Friday, September 30, 2016

Pelli Clarke Pelli Architects เนรมิตหอประชุม Hancher คืนสู่มหาวิทยาลัยไอโอวา

          หอประชุม Hancher แห่งมหาวิทยาลัยไอโอวา คือศูนย์จัดแสดงศิลปะชั้นนำของรัฐและได้รับยกย่องว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างสุดอลังการให้เหล่าศิลปินทั้งในและต่างประเทศได้ใช้แสดงนวัตกรรมด้านการเต้นรำและการละคร จนเมื่อปี 2551 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ขึ้น ส่งผลให้อาคารหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยสำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง (FEMA) ระบุว่า หอประชุม Hancher และอาคารอีกจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อีก จึงได้จัดสรรเงินทุนส่วนหนึ่งสำหรับก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ขึ้นในสถานที่เดิม
         



          Pelli Clarke Pelli Architects ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ขึ้นภายหลังการว่าจ้างและร่วมงานกับ ชัค สแวนสัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการก่อสร้างหอประชุม Hancher และคณะกรรมการดูแลการก่อสร้างของมหาวิทยาลัยไอโอวา เมื่อปี 2553 โดยชัคกล่าวว่า "การทำงานร่วมกับทีมงานในการออกแบบและก่อสร้างหอประชุม Hancher ใหม่ในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม เราจะเฉลิมฉลองพิธีเปิดไปด้วยกัน อีกทั้งร่วมรับรู้ว่าหอประชุม Hancher อีกทั้งศิลปะอันหลากหลายที่อยู่ในมหาวิทยาลัยไอโอวาแห่งนี้ จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของนักศึกษา รวมถึงชาวไอโอวาทั่วทั้งรัฐในรุ่นต่อ ๆ ไป"

          ความตื่นเต้นค่อย ๆ พรั่งพรูเข้ามาตลอดฤดูร้อน เพราะหอประชุม Hancher เป็นอาคารแรกในจำนวนอาคารใหม่ 4 หลังที่เปิดใช้งานหลังน้ำท่วม พิธีเปิดถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน โดย หอประชุม Hancher เปิดประตูต้อนรับมวลชนที่มาร่วมงานด้วยเสียงดนตรีประโคมอันกึกก้อง มิทเชลล์ เฮิร์ช ประธานดำเนินการและออกแบบแห่งสถาบันสถาปนิกอเมริกัน ภายใต้หลักเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา กล่าวหลังจากเข้าร่วมพิธีเปิดว่า "นี่คือสุดยอดการเฉลิมฉลองอนุสรณ์แห่งการกลับมาของห้องนั่งเล่นทางวัฒนธรรมแห่งชุมชนไอโอวา"

          ด้านนายเปลลี หนึ่งในผู้บริหารอาวุโสของ Pelli Clarke Pelli Architects ได้อธิบายถึงหอประชุม Hancher แห่งใหม่นี้ว่าเป็น "วิสัยทัศน์แห่งความงดงามและพันธสัญญาของการแสดงสุดพิเศษ" การออกแบบนั้นอยู่บนพื้นฐานของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของตัวอาคาร ได้มาเป็นรูปแบบที่ทอดขยายไปตามแนวนอนอันสะท้อนภูมิทัศน์และเส้นโค้งของแม่น้ำ รูปแบบคานคู่ขนานทางทิศใต้ของตัวอาคารรังสรรค์ล็อบบี้ลอยฟ้าและระเบียงสองชั้น ผนังกระจกที่สูงจากพื้นจรดเพดานซึ่งอยู่ใต้คานทำให้สามารถดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพของแม่น้ำและมหาวิทยาลัยได้แบบพาโนรามา
         
เกี่ยวกับ PELLI CLARKE PELLI:

          Pelli Clarke Pelli Architects ก่อตั้งขึ้นในปี 2520 นำโดยผู้บริหารอาวุโส ซีซาร์ เปลลี, เฟรด คลาร์ก และราฟาเอล เปลลี บริษัทเป็นผู้ออกแบบอาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกหลายแห่ง อาทิ World Financial Center ในนิวยอร์ก, Petronas Towers ในกัวลาลัมเปอร์ และ International Finance Centre ในฮ่องกง Pelli Clarke Pelli Architects ได้รับการชื่นชม รวมถึงได้รับรางวัลด้านการออกแบบนับร้อยรายการ ได้แก่ รางวัล AIA Firm Award และรางวัล Aga Khan Award for Architecture เป็นต้น
          
twitter.com/PCPArch 
          
instagram.com/pcparch/

Hancher Auditorium, designed by Pelli Clarke Pelli Architects, Celebrated its Opening

         Hancher, University of Iowa, is the state's leading performing arts presenter and has earned a stellar reputation for commissioning national and international artists to create innovative dance and theater. In 2008 many buildings suffered tremendous damage from a devastating flood. FEMA determined that Hancher, among others, could not be salvaged and funded a substantial portion of the venue's rebuilding.

       
 
 
 

          Pelli Clarke Pelli Architects was awarded this competitively sought after commission and began working with Chuck Swanson, Executive Director for Hancher and members of UI's Facilities group in 2010. According to Chuck, "Working with the project team on the design and construction of our new Hancher has been a once in a lifetime experience. Together we can celebrate the opening, and know that Hancher Auditorium and the arts at the University of Iowa, will enrich the lives of University of Iowa students and Iowans from across the state for generations to come."

          Excitement has been percolating all summer. Hancher Auditorium is the first of four newly constructed campus buildings opening after the flood. Beginning with a ribbon-cutting ceremony on September 9,  Hancher Auditorium has opened its doors with great fanfare and public engagement. Principal-in-Charge/Design Mitchell Hirsch, AIA, LEED comments, after attending the event, "This was a wonderful celebration that commemorated the return of Greater Iowa City's cultural community living room."

          Mr. Pelli describes the new Hancher as "a vision of beauty and a promise of extraordinary performances." With sweeping horizontal forms that echo the landscape and the curve of the river, the design draws from the building's natural surroundings. Parallel forms cantilever at the south end of the building, creating overhangs for the lobby and a second-level terrace. Floor-to-ceiling glass walls below the cantilevers offer panoramic views of the campus and the river.
         
ABOUT PELLI CLARKE PELLI:

          Founded in 1977, Pelli Clarke Pelli Architects is led by Senior Principals Cesar Pelli, Fred Clarke, and Rafael Pelli. The firm has designed some of the world's most recognizable buildings, including the World Financial Center in New York, the Petronas Towers in Kuala Lumpur, and the International Finance Centre in Hong Kong. Pelli Clarke Pelli Architects has been honored with critical acclaim and hundreds of design awards, including the AIA Firm Award and the Aga Khan Award for Architecture.
          
twitter.com/PCPArch 
          
instagram.com/pcparch/

มหกรรม “IAA Commercial Vehicles” ครั้งที่ 66 ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

         คุณแมทเทียส วิสส์แมนน์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) จัดงานแถลงข่าวครั้งสุดท้ายของมหกรรม IAA Commercial Vehicles ครั้งที่ 66 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2559 เวลา 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ พื้นที่จัดแสดงในเมืองฮันโนเวอร์ โดยมีใจความดังนี้

          มหกรรมแสดงสินค้าระดับโลกครั้งนี้มีความเป็นสากลมากขึ้น และมีจำนวนผู้เข้าชมงานมากขึ้น แม้ระยะเวลาการจัดงานจะสั้นกว่าครั้งก่อน พร้อมกันนั้นยังมีการเปิดตัวยานยนต์และเทคโนโลยีถึง 332 รายการเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนเมกะเทรนด์แห่งอนาคตประกอบด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบโลจิสติกส์ในเขตเมือง

          สโลแกน "ขับเคลื่อนด้วยความคิด" (Driven by Ideas) ได้ถูกทำให้กลายเป็นรูปธรรมในมหกรรมยานยนต์ การขนส่ง และโลจิสติกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกงานนี้ ด้วยพลวัตและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ภาพแห่งอนาคตจึงกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ โดยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ได้ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก ซึ่งพิสูจน์ได้จากการเปิดตัวยานยนต์และเทคโนโลยีทั้ง 332 รายการเป็นครั้งแรกของโลก และอีกกว่า 100 รายการเป็นครั้งแรกของยุโรป มหกรรม IAA ในปีนี้จึงเป็นมากกว่างานแสดงสินค้าทั่วไป และมีความเป็นสากลมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา

          สำหรับ 3 เทรนด์หลักที่ขับเคลื่อนงาน IAA ในปีนี้ประกอบด้วย ยานยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล และระบบโลจิสติกส์ในเขตเมือง

          ยานยนต์ไฟฟ้า: ผู้ผลิตรถบัสและรถตู้สำหรับใช้ในเมืองแทบทุกเจ้าต่างมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ซึ่งบางส่วนได้เริ่มใช้จริงบนท้องถนนแล้ว ขณะที่บางส่วนจะเริ่มใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ชี้ให้เห็นว่าการใช้ยานยนต์ไร้มลพิษในเขตเมืองมีความเป็นไปได้มากขึ้น และเสียงของเครื่องยนต์ก็จะเงียบราวกับเสียงกระซิบ โดยนวัตกรรมดังกล่าวจะมีการปรับใช้กับรถบรรทุกหนักในเขตเมืองต่อไป ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในเขตเมืองให้ดียิ่งขึ้น

          การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล: คือการขับเคลื่อนนวัตกรรมที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากที่สุด โดยการเชื่อมต่อระบบดิจิทัลและระบบอัตโนมัติของยานยนต์เชิงพาณิชย์จะได้รับการพัฒนาให้เป็นมากกว่าระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

          หนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ขบวนรถบรรทุกที่เชื่อมต่อกับระบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบดิจิทัลบนฟรีเวย์หรือถนนทางไกล ซึ่งสามารถประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยในการขับขี่สูงขึ้น เนื่องจากจะไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะระบบอิเล็กทรอนิกส์จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับรถบรรทุกทางไกลสามารถจองที่จอดรถล่วงหน้าผ่านทางออนไลน์ได้

          ระบบโลจิสติกส์ในเขตเมือง: การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลช่วยส่งเสริมให้การคมนาคมในเขตเมืองมีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยกล้องและเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งรอบคันรถจะช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจาก "จุดบอด" ทำให้สามารถส่งสินค้าได้ครบตรงตามความต้องการและตรงเวลา สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจเป็นเพียงรูปธรรมในเขตเมือง แต่ได้เกิดขึ้นจริงแล้วในพื้นที่ห่างไกลหรือในเขตเทือกเขาหลายแห่ง โดยมีการใช้โดรนส่งของไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ซึ่งเราได้จัดแสดงนวัตกรรมนี้ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมกันที่ฮอลล์ 19

          สามเมกะเทรนด์ข้างต้นจะมีอิทธิพลต่อระบบขนส่งในเขตเมืองอย่างมาก โดยผู้ที่ต้องใช้ยานยนต์และระบบโลจิสติกส์ในเขตเมืองจะได้รับประโยชน์จากการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น

          ในส่วนของ "New Mobility World logistics" นั้น ได้มีการจัดการประชุม การสาธิตกลางแจ้ง การนำชมงาน รวมถึงการทดลองขับยานยนต์ไฟฟ้าภายในบริเวณงาน เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสกับนวัตกรรมของจริง และดำดิ่งไปสู่โลกแห่งยานยนต์และการขนส่งผ่านประสบการณ์โดยตรง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษของงานนี้ โดยเราพยายามทำให้เป็นกิจกรรมมากกว่าเป็นแค่การนำสินค้ามาตั้งโชว์เพียงอย่างเดียว

          มหกรรม IAA เป็นงานเดียวที่คุณจะได้เห็นห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อการพาณิชย์อย่างครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งทำให้งานนี้แตกต่างจากงานแสดงยานยนต์อื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนของซัพพลายเออร์ได้ดีเยี่ยม โดยมีซัพพลายเออร์คิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ออกร้านทั้งหมด 2,013 ราย และซัพพลายเออร์เหล่านี้เองที่เป็นกำลังหลักในการเปิดตัวนวัตกรรมระดับโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 72% (239 รายการ) จากการเปิดตัวทั้งหมด 332 รายการ โดยส่วนใหญ่มาจากวงการยานยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล อีกทั้งซัพพลายเออร์เหล่านี้ยังครองสัดส่วนการเปิดตัวฝั่งยุโรปใกล้เคียงกันอีกด้วย (71%)

          ในงานนี้ ผู้ผลิตรถบรรทุกและตัวถังรถมีความโดดเด่นด้วยนวัตกรรมที่หลากหลาย โดยผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงการสร้างมูลค่าที่นับวันจะมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ระบบส่งกำลังทางเลือกไปจนถึงบริการใหม่ๆ ในขณะที่เส้นกั้นระหว่างซัพพลายเออร์และผู้ผลิตก็กำลังจางลง ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ

          รถบัสได้ถูกนำเสนออย่างเด่นชัดเป็นพิเศษในงานนี้ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ 4 ใน 5 ของรถบัสที่เข้าชิงรางวัล "Bus of the Year" เป็นรถพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเทรนด์ในปัจจุบันกำลังมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ถึงแม้ว่ารถบัสจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุดอยู่แล้วก็ตาม

          มหกรรม IAA ในปีนี้ยังมีความเป็นสากลมากกว่าที่เคย โดยสัดส่วนของผู้ออกบูธจากต่างประเทศอยู่ที่ 61% (เพิ่มขึ้นจาก 59% ในปี 2557) และมีประเทศที่เข้าร่วม 52 ประเทศ (เพิ่มขึ้นจาก 45 ประเทศในปี 2557) สำหรับประเทศที่มีผู้จัดแสดงเข้าร่วมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (229 ราย) อิตาลี (145 ราย) เนเธอร์แลนด์ (121 ราย) ตุรกี (92 ราย) และฝรั่งเศส (85 ราย) โดยผู้จัดแสดงมากกว่า 1 ใน 3 มาจากทวีปยุโรป (ไม่รวมเยอรมนี) และ 1 ใน 5 มาจากทวีปเอเชีย

          เรารู้สึกยินดีกับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้เข้าชมงาน ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเปรียบเทียบจำนวนผู้เข้าชมงานในปี 2559 กับปี 2557 ได้โดยตรง เนื่องจากในปี 2559 เราจัดงานเพียง 9 วัน แต่ในปี 2557 เราจัดงาน 10 วัน แต่ที่เห็นได้ชัดคือ เราจัดงานแถลงข่าวมากกว่าเดิมหลายรอบ ขณะที่จำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้เข้าชมมหาศาลกว่า 245,000 คนในปีนี้ ซึ่งนับว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ และแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ระยะเวลาการจัดงานจะสั้นกว่า แต่ก็มีจำนวนผู้เข้าชมมากกว่าปี 2557

          ผู้จัดแสดงในงานยังได้แสดงความพอใจกับคุณภาพของผู้เข้าชมงานและการสนทนาอย่างเข้มข้นกับลูกค้า มหกรรมนี้จึงเป็นงานสำหรับมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยสัดส่วนของผู้เข้าชมงานที่เป็นผู้ประกอบการพุ่งแตะ 86% ในปีนี้ (เพิ่มขึ้นจาก 84% ในปี 2557) ซึ่ง 8 ใน 10 ของผู้ประกอบการเหล่านี้มีอำนาจในการตัดสินใจ และสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 9 ใน 10 ในหมู่ผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ผลสำรวจของเราพบว่า เหล่าผู้บริหารทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมนี้ ต่างรู้ดีว่ามหกรรม IAA เป็นงานที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

          ขณะเดียวกัน ผู้เข้าชมงานที่เป็นผู้ประกอบการก็มีความเป็นสากลมากขึ้นในปีนี้ โดย 1 ใน 3 มาจากต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจาก 29% ในปี 2557) และมีจำนวนสูงสูดถึง 43% ในวันที่พีคที่สุด โดยผู้ประกอบการจากต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากจีน ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์และโปแลนด์

          นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงาน IAA ต่างมีความต้องการที่จะลงทุนมากขึ้นหลังเดินชมรอบงาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว กล่าวคือ 60% ของผู้เข้าชมงานที่มีอำนาจตัดสินใจซื้อ มีแผนลงทุนในด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า (เพิ่มขึ้นจาก 56% ในปี 2557) และผู้ชมงานมากกว่า 50% เข้าร่วมงานเพื่อวางแผนการลงทุน ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวสูงขึ้นในหมู่ผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศ (68%) นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานบางส่วนมีความกระตือรือร้นสูงที่จะตัดสินใจภายในงาน ขณะที่ผู้จัดแสดงบางรายจะสั่นกระดิ่งเมื่อมีการบรรลุข้อตกลง ซึ่งทุกๆชั่วโมงจะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นหลายครั้ง

          สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า IAA เป็นมหกรรมสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจลงทุน และเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดยถือเป็นสุดยอดเวทีสำหรับการติดต่อกับลูกค้า ขณะที่ผู้เข้าชมงานก็จะได้พบกับบรรดาผู้จัดงานระดับมืออาชีพภายในงาน

          นอกจากนี้ IAA ยังถือเป็นเวทีการประชุมขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยการประชุมเฉพาะทาง 27 งาน โดยมีผู้เข้าร่วมถึง 4,400 ราย อาทิ งาน CarIT และการประชุม 2 งานด้านสินค้าอันตรายและความปลอดภัยในการขนส่งสินค้า รวมถึงการประชุมในส่วนของ "New Mobility World logistics" เช่น งาน Dronemaster Logistics และ "Lab 16 – Startups meet Industry" ซึ่งงานหลังเปิดโอกาสให้บรรดาบริษัทสตาร์ทอัพและอุตสาหกรรมได้มาพบปะกันเพื่อสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ นอกจากนั้นยังมีการจัดกิจกรรม Hackathon 24 ชั่วโมง โดยนักเรียนนักศึกษาต้องทำงานภายใต้แรงกดดันเพื่อคิดค้นโซลูชั่นไอทีให้แก่บริษัทผู้ผลิตยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ในเยอรมนี

          นอกจากการประชุมหลายรายการและวิทยากรระดับสูงแล้ว การเลือกหัวข้อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ เห็นได้จากการมีผู้เข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การนำชมงานสำหรับแขกวีไอพี อาทิ กึนเทอร์ ออตติงเกอร์ กรรมาธิการยุโรปฝ่ายสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล และอเล็กซานเดอร์ โดบรินดท์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอย่างท่วมท้นโดยเฉพาะในด้านยานยนต์ไฟฟ้าและการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล

          นอกจากนั้นยังมีการทดลองขับยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ทั่วไปหลายรุ่น รวมถึงการจัดกิจกรรมโปรโมทยานยนต์รุ่นใหม่ ไปจนถึงการแสดงโชว์พิเศษมากมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนมหกรรมระดับแนวหน้าครั้งนี้

          สรุปแล้ว มหกรรม IAA ครั้งนี้ เป็นงานระดับนานาชาติครั้งใหญ่ที่มีกิจกรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย และเป็นเวทีสำหรับการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เข้าชมงานไม่ต้องเดินทางไปหลายๆที่ เพราะเรารวบรวมผู้จัดแสดงมากมายมาไว้ในที่เดียว

          ผู้สื่อข่าวมากกว่า 2,100 คน จาก 58 ประเทศ ได้เดินทางมาทำข่าวในมหกรรม IAA หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2557 (1,944 คน) งานนี้จึงเป็นมหกรรมยานยนต์ การขนส่ง และโลจิสติกส์ชั้นนำระดับนานาชาติที่ได้รับการตอบรับจากสื่อทั่วโลกอย่างล้นหลาม โดยผู้จัดแสดงสินค้าหลายรายเผยว่า มีสื่อมาทำข่าวที่บูธมากกว่าเมื่อปี 2557 ตลอดระยะเวลาของการจัดงาน ไม่ได้นับแค่วันเปิดตัวรอบสื่อมวลชนเพียงวันเดียว ซึ่งวันดังกล่าวมีงานแถลงข่าวมากกว่า 100 งาน

          ในวันนี้ งาน IAA ของเราได้รับการประเมินในแง่ดีอย่างมาก เราขอขอบคุณทีมงานจาก Deutsche Messe AG ที่ได้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทำงานอย่างมืออาชีพ ใส่ใจในบริการ และร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีอย่างใกล้ชิดและราบรื่น เมื่อพิจารณาจากภารกิจที่หนักและยาวนาน เราจึงรู้สึกซาบซึ้งในความทุ่มเทของพวกเขาเป็นอย่างมาก และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะกลับมาจัดงานที่นี่อีกครั้ง

          หลังจากนี้อีกหนึ่งปี เตรียมพบกันในมหกรรม IAA Cars ครั้งที่ 67 ที่แฟรงก์เฟิร์ต (ระหว่างวันที่ 14-24 กันยายน 2560) และในปี 2561 เราจะกลับมาพบกันอีกครั้งในมหกรรม IAA Commercial Vehicles ครั้งที่ 67 (ระหว่างวันที่ 27 กันยายน-4 ตุลาคม 2561)
         
http://www.iaa.de
         
ทวิตเตอร์ @VDA_online
         
ติดต่อ:        
Eckehart Rotter      
German Association of the Automotive Industry (VDA)       
Press Department        
โทร. +49-30-897842-120      
อีเมล: rotter@vda.de
         
ที่มา: German Association of the Automotive Industry (VDA)

Wissmann: IAA Has Exceeded Our Expectations

          Statement delivered by Matthias Wissmann, President of the German Association of the Automotive Industry (VDA), at the final IAA press conference on Thursday, September 29, 2016, 12.30 h, Convention Center, Hannover exhibition grounds

          World's leading trade show even more international - more visitors despite fewer days - 332 world premieres - digitization, electric mobility and urban logistics are megatrends

          The slogan of this IAA - "Driven by ideas" - is really being put into practice at this, the world's most important trade show for transport, logistics and mobility. This IAA is characterized by a unique dynamism and looks a long way ahead. Here in Hannover the future is becoming visible reality. The entire commercial vehicle industry displays to the IAA visitors its drive for innovation, its creativity, and its pioneering spirit. These qualities are embodied by the 332 world premieres and over 100 European premieres. The IAA is even more the trade show of the decision-makers, and it is more international than ever.

          Three major topics have dominated this IAA: electric mobility, digitization and urban logistics.

          Electric mobility: Practically all the manufacturers of city buses and vans have models with electric and hybrid drive in their portfolios. Some of these vehicles are already on the roads, and many more will appear in the near future. This means that in towns and cities more and more zero emissions mobility will be possible, and buses and vans will be as quiet as a whisper. In the medium term this will also apply to heavy trucks in local distribution. This will bring a new quality of life to our urban spaces.

          Digitization: This is the strongest and most comprehensive driver of innovation. Connectivity and automation in commercial vehicles go far beyond the assistance systems we have seen to date.

          Here is just one example: trucks that are electronically networked and digitally connected on freeways and other long-distance roads - which we call platooning - can markedly reduce their fuel consumption and their CO2 emissions. At the same time, platooning enhances safety as there is no "moment of shock" any more and the connected electronic systems react immediately. For long-distance truck drivers connectivity has the added advantage that it enables them to "digitally reserve" a free parking space.

          Urban logistics: Digitization offers a quantum leap forward in towns and cities: more safety, greater efficiency, and better quality of life. All-round cameras and sensors on the vehicles are deployed so that the "blind spot" and the associated dangers will become a thing of the past. Goods will be supplied on demand, individually and on time. For towns and cities this is still a vision, but it is already conceivable for destinations in rural areas or in the mountains: the van is supported by delivery drones that "swarm out" and fly to the relevant door. Here at the IAA we have demonstrated this to the visitors live in front of Hall 19.

          These three megatrends will have full impact in urban areas in particular. For the people there that will mean urban mobility and logistics will benefit from enhanced efficiency, safety and comfort.

          At the New Mobility World logistics we have covered these topics at numerous congresses, on the LIVE stage on the open-air site, during the Guided Tours and in many test drives in electric vehicles on the exhibition grounds - so they have become tangible. The IAA visitors have been able to immerse themselves in this new world of mobility and logistics and experience it directly. That, too, is part of the fascination of this IAA, and we are developing it into more of an event rather than just a presence here.

          The IAA is the only place where the whole value-creation chain for commercial vehicles can be seen. That sets us apart from all other automotive trade shows. The suppliers are very well represented: half of the 2,013 exhibitors are in this manufacturer group. They account for an even larger proportion of the IAA's world premieres: 72 percent (239) of the 332 world premieres are from supply companies, most prominently from those involved in electric mobility and digitization. The suppliers also account for a similar share of the European premieres (71 percent).

          The manufacturers of trailers and bodies are also very visible with their many innovations. Visitors could experience "up close" their growing importance in value creation, from alternative powertrains all the way to new services, while at the same time the classical boundaries between suppliers and manufacturers are shifting with the advent of digitization and new business models.

          Buses are especially strongly represented at this IAA. And it is not by chance that four of the five candidates for the renowned "Bus of the Year" award are buses with electric drive. The trend is clearly toward a more electrified sector. And that is the case even though buses are already the absolute CO2 champions.

          The IAA has become even more international. The proportion of foreign exhibitors comes to 61 percent (59 percent in 2014). The number of exhibiting countries has risen to 52 (45 in 2014). The five best represented countries are China (with 229 exhibitors), Italy (145), the Netherlands (121), Turkey (92) and France (85). Over a third of all exhibitors come from Europe (not including Germany), and one fifth come from Asia.

          We are delighted by the huge visitor interest, in terms both of quality and quantity. The visitor numbers are not directly comparable, because this year the IAA 2016 runs for nine days, whereas in 2014 it was ten days. This time we kicked off with a far higher number of press conferences, but one day later. But still the average number of people coming to the IAA per day is higher than it was two years ago. We are very pleased to record 245,000 visitors, which is a very, very good result. And this means that - despite the shorter show - we have exceeded the number in 2014.

          Our exhibitors have expressed their particular satisfaction with the high quality of the visitors and the very intensive discussions with customers. The IAA Commercial Vehicles has developed even more strongly into a professional decision-makers' trade fair. The proportion of trade visitors has risen to 86 percent (84 percent in 2014). Eight out of ten trade visitors are decision-makers, and among foreign trade visitors the share is nine out of ten. The national and international managers in this industry all know that the IAA Commercial Vehicles is a must for their business, as revealed by our representative visitor surveys.

          What is true of the exhibitors also holds true for the trade visitors. They are becoming ever more international. One trade visitor in three comes from abroad (29 percent in 2014), and on the best days the figure reaches a high of 43 percent. Most of the foreign trade visitors come from China, followed by the Netherlands and Poland.

          There is more good news: the IAA visitors are more willing to make investments after going round the exhibition - and the proportion is higher than it was two years ago: 60 percent of trade visitors with an influence on purchasing decisions plan to make investments in the field of commercial vehicles within the next six to twelve months (56 percent in 2014). More than half of the trade visitors use their visit to the show to plan their investments, and among foreign guests the figure is even higher (68 percent). Some IAA visitors are very keen to take decisions during the show. Some exhibitors rang a bell at their stand every time a purchasing agreement was concluded, often chiming several times in an hour.

          This demonstrates that the IAA is the decision-makers' trade show and reaches exactly the right target groups. The IAA is a unique platform for excellent customer contacts. And the visitors find highly professional experts at the exhibitors.

          Furthermore, the IAA is a major congress with 27 specialist events totaling around 4,400 participants. I would like to mention here just as examples the CarIT congress, the two "classic IAA events" on hazardous goods and load securing, plus the new symposia at the New Mobility World logistics including Dronemaster Logistics and "Lab 16 - Startups meet Industry." With Lab 16 in particular we have created a completely new event format where startups and the industry can meet and hatch smart new ideas. The Lab was accompanied by a 24-hour hackathon, in which students worked under intense pressure to come up with creative IT solutions for a German commercial vehicle manufacturer.

          With this program and the high-ranking speakers, our choice of topics was also a bulls-eye, as shown by the large number of participants. The many walking tours for VIPs - including European Commissioner Guenther Oettinger, Federal Transport Minister Alexander Dobrindt, and members of the European Parliament and the German Bundestag - revealed huge interest in electric mobility and connectivity in particular.

          In addition, the many test drives in both electric and conventional vehicles, our activities to promote the upcoming generation, and the many special shows are also part of the overall concept of this leading trade fair.

          In short, this IAA is also a large, international mobility congress with an exciting program of action, and an efficient communication platform that saves a number of business trips, as exhibitors assure us.

          More than 2,100 journalists from 58 countries have been accredited for the IAA, which is a rise of around 10 percent compared with 2014 (1,944). The IAA Commercial Vehicles is without question the leading international trade show for transport, logistics and mobility, with the greatest worldwide media response. Many exhibitors mentioned they had a lot more visits from media representatives at their stands than in 2014 throughout the show's duration, i.e. not only on the Press Days, when over 100 press conferences were held.

          Today we make a very positive assessment of the IAA. And at this point we wish to thank the entire team at Deutsche Messe AG for their support, their professionalism, their outstanding attention to services, and for their close and smooth cooperation with all of us at the VDA. Given the heavy workload and the long days, we greatly appreciate this dedication. We will be happy to come here again.

          After the IAA comes the IAA: in one year from now the 67th IAA Cars will begin in Frankfurt am Main (September 14 to 24, 2017), and in 2018 we will meet again in Hannover for the 67th IAA Commercial Vehicles (September 27 to October 4, 2018).
         
http://www.iaa.de
         
Twitter @VDA_online
         
Contact: Eckehart Rotter       
German Association of the Automotive Industry (VDA)        
Press Department       
Tel.: +49-30-897842-120        
E-mail: rotter@vda.de
         
Source: German Association of the Automotive Industry (VDA)

Mahindra Comviva เปิดตัวบัตรเติมเงินอเนกประสงค์ MobiLytix Flexible Coupon

          -เปิดทางให้ผู้ให้บริการมือถือสามารถแนะนำข้อเสนอสุดพิเศษแก่ลูกค้าที่ใช้บริการเติมเงินด้วยบัตรเติมเงินแบบขูด

           Mahindra Comviva ผู้นำระดับโลกด้านการให้บริการโซลูชั่นสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประกาศเปิดตัว MobiLytixTM  Flexible Coupon เครื่องมือการจัดการอันทรงพลังที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการมือถือมีตัวเลือกบัตรเติมเงินที่หลากหลายในราคาเดียว



          MobiLytixTM Flexible Coupon มอบข้อเสนอที่ไม่เหมือนใครเพื่อจัดการกับความท้าทายจากการเติมเงินแบบเดิมๆ ที่ทั้งผู้ขายและลูกค้าต้องเผชิญ โดยนำเสนอเครื่องมือ "สารพัดประโยชน์ในราคาเดียว" พร้อมด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุด

          อมิท ซันยาล ประธานธุรกิจ  Consumer Value Solutions ของ Mahindra Comviva กล่าวในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ว่า "วิธีการเติมเงินโทรศัพท์มือถือผ่านบัตรเติมเงินเป็นที่นิยมในประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกา แต่เนื่องจากข้อเสนอที่ไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควรของบัตรเติมเงินแบบขูด ทำให้ผู้ใช้บริการมือถือยังต้องเผชิญกับข้อจำกัด เช่นเดียวกับบรรดาผู้ขายและค่ายมือถือ เราตระหนักดีถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาด เราจึงได้เปิดตัว MobiLytixTM Flexible Coupon เพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการเติมเงินมากขึ้น  และส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ของผู้ให้บริการมือถือ โดยช่วยลดต้นทุนการขายและจัดจำหน่าย ทั้งยังมัดใจลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย"

          MobiLytixTM Flexible Coupon ของ Mahindra Comviva จะช่วยสนับสนุนทั้งผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการโทรคมนาคม ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจและดึงดูดทางการตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง" เขากล่าวเพิ่มเติม

          บัตรเติมเงินอเนกประสงค์ MobiLytixTM Flexible Coupon นำเสนอโอกาสในการสำรวจทางเลือกที่หลากหลายในราคาที่แน่นอน ควบคู่ไปกับกลวิธีอื่นๆเพื่อมัดใจลูกค้า ผู้ใช้บริการจะต้องซื้อบัตรเติมเงินแบบขูด Scratch Card Voucher และกดรหัสตามที่ปรากฏอยู่บนบัตร จากนั้นตรวจสอบสอบคะแนนสะสมลูกค้าเพื่อเลือกตัวเลือกในการเติมเงิน โดยหลังจากที่เลือกรหัสสินค้าแล้ว ลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมและข้อความแจ้งมายังรหัสประจำตัวลูกค้าในตอนท้ายของการเติมเงิน การถ่ายโอนจาก "บริการหนึ่งไปอีกบริการหนึ่ง" สู่ "บริการหนึ่งไปยังอีกหลายบริการ" นับเป็นการพลิกโฉมประสบการณ์การบริการลูกค้าไปสู่อีกระดับ ซึ่ง Mahindra Comviva สามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้

          บัตรเติมเงินนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของร้านค้าปลีก เพราะช่วยให้ผู้ขายไม่ต้องสำรองบัตรเติมเงินหลายชนิดไว้ในร้านเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า โดยคุณสมบัตินี้จะช่วยให้ผู้ขายประหยัดเวลาดำเนินการได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาลูกค้าและช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้า ด้วยการมอบความสะดวกสบายในระหว่างขั้นตอนการซื้อ

Mahindra Comviva Launches MobiLytix Flexible Coupon for Operators

          - Enables Best Offer Recommendations to Customers on Paper-based Recharge System

           Mahindra Comviva , the global leader in providing mobility solutions, today announced the launch of  MobiLytixTM  Flexible Coupon , a dynamic management tool that enables subscribers to select from open and segmented offers available at a single price point in a scratch card heavy market.



          Aimed at simplifying the complex recharge processes through vouchers, MobiLytixTM Flexible Coupon is a one-of-its-kind unique offering to address all the traditional recharge challenges faced by retailers and customers and empower them to avail 'one price multiple benefits' facility with its best offer recommendation engine.

          Speaking on the launch, Amit Sanyal, Business Head, Consumer Value Solutions at Mahindra Comviva said, "In most of the countries including Middle East and African countries, voucher based recharge is the most preferred way of recharging prepaid mobile services. Due to unavailability of flexible offers on scratch cards, the role of subscribers gets limited which produces challenges for retailers and operators. Keeping the market dynamics in mind, we have introduced MobiLytixTM Flexible Coupon to simplify customer recharge solution and strengthen operators' businesses by reducing sales and distribution cost and increasing subscriber loyalty."

          "Mahindra Comviva's MobiLytixTM Flexible Coupon will support retailers and operators alike, by delivering a compelling product with a strong market pull," he further added.

          MobiLytixTM Flexible Coupon offers a chance to explore various options available at specific price points coupled with other loyalty points that might be available. Subscribers need to buy a fixed denomination Scratch Card Voucher and dial the voucher code, then by checking loyalty points they can select recharge options from the available range. After selecting a product code, the customer's loyalty points gets provisioned and he receives a notification on his customer ID at the end of recharge. A transition from 'one to one' to 'one to many' is truly a transformation of the customers to the next level of service experience, enabled by Mahindra Comviva.

          The coupon also works in favour of retailers as it ensures that the retailer does not have to stock multiple SKUs to offer multiple recharge options. This helps retailers minimize turnaround time. Additionally, it helps in customer retention and improves loyalty by managing high involvement of subscribers during the purchase process.

เดมเลอร์ และ พันธมิตรเรโนลต์-นิสสัน กระชับความร่วมมือในปี 2016 มุ่งมั่นสานต่อก้าวแห่งอนาคต

          -โครงการดั้งเดิมเติบโตเต็มที่ในทุกภาคส่วน (ยานยนต์ เครื่องยนต์ และการจัดส่งชิ้นส่วน) ทั่วทั้ง 3 ทวีป

          - เปิดตัวครั้งแรกของโลกกับรถยนต์ไฟฟ้า smart fortwo, smart cabrio และ smart forfour* มาพร้อมมอเตอร์ที่ผลิตจากโรงงานของเรโนลต์ ในเมืองเคลยง ประเทศฝรั่งเศส

          - รถกระบะคันแรกของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เช่นเดียวกับการตั้งโรงงานผลิตของพันธมิตรเรโนลต์-นิสสัน ในประเทศสเปนและอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้

          - โรงงานผลิตร่วมในรัฐอากวัสกาเลียนเตส ประเทศเม็กซิโก กำลังเตรียมการผลิตนำร่องสำหรับรถคอมแพคระดับพรีเมียมแห่งยุคหน้า

          - ความร่วมมือเติบโตขึ้นในปี 2016 นำมาซึ่งการประหยัดต่อขนาดสำหรับทั้งสองบริษัท ขณะที่ลูกค้าได้รถยนต์ที่คุ้มค่ามากขึ้น

          ผู้บริหารของเดมเลอร์ เอจี และ พันธมิตรเรโนลต์-นิสสัน กล่าวในการแถลงข่าวประจำปีที่มหกรรมยานยนต์นานาชาติ Paris International Motor Show ในวันนี้ว่า ความเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างสองบริษัทกำลังเติบโตเต็มที่ ขณะก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ในปี 2016

         


          "ความเป็นพันธมิตรระหว่างเดมเลอร์และเรโนลต์-นิสสัน ได้เติบโตขึ้นและเติบโตเต็มที่" คาร์ลอส กอส์น ประธานกรรมการและซีอีโอ พันธมิตรเรโนลต์-นิสสัน กล่าว "ด้วยจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจที่เข้มแข็งขึ้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยผลของความร่วมมือนี้ได้เอื้อประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน การแบ่งปันต้นทุนการผลิตและการพัฒนาร่วมกันทำให้เราสามารถเจาะเซกเมนต์ใหม่ๆ และนำเสนอยานยนต์ที่มีความน่าสนใจมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีและฟีเจอร์ล่าสุดแก่ลูกค้า ในราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น"

          ดีเทอร์ เซ็ทเชอ ประธานคณะกรรมการบริหารของเดมเลอร์ และหัวหน้ากลุ่มรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ กล่าวเสริมว่า "ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาความเป็นพันธมิตรจากชิ้นส่วนไปสู่โครงสร้าง จากการพัฒนาร่วมกันไปสู่การผลิตร่วมกัน และจากรถยนต์สู่ยานยนต์พาณิชย์ และเราทำเช่นเดียวกันนี้กับทีมงานที่หลากหลายในแต่ละโครงการ ทีมงานเหล่านี้ได้แบ่งปันความรู้ความสามารถข้ามทวีป และนำไอเดียที่ดีที่สุดมาเป็นแรงผลักดัน ไม่ว่าจะมาจากปารีส ชตุทท์การ์ท หรือโยโกฮาม่า เราจะยังคงสานต่อความร่วมมืออย่างยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคตตามคำสัญญา"
         
* การใช้พลังงานไฟฟ้า: 13.1 - 12.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กม.; การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ , รวมกัน: 0 กรัม/กม.
         
สามารถอ่านข่าวฉบับเต็มได้ที่:   
 http://www.media.blog.alliance-renault-nissan.com/news/6018 ?
         
ที่มา: Renault-Nissan Alliance

Cooperation Between Daimler and Renault-Nissan Alliance Deepening in 2016

         - Original project portfolio matures in all areas(vehicles, engines and cross-supplying) across three continents

          - World premier of EV versions of new smart fortwo, smart cabrio and smart forfour* with motors built at Renault's Cleon plant

          - First Mercedes-Benz pickup truck taking shape and set-up of the Alliance's production facilities in Spain and Argentina fully on track

          - Joint production facility in Aguascalientes, Mexico, preparing for pilot production of next generation premium compact cars

          - Partnership growing in 2016, delivering economies of scale for both companies and higher-value vehicles to customers

          The strategic partnership between the Renault-Nissan Alliance and Daimler AG is maturing as it enters its seventh year in 2016, the companies' leaders said today in their annual media update during the Paris International Motor Show.



          "The partnership between Daimler and the Alliance has grown and matured," said Carlos Ghosn, Alliance Chairman and CEO. "It is based on a spirit of cooperation and trust that has strengthened over the years. The results have clearly benefitted both partners. By sharing development and production costs, we have been able to enter new segments and offer our customers more compelling vehicles with the latest technology and features at more competitive prices."

          Dieter Zetsche, Chairman of the Board of Management of Daimler and Head of Mercedes-Benz Cars, added: "Over the last seven years we've established a partnership that extends from parts to platforms, from co-development to co-production and from cars to commercial vehicles. And we did so in project-oriented, diverse teams that share competences across continents. They are driven by the best ideas - may they originate in Paris, Stuttgart, or Yokohama. So, our future cooperation continues to hold great promise."
         
* Electric energy consumption: 13.1 - 12.9 kWh/100 km; CO2 emissions, combined: 0 g/km
         
For the entire Press release please click here:      
http://www.media.blog.alliance-renault-nissan.com/news/6018 ?
         
Source: Renault-Nissan Alliance

Cooperation Between Daimler and Renault-Nissan Alliance Deepening in 2016

         - Original project portfolio matures in all areas(vehicles, engines and cross-supplying) across three continents

          - World premier of EV versions of new smart fortwo, smart cabrio and smart forfour* with motors built at Renault's Cleon plant

          - First Mercedes-Benz pickup truck taking shape and set-up of the Alliance's production facilities in Spain and Argentina fully on track

          - Joint production facility in Aguascalientes, Mexico, preparing for pilot production of next generation premium compact cars

          - Partnership growing in 2016, delivering economies of scale for both companies and higher-value vehicles to customers

          The strategic partnership between the Renault-Nissan Alliance and Daimler AG is maturing as it enters its seventh year in 2016, the companies' leaders said today in their annual media update during the Paris International Motor Show.



          "The partnership between Daimler and the Alliance has grown and matured," said Carlos Ghosn, Alliance Chairman and CEO. "It is based on a spirit of cooperation and trust that has strengthened over the years. The results have clearly benefitted both partners. By sharing development and production costs, we have been able to enter new segments and offer our customers more compelling vehicles with the latest technology and features at more competitive prices."

          Dieter Zetsche, Chairman of the Board of Management of Daimler and Head of Mercedes-Benz Cars, added: "Over the last seven years we've established a partnership that extends from parts to platforms, from co-development to co-production and from cars to commercial vehicles. And we did so in project-oriented, diverse teams that share competences across continents. They are driven by the best ideas - may they originate in Paris, Stuttgart, or Yokohama. So, our future cooperation continues to hold great promise."
         
* Electric energy consumption: 13.1 - 12.9 kWh/100 km; CO2 emissions, combined: 0 g/km
         
For the entire Press release please click here:      
http://www.media.blog.alliance-renault-nissan.com/news/6018 ?
         
Source: Renault-Nissan Alliance

Dlodlo's New Generation 88g Wearable VR Product Dlodlo V1 Kick Starts Crowdfunding

          Dlodlo V1, the first wearable VR headset in the world that looks like real sunglasses developed by Dlodlo, is set to launch crowdfunding on September 28th at Kickstarter with a goal of USD 200,000 in 40 days, offering a value price for customers at USD 559.

          Small, lightweight, fashionable and durable, Dlodlo V1 attracted a lot of attention at its launch event on August 8 in New York due to the number of technological breakthroughs it offers. These include the following unique features:

          - Comfortable, trendy design weighing just 88g and with 16mm glass
          - 2400 x 1200 resolution and 90Hz refresh rate
          - 105 degree field of view
          - Reduction of dizziness by minimizing most of the dynamic delay through Dlodlo's self-developed prediction algorithm

          Through these technologies, Dlodlo V1 minimizes most of the dynamic delay to greatly reduce the dizziness when users wear the glasses. Meanwhile, it can automatically correct distortion to improve user's experience with visual contents. Dlodlo has also installed special settings that adjust to the needs of short-sighted users so that regular glasses wearers do not need to wear extra corrective eyewear.

          "Dlodlo V1 is a breakthrough in Dlodlo's VR equipment development, and is a landmark step in introducing VR equipment to the public," said Li Gang, CEO of Dlodlo. "It's smaller, smarter, better looking and offers a better experience than other VR products in the market. We've made progress in every part from optics and electronics to material and structure."

          Dlodlo now has four product lines across its H, A, V and X series. Flagship models include the limited edition Dlodlo Glass H1, upgraded version of Dlodlo H2, Dlodlo A1 (for iPhone), Dlodlo V1, Dlodlo X1 all-in-one as well as independent external host D1.

          In a move to expand its product range, Dlodlo is not only designing and developing wearable VR glasses, but also promoting VR related content, such as video, games and applications that are compatible with Dlodlo's hardware. The company's content platform now streams 658 videos, including 139 3D movies and 519 VR panorama clips. The platform also introduces 76 independent sports, action adventure and shooting games such as Basketball, Deep Space Battle and Lamper.

          "Glass V1 is just a beginning," says Li. "The next steps of our product strategy are not limited to producing the hardware, but offering content that encourages sharing. We want more people to be able to enjoy the ultimate virtual reality experience anytime and anywhere, and with things like smart glasses supported by hardware, software, application, platform and community, we can build a real Dlodlo World."

          For more information, please visit: https://www.kickstarter.com/projects/203407287/dlodlo-v1-opening-a-new-world-of-vr or http://www.dlodlo.com/en

          About Dlodlo

          Dlodlo is a Chinese technology company specializing in design and development of VR glasses and platforms since 2013, and now has four product lines across the H, A, V and X series. The company is dedicated to creating a VR eco-system to deliver a large quantity of video, game and application content. Dlodlo now has more than 100 employees in offices in China, the U.S. and Japan.



XCMG Teams Up with Permco, Making Final Dash to Lead the Core Component Industry

          XCMG Hydraulics Co., LTD., a subsidiary company of XCMG, has recently established long-term strategic cooperation agreement with Permco, an American hydraulic parts company. XCMG officially becomes its only designated hydraulic cylinder production base in China.


          "Permco has high reputation as a world leading hydraulic parts manufacturer, our partnerships will not only build a new bridge between our companies, but also further utilize resources to create greater values through our cooperation," said Chen Dengmin, General Manager of XCMG Hydraulics Company.

          XCMG Hydraulics Company was founded in 1975 with the key mission to independently research and develop core components for construction and mining equipments, including hydraulic cylinders, hydraulic valves, metal tube assembly and hydraulic systems.

          The company's cylinder product line now provides whole solution sets to all-terrain cranes, whose tonnage ranging from 55 to 1,600, and to excavators which tonnage from 1.5 to 700. Its hydraulic cylinder sets to 34-tonnage to 4,000-tonnage crawler cranes as well.

          The single cylinder with bolt telescopic boom for the all-terrain crane is widely recognized by customers for its flexibility, reliability, super double locks and fast response. The company's 360t large-tonnage excavator cylinder serving in Australia has been working without trouble for 6000 hours.

          XCMG Hydraulics Company's products are serving in more than 20 countries and regions including the US, Russia, Japan as core components for a broad array of machinery equipment in fields of construction, port hoisting, sanitation, mining and shipping. Despite economic downturn, the company is seeing a 99 percent year-on-year sales increase in domestic market and 15 percent increase in total exports in the first half of 2016.

          The company's plan for the next decade will focus on breaking new grounds in fields of new material application, solving bottleneck problems in key technologies and achieving stricter quality assurance.

          "Only when mastering the core component technologies will XCMG's machinery products have major advantages in the competitive market and avoid unhealthy competition," said Wang Min, Chairman and President of XCMG.

          About XCMG:

          XCMG is a multinational heavy machinery manufacturing company with a history of 73 years. It currently ranks ninth in the world's construction machinery industry. The company exports to more than 176 countries and regions around the world.

          For more information, please visit: www.xcmg.com , or follow XCMG Group  on Facebook , Twitter , YouTube ,  LinkedIn and Instagram .



UnionPay International Builds A Cross-border Consumer Service Ecosystem

          UnionPay International announced today that, QUNR, KingPower Duty Free and five well-known brand stores subordinate to Singapore Valiram Group have joined its cross-border marketing platform, U Plan. Customers can get exclusive coupons via mobile phone and enjoy the highest discount available at participating merchants. U Plan now covers about 300 stores across Hong Kong and Southeast Asia and will expand to the US, Australia and Japan this year, after which U Plan will have about 1,000 participating stores.

          The rapid expansion of U Plan is attributed to UnionPay's extensive network across 160 countries and regions, as well as its rich card-using privileges. UnionPay cards satisfy customers' diverse payment needs, from booking airline tickets and hotels, to withdrawing cash at ATMs, to spending at merchants, to taking public transportation and taxis, to claiming tax refunds. There is now a fully formed UnionPay cross-border consumer service ecosystem.

          In building this ecosystem, UnionPay International has launched global privilege programs to enrich its service, including twothis year that feature "100 airport duty free shops" and "50 selected travel destinations". About 100 duty free shops at over 70 airports offer up to a 10% discount for UnionPay cardholders. In the 50 selected travel destinations, over 300 merchants provide up to 15% discounts for UnionPay cardholders. The "50 core commercial districts" privilege program is also about to go live.

          With three privilege programs U plan has developed more accurate cross-border consumer service. As the world's first open cross-border marketing platform launched by a bankcard scheme, U Plan realizes locating, accurate marketing and instant discounts. Since its launch in July, hundreds of thousands of coupons have been downloaded, and the transaction volume of UnionPay cards in participating merchants has grown rapidly.

          Participating U Plan merchants now include: Sasa, Prince Jewellery & Watch, LUKFOOK, ISA Boutique, KingPower Duty Free and all the stores of Michael Kors, Victoria Secrets, Kate Spade, TUMI and Bath&Body Works that are subordinate to Singapore Valiram Group.

          Customers can enjoy U Plan offers in two ways: First, download a QR code coupon via the UPI, BOC or CMBC APPs. Second, use the CYTS, Ctrip, Spring Airlines or QUNR APPs to book airline tickets or hotels, to receive the coupons. Customerscan show the coupon and pay with UnionPay cards at participating merchants and can enjoy instant discounts.



The 2016 WISE Awards Winners Announced

          WISE Awards recognize six innovative initiatives addressing key education challenges

          The World Innovation Summit for Education (WISE), a leading international initiative driving innovation and collaboration in education, has announced the six 2016 WISE Awards winning projects. Since 2009 the WISE Awards have identified and promoted some of the most innovative and effective practices in tackling urgent global education challenges.
         

          Every year, recipients of the WISE Awards join a network of other successful and pioneering projects through which they gain global visibility and are given an opportunity to collaborate through various platforms, such as WISE Communications, WISE Publications and the WISE Summit. Projects also receive $20,000 (US) and are celebrated at the WISE Summit and other WISE events.

          Independent education consultants from Parthenon-EY assess the applicants and a jury comprised of international education experts then evaluates the 15 shortlisted finalist projects that aim to build a network of change-makers to inspire others around the world.

          Dr Abdulaziz Al-Horr, CEO of Qatar Finance and Business Academy, is one of the ten education authorities who form the WISE Awards Jury. He remarked: "The 2016 WISE Awards embody the notion of 'education as empowerment'. Each of the winning projects can be seen as a tool to overcome some of the world's biggest education challenges. They are reaching out to refugees, they are supporting struggling students, and they are changing lives through vocational training... We are confident that this recognition will support these projects in promoting new ideas and practices, and in building a better future for all."

          Parthenon-EY Managing Director Ashwin Assomull also commented, "This is the fourth year that Parthenon-EY has worked with WISE and it is always a fascinating project. Our team conducts the on-the-ground due diligence assessment of finalists based on WISE's metrics of impact, innovation, and capacity for growth. We develop detailed reports for the WISE jury, who make the decision."

          The six 2014 WISE Awards winning projects address an array of education challenges including literacy, access to quality and relevant education, entrepreneurship:

          1) Tara Akshar Literacy Program (India)
          http://www.wise-qatar.org/tara-akshar-literacy-program-india
          2) Education for Growth and Value Creation (Lebanon)
          http://www.wise-qatar.org/education-growth-and-value-creation-lebanon
          3) JUMP Math (Canada) http://www.wise-qatar.org/jump-math-canada
          4) Geekie - Personalized Learning for All (Brazil)
          http://www.wise-qatar.org/geekie-personalized-learning-all-brazil
          5) Ideas Box (France) http://www.wise-qatar.org/ideas-box-france
          6) Little Ripples  (United States of America)
          http://www.wise-qatar.org/little-ripples-culturally-inspired-pre-school-united-states-of-america

          For further information about WISE and the WISE Awards, please go to http://www.wise-qatar.org or http://www.wise-qatar.org/wise-awards-2016



Sotheby's International Realty ขยายธุรกิจรับฝากขายอสังหาฯ สุดหรูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

          Sotheby's International Realty Affiliates LLC ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงกับ LIST Co., LTD ซึ่งเป็นเจ้าของ List Sotheby's International Realty เพื่อขยายแบรนด์ Sotheby's International Realty(R) ให้ครอบคลุมประเทศไทยและฟิลิปปินส์
         

          List Sotheby's International Realty ได้เข้าซื้อธุรกิจนายหน้าในเครือของ Sotheby's International Realty ที่มีอยู่เดิมในภูเก็ตและฟิลิปปินส์ตามลำดับ บริษัทจะเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปในสำนักงานสาขาปัจจุบันที่เมืองตากิก ประเทศฟิลิปปินส์ และจะรีแบรนด์โดยใช้ชื่อใหม่ว่า List Sotheby's International Realty โดยบริษัทมีแผนเปิดสำนักงานสาขาใหม่ของ List Sotheby's International Realty ที่กรุงเทพฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2017 ด้วย

          ข้อตกลงนี้เป็นการต่อยอดการเติบโตของ List Sotheby's International Realty ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้การนำของนายฮิซาชิ คิตามิ เจ้าของบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ บริษัทได้ขยายเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ หลังจากที่ได้ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จมาแล้วที่ญี่ปุ่น และเกาะโออาฮูของฮาวาย

          "ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ถือเป็นประตูสำคัญในการก้าวเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโต ทั้งยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจมากมายรอให้การต้อนรับบรรดานักลงทุนทั่วโลก" นายฟิลิป ไวท์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Sotheby's International Realty Affiliates LLC. กล่าว "คุณฮิซาชิ คิตามิ และทีมงาน ยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อค่านิยมและพันธสัญญาของแบรนด์ เพื่อมอบบริการที่เหนือชั้นที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์สุดหรู โดยเรามีความภาคภูมิใจต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้"

          "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เสร็จสิ้นการซื้อกิจการในประเทศไทย เริ่มต้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ไปพร้อมกับการดำเนินแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดที่อยู่อาศัยสุดหรูที่ทางแบรนด์ได้เข้าไปทำตลาดแล้วในภูเก็ต" นายคิตามิกล่าว "ส่วนฟิลิปปินส์ก็นับเป็นอีกจุดหมายสำคัญสำหรับนักลงทุนทั่วโลก โดยนำเสนอโอกาสที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าของเรา ทั้งยังมีฐานลูกค้าหลากหลายชาติ เครือข่ายของ Sotheby's International Realty ที่ครอบคลุมทั่วโลกนั้น เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของเราอย่างยิ่ง และยังสอดคล้องกับทัศนคติของทีมงานเราด้วย"

          Sotheby's International Realty มีเครือข่ายพนักงานขายมากกว่า 19,000 คน ประจำสำนักงานราว 850 แห่งใน 65 ประเทศทั่วโลก สำหรับรายการอสังหาริมทรัพย์ของ List Sotheby's International Realty นั้นจะเปิดขายบนเว็บไซต์ thesothebysrealty.com นอกเหนือจากโอกาสมากมายที่จะได้จากเว็บไซต์นี้แล้ว นายหน้าและลูกค้าของบริษัทยังจะได้รับสิทธิประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่มีร่วมกับบริษัทประมูล Sotheby's และโปรแกรมการตลาดของ Sotheby's International Realty ทั่วโลก โดยสำนักงานแต่ละแห่งของ Sotheby's มีเจ้าของและบริหารงานอย่างเป็นอิสระ

          เกี่ยวกับ Sotheby's International Realty Affiliates LLC
          Sotheby's International Realty Affiliates LLC ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 ในฐานะสื่อกลางที่เชื่อมโยงบริษัทอสังหาริมทรัพย์อิสระเข้ากับลูกค้าอันทรงเกียรติทั่วโลก เพื่อมอบรายการอสังหาริมทรัพย์สุดหรูพร้อมด้วยโปรแกรมการตลาดอันทรงพลังให้กับเหล่านายหน้าอิสระ Sotheby's International Realty Affiliates LLC เป็นบริษัทลูกของ Realogy Holdings Corp (NYSE: RLGY) เครือข่ายแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ระดับโลก และผู้ให้บริการจัดหานายหน้า การย้ายที่และการตั้งถิ่นฐาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 Realogy ได้บรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาวกับบริษัทจัดการประมูล Sotheby's เพื่ออนุญาตให้ใช้สิทธิภายใต้ชื่อของ Sotheby's International Realty และพัฒนาระบบแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบ โดยนายหน้าและบุคคลที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดเท่านั้นจึงจะเข้าถึงระบบได้ Sotheby's International Realty Affiliates LLC ให้การสนับสนุนแฟรนไชส์ในเครือด้วยทรัพยากรการดำเนินงาน การตลาด การสรรหาบุคลากร การศึกษา และการพัฒนาธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทแฟรนไชส์ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์จากความสัมพันธ์ร่วมกับบริษัทประมูล Sotheby's อันเก่าแก่ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1744 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าชมได้ที่ www.sothebysrealty.com



Sotheby's International Realty Expands Luxury Brand Presence in Southeast Asia

           Sotheby's International Realty Affiliates LLC today announced that it has signed agreements with LIST Co., LTD, which owns List Sotheby's International Realty, to expand the Sotheby's International Realty(R) brand presence in Thailand and the Philippines.



          List Sotheby's International Realty has acquired the existing Sotheby's International Realty affiliate brokerage operations in Phuket, Thailand, and the Philippines, respectively. The company will continue operations at the existing location in Taguig, Philippines and will rebrand using the List Sotheby's International Realty name. The company plans to launch a new List Sotheby's International Realty office in Bangkok, Thailand during the first half of 2017.

          This agreement furthers the growth of List Sotheby's International Realty in the Asia-Pacific region.  Led by Owner and Chief Executive Officer Hisashi Kitami, the firm expanded into Singapore earlier this year, building upon its existing market presence in Japan and in Oahu, Hawaii.

          "Thailand and the Philippines are key gateways into the growing markets of Southeast Asia and also hold attractive properties for global investors," said Philip White, president and chief executive officer of Sotheby's International Realty Affiliates LLC.  "Hisashi Kitami and his team continue to exemplify our brand's core values and commitment to providing the highest levels of service in luxury real estate and we are proud of their continued growth."

          "We are excited to complete our acquisition of the territory of Thailand, starting in its capital city of Bangkok, while unveiling our strategic expansion into the brand's existing market presence in the luxury residential segment in Phuket," said Kitami.  "The Philippines has been one of the top destinations for investors worldwide and offers attractive opportunities for our existing clientele and has an international consumer base. The global reach of the Sotheby's International Realty network is beneficial to our clients and aligns with the mindset of our team."

          The Sotheby's International Realty network currently has more than 19,000 affiliated independent sales associates located in approximately 850 offices in 65 countries and territories worldwide.  List Sotheby's International Realty listings will be marketed on the  sothebysrealty.com global website.  In addition to the referral opportunities and widened exposure generated from this source, the firm's brokers and clients will benefit from an association with the Sotheby's auction house and worldwide Sotheby's International Realty marketing programs.  Each office is independently owned and operated.

          About Sotheby's International Realty Affiliates LLC
          Founded in 1976 to provide independent brokerages with a powerful marketing and referral program for luxury listings, the Sotheby's International Realty network was designed to connect the finest independent real estate companies to the most prestigious clientele in the world. Sotheby's International Realty Affiliates LLC is a subsidiary of Realogy Holdings Corp. (NYSE: RLGY), a global leader in real estate franchising and provider of real estate brokerage, relocation and settlement services.  In February 2004, Realogy entered into a long-term strategic alliance with Sotheby's, the operator of the auction house.  The agreement provided for the licensing of the Sotheby's International Realty name and the development of a full franchise system. Affiliations in the system are granted only to brokerages and individuals meeting strict qualifications. Sotheby's International Realty Affiliates LLC supports its affiliates with a host of operational, marketing, recruiting, educational and business development resources. Franchise affiliates also benefit from an association with the venerable Sotheby's auction house, established in 1744. For more information, visit www.sothebysrealty.com .



Dlodlo V1 แว่น VR สุดล้ำ เบาเพียง 88 กรัม เปิดระดมทุนผ่าน Kickstarter

          Dlodlo V1 คืออุปกรณ์ VR สวมศรีษะรุ่นแรกของโลกที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนแว่นตากันแดดทั่วๆไป ซึ่งทาง Dlodlo พัฒนาขึ้นมาและเปิดระดมทุนเมื่อวันที่ 28 กันยายน ผ่านทาง Kickstarter ตั้งเป้าให้ถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 40 วัน เปิดให้จับจองเป็นเจ้าของในราคาสุดคุ้ม 559 ดอลลาร์สหรัฐ

          Dlodlo V1 เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ดีไซน์ทันสมัย และมีความทนทาน ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในงานเปิดตัว 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ในนิวยอร์ก เนื่องจากอัดแน่นไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมาย รวมถึงคุณสมบัติสุดล้ำดังต่อไปนี้

          - ดีไซน์นำเทรนด์ สวมใส่ง่าย น้ำหนักเพียง 88 กรัม บาง 16 มิลลิเมตร
          - แสดงผลด้วยความละเอียด 2400 x 1200 และอัตราการสร้างภาพใหม่ 90Hz
          - มุมรับภาพ 105 องศา
          - ลดอาการวิงเวียนศรีษะด้วยการลดเอฟเฟค Dynamic Delay ได้เกือบหมดโดยการใช้อัลกอริธึมทำนายของ Dlodlo ซึ่งสามารถพัฒนาการทำงานเองได้

          Dlodlo V1 ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการลด Dynamic Delay ช่วยลดอาการวิงเวียนศรีษะเมื่อผู้ใช้สวมแว่น และมีการปรับแก้ภาพที่บิดเบี้ยวอัตโนมัติ เพื่อยกระดับประสบการณ์รับชมภาพให้ดียิ่งขึ้น Dlodlo ยังเสริมการตั้งค่าพิเศษเพื่อผู้ใช้สายตาสั้นเฉพาะ ทำให้ไม่ต้องสวมแว่นสายตาทับอีกชั้นเพื่อปรับความชัด

          "Dlodlo V1 คือความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Dlodlo ในการพัฒนาอุปกรณ์ VR และเป็นการวางรากฐานครั้งสำคัญในการนำเสนออุปกรณ์ VR ออกสู่สายตาสาธารณชน" ลี่ กัง ซีอีโอของ Dlodlo กล่าว "Dlodlo V1 มีขนาดที่เล็กกว่า ทำงานฉลาดกว่า และดูดีกว่าอุปกรณ์ VR อื่นๆในตลาด ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่เหนือชั้น เราก้าวหน้าในทุกๆด้าน ทั้งในเรื่องของภาพและการมองเห็น อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงวัสดุและโครงสร้าง"

          ปัจจุบัน Dlodlo แตกผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 ไลน์ด้วยกัน ได้แก่ ซีรีส์ H, A, V และ X สำหรับอุปกรณ์เรือธงของแบรนด์ ได้แก่รุ่น Dlodlo Glass H1 ลิมิเต็ด อิดิชั่น, Dlodlo H2 และ Dlodlo A1 (สำหรับ iPhone) เวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่ Dlodlo V1 และ Dlodlo X1 ที่พ่วงคุณสมบัติออลอินวัน และ D1 อุปกรณ์เก็บคอนเทนต์ VR แบบพกพา

          Dlodlo ไม่หยุดอยู่แค่การออกแบบและการพัฒนาแว่นตา VR สวมศรีษะเท่านั้น บริษัทยังให้การสนับสนุนคอนเทนต์ VR อาทิ วิดีโอ เกม และแอปพลิเคชั่นซึ่งรองรับการทำงานกับฮาร์ดแวร์ของ Dlodlo เพื่อเป็นการขยายผลิตภัณฑ์ของบริษัทออกไป ปัจจุบันแพลตฟอร์มคอนเทนต์ของบริษัทสตรีมวิดีโอ 658 รายการ ประกอบด้วยหนัง 3 มิติ 139 เรื่อง และคลิปพาโนรามา VR 516 คลิป นอกจากนี้ ยังนำเสนอรายการกีฬา รายการแอคชั่นผจญภัย และเกมยิงต่างๆ อาทิ Basketball, Deep Space Battle และ Lamper อีก 76 รายการ

          "แว่นตา V1 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น" คุณลี่กล่าว "ก้าวถัดไปในเรื่องของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์จะไม่จำกัดอยู่แค่ฮาร์ดแวร์ แต่รวมไปถึงการให้บริการคอนเทนต์ที่สนับสนุนให้เกิดการแชร์ เราอยากเห็นคนในวงที่กว้างกว่าเดิมได้สนุกกับสุดยอดประสบการณ์เสมือนจริงจากทุกที่ทุกเวลา อุปกรณ์อย่างแว่นตาอัจฉริยะ ซึ่งสนับสนุนการทำงานโดยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น แพลตฟอร์ม และชุมชนผู้ใช้ เปิดทางให้เราสร้างสรรค์โลกแห่ง Dlodlo ให้เป็นจริง"

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.kickstarter.com/projects/203407287/dlodlo-v1-opening-a-new-world-of-vr หรือ http://www.dlodlo.com/en

          เกี่ยวกับ Dlodlo

          Dlodlo เป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน ซึ่งมีความชำนาญพิเศษในด้านการออกแบบและพัฒนาแว่นตาและแพลตฟอร์ม VR มาตั้งแต่ปี 2013 ปัจจุบันบริษัทแตกผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 ไลน์ด้วยกัน ได้แก่ ได้แก่ ซีรีส์ H, A, V และ X บริษัททุ่มเทในการสร้างระบบนิเวศ VR เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอคอนเทนต์วิดีโอ เกม และแอปพลิเคชั่นมากมาย Dlodlo มีพนักงานมากกว่า 100 คน และมีสำนักงานอยู่ในจีน สหรัฐ และ ญี่ปุ่น

-ปป-

Jennifer Le Nechet คว้าตำแหน่งสุดยอดบาร์เทนเดอร์หมายเลข 1 ของโลก

          Jennifer Le Nechet คว้าตำแหน่งสุดยอดบาร์เทนเดอร์หมายเลข 1 ของโลก ในการแข่งขัน WORLD CLASS Bartender of the Year ประจำปี 2559 ที่ไมอามี

          บาร์เทนเดอร์จากฝรั่งเศสผู้รังสรรค์เครื่องดื่มเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าที่ Cafe Moderne ในกรุงปารีส ได้ทำให้คณะกรรมการตกตะลึงด้วยเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ณ บาร์เฉพาะกิจในธีม Stempunk



          เหล่าบาร์เทนเดอร์เกือบ 10,000 ชีวิตจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้ แต่มีบาร์เทนเดอร์เพียง 56 คนที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายที่ไมอามี และมีเพียง 6 คนที่ได้ประชันฝีมือกันในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการทำภารกิจเปิดบาร์เฉพาะกิจภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนต่างแสดงทักษะอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งในเรื่องของเทคนิค บุคลิกภาพ ความรู้เรื่องเครื่องดื่ม และการแสดงฝีมือท่ามกลางแรงกดดัน

          ผู้เข้าแข่งขันได้นำเครื่องดื่มแบรนด์ดังจาก Diageo Reserve อันได้แก่ Ketel One vodka, Ciroc, Don Julio, Tanqueray No TEN, Bulleit, Zacapa rum และ Johnnie Walker Blue Label Blended Scotch Whisky มาใช้ในการสร้างสรรค์ค็อกเทลสุดคลาสสิกในแบบฉบับของตนเอง โดยต้องเนรมิตเครื่องดื่ม 14 ชนิดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น

          Jennifer Le Nechet บาร์เทนเดอร์หญิงคนแรกที่คว้ารางวัลนี้ กล่าวว่า "ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับตำแหน่งสุดยอดบาร์เทนเดอร์อันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้แข่งกับบาร์เทนเดอร์มากความสามารถจากทั่วโลก การแข่งขันในสัปดาห์นี้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันก้าวข้ามขีดจำกัดในการสร้างสรรค์เครื่องดื่ม และผสานทุกประสาทสัมผัสไว้ในค็อกเทล ฉันรอแทบไม่ไหวที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆที่รออยู่ข้างหน้า"

          หลังจากนี้ Jennifer Le Nechet จะได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Diageo Reserve และจะได้เป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันต่างๆ รวมถึงได้โชว์ฝีมือผสมเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของตนเองตามประเทศต่างๆด้วย

          Alex Kratena อดีตหัวหน้าบาร์เทนเดอร์ของร้าน Artesian London กล่าวว่า "มาตรฐานของผู้เข้าแข่งขันในปีนี้สูงลิ่ว การเลือกบาร์เทนเดอร์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ Jennifer โชว์ฝีมือได้อย่างโดดเด่นที่สุดในช่วง Superstar Pool Party โดยมีทักษะทุกอย่างที่บาร์เทนเดอร์ต้องมี บาร์เฉพาะกิจของเธอเท่สุดๆในธีม Stempunk และเธอยังพลิกแพลงค็อกเทลสุดคลาสสิกด้วยเครื่องดื่มที่คิดขึ้นเอง โคล่า และส่วนผสมออร์แกนิก เธอสมควรได้รับตำแหน่งนี้ ขณะที่บาร์เทนเดอร์อีก 5 คนก็เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ โดยนอกจากจะแสดงทักษะพื้นฐานได้อย่างไร้ที่ติแล้ว ทุกคนยังโชว์เทคนิคใหม่ๆอันน่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย"

          Johanna Dalley ผู้อำนวยการ Global World Class กล่าวว่า "การแข่งขันในสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยบาร์เทนเดอร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ รสนิยม และพรสวรรค์ ซึ่งช่วยยกสถานะของบาร์เทนเดอร์ให้เทียบเท่ากับเชฟระดับโลก จุดมุ่งหมายของ WORLD CLASS คือการส่งเสริมให้ทุกคนใส่ใจในเครื่องดื่มเช่นเดียวกับที่ใส่ใจในอาหาร ผู้เข้าแข่งขันในรอบชนะเลิศทั้ง 6 คนล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถสูสีกันมาก แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็ตัดสินใจเลือก Jennifer เป็นบาร์เทนเดอร์หญิงคนแรกที่คว้ารางวัล WORLD CLASS Bartender of the Year"

          เนื่องในโอกาสนี้ยังมีการประกาศให้ "เม็กซิโกซิตี้" เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน WORLD CLASS Bartender of the Year ประจำปี 2560 ในรอบสุดท้ายด้วย

          Johanna Dalley กล่าวเสริมว่า "ในปีหน้า WORLD CLASS จะยกระดับการสร้างสรรค์ค็อกเทลไปอีกขั้นที่เม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด เพราะตลอดหลายปีมานี้ เม็กซิโกซิตี้ได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นศูนย์กลางของอาหาร เครื่องดื่ม และวัฒนธรรมที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก"

          พันธกิจของ WORLD CLASS คือการสนับสนุนให้ทุกคนใส่ใจในเครื่องดื่มไม่ว่าจะดื่มที่ใดก็ตาม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ theworldclassclub.com หรือเฟซบุ๊กของ WORLD CLASS เพื่อดูสูตรเครื่องดื่ม วิดีโอสอนผสมเครื่องดื่ม รวมถึงเทรนด์ล่าสุด

          สำหรับบรรณาธิการ

          ผู้เข้ารอบสุดท้าย

          ผู้เข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันประกอบด้วยบาร์เทนเดอร์ที่เป็นตัวแทนของประเทศต่างๆ ดังนี้

          ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม บราซิล บัลแกเรีย แคนาดา ชิลี โคลอมเบีย คอสตาริกา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก สาธารณรัฐโดมินิกัน เอสโตเนีย ฝรั่งเศส เยอรมนี แกรนด์เคย์แมน กรีซ ฮ่องกงและมาเก๊า ไอซ์แลนด์ อินเดีย มหาสมุทรอินเดีย ไอร์แลนด์ อินโดนีเซีย อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น เคนยา เลบานอน มาเลเซีย เม็กซิโก โมร็อกโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ ปานามา เปรู ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ โปรตุเกส เปอร์โตริโก โรมาเนีย รัสเซีย สิงคโปร์ สโลวาเกีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อุรุกวัย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม โดยมีบาร์เทนเดอร์ที่เป็นตัวแทนของเรือสำราญเข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายด้วย

          เกี่ยวกับ WORLD CLASS

          พันธกิจของ WORLD CLASS คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีและสร้างความทรงจำอันไม่รู้ลืมในการดื่ม โดย WORLD CLASS สนับสนุนให้ลูกค้าทุกคนพิจารณาและใส่ใจในเครื่องดื่มเช่นเดียวกับที่ใส่ใจในรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะดื่มที่ใดก็ตาม

          ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา WORLD CLASS ได้ให้การสนับสนุน ฝึกอบรม และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บาร์เทนเดอร์กว่า 250,000 คนทั่วโลก โดยให้บาร์เทนเดอร์ใช้เครื่องดื่มที่ดีที่สุดจาก Diageo Reserve Collection นอกจากนี้ WORLD CLASS ยังให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในเรื่องของเทรนด์ใหม่ๆ สูตรค็อกเทล และข้อมูลเชิงลึกในวงการ

          WORLD CLASS เป็นผู้จัดการแข่งขัน "WORLD CLASS Bartender of the Year" ซึ่งเป็นการแข่งขันอันทรงเกียรติของเหล่าบาร์เทนเดอร์ โดยบาร์เทนเดอร์ที่ชนะการแข่งขันระดับประเทศ 56 ชีวิต จะมาประชันฝีมือกันเพื่อชิงตำแหน่งสุดยอดบาร์เทนเดอร์อันดับหนึ่งของโลก

          กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.theworldclassclub.com

          เกี่ยวกับ Diageo Reserve

          Diageo Reserve ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 2547 ได้รวบรวมแบรนด์เครื่องดื่มสุดหรูที่มีประวัติอันยาวนาน รังสรรค์อย่างประณีต และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบรนด์สุดหรูของ Diageo ประกอบด้วย Johnnie Walker Blue Label, Ciroc, Don Julio, Tanqueray No.TEN, Ketel One vodka, Zacapa และคอลเลคชั่น Single Malts ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Reserve ทำยอดขายกว่า 15% จากยอดขายทั้งหมดของ Diageo และมีอัตราการเติบโต 7% ในปีงบการเงินนี้

          เกี่ยวกับ Diageo

          Diageo เป็นบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังมากมาย ได้แก่ วิสกี้ Johnnie Walker, Crown Royal, J&B, Buchanan's และ Windsor, วอดก้า Smirnoff และ Ciroc รวมถึง Captain Morgan, Baileys, Don Julio, Tanqueray และ Guinness

          Diageo เป็นบริษัทระดับโลกซึ่งมีผลิตภัณฑ์วางขายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (DGE) และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (DEO) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท บุคลากร แบรนด์ต่างๆ และผลการดำเนินงานของเราได้ที่เว็บไซต์ http://www.diageo.com รวมทั้งรับชมข้อมูล โครงการ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบได้ที่เว็บไซต์ http://www.DRINKiQ.com

          ฉลองให้กับชีวิตได้ทุกที่ทุกเวลา...

JENNIFER LE NECHET NAMED WORLD’S #1 BARTENDER

          Jennifer Le Nechet has been crowned the world's best bartender at the climax of the global cocktail competition WORLD CLASS Bartender of the Year 2016 in Miami.

         


          The French bartender, usually found crafting drinks and charming customers behind the bar at Cafe Moderne in Paris, wowed the judges by creating a spectacular range of vibrant drinks at her Stempunk themed pop-up bar.

          Nearly 10,000 bartenders from all over the world entered the competition, with 56 selected to represent their country at the Miami finals. An elite group of six made it through the final round which saw them conceive and create a pop-up bar in just 24 hours. Each challenge showcased a different skill from the bartender's armoury: technique, personality, spirits knowledge and how well they perform under pressure.

          Selecting top brands from Diageo's Reserve portfolio including Ketel One vodka, C?roc, Don Julio, Tanqueray No TEN, Bulleit, Zacapa rum and Johnnie Walker Blue Label Blended Scotch Whisky, the bartenders crafted classic cocktails and created their own recipes. They also went up against the clock to mix up to fourteen quintessential drinks in just 10 minutes.

          Jennifer Le Nechet, the first female bartender to claim the title, said: "I'm completely blown away – it's such an honour to take home the title of World's Best Bartender – especially when competing against such talent from around the world. This week has inspired me to continue pushing the boundaries of flavours and to explore how all the senses can be engaged through cocktails. I can't wait for the experience ahead!"

          Le Nechet is set for a whirlwind year of adventure – she will have the chance to travel the world as a Diageo Reserve Brand Ambassador, judging competitions and making bespoke drinks in far-flung locations.

          Alex Kratena, former Head Bartender of Artesian London said: "The standard this year has been absolutely phenomenal. It's been just so difficult to choose between these bartenders. Jennifer just nailed it in the Superstar Pool Party showing all the skills you could want in a bartender, and her pop-up bar blew us all away with its cool Stempunk theme and twist on classic cocktails with homemade emulsions, cola and organic ingredients.  These bartenders really are at the top of their game and the five runners up were worthy contenders. Not only can they pull off all the classics flawlessly, but they are developing new and exciting techniques every step of the way."

          Johanna Dalley, Global World Class Director said: "This week has been a whirlwind of creativity, flair and amazing talent -  truly raising the role of the bartender to be on a par with that of the world's leading chefs. And that's what WORLD CLASS is all about, inspiring people to drink better and appreciate great drinks in the same way they appreciate great food. The final six were exceptional and it was an extremely close final, however we're delighted to name Jennifer as our winner and our first female WORLD CLASS Bartender of the Year."

          At the Awards evening, Mexico City was also revealed as the location for the WORLD CLASS Bartender of the Year Global Final 2017.

          Dalley continued, "This year, WORLD CLASS will take cocktail culture to a new level in Mexico City, and there could be no better place for this, since for many years, this city been developing into one of the most vibrant capitals for food, drink and culture."

          WORLD CLASS is on a mission to inspire people to drink better and shape the future of drinking, whether at home or in the bar. If you have been inspired to drink better, visit theworldclassclub.com or the WORLD CLASS Facebook community, where you can find delicious recipes, how-to videos and get the low-down on the latest trends.

          The Finalists

          Finalists representing each of these countries:

          Australia, Austria, Belgium, Brazil, Bulgaria, Canada, Chile, Colombia, Costa Rica, Czech Republic, Denmark, Dominican Republic, Estonia, France, Germany, Grand Cayman, Greece, Hong Kong & Macau, Iceland, India, Indian Ocean, Ireland, Indonesia, Israel, Italy, Japan, Kenya, Lebanon, Malaysia, Mexico, Morocco, Netherlands, New Zealand, Norway, Panama, Peru, Philippines, Poland, Portugal, Puerto Rico, Romania, Russia, Singapore, Slovakia, South Africa, South Korea, Spain, Sweden, Switzerland, Taiwan, Thailand, UAE, Uruguay, United Kingdom, US and Vietnam. Cruise Ships are also represented by finalists from these sectors.

          About WORLD CLASS

          WORLD CLASS is on a mission to inspire people to drink better and create unforgettable experiences in the process. Whether at home or in a bar, WORLD CLASS encourages consumers to think and care about fine drinking in the same way they care about fine dining.

          WORLD CLASS has supported, trained and inspired 250,000 bartenders across the globe over the past eight years, while partnering them with the world's finest spirits – the Diageo Reserve Collection. WORLD CLASS is also the authority on the drinks industry whom consumers look to for the information on the latest drinks trends, cocktail recipes and industry insight.

          World Class hosts the 'WORLD CLASS Bartender of the Year' – the world's most prestigious bartending competition. After local competition around the globe, 56 of the world's finest bartenders compete to be crowned the world's best bartender.

          Visit theworldclassclub.com for more information.

          About Diageo Reserve

          Created in 2004, Diageo's Reserve division focuses on the global luxury opportunity, bringing together brands built on strong heritage, craftsmanship and authenticity. This luxury portfolio consists of Johnnie Walker Blue Label, C?roc, Don Julio, Tanqueray No. TEN, Ketel One vodka, Zacapa and a fine collection of Single Malts. The Reserve portfolio accounts for over 15% of Diageo's total sales, and has grown by 7% this financial year.

          About Diageo

          Diageo is a global leader in beverage alcohol with an outstanding collection of brands including Johnnie Walker, Crown Royal, J&B, Buchanan's and Windsor whiskies, Smirnoff and C?roc vodkas, Captain Morgan, Baileys, Don Julio, Tanqueray and Guinness.

          Diageo is listed on both the London Stock Exchange (DGE) and the New York Stock Exchange (DEO) and our products are sold in more than 180 countries around the world. For more information about Diageo, our people, our brands, and performance, visit us at www.diageo.com . Visit Diageo's global responsible drinking resource, www.DRINKiQ.com , for information, initiatives, and ways to share best practice.

          Celebrating life, every day, everywhere.

“ยูเนี่ยนเพย์” ผนึกกำลังร้านค้าพันธมิตรชื่อดังเข้าร่วมเป็นสมาชิก “U Plan” แพลตฟอร์มการตลาดระหว่างประเทศแบบครบวงจร

            บริษัท ยูเนี่ยนเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประกาศว่า QUNR, KingPower Duty Free และแบรนด์ร้านค้าชื่อดังอีก 5 แห่งในเครือของ Singapore Valiram Group ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก U Plan แพลตฟอร์มการตลาดระหว่างประเทศของยูเนี่ยนเพย์ โดยลูกค้าจะได้รับคูปองพิเศษผ่านทางโทรศัพท์มือถือและได้รับส่วนลดสูงสุดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ปัจจุบัน U Plan ครอบคลุมร้านค้ากว่า 300 แห่งในฮ่องกงและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งมีแผนขยายไปยังสหรัฐ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ U Plan มีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 1,000 แห่ง

          การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ U Plan นั้นเป็นผลมาจากเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกว่า 160 ประเทศและภูมิภาคของยูเนี่ยนเพย์ รวมถึงสิทธิพิเศษมากมายจากการใช้บัตรยูเนี่ยนเพย์ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านการชำระเงินของลูกค้าได้หลากหลาย นับตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม การกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม การใช้จ่ายที่ร้านค้า การใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและแท็กซี่ ไปจนถึงการขอคืนภาษี เรียกได้ว่าเป็นระบบนิเวศของการให้บริการลูกค้าระหว่างประเทศของยูเนี่ยนเพย์อย่างครบวงจร

          ทั้งนี้ ในการรังสรรค์ระบบนิเวศดังกล่าว ยูเนี่ยนเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เปิดตัวโครงการสิทธิประโยชน์ระดับโลกเพื่อยกระดับบริการให้ดียิ่งขึ้น อันรวมถึงการนำเสนอโปรแกรม "100 airport duty free shops" และ "50 selected travel destinations" ในปีนี้ โดยร้านค้าปลอดภาษีประมาณ 100 แห่งในสนามบินกว่า 70 ที่จะมอบส่วนลดให้กับผู้ถือบัตรยูเนี่ยนเพย์สูงสุด 10% อีกทั้งร้านค้ากว่า 300 แห่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการคัดเลือก 50 ที่ก็จะมอบส่วนลดสูงสุด 15% ให้กับผู้ถือบัตรยูเนี่ยนเพย์อีกด้วย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิทธิประโยชน์ "50 core commercial districts" ด้วย

          โดย U Plan ได้พัฒนาการให้บริการลูกค้าระหว่างประเทศอย่างแม่นยำยิ่งขึ้นผ่านสิทธิพิเศษทั้ง 3 โครงการนี้ อนึ่ง ด้วยความที่ U Plan เป็นแพลตฟอร์มการตลาดระหว่างประเทศแบบเปิดแพลตฟอร์มแรกของโลกที่เปิดตัวในรูปแบบบัตรของธนาคาร U Plan จึงตระหนักถึงการหาทำเลที่ตั้ง การตลาดที่แม่นยำ และการมอบส่วนลดแบบทันใจ โดยนับตั้งแต่การเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่ามีคูปองถูกดาวโหลดไปใช้แล้วหลายแสนใบ และปริมาณการทำธุรกรรมของบัตรยูเนี่ยนเพย์ในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

          สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกับ U Plan ในปัจจุบันมีทั้ง Sasa, Prince Jewellery & Watch, LUKFOOK, ISA Boutique, KingPower Duty Free และร้านค้าทุกแห่งของ Michael Kors, Victoria Secrets, Kate Spade, TUMI และ Bath&Body Works ซึ่งอยู่ในเครือ Singapore Valiram Group

          ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินไปกับข้อเสนอของ U Plan ได้ 2 ช่องทาง คือดาวน์โหลด QR โค้ดคูปองผ่านทางแอพพลิเคชั่น UPI, BOC หรือ CMBC อีกช่องทางหนึ่งลูกค้าสามารถใช้แอพพลิเคชั่น CYTS, Ctrip, Spring Airlines หรือ QUNR ในการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมเพื่อรับคูปองก็ได้ โดยลูกค้าสามารถรับส่วนลดได้ทันทีเมื่อแสดงคูปองและจ่ายด้วยบัตรยูเนี่ยนเพย์ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ