F programme, the legendary Franz Beckenbauer, has specially come to Moscow to participate in the Day of Football and Friendship events. The world star has met with the FC Zenit children's team, which will represent Russia this May in Milan at the Fourth International Children's F4F Forum and Tournament. Besides, Mr. Beckenbauer has met representatives of the programme' media partners and participated in a special TV project on Russian national TV, dedicated to the International Day of Football and Friendship.
"This day is uniting people irrespective of age, gender, nationality and physical health. Anybody who wish, may join celebration and football game. On this day we see on the field musicians and journalists, children and adults, boys and girls, sportsmen and people with special needs sharing the same field and same values, which FOOTBALL FOR FRIENDSHIP programme is promoting", said Franz Beckenbauer.
Source: International Children's Social FOOTBALL FOR FRIENDSHIP programme press center
The holiday is being held on the 25th of April in all countries participating in the F4F programme. This year it is celebrated in 32 countries in Africa, Asia, Europe and South America.
On this Day young football players, participants of the F4F programme, take part in various sport and media events. As young ambassadors they promote among their peers and acquaintances key programme values: friendship, equality, fairness, health, peace, devotion, victory, traditions and honour.
All the events of the International Day of Football and Friendship start with the exchange of Friendship bracelets, which are worn not only by F4F programme participants, but also celebrities, supporting the programme in different countries. This year Luis Fernandez, Mario Gomez, Martin Palermo and other famous sportsmen and cultural figures in different countries have joined Didier Drogba, Dick Advocaat, Luis Neto, Anatoly Tymoshchuk, Julian Draxler and many others, who supported the programme during last years.
In four parts of the world friendly matches, football tournaments, open trainings with star footballers, city holidays, media events and TV shows were held. In total over 90 000 persons all over the world were involved in the International Day of Football and Friendship initiatives.
The Global ambassador of the F4F programme, the legendary Franz Beckenbauer, has specially come to Moscow to participate in the Day of Football and Friendship events. The world star has met with the FC Zenit children's team, which will represent Russia this May in Milan at the Fourth International Children's F4F Forum and Tournament. Besides, Mr. Beckenbauer has met representatives of the programme' media partners and participated in a special TV project on Russian national TV, dedicated to the International Day of Football and Friendship.
"This day is uniting people irrespective of age, gender, nationality and physical health. Anybody who wish, may join celebration and football game. On this day we see on the field musicians and journalists, children and adults, boys and girls, sportsmen and people with special needs sharing the same field and same values, which FOOTBALL FOR FRIENDSHIP programme is promoting", said Franz Beckenbauer.
Source: International Children's Social FOOTBALL FOR FRIENDSHIP programme press center
Risen จับมือ Chemtech Solar รุกขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในแอฟริกา
Risen Energy Co., Ltd ผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงระดับเทียร์ 1 ได้ทำการส่งมอบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 11 เมกะวัตต์ให้แก่บริษัท Chemtech Solar จากคำสั่งซื้อทั้งสิ้น 22 เมกะวัตต์ สำหรับนำไปใช้กับโครงการในสาธารณรัฐเซเนกัลในแอฟริกาตะวันตก
Risen ได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Chemtech Solar จากอิตาลีมานานกว่า 8 ปีแล้ว และบรรลุผลสำเร็จในโครงการต่างๆมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับคำสั่งซื้อเซลล์แสงอาทิตย์ล็อตล่าสุด 22 เมกะวัตต์นั้น Risen ได้แบ่งการส่งมอบออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งละเท่าๆกัน โดยการส่งมอบครั้งแรกเป็นไปตามที่ระบุข้างต้น ส่วนการส่งมอบครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 3 นับว่าทั้งสองบริษัทต่างได้ขยายธุรกิจของตนเองให้มีความครอบคลุมตลาดใหม่ๆมากขึ้น
ดังคำกล่าวที่ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" Mr. Piergiorgio Balicco หุ้นส่วนผู้จัดการของ Chemtech ได้แสดงความเห็นว่า "Risen ช่วยให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เราจึงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ และกลับไปใช้บริการจาก Risen ตลอดหลายปีมานี้ Risen สนับสนุนวิสัยทัศน์ของเราด้วยตัวแปรที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งมอบที่ซื่อตรงและเชื่อถือได้ เราจึงสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกทวีปทั่วโลก"
Chemtech เป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP) และบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บริษัทจึงมีศักยภาพในการประเมินห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์ Ms. Junshu Zeng หุ้นส่วนผู้จัดการอีกท่านหนึ่งของ Chemtech กล่าวว่า "ประวัติการร่วมมือกับ Risen ได้มีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ความสำเร็จมากมายของเราเป็นผลพวงมาจากการเป็นพันธมิตรกับ Risen สำหรับการส่งมอบครั้งล่าสุดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการขนาดใหญ่ที่เราร่วมมือกับ Risen เพื่อขยายธุรกิจในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีเป้าหมายร่วมกันอย่างโปร่งใส รวมถึงความเข้าใจในปัจจัยทางธุรกิจอย่างแท้จริง อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทของเรา ลูกค้าของเรา และผู้ใช้"
Mr. Bypina Veerraju Chaudary ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาดของ Risen Energy กล่าวว่า "ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างและรักษาไว้ให้ดี ส่วน Chemtech ก็มีความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของตนเอง เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของ Chemtech Solar และเชื่อมั่นว่าเราสามารถจับมือกันเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป"
ความร่วมมือระหว่าง Risen และ Chemtech ยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองบริษัทและลูกค้าของบริษัท การทุ่มเทเวลาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือ ทั้งยังทำผลงานได้สูงกว่าความคาดหวังของลูกค้า นี่จึงเป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับ Risen
Risen Energy คือผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงและผู้ให้บริการโซลูชั่นธุรกิจการผลิตไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับเทียร์ 1 และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ก่อนที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2553 และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าทั่วโลก นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพได้ทำให้โซลูชั่นเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัททรงพลังและคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทมีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในภูมิภาคและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราจึงสามารถสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับเหล่าพันธมิตรเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และสามารถคว้าประโยชน์สูงสุดจากพลังงานสีเขียวที่กำลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกี่ยวกับ Chemtech Solar
Chemtech Solar เป็นธุรกิจในเครือ Chemtech Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2537 และดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP), บริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) และกลุ่มลงทุนระดับโลก โดยส่วนใหญ่จะรุกตลาดพลังงานแสงอาทิตย์เกิดใหม่ในแอฟริกา และยังมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรปด้วย
Risen ได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Chemtech Solar จากอิตาลีมานานกว่า 8 ปีแล้ว และบรรลุผลสำเร็จในโครงการต่างๆมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับคำสั่งซื้อเซลล์แสงอาทิตย์ล็อตล่าสุด 22 เมกะวัตต์นั้น Risen ได้แบ่งการส่งมอบออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งละเท่าๆกัน โดยการส่งมอบครั้งแรกเป็นไปตามที่ระบุข้างต้น ส่วนการส่งมอบครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 3 นับว่าทั้งสองบริษัทต่างได้ขยายธุรกิจของตนเองให้มีความครอบคลุมตลาดใหม่ๆมากขึ้น
ดังคำกล่าวที่ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" Mr. Piergiorgio Balicco หุ้นส่วนผู้จัดการของ Chemtech ได้แสดงความเห็นว่า "Risen ช่วยให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เราจึงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ และกลับไปใช้บริการจาก Risen ตลอดหลายปีมานี้ Risen สนับสนุนวิสัยทัศน์ของเราด้วยตัวแปรที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งมอบที่ซื่อตรงและเชื่อถือได้ เราจึงสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกทวีปทั่วโลก"
Chemtech เป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP) และบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บริษัทจึงมีศักยภาพในการประเมินห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์ Ms. Junshu Zeng หุ้นส่วนผู้จัดการอีกท่านหนึ่งของ Chemtech กล่าวว่า "ประวัติการร่วมมือกับ Risen ได้มีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ความสำเร็จมากมายของเราเป็นผลพวงมาจากการเป็นพันธมิตรกับ Risen สำหรับการส่งมอบครั้งล่าสุดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการขนาดใหญ่ที่เราร่วมมือกับ Risen เพื่อขยายธุรกิจในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีเป้าหมายร่วมกันอย่างโปร่งใส รวมถึงความเข้าใจในปัจจัยทางธุรกิจอย่างแท้จริง อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทของเรา ลูกค้าของเรา และผู้ใช้"
Mr. Bypina Veerraju Chaudary ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาดของ Risen Energy กล่าวว่า "ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างและรักษาไว้ให้ดี ส่วน Chemtech ก็มีความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของตนเอง เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของ Chemtech Solar และเชื่อมั่นว่าเราสามารถจับมือกันเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป"
ความร่วมมือระหว่าง Risen และ Chemtech ยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองบริษัทและลูกค้าของบริษัท การทุ่มเทเวลาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือ ทั้งยังทำผลงานได้สูงกว่าความคาดหวังของลูกค้า นี่จึงเป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับ Risen
Risen Energy คือผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงและผู้ให้บริการโซลูชั่นธุรกิจการผลิตไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับเทียร์ 1 และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ก่อนที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2553 และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าทั่วโลก นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพได้ทำให้โซลูชั่นเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัททรงพลังและคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทมีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในภูมิภาคและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราจึงสามารถสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับเหล่าพันธมิตรเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และสามารถคว้าประโยชน์สูงสุดจากพลังงานสีเขียวที่กำลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกี่ยวกับ Chemtech Solar
Chemtech Solar เป็นธุรกิจในเครือ Chemtech Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2537 และดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตพลังงานอิสระ (IPP), บริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (EPC) และกลุ่มลงทุนระดับโลก โดยส่วนใหญ่จะรุกตลาดพลังงานแสงอาทิตย์เกิดใหม่ในแอฟริกา และยังมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรปด้วย
GAC Motor อวดโฉม “GS8” รถเอสยูวี 7 ที่นั่งรุ่นแรกของค่าย ที่มหกรรม Beijing Auto Show
GAC Motor ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของจีน ประกาศเปิดตัว "GS8" รถเอสยูวี 7 ที่นั่งรุ่นแรกของค่าย ที่มหกรรม Beijing Auto Show ประจำปีนี้ เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ยานยนต์ตระกูล C-class ระดับพรีเมียมรุ่นนี้ ได้อวดโฉมภายในงานเคียงข้างกับ "GA8" รถซีดานสุดหรูตระกูล C-class ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และ "GM8" คอนเซปต์คาร์ i-lounge ซึ่งเปิดตัวที่มหกรรม Guangzhou Auto Show เมื่อปีที่แล้ว
GAC Motor อวดโฉม GS8 รถเอสยูวี 7 ที่นั่งรุ่นแรกของค่าย ที่มหกรรม Beijing Auto Show เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา
GS8 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Ti-POWER320T เจเนอเรชั่นสองของ GAC Motor ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ E-Turbo ความเฉื่อยต่ำ นอกจากนั้นยังมีระบบควบคุมการเผาไหม้ GCCS ที่ให้พลังเพิ่มขึ้น 22% และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 15% และมีระบบวาล์วแปรผันคู่ DCV VT
รถเอสยูวีรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ i-4WD ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบออนดีมานด์ ซึ่งผลิตโดยซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลกอย่าง Borg-Warner Automotive ผู้ขับขี่จึงสามารถเปลี่ยนเกียร์ 2WD/AUTO/4WD LOCK ได้อย่างง่ายดายผ่านคอนโซลกลาง ซึ่งช่วยในการขับขี่บนพื้นผิวขรุขระ และเพิ่มความปลอดภัยเมื่อขับรถเร็ว รวมถึงในสภาพที่มีฝนหรือหิมะตก แต่ยังคงใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั่วไป
การออกแบบทั้งภายในและภายนอกของ GS8 สะท้อนถึงปณิธานอันแรงกล้าของ GAC ที่มีต่อการผลิตยานยนต์ภายใต้แนวคิด "Brave in Exploitation" โดยนักออกแบบระดับโลกอย่าง จาง ฝาน ผู้เคยร่วมงานกับ Mercedes-Benz ได้จับมือกับทีมงานเพื่อออกแบบรถ GS8 ด้วยแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมจีนและตะวันตก เพื่อสื่อถึงความหรูหราและความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์
GS8 มีบอดี้ไลน์เป็นเส้นตรงและหน้ารถทรงสี่เหลี่ยม มาพร้อมกระจังหน้าแบบ "Flying Dynamics" เล่นแสงเงาสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของ GAC Motor รวมถึงไฟหน้าสไตล์เมทริกซ์ที่แต่ละข้างมีหลอด LED 4 หลอด และไฟท้ายทรงตัวยูที่ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น
GS8 ใช้วัสดุคุณภาพสูงสำหรับการตกแต่งภายในให้ออกมาเรียบหรูดูดี ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลกลางหรือแผงประตู โดยสองส่วนนี้เชื่อมกันด้วยแผงลายไม้และเส้นสายสีทองเมทัลลิก ภายในรถให้โทนโดยรวมเป็นสีน้ำตาลแดงผสมเบจ ซึ่งมอบบรรยากาศอบอุ่นเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย
อู่ ซ่ง ผู้จัดการทั่วไปของ GAC Motor กล่าวว่า "การเปิดตัวรถระดับไฮเอนด์ติดๆกันถึงสามรุ่น ทั้ง GA8 GM8 และ GS8 นั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาอันแข็งแกร่งของเรา เช่นเดียวกับระบบรับประกันคุณภาพในเครื่องยนต์ Ti-POWER ยุคใหม่"
การเปิดตัวยานยนต์ GS8 ที่กรุงปักกิ่ง ได้รับเกียรติจากคุณร็อด อัลเบิร์ตส์ ผู้อำนวยการของ North American International Auto Show และกรรมการบริหารของ Detroit Auto Dealers Association โดยเขากล่าวว่า "GS8 เหนือชั้นในแง่ของคุณภาพ ผมแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างรถรุ่นนี้และรถที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ผมหวังว่า GAC Motor จะได้วางจำหน่ายรถในสหรัฐเร็วๆนี้ ซึ่งผมแทบจะรอไม่ไหวเลยทีเดียว"
GAC Motor ทำธุรกิจโดยมุ่งเน้นตลาดระดับกลางและระดับไฮเอนด์ พร้อมพลิกภาพพจน์เดิมๆของแบรนด์รถจีนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพ สมรรถนะ การออกแบบ และศักยภาพในการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา GAC Motor ได้พัฒนาระบบผลิตรถยนต์ของตนเองในชื่อ GPS เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมจัดตั้งระบบซัพพลายเชนระหว่างประเทศในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขณะที่สายพานการผลิตของบริษัทสามารถผลิตรถยนต์ได้ในเวลาเพียง 57 วินาที
ส่วนกลยุทธ์ Cross Platform Modular Architecture (CPMA) ของบริษัท ก็ช่วยย่นระยะเวลาการพัฒนายานยนต์เต็มรูปแบบจากเดิม 36-48 เดือน เหลือเพียง 25-28 เดือน และอัตราการแชร์ CPMA ก็สูงเกือบ 80%
เกี่ยวกับ GAC Motor
GAC Motor เป็นบริษัทในเครือของ GAC Group ซึ่งติดอันดับ 362 จากบริษัทชั้นนำของโลก 500 แห่ง (Fortune 500) GAC Motor ทุ่มเทให้กับการพัฒนาและผลิตยานยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์ที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาส GAC Motor ติดหนึ่งใน 8 แบรนด์ชั้นนำในรายงาน China Initial Quality Study ปี 2558 ของ J.D. Power Asia Pacific ซึ่งนับได้ว่าเป็นแบรนด์จีนที่ติดอันดับสูงสุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
อีเมล: sukie_gacmotor@126.com ; liqi@gacmotor.com
เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์: GAC Motor
อินสตาแกรม: gac_motor
ดาวน์โหลดภาพได้ที่: http://pan.baidu.com/s/1hsvvpiO
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160428/0861603923
GAC Motor อวดโฉม GS8 รถเอสยูวี 7 ที่นั่งรุ่นแรกของค่าย ที่มหกรรม Beijing Auto Show เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา
GS8 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Ti-POWER320T เจเนอเรชั่นสองของ GAC Motor ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ E-Turbo ความเฉื่อยต่ำ นอกจากนั้นยังมีระบบควบคุมการเผาไหม้ GCCS ที่ให้พลังเพิ่มขึ้น 22% และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 15% และมีระบบวาล์วแปรผันคู่ DCV VT
รถเอสยูวีรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ i-4WD ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบออนดีมานด์ ซึ่งผลิตโดยซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลกอย่าง Borg-Warner Automotive ผู้ขับขี่จึงสามารถเปลี่ยนเกียร์ 2WD/AUTO/4WD LOCK ได้อย่างง่ายดายผ่านคอนโซลกลาง ซึ่งช่วยในการขับขี่บนพื้นผิวขรุขระ และเพิ่มความปลอดภัยเมื่อขับรถเร็ว รวมถึงในสภาพที่มีฝนหรือหิมะตก แต่ยังคงใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั่วไป
การออกแบบทั้งภายในและภายนอกของ GS8 สะท้อนถึงปณิธานอันแรงกล้าของ GAC ที่มีต่อการผลิตยานยนต์ภายใต้แนวคิด "Brave in Exploitation" โดยนักออกแบบระดับโลกอย่าง จาง ฝาน ผู้เคยร่วมงานกับ Mercedes-Benz ได้จับมือกับทีมงานเพื่อออกแบบรถ GS8 ด้วยแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมจีนและตะวันตก เพื่อสื่อถึงความหรูหราและความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์
GS8 มีบอดี้ไลน์เป็นเส้นตรงและหน้ารถทรงสี่เหลี่ยม มาพร้อมกระจังหน้าแบบ "Flying Dynamics" เล่นแสงเงาสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของ GAC Motor รวมถึงไฟหน้าสไตล์เมทริกซ์ที่แต่ละข้างมีหลอด LED 4 หลอด และไฟท้ายทรงตัวยูที่ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น
GS8 ใช้วัสดุคุณภาพสูงสำหรับการตกแต่งภายในให้ออกมาเรียบหรูดูดี ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลกลางหรือแผงประตู โดยสองส่วนนี้เชื่อมกันด้วยแผงลายไม้และเส้นสายสีทองเมทัลลิก ภายในรถให้โทนโดยรวมเป็นสีน้ำตาลแดงผสมเบจ ซึ่งมอบบรรยากาศอบอุ่นเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย
อู่ ซ่ง ผู้จัดการทั่วไปของ GAC Motor กล่าวว่า "การเปิดตัวรถระดับไฮเอนด์ติดๆกันถึงสามรุ่น ทั้ง GA8 GM8 และ GS8 นั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาอันแข็งแกร่งของเรา เช่นเดียวกับระบบรับประกันคุณภาพในเครื่องยนต์ Ti-POWER ยุคใหม่"
การเปิดตัวยานยนต์ GS8 ที่กรุงปักกิ่ง ได้รับเกียรติจากคุณร็อด อัลเบิร์ตส์ ผู้อำนวยการของ North American International Auto Show และกรรมการบริหารของ Detroit Auto Dealers Association โดยเขากล่าวว่า "GS8 เหนือชั้นในแง่ของคุณภาพ ผมแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างรถรุ่นนี้และรถที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ผมหวังว่า GAC Motor จะได้วางจำหน่ายรถในสหรัฐเร็วๆนี้ ซึ่งผมแทบจะรอไม่ไหวเลยทีเดียว"
GAC Motor ทำธุรกิจโดยมุ่งเน้นตลาดระดับกลางและระดับไฮเอนด์ พร้อมพลิกภาพพจน์เดิมๆของแบรนด์รถจีนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพ สมรรถนะ การออกแบบ และศักยภาพในการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา GAC Motor ได้พัฒนาระบบผลิตรถยนต์ของตนเองในชื่อ GPS เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมจัดตั้งระบบซัพพลายเชนระหว่างประเทศในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขณะที่สายพานการผลิตของบริษัทสามารถผลิตรถยนต์ได้ในเวลาเพียง 57 วินาที
ส่วนกลยุทธ์ Cross Platform Modular Architecture (CPMA) ของบริษัท ก็ช่วยย่นระยะเวลาการพัฒนายานยนต์เต็มรูปแบบจากเดิม 36-48 เดือน เหลือเพียง 25-28 เดือน และอัตราการแชร์ CPMA ก็สูงเกือบ 80%
เกี่ยวกับ GAC Motor
GAC Motor เป็นบริษัทในเครือของ GAC Group ซึ่งติดอันดับ 362 จากบริษัทชั้นนำของโลก 500 แห่ง (Fortune 500) GAC Motor ทุ่มเทให้กับการพัฒนาและผลิตยานยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์ที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาส GAC Motor ติดหนึ่งใน 8 แบรนด์ชั้นนำในรายงาน China Initial Quality Study ปี 2558 ของ J.D. Power Asia Pacific ซึ่งนับได้ว่าเป็นแบรนด์จีนที่ติดอันดับสูงสุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
อีเมล: sukie_gacmotor@126.com ; liqi@gacmotor.com
เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์: GAC Motor
อินสตาแกรม: gac_motor
ดาวน์โหลดภาพได้ที่: http://pan.baidu.com/s/1hsvvpiO
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20160428/0861603923
สายการบินชั้นนำร่วมพิธีเปิด Concourse D อย่างเป็นทางการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ
- ชีคห์ อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคตูม ทรงต้อนรับผู้แทนจากสายการบินต่างๆ สู่ Concourse D
ชีคห์ อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคตูม (His Highness Sheikh Ahmed Bin Saeed Al Maktoum) ประธานกรรมการบริษัทท่าอากาศยานดูไบ ทรงต้อนรับคณะผู้แทนจาก 60 สายการบินนานาชาติที่ให้บริการใน Concourse D ของท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ ในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทท่าอากาศยานดูไบ
ในโอกาสนี้ ชีคห์อาเหม็ดทรงปฏิสันถารกับเหล่าผู้แทนจากสายการบินต่างๆ และเสด็จเยี่ยมชมอาคารเชื่อมลานจอดเครื่องบินแห่งใหม่นี้ซึ่งครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก โดยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการมีขึ้นหลังจากที่อาคาร Concourse D ได้เริ่มเปิดให้บริการและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
"สายการบินเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ดูไบเป็นเมืองศูนย์กลางการเชื่อมต่อชั้นนำของโลก เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายการบินที่เป็นพันธมิตรของเรา ตลอดจนลูกค้า ซึ่งได้แก่ผู้โดยสารหลายแสนคนที่เดินทางผ่านสนามบินของเราทุกวัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงได้ลงทุนถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการพัฒนา Concourse D ที่ทันสมัย รวมถึงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร 1 (Terminal 1) ครั้งใหญ่" ชีคห์อาเหม็ดทรงกล่าว
"Concourse D รองรับสายการบินมากถึง 60 สายการบิน ซึ่งให้บริการ 350 เที่ยวบินต่อวัน สู่จุดหมายปลายทาง 90 แห่งทั่วโลก ด้วยเล็งเห็นถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่และหลากหลายที่ใช้บริการอาคารแห่งใหม่นี้ จึงได้มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ ร้านค้า อาหารและเครื่องดื่มนานาชนิดอย่างพิถีพิถันและสอดคล้องกับกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีรายละเอียดมาก เรายึดลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบ เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดวางพื้นที่ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสาร เช่น พื้นที่ร้านค้าและร้านอาหารนั้น สร้างสรรค์ขึ้นจากมุมมองของนักเดินทางอย่างแท้จริง"
Concourse D โดดเด่นด้วยการรวบรวมเอาแบรนด์ดังระดับโลกมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารบรรยากาศสบายๆอย่าง The Kitchen โดยเชฟคนดัง Wolfgang Puck, ร้าน Pret a Manger สาขาแรกในสนามบินตะวันออกกลาง, ร้าน Butlers Chocolate Cafe, ร้าน CNN Travellers Cafe สำหรับผู้ที่ชอบเสพข่าว และร้าน Masale: The Taste of India เป็นต้น ทั้งนี้ Concourse D มีสัมปทานร้านอาหารรวมทั้งสิ้น 21 แห่ง ยังไม่รวมแบรนด์ยอดนิยมอีกหลายแบรนด์ที่เปิดให้บริการแล้วในอาคารผู้โดยสารแห่งอื่นๆของท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ
ยิ่งไปกว่านั้น อาคารเชื่อมลานจอดเครื่องบินแห่งใหม่นี้นำเสนอบริเวณที่นั่งพักผ่อนแสนสบาย พร้อมชูแนวคิดอยู่ดีมีสุข อาทิ "Be Relax" และ "SnoozeCubes" ซึ่งมอบความสะดวกสบายในการพักผ่อนให้แก่ผู้โดยสารระหว่างรอต่อเครื่อง นอกจากนี้ Concourse D ยังมีห้องรับรองผู้โดยสารจำนวน 9 ห้อง กินพื้นที่ 6,926 ตร.ม. ประกอบไปด้วยห้องรับรองของสายการบินจำนวน 5 ห้อง, ห้องรับรอง Al Majlis จำนวน 1 ห้อง, ห้องรับรองของ Dubai International Hotel จำนวน 2 ห้อง และห้องรับรอง Marhaba VIP จำนวน 1 ห้อง
ดาวน์โหลดคลิปวิดีโอของงานได้ที่ https://game.wetransfer.com/downloads/288a48b1346a280239f264ade717443920160428091322/45c56d
ชีคห์ อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคตูม (His Highness Sheikh Ahmed Bin Saeed Al Maktoum) ประธานกรรมการบริษัทท่าอากาศยานดูไบ ทรงต้อนรับคณะผู้แทนจาก 60 สายการบินนานาชาติที่ให้บริการใน Concourse D ของท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ ในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทท่าอากาศยานดูไบ
ในโอกาสนี้ ชีคห์อาเหม็ดทรงปฏิสันถารกับเหล่าผู้แทนจากสายการบินต่างๆ และเสด็จเยี่ยมชมอาคารเชื่อมลานจอดเครื่องบินแห่งใหม่นี้ซึ่งครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก โดยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการมีขึ้นหลังจากที่อาคาร Concourse D ได้เริ่มเปิดให้บริการและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
"สายการบินเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ดูไบเป็นเมืองศูนย์กลางการเชื่อมต่อชั้นนำของโลก เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายการบินที่เป็นพันธมิตรของเรา ตลอดจนลูกค้า ซึ่งได้แก่ผู้โดยสารหลายแสนคนที่เดินทางผ่านสนามบินของเราทุกวัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงได้ลงทุนถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการพัฒนา Concourse D ที่ทันสมัย รวมถึงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร 1 (Terminal 1) ครั้งใหญ่" ชีคห์อาเหม็ดทรงกล่าว
"Concourse D รองรับสายการบินมากถึง 60 สายการบิน ซึ่งให้บริการ 350 เที่ยวบินต่อวัน สู่จุดหมายปลายทาง 90 แห่งทั่วโลก ด้วยเล็งเห็นถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่และหลากหลายที่ใช้บริการอาคารแห่งใหม่นี้ จึงได้มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ ร้านค้า อาหารและเครื่องดื่มนานาชนิดอย่างพิถีพิถันและสอดคล้องกับกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีรายละเอียดมาก เรายึดลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบ เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดวางพื้นที่ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสาร เช่น พื้นที่ร้านค้าและร้านอาหารนั้น สร้างสรรค์ขึ้นจากมุมมองของนักเดินทางอย่างแท้จริง"
Concourse D โดดเด่นด้วยการรวบรวมเอาแบรนด์ดังระดับโลกมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารบรรยากาศสบายๆอย่าง The Kitchen โดยเชฟคนดัง Wolfgang Puck, ร้าน Pret a Manger สาขาแรกในสนามบินตะวันออกกลาง, ร้าน Butlers Chocolate Cafe, ร้าน CNN Travellers Cafe สำหรับผู้ที่ชอบเสพข่าว และร้าน Masale: The Taste of India เป็นต้น ทั้งนี้ Concourse D มีสัมปทานร้านอาหารรวมทั้งสิ้น 21 แห่ง ยังไม่รวมแบรนด์ยอดนิยมอีกหลายแบรนด์ที่เปิดให้บริการแล้วในอาคารผู้โดยสารแห่งอื่นๆของท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ
ยิ่งไปกว่านั้น อาคารเชื่อมลานจอดเครื่องบินแห่งใหม่นี้นำเสนอบริเวณที่นั่งพักผ่อนแสนสบาย พร้อมชูแนวคิดอยู่ดีมีสุข อาทิ "Be Relax" และ "SnoozeCubes" ซึ่งมอบความสะดวกสบายในการพักผ่อนให้แก่ผู้โดยสารระหว่างรอต่อเครื่อง นอกจากนี้ Concourse D ยังมีห้องรับรองผู้โดยสารจำนวน 9 ห้อง กินพื้นที่ 6,926 ตร.ม. ประกอบไปด้วยห้องรับรองของสายการบินจำนวน 5 ห้อง, ห้องรับรอง Al Majlis จำนวน 1 ห้อง, ห้องรับรองของ Dubai International Hotel จำนวน 2 ห้อง และห้องรับรอง Marhaba VIP จำนวน 1 ห้อง
ดาวน์โหลดคลิปวิดีโอของงานได้ที่ https://game.wetransfer.com/downloads/288a48b1346a280239f264ade717443920160428091322/45c56d
Airlines Get a Royal Reception at DXB's Concourse D
- H.H. Sheikh Ahmed bin Saeed Al Maktoum welcomes airlines to the new Concourse D
The 60 major international airlines operating out of the new Concourse D at Dubai International were given a royal reception yesterday when His Highness Sheikh Ahmed Bin Saeed Al Maktoum, Chairman of Dubai Airports, welcomed representatives at an official opening ceremony organised by Dubai Airports.
Sheikh Ahmed interacted with airline representatives and toured the new facility as part of the event, which follows the successful opening of Concourse D on February 24 earlier this year.
"These airlines play an important role in making Dubai one of the most connected cities in the world. We highly value our airline partners and mutual customers - the hundreds of thousands of passengers that pass through our airport every day, which is why we have invested US$ 1.2 billion in the development of a state of the art Concourse D and major upgrades to Terminal 1," Sheikh Ahmed said.
He added, "As many as 60 airlines operate out of Concourse D, operating 350 flights every day to 90 destinations around the world. Considering the large and diverse customer base to which the new facility caters, the range of products, services, retail and food and beverage offerings, were chosen after careful consideration and in line with a detailed commercial strategy. We wanted to put the customer at the heart of that design and ensure that the whole passenger layout, including the design of retail and dining areas, was created from the traveller's perspective."
Concourse D features an exciting line-up of world-renowned brands being introduced for the first time - including casual dining concept The Kitchen by celebrity chef Wolfgang Puck, the first Pret a Manger in a Middle Eastern airport, as well as Butlers Chocolate Cafe. Featuring a total of 21 food concessions, Concourse D is also home to CNN Travellers Cafe for news junkies, as well as Masale: The Taste of India, in addition to scores of other popular brands already operating at DXB's other terminals.
The new concourse offers plenty of comfortable seating spaces and wellbeing concepts such as Be Relax and 'SnoozeCubes' which provide a convenient way to rest between flights. It also features a total of nine lounges spread over 6,926m[2], including five airline lounges, a new Al Majlis lounge, two Dubai International Hotel lounges and a Marhaba VIP lounge.
Click here to download b roll footage of the event.
The 60 major international airlines operating out of the new Concourse D at Dubai International were given a royal reception yesterday when His Highness Sheikh Ahmed Bin Saeed Al Maktoum, Chairman of Dubai Airports, welcomed representatives at an official opening ceremony organised by Dubai Airports.
Sheikh Ahmed interacted with airline representatives and toured the new facility as part of the event, which follows the successful opening of Concourse D on February 24 earlier this year.
"These airlines play an important role in making Dubai one of the most connected cities in the world. We highly value our airline partners and mutual customers - the hundreds of thousands of passengers that pass through our airport every day, which is why we have invested US$ 1.2 billion in the development of a state of the art Concourse D and major upgrades to Terminal 1," Sheikh Ahmed said.
He added, "As many as 60 airlines operate out of Concourse D, operating 350 flights every day to 90 destinations around the world. Considering the large and diverse customer base to which the new facility caters, the range of products, services, retail and food and beverage offerings, were chosen after careful consideration and in line with a detailed commercial strategy. We wanted to put the customer at the heart of that design and ensure that the whole passenger layout, including the design of retail and dining areas, was created from the traveller's perspective."
Concourse D features an exciting line-up of world-renowned brands being introduced for the first time - including casual dining concept The Kitchen by celebrity chef Wolfgang Puck, the first Pret a Manger in a Middle Eastern airport, as well as Butlers Chocolate Cafe. Featuring a total of 21 food concessions, Concourse D is also home to CNN Travellers Cafe for news junkies, as well as Masale: The Taste of India, in addition to scores of other popular brands already operating at DXB's other terminals.
The new concourse offers plenty of comfortable seating spaces and wellbeing concepts such as Be Relax and 'SnoozeCubes' which provide a convenient way to rest between flights. It also features a total of nine lounges spread over 6,926m[2], including five airline lounges, a new Al Majlis lounge, two Dubai International Hotel lounges and a Marhaba VIP lounge.
Click here to download b roll footage of the event.
Risen & Chemtech Solar (Italy) Alliance Pushes Deeper into Africa
Risen Energy Co., Ltd, a Tier 1 manufacturer of high-performance solar photovoltaic products, today confirmed the initial dispatch of 11MW to Chemtech Solar as a part of their recent 22MW order for The Republic of Senegal, West Africa.
Risen has had the fortune of a strategic partnership with Chemtech Solar in Italy for more than 8 years, with multiple projects being realised during this time frame. The most recent order, for 22MW of Risen's high performance solar PV modules, has deliveries split into two equal parts, the first as noted here, and the second delivery due in early Q3, sees both Companies further strengthening their geographical reach.
Many words are written about partnerships, but actions speak much louder, as Mr. Piergiorgio Balicco, Managing Partner of Chemtech posited, "Risen keeps helping us to add to our bottom line. Why change a good thing? Over the years we keep returning to Risen as they support our vision with core parameters required for sustainable growth, with their competitive honest deliverables in our portfolio, we can achieve on any continent."
Chemtech, as a successful IPP and EPC Company, is well positioned to evaluate the solar PV supply chain, and not least resultant from Ms. Junshu Zeng's participation, also a Managing Partner of Chemtech; "Our history with Risen is well documented, and it is fair to say we owe much of our success to our alliance with Risen. This more recent supply is part of a bigger program that we, together with Risen, have underway within Africa, and indeed other parts of the world. These successes result from our transparent sharing of common goals, and an understanding of the real business levers to pull to make tangible benefits to our companies, and our customers and end users."
As Mr. Bypina Veerraju Chaudary, CSMO of Risen Energy was keen to point out, "Credibility, it's about earning and keeping credibility. Chemtech's pursuit of excellence has been unswerving in all of the time we have known them, with no compromises, and a consistent strategic approach to delivering their vision. We are delighted to participate in Chemtech Solar's continued expansion and trust we can continue together to be a credible force within the industry."
The Risen-Chemtech alliance continues to satisfy both partners and their customers. For an investment of time and understanding, each has reaped the benefits of truly comprehending and surpassing their customer's expectations. This truly is a "watch this space" event in progress.
About Risen
Risen Energy is a leading, global, Tier 1, "AAA" credit rated manufacturer of high-performance solar photovoltaic products and provider of total business solutions for power generation. The Company, founded in 2002 and publicly listed in 2010, compels value generation for its chosen global customers. Techno-commercial innovation, underpinned by consummate quality and support, encircle Risen total Solar PV business solutions which are among the most powerful and cost effective in the industry. With local market presence, and strong financial bankability status, we are committed, and able, to building strategic, mutually beneficial collaborations with our partners, as together we capitalise on the rising value of green energy.
About Chemtech Solar
Chemtech Solar is the special branch of Chemtech Group, based in Bergamo Italy. Established in 1994, Chemtech operates as an IPP, EPC and investment group internationally, with major penetration into the emergent African solar market, as well as a solid foothold within Europe.
Risen has had the fortune of a strategic partnership with Chemtech Solar in Italy for more than 8 years, with multiple projects being realised during this time frame. The most recent order, for 22MW of Risen's high performance solar PV modules, has deliveries split into two equal parts, the first as noted here, and the second delivery due in early Q3, sees both Companies further strengthening their geographical reach.
Many words are written about partnerships, but actions speak much louder, as Mr. Piergiorgio Balicco, Managing Partner of Chemtech posited, "Risen keeps helping us to add to our bottom line. Why change a good thing? Over the years we keep returning to Risen as they support our vision with core parameters required for sustainable growth, with their competitive honest deliverables in our portfolio, we can achieve on any continent."
Chemtech, as a successful IPP and EPC Company, is well positioned to evaluate the solar PV supply chain, and not least resultant from Ms. Junshu Zeng's participation, also a Managing Partner of Chemtech; "Our history with Risen is well documented, and it is fair to say we owe much of our success to our alliance with Risen. This more recent supply is part of a bigger program that we, together with Risen, have underway within Africa, and indeed other parts of the world. These successes result from our transparent sharing of common goals, and an understanding of the real business levers to pull to make tangible benefits to our companies, and our customers and end users."
As Mr. Bypina Veerraju Chaudary, CSMO of Risen Energy was keen to point out, "Credibility, it's about earning and keeping credibility. Chemtech's pursuit of excellence has been unswerving in all of the time we have known them, with no compromises, and a consistent strategic approach to delivering their vision. We are delighted to participate in Chemtech Solar's continued expansion and trust we can continue together to be a credible force within the industry."
The Risen-Chemtech alliance continues to satisfy both partners and their customers. For an investment of time and understanding, each has reaped the benefits of truly comprehending and surpassing their customer's expectations. This truly is a "watch this space" event in progress.
About Risen
Risen Energy is a leading, global, Tier 1, "AAA" credit rated manufacturer of high-performance solar photovoltaic products and provider of total business solutions for power generation. The Company, founded in 2002 and publicly listed in 2010, compels value generation for its chosen global customers. Techno-commercial innovation, underpinned by consummate quality and support, encircle Risen total Solar PV business solutions which are among the most powerful and cost effective in the industry. With local market presence, and strong financial bankability status, we are committed, and able, to building strategic, mutually beneficial collaborations with our partners, as together we capitalise on the rising value of green energy.
About Chemtech Solar
Chemtech Solar is the special branch of Chemtech Group, based in Bergamo Italy. Established in 1994, Chemtech operates as an IPP, EPC and investment group internationally, with major penetration into the emergent African solar market, as well as a solid foothold within Europe.
ไมโครซอฟท์ และ ฟูไน กระชับความร่วมมือผ่านการทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ
-ต่อสัญญาฉบับใหม่ ครอบคลุมกลุ่มอุปกรณ์เสียงและวิดีโอสำหรับผู้บริโภค
บริษัทไมโครซอฟท์ และบริษัท ฟูไน อิเลคทริค จำกัด ("ฟูไน อิเลคทริค") ประกาศในวันพุธที่ผ่านมาว่า ทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิในรูปแบบ cross-licensing ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอุปกรณ์เสียงและวิดีโอสำหรับผู้บริโภค โดยการต่อสัญญาฉบับใหม่ในครั้งนี้จะกระชับความร่วมมือระหว่างสองบริษัทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
"ไมโครซอฟท์ และ ฟูไน อิเลคทริค จะยังคงได้ประโยชน์จากนวัตกรรมของแต่ละฝ่าย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า" นิค ไซโฮจีออส ประธานไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง กล่าว "การทำข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบ cross-licensing ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของข้อได้เปรียบจากการให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา โดยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ รวมทั้งยังเป็นการเร่งผลักดันการวิจัยและพัฒนาข้ามบริษัท"
โจจิ โอกาดะ เจ้าหน้าที่ด้านการอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของบริษัทฟูไน อิเลคทริค กล่าวว่า "ข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิในรูปแบบ cross-licensing จะสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือและการแบ่งปันเทคโนโลยีที่ดีขึ้น เรามองเห็นคุณค่าที่ยั่งยืนในการร่วมงานกับไมโครซอฟท์ต่อไป นั่นคือประโยชน์ที่ลูกค้าของทั้งสองบริษัทจะได้รับ"
ฟูไน อิเลคทริค เป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์ FUNAI และแบรนด์อื่น ๆ เช่น Philips, Magnavoz DX, Broadtec, Emerson, Sanyo และ Kodak
ความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ต่อการอนุญาตให้ใช้สิทธิ IP
ข้อตกลงด้านสิทธิบัตรถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ IP ในการเป็นหลักประกันว่าระบบนิเวศทางเทคโนโลยีมีความแข็งแกร่งและสดใส นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ IP licensing program ในเดือนธันวาคม 2546 ไมโครซอฟท์บรรลุข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิแล้วมากกว่า 1,200 รายการ ซึ่งเป็นการเพิ่มความร่วมมือและนวัตกรรมครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอนุญาตให้ใช้สิทธิของไมโครซอฟท์ สามารถเข้าชมได้ที่ http://www.microsoft.com/iplicensing
เกี่ยวกับบริษัท ฟูไน อิเลคทริค จำกัด
ฟูไน อิเลคทริค ก่อตั้งขึ้นในปี 2504 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Securities Exchange First Section) (6839) ในฐานะผู้ผลิตโทรทัศน์ LCD, แผ่น DVD/Blu-ray รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วง เครื่องพิมพ์ และเสาอากาศ ภายใต้แบรนด์ FUNAI และแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฟูไน อิเลคทริค มีชื่อเสียงในฐานะผู้รับจ้างผลิต (OEM) รายใหญ่ และยังเป็นผู้จัดหาสินค้ารายใหญ่อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ของ FUNAI จัดจำหน่ายโดยบริษัทย่อย ได้แก่ FUNAI CORPORATION และ P&F USA ในอเมริกาเหนือ, P&F MEXICANA ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ และบริษัทด้านการขายและการตลาดในเครือของฟูไนทั่วเอเชีย
นอกจากแบรนด์ FUNAI แล้ว กลุ่มบริษัทฟูไนยังจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์อื่น ๆ อีกหลายแบรนด์ สินค้าของ FUNAI สร้างชื่อเสียงแข็งแกร่งในตลาดโลกด้วยคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทฟูไนได้ที่ www.funai.jp/en/ และ www.funai.jp/en/guidance/history.html
เกี่ยวกับไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง
ไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง แอลแอลซี (Microsoft Technology Licensing LLC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 เพื่อเข้าซื้อ บริหารจัดการ และอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรของไมโครซอฟท์
เกี่ยวกับไมโครซอฟท์
ไมโครซอฟท์ (Nasdaq "MSFT" @microsoft) คือแพลตฟอร์มชั้นนำ และเป็นบริษัทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถการทำงานสำหรับโลกยุค mobile-first, cloud-first ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างพลังอำนาจให้ทุกคนและทุกองค์กรบนโลกใบนี้สามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
บริษัทไมโครซอฟท์ และบริษัท ฟูไน อิเลคทริค จำกัด ("ฟูไน อิเลคทริค") ประกาศในวันพุธที่ผ่านมาว่า ทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิในรูปแบบ cross-licensing ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอุปกรณ์เสียงและวิดีโอสำหรับผู้บริโภค โดยการต่อสัญญาฉบับใหม่ในครั้งนี้จะกระชับความร่วมมือระหว่างสองบริษัทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
"ไมโครซอฟท์ และ ฟูไน อิเลคทริค จะยังคงได้ประโยชน์จากนวัตกรรมของแต่ละฝ่าย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า" นิค ไซโฮจีออส ประธานไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง กล่าว "การทำข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบ cross-licensing ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของข้อได้เปรียบจากการให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา โดยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ รวมทั้งยังเป็นการเร่งผลักดันการวิจัยและพัฒนาข้ามบริษัท"
โจจิ โอกาดะ เจ้าหน้าที่ด้านการอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของบริษัทฟูไน อิเลคทริค กล่าวว่า "ข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิในรูปแบบ cross-licensing จะสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือและการแบ่งปันเทคโนโลยีที่ดีขึ้น เรามองเห็นคุณค่าที่ยั่งยืนในการร่วมงานกับไมโครซอฟท์ต่อไป นั่นคือประโยชน์ที่ลูกค้าของทั้งสองบริษัทจะได้รับ"
ฟูไน อิเลคทริค เป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์ FUNAI และแบรนด์อื่น ๆ เช่น Philips, Magnavoz DX, Broadtec, Emerson, Sanyo และ Kodak
ความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ต่อการอนุญาตให้ใช้สิทธิ IP
ข้อตกลงด้านสิทธิบัตรถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ IP ในการเป็นหลักประกันว่าระบบนิเวศทางเทคโนโลยีมีความแข็งแกร่งและสดใส นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ IP licensing program ในเดือนธันวาคม 2546 ไมโครซอฟท์บรรลุข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิแล้วมากกว่า 1,200 รายการ ซึ่งเป็นการเพิ่มความร่วมมือและนวัตกรรมครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอนุญาตให้ใช้สิทธิของไมโครซอฟท์ สามารถเข้าชมได้ที่ http://www.microsoft.com/iplicensing
เกี่ยวกับบริษัท ฟูไน อิเลคทริค จำกัด
ฟูไน อิเลคทริค ก่อตั้งขึ้นในปี 2504 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Securities Exchange First Section) (6839) ในฐานะผู้ผลิตโทรทัศน์ LCD, แผ่น DVD/Blu-ray รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วง เครื่องพิมพ์ และเสาอากาศ ภายใต้แบรนด์ FUNAI และแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฟูไน อิเลคทริค มีชื่อเสียงในฐานะผู้รับจ้างผลิต (OEM) รายใหญ่ และยังเป็นผู้จัดหาสินค้ารายใหญ่อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ของ FUNAI จัดจำหน่ายโดยบริษัทย่อย ได้แก่ FUNAI CORPORATION และ P&F USA ในอเมริกาเหนือ, P&F MEXICANA ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ และบริษัทด้านการขายและการตลาดในเครือของฟูไนทั่วเอเชีย
นอกจากแบรนด์ FUNAI แล้ว กลุ่มบริษัทฟูไนยังจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์อื่น ๆ อีกหลายแบรนด์ สินค้าของ FUNAI สร้างชื่อเสียงแข็งแกร่งในตลาดโลกด้วยคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทฟูไนได้ที่ www.funai.jp/en/ และ www.funai.jp/en/guidance/history.html
เกี่ยวกับไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง
ไมโครซอฟท์ เทคโนโลยี ไลเซนซิง แอลแอลซี (Microsoft Technology Licensing LLC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 เพื่อเข้าซื้อ บริหารจัดการ และอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรของไมโครซอฟท์
เกี่ยวกับไมโครซอฟท์
ไมโครซอฟท์ (Nasdaq "MSFT" @microsoft) คือแพลตฟอร์มชั้นนำ และเป็นบริษัทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถการทำงานสำหรับโลกยุค mobile-first, cloud-first ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างพลังอำนาจให้ทุกคนและทุกองค์กรบนโลกใบนี้สามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
Microsoft and Funai deepen partnership with cross-licensing agreement
- Renewal of agreement covers a range of consumer audio-video products.
On Wednesday, Microsoft Corp. and Funai Electric Co. Ltd. ("Funai Electric") announced they are strengthening their successful partnership with the renewal of a patent cross-licensing agreement covering a range of consumer audio-video products.
"Microsoft and Funai Electric will continue to benefit from each other's innovations in building enhanced experiences for our customers," said Nick Psyhogeos, president of Microsoft Technology Licensing. "This cross-licensing agreement is another example of the advantages of an IP-led economy, encouraging product interoperability and accelerating research and development advances across companies."
Joji Okada, officer of intellectual property (IP) licensing of Funai Electric, said, "Cross-licensing partnerships foster better collaboration and technology sharing. We see an enduring value in continuing to work with Microsoft that is mutually beneficial to all of our customers."
Funai Electric is a worldwide leading manufacturer under FUNAI and other multiple brands including Philips, Magnavox, DX Broadtec, Emerson, Sanyo and Kodak.
Microsoft's commitment to licensing IP
This patent agreement is another example of the important role IP plays in ensuring a healthy and vibrant technology ecosystem. Since Microsoft launched its IP licensing program in December 2003, it has entered into more than 1,200 licensing agreements, increasing collaboration and innovation across a range of industries. More information about Microsoft's licensing programs is available at http://www.microsoft.com/iplicensing.
About Funai Electric Co. Ltd.
Funai Electric, established in 1961 and headquartered in Osaka, Japan, is listed in the Tokyo Securities Exchange First Section (6839) as a leading manufacturer of LCD TVs, DVDs/Blu-rays and related peripherals, printers, and antennas, etc. under FUNAI and other multiple brands in the global consumer electronics market. Funai Electric is well-known as a major original equipment manufacturer (OEM) and supplier as well.
FUNAI products are sold by its sales subsidiaries FUNAI CORPORATION and P&F USA for North America, P&F MEXICANA for Central/South America, and other Funai Sales and Marketing companies throughout Asia.
Funai group sells products under multiple brands in addition to FUNAI. FUNAI products have a strong and solid reputation in global markets for their quality and reasonable prices. For more information on the Funai group, please visit www.funai.jp/en/ and www.funai.jp/en/guidance/history.html.
About Microsoft Technology Licensing
Microsoft Technology Licensing LLC was formed in 2014 to acquire, manage and license Microsoft's patent portfolio.
About Microsoft
Microsoft (Nasdaq "MSFT" @microsoft) is the leading platform and productivity company for the mobile-first, cloud-first world, and its mission is to empower every person and every organization on the planet to achieve more.
On Wednesday, Microsoft Corp. and Funai Electric Co. Ltd. ("Funai Electric") announced they are strengthening their successful partnership with the renewal of a patent cross-licensing agreement covering a range of consumer audio-video products.
"Microsoft and Funai Electric will continue to benefit from each other's innovations in building enhanced experiences for our customers," said Nick Psyhogeos, president of Microsoft Technology Licensing. "This cross-licensing agreement is another example of the advantages of an IP-led economy, encouraging product interoperability and accelerating research and development advances across companies."
Joji Okada, officer of intellectual property (IP) licensing of Funai Electric, said, "Cross-licensing partnerships foster better collaboration and technology sharing. We see an enduring value in continuing to work with Microsoft that is mutually beneficial to all of our customers."
Funai Electric is a worldwide leading manufacturer under FUNAI and other multiple brands including Philips, Magnavox, DX Broadtec, Emerson, Sanyo and Kodak.
Microsoft's commitment to licensing IP
This patent agreement is another example of the important role IP plays in ensuring a healthy and vibrant technology ecosystem. Since Microsoft launched its IP licensing program in December 2003, it has entered into more than 1,200 licensing agreements, increasing collaboration and innovation across a range of industries. More information about Microsoft's licensing programs is available at http://www.microsoft.com/iplicensing.
About Funai Electric Co. Ltd.
Funai Electric, established in 1961 and headquartered in Osaka, Japan, is listed in the Tokyo Securities Exchange First Section (6839) as a leading manufacturer of LCD TVs, DVDs/Blu-rays and related peripherals, printers, and antennas, etc. under FUNAI and other multiple brands in the global consumer electronics market. Funai Electric is well-known as a major original equipment manufacturer (OEM) and supplier as well.
FUNAI products are sold by its sales subsidiaries FUNAI CORPORATION and P&F USA for North America, P&F MEXICANA for Central/South America, and other Funai Sales and Marketing companies throughout Asia.
Funai group sells products under multiple brands in addition to FUNAI. FUNAI products have a strong and solid reputation in global markets for their quality and reasonable prices. For more information on the Funai group, please visit www.funai.jp/en/ and www.funai.jp/en/guidance/history.html.
About Microsoft Technology Licensing
Microsoft Technology Licensing LLC was formed in 2014 to acquire, manage and license Microsoft's patent portfolio.
About Microsoft
Microsoft (Nasdaq "MSFT" @microsoft) is the leading platform and productivity company for the mobile-first, cloud-first world, and its mission is to empower every person and every organization on the planet to achieve more.
HNA Tourism Group กลุ่มธุรกิจบริการการท่องเที่ยวระดับแนวหน้าของโลก ได้เข้าทำสัญญาควบรวมกิจการกับกลุ่มธุรกิจโรงแรม Carlson Hotels, Inc.
การควบรวมกิจการของกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว HNA Tourism Group และกลุ่มธุรกิจโรงแรม Carlson Hotels จะทำให้เกิดกลุ่มธุรกิจที่เข้มแข็งในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการด้านที่พักในระดับสากล มีศักยภาพการเติบโตที่ก้าวกระโดด มีความเป็นผู้นำ และมีความเข้มแข็งในการให้บริการและการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ สำนักงานใหญ่ของ Carlson Hotels ยังคงอยู่ที่เมืองมินนิทองกา รัฐมินนิโซตา
กลุ่มบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว HNA Tourism Group Co., Ltd. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกลุ่มบริษัท HNA Group Co., Ltd. ที่เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทชั้นนำของโลกที่ให้บริการในหลายด้าน เช่น การบิน การท่องเที่ยว ที่พัก การเงิน และบริการออนไลน์ต่างๆ ได้บรรลุข้อตกลงกับ Carlson Hospitality Group, Inc. เพื่อเข้าซื้อกิจการ Carlson Hotels, Inc. ที่เป็นเจ้าของ Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, PARK Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By Carlson(SM) และ Club Carlson(SM) ซึ่งเป็นโปรแกรมสิทธิประโยชน์ระดับโลก
การควบรวมของกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว HNA Tourism Group และกลุ่มธุรกิจโรงแรม Carlson Hotels จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น ในด้านดิจิตอล การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในเมืองหน้าด่านสำคัญๆ รวมถึงการสร้างโรงแรม Radisson RED และโรงแรมแบรนด์อื่นๆเพิ่มเติม
"Carlson Hotels เป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย และการทำสัญญาประวัติศาสตร์ครั้งนี้ได้สร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมหาศาล" David P. Berg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Carlson Hospitality Group กล่าว "เราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลกอย่าง HNA Tourism Group อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Carlson Hotels ทั้งนี้ เมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของ HNA Tourism Group แล้ว ทาง Carlson Hotels จะมีโอกาสให้บริการด้านที่พักแก่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก"
"ตั้งแต่คุณปู่ของฉัน Curt Carlson ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1938 ครอบครัวของเราก็ได้ทำธุรกิจที่สร้างโอกาสให้แก่ผู้คนมากมาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้แก่โลกใบนี้" Diana Nelson ประธานบอร์ดบริหารของ Carlson กล่าว "การบริการอยู่ในหัวใจของเรา ดังนั้น การตัดสินใจควบรวมกิจการจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เราก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการขายโรงแรมให้แก่ HNA Tourism Group ที่เห็นคุณค่าของเรา เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ และเป็นไปตามเจตจำนงของคุณปู่ของฉันในระยะยาว"
"เราให้ความเคารพต่อครอบครัว Carlson และชื่นชมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่พิเศษของ Carlson" Bai Haibo สมาชิกบอร์ดบริหาร HNA Tourism Group ผู้ดำรงตำแหนงประธานและซีอีโอของ HNA Hospitality Group กล่าว "Carlson Hotels ประสบความสำเร็จในระดับโลก มีความมั่นคง และมีศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากแบรนด์โรงแรมในเครือทั่วโลกที่มีนวัตกรรมที่ต่อเนื่อง มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และมีการใส่ใจพนักงานเป็นอย่างดี เราจะอาศัยสิ่งนี้ในการสร้างธุรกิจในตลาดสหรัฐอเมริกาและการขยายกิจการในประเทศต่างๆ เรามุ่งที่จะทำงานร่วมกับทีมผู้บริหาร พนักงาน หุ้นส่วนธุรกิจ คู่ค้า และลูกค้า เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตผ่านการลงทุนอย่างมหาศาลในธุรกิจนี้"
เงื่อนไขของสัญญาที่ได้รับการอนุมัติโดยเอกฉันท์จากบอร์ดบริหารของ Carlson ระบุว่า HNA Tourism Group จะเข้าซื้อกิจการ Carlson Hotels ทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมถึงหุ้นใหญ่ราว 51.3% ใน Rezidor Hotel Group AB (publ) ซึ่งเป็น master licensee ของ Carlson Hotels ที่อยู่ในบรัสเซลส์ และมีโรงแรมหลายแห่งในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เนื่องจากการทำธุรกรรมครั้งนี้จะส่งผลต่อการบริหาร Rezidor ทางอ้อม HNA Tourism Group จึงต้องปฏิบัติตามกฎการควบรวมกิจการของสวีเดน ด้วยการทำคำเสนอซื้อหุ้นของ Rezidor ที่เหลืออยู่อีก 48.7% ภายในเวลา 4 สัปดาห์นับจากวันปิดธุรกรรมการควบรวม ในกรณีที่จำนวนหุ้นไม่ลดลงต่ำกว่า 30% โดยภายใน 4 สัปดาห์ดังกล่าว HNA Tourism Group ต้องตัดสินใจทำคำเสนอซื้อหุ้น Rezidor ที่เหลืออยู่จากผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือขายหุ้น Rezidor ให้เหลือต่ำกว่า 30% ตามกฎหมายของประเทศสวีเดนและหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสวีเดน [1] ราคาขั้นต่ำของคำเสนอซื้อจะเป็นราคาขายเฉลี่ยของ 20 วันทำการก่อนหน้าที่จะมีการประกาศการลงนามสัญญาควบรวมกิจการของ Carlson Hotels ลงวันที่ 27 เมษายน 2016 ทั้งนี้ HNA Tourism Group จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหุ้นภายหลังจากการทำธุรกรรมควบรวมแล้วเสร็จ
การทำธุรกรรมจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลและเป็นไปตามเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดหวังว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี 2016
การบริหารและธรรมาภิบาล
เมื่อการทำธุรกรรมควบรวมเสร็จสิ้น David P Berg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Carlson Hospitality Group จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กรใหม่
ความรับผิดชอบต่อชุมชน
เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของ Carlson รวมถึงมรดกตกทอดและความสัมพันธ์กับชุมชน HNA Tourism Group จึงให้สัญญาว่าเมืองมินนิทองกาจะยังคงเป็นสำนักงานใหญ่ขององค์กรใหม่
ที่ปรึกษา
ที่ปรึกษาสำหรับการควบรวมในครั้งนี้ประกอบด้วย Morgan Stanley และ BDT & Company เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ Freshfields Bruckhaus Deringer LLP และ Advokatfirman Vinge KB เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของ Carlson Hotels ส่วน J.P.Morgan และ Benedetto, Gartland & Company เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ Hogan Loveiis และ Advokatfirman Lindahi KB เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ HNA Tourism Group
ดูเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการควบรวมได้ที่ www.StrongerHotelsTogether.com
เกี่ยวกับ CARLSON HOTELS, INC.
Carlson Hotels เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประกอบด้วยโรงแรม 1,400 แห่งในเครือ โดยมีห้องพักกว่า 220,000 ห้อง และเปิดให้บริการใน 115 ประเทศ Carlson Hotels เป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inn & Suites By Carlson(SM) และ Club Carlson(SM) ซึ่งเป็นโปรแกรมสิทธิประโยชน์ระดับโลก นอกจากนี้ Carlson Hotels ถือหุ้น 51.3% ใน Rezidor Hotel Group ในบรัสเซลส์ ซึ่งเป็น master licensee ของ Carlson Hotels ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ทั้งนี้ Carlson Hotels และแบรนด์โรงแรมในเครือ มีพนักงาน 90,000 คนทั่วโลก
เกี่ยวกับ HNA Tourism Group Co. Ltd.
HNA Tourism Group Co. Ltd. เป็นกลุ่มธุกิจท่องเที่ยวที่ดำเนินธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การบิน การท่องเที่ยว ที่พัก การเงิน และบริการออนไลน์ต่างๆ บริษัทก่อตั้งขึ้นที่กรุงปักกิ่งในเดือน มีนาคม 2007 และมีบริษัทลูกกว่า 20 แห่ง ซึ่งรวมถึง Capital Airlines, Deer Jet, Tangla Hotels and Resorts, Caissa Touristic และอีกมากมาย นอกจากนั้นยังเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจการท่องเที่ยวและที่พักที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น NH Hotels, Red Lion Hotels, PVCP Group และอื่นๆ ทั้งนี้ HNA Tourism Group เป็นที่ยอมรับในฐานะองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความเชื่อมโยงของโลก
เกี่ยวกับ HNA Hospitality Group Co. Ltd.
HNA Hospitality Group Co. Ltd. เป็นธุรกิจบริหารโรงแรมในเครือ HNA Tourism Group ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เพื่อสนับสนุนการสร้างเครือข่ายโรงแรม ณ เดือนมีนาคม 2016 ทางกลุ่มได้บริหารโรงแรมประมาณ 500 แห่ง ซึ่งมีห้องพักรวมกันประมาณ 90,000 ห้อง ในเมืองหลักๆของประเทศจีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมีห้องพักตั้งแต่ระดับหรูหราถึงห้องราคาประหยัด เพื่อรองรับผู้ที่เดินทางทำธุรกิจและพักผ่อน บริษัทติดหนึ่งใน 300 กลุ่มโรงแรมชั้นนำของโลก และได้รับรางวัลผู้นำในธุรกิจอย่างมากมาย เช่น แบรนด์โรงแรมที่มีการแข่งขันดีเด่นของจีน และกลุ่มบริหารโรงแรมที่ดีที่สุดของจีน
ดูสื่อเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการควบรวมได้ที่ www.StrongerHotelsTogether.com
กลุ่มบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว HNA Tourism Group Co., Ltd. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกลุ่มบริษัท HNA Group Co., Ltd. ที่เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทชั้นนำของโลกที่ให้บริการในหลายด้าน เช่น การบิน การท่องเที่ยว ที่พัก การเงิน และบริการออนไลน์ต่างๆ ได้บรรลุข้อตกลงกับ Carlson Hospitality Group, Inc. เพื่อเข้าซื้อกิจการ Carlson Hotels, Inc. ที่เป็นเจ้าของ Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, PARK Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By Carlson(SM) และ Club Carlson(SM) ซึ่งเป็นโปรแกรมสิทธิประโยชน์ระดับโลก
การควบรวมของกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว HNA Tourism Group และกลุ่มธุรกิจโรงแรม Carlson Hotels จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น ในด้านดิจิตอล การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในเมืองหน้าด่านสำคัญๆ รวมถึงการสร้างโรงแรม Radisson RED และโรงแรมแบรนด์อื่นๆเพิ่มเติม
"Carlson Hotels เป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย และการทำสัญญาประวัติศาสตร์ครั้งนี้ได้สร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมหาศาล" David P. Berg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Carlson Hospitality Group กล่าว "เราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลกอย่าง HNA Tourism Group อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Carlson Hotels ทั้งนี้ เมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของ HNA Tourism Group แล้ว ทาง Carlson Hotels จะมีโอกาสให้บริการด้านที่พักแก่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก"
"ตั้งแต่คุณปู่ของฉัน Curt Carlson ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1938 ครอบครัวของเราก็ได้ทำธุรกิจที่สร้างโอกาสให้แก่ผู้คนมากมาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้แก่โลกใบนี้" Diana Nelson ประธานบอร์ดบริหารของ Carlson กล่าว "การบริการอยู่ในหัวใจของเรา ดังนั้น การตัดสินใจควบรวมกิจการจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เราก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการขายโรงแรมให้แก่ HNA Tourism Group ที่เห็นคุณค่าของเรา เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ และเป็นไปตามเจตจำนงของคุณปู่ของฉันในระยะยาว"
"เราให้ความเคารพต่อครอบครัว Carlson และชื่นชมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่พิเศษของ Carlson" Bai Haibo สมาชิกบอร์ดบริหาร HNA Tourism Group ผู้ดำรงตำแหนงประธานและซีอีโอของ HNA Hospitality Group กล่าว "Carlson Hotels ประสบความสำเร็จในระดับโลก มีความมั่นคง และมีศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากแบรนด์โรงแรมในเครือทั่วโลกที่มีนวัตกรรมที่ต่อเนื่อง มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และมีการใส่ใจพนักงานเป็นอย่างดี เราจะอาศัยสิ่งนี้ในการสร้างธุรกิจในตลาดสหรัฐอเมริกาและการขยายกิจการในประเทศต่างๆ เรามุ่งที่จะทำงานร่วมกับทีมผู้บริหาร พนักงาน หุ้นส่วนธุรกิจ คู่ค้า และลูกค้า เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตผ่านการลงทุนอย่างมหาศาลในธุรกิจนี้"
เงื่อนไขของสัญญาที่ได้รับการอนุมัติโดยเอกฉันท์จากบอร์ดบริหารของ Carlson ระบุว่า HNA Tourism Group จะเข้าซื้อกิจการ Carlson Hotels ทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมถึงหุ้นใหญ่ราว 51.3% ใน Rezidor Hotel Group AB (publ) ซึ่งเป็น master licensee ของ Carlson Hotels ที่อยู่ในบรัสเซลส์ และมีโรงแรมหลายแห่งในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เนื่องจากการทำธุรกรรมครั้งนี้จะส่งผลต่อการบริหาร Rezidor ทางอ้อม HNA Tourism Group จึงต้องปฏิบัติตามกฎการควบรวมกิจการของสวีเดน ด้วยการทำคำเสนอซื้อหุ้นของ Rezidor ที่เหลืออยู่อีก 48.7% ภายในเวลา 4 สัปดาห์นับจากวันปิดธุรกรรมการควบรวม ในกรณีที่จำนวนหุ้นไม่ลดลงต่ำกว่า 30% โดยภายใน 4 สัปดาห์ดังกล่าว HNA Tourism Group ต้องตัดสินใจทำคำเสนอซื้อหุ้น Rezidor ที่เหลืออยู่จากผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือขายหุ้น Rezidor ให้เหลือต่ำกว่า 30% ตามกฎหมายของประเทศสวีเดนและหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสวีเดน [1] ราคาขั้นต่ำของคำเสนอซื้อจะเป็นราคาขายเฉลี่ยของ 20 วันทำการก่อนหน้าที่จะมีการประกาศการลงนามสัญญาควบรวมกิจการของ Carlson Hotels ลงวันที่ 27 เมษายน 2016 ทั้งนี้ HNA Tourism Group จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหุ้นภายหลังจากการทำธุรกรรมควบรวมแล้วเสร็จ
การทำธุรกรรมจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลและเป็นไปตามเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดหวังว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี 2016
การบริหารและธรรมาภิบาล
เมื่อการทำธุรกรรมควบรวมเสร็จสิ้น David P Berg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Carlson Hospitality Group จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กรใหม่
ความรับผิดชอบต่อชุมชน
เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของ Carlson รวมถึงมรดกตกทอดและความสัมพันธ์กับชุมชน HNA Tourism Group จึงให้สัญญาว่าเมืองมินนิทองกาจะยังคงเป็นสำนักงานใหญ่ขององค์กรใหม่
ที่ปรึกษา
ที่ปรึกษาสำหรับการควบรวมในครั้งนี้ประกอบด้วย Morgan Stanley และ BDT & Company เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ Freshfields Bruckhaus Deringer LLP และ Advokatfirman Vinge KB เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของ Carlson Hotels ส่วน J.P.Morgan และ Benedetto, Gartland & Company เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ Hogan Loveiis และ Advokatfirman Lindahi KB เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ HNA Tourism Group
ดูเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการควบรวมได้ที่ www.StrongerHotelsTogether.com
เกี่ยวกับ CARLSON HOTELS, INC.
Carlson Hotels เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประกอบด้วยโรงแรม 1,400 แห่งในเครือ โดยมีห้องพักกว่า 220,000 ห้อง และเปิดให้บริการใน 115 ประเทศ Carlson Hotels เป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inn & Suites By Carlson(SM) และ Club Carlson(SM) ซึ่งเป็นโปรแกรมสิทธิประโยชน์ระดับโลก นอกจากนี้ Carlson Hotels ถือหุ้น 51.3% ใน Rezidor Hotel Group ในบรัสเซลส์ ซึ่งเป็น master licensee ของ Carlson Hotels ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ทั้งนี้ Carlson Hotels และแบรนด์โรงแรมในเครือ มีพนักงาน 90,000 คนทั่วโลก
เกี่ยวกับ HNA Tourism Group Co. Ltd.
HNA Tourism Group Co. Ltd. เป็นกลุ่มธุกิจท่องเที่ยวที่ดำเนินธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การบิน การท่องเที่ยว ที่พัก การเงิน และบริการออนไลน์ต่างๆ บริษัทก่อตั้งขึ้นที่กรุงปักกิ่งในเดือน มีนาคม 2007 และมีบริษัทลูกกว่า 20 แห่ง ซึ่งรวมถึง Capital Airlines, Deer Jet, Tangla Hotels and Resorts, Caissa Touristic และอีกมากมาย นอกจากนั้นยังเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจการท่องเที่ยวและที่พักที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น NH Hotels, Red Lion Hotels, PVCP Group และอื่นๆ ทั้งนี้ HNA Tourism Group เป็นที่ยอมรับในฐานะองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความเชื่อมโยงของโลก
เกี่ยวกับ HNA Hospitality Group Co. Ltd.
HNA Hospitality Group Co. Ltd. เป็นธุรกิจบริหารโรงแรมในเครือ HNA Tourism Group ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เพื่อสนับสนุนการสร้างเครือข่ายโรงแรม ณ เดือนมีนาคม 2016 ทางกลุ่มได้บริหารโรงแรมประมาณ 500 แห่ง ซึ่งมีห้องพักรวมกันประมาณ 90,000 ห้อง ในเมืองหลักๆของประเทศจีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมีห้องพักตั้งแต่ระดับหรูหราถึงห้องราคาประหยัด เพื่อรองรับผู้ที่เดินทางทำธุรกิจและพักผ่อน บริษัทติดหนึ่งใน 300 กลุ่มโรงแรมชั้นนำของโลก และได้รับรางวัลผู้นำในธุรกิจอย่างมากมาย เช่น แบรนด์โรงแรมที่มีการแข่งขันดีเด่นของจีน และกลุ่มบริหารโรงแรมที่ดีที่สุดของจีน
ดูสื่อเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการควบรวมได้ที่ www.StrongerHotelsTogether.com
HNA Tourism Group Enters Agreement With Carlson Hospitality Group For The Acquisition Of Carlson Hotels, Inc.
The combination of HNA Tourism Group and Carlson Hotels to have robust presence in international hospitality, with increased ability to accelerate growth, expand key brands, and strengthen its best-in-class hospitality experience for its guests. Carlson Hotels headquarters to remain in Minnetonka, Minn.
HNA Tourism Group Co., Ltd. ("HNA Tourism Group"), a division of HNA Group Co., Ltd., a Fortune Global 500 company with operations across aviation, tourism, hospitality, finance, and online services among other sectors, and Carlson Hospitality Group, Inc. today announced they have entered an agreement ("Agreement"), for the acquisition of Carlson Hotels, Inc.("Carlson Hotels"), which owns the Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By Carlson(SM) brands and the Club Carlson(SM) global hotel rewards program.
The combination of HNA Tourism Group and Carlson Hotels will have increased ability to accelerate growth through investments in areas such as digital, owned assets in major gateway cities, building of Radisson RED and other new brands.
"Carlson Hotels own a powerful set of global brands and this historic agreement provides tremendous opportunities for growth," said David P. Berg, Carlson Hospitality Group chief executive officer. "We look forward to working within HNA Tourism Group, a greatly respected global enterprise, in what will be an exciting new chapter in the history of Carlson Hotels. As part of HNA Tourism Group, Carlson Hotels will have an opportunity to advance our commitment to providing guests with hospitality world-wide," added Mr. Berg.
"Since my grandfather, Curt Carlson, founded our company in 1938, our family has run businesses that create opportunity for people and positive change in the world," said Diana Nelson, Carlson Board chair. "Hospitality is in our hearts, which made this a difficult decision. We strongly believe that selling our hotel business to HNA Tourism Group, a company that fully recognizes its value and heritage, is the best way for us to position it for success and to be true to my grandfather's legacy in the long term."
"We have great respect for the Carlson family and a deep appreciation for its history and special culture," said Bai Haibo, HNA Tourism Group's Board Member and HNA Hospitality Group's Chairman and CEO. "Carlson Hotels' global success and strong, sustainable growth potential is a testament to their world-class brands, continuous innovation, excellent management, and unique employee-focused culture, all of which we will build upon as part of this combination to establish our presence in the U.S. market and expand our footprint in hospitality internationally. We look forward to working together with their management team, employees, franchisee partners, suppliers and customers to accelerate growth by investing substantially in the business."
Under terms of the Agreement, which were unanimously approved by the Carlson Board of Directors, HNA Tourism Group will acquire all of Carlson Hotels, including its approximately 51.3 percent majority stake in Rezidor Hotel Group AB (publ) ("Rezidor"), Carlson Hotel's master licensee based in Brussels, with hotels in Europe, the Middle East and Africa. Since the closing of the Transaction will result in an indirect change of control in Rezidor, HNA Tourism Group would, under Swedish takeover rules, be obliged to launch a mandatory public tender offer for the remaining approximately 48.7 percent of Rezidor, within four weeks after the closing of the Transaction if the ownership in Rezidor is not sold down below 30 percent. Hence, HNA Tourism Group may, during these four weeks following closing of the Transaction, decide whether to launch a mandatory public tender offer for the remaining shares in Rezidor or sell down its ownership in Rezidor below 30 percent. If HNA Tourism Group decides to launch a mandatory public tender offer, according to Swedish takeover rules and as per a ruling from the Swedish Securities Council ("SSC")[1], the minimum price in such mandatory tender offer would be the 20-trading day volume weighted average price (VWAP) immediately before the announcement of the signing of the Agreement to acquire Carlson Hotels dated April 27, 2016. HNA Tourism Group will give further information about such potential mandatory tender offer in due course, upon closing of the Transaction.
The Transaction is subject to receipt of regulatory approvals and other customary closing conditions, and is expected to close in the second half of (calendar) 2016.
Management & Governance
When the Transaction closes, David P. Berg, CEO of Carlson Hospitality Group Inc., will remain as CEO of the new organization.
Commitment to Communities
Understanding the need to preserve Carlson's values, heritage and community connections, HNA Tourism Group has pledged to maintain Minnetonka, Minn., as its headquarters for the new organization.
Advisors
Advisors for this Transaction include: Morgan Stanley and BDT & Company as financial advisors; Freshfields Bruckhaus Deringer LLP, and Advokatfirman Vinge KB as legal advisors to Carlson Hotels. J.P. Morgan and Benedetto, Gartland & Company as financial advisors and Hogan Lovells and Advokatfirman Lindahl KB as legal advisors to HNA Tourism Group.
Additional materials regarding the transaction are available at www.StrongerHotelsTogether.com .
ABOUT CARLSON HOTELS, INC.
Carlson Hotels is one of the world's largest and most dynamic hotel groups and includes 1,400 hotels in operation and under development with more than 220,000 rooms and a footprint spanning 115 countries and territories. The Carlson Hotels portfolio includes a powerful set of global brands: Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R); Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By CarlsonSM and Club CarlsonSM, the global hotel rewards program. Carlson Hotels holds 51.3 percent ownership stake in The Rezidor Hotel Group, based in Brussels, who is the company's master licensee for its brands in Europe, Middle East and Africa. Carlson Hotels and its brands employ 90,000 people worldwide.
ABOUT HNA Tourism Group Co. Ltd.
HNA Tourism Group Co., Ltd. is a global integrated tourism conglomerate engaged in aviation, hospitality, tourism, finance and online services. Founded in Beijing in March 2007, the company owns more than 20 subsidiaries including Capital Airlines, Deer Jet, Tangla Hotels and Resorts, Caissa Touristic, etc. The company is also a majority investor in global travel and hospitality brands such as NH Hotels, Red Lion Hotels, PVCP Group, etc. HNA Tourism Group has been recognized for its commitment to corporate social responsibility and for its contributions towards improving global connectivity.
ABOUT HNA Hospitality Group Co. Ltd.
HNA Hospitality Group is the hotel management arm of HNA Tourism Group. Founded in 1997, HNA Hospitality Group boasts a global hotel network. As of March 2016, the group operates around 500 hotels with nearly 90,000 rooms, in key cities in China as well as other parts of the world, with brand portfolio ranging from luxury, upscale to budget segments, catering to both business and leisure travelers. It has been ranked as the top 300 hotel group in the world and garnered prestigious industry accolades such as the most competitive Chinese hotel brand and the best hotel management group in China.
Additional media materials regarding the transaction are available at www.StrongerHotelsTogether.com
HNA Tourism Group Co., Ltd. ("HNA Tourism Group"), a division of HNA Group Co., Ltd., a Fortune Global 500 company with operations across aviation, tourism, hospitality, finance, and online services among other sectors, and Carlson Hospitality Group, Inc. today announced they have entered an agreement ("Agreement"), for the acquisition of Carlson Hotels, Inc.("Carlson Hotels"), which owns the Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R), Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By Carlson(SM) brands and the Club Carlson(SM) global hotel rewards program.
The combination of HNA Tourism Group and Carlson Hotels will have increased ability to accelerate growth through investments in areas such as digital, owned assets in major gateway cities, building of Radisson RED and other new brands.
"Carlson Hotels own a powerful set of global brands and this historic agreement provides tremendous opportunities for growth," said David P. Berg, Carlson Hospitality Group chief executive officer. "We look forward to working within HNA Tourism Group, a greatly respected global enterprise, in what will be an exciting new chapter in the history of Carlson Hotels. As part of HNA Tourism Group, Carlson Hotels will have an opportunity to advance our commitment to providing guests with hospitality world-wide," added Mr. Berg.
"Since my grandfather, Curt Carlson, founded our company in 1938, our family has run businesses that create opportunity for people and positive change in the world," said Diana Nelson, Carlson Board chair. "Hospitality is in our hearts, which made this a difficult decision. We strongly believe that selling our hotel business to HNA Tourism Group, a company that fully recognizes its value and heritage, is the best way for us to position it for success and to be true to my grandfather's legacy in the long term."
"We have great respect for the Carlson family and a deep appreciation for its history and special culture," said Bai Haibo, HNA Tourism Group's Board Member and HNA Hospitality Group's Chairman and CEO. "Carlson Hotels' global success and strong, sustainable growth potential is a testament to their world-class brands, continuous innovation, excellent management, and unique employee-focused culture, all of which we will build upon as part of this combination to establish our presence in the U.S. market and expand our footprint in hospitality internationally. We look forward to working together with their management team, employees, franchisee partners, suppliers and customers to accelerate growth by investing substantially in the business."
Under terms of the Agreement, which were unanimously approved by the Carlson Board of Directors, HNA Tourism Group will acquire all of Carlson Hotels, including its approximately 51.3 percent majority stake in Rezidor Hotel Group AB (publ) ("Rezidor"), Carlson Hotel's master licensee based in Brussels, with hotels in Europe, the Middle East and Africa. Since the closing of the Transaction will result in an indirect change of control in Rezidor, HNA Tourism Group would, under Swedish takeover rules, be obliged to launch a mandatory public tender offer for the remaining approximately 48.7 percent of Rezidor, within four weeks after the closing of the Transaction if the ownership in Rezidor is not sold down below 30 percent. Hence, HNA Tourism Group may, during these four weeks following closing of the Transaction, decide whether to launch a mandatory public tender offer for the remaining shares in Rezidor or sell down its ownership in Rezidor below 30 percent. If HNA Tourism Group decides to launch a mandatory public tender offer, according to Swedish takeover rules and as per a ruling from the Swedish Securities Council ("SSC")[1], the minimum price in such mandatory tender offer would be the 20-trading day volume weighted average price (VWAP) immediately before the announcement of the signing of the Agreement to acquire Carlson Hotels dated April 27, 2016. HNA Tourism Group will give further information about such potential mandatory tender offer in due course, upon closing of the Transaction.
The Transaction is subject to receipt of regulatory approvals and other customary closing conditions, and is expected to close in the second half of (calendar) 2016.
Management & Governance
When the Transaction closes, David P. Berg, CEO of Carlson Hospitality Group Inc., will remain as CEO of the new organization.
Commitment to Communities
Understanding the need to preserve Carlson's values, heritage and community connections, HNA Tourism Group has pledged to maintain Minnetonka, Minn., as its headquarters for the new organization.
Advisors
Advisors for this Transaction include: Morgan Stanley and BDT & Company as financial advisors; Freshfields Bruckhaus Deringer LLP, and Advokatfirman Vinge KB as legal advisors to Carlson Hotels. J.P. Morgan and Benedetto, Gartland & Company as financial advisors and Hogan Lovells and Advokatfirman Lindahl KB as legal advisors to HNA Tourism Group.
Additional materials regarding the transaction are available at www.StrongerHotelsTogether.com .
ABOUT CARLSON HOTELS, INC.
Carlson Hotels is one of the world's largest and most dynamic hotel groups and includes 1,400 hotels in operation and under development with more than 220,000 rooms and a footprint spanning 115 countries and territories. The Carlson Hotels portfolio includes a powerful set of global brands: Quorvus Collection, Radisson Blu(R), Radisson(R), Radisson RED, Park Plaza(R); Park Inn(R) by Radisson, Country Inns & Suites By CarlsonSM and Club CarlsonSM, the global hotel rewards program. Carlson Hotels holds 51.3 percent ownership stake in The Rezidor Hotel Group, based in Brussels, who is the company's master licensee for its brands in Europe, Middle East and Africa. Carlson Hotels and its brands employ 90,000 people worldwide.
ABOUT HNA Tourism Group Co. Ltd.
HNA Tourism Group Co., Ltd. is a global integrated tourism conglomerate engaged in aviation, hospitality, tourism, finance and online services. Founded in Beijing in March 2007, the company owns more than 20 subsidiaries including Capital Airlines, Deer Jet, Tangla Hotels and Resorts, Caissa Touristic, etc. The company is also a majority investor in global travel and hospitality brands such as NH Hotels, Red Lion Hotels, PVCP Group, etc. HNA Tourism Group has been recognized for its commitment to corporate social responsibility and for its contributions towards improving global connectivity.
ABOUT HNA Hospitality Group Co. Ltd.
HNA Hospitality Group is the hotel management arm of HNA Tourism Group. Founded in 1997, HNA Hospitality Group boasts a global hotel network. As of March 2016, the group operates around 500 hotels with nearly 90,000 rooms, in key cities in China as well as other parts of the world, with brand portfolio ranging from luxury, upscale to budget segments, catering to both business and leisure travelers. It has been ranked as the top 300 hotel group in the world and garnered prestigious industry accolades such as the most competitive Chinese hotel brand and the best hotel management group in China.
Additional media materials regarding the transaction are available at www.StrongerHotelsTogether.com
Consumer VR and Smart Home Customization Steps into Spotlight at China International Furniture Fair
The 37th China International Furniture Fair (Guangzhou) successfully concluded in March with a record breaking number of 3,868 exhibitors and 168,881 visitors during the 8-day event.
The 2016 CIFF (Guangzhou) hosted at China Import and Export Fair Complex and Poly World Trade Centre Expo with the theme of "smart and customization" exhibited the latest products and designs brought by internationally renowned furniture brands from China, the U.S., Singapore, Italy and more.
As virtual reality wades into the consumer market, furniture companies are also actively seeking ways to incorporate VR technology to build future dream homes. Landbond hosted a press conference and released the first VRHome experience system, a "fitting room" for furniture that enables customers to use the VR headset to "try on" furniture in their own home before making the purchase.
In addition to smart home and office products like all-in-one audio & visual integrated living room furniture, smart mattresses that can record and track sleep patterns, and electronic office desks that adjust in height, new models featuring technologies like robotic arms, 3D printing, automatic spray painting and smart sensor control were also presented to the public.
Paul Dotta, senior vice president of China retail at Ashley Furniture China, remarked that every year CIFF (Guangzhou) helps the company establish good cooperation relations.
"This year's CIFF offered our brand better presentation and promotion opportunities," said Dotta. "We received a lot of feedback and encouragement from our customers and found many potential partners, which is extremely useful to maintaining business growth."
The 37th CIFF (Guangzhou) not only featured hundreds of internationally renowned brands and companies, but also hosted forums and art shows to help build long-term partnerships.
Tom Conley, president and CEO of High Point Market Authority, announced during the opening ceremony on March 18 that High Point is establishing a strategic partnership with CIFF. Spanish artist Cristobal Gabarron also brought the nine works in his signature sculpture exhibition "The Mysteries of Columbus" to CIFF's Spanish themed 1st Global Garden Lifestyles Festival.
CIFF (Shanghai) will pick up the baton and unveil the four-day 38th CIFF (Shanghai) on September 7 at the National Exhibition and Convention Center in Shanghai with 400,000m2 of exhibition space. The venue is now supported by the fully operational commercial center and upgraded services and exhibition groups from countries including Italy, Japan, Turkey and South Korea are set to feature.
About CIFF
Founded in 1998, China International Furniture Fair (CIFF) takes place semi-annually in Guangzhou (March) and Shanghai (September). With the successful experience of past 37 sessions, CIFF has been well accepted as the Weatherglass of China's Furniture Industry, Asia's Furniture Sourcing Center and the No.1 Platform for the World Class.
The 2016 CIFF (Guangzhou) hosted at China Import and Export Fair Complex and Poly World Trade Centre Expo with the theme of "smart and customization" exhibited the latest products and designs brought by internationally renowned furniture brands from China, the U.S., Singapore, Italy and more.
As virtual reality wades into the consumer market, furniture companies are also actively seeking ways to incorporate VR technology to build future dream homes. Landbond hosted a press conference and released the first VRHome experience system, a "fitting room" for furniture that enables customers to use the VR headset to "try on" furniture in their own home before making the purchase.
In addition to smart home and office products like all-in-one audio & visual integrated living room furniture, smart mattresses that can record and track sleep patterns, and electronic office desks that adjust in height, new models featuring technologies like robotic arms, 3D printing, automatic spray painting and smart sensor control were also presented to the public.
Paul Dotta, senior vice president of China retail at Ashley Furniture China, remarked that every year CIFF (Guangzhou) helps the company establish good cooperation relations.
"This year's CIFF offered our brand better presentation and promotion opportunities," said Dotta. "We received a lot of feedback and encouragement from our customers and found many potential partners, which is extremely useful to maintaining business growth."
The 37th CIFF (Guangzhou) not only featured hundreds of internationally renowned brands and companies, but also hosted forums and art shows to help build long-term partnerships.
Tom Conley, president and CEO of High Point Market Authority, announced during the opening ceremony on March 18 that High Point is establishing a strategic partnership with CIFF. Spanish artist Cristobal Gabarron also brought the nine works in his signature sculpture exhibition "The Mysteries of Columbus" to CIFF's Spanish themed 1st Global Garden Lifestyles Festival.
CIFF (Shanghai) will pick up the baton and unveil the four-day 38th CIFF (Shanghai) on September 7 at the National Exhibition and Convention Center in Shanghai with 400,000m2 of exhibition space. The venue is now supported by the fully operational commercial center and upgraded services and exhibition groups from countries including Italy, Japan, Turkey and South Korea are set to feature.
About CIFF
Founded in 1998, China International Furniture Fair (CIFF) takes place semi-annually in Guangzhou (March) and Shanghai (September). With the successful experience of past 37 sessions, CIFF has been well accepted as the Weatherglass of China's Furniture Industry, Asia's Furniture Sourcing Center and the No.1 Platform for the World Class.
เมอร์ค เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในงาน INTERPHEX 2016
- ถังปฏิกรณ์ชีวภาพขนาด 1,000 ลิตร รองรับการใช้งานอย่างยืดหยุ่นและต่อเนื่อง
- เครื่องผสมขนาด 2,000 ลิตรสำหรับสารบัฟเฟอร์และสารตัวกลางที่ผสมยาก
- ระบบขนส่งของเหลวปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อในปริมาณมาก
เมอร์ค (Merck) บริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำ ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 รายการจากตระกูล Mobius(R) ที่จะช่วยให้กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมชีวเภสัชภัณฑ์มีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์ใหม่จากตระกูล Mobius(R) ประกอบด้วย ถังปฏิกรณ์ชีวภาพแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งขนาด 1,000 ลิตร เครื่องผสมขนาด 2,000 ลิตรสำหรับสารที่ผสมยาก รวมถึงระบบขนส่งของเหลวปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อในปริมาณมาก
"ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในตระกูล Mobius(R) สามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นของลูกค้า โดยลูกค้าต่างต้องการระบบที่ใช้งานง่าย จะได้ทุ่มเทให้กับการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มที่" อูดิท บาทรา ซีอีโอของ ธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ของเมอร์ค กล่าว
ถังปฏิกรณ์ชีวภาพแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งขนาด 1,000 ลิตร ได้เข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ถังปฏิกรณ์ Mobius(R) ที่มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ 3 ถึง 2,000 ลิตร รองรับการใช้งานอย่างยืดหยุ่นและเพิ่มขนาดได้อย่างต่อเนื่อง ถังปฏิกรณ์ชีวภาพรุ่นใหม่นี้เป็นรุ่นเดียวในตลาดที่มีลิ้นชักด้านล่างเพื่อให้ใส่ถุงได้ง่ายและปลอดภัย ทั้งยังสามารถทำการผสมสารเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างรวดเร็วด้วยประสิทธิภาพคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปริมาณมากๆ
ส่วนเครื่องผสม Mobius(R) Power MIX 2000 อันทรงพลัง ที่ใช้ผสมสารบัฟเฟอร์ สารตัวกลาง และส่วนผสมชีวเภสัชภัณฑ์อื่นๆที่ผสมยากนั้น ประกอบด้วยใบพัดที่ออกแบบมาอย่างดี รวมถึงมอเตอร์พลังแม่เหล็กเทคโนโลยี NovAseptic(R) อันเป็นเทคโนโลยีการผสมที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในถังสเตนเลสสตีล โดยสามารถเก็บตัวอย่างปลอดเชื้อจากถังผสมได้โดยตรง และมี Probe Port ที่เสียบได้ทั้ง standard probe แบบใช้ซ้ำสำหรับกระบวนการที่ไม่ต้องปลอดเชื้อ และเซนเซอร์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว สำหรับวัดค่า pH ในกระบวนการที่ต้องปลอดเชื้อ
ด้านระบบขนส่งของเหลวในปริมาณมากจากตระกูล Mobius(R) ประกอบด้วยถุงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและถังสเตนเลสสตีล ที่ช่วยให้การขนส่งสารตัวกลาง สารบัฟเฟอร์ และผลิตภัณฑ์ยาขั้นสุดท้าย ทั้งแบบปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อ ทั้งในอุณหภูมิต่ำหรืออุณภูมิห้อง เป็นไปด้วยความปลอดภัยและสะดวกสบาย ระบบนี้ประกอบด้วยถุงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 4 ถุง ขนาดตั้งแต่ 100 ถึง 500 ลิตร โดยทุกถุงทำมาจากฟิล์ม PureFlex(TM) Plus ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีโอกาสรั่วซึมต่ำมากและมีคุณสมบัติป้องกันก๊าซซึมผ่าน
เมอร์คจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและผลิตภัณฑ์อื่นๆในกระบวนการผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ ที่บูธหมายเลข #2841 ในงาน INTERPHEX 2016 ซึ่งจัดขึ้นที่มหานครนิวยอร์กระหว่างวันที่ 26-28 เมษายนนี้ และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทางทวิตเตอร์ @merckgroup
เกี่ยวกับเมอร์ค
เมอร์ค คือบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำในด้านการดูแลสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และเพอร์ฟอร์แม้นซ์ แมททิเรียล พนักงานราว 50,000 คนของบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆที่ช่วยปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ยาชีวภาพเพื่อรักษาโรคมะเร็งหรือโรคปลอกประสาทอักเสบ ระบบที่ทันสมัยสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการผลิต ไปจนถึงจอแอลซีดีสำหรับสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ทั้งนี้ ในปี 2558 เมอร์คสามารถทำยอดขายได้ 1.285 หมื่นล้านยูโร ใน 66 ประเทศ
เมอร์คก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2211 จึงเป็นบริษัทเภสัชภัณฑ์และเคมีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ครอบครัวผู้ก่อตั้งบริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทเมอร์คในดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนี ครอบครองสิทธิ์ในชื่อและแบรนด์เมอร์คทั่วโลก ยกเว้นในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจในชื่อ อีเอ็มดี โซโรโน่, มิลลิพอร์ซิกม่า และอีเอ็มดี เพอร์ฟอร์แม้นซ์ แมททิเรียล
ข่าวประชาสัมพันธ์ของเมอร์คทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ผ่านทางอีเมลในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของเมอร์ค กรุณาคลิกที่ www.merckgroup.com/subscribe เพื่อลงทะเบียนออนไลน์ เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกบริการนี้
- เครื่องผสมขนาด 2,000 ลิตรสำหรับสารบัฟเฟอร์และสารตัวกลางที่ผสมยาก
- ระบบขนส่งของเหลวปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อในปริมาณมาก
เมอร์ค (Merck) บริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำ ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 รายการจากตระกูล Mobius(R) ที่จะช่วยให้กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมชีวเภสัชภัณฑ์มีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์ใหม่จากตระกูล Mobius(R) ประกอบด้วย ถังปฏิกรณ์ชีวภาพแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งขนาด 1,000 ลิตร เครื่องผสมขนาด 2,000 ลิตรสำหรับสารที่ผสมยาก รวมถึงระบบขนส่งของเหลวปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อในปริมาณมาก
"ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในตระกูล Mobius(R) สามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นของลูกค้า โดยลูกค้าต่างต้องการระบบที่ใช้งานง่าย จะได้ทุ่มเทให้กับการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มที่" อูดิท บาทรา ซีอีโอของ ธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ของเมอร์ค กล่าว
ถังปฏิกรณ์ชีวภาพแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งขนาด 1,000 ลิตร ได้เข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ถังปฏิกรณ์ Mobius(R) ที่มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ 3 ถึง 2,000 ลิตร รองรับการใช้งานอย่างยืดหยุ่นและเพิ่มขนาดได้อย่างต่อเนื่อง ถังปฏิกรณ์ชีวภาพรุ่นใหม่นี้เป็นรุ่นเดียวในตลาดที่มีลิ้นชักด้านล่างเพื่อให้ใส่ถุงได้ง่ายและปลอดภัย ทั้งยังสามารถทำการผสมสารเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างรวดเร็วด้วยประสิทธิภาพคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปริมาณมากๆ
ส่วนเครื่องผสม Mobius(R) Power MIX 2000 อันทรงพลัง ที่ใช้ผสมสารบัฟเฟอร์ สารตัวกลาง และส่วนผสมชีวเภสัชภัณฑ์อื่นๆที่ผสมยากนั้น ประกอบด้วยใบพัดที่ออกแบบมาอย่างดี รวมถึงมอเตอร์พลังแม่เหล็กเทคโนโลยี NovAseptic(R) อันเป็นเทคโนโลยีการผสมที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในถังสเตนเลสสตีล โดยสามารถเก็บตัวอย่างปลอดเชื้อจากถังผสมได้โดยตรง และมี Probe Port ที่เสียบได้ทั้ง standard probe แบบใช้ซ้ำสำหรับกระบวนการที่ไม่ต้องปลอดเชื้อ และเซนเซอร์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว สำหรับวัดค่า pH ในกระบวนการที่ต้องปลอดเชื้อ
ด้านระบบขนส่งของเหลวในปริมาณมากจากตระกูล Mobius(R) ประกอบด้วยถุงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและถังสเตนเลสสตีล ที่ช่วยให้การขนส่งสารตัวกลาง สารบัฟเฟอร์ และผลิตภัณฑ์ยาขั้นสุดท้าย ทั้งแบบปลอดเชื้อและไม่ปลอดเชื้อ ทั้งในอุณหภูมิต่ำหรืออุณภูมิห้อง เป็นไปด้วยความปลอดภัยและสะดวกสบาย ระบบนี้ประกอบด้วยถุงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 4 ถุง ขนาดตั้งแต่ 100 ถึง 500 ลิตร โดยทุกถุงทำมาจากฟิล์ม PureFlex(TM) Plus ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีโอกาสรั่วซึมต่ำมากและมีคุณสมบัติป้องกันก๊าซซึมผ่าน
เมอร์คจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและผลิตภัณฑ์อื่นๆในกระบวนการผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ ที่บูธหมายเลข #2841 ในงาน INTERPHEX 2016 ซึ่งจัดขึ้นที่มหานครนิวยอร์กระหว่างวันที่ 26-28 เมษายนนี้ และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทางทวิตเตอร์ @merckgroup
เกี่ยวกับเมอร์ค
เมอร์ค คือบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำในด้านการดูแลสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และเพอร์ฟอร์แม้นซ์ แมททิเรียล พนักงานราว 50,000 คนของบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆที่ช่วยปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ยาชีวภาพเพื่อรักษาโรคมะเร็งหรือโรคปลอกประสาทอักเสบ ระบบที่ทันสมัยสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการผลิต ไปจนถึงจอแอลซีดีสำหรับสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ทั้งนี้ ในปี 2558 เมอร์คสามารถทำยอดขายได้ 1.285 หมื่นล้านยูโร ใน 66 ประเทศ
เมอร์คก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2211 จึงเป็นบริษัทเภสัชภัณฑ์และเคมีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ครอบครัวผู้ก่อตั้งบริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทเมอร์คในดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนี ครอบครองสิทธิ์ในชื่อและแบรนด์เมอร์คทั่วโลก ยกเว้นในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจในชื่อ อีเอ็มดี โซโรโน่, มิลลิพอร์ซิกม่า และอีเอ็มดี เพอร์ฟอร์แม้นซ์ แมททิเรียล
ข่าวประชาสัมพันธ์ของเมอร์คทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ผ่านทางอีเมลในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของเมอร์ค กรุณาคลิกที่ www.merckgroup.com/subscribe เพื่อลงทะเบียนออนไลน์ เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกบริการนี้
New Merck Products Bring Ease of Use to Single-Use
- Launching products at INTERPHEX 2016 include 1000-liter bioreactor for greater flexibility and continuity for scale-up
- 2000-liter mixer for difficult-to-mix buffers and media
- Large volume transport system for aseptic and non-aseptic liquids
Merck , a leading science and technology company, is launching three Mobius(R) products that deliver improved efficiency and ease-of-use for biopharmaceutical manufacturing workflows.
The new Mobius(R) products include a 1000-liter single-use bioreactor with an industry-leading design, a 2000-liter mixing system for difficult-to-mix biopharm ingredients and a large volume liquid transport system for aseptic and non-aseptic substances.
"Our newest Mobius(R) products meet our customers' increasingly complex demands for user friendly systems that allow them to focus on their science," said Udit Batra, CEO, Life Science at Merck .
The Mobius(R) 1000 liter single-use bioreactor completes the comprehensive Mobius(R) stirred tank portfolio of 3 to 2000 liter sizes, delivering greater flexibility and continuity for scale-up. With the industry's only bottom-loading drawer for easy and safe bag installation, Merck's new bioreactor is designed to achieve homogenous and fast mixing for consistent performance, especially at large scale.
The Mobius(R) Power MIX 2000 creates a strong vortex to handle difficult-to-mix buffers, media and other biopharm ingredients. Powerful mixing is achieved from an impeller design and motor based on magnetically-coupled NovAseptic(R) technology, a proven mixing technology in stainless steel tanks. The Power MIX 2000 provides accessible, sterile zero deadleg sampling directly from the mixing container. A Probe Port allows insertion of either a reusable standard probe for non-aseptic processes or a pre-sterilized, single-use sensor for in-process pH measurement of aseptic processes.
The Mobius(R) single-use 3D large liquid transportation system's single-use bags and stainless steel transporter bins facilitate the safe and convenient road transport of aseptic and non-aseptic media, buffers, in-process intermediates and final bulk drug products at cold or ambient temperatures. The system offers four single-use bag assemblies with working volumes of 100 to 500 liters. All bags are constructed from PureFlex? Plus film with a proven low extractable profile and gas barrier properties.
Merck will showcase its industry-leading portfolio of single-use and other biopharmaceutical manufacturing products at booth #2841 at INTERPHEX 2016 in New York City from April 26 – 28. Follow us on Twitter @merckgroup.
About Merck
Merck is a leading science and technology company in healthcare, life science and performance materials. Around 50,000 employees work to further develop technologies that improve and enhance life – from biopharmaceutical therapies to treat cancer or multiple sclerosis, cutting-edge systems for scientific research and production, to liquid crystals for smartphones and LCD televisions. In 2015, Merck generated sales of EUR12.85 billion in 66 countries.
Founded in 1668, Merck is the world's oldest pharmaceutical and chemical company. The founding family remains the majority owner of the publicly listed corporate group. Merck, Darmstadt, Germany holds the global rights to the Merck name and brand. The only exceptions are the United States and Canada, where the company operates as EMD Serono, MilliporeSigma and EMD Performance Materials.
All Merck news releases are distributed by email at the same time they become available on the Merck website. Please go to www.merckgroup.com\subscribe to register online, change your selection or discontinue this service.
- 2000-liter mixer for difficult-to-mix buffers and media
- Large volume transport system for aseptic and non-aseptic liquids
Merck , a leading science and technology company, is launching three Mobius(R) products that deliver improved efficiency and ease-of-use for biopharmaceutical manufacturing workflows.
The new Mobius(R) products include a 1000-liter single-use bioreactor with an industry-leading design, a 2000-liter mixing system for difficult-to-mix biopharm ingredients and a large volume liquid transport system for aseptic and non-aseptic substances.
"Our newest Mobius(R) products meet our customers' increasingly complex demands for user friendly systems that allow them to focus on their science," said Udit Batra, CEO, Life Science at Merck .
The Mobius(R) 1000 liter single-use bioreactor completes the comprehensive Mobius(R) stirred tank portfolio of 3 to 2000 liter sizes, delivering greater flexibility and continuity for scale-up. With the industry's only bottom-loading drawer for easy and safe bag installation, Merck's new bioreactor is designed to achieve homogenous and fast mixing for consistent performance, especially at large scale.
The Mobius(R) Power MIX 2000 creates a strong vortex to handle difficult-to-mix buffers, media and other biopharm ingredients. Powerful mixing is achieved from an impeller design and motor based on magnetically-coupled NovAseptic(R) technology, a proven mixing technology in stainless steel tanks. The Power MIX 2000 provides accessible, sterile zero deadleg sampling directly from the mixing container. A Probe Port allows insertion of either a reusable standard probe for non-aseptic processes or a pre-sterilized, single-use sensor for in-process pH measurement of aseptic processes.
The Mobius(R) single-use 3D large liquid transportation system's single-use bags and stainless steel transporter bins facilitate the safe and convenient road transport of aseptic and non-aseptic media, buffers, in-process intermediates and final bulk drug products at cold or ambient temperatures. The system offers four single-use bag assemblies with working volumes of 100 to 500 liters. All bags are constructed from PureFlex? Plus film with a proven low extractable profile and gas barrier properties.
Merck will showcase its industry-leading portfolio of single-use and other biopharmaceutical manufacturing products at booth #2841 at INTERPHEX 2016 in New York City from April 26 – 28. Follow us on Twitter @merckgroup.
About Merck
Merck is a leading science and technology company in healthcare, life science and performance materials. Around 50,000 employees work to further develop technologies that improve and enhance life – from biopharmaceutical therapies to treat cancer or multiple sclerosis, cutting-edge systems for scientific research and production, to liquid crystals for smartphones and LCD televisions. In 2015, Merck generated sales of EUR12.85 billion in 66 countries.
Founded in 1668, Merck is the world's oldest pharmaceutical and chemical company. The founding family remains the majority owner of the publicly listed corporate group. Merck, Darmstadt, Germany holds the global rights to the Merck name and brand. The only exceptions are the United States and Canada, where the company operates as EMD Serono, MilliporeSigma and EMD Performance Materials.
All Merck news releases are distributed by email at the same time they become available on the Merck website. Please go to www.merckgroup.com\subscribe to register online, change your selection or discontinue this service.
Lenovo Unveils the Game-Changer ZUK Z2 Pro
The Android Flagship Integrates 10 Professional Sensors and Sets Nine World Records
Lenovo launched its new flagship smartphone the ZUK Z2 Pro on April 21, 2016, achieving nine industry firsts in the process. In addition to a number of other records, the Z2 Pro is the first smartphone to fully activate the performance of the Qualcomm Snapdragon 820 chip and integrate ten professional sensors.
As the latest Android flagship, the Lenovo ZUK Z2 Pro sets nine world records. It's the world's first Android flagship that:
- 100% activates the performance of Snapdragon 820;
- integrates ten professional sensors;
- supports heart rate, blood oxygen and UV detection;
- adopts a true 3D glass body;
- enables photographing with heart beats;
- supports unlocking with wet fingerprints;
- boasts the fastest worldwide networking searching speed;
- supports iCloud synchronization;
- supports network-free purchase of overseas roaming services.
100% Activates Snapdragon 820 for the First Time
Equipped with the Snapdragon 820 chip, the Z2 Pro exclusively defines the SPU (Sensor Processing Unit) concept. Developed based on the CPU+GPU+SPU processor structure, the Z2 Pro is the world's first smartphone that 100% activates the potential of the Snapdragon 820 platform.
With ten professional sensors and SPU, the Z2 Pro can perceive the true world with data. ZUK has also created the "U-health" App, making it a flagship that truly understands sports, as it can not only monitor and analyze, but also provide professional suggestions.
The First True 3D Glass Body Features RollCage Shock-Absorptive Design
The Lenovo ZUK Z2 Pro is the first flagship that adopts a true 3D glass body which differs from the 2.5D glass body to best meet ergonomics and create the best holding feeling. The unique RollCage shock-absorptive design, along with the arch bridge shape and evenly-thick 3D glass, can effectively improve the pressure-resistant capability and protect the mobile phone to the greatest extent.
5.2" Super AMOLED Screen, the World's Narrowest Frame
The Lenovo ZUK Z2 Pro boasts the newest generation of Samsung 5.2" 1080P full HD Super AMOLED screen, with minimum brightness of merely 1nit, maximum up to 500 nit. Notably, the Z2 Pro is designed with a near-invisible 0.05mm-thick black border and total frame width of 1.41mm, which sets the new record for the industry.
High-aperture + High-pixel + Dual IS, Support of PDAF+CAF Dual-mode Focus
The Lenovo ZUK Z2 Pro, as one of the world's first batch of F1.8 high-aperture, 1.34?m high-pixel, dual IS mobile phones, supports PDAF+CAF dual-mode focus, with superior effects in high-speed focusing, night shooting and sports shooting. It supports 4K video shooting, and realizes 960fps ultra-high-speed shooting in mobile phone for the first time.
The First Mobile Phone Supporting Wet Fingerprint Unlocking
ZUK embodies further optimization and upgrading of its acclaimed U-touch function which integrates Android phones' back, home and multi-task buttons, with ZUI OS 2.0 users can customize various finger gestures.
The Z2 Pro's fingerprint unlocking takes only 0.1 seconds, which is the fastest in the market. It is also the first mobile phone supporting wet fingerprint unlocking.
The First Android Mobile Phone Supports iCloud Synchronization
For the first time ever, the Z2 Pro bridges Android and iOS ecosystems. Specifically, you can synchronize data with iPhone by logging in an iCloud account through ZUI system, and synchronize contacts.
Supports Web-less Purchase of Data Roaming Abroad
The Lenovo ZUK Z2 Pro is designed with 7-mode and 23-band configuration. Besides, it supports the latest VoLTE 4G voice communication technology. Through its unique solution, the Z2 Pro can realize the world's fastest network searching and connect speed and and with its built-in data roaming function, users can enjoy data roaming in more than 80 countries and regions. The device also supports web-less purchase of data roaming services.
Premium Version Is Priced at RMB2,699
The Lenovo ZUK Z2 Pro has a premium and flagship version, with memory capacities of 128G and 64G respectively, with color options of titanium black and porcelain white. The premium version is equipped with 6GB RAM + 128GB ROM memory and priced at RMB2,699 (about $415) and the flagship version is equipped with 4GB RAM + 64GB ROM memory.
Pre-order will start on May 10 on ZUK's official website.
Lenovo launched its new flagship smartphone the ZUK Z2 Pro on April 21, 2016, achieving nine industry firsts in the process. In addition to a number of other records, the Z2 Pro is the first smartphone to fully activate the performance of the Qualcomm Snapdragon 820 chip and integrate ten professional sensors.
As the latest Android flagship, the Lenovo ZUK Z2 Pro sets nine world records. It's the world's first Android flagship that:
- 100% activates the performance of Snapdragon 820;
- integrates ten professional sensors;
- supports heart rate, blood oxygen and UV detection;
- adopts a true 3D glass body;
- enables photographing with heart beats;
- supports unlocking with wet fingerprints;
- boasts the fastest worldwide networking searching speed;
- supports iCloud synchronization;
- supports network-free purchase of overseas roaming services.
100% Activates Snapdragon 820 for the First Time
Equipped with the Snapdragon 820 chip, the Z2 Pro exclusively defines the SPU (Sensor Processing Unit) concept. Developed based on the CPU+GPU+SPU processor structure, the Z2 Pro is the world's first smartphone that 100% activates the potential of the Snapdragon 820 platform.
With ten professional sensors and SPU, the Z2 Pro can perceive the true world with data. ZUK has also created the "U-health" App, making it a flagship that truly understands sports, as it can not only monitor and analyze, but also provide professional suggestions.
The First True 3D Glass Body Features RollCage Shock-Absorptive Design
The Lenovo ZUK Z2 Pro is the first flagship that adopts a true 3D glass body which differs from the 2.5D glass body to best meet ergonomics and create the best holding feeling. The unique RollCage shock-absorptive design, along with the arch bridge shape and evenly-thick 3D glass, can effectively improve the pressure-resistant capability and protect the mobile phone to the greatest extent.
5.2" Super AMOLED Screen, the World's Narrowest Frame
The Lenovo ZUK Z2 Pro boasts the newest generation of Samsung 5.2" 1080P full HD Super AMOLED screen, with minimum brightness of merely 1nit, maximum up to 500 nit. Notably, the Z2 Pro is designed with a near-invisible 0.05mm-thick black border and total frame width of 1.41mm, which sets the new record for the industry.
High-aperture + High-pixel + Dual IS, Support of PDAF+CAF Dual-mode Focus
The Lenovo ZUK Z2 Pro, as one of the world's first batch of F1.8 high-aperture, 1.34?m high-pixel, dual IS mobile phones, supports PDAF+CAF dual-mode focus, with superior effects in high-speed focusing, night shooting and sports shooting. It supports 4K video shooting, and realizes 960fps ultra-high-speed shooting in mobile phone for the first time.
The First Mobile Phone Supporting Wet Fingerprint Unlocking
ZUK embodies further optimization and upgrading of its acclaimed U-touch function which integrates Android phones' back, home and multi-task buttons, with ZUI OS 2.0 users can customize various finger gestures.
The Z2 Pro's fingerprint unlocking takes only 0.1 seconds, which is the fastest in the market. It is also the first mobile phone supporting wet fingerprint unlocking.
The First Android Mobile Phone Supports iCloud Synchronization
For the first time ever, the Z2 Pro bridges Android and iOS ecosystems. Specifically, you can synchronize data with iPhone by logging in an iCloud account through ZUI system, and synchronize contacts.
Supports Web-less Purchase of Data Roaming Abroad
The Lenovo ZUK Z2 Pro is designed with 7-mode and 23-band configuration. Besides, it supports the latest VoLTE 4G voice communication technology. Through its unique solution, the Z2 Pro can realize the world's fastest network searching and connect speed and and with its built-in data roaming function, users can enjoy data roaming in more than 80 countries and regions. The device also supports web-less purchase of data roaming services.
Premium Version Is Priced at RMB2,699
The Lenovo ZUK Z2 Pro has a premium and flagship version, with memory capacities of 128G and 64G respectively, with color options of titanium black and porcelain white. The premium version is equipped with 6GB RAM + 128GB ROM memory and priced at RMB2,699 (about $415) and the flagship version is equipped with 4GB RAM + 64GB ROM memory.
Pre-order will start on May 10 on ZUK's official website.
Subscribe to:
Posts (Atom)