Monday, July 31, 2017
เมืองกว่างโจวจัดการประชุมภายในประเทศ มุ่งหารือกลยุทธ์การเปิดกว้างและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
รัฐบาลเมืองกว่างโจวได้จัดการประชุมเสวนาว่าด้วยกลยุทธ์การเปิดกว้างและผลักดันนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยกว่างโจวและเซี่ยงไฮ้ถือเป็นเมืองศูนย์กลางระดับชาติและฮับสำคัญระดับนานาชาติที่สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ตลอดจนโอกาสในการพัฒนาสำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ เมืองทั้งสองเป็นที่ตั้งของบริษัทจีน 115 แห่งที่ติดทำเนียบ Fortune Global 500 และเป็นเมืองที่ดึงดูดบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศให้มาลงทุนเป็นจำนวนมาก การประชุมเสวนาครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตลอดจนผู้บริหารจากองค์กรธุรกิจชั้นนำระดับโลกมาร่วมงานอย่างคับคั่ง รวมถึง Clay Chandler บรรณาธิการบริหาร Time Inc. และผู้บริหารร่วมของ Fortune Global Forum
กว่างโจวเป็นทั้งศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติและศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย อีกทั้งเป็นเมืองผลิตผลจากนโยบายปฏิรูปและเปิดกว้างแห่งแรกๆของจีน นอกจากนี้ กว่างโจวยังเคยขึ้นแท่นเมืองแห่งโอกาส หรือ "City of Opportunity" โดย PricewaterhouseCoopers และ China Development Research Foundation ถึงสองครั้ง และในปี 2559 กว่างโจวมียอดขายสินค้าคิดเป็นมูลค่ากว่า 8.313 แสนล้านดอลลาร์ โดยที่ยอดนำเข้าและส่งออกแตะระดับ 1.297 แสนล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2560 มีองค์กรธุรกิจต่างชาติมาลงทุนสร้างบริษัทในกว่างโจวรวม 508 แห่ง คิดเป็นมูลค่า 1.886 พันล้านดอลลาร์
ในปี 2559 ผู้โดยสารในประเทศและต่างประเทศได้หลั่งไหลสู่เมืองกว่างโจวมากถึง 59.78 ล้านคน และมีปริมาณการขนส่งสินค้า 1.638 ล้านตัน โดยในปี 2560 กว่างโจวมีแผนเปิดเส้นทางการบินระหว่างประเทศเพิ่ม 15 เส้นทาง จากเดิม 149 เส้นทาง เป็น 164 เส้นทาง ขณะเดียวกัน กว่างโจวจะยังคงผลักดันแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองให้เจริญรุดหน้า ในปัจจุบัน กว่างโจวเป็นที่ตั้งของกลุ่มธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดกว่า 8 ล้านตารางเมตร โดยมีจำนวนบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมกว่า 120,000 แห่ง ซึ่งกำลังสร้างแกนเศรษฐกิจที่ทรงพลังสำหรับอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น อินเทอร์เน็ต ชีวเภสัชภัณฑ์ วัสดุใหม่ หุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรม โดรนอัตโนมัติ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และอื่นๆอีกมากมาย
โครงการริเริ่มระหว่างมณฑลกวางตุ้ง และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊านั้น มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจ และสนับสนุนจีนให้เป็นตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยโครงการ 'Greater Bay Area' นี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักระหว่างนักวิชาการและผู้ประกอบการจากทั้งสองเมือง โดย Cai Chaolin หนึ่งในกรรมการถาวรของพรรคคอมมิวนิสต์สาขาเมืองกว่างโจวและประธานคณะกรรมการจัดการประชุม Fortune Global Forum ประจำปี 2560 กล่าวว่า "จีนกำลังจัดทำแผนพัฒนาสำหรับพื้นที่รอบอ่าวมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า เพื่อสร้างเขตเศรษฐกิจรอบอ่าวขนาดใหญ่ลำดับที่ 4 ของโลกต่อจากนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก และอ่าวโตเกียว ในขณะที่เมืองศูนย์กลางทั้งสามแห่งอย่างกว่างโจว เซินเจิ้น และฮ่องกง รวมถึงมาเก๊านั้น จะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันเขตเศรษฐกิจที่มีพลวัตสูงเหล่านี้ให้เป็นมหานครระดับโลก ในขณะที่รัฐบาลจีนจะเดินหน้าสานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและยกระดับความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก กลุ่มเมืองเหล่านี้จะทำงานบนเวทีระดับนานาชาติเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรมและการพัฒนา ด้วยเหตุนี้จึงมีทิศทางการเจริญเติบโตที่สดใส อีกทั้งมอบโอกาสทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนแนวโน้มธุรกิจที่เฟื้องฟูอีกด้วย"
เขตการพัฒนาเมืองกว่างโจว ตั้งอยู่บนสุดของพื้นที่ Greater Bay Area เป็นเขตเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออกและได้รับประโยชน์มากมายจาก Greater Bay Area เนื่องจากที่นี่มีการจัดตั้งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แล้ว 3 ภาคส่วน ประกอบด้วยอุตสาหกรรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมเคมี และยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 1.485 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆอีก 4 ภาคส่วนอย่าง วัสดุใหม่ อาหารและเครื่องดื่ม การผลิตเครื่องโลหะ และเทคโยโลยีชีวภาพด้านสุขภาพนั้น มีมูลค่าประมาณ 7.43 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เขตพัฒนาดังกล่าวมีมูลค่าทางอุตสาหกรรมคิดเป็น 40% และมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของการใช้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศในเมืองกว่างโจว นอกจากนี้ยังสะท้อนความเป็นเขตพื้นที่สำคัญที่จะผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลางระดับนานาชาติของนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เขตการพัฒนาเมืองกว่างโจวจะเดินหน้ายกระดับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการค้า และส่งเสริมการปฏิรูปสำหรับธุรกิจเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่สะดวกสบาย ดำเนินงานได้จริง และพัฒนาเต็มที่ นอกเหนือจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตที่ทันสมัยแล้ว เขตการพัฒนาแห่งนี้ยังมุ่งสร้างอุตสาหกรรมบริการที่ทันสมัย เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคของอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ 4 "Golden 10" โดยเป็นศูนย์รวมบุคลากรระดับหัวกะทิและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
ขณะที่เขตการค้าเสรีหนานซากำลังดำเนินบทบาทสำคัญในการเปิดประตูสู่ความร่วมมือในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกงและมาเก๊า โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสรรหาบุคลากรระดับหัวกะทิและความร่วมมือ ตลอดจนการคิดค้นนวัตกรรมและอื่นๆ ทั้งนี้ เขตการค้าเสรีหนานซามีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีองค์กรธุรกิจใหม่ๆที่มาจัดตั้งบริษัทในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น 30,221 แห่ง ณ เดือนมิ.ย. 2560
ด้วยแรงขับเคลื่อนในทิศทางบวกเหล่านี้ ทำให้เมืองกว่างโจวได้รับเลือกให้เป็นเมืองเจ้าภาพจัดการประชุม Fortune Global Forum 2560 ระหว่างวันที่ 6-8 ธ.ค.นี้ โดยที่บรรดาผู้นำและผู้บริหารจากภาคธุรกิจทั่วโลกจะมาหารือกันเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
Kerui Petroleum เซ็นสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทในมาเลเซีย ระหว่างมหกรรม OGA 2017
Kerui Petroleum ลงนามร่วมกับบริษัทสัญชาติมาเลเซีย Emerging EPC Sdn Bhd เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในมาเลเซีย
มหกรรม Oil and Gas Asia (OGA) 2017 ได้จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ประจำปีของแวดวงพลังงานได้จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน บนพื้นที่จัดแสดง 9 ฮอลล์ พร้อมพาวิลเลียนจัดแสดงสินค้าจาก 11 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทร่วม 2,000 แห่ง จาก 60 ประเทศมาร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของตนในงานนี้
บริษัทสัญชาติจีนอย่าง Kerui Petroleum ได้เข้าร่วมมหกรรม OGA เป็นครั้งแรกในปีนี้ และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดย Kerui Petroleum ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Emerging EPC Sdn Bhd ของมาเลเซีย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ขึ้นที่นี่ โดยมีนายวัน ซุลกิฟลี ซีอีโอของ PETRONAS ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนาม และในโอกาสนี้ นายอะหมัด ซาฮิด บิน ฮามิดี รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เยี่ยมชมบูธของ Kerui ในวันเปิดงาน พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมศักยภาพอันแข็งแกร่งในด้านการผลิตอุปกรณ์ การให้บริการด้านเทคโนโลยี การลงทุน และการดำเนินงานของ Kerui
นายเจียง เปาหัว ผู้จัดการทั่วไปของ Kerui Petroleum ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวถึงแผนการขั้นต่อไปของทางบริษัท โดยระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่ม Kerui ได้เร่งขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ พร้อมกับขยายไลน์ผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ชื่อเสียงที่ดี และเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุม ได้ส่งผลให้ Kerui เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น ได้มีการวางระบบการตลาดและการบริการที่ทันสมัยครบวงจรครอบคลุมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในสิงคโปร์ รวมถึงการเป็นเจ้าของ WEFIC(R) บริษัทในเครือในสิงคโปร์ซึ่งเชี่ยวชาญด้านบริการวิศวกรรมปิโตรเลียม ตลอดจนการตั้งศูนย์บริการในประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่จัดหาชิ้นส่วน ประกอบ และบำรุงรักษาเครื่องมือขุดเจาะและอุปกรณ์สำหรับการสำรวจน้ำมัน ไปจนถึงการเปิดสาขาในหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และปากีสถาน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้แก่ลูกค้า
คุณเจียงกล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่ Kerui Petroleum รุกเข้าสู่ตลาดมาเลเซียในปี 2558 ทางบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานธุรกิจในมาเลเซียมาโดยตลอด สำหรับการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ จะช่วยให้บริษัทสามารถประกอบสินค้าป้อนตลาดมาเลเซียได้เลย ซึ่งคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจของ Kerui Petroleum ไปยังประเทศอื่นๆที่อยู่ตามแนวเส้นทางสายไหมของรัฐบาลจีน อันเป็นโครงการพัฒนาการค้าระหว่างจีนและประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปและเอเชีย
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมิได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางสำคัญของโครงการเส้นทางสายไหมเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดที่สำคัญของ Kerui Petroleum ด้วยความสามารถในการบูรณาการทรัพยากรที่มีคุณภาพสูงของกลุ่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทรัพยากรมนุษย์ การใช้ประโยชน์ทางการเงิน และสินทรัพย์ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซทั่วโลก กลุ่มบริษัทจึงวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากโครงการเส้นทางสายไหมอย่างเต็มที่ ซึ่งความพยายามเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงให้แก่ลูกค้า และช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
The Renault-Nissan Alliance Reports Record Sales Increase in First-Half 2017
PARIS and YOKOHAMA, Japan--27 Jul--PRNewswire/InfoQuest
- Combined sales exceed 5.27 million units from Renault, Nissan and Mitsubishi Motors in six months to June 30, 2017, rose 7 percent
- Cumulative volume of electric vehicle sales exceeds 480,000 units
- Enlarged Alliance set to become industry's number-one sales group for full year 2017
Unit sales at the Alliance rose seven percent to 5,268,079 vehicles in the first half of the calendar year resulting from an increased demand for models from the French and Japanese brands, and the first semester sales contribution from new Alliance member Mitsubishi Motors.
(Logo: http://photos.prnewswire.com/prnh/20140130/666713-a )
The Alliance saw increased sales of Renault models including Clio, Sandero, Megane, Captur and Duster, while Nissan reported strong orders for models such as the X-Trail/Rogue, Sentra/Sylphy, Qashqai and Altima/Teana. Unit sales at Mitsubishi Motors, which became part of Alliance in late 2016, reached close to 495,000 vehicles amid solid demand for its Outlander SUV globally and the Pajero Sport in the ASEAN region.
Cumulative sales of electric vehicles by the companies also rose significantly to 481,151 units, reaffirming the Alliance's role as the leading electric car manufacturer for the mass-market segment. The increase was driven primarily by demand for the Nissan LEAF and the Renault ZOE, which remains the #1 EV sold in Europe, and Mitsubishi's i-Miev. On the hybrid side, the plug-in hybrid electric versions of the Mitsubishi Outlander reached over 13,000 units.
Carlos Ghosn, chairman and chief executive of the Renault-Nissan Alliance, said: "The Alliance has delivered record sales during the first semester of 2017 reaching 5,268,079 vehicles sold. We will continue to leverage our significant economies of scale and global market presence to deliver valuable synergies for our member companies this year, while maintaining a strong technology lineup and offering customers breakthrough electric models."
"Our enlarged Alliance is well placed to realize its full potential, not only in terms of unit volumes, but also by providing next-generation mobility services to customers around the world."
Groupe Renault sold 1.879,288 million vehicles in the first half of 2017, which represents a raise of 10.4 percent in a market that grew 2.6 percent. All group brands posted increases in sales volumes and market share. The Renault and Dacia brands set half-year sales records and Renault ranks as the second most sold brand in Europe. Furthermore, all regions increased their sales volumes and market share.
http://www.media.blog.alliance-renault-nissan.com/news/6686
Source: Renault-Nissan Alliance
- Combined sales exceed 5.27 million units from Renault, Nissan and Mitsubishi Motors in six months to June 30, 2017, rose 7 percent
- Cumulative volume of electric vehicle sales exceeds 480,000 units
- Enlarged Alliance set to become industry's number-one sales group for full year 2017
Unit sales at the Alliance rose seven percent to 5,268,079 vehicles in the first half of the calendar year resulting from an increased demand for models from the French and Japanese brands, and the first semester sales contribution from new Alliance member Mitsubishi Motors.
(Logo: http://photos.prnewswire.com/prnh/20140130/666713-a )
The Alliance saw increased sales of Renault models including Clio, Sandero, Megane, Captur and Duster, while Nissan reported strong orders for models such as the X-Trail/Rogue, Sentra/Sylphy, Qashqai and Altima/Teana. Unit sales at Mitsubishi Motors, which became part of Alliance in late 2016, reached close to 495,000 vehicles amid solid demand for its Outlander SUV globally and the Pajero Sport in the ASEAN region.
Cumulative sales of electric vehicles by the companies also rose significantly to 481,151 units, reaffirming the Alliance's role as the leading electric car manufacturer for the mass-market segment. The increase was driven primarily by demand for the Nissan LEAF and the Renault ZOE, which remains the #1 EV sold in Europe, and Mitsubishi's i-Miev. On the hybrid side, the plug-in hybrid electric versions of the Mitsubishi Outlander reached over 13,000 units.
Carlos Ghosn, chairman and chief executive of the Renault-Nissan Alliance, said: "The Alliance has delivered record sales during the first semester of 2017 reaching 5,268,079 vehicles sold. We will continue to leverage our significant economies of scale and global market presence to deliver valuable synergies for our member companies this year, while maintaining a strong technology lineup and offering customers breakthrough electric models."
"Our enlarged Alliance is well placed to realize its full potential, not only in terms of unit volumes, but also by providing next-generation mobility services to customers around the world."
Groupe Renault sold 1.879,288 million vehicles in the first half of 2017, which represents a raise of 10.4 percent in a market that grew 2.6 percent. All group brands posted increases in sales volumes and market share. The Renault and Dacia brands set half-year sales records and Renault ranks as the second most sold brand in Europe. Furthermore, all regions increased their sales volumes and market share.
http://www.media.blog.alliance-renault-nissan.com/news/6686
Source: Renault-Nissan Alliance
Oud Essentials Active in the Transfer Market -- More Industry Experts Joining the New, Dynamic Brand
Oud Essentials, a new skincare, lifestyle and wellness brand that is already impacting a fiercely competitive industry, is proud to announce the recruitment of yet more social marketing industry professionals with the experience and credentials necessary to turn the company into a global entity in a short space of time.
After the recent appointment of Christina Tang -- formerly of Nu Skin, Neways and Tupperware in Singapore, with more than 18 years' industry experience -- as Country Manager, Singapore, and Katherine Loh, who has assumed the role as Country Manager, Malaysia, after tenures at Elken, Herbalife and Sophie Paris, Oud Essentials is delighted to be able to announce yet more high-profile 'signings' as the company prepares to introduce itself to the world.
Jonathan Lim is now on board as Country Manager, Philippines, having established an excellent reputation for himself as Head of Sales, trainer and mentor at Amway Philippines LLC, and he will be working alongside Vanessa del Rosario, who has more than 12 years' industry experience and is an alumnus at both Elken and Nu Skin.
"It doesn't matter how good your products are," said Andrew Leci, Chief Visionary Officer, Oud Essentials, "or how attractive your business model is. Companies and organisations are all about people, and getting the right ones is of paramount importance to us. Fortunately, we haven't only recruited people who 'buy into' our vision of sustainability, environmental awareness and a new, more conscious way of doing business, they absolutely love it."
"We seem to have struck a chord in the consciousnesses of people within an industry," Leci continued, "and they like what we stand for. Our use of 100% pure, organic Oud in all of our products, and the fact that all our ingredients are of known provenance, sustainably and ethically sourced, have become shared values in our business model that more and more people are resonating with."
Based in Kuala Lumpur, Malaysia, and working alongside Katherine Loh will be Tiffaney Teo, a graduate in Nutrition and Community Health who takes on her role as Senior Product Trainer after stints at Elken and NuCerity. She will be joined in August 2017 by Adrian Kam -- Head of Digital Marketing -- who has an immaculate track record in his previous incarnations at Avon, Amway and the Qi Group.
Holding all the Asia-Pacific operations together will be newly-appointed Chief Financial Officer, Chang Chiek Fui -- previously of Avon, Amway and Sophie Paris in Indonesia -- who brings to the company more than 20 years' experience in finance and business development.
"When we started the company," concluded Leci, "we knew that putting the right team together was going to be essential. What perhaps we didn't realise is how important it is these days for even hardened industry professionals to embrace the notion of doing business in a more conscious manner and trying to make a difference in the world. We now have great products, and great people, all of whom believe in what we're doing and have all the experience and skillsets to turn our dreams into realities. That they have all had stellar careers in well-established and reputable companies in the industry is a major bonus."
With interest gaining momentum, and the ultra-competitive industry abuzz, it is already apparent that Oud Essentials will appeal to the ever-increasing number of conscious consumers who want to know where the products that they use come from, as well as how and by whom they are made.
After the recent appointment of Christina Tang -- formerly of Nu Skin, Neways and Tupperware in Singapore, with more than 18 years' industry experience -- as Country Manager, Singapore, and Katherine Loh, who has assumed the role as Country Manager, Malaysia, after tenures at Elken, Herbalife and Sophie Paris, Oud Essentials is delighted to be able to announce yet more high-profile 'signings' as the company prepares to introduce itself to the world.
Jonathan Lim is now on board as Country Manager, Philippines, having established an excellent reputation for himself as Head of Sales, trainer and mentor at Amway Philippines LLC, and he will be working alongside Vanessa del Rosario, who has more than 12 years' industry experience and is an alumnus at both Elken and Nu Skin.
"It doesn't matter how good your products are," said Andrew Leci, Chief Visionary Officer, Oud Essentials, "or how attractive your business model is. Companies and organisations are all about people, and getting the right ones is of paramount importance to us. Fortunately, we haven't only recruited people who 'buy into' our vision of sustainability, environmental awareness and a new, more conscious way of doing business, they absolutely love it."
"We seem to have struck a chord in the consciousnesses of people within an industry," Leci continued, "and they like what we stand for. Our use of 100% pure, organic Oud in all of our products, and the fact that all our ingredients are of known provenance, sustainably and ethically sourced, have become shared values in our business model that more and more people are resonating with."
Based in Kuala Lumpur, Malaysia, and working alongside Katherine Loh will be Tiffaney Teo, a graduate in Nutrition and Community Health who takes on her role as Senior Product Trainer after stints at Elken and NuCerity. She will be joined in August 2017 by Adrian Kam -- Head of Digital Marketing -- who has an immaculate track record in his previous incarnations at Avon, Amway and the Qi Group.
Holding all the Asia-Pacific operations together will be newly-appointed Chief Financial Officer, Chang Chiek Fui -- previously of Avon, Amway and Sophie Paris in Indonesia -- who brings to the company more than 20 years' experience in finance and business development.
"When we started the company," concluded Leci, "we knew that putting the right team together was going to be essential. What perhaps we didn't realise is how important it is these days for even hardened industry professionals to embrace the notion of doing business in a more conscious manner and trying to make a difference in the world. We now have great products, and great people, all of whom believe in what we're doing and have all the experience and skillsets to turn our dreams into realities. That they have all had stellar careers in well-established and reputable companies in the industry is a major bonus."
With interest gaining momentum, and the ultra-competitive industry abuzz, it is already apparent that Oud Essentials will appeal to the ever-increasing number of conscious consumers who want to know where the products that they use come from, as well as how and by whom they are made.
Asia Plantation Capital Introduces New Tree Tagging and Inventory System
Award-winning plantation management company, Asia Plantation Capital is proud to announce the introduction of a new data collection system at its plantations and distillery in Johor, Malaysia, as part of its ongoing efforts to employ cutting edge technologies that contribute positively to both the efficiency and profitability of the organisation.
The new structure, known as the Manufacturing Execution System (MES) is an information system for managing, tracking, controlling, documenting and improving work-in-process on the factory floor as well as on the plantations. MES (produced by Eazy Works Inc, based in California, USA) is a real time, browser-based system of execution that enables users to model almost any kind of manufacturing process. This makes it possible to effectively control and track production processes and to more competently and efficiently comply with quality standards within the industry. The entire system is due for completion and full implementation by the end of July 2017.
One of its many functions is 'asset tagging', which means that private and institutional clients that own trees managed by Asia Plantation Capital will be able to easily identify and track the progress of their trees. Oil production history can also be identified by using the QR (Quick Response) code.
"At Asia Plantation Capital, we are constantly looking to improve our systems," said Steve Watts, Asia Plantation Capital's CEO, Asia Pacific. "We set high standards for ourselves, and as anyone in a competitive industry knows, those standards have to be maintained and then exceeded whenever the opportunity presents itself. We've already set a number of benchmarks in the industry, which have been recognised around the world, but there is never a time for complacency, even taking into account our remarkable achievements to date. With this new system in place, we will be able to monitor our plantations with even greater efficiency, and give our clients even more information on the identification, health and progress of their trees. "
"This is another great example," Watts concluded, "of technology and nature working hand in hand for the benefit of all, and we know that our clients and indeed all the staff on our plantations and at our factories and distilleries will be delighted with the results."
A pioneer in the industry, Asia Plantation Capital has been cultivating agarwood since 2009, and is known to be the market leader in terms of scientific knowledge and the techniques required to stimulate the resinous heartwood of the Aquilaria tree by inoculation. The deployment, therefore, of the new, state of the art system, is yet another reflection of Asia Plantation Capital's commitment to its clients and the plantation industry sector as a whole.
The new structure, known as the Manufacturing Execution System (MES) is an information system for managing, tracking, controlling, documenting and improving work-in-process on the factory floor as well as on the plantations. MES (produced by Eazy Works Inc, based in California, USA) is a real time, browser-based system of execution that enables users to model almost any kind of manufacturing process. This makes it possible to effectively control and track production processes and to more competently and efficiently comply with quality standards within the industry. The entire system is due for completion and full implementation by the end of July 2017.
One of its many functions is 'asset tagging', which means that private and institutional clients that own trees managed by Asia Plantation Capital will be able to easily identify and track the progress of their trees. Oil production history can also be identified by using the QR (Quick Response) code.
"At Asia Plantation Capital, we are constantly looking to improve our systems," said Steve Watts, Asia Plantation Capital's CEO, Asia Pacific. "We set high standards for ourselves, and as anyone in a competitive industry knows, those standards have to be maintained and then exceeded whenever the opportunity presents itself. We've already set a number of benchmarks in the industry, which have been recognised around the world, but there is never a time for complacency, even taking into account our remarkable achievements to date. With this new system in place, we will be able to monitor our plantations with even greater efficiency, and give our clients even more information on the identification, health and progress of their trees. "
"This is another great example," Watts concluded, "of technology and nature working hand in hand for the benefit of all, and we know that our clients and indeed all the staff on our plantations and at our factories and distilleries will be delighted with the results."
A pioneer in the industry, Asia Plantation Capital has been cultivating agarwood since 2009, and is known to be the market leader in terms of scientific knowledge and the techniques required to stimulate the resinous heartwood of the Aquilaria tree by inoculation. The deployment, therefore, of the new, state of the art system, is yet another reflection of Asia Plantation Capital's commitment to its clients and the plantation industry sector as a whole.
Sono Motors เปิดตัวรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ "Sion" ครั้งแรกที่มิวนิก
บริษัทสตาร์ทอัพน้องใหม่ Sono Motors เปิดตัวรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ "Sion" เป็นครั้งแรกที่กรุงมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยมีตัวแทนจากภาคการเมือง อุตสาหกรรม และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดกว่า 700 คน
รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ Sion สามารถวิ่งได้ไกล 250 กิโลเมตร และมีราคาขายอยู่ที่ 16,000 ยูโร (ไม่รวมแบตเตอรี่) โดยสามารถซื้อแบตเตอรี่แยกได้ในราคาไม่ถึง 4,000 ยูโร หรือจะเช่าเป็นรายเดือนก็ได้เช่นกัน ด้วยราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ Sion จึงเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับชีวิตประจำวันของทุกคน และด้วยฟีเจอร์เด่นมากมาย รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์คันนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นรถสำหรับครอบครัวและคนเมือง
หนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ Sion คือระบบชาร์จไฟอัตโนมัติ viSono (มาจากคำว่า "Vision") โดยโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งมากับรถยนต์จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าและชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่ด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถวิ่งได้สูงสุด 30 กิโลเมตรต่อวัน
นอกจากนี้ ระบบ biSono (มาจากคำว่า "bi-directional") ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยระบบดังกล่าวช่วยให้ชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ และยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้ด้วย ทำให้ Sion กลายเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 6.6 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จไฟให้รถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นได้เช่นกัน
Sono Motors มองว่ายานยนต์แห่งอนาคตจะต้องมีทางเลือกในการแบ่งปันที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ Sion จึงมาพร้อมกับ 3 บริการพิเศษ ได้แก่ powerSharing, carSharing และ rideSharing
ผู้ขับขี่สามารถแชร์รถและพลังงานไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่คนอื่นๆ ผ่านทางแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทั้งยังสามารถให้ผู้อื่นยืม Sion ไปใช้งานในบางช่วงเวลาได้อีกด้วย
หลังการเปิดตัวในครั้งนี้ Sono Motors จะจัดให้มีการทดลองขับรถยนต์ในโซนยุโรปตะวันตกรวมทั้งสิ้น 12 เมือง ใน 6 ประเทศ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ณ กรุงมิวนิก
Sono Motors is Presenting the Solar Car "Sion" in Munich for the First Time
During their release event, the startup Sono Motors presented its solar car Sion. More than 700 guests from politics, industry and the press were invited.
The Sion has a range of 250km and retails at 16,000 €, without battery. The battery can either be purchased in a one-time transaction of less than 4,000 €, or at a monthly rent. Due to the comparatively low price, the car is intended to make electro mobility suitable for everyday use. Due to its special features, the Sion is particularly appealing to families and urban commuters.
Special is also the self-charging system, called viSono (from "Vision"). Through integrated solar cells, electricity is generated and charged into the battery, reaching up to 30 free kilometers per day.
According to the company, the "biSono" system (from "bi-directional") is another important feature. It allows the vehicle's battery not only to be charged, but also supply energy, making the Sion a mobile power-station. With an output of 6.6 kW, even other electric cars can be charged.
Sono Motors sees the future of mobility in various sharing options. The Sion will therefore be equipped with three different mobility-services: powerSharing, carSharing and rideSharing.
Via a smart phone app, car rides and electricity can be offered to other users. In addition, it is possible to lend the Sion to other users, for a certain time period.
After the release event, Sono Motors will start a test drive tour through Western Europe. Events will take place in 12 cities and 6 countries. The tour will start on the 18th of August in Munich.
3 นักเรียนไทยคว้าทุนบริติช เคานซิล IELTS ประจำปี 2560 สานฝันเรียนต่อต่างประเทศ
กรุงเทพฯ--31 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
บริติช เคานซิล มอบทุน IELTS สนับสนุน 3 นักเรียนไทยในการเรียนต่อต่างประเทศ โดยมีพิธีมอบทุนการศึกษาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ณ บริติช เคานซิล สยามสแควร์ ทั้งนี้ บริติช เคานซิล ได้มอบทุน IELTS สำหรับนักเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมาแล้วกว่า 170 คน ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554
ผู้คว้าทุนทั้ง 3 คนจากประเทศไทย คือ คุณชนากานต์ วาสะศิริ คุณณัฐนรี สีห์โสภณ และคุณนนทรัตน์ จรรยหาญ ซึ่งคุณนนทรัตน์ หนึ่งในผู้คว้าทุนบริติช เคานซิล IELTS ประเทศไทยประจำปี 2560 กล่าวว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากที่ความทุ่มเทและความสนใจในภาษาอังกฤษของผมทำให้ผมได้รับทุนบริติช เคานซิล IELTS การได้รับทุนครั้งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผมสำหรับการฝ่าฟันอุปสรรคและความท้าทายในอนาคต นอกจากนั้นทุนนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้ผมทำประโยชน์เพื่อสังคมจากสาขาที่ผมเรียนครับ"
Sue Yen Chong ผู้ชนะรางวัลระดับภูมิภาคได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มากมายในสหราชอาณาจักร และคิดว่า IELTS ได้ช่วยให้เขาบรรลุจุดมุ่งหมายได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้พบกับความท้าทายใหม่ๆด้วย "ในชีวีตฉันไม่เคยคาดฝันว่าจะได้ทุนการศึกษามาก่อน โดยเฉพาะทุนที่จะเปิดโอกาสให้ฉันได้เรียนต่อต่างประเทศ รางวัลนี้มีคุณค่าต่อฉันมาก ไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังช่วยทำความฝันที่ฉันตั้งใจไว้มาสู่ความเป็นจริง ฉันอยากขอบคุณบริติช เคานซิล ที่มอบโอกาสอันล้ำค่าให้ฉันได้เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ในต่างประเทศ
"ในฐานะที่เป็นการสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ IELTS มีผู้สอบจำนวนมากถึง 2.9 ล้านคนในปี 2559 ที่ผ่านมา และเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจาก 10,000 องค์กรทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยมหาวิทยาลัย บริษัท และหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง" เกร็ก เซลบี้ ผู้อำนวยการสอบของภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าว "เรามีความยินดีเป็นอย่างมากที่ทั่วโลกยอมรับรางวัลนี้ และรางวัล IELTS นี้ยังมีส่วนช่วยให้นักศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้ทำตามความฝันในการไปศึกษาต่อประเทศ"
บริติช เคานซิล ในฐานะตัวแทนจัดสอบ IELTS อย่างเป็นทางการ ให้การสนับสนุนนักเรียนที่ลงทะเบียนเตรียมตัวสอบ IELTS อย่างเต็มที่ ด้วยหลักสูตรออนไลน์ "Road to IELTS" ฟรี 30 ชั่วโมง นอกจากนี้ทางสถาบันยังได้จัดตารางการสอบให้นักเรียนเพื่อความสะดวกและเหมาะสมถึง 3 ครั้งต่อเดือน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริติช เคานซิล IELTS กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.britishcouncil.or.th/en/exam/ielts และสามารถติดตามกิจกรรมพิเศษได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook: IELTS British Council Thailand
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
คุณกัณฐณัฏฐ์ จรัสชัยมงคล
ผู้จัดการการตลาดด้านการสอบ บริติช เคานซิล ประเทศไทย
อีเมล: kantanat.jaruschaimongkol@britishcouncil.or.th
โทรศัพท์: 02 657 5654
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน
เกี่ยวกับระบบการทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ( IELTS)
IELTS เป็นระบบการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าสอบมากกว่า 2 ล้านคน องค์กรกว่า 9,000 แห่ง ไว้วางใจและยอมรับ IELTS ให้เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถของการสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตที่แน่นอน ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เพื่อการศึกษา การอพยพย้ายถิ่น และการทำงานสายอาชีพ IELTS เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างบริติช เคานซิล, IDP: IELTS ออสเตรเลีย และ Cambridge English Language Assessment โดยเป็นการทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ที่มีผู้เข้าสอบ IELTS มากกว่า 2.5 ล้านคนเมื่อปี พ.ศ. 2558 ในกว่า 140 ประเทศ
เกี่ยวกับการสอบ
ผู้สมัครจะได้รับการทดสอบในทักษะการฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด การทดสอบทั้งหมดจะถูกให้คะแนนในรูปแบบการจัดระดับตั้งแต่ 1 (ระดับต่ำสุด) จนถึง 9 (ระดับคะแนนสูงสุด) IELTS ให้บริการ 2 รูปแบบ ทั้งเพื่อจุดประสงค์ทางการศึกษาและที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา IELTS Academic เป็นการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ผู้เข้าทดสอบจะสามารถเข้าใจแบบฝึกหัดและบทเรียนต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะมุ่งเน้นสาขาวิชาใดก็ตาม แบบฝึกหัดและบทเรียนจะสะท้อนภาพถึงสถานการณ์ในที่ทำงานและการเข้าสังคม IELTS General Training เป็นการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษในบริบทที่ต้องใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน การทดสอบ General Training เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการย้ายถิ่นเข้าสู่ประเทศออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และ สหราชอาณาจักร
เกี่ยวกับ บริติช เคานซิล
บริติช เคานซิล คือองค์กรนานาชาติเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งสหราชอาณาจักร เราสร้างสรรค์องค์ความรู้และความเข้าใจอันดีระหว่างผู้คนของสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ โดยการสร้างประโยชน์ระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศที่เราทำงานด้วย เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นโดยการสร้างโอกาส สร้างเครือข่าย และสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน
เราทำงานกับประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลกผ่านงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ การศึกษา และภาคประชาสังคม ในแต่ละปีเราสื่อสารกับผู้คนโดยตรงมากกว่า 20 ล้านคน และสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ สื่อวิทยุโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ กับผู้คนกว่า 500 ล้านคน
บริติช เคานซิล ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2477 ภายใต้พระบรมราชานุญาตและพระราชบัญญัติองค์การอิสระแห่ง สหราชอาณาจักร รายได้ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินโครงการต่างๆ รวมถึงงานด้านการสอนภาษาอังกฤษ การจัดสอบ การพัฒนาการศึกษา และโครงการความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชน ส่วนที่เหลือร้อยละ 18 มาจากเงินสนับสนุนโดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร
บริติช เคานซิล ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2495 และขยายสาขาเป็นหกสาขาในประเทศไทย ประกอบด้วย ห้าสาขาในกรุงเทพมหานคร และหนึ่งสาขาในเชียงใหม่ เรามุ่งมั่นในพันธกิจของเราในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร และสร้างโอกาสให้ผู้คน ผ่านงานด้านภาษาอังกฤษ การศึกษา การสอบ ศิลปะและสังคม
บริติช เคานซิล มอบทุน IELTS สนับสนุน 3 นักเรียนไทยในการเรียนต่อต่างประเทศ โดยมีพิธีมอบทุนการศึกษาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ณ บริติช เคานซิล สยามสแควร์ ทั้งนี้ บริติช เคานซิล ได้มอบทุน IELTS สำหรับนักเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมาแล้วกว่า 170 คน ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554
พิธีมอบทุนการศึกษา บริติช เคานซิล IELTS ประจำปี 2560 |
ผู้คว้าทุนทั้ง 3 คนจากประเทศไทย คือ คุณชนากานต์ วาสะศิริ คุณณัฐนรี สีห์โสภณ และคุณนนทรัตน์ จรรยหาญ ซึ่งคุณนนทรัตน์ หนึ่งในผู้คว้าทุนบริติช เคานซิล IELTS ประเทศไทยประจำปี 2560 กล่าวว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากที่ความทุ่มเทและความสนใจในภาษาอังกฤษของผมทำให้ผมได้รับทุนบริติช เคานซิล IELTS การได้รับทุนครั้งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผมสำหรับการฝ่าฟันอุปสรรคและความท้าทายในอนาคต นอกจากนั้นทุนนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้ผมทำประโยชน์เพื่อสังคมจากสาขาที่ผมเรียนครับ"
Sue Yen Chong ผู้ชนะรางวัลระดับภูมิภาคได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มากมายในสหราชอาณาจักร และคิดว่า IELTS ได้ช่วยให้เขาบรรลุจุดมุ่งหมายได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้พบกับความท้าทายใหม่ๆด้วย "ในชีวีตฉันไม่เคยคาดฝันว่าจะได้ทุนการศึกษามาก่อน โดยเฉพาะทุนที่จะเปิดโอกาสให้ฉันได้เรียนต่อต่างประเทศ รางวัลนี้มีคุณค่าต่อฉันมาก ไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังช่วยทำความฝันที่ฉันตั้งใจไว้มาสู่ความเป็นจริง ฉันอยากขอบคุณบริติช เคานซิล ที่มอบโอกาสอันล้ำค่าให้ฉันได้เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ในต่างประเทศ
"ในฐานะที่เป็นการสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ IELTS มีผู้สอบจำนวนมากถึง 2.9 ล้านคนในปี 2559 ที่ผ่านมา และเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจาก 10,000 องค์กรทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยมหาวิทยาลัย บริษัท และหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง" เกร็ก เซลบี้ ผู้อำนวยการสอบของภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าว "เรามีความยินดีเป็นอย่างมากที่ทั่วโลกยอมรับรางวัลนี้ และรางวัล IELTS นี้ยังมีส่วนช่วยให้นักศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้ทำตามความฝันในการไปศึกษาต่อประเทศ"
บริติช เคานซิล ในฐานะตัวแทนจัดสอบ IELTS อย่างเป็นทางการ ให้การสนับสนุนนักเรียนที่ลงทะเบียนเตรียมตัวสอบ IELTS อย่างเต็มที่ ด้วยหลักสูตรออนไลน์ "Road to IELTS" ฟรี 30 ชั่วโมง นอกจากนี้ทางสถาบันยังได้จัดตารางการสอบให้นักเรียนเพื่อความสะดวกและเหมาะสมถึง 3 ครั้งต่อเดือน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริติช เคานซิล IELTS กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.britishcouncil.or.th/en/exam/ielts และสามารถติดตามกิจกรรมพิเศษได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook: IELTS British Council Thailand
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
คุณกัณฐณัฏฐ์ จรัสชัยมงคล
ผู้จัดการการตลาดด้านการสอบ บริติช เคานซิล ประเทศไทย
อีเมล: kantanat.jaruschaimongkol@britishcouncil.or.th
โทรศัพท์: 02 657 5654
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน
เกี่ยวกับระบบการทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ( IELTS)
IELTS เป็นระบบการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าสอบมากกว่า 2 ล้านคน องค์กรกว่า 9,000 แห่ง ไว้วางใจและยอมรับ IELTS ให้เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถของการสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตที่แน่นอน ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เพื่อการศึกษา การอพยพย้ายถิ่น และการทำงานสายอาชีพ IELTS เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างบริติช เคานซิล, IDP: IELTS ออสเตรเลีย และ Cambridge English Language Assessment โดยเป็นการทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ที่มีผู้เข้าสอบ IELTS มากกว่า 2.5 ล้านคนเมื่อปี พ.ศ. 2558 ในกว่า 140 ประเทศ
เกี่ยวกับการสอบ
ผู้สมัครจะได้รับการทดสอบในทักษะการฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด การทดสอบทั้งหมดจะถูกให้คะแนนในรูปแบบการจัดระดับตั้งแต่ 1 (ระดับต่ำสุด) จนถึง 9 (ระดับคะแนนสูงสุด) IELTS ให้บริการ 2 รูปแบบ ทั้งเพื่อจุดประสงค์ทางการศึกษาและที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา IELTS Academic เป็นการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ผู้เข้าทดสอบจะสามารถเข้าใจแบบฝึกหัดและบทเรียนต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะมุ่งเน้นสาขาวิชาใดก็ตาม แบบฝึกหัดและบทเรียนจะสะท้อนภาพถึงสถานการณ์ในที่ทำงานและการเข้าสังคม IELTS General Training เป็นการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษในบริบทที่ต้องใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน การทดสอบ General Training เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการย้ายถิ่นเข้าสู่ประเทศออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และ สหราชอาณาจักร
เกี่ยวกับ บริติช เคานซิล
บริติช เคานซิล คือองค์กรนานาชาติเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งสหราชอาณาจักร เราสร้างสรรค์องค์ความรู้และความเข้าใจอันดีระหว่างผู้คนของสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ โดยการสร้างประโยชน์ระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศที่เราทำงานด้วย เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นโดยการสร้างโอกาส สร้างเครือข่าย และสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน
เราทำงานกับประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลกผ่านงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ การศึกษา และภาคประชาสังคม ในแต่ละปีเราสื่อสารกับผู้คนโดยตรงมากกว่า 20 ล้านคน และสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ สื่อวิทยุโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ กับผู้คนกว่า 500 ล้านคน
บริติช เคานซิล ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2477 ภายใต้พระบรมราชานุญาตและพระราชบัญญัติองค์การอิสระแห่ง สหราชอาณาจักร รายได้ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินโครงการต่างๆ รวมถึงงานด้านการสอนภาษาอังกฤษ การจัดสอบ การพัฒนาการศึกษา และโครงการความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชน ส่วนที่เหลือร้อยละ 18 มาจากเงินสนับสนุนโดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร
บริติช เคานซิล ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2495 และขยายสาขาเป็นหกสาขาในประเทศไทย ประกอบด้วย ห้าสาขาในกรุงเทพมหานคร และหนึ่งสาขาในเชียงใหม่ เรามุ่งมั่นในพันธกิจของเราในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร และสร้างโอกาสให้ผู้คน ผ่านงานด้านภาษาอังกฤษ การศึกษา การสอบ ศิลปะและสังคม
Three students in Thailand win 2017 British Council IELTS Prize to pursue their dreams of studying overseas
BANGKOK--31 Jul--PRNewswire/InfoQuest
- 3 top students in East Asia win Regional IELTS Prize
Studying overseas has been a dream for many students in Thailand. With an aim to connect people with learning opportunities, the British Council launched the IELTS Prize in 2011 and, since then, it has supported a total of 170 students in the East Asia region in entering universities worldwide. This year, 36 prize winners would be added to the list. The award presentation ceremony in Thailand was held at British Council, Siam Square on 25th July 2017. Each of the local prize winners received a prize valued at 100,000 Thai Baht. In addition to the local awards, the British Council also awarded three regional prizes to top students in the East Asia region, who will be entering their dream universities overseas to pursue further education.
https://photos.prnasia.com/prnvar/20170728/1909101-1
3 students from Thailand won the local IELTS Prize. One of the local prize winners, Nontharatt Janyaharn commented that: "I feel very honoured and delighted that my hard work and interest in English are well recognised by the IELTS Prize. Winning this opportunity also gave me greater confidence for bigger challenges ahead and already strengthened my motivation for social contribution using my area of study."
Sue Yen Chong, Regional Grand Prize winner, received multiple offers from UK universities and thinks that IELTS enabled her to accomplish her goals and embark on new challenges, "Never in my wildest dreams had I imagined winning a scholarship that would enable me to further my studies overseas. This prize means so much more to me than just relieving a financial burden, but helping me to bridge my aspirations and reality. I am extremely grateful to the British Council for granting me this priceless opportunity of pursuing architecture abroad."
"As an international English proficiency test, IELTS has grown its popularity with over 2.9 million of tests taken in 2016, and is now recognised by over 10,000 organisations, including universities, employers and immigration authorities worldwide," said Greg Selby, Director Examinations, Examinations Services, East Asia. "We are pleased that our wide international acceptance and the IELTS Prize are helping more students in East Asia to pursue further study overseas."
As an IELTS official test centre, the British Council provides full support in preparing students in taking the IELTS test, including Road to IELTS, specially designed online practice materials for registered students, and the access to different preparation materials. Furthermore, test sessions are organised at least three times a month, which give students flexibility for the most suitable sessions. For more details, please visit www.britishcouncil.or.th/exam/ielts
Media Contacts:
Kantanat Jaruschaimongkol (Exams Marketing Manager)
Email: kantanat.jaruschaimongkol@britishcouncil.or.th
Tel: 02-657-5654
Notes to editor
(1) About International English Language Testing System (IELTS)
IELTS is the International English Language Testing System, the world's most popular English language proficiency test with two million tests taken in the last year. Over 10,000 organizations trust and accept IELTS as a secure, valid and reliable indicator of true to life ability to communicate in English for education, immigration and professional accreditation. IELTS is jointly owned by British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
About the test
Candidates are tested in listening, reading, writing and speaking. All tests are scored on a banded system from 1 (the lowest) through to 9 (the highest possible band score).
IELTS offers a choice of two versions, to serve both academic and non-academic purposes. IELTS Academic module measures English language proficiency needed for an academic, higher learning environment. The tasks and texts are accessible to all test-takers, irrespective of their subject focus. IELTS General Training module measures English language proficiency in a practical, everyday context. The tasks and texts reflect both workplace and social situations. The General Training module is suitable for immigration purposes to Australia, Canada, New Zealand and the United Kingdom.
(2) About the British Council
The British Council is the UK's international organisation for cultural relations and educational opportunities. We create friendly knowledge and understanding between the people of the UK and other countries. Using the UK's cultural resources we make a positive contribution to the countries we work with -- changing lives by creating opportunities, building connections and engendering trust.
We work with over 100 countries across the world in the fields of arts and culture, English language, education and civil society. Each year we reach over 20 million people face-to-face and more than 500 million people online, via broadcasts and publications.
Founded in 1934, we are a UK charity governed by Royal Charter and a UK public body. The majority of our income is raised delivering a range of projects and contracts in English teaching and examinations, education and development contracts and from partnerships with public and private organisations. Eighteen per cent of our funding is received from the UK government.
We have been in Thailand since 1952 and currently established six offices in Thailand; five in Bangkok and one Chiang Mai. We are committed to developing relationships between UK and Thailand and creating opportunity through our work English, education, examinations, the arts and society.
Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20170728/1909101-1
Caption: British Council IELTS Prize Award Ceremony 2017
- 3 top students in East Asia win Regional IELTS Prize
Studying overseas has been a dream for many students in Thailand. With an aim to connect people with learning opportunities, the British Council launched the IELTS Prize in 2011 and, since then, it has supported a total of 170 students in the East Asia region in entering universities worldwide. This year, 36 prize winners would be added to the list. The award presentation ceremony in Thailand was held at British Council, Siam Square on 25th July 2017. Each of the local prize winners received a prize valued at 100,000 Thai Baht. In addition to the local awards, the British Council also awarded three regional prizes to top students in the East Asia region, who will be entering their dream universities overseas to pursue further education.
https://photos.prnasia.com/prnvar/20170728/1909101-1
3 students from Thailand won the local IELTS Prize. One of the local prize winners, Nontharatt Janyaharn commented that: "I feel very honoured and delighted that my hard work and interest in English are well recognised by the IELTS Prize. Winning this opportunity also gave me greater confidence for bigger challenges ahead and already strengthened my motivation for social contribution using my area of study."
Sue Yen Chong, Regional Grand Prize winner, received multiple offers from UK universities and thinks that IELTS enabled her to accomplish her goals and embark on new challenges, "Never in my wildest dreams had I imagined winning a scholarship that would enable me to further my studies overseas. This prize means so much more to me than just relieving a financial burden, but helping me to bridge my aspirations and reality. I am extremely grateful to the British Council for granting me this priceless opportunity of pursuing architecture abroad."
"As an international English proficiency test, IELTS has grown its popularity with over 2.9 million of tests taken in 2016, and is now recognised by over 10,000 organisations, including universities, employers and immigration authorities worldwide," said Greg Selby, Director Examinations, Examinations Services, East Asia. "We are pleased that our wide international acceptance and the IELTS Prize are helping more students in East Asia to pursue further study overseas."
As an IELTS official test centre, the British Council provides full support in preparing students in taking the IELTS test, including Road to IELTS, specially designed online practice materials for registered students, and the access to different preparation materials. Furthermore, test sessions are organised at least three times a month, which give students flexibility for the most suitable sessions. For more details, please visit www.britishcouncil.or.th/exam/ielts
Media Contacts:
Kantanat Jaruschaimongkol (Exams Marketing Manager)
Email: kantanat.jaruschaimongkol@britishcouncil.or.th
Tel: 02-657-5654
Notes to editor
(1) About International English Language Testing System (IELTS)
IELTS is the International English Language Testing System, the world's most popular English language proficiency test with two million tests taken in the last year. Over 10,000 organizations trust and accept IELTS as a secure, valid and reliable indicator of true to life ability to communicate in English for education, immigration and professional accreditation. IELTS is jointly owned by British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge English Language Assessment.
About the test
Candidates are tested in listening, reading, writing and speaking. All tests are scored on a banded system from 1 (the lowest) through to 9 (the highest possible band score).
IELTS offers a choice of two versions, to serve both academic and non-academic purposes. IELTS Academic module measures English language proficiency needed for an academic, higher learning environment. The tasks and texts are accessible to all test-takers, irrespective of their subject focus. IELTS General Training module measures English language proficiency in a practical, everyday context. The tasks and texts reflect both workplace and social situations. The General Training module is suitable for immigration purposes to Australia, Canada, New Zealand and the United Kingdom.
(2) About the British Council
The British Council is the UK's international organisation for cultural relations and educational opportunities. We create friendly knowledge and understanding between the people of the UK and other countries. Using the UK's cultural resources we make a positive contribution to the countries we work with -- changing lives by creating opportunities, building connections and engendering trust.
We work with over 100 countries across the world in the fields of arts and culture, English language, education and civil society. Each year we reach over 20 million people face-to-face and more than 500 million people online, via broadcasts and publications.
Founded in 1934, we are a UK charity governed by Royal Charter and a UK public body. The majority of our income is raised delivering a range of projects and contracts in English teaching and examinations, education and development contracts and from partnerships with public and private organisations. Eighteen per cent of our funding is received from the UK government.
We have been in Thailand since 1952 and currently established six offices in Thailand; five in Bangkok and one Chiang Mai. We are committed to developing relationships between UK and Thailand and creating opportunity through our work English, education, examinations, the arts and society.
Photo - https://photos.prnasia.com/prnh/20170728/1909101-1
Caption: British Council IELTS Prize Award Ceremony 2017
Jay Park นั่งแท่นกรรมการ Asia's Got Talent Season 2 ร่วมกับ David Foster และ Anggun
สิงคโปร์--31 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
AXN ประกาศว่า Jay Park ศิลปินเพลงป๊อบระดับโลก จะนั่งแท่นกรรมการรายการ Asia's Got Talent Season 2 ที่ทุกคนรอคอย
Jay Park ศิลปินเจ้าของรางวัลแพลทินัม ผู้เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้งสองค่ายเพลงดัง จะมานั่งโต๊ะร่วมกับกรรมการจากซีซั่นก่อนอย่าง David Foster โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่ 16 สมัย และ Anggun นักร้องดังเจ้าของรางวัลเวิลด์มิวสิกอวอร์ด
กรรมการทั้งสามคนได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์แล้ว และจะเริ่มถ่ายทำรายการ Asia's Got Talent ในสัปดาห์หน้า โดยทั้งสามจะต้องตัดสินการแสดงหลายร้อยรายการจาก 17 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย
Jay Park ผู้ที่คุ้นเคยกับการเฟ้นหาและพัฒนาศักยภาพของผู้ที่มีพรสวรรค์ กล่าวว่า "รายการ Asia's Got Talent จะเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก และจะหลอมรวมผู้คนจากหลากหลายประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุด ผมจะรอชมการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ กระตุ้นจิตใจ และสร้างแรงบันดาลใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้ และแทบรอไม่ไหวที่จะได้ร่วมงานกับสุดยอดกรรมการอย่าง David และ Anggun เพื่อช่วยกันเฟ้นหาดาวดวงใหม่ของเอเชียต่อไป"
David Foster โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดัง กล่าวถึงการกลับมาเป็นกรรมการรายการ Asia's Got Talent ว่า "ผู้เข้าแข่งขันในเอเชียสร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่ซีซั่นแรก แต่ละคนล้วนมีความสามารถในระดับโลก อย่างไรก็ดี ผมได้ตั้งมาตรฐานสูงขึ้นในซีซั่นนี้ และคาดหวังที่จะได้เห็นซูเปอร์สตาร์เอเชียคนต่อไป และผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับ Anggun อีกครั้ง รวมถึง Jay ด้วย"
ส่วนทางด้าน Anggun ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการทัวร์คอนเสิร์ตกว่า 30 รอบในฝรั่งเศสและเบลเยียม ทั้งยังได้รับรางวัลยอดขายสูงสุดจากอัลบัมเพลงภาษาฝรั่งเศส กล่าวว่า "แม้ตัวฉันจะอยู่ที่ปารีส แต่ใจของฉันอยู่ที่เอเชีย ฉันชอบเห็นคนที่มีพรสวรรค์จากเอเชีย ฉันขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนโชคดีและทำผลงานได้ดีที่สุด และฉันหวังว่ารายการ Asia's Got Talent จะเป็นใบเบิกทางให้ทุกคนได้เดินตามฝันของตัวเอง"
ทั้งนี้ รายการซึ่งกวาดเรตติ้งสูงสุดสาขารายการบันเทิงทั่วไปในอังกฤษเมื่อปี 2558 จะกลับมาอีกครั้งทางช่อง AXN ในเดือนตุลาคมนี้ ด้วยความยาว 10 ตอน (รอบออดิชั่น 5 ตอน รอบรองชนะเลิศ 3 ตอน รอบชิงชนะเลิศ 1 ตอน และรอบประกาศผล 1 ตอน) โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องประชันฝีมือกันเพื่อชิงรางวัลใหญ่มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
AXN ประกาศว่า Jay Park ศิลปินเพลงป๊อบระดับโลก จะนั่งแท่นกรรมการรายการ Asia's Got Talent Season 2 ที่ทุกคนรอคอย
Jay Park ศิลปินเจ้าของรางวัลแพลทินัม ผู้เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้งสองค่ายเพลงดัง จะมานั่งโต๊ะร่วมกับกรรมการจากซีซั่นก่อนอย่าง David Foster โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่ 16 สมัย และ Anggun นักร้องดังเจ้าของรางวัลเวิลด์มิวสิกอวอร์ด
กรรมการทั้งสามคนได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์แล้ว และจะเริ่มถ่ายทำรายการ Asia's Got Talent ในสัปดาห์หน้า โดยทั้งสามจะต้องตัดสินการแสดงหลายร้อยรายการจาก 17 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย
Jay Park ผู้ที่คุ้นเคยกับการเฟ้นหาและพัฒนาศักยภาพของผู้ที่มีพรสวรรค์ กล่าวว่า "รายการ Asia's Got Talent จะเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก และจะหลอมรวมผู้คนจากหลากหลายประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุด ผมจะรอชมการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ กระตุ้นจิตใจ และสร้างแรงบันดาลใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้ และแทบรอไม่ไหวที่จะได้ร่วมงานกับสุดยอดกรรมการอย่าง David และ Anggun เพื่อช่วยกันเฟ้นหาดาวดวงใหม่ของเอเชียต่อไป"
David Foster โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดัง กล่าวถึงการกลับมาเป็นกรรมการรายการ Asia's Got Talent ว่า "ผู้เข้าแข่งขันในเอเชียสร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่ซีซั่นแรก แต่ละคนล้วนมีความสามารถในระดับโลก อย่างไรก็ดี ผมได้ตั้งมาตรฐานสูงขึ้นในซีซั่นนี้ และคาดหวังที่จะได้เห็นซูเปอร์สตาร์เอเชียคนต่อไป และผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับ Anggun อีกครั้ง รวมถึง Jay ด้วย"
ส่วนทางด้าน Anggun ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการทัวร์คอนเสิร์ตกว่า 30 รอบในฝรั่งเศสและเบลเยียม ทั้งยังได้รับรางวัลยอดขายสูงสุดจากอัลบัมเพลงภาษาฝรั่งเศส กล่าวว่า "แม้ตัวฉันจะอยู่ที่ปารีส แต่ใจของฉันอยู่ที่เอเชีย ฉันชอบเห็นคนที่มีพรสวรรค์จากเอเชีย ฉันขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนโชคดีและทำผลงานได้ดีที่สุด และฉันหวังว่ารายการ Asia's Got Talent จะเป็นใบเบิกทางให้ทุกคนได้เดินตามฝันของตัวเอง"
ทั้งนี้ รายการซึ่งกวาดเรตติ้งสูงสุดสาขารายการบันเทิงทั่วไปในอังกฤษเมื่อปี 2558 จะกลับมาอีกครั้งทางช่อง AXN ในเดือนตุลาคมนี้ ด้วยความยาว 10 ตอน (รอบออดิชั่น 5 ตอน รอบรองชนะเลิศ 3 ตอน รอบชิงชนะเลิศ 1 ตอน และรอบประกาศผล 1 ตอน) โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องประชันฝีมือกันเพื่อชิงรางวัลใหญ่มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Ezaki Glico Co., Ltd. Launches English Version of Popular Educational App GLICODE (TM)
OSAKA, Japan--31 Jul--Kyodo JBN-AsiaNet/InfoQuest
Ezaki Glico Co., Ltd. (Ezaki Glico: https://www.glico.com/global/ ), is pleased to announce the launch of an English version of GLICODE (TM) -- a fun-educational programming app that allows kids as young as six to learn the basics of programming using Ezaki Glico's popular confectionary "Pocky."
(Photo: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O1-pdO74vV8 )
(Image1: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O2-2sC8395m )
(Image2: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O3-xFyX68vZ )
Download URL: http://cp.glico.jp/glicode/app-global/
Since its initial launch in Japan 2016, Ezaki Glico has organized and facilitated various GLICODE (TM) workshops across Japan and also participated in national programming events as well as overseas. GLICODE (TM) has also been recognized at many award shows like Cannes Lions, One Show and more. Through our efforts and recognition, Ezaki Glico has received many requests to localize the app for a larger market. In response to this, Ezaki Glico has decided to release an English version of GLICODE (TM).
GLICODE (TM) webpage: http://cp.glico.jp/glicode/en/
GLICODE (TM) Youtube: https://youtu.be/UiWkUqKif6o
Ezaki Glico believes GLICODE (TM) will benefit children everywhere, helping them learn the basics of programming and algorithmic thinking in a hands-on and engaging way. By lining up physical "Pocky", kids can build a coding sequence that controls the game's character. The app's UI, levels and gameplay are specifically designed to make learning simple, fun and interactive, and teaches the three basic fundamentals of programming: Basic Syntax, Loops and IF Statements.
"Ever since its establishment, the business activities of Ezaki Glico have adhered to the corporate philosophy of 'Enhancing Public Health through Food.' This is the reason why Ezaki Glico launched this GLICODE (TM). GLICODE (TM) makes it possible for kids to learn programming easily in an enjoyable way by using our confectionary 'Pocky'," says Hirohisa Tamai, Assistant Global Brand Manager, Advertisement Division, Creative Team, Ezaki Glico.
For over 95 years, Ezaki Glico has always believed that eating and playing are the two most important parts of a child's healthy growth and development. That's exactly why in 1922 the company founder, Mr. Ri-ichi Ezaki, launched Glico's first ever confectionary as a heart-shaped caramel with a toy. The iconic Glico caramel and its toy are loved by many Japanese and represent this very belief.
As culture and technology change, Ezaki Glico has the opportunity to redefine what fun is and how Ezaki Glico as a company can better contribute to a child's growth and development. Ezaki Glico hopes GLICODE(TM) can act as a next-generation Glico caramel toy (Omo-cha), one that is just as educational as it is fun and that benefits a much larger community of children, not only in Japan but around the world.
Reference: http://prw.kyodonews.jp/opn/release/201707274144/
SOURCE: Ezaki Glico Co., Ltd.
AsiaNet 69493
Ezaki Glico Co., Ltd. (Ezaki Glico: https://www.glico.com/global/ ), is pleased to announce the launch of an English version of GLICODE (TM) -- a fun-educational programming app that allows kids as young as six to learn the basics of programming using Ezaki Glico's popular confectionary "Pocky."
(Photo: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O1-pdO74vV8 )
(Image1: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O2-2sC8395m )
(Image2: http://prw.kyodonews.jp/img/201707274144-O3-xFyX68vZ )
Download URL: http://cp.glico.jp/glicode/app-global/
Since its initial launch in Japan 2016, Ezaki Glico has organized and facilitated various GLICODE (TM) workshops across Japan and also participated in national programming events as well as overseas. GLICODE (TM) has also been recognized at many award shows like Cannes Lions, One Show and more. Through our efforts and recognition, Ezaki Glico has received many requests to localize the app for a larger market. In response to this, Ezaki Glico has decided to release an English version of GLICODE (TM).
GLICODE (TM) webpage: http://cp.glico.jp/glicode/en/
GLICODE (TM) Youtube: https://youtu.be/UiWkUqKif6o
Ezaki Glico believes GLICODE (TM) will benefit children everywhere, helping them learn the basics of programming and algorithmic thinking in a hands-on and engaging way. By lining up physical "Pocky", kids can build a coding sequence that controls the game's character. The app's UI, levels and gameplay are specifically designed to make learning simple, fun and interactive, and teaches the three basic fundamentals of programming: Basic Syntax, Loops and IF Statements.
"Ever since its establishment, the business activities of Ezaki Glico have adhered to the corporate philosophy of 'Enhancing Public Health through Food.' This is the reason why Ezaki Glico launched this GLICODE (TM). GLICODE (TM) makes it possible for kids to learn programming easily in an enjoyable way by using our confectionary 'Pocky'," says Hirohisa Tamai, Assistant Global Brand Manager, Advertisement Division, Creative Team, Ezaki Glico.
For over 95 years, Ezaki Glico has always believed that eating and playing are the two most important parts of a child's healthy growth and development. That's exactly why in 1922 the company founder, Mr. Ri-ichi Ezaki, launched Glico's first ever confectionary as a heart-shaped caramel with a toy. The iconic Glico caramel and its toy are loved by many Japanese and represent this very belief.
As culture and technology change, Ezaki Glico has the opportunity to redefine what fun is and how Ezaki Glico as a company can better contribute to a child's growth and development. Ezaki Glico hopes GLICODE(TM) can act as a next-generation Glico caramel toy (Omo-cha), one that is just as educational as it is fun and that benefits a much larger community of children, not only in Japan but around the world.
Reference: http://prw.kyodonews.jp/opn/release/201707274144/
SOURCE: Ezaki Glico Co., Ltd.
AsiaNet 69493
“เอสเต ลอเดอร์” จับมือ “วิคตอเรีย เบคแฮม” ร่วมกันรังสรรค์เมคอัพรุ่นลิมิเต็ดคอลเลคชั่นที่ 2
เอสเต ลอเดอร์ เปิดตัวเครื่องสำอางรุ่นลิมิเต็ดคอลเลคชั่นที่ 2 ที่รังสรรค์ร่วมกับแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง "วิคตอเรีย เบคแฮม" พร้อมวางจำหน่ายในเดือนกันยายนนี้ที่เคาเตอร์ของเอสเต ลอเดอร์ สาขาที่ร่วมรายการทั่วโลก รวมทั้งทางเว็บไซต์ victoriabeckham.com และ esteelauder.com และร้านแฟลกชิปของวิคตอเรีย เบคแฮม ที่ 36 Dover Street London ทั้งนี้ วิคตอเรียรับหน้าที่เป็นนางแบบของแคมเปญนี้ทั้งในสื่อดิจิทัลและสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมี แลชแลน เบลีย์ รับหน้าที่เป็นช่างภาพในการถ่ายโฆษณาที่นิวยอร์ก
วิคตอเรีย เบคแฮม กล่าวว่า "ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้สร้างสรรค์เครื่องสำอางคอลเลคชั่นใหม่ร่วมกับเอสเต ลอเดอร์ การได้ร่วมงานกับแลชแลนและเอสเตในแคมเปญนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับฉัน เครื่องสำอางคอลเลคชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองที่ฉันชื่นชอบจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ด้านความงามของฉันได้เป็นอย่างดี ฉันหวังว่าเครื่องสำอางคอลเลคชั่นนี้จะช่วยแต่งแต้มความงามให้กับผู้หญิงทั่วโลก และทำให้พวกเธอมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น"
สเตฟาน เดอ ลา เฟเวอรี ประธานสากลของเอสเต ลอเดอร์ กล่าวว่า "เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากคอลเลคชั่นแรกเมื่อปีที่แล้ว และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สานต่อความร่วมมือกับวิคตอเรีย เบคแฮมอีกครั้งในคอลเลคชั่นสองที่พร้อมวางจำหน่ายในเดือนกันยายนนี้ วิคตอเรียมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับคุณเอสเต ลอเดอร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ของเรา นั่นคือ เธอเข้าใจดีว่าผู้หญิงต้องการอะไร และผสานสิ่งที่ผู้หญิงต้องการไว้ในเครื่องสำอางในแบบฉบับของตัวเอง ทั้งนี้ เอสเต ลอเดอร์ และวิคตอเรียจะร่วมกันส่งต่อความงามอันไม่มีที่สิ้นสุดผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพล้ำลึกยิ่งขึ้น การครีเอทลุคใหม่ๆ รวมถึงคอนเทนต์ความงามในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงทั่วโลก"
เกี่ยวกับ วิคตอเรีย เบคแฮม
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2551 แบรนด์แฟชั่นชั้นนำอย่าง วิคตอเรีย เบคแฮม ก็ได้เดินหน้าพัฒนาเครื่องแต่งกายที่ทันสมัยและโดดเด่นมาโดยตลอด คอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของวิคตอเรีย เบคแฮม รังสรรค์อย่างประณีตและมีเอกลักษณ์ชัดเจน โดยวางจำหน่ายในร้านค้ากว่า 400 แห่ง ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก วิคตอเรียได้ใส่สไตล์ของเธอลงไปในเสื้อผ้าทุกคอลเลคชั่น เพื่อตอบสนองทุกความปรารถนาของหญิงสาวผู้มั่นใจในคุณภาพและความหรูหราของทางแบรนด์
เกี่ยวกับ เอสเต ลอเดอร์
เอสเต ลอเดอร์ เป็นแบรนด์แฟลกชิปในเครือบริษัท เอสเต ลอเดอร์ คอมพานี อิงค์ ซึ่งก่อตั้งโดยคุณเอสเต ลอเดอร์ หนึ่งในนักธุรกิจหญิงคนแรกๆของโลก ปัจจุบันทางแบรนด์ได้สานต่อปณิธานของคุณเอสเตในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอม ที่ทั้งแปลกใหม่ ล้ำลึก และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ซึ่งกลั่นกรองมาจากความเข้าใจในความปรารถนาของหญิงสาวทั่วโลกอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ เอสเต ลอเดอร์ เข้าถึงผู้หญิงในกว่า 150 ประเทศทั่วโลกผ่านทางหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเอสเตเข้าใจผู้หญิงอย่างแท้จริง
สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ @victoriabeckham และ @esteelauder ผ่านทางอินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์ และแฮชแท็ก #VBxEsteeLauder
ติดตาม @esteelauder ได้ทาง Instagram , Facebook , Twitter และ YouTube
ติดตาม @victoriabeckham ได้ทาง Instagram , Twitter , Facebook , Weibo , YouTube , TenCent และ GooglePlus
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539777/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Ad.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539776/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Model_Image.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539778/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_collection.jpg
วิคตอเรีย เบคแฮม กล่าวว่า "ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้สร้างสรรค์เครื่องสำอางคอลเลคชั่นใหม่ร่วมกับเอสเต ลอเดอร์ การได้ร่วมงานกับแลชแลนและเอสเตในแคมเปญนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับฉัน เครื่องสำอางคอลเลคชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองที่ฉันชื่นชอบจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ด้านความงามของฉันได้เป็นอย่างดี ฉันหวังว่าเครื่องสำอางคอลเลคชั่นนี้จะช่วยแต่งแต้มความงามให้กับผู้หญิงทั่วโลก และทำให้พวกเธอมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น"
สเตฟาน เดอ ลา เฟเวอรี ประธานสากลของเอสเต ลอเดอร์ กล่าวว่า "เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากคอลเลคชั่นแรกเมื่อปีที่แล้ว และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สานต่อความร่วมมือกับวิคตอเรีย เบคแฮมอีกครั้งในคอลเลคชั่นสองที่พร้อมวางจำหน่ายในเดือนกันยายนนี้ วิคตอเรียมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับคุณเอสเต ลอเดอร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ของเรา นั่นคือ เธอเข้าใจดีว่าผู้หญิงต้องการอะไร และผสานสิ่งที่ผู้หญิงต้องการไว้ในเครื่องสำอางในแบบฉบับของตัวเอง ทั้งนี้ เอสเต ลอเดอร์ และวิคตอเรียจะร่วมกันส่งต่อความงามอันไม่มีที่สิ้นสุดผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพล้ำลึกยิ่งขึ้น การครีเอทลุคใหม่ๆ รวมถึงคอนเทนต์ความงามในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงทั่วโลก"
เกี่ยวกับ วิคตอเรีย เบคแฮม
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2551 แบรนด์แฟชั่นชั้นนำอย่าง วิคตอเรีย เบคแฮม ก็ได้เดินหน้าพัฒนาเครื่องแต่งกายที่ทันสมัยและโดดเด่นมาโดยตลอด คอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของวิคตอเรีย เบคแฮม รังสรรค์อย่างประณีตและมีเอกลักษณ์ชัดเจน โดยวางจำหน่ายในร้านค้ากว่า 400 แห่ง ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก วิคตอเรียได้ใส่สไตล์ของเธอลงไปในเสื้อผ้าทุกคอลเลคชั่น เพื่อตอบสนองทุกความปรารถนาของหญิงสาวผู้มั่นใจในคุณภาพและความหรูหราของทางแบรนด์
เกี่ยวกับ เอสเต ลอเดอร์
เอสเต ลอเดอร์ เป็นแบรนด์แฟลกชิปในเครือบริษัท เอสเต ลอเดอร์ คอมพานี อิงค์ ซึ่งก่อตั้งโดยคุณเอสเต ลอเดอร์ หนึ่งในนักธุรกิจหญิงคนแรกๆของโลก ปัจจุบันทางแบรนด์ได้สานต่อปณิธานของคุณเอสเตในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอม ที่ทั้งแปลกใหม่ ล้ำลึก และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ซึ่งกลั่นกรองมาจากความเข้าใจในความปรารถนาของหญิงสาวทั่วโลกอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ เอสเต ลอเดอร์ เข้าถึงผู้หญิงในกว่า 150 ประเทศทั่วโลกผ่านทางหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเอสเตเข้าใจผู้หญิงอย่างแท้จริง
สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ @victoriabeckham และ @esteelauder ผ่านทางอินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์ และแฮชแท็ก #VBxEsteeLauder
ติดตาม @esteelauder ได้ทาง Instagram , Facebook , Twitter และ YouTube
ติดตาม @victoriabeckham ได้ทาง Instagram , Twitter , Facebook , Weibo , YouTube , TenCent และ GooglePlus
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539777/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Ad.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539776/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Model_Image.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/539778/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_collection.jpg
Estee Lauder Reveals Campaign for Second Limited Edition Makeup Collection With Victoria Beckham
Estee Lauder today unveiled the campaign for a second limited edition makeup collection with fashion designer Victoria Beckham. The new Victoria Beckham Estee Lauder Makeup Collection will be available beginning September 2017 at select retailers globally, as well as victoriabeckham.com , esteelauder.com and Victoria Beckham's flagship 36 Dover Street London store. Victoria fronts the digital and print campaign, with imagery shot by photographer Lachlan Bailey in New York City.
"I am so excited to be expanding my makeup collection with Estee Lauder and launching a second capsule. To work with Lachlan and Estee on the campaign was very special and a real honor." said Victoria Beckham. "Inspired by my favorite cities in the world, this makeup collection reflects my personal beauty vision. I hope it will make women everywhere feel beautiful and confident."
"Building on the enormous success of our first joint makeup collection last year, we are thrilled to continue our partnership with Victoria for a second, expanded makeup collection launching in September," said Stephane de La Faverie, Global Brand President, Estee Lauder. "Like our founder, Estee, Victoria has a real understanding of what women want and has applied this to beauty in a very passionate and personal way. With this collection, Estee Lauder and Victoria will further amplify the aspirational beauty conversation with deeper product innovation, newly curated beauty looks and dynamic digital beauty content to inspire women around the world."
About Victoria Beckham
Since launching in 2008, the Victoria Beckham fashion brand has developed a distinctive and modern language of clothing. Bold, intuitive and refined, its wardrobe of apparel and accessories is now stocked in over 400 stores in over 50 countries internationally. With each collection Victoria adapts her own personal style to the needs and desires of the international women who swear by the label's luxurious and flattering garments.
About Estee Lauder
Estee Lauder is the flagship brand of The Estee Lauder Companies Inc. Founded by Estee Lauder, one of the world's first female entrepreneurs, the brand today continues her legacy of creating the most innovative, sophisticated, high-performance skincare and makeup products and iconic fragrances – all infused with a deep understanding of women's needs and desires. Today, Estee Lauder engages with women in over 150 countries around the world and at dozens of touch points – from in-store to digital. And each of these relationships consistently reflects Estee's powerful and authentic woman-to-woman point of view.
For more information, visit @victoriabeckham and @esteelauder on Instagram and Twitter.
#VBxEsteeLauder
Follow @esteelauder on Instagram , Facebook , Twitter and YouTube
Follow @victoriabeckham on Instagram , Twitter , Facebook , Weibo , YouTube , TenCent and GooglePlus
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539777/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Ad.jpg
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539776/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Model_Image.jpg
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539778/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_collection.jpg
"I am so excited to be expanding my makeup collection with Estee Lauder and launching a second capsule. To work with Lachlan and Estee on the campaign was very special and a real honor." said Victoria Beckham. "Inspired by my favorite cities in the world, this makeup collection reflects my personal beauty vision. I hope it will make women everywhere feel beautiful and confident."
"Building on the enormous success of our first joint makeup collection last year, we are thrilled to continue our partnership with Victoria for a second, expanded makeup collection launching in September," said Stephane de La Faverie, Global Brand President, Estee Lauder. "Like our founder, Estee, Victoria has a real understanding of what women want and has applied this to beauty in a very passionate and personal way. With this collection, Estee Lauder and Victoria will further amplify the aspirational beauty conversation with deeper product innovation, newly curated beauty looks and dynamic digital beauty content to inspire women around the world."
About Victoria Beckham
Since launching in 2008, the Victoria Beckham fashion brand has developed a distinctive and modern language of clothing. Bold, intuitive and refined, its wardrobe of apparel and accessories is now stocked in over 400 stores in over 50 countries internationally. With each collection Victoria adapts her own personal style to the needs and desires of the international women who swear by the label's luxurious and flattering garments.
About Estee Lauder
Estee Lauder is the flagship brand of The Estee Lauder Companies Inc. Founded by Estee Lauder, one of the world's first female entrepreneurs, the brand today continues her legacy of creating the most innovative, sophisticated, high-performance skincare and makeup products and iconic fragrances – all infused with a deep understanding of women's needs and desires. Today, Estee Lauder engages with women in over 150 countries around the world and at dozens of touch points – from in-store to digital. And each of these relationships consistently reflects Estee's powerful and authentic woman-to-woman point of view.
For more information, visit @victoriabeckham and @esteelauder on Instagram and Twitter.
#VBxEsteeLauder
Follow @esteelauder on Instagram , Facebook , Twitter and YouTube
Follow @victoriabeckham on Instagram , Twitter , Facebook , Weibo , YouTube , TenCent and GooglePlus
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539777/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Ad.jpg
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539776/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_Model_Image.jpg
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/539778/Estee_Lauder_Victoria_Beckham_collection.jpg
Fashion Designer Creation 2017 : FDC2017 เดินหน้าต่อยอดและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย
ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งไปสู่ Industry 4.0 ในส่วนอุตสาหกรรมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยสู่การสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และก้าวขึ้นสู่การเป็นฮับด้านแฟชั่นของอาเซียน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าแฟชั่น ทั้งสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องหนัง ให้เพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี นับจากนี้ไป
"การพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ไปสู่ Industry 4.0 หนึ่งในกิจกรรมที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมั่นคงได้ คือ การพัฒนานักออกแบบแฟชั่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมแฟชั่น ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเกิดจากผลกระทบหลายด้าน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งผลักดัน และพัฒนาศักยภาพด้านการสร้างสรรค์ให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยทั้ง 3 สาขาดังกล่าว ให้พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นอาเซียนภายในปี 2560 ตามเป้าหมาย ที่วางไว้"
จากคำกล่าวที่แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดกิจกรรม เพื่อสนับสนุนนักออกแบบไทย และผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยเติบโต และก้าวไกลสู่ตลาดโลก "กิจกรรมการสร้างนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น (Fashion Designer Creation 2017 : FDC2017)" ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมอุตาหกรรม ร่วมกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อต่อยอดขยายผลความสำเร็จของการพัฒนาศักยภาพและยกระดับความสามารถในการสร้างสรรค์ของนักออกแบบ นักศึกษา บุคลากร ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ด้วยกิจกรรมการอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบคอลเลคชั่นสินค้าแฟชั่น และประกวดชิงรางวัล FDC2017 ภายใต้แนวคิด "No Boundaries" ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ ตามแนวคิดนวัตกรรมแฟชั่น (INNOFASHION) เน้นการออกแบบทำให้ผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างจุดขาย เพื่อผลักด้นผลงานสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมสู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ สามารถสร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่ม ยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่ยุคอุตสาหกรรมแฟชั่น 4.0 โดยต้องอาศัย INNODESIGN (นวัตกรรมด้านการออกแบบ) INNOMATERIAL (นวัตกรรมด้านวัสดุ) INNOTECHNICS (นวัตกรรมด้านเทคนิคหรือการผลิต) และ INNOCONCEPT (นวัตกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์) เป็นปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้กิจกรรมได้กำหนดคุณค่าหลัก (Core Value) ของผลงานโดยให้ความสำคัญกับความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Originality) ประโยชน์ใช้สอย (Usability) เทคนิคการผลิตและรายละเอียด (Technics and Details) และการสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ (Responsible Design) ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะใช้เป็นแนวทางการออกแบบ ควบคู่ไปกับการค้นหาแรงบันดาลใจ จากธีมการออกแบบ "No Boundaries" ซึ่งเป็นการนำความประทับใจในอดีต ผสานกับองค์ประกอบที่ทันสมัย เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ผ่าน 4 แนวคิดที่โดดเด่นแตกต่าง ได้แก่ Surreal Jungle ซึ่งกล่าวถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติ และความเหนือจริง International Ikat แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานระหว่างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของตะวันออก กับตะวันตก Inter twining แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานระหว่างโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม กับโครงสร้างของเครื่องแต่งกายในประวัติศาสตร์ และ Neo Nostalgic แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานของสไตล์ในยุค 90 กับ K-Pop ในปัจจุบัน
ในปีนี้การดำเนินกิจกรรมการสร้างออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น FDC2017 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากจำนวนผู้สมัครที่เพิ่มขึ้นจาก 200 คน ในปีแรก มาเป็นกว่า 500 คน ในปีนี้ นับเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และนักศึกษาด้านแฟชั่นทั้งในประเทศ จนถึงระดับสากล โดย FDC02017 ได้รับความสนใจจากนักออกแบบประเทศอินเดีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศภูฏาน เข้าร่วมกิจกรรม และผ่านการคัดเลือกสู่รอบ 130 คนเพื่อเข้าร่วมอบรม เรียนรู้ ฝึกฝน แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นจากทุกสาขา นำทีมโดย Executive Coach เจ้าของแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับการยอมรับ คือ คุณมิริน ยุวจรัสกุล จาก แบรนด์ Milin คุณพัชรพิมล ยังประภากร จากแบรนด์ S'uvimol และคุณภิรดา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา จากแบรนด์ Trimode พัฒนาความคิดสร้างสรรค์สู่ต้นแบบสินค้าแฟชั่น เข้าสู่รอบสุดท้าย เพื่อค้นหาสุดยอดผลงานเด่น โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 12 ท่าน ร่วมพิจารณาคัดเลือกผู้เข้ารอบ 32 คน จนเหลือ 12 สุดยอดนักออกแบบ ในแต่ละสาขาแฟชั่น เป็นเจ้าของรางวัล FDC2017 และจัดแสดงแฟชั่นโชว์ผลงานภายในงาน Thailand Industry Expo 2017 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 พร้อมพิธีมอบรางวัลโดย นายพรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แก่ผู้ชนะเลิศ สาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คุณพีรดนย์ ก้อนทอง สาขาเครื่องหนังและรองเท้า คุณสัมฤทธิ์ ชูกลิ่น และสาขาอัญมณีและเครื่องประดับ คุณศิริณา เมืองมูล และรองชนะเลิศทั้งไทยและต่างประเทศอีกรวม 9 รางวัล
กิจกรรมการสร้างนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น FDC2017 นับเป็นอีกก้าวหนี่งของความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย เป็นเวทีในการเชื่อมต่อประสบการณ์ สร้างประโยชน์ และโอกาสต่อยอดสินค้าแฟชั่นไทยไปสู่การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง อันเป็นรากฐานและทิศทางที่สำคัญเพื่อทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นในประเทศไทยก้าวสู่ตลาดสากลต่อไปในอนาคต
"การพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ไปสู่ Industry 4.0 หนึ่งในกิจกรรมที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมั่นคงได้ คือ การพัฒนานักออกแบบแฟชั่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมแฟชั่น ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเกิดจากผลกระทบหลายด้าน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งผลักดัน และพัฒนาศักยภาพด้านการสร้างสรรค์ให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยทั้ง 3 สาขาดังกล่าว ให้พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นอาเซียนภายในปี 2560 ตามเป้าหมาย ที่วางไว้"
จากคำกล่าวที่แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดกิจกรรม เพื่อสนับสนุนนักออกแบบไทย และผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยเติบโต และก้าวไกลสู่ตลาดโลก "กิจกรรมการสร้างนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น (Fashion Designer Creation 2017 : FDC2017)" ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมอุตาหกรรม ร่วมกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อต่อยอดขยายผลความสำเร็จของการพัฒนาศักยภาพและยกระดับความสามารถในการสร้างสรรค์ของนักออกแบบ นักศึกษา บุคลากร ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ด้วยกิจกรรมการอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบคอลเลคชั่นสินค้าแฟชั่น และประกวดชิงรางวัล FDC2017 ภายใต้แนวคิด "No Boundaries" ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ ตามแนวคิดนวัตกรรมแฟชั่น (INNOFASHION) เน้นการออกแบบทำให้ผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างจุดขาย เพื่อผลักด้นผลงานสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมสู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ สามารถสร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่ม ยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่ยุคอุตสาหกรรมแฟชั่น 4.0 โดยต้องอาศัย INNODESIGN (นวัตกรรมด้านการออกแบบ) INNOMATERIAL (นวัตกรรมด้านวัสดุ) INNOTECHNICS (นวัตกรรมด้านเทคนิคหรือการผลิต) และ INNOCONCEPT (นวัตกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์) เป็นปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้กิจกรรมได้กำหนดคุณค่าหลัก (Core Value) ของผลงานโดยให้ความสำคัญกับความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Originality) ประโยชน์ใช้สอย (Usability) เทคนิคการผลิตและรายละเอียด (Technics and Details) และการสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ (Responsible Design) ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะใช้เป็นแนวทางการออกแบบ ควบคู่ไปกับการค้นหาแรงบันดาลใจ จากธีมการออกแบบ "No Boundaries" ซึ่งเป็นการนำความประทับใจในอดีต ผสานกับองค์ประกอบที่ทันสมัย เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ผ่าน 4 แนวคิดที่โดดเด่นแตกต่าง ได้แก่ Surreal Jungle ซึ่งกล่าวถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติ และความเหนือจริง International Ikat แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานระหว่างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของตะวันออก กับตะวันตก Inter twining แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานระหว่างโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม กับโครงสร้างของเครื่องแต่งกายในประวัติศาสตร์ และ Neo Nostalgic แนวโน้มแฟชั่นที่กล่าวถึงการผสมผสานของสไตล์ในยุค 90 กับ K-Pop ในปัจจุบัน
ในปีนี้การดำเนินกิจกรรมการสร้างออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น FDC2017 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากจำนวนผู้สมัครที่เพิ่มขึ้นจาก 200 คน ในปีแรก มาเป็นกว่า 500 คน ในปีนี้ นับเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และนักศึกษาด้านแฟชั่นทั้งในประเทศ จนถึงระดับสากล โดย FDC02017 ได้รับความสนใจจากนักออกแบบประเทศอินเดีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศภูฏาน เข้าร่วมกิจกรรม และผ่านการคัดเลือกสู่รอบ 130 คนเพื่อเข้าร่วมอบรม เรียนรู้ ฝึกฝน แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นจากทุกสาขา นำทีมโดย Executive Coach เจ้าของแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับการยอมรับ คือ คุณมิริน ยุวจรัสกุล จาก แบรนด์ Milin คุณพัชรพิมล ยังประภากร จากแบรนด์ S'uvimol และคุณภิรดา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา จากแบรนด์ Trimode พัฒนาความคิดสร้างสรรค์สู่ต้นแบบสินค้าแฟชั่น เข้าสู่รอบสุดท้าย เพื่อค้นหาสุดยอดผลงานเด่น โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 12 ท่าน ร่วมพิจารณาคัดเลือกผู้เข้ารอบ 32 คน จนเหลือ 12 สุดยอดนักออกแบบ ในแต่ละสาขาแฟชั่น เป็นเจ้าของรางวัล FDC2017 และจัดแสดงแฟชั่นโชว์ผลงานภายในงาน Thailand Industry Expo 2017 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 พร้อมพิธีมอบรางวัลโดย นายพรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แก่ผู้ชนะเลิศ สาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คุณพีรดนย์ ก้อนทอง สาขาเครื่องหนังและรองเท้า คุณสัมฤทธิ์ ชูกลิ่น และสาขาอัญมณีและเครื่องประดับ คุณศิริณา เมืองมูล และรองชนะเลิศทั้งไทยและต่างประเทศอีกรวม 9 รางวัล
กิจกรรมการสร้างนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น FDC2017 นับเป็นอีกก้าวหนี่งของความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย เป็นเวทีในการเชื่อมต่อประสบการณ์ สร้างประโยชน์ และโอกาสต่อยอดสินค้าแฟชั่นไทยไปสู่การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง อันเป็นรากฐานและทิศทางที่สำคัญเพื่อทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นในประเทศไทยก้าวสู่ตลาดสากลต่อไปในอนาคต
เมืองซานย่าจัดงานโปรโมทการท่องเที่ยวในอินโดนีเซีย ชวนสัมผัสมนตร์เสน่ห์แห่งชายฝั่งทะเลเขตร้อน
เทศบาลเมืองซานย่า ประเทศจีน ได้จัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยว Sanya Celebration ประจำปี 2560 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อแนะนำมนตร์เสน่ห์แห่งซานย่าให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกันมากขึ้นในฐานะเมืองท่องเที่ยวชายทะเลเขตร้อนในทะเลจีนใต้
งาน Sanya Celebration แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ โรดโชว์ และ การประชุม ซึ่งสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและนักข่าวเกือบ 150 รายเข้าร่วมงาน โดยในส่วนของนิทรรศการนั้น ผู้เข้าร่วมงานมีโอกาสได้สัมผัสกับความงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นของเมืองซานย่าผ่านการจัดแสดงภาพถ่าย เกมแบบ Virtual Reality (VR) การจัดแสดงอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ชนเผ่าหลีและเหมียว ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยบนเกาะไห่หนาน ยังได้นำการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านทั้งร้องเพลงและเต้นระบำมาสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย
ขณะที่ในส่วนของการประชุมนั้น รัฐบาลเมืองซานย่าได้เน้นให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของซานย่าเป็นที่รู้จักมากขึ้น อาทิ เทียนหยา ไห่เจียว (จุดชมวิวริมทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก) เกาะอู๋จือโจว เกาะตะวันตก สวนป่าสวรรค์เขตร้อนอ่าวย่าหลง เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแนะนำทัวร์ชิมอาหารที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมาก รวมถึงทัวร์วิวาห์ ทัวร์กอล์ฟ และทัวร์การแพทย์แผนโบราณจีนที่กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน
"ซานย่าตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ด้วยการนำเสนอความงดงามทางธรรมชาติและความหลากหลายทางวัฒนธรรม" เติ้ง จง ประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคม Sanya People's Association for Friendship with Foreign Countries กล่าว "เราหวังว่าจะดึงดูดชาวต่างชาติให้ไปเที่ยว ทำงาน และอาศัยอยู่ในซานย่ามากขึ้น รวมทั้งต้อนรับนักลงทุนให้เข้าไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในซานย่ามากขึ้นเช่นกัน"
พาน หยงลู่ ที่ปรึกษาประจำสถานทูตจีนในอินโดนีเซีย กล่าวว่า ทั้งอินโดนีเซียและซานย่าต่างก็มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์และมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียที่จะเดินทางไปสัมผัสกับซานย่าด้วยตนเอง
อินโดนีเซียและจีนเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญซึ่งกันและกัน ในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 1.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า โดยจีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของอินโดนีเซีย ในขณะที่อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับที่ 6 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน
สายการบินศรีวิจาย่าแอร์ของอินโดนีเซียได้เปิดเส้นทางบินใหม่ 3 เส้นทาง ได้แก่ จาการ์ตา-ไหโข่ว จาการ์ตา-หนานหนิง และเดนปาซาร์-หนานหนิง ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรองรับจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 1 ล้านคนในปี 2560 นี้ สำหรับการเดินทางทางอากาศจากไหโข่วไปยังซานย่านั้นมีระยะทางทั้งสิ้น 218 กิโลเมตร (135 ไมล์)
ระหว่างเดือนก.ค.-ก.ย. นี้ เมืองซานย่าวางแผนเดินสายจัดโรดโชว์โปรโมทการท่องเที่ยวในแคมเปญ Sanya Celebration ในประเทศต่างๆ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย คาซัคสถาน รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี สิงคโปร์ และอินเดีย โดยกิจกรรมนี้เดินทางมาถึงช่วงที่สองแล้ว ซึ่งจุดหมายต่อไปคือ รัสเซีย และ คาซัคสถาน ในวันที่ 6-11 ส.ค. นี้
เกี่ยวกับซานย่า
เมืองซานย่าตั้งอยู่ทางใต้สุดของเกาะไห่หนานของจีน โดยเป็นเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งระดับนานาชาติที่ได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่าเป็นเมืองพักร้อนชายทะเลเพียงแห่งเดียวของจีนที่มีทิวทัศน์แนวชายฝั่งอันงดงาม และอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองซานย่าได้ที่ http://english.sanya.gov.cn/publicfiles//business/htmlfiles/englishsite/tourism/index.html
งาน Sanya Celebration แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ โรดโชว์ และ การประชุม ซึ่งสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและนักข่าวเกือบ 150 รายเข้าร่วมงาน โดยในส่วนของนิทรรศการนั้น ผู้เข้าร่วมงานมีโอกาสได้สัมผัสกับความงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นของเมืองซานย่าผ่านการจัดแสดงภาพถ่าย เกมแบบ Virtual Reality (VR) การจัดแสดงอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ชนเผ่าหลีและเหมียว ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยบนเกาะไห่หนาน ยังได้นำการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านทั้งร้องเพลงและเต้นระบำมาสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย
ขณะที่ในส่วนของการประชุมนั้น รัฐบาลเมืองซานย่าได้เน้นให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของซานย่าเป็นที่รู้จักมากขึ้น อาทิ เทียนหยา ไห่เจียว (จุดชมวิวริมทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก) เกาะอู๋จือโจว เกาะตะวันตก สวนป่าสวรรค์เขตร้อนอ่าวย่าหลง เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแนะนำทัวร์ชิมอาหารที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมาก รวมถึงทัวร์วิวาห์ ทัวร์กอล์ฟ และทัวร์การแพทย์แผนโบราณจีนที่กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน
"ซานย่าตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ด้วยการนำเสนอความงดงามทางธรรมชาติและความหลากหลายทางวัฒนธรรม" เติ้ง จง ประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคม Sanya People's Association for Friendship with Foreign Countries กล่าว "เราหวังว่าจะดึงดูดชาวต่างชาติให้ไปเที่ยว ทำงาน และอาศัยอยู่ในซานย่ามากขึ้น รวมทั้งต้อนรับนักลงทุนให้เข้าไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในซานย่ามากขึ้นเช่นกัน"
พาน หยงลู่ ที่ปรึกษาประจำสถานทูตจีนในอินโดนีเซีย กล่าวว่า ทั้งอินโดนีเซียและซานย่าต่างก็มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์และมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียที่จะเดินทางไปสัมผัสกับซานย่าด้วยตนเอง
อินโดนีเซียและจีนเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญซึ่งกันและกัน ในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 1.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า โดยจีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของอินโดนีเซีย ในขณะที่อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับที่ 6 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน
สายการบินศรีวิจาย่าแอร์ของอินโดนีเซียได้เปิดเส้นทางบินใหม่ 3 เส้นทาง ได้แก่ จาการ์ตา-ไหโข่ว จาการ์ตา-หนานหนิง และเดนปาซาร์-หนานหนิง ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรองรับจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 1 ล้านคนในปี 2560 นี้ สำหรับการเดินทางทางอากาศจากไหโข่วไปยังซานย่านั้นมีระยะทางทั้งสิ้น 218 กิโลเมตร (135 ไมล์)
ระหว่างเดือนก.ค.-ก.ย. นี้ เมืองซานย่าวางแผนเดินสายจัดโรดโชว์โปรโมทการท่องเที่ยวในแคมเปญ Sanya Celebration ในประเทศต่างๆ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย คาซัคสถาน รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี สิงคโปร์ และอินเดีย โดยกิจกรรมนี้เดินทางมาถึงช่วงที่สองแล้ว ซึ่งจุดหมายต่อไปคือ รัสเซีย และ คาซัคสถาน ในวันที่ 6-11 ส.ค. นี้
เกี่ยวกับซานย่า
เมืองซานย่าตั้งอยู่ทางใต้สุดของเกาะไห่หนานของจีน โดยเป็นเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งระดับนานาชาติที่ได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่าเป็นเมืองพักร้อนชายทะเลเพียงแห่งเดียวของจีนที่มีทิวทัศน์แนวชายฝั่งอันงดงาม และอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองซานย่าได้ที่ http://english.sanya.gov.cn/publicfiles//business/htmlfiles/englishsite/tourism/index.html
City of Sanya Launches International Tourism Promotional Event in Indonesia to Promote the Tropical Coastal Charms
The 2017 Sanya Celebration (the "Celebration"), an international tourism promotional event by the municipal government of Sanya, China, was held on July 27 in Djakarta, Indonesia, to introduce the charm of Sanya, the renowned international tropical coastal tourism resort city of South China.
The Celebration was divided into two sections including a roadshow and a promotion meeting, attracting almost 150 industry experts and journalists to attend. In the exhibition area, participants were able to experience the beauty and local culture of Sanya with photo galleries, Virtual Reality (VR) games, food displays and other delights. Hainan's local Li and Miao minority nationalities brought their cultural performance of folk singing and dancing as well.
During the promotion meeting, Sanya's government highlighted the strong growth of its international arrivals, fueled by the growing awareness of Sanya's scenic spots, such as Tianya Haijiao (a world-famous seaside scenic area of Sanya), Wuzhizhou Island, West Island, Yalong Bay Tropical Paradise Forest Park and more. Meanwhile, the booming food tours, wedding tours, golf tours, and traditional Chinese medicine therapy tours were also popular and were emphatically introduced.
"Sanya aims to become a top tourism destination with its natural beauty and varied culturally themed projects," said Deng Zhong, the honorary president of Sanya People's Association for Friendship with Foreign Countries. "We hope to attract more overseas visitors to travel, work and live in the city, and more investors to explore new investment opportunities as well."
Pan Yonglu, counselor of the Chinese embassy in Indonesia, stated that both Indonesia and Sanya have rich tourism resources and cultural diversity. It's a worthy experience for tourists from Indonesia to travel and explore.
Indonesia and China are vital tourism markets for each other. Last year, approximately 1.4 million Chinese tourists visited Indonesia, increasing 8% year-on-year. China has become the No. 1 tourist market for Indonesia and Indonesia is also the No. 6 travel destination for Chinese tourists.
Indonesia's Sriwijaya Air launched three new routes starting in June for Jakarta to Haikou, Jakarta, to Nanning, and Denpasar to Nanning, which expects to double the number of international passengers to 1 million in 2017. The total air distance from Haikou to Sanya is 218 Kilometers (135 miles).
From July to September, the Celebration will be held in Thailand, Malaysia, Indonesia, Kazakhstan, Russia, the United Kingdom, Germany, Singapore and India. The coming second phase of the celebration will be at Russia and Kazakhstan from August 6 to 11.
About Sanya
Sanya is located in the southernmost point of China's Hainan island. It is an international coastal destination. The city has been praised by global visitors as the only Chinese seaside vacation destination for its stunning coastline and profound cultural heritage.
For more information about Sanya please visit: http://english.sanya.gov.cn/publicfiles//business/htmlfiles/englishsite/tourism/index.html
The Celebration was divided into two sections including a roadshow and a promotion meeting, attracting almost 150 industry experts and journalists to attend. In the exhibition area, participants were able to experience the beauty and local culture of Sanya with photo galleries, Virtual Reality (VR) games, food displays and other delights. Hainan's local Li and Miao minority nationalities brought their cultural performance of folk singing and dancing as well.
During the promotion meeting, Sanya's government highlighted the strong growth of its international arrivals, fueled by the growing awareness of Sanya's scenic spots, such as Tianya Haijiao (a world-famous seaside scenic area of Sanya), Wuzhizhou Island, West Island, Yalong Bay Tropical Paradise Forest Park and more. Meanwhile, the booming food tours, wedding tours, golf tours, and traditional Chinese medicine therapy tours were also popular and were emphatically introduced.
"Sanya aims to become a top tourism destination with its natural beauty and varied culturally themed projects," said Deng Zhong, the honorary president of Sanya People's Association for Friendship with Foreign Countries. "We hope to attract more overseas visitors to travel, work and live in the city, and more investors to explore new investment opportunities as well."
Pan Yonglu, counselor of the Chinese embassy in Indonesia, stated that both Indonesia and Sanya have rich tourism resources and cultural diversity. It's a worthy experience for tourists from Indonesia to travel and explore.
Indonesia and China are vital tourism markets for each other. Last year, approximately 1.4 million Chinese tourists visited Indonesia, increasing 8% year-on-year. China has become the No. 1 tourist market for Indonesia and Indonesia is also the No. 6 travel destination for Chinese tourists.
Indonesia's Sriwijaya Air launched three new routes starting in June for Jakarta to Haikou, Jakarta, to Nanning, and Denpasar to Nanning, which expects to double the number of international passengers to 1 million in 2017. The total air distance from Haikou to Sanya is 218 Kilometers (135 miles).
From July to September, the Celebration will be held in Thailand, Malaysia, Indonesia, Kazakhstan, Russia, the United Kingdom, Germany, Singapore and India. The coming second phase of the celebration will be at Russia and Kazakhstan from August 6 to 11.
About Sanya
Sanya is located in the southernmost point of China's Hainan island. It is an international coastal destination. The city has been praised by global visitors as the only Chinese seaside vacation destination for its stunning coastline and profound cultural heritage.
For more information about Sanya please visit: http://english.sanya.gov.cn/publicfiles//business/htmlfiles/englishsite/tourism/index.html
คาร์ดิแนล เฮลท์ ได้เสร็จสิ้นการดำเนินการเข้าซื้อธุรกิจการฟื้นฟูผู้ป่วยของบริษัทเมดโทรนิค
คาร์ดิแนล เฮลท์ (Cardinal Health) (NYSE: CAH) ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้เสร็จสิ้นการซื้อกิจการของ เมดโทรนิค (Medtronic) ในธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึก และธุรกิจภาวะขาดโภชนาการ เป็นมูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญ การซื้อกิจการนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยเงินลงทุน 4.5 พันล้านดอลลาร์ในตราสารหนี้ประเภทไม่มีหลักประกันฉบับใหม่ เงินสด และเงินกู้ภายใต้การให้สินเชื่อที่มีอยู่ของบริษัท
"ธุรกิจนี้จะทำให้เรามีผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเสนอต่อลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงการเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับกลุ่มผลิตภัณฑ์และส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในปัจจุบันของบริษัทเรา เรารู้จักผลิตภัณฑ์เหล่านี้และพนักงานเป็นอย่างดีและเห็นว่าสมาชิกในทีมร่วมกันทำงานกันอย่างมุ่งมั่นที่จะดูแลและบริการลูกค้าหรือผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ" จอร์จ บาร์แรตต์ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหารของคาร์ดิแนล เฮลท์ กล่าวต่อไปว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่จากทั่วโลกเข้าสู่คาร์ดิแนล เฮลท์"
ธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจด้านภาวะขาดโภชนาการประกอบไปด้วยสินค้า 23 หมวดหมู่ในตลาดรวมถึงสถานพยาบาลที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Curity, Kendall, Dover, Argyle และ Kangaroo ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ใช้ในเกือบทุกโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ประกาศว่า บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำไรต่อหุ้นที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (non-GAAP?) จากการดำเนินงานต่อเนื่องมากกว่า 0.21 เหรียญต่อหุ้นในปี 2561 ยอดสุทธิจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นประจำปีที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย และมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านเหรียญ ในช่วง 2-3 ไตรมาสแรกหลังจากปิดบัญชี ตามที่ได้เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ บริษัทคาดต่อไปว่า การซื้อกิจการจะทำให้กำไรต่อหุ้นที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปสูงกว่า 0.55 เหรียญต่อหุ้นในปีงบประมาณ 2562 และจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากนั้น เมื่อสิ้นปีงบประมาณปี 2563 บริษัทสันนิษฐานว่าผลรวมจะเกินกว่า 150 ล้านดอลลาร์
ธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มทางการแพทย์ของคาร์ดิแนล เฮลท์ นำทีมโดยนายดอน เคซีย์ ซึ่งเป็นประธานผู้บริหารของกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่จะทำงานในการรวมกิจการเข้าด้วยกัน และคาดว่างานการรวมบริษัททั้งหมดจะแล้วเสร็จได้ภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
ในการทำธุรกรรมนี้ คาร์ดิแนล เฮลท์ ได้ Goldman, Sachs & Co. และ Perella Weinberg Partners LP เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท และ Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP และ Jones Day ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย
การวัดเงินรายได้สุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (รวมทั้งเชิงอรรถ)
เชิงอรรถ (1) คาดว่ากำไรต่อหุ้นปรับลดแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปจะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานที่ต่อเนื่องสะท้อนถึง: (ก) รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่อง โดยไม่รวม (1) LIFO ค่าใช้จ่าย/(เครดิต) (2) การปรับโครงสร้างหนี้และการลาออกของพนักงาน (3) ค่าตัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ (4) การเสียหายและ (กำไร) / ขาดทุนของสินทรัพย์ (5) การดำเนินคดี (การกู้คืน) / ค่าใช้จ่ายสุทธิ และ (6) การขาดทุนจากการระงับหนี้โดยหักภาษีสุทธิ ณ ที่จ่าย (ข) หารด้วยจำนวนหุ้นถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
คาร์ดิแนล เฮลท์ แสดงกำไรต่อหุ้นปรับลดแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (non-GAAP) ที่มีการดำเนินงานต่อเนื่องในรูปแบบคาดการณ์ล่วงหน้า การวัดเงินรายได้สุทธิที่โดยการคำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปเชิงคาดการณ์ที่สามารถเปรียบเทียบได้ง่ายที่สุดคือกำไรต่อหุ้นปรับลดจากการดำเนินงานต่อเนื่อง คาร์ดิแนล เฮลท์ ไม่สามารถพิสูจน์กระทบยอดเชิงปริมาณของการวัดรายได้สุทธิแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปในรูปแบบคาดการณ์ล่วงหน้า เนื่องจากคาร์ดิแนล เฮลท์ ไม่สามารถคาดการณ์ LIFO ค่าใช้จ่าย / (เครดิต), การปรับโครงสร้างหนี้และการลาออกของพนักงาน, ค่าจำหน่ายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการซึ่ง คาร์ดิแนล เฮลท์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการซื้อธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการ การเสียหายและ (กำไร) / ขาดทุนของสินทรัพย์ และการดำเนินคดี (การกู้คืน) / ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์และประมาณการ โปรดเข้าใจว่ารายการที่ไม่สามารถกลับคืนได้อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินในอนาคตของคาร์ดิแนล เฮลท์ ได้ รายการเหล่านี้อาจทำให้เกิดกำไรต่อหุ้นและการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นที่แตกต่างไปจากการคาดการณ์เงินรายได้สุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปของบริษัท
เกี่ยวกับคาร์ดิแนล เฮลท์
คาร์ดิแนล เฮลท์ เป็นบริษัทระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการทางด้านสุขภาพแบบครบวงจรซึ่งจะจัดหาโซลูชันที่เหมาะสมกับระบบโรงพยาบาล ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ศูนย์ผ่าตัดแก่ผู้ป่วยนอก ห้องปฏิบัติการทางคลินิกและคลินิกแพทย์ทั่วโลก บริษัทมีผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรมที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์และมีโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจแบบสาขา คาร์ดิแนล เฮลท์ เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ป่วย ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้จ่ายเงิน เภสัชกร และผู้ผลิตโดยการประสานงานด้านการดูแลสุขภาพและการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ดีขึ้น จากการซื้อกิจการด้านการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการของบริษัทเมดโทรนิค บริษัทจะมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 50,000 คนในเกือบ 60 ประเทศ คาร์ดิแนล เฮลท์ ถูกจัดอยู่ใน 15 บริษัทแรกใน Fortune 500 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ cardinalhealth.com, ติดตาม @CardinalHealth on Twitter และเชื่อมต่อกับ LinkedIn ที่ linkedin.com/company/cardinal-health
ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความในลักษณะการคาดการณ์ในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับแผนงานของ คาร์ดิแนล เฮลท์ ที่มีผลมาจากการซื้อกิจการด้านการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะโภชนาการของบริษัทเมดโทรนิคและคำแถลงอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับความคาดหวังในอนาคต โอกาส การประมาณการและเรื่องอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หรือการพัฒนาในอนาคต การแถลงการณ์เหล่านี้อาจถูกระบุโดยคำต่างๆ เช่น คาดหวัง, คาดการณ์ , ตั้งใจ, วางแผน, เชื่อ, จะ, ควร, ไม่,น่าจะ, โครงการ, ต่อไป, มีแนวโน้ม และคำพูดที่คล้ายคลึงกัน และรวมถึงข้อความที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ แนวโน้ม หรือ คำแนะนำในอนาคต, งบเรื่องค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมากจากที่คาดการณ์หรือโดยนัย ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ได้แก่ ความสามารถในการรักษาลูกค้าและพนักงานของธุรกิจที่ซื้อกิจการมา ความสามารถในการผสานรวมธุรกิจให้เข้ากับการดำเนินงานของคาร์ดิแนล เฮลท์ และความสามารถในการบรรลุผลสำเร็จจากความร่วมมือที่คาดหวัง รวมทั้งการเพิ่มรายได้ ความกดดันด้านการแข่งขันในธุรกิจต่างๆ ปริมาณหรืออัตราการแข็งค่าของราคายาทั่วไปและตราสินค้า หรือภาวะเงินฝืด ระยะเวลาและผลประโยชน์จากการเปิดตัวยาชื่อสามัญหรือยา generic ความสามารถในการรักษาผลประโยชน์จากการจัดหาแหล่งทั่วไปกับ CVS Health ความเสี่ยงของการไม่ต่ออายุหรือผิดนัดภายใต้ข้อตกลงของลูกค้าหรือผู้จัดจำหน่ายรายสำคัญอย่างน้อยหนึ่งราย หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือระดับของการซื้อภายใต้ข้อตกลงเหล่านั้น ความไม่แน่นอนเนื่องจากการปฏิรูปการดูแลสุขภาพของรัฐบาลรวมถึงข้อเสนอการแก้ไข หรือการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกฎหมายภาษีหรือการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับ การปรับภาษีที่ชายแดน (border adjustment tax) หรือภาษีนำเข้าใหม่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกระจาย หรืออัตราการชำระเงินคืนสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการด้านการดูแลสุขภาพ ผลของการสืบสวนหรือการดำเนินการใด ๆ โดยหน่วยงานที่กำกับดูแล และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศและค่าใช้จ่ายของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันเรซิน ผ้าฝ้าย น้ำยางลาเท็กซ์และน้ำมันดีเซล คาร์ดิแนล เฮลท์ อาจจะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่อธิบายไว้ในฟอร์ม 10-K ฟอร์ม 10-Q และ ฟอร์ม 8-K ของรายงานคาร์ดิแนล เฮลท์ และจะแสดงให้เห็นถึงรายงานเหล่านั้น ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นมุมมองของผู้บริหาร ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 นอกเหนือจากในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ คาร์ดิแนล เฮลท์ จะไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ
"ธุรกิจนี้จะทำให้เรามีผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเสนอต่อลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงการเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับกลุ่มผลิตภัณฑ์และส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในปัจจุบันของบริษัทเรา เรารู้จักผลิตภัณฑ์เหล่านี้และพนักงานเป็นอย่างดีและเห็นว่าสมาชิกในทีมร่วมกันทำงานกันอย่างมุ่งมั่นที่จะดูแลและบริการลูกค้าหรือผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ" จอร์จ บาร์แรตต์ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหารของคาร์ดิแนล เฮลท์ กล่าวต่อไปว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่จากทั่วโลกเข้าสู่คาร์ดิแนล เฮลท์"
ธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจด้านภาวะขาดโภชนาการประกอบไปด้วยสินค้า 23 หมวดหมู่ในตลาดรวมถึงสถานพยาบาลที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Curity, Kendall, Dover, Argyle และ Kangaroo ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ใช้ในเกือบทุกโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ประกาศว่า บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำไรต่อหุ้นที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (non-GAAP?) จากการดำเนินงานต่อเนื่องมากกว่า 0.21 เหรียญต่อหุ้นในปี 2561 ยอดสุทธิจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นประจำปีที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย และมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านเหรียญ ในช่วง 2-3 ไตรมาสแรกหลังจากปิดบัญชี ตามที่ได้เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ บริษัทคาดต่อไปว่า การซื้อกิจการจะทำให้กำไรต่อหุ้นที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปสูงกว่า 0.55 เหรียญต่อหุ้นในปีงบประมาณ 2562 และจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากนั้น เมื่อสิ้นปีงบประมาณปี 2563 บริษัทสันนิษฐานว่าผลรวมจะเกินกว่า 150 ล้านดอลลาร์
ธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มทางการแพทย์ของคาร์ดิแนล เฮลท์ นำทีมโดยนายดอน เคซีย์ ซึ่งเป็นประธานผู้บริหารของกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่จะทำงานในการรวมกิจการเข้าด้วยกัน และคาดว่างานการรวมบริษัททั้งหมดจะแล้วเสร็จได้ภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
ในการทำธุรกรรมนี้ คาร์ดิแนล เฮลท์ ได้ Goldman, Sachs & Co. และ Perella Weinberg Partners LP เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท และ Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP และ Jones Day ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย
การวัดเงินรายได้สุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (รวมทั้งเชิงอรรถ)
เชิงอรรถ (1) คาดว่ากำไรต่อหุ้นปรับลดแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปจะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานที่ต่อเนื่องสะท้อนถึง: (ก) รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่อง โดยไม่รวม (1) LIFO ค่าใช้จ่าย/(เครดิต) (2) การปรับโครงสร้างหนี้และการลาออกของพนักงาน (3) ค่าตัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ (4) การเสียหายและ (กำไร) / ขาดทุนของสินทรัพย์ (5) การดำเนินคดี (การกู้คืน) / ค่าใช้จ่ายสุทธิ และ (6) การขาดทุนจากการระงับหนี้โดยหักภาษีสุทธิ ณ ที่จ่าย (ข) หารด้วยจำนวนหุ้นถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
คาร์ดิแนล เฮลท์ แสดงกำไรต่อหุ้นปรับลดแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (non-GAAP) ที่มีการดำเนินงานต่อเนื่องในรูปแบบคาดการณ์ล่วงหน้า การวัดเงินรายได้สุทธิที่โดยการคำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปเชิงคาดการณ์ที่สามารถเปรียบเทียบได้ง่ายที่สุดคือกำไรต่อหุ้นปรับลดจากการดำเนินงานต่อเนื่อง คาร์ดิแนล เฮลท์ ไม่สามารถพิสูจน์กระทบยอดเชิงปริมาณของการวัดรายได้สุทธิแบบไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปในรูปแบบคาดการณ์ล่วงหน้า เนื่องจากคาร์ดิแนล เฮลท์ ไม่สามารถคาดการณ์ LIFO ค่าใช้จ่าย / (เครดิต), การปรับโครงสร้างหนี้และการลาออกของพนักงาน, ค่าจำหน่ายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการซึ่ง คาร์ดิแนล เฮลท์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการซื้อธุรกิจการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการ การเสียหายและ (กำไร) / ขาดทุนของสินทรัพย์ และการดำเนินคดี (การกู้คืน) / ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์และประมาณการ โปรดเข้าใจว่ารายการที่ไม่สามารถกลับคืนได้อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินในอนาคตของคาร์ดิแนล เฮลท์ ได้ รายการเหล่านี้อาจทำให้เกิดกำไรต่อหุ้นและการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นที่แตกต่างไปจากการคาดการณ์เงินรายได้สุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไปของบริษัท
เกี่ยวกับคาร์ดิแนล เฮลท์
คาร์ดิแนล เฮลท์ เป็นบริษัทระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการทางด้านสุขภาพแบบครบวงจรซึ่งจะจัดหาโซลูชันที่เหมาะสมกับระบบโรงพยาบาล ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ศูนย์ผ่าตัดแก่ผู้ป่วยนอก ห้องปฏิบัติการทางคลินิกและคลินิกแพทย์ทั่วโลก บริษัทมีผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรมที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์และมีโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจแบบสาขา คาร์ดิแนล เฮลท์ เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ป่วย ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้จ่ายเงิน เภสัชกร และผู้ผลิตโดยการประสานงานด้านการดูแลสุขภาพและการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ดีขึ้น จากการซื้อกิจการด้านการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะขาดโภชนาการของบริษัทเมดโทรนิค บริษัทจะมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 50,000 คนในเกือบ 60 ประเทศ คาร์ดิแนล เฮลท์ ถูกจัดอยู่ใน 15 บริษัทแรกใน Fortune 500 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ cardinalhealth.com, ติดตาม @CardinalHealth on Twitter และเชื่อมต่อกับ LinkedIn ที่ linkedin.com/company/cardinal-health
ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความในลักษณะการคาดการณ์ในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับแผนงานของ คาร์ดิแนล เฮลท์ ที่มีผลมาจากการซื้อกิจการด้านการดูแลผู้ป่วยโรคอุดตันในหลอดเลือดดำลึกและธุรกิจภาวะโภชนาการของบริษัทเมดโทรนิคและคำแถลงอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับความคาดหวังในอนาคต โอกาส การประมาณการและเรื่องอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หรือการพัฒนาในอนาคต การแถลงการณ์เหล่านี้อาจถูกระบุโดยคำต่างๆ เช่น คาดหวัง, คาดการณ์ , ตั้งใจ, วางแผน, เชื่อ, จะ, ควร, ไม่,น่าจะ, โครงการ, ต่อไป, มีแนวโน้ม และคำพูดที่คล้ายคลึงกัน และรวมถึงข้อความที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ แนวโน้ม หรือ คำแนะนำในอนาคต, งบเรื่องค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมากจากที่คาดการณ์หรือโดยนัย ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ได้แก่ ความสามารถในการรักษาลูกค้าและพนักงานของธุรกิจที่ซื้อกิจการมา ความสามารถในการผสานรวมธุรกิจให้เข้ากับการดำเนินงานของคาร์ดิแนล เฮลท์ และความสามารถในการบรรลุผลสำเร็จจากความร่วมมือที่คาดหวัง รวมทั้งการเพิ่มรายได้ ความกดดันด้านการแข่งขันในธุรกิจต่างๆ ปริมาณหรืออัตราการแข็งค่าของราคายาทั่วไปและตราสินค้า หรือภาวะเงินฝืด ระยะเวลาและผลประโยชน์จากการเปิดตัวยาชื่อสามัญหรือยา generic ความสามารถในการรักษาผลประโยชน์จากการจัดหาแหล่งทั่วไปกับ CVS Health ความเสี่ยงของการไม่ต่ออายุหรือผิดนัดภายใต้ข้อตกลงของลูกค้าหรือผู้จัดจำหน่ายรายสำคัญอย่างน้อยหนึ่งราย หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือระดับของการซื้อภายใต้ข้อตกลงเหล่านั้น ความไม่แน่นอนเนื่องจากการปฏิรูปการดูแลสุขภาพของรัฐบาลรวมถึงข้อเสนอการแก้ไข หรือการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกฎหมายภาษีหรือการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับ การปรับภาษีที่ชายแดน (border adjustment tax) หรือภาษีนำเข้าใหม่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกระจาย หรืออัตราการชำระเงินคืนสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการด้านการดูแลสุขภาพ ผลของการสืบสวนหรือการดำเนินการใด ๆ โดยหน่วยงานที่กำกับดูแล และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศและค่าใช้จ่ายของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันเรซิน ผ้าฝ้าย น้ำยางลาเท็กซ์และน้ำมันดีเซล คาร์ดิแนล เฮลท์ อาจจะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่อธิบายไว้ในฟอร์ม 10-K ฟอร์ม 10-Q และ ฟอร์ม 8-K ของรายงานคาร์ดิแนล เฮลท์ และจะแสดงให้เห็นถึงรายงานเหล่านั้น ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นมุมมองของผู้บริหาร ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 นอกเหนือจากในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ คาร์ดิแนล เฮลท์ จะไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ
Cardinal Health Completes Acquisition of Medtronic's Patient Recovery Business
Cardinal Health (NYSE: CAH) today announced that it has completed the acquisition of Medtronic's Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business for $6.1 billion. The acquisition was funded with a combination of $4.5 billion in new senior unsecured notes, existing cash and borrowings under our existing credit arrangements.
"This business provides our customers with more product offerings and includes some well-established brands that fit naturally within our portfolio and are complementary to our current medical products business. We know these products and many of the employees well, and have seen that our team members share a common commitment to quality, customer service and the patients who we all ultimately serve," said George Barrett, chairman and CEO of Cardinal Health. "We are extremely excited about welcoming our new colleagues from around the world to Cardinal Health."
The Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business encompasses 23 product categories across multiple market sites of care, including numerous industry-leading brands, such as Curity, Kendall, Dover, Argyle and Kangaroo – brands used in nearly every U.S. hospital.
The company also previously announced that it expects the acquisition to be accretive to non-GAAP? diluted earnings per share from continuing operations by more than $0.21 per share in fiscal 2018, net of incremental annual financing-related interest expense, and includes up to $100 million of inventory step-up costs during the first few quarters following closing. As previously disclosed, the company still expects the acquisition to be accretive to non-GAAP diluted earnings per share by more than $0.55 per share in fiscal 2019, and increasingly accretive thereafter. By the end of fiscal 2020, the company assumes synergies will exceed $150 million.
The Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business will become part of Cardinal Health's Medical segment, which is led by Don Casey, the segment's chief executive officer. Integration efforts are off to a successful start and it is expected that all integration work and transitions will be completed over the next 18 months.
Goldman, Sachs & Co. and Perella Weinberg Partners LP served as Cardinal Health's financial advisors on this transaction, and Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP and Jones Day served as its legal advisors.
Non-GAAP financial measures (including footnote)
Footnote (1) Expected accretion to non-GAAP diluted earnings per share from continuing operations reflects: (A) earnings from continuing operations, excluding (1) LIFO charges/(credits), (2) restructuring and employee severance, (3) amortization and acquisition-related costs, (4) impairments and (gain)/loss on disposal of assets, (5) litigation (recoveries)/charges, net, and (6) loss on extinguishment of debt, each net of tax, (B) divided by diluted weighted average shares outstanding.
Cardinal Health presents non-GAAP diluted earnings per share from continuing operations on a forward-looking basis. The most directly comparable forward-looking GAAP measure is diluted earnings per share from continuing operations. Cardinal Health is unable to provide a quantitative reconciliation of this forward-looking non-GAAP measure to the most directly comparable forward-looking GAAP measure, because Cardinal Health cannot reliably forecast LIFO charges/(credits), restructuring and employee severance, amortization and acquisition-related costs (which Cardinal Health expects to increase significantly as a result of the acquisition of the Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency businesses), impairments and (gain)/loss on disposal of assets and litigation (recoveries)/charges, net, which are difficult to predict and estimate. Please note that the unavailable reconciling items could significantly impact Cardinal Health's future financial results. These items could cause earnings per share and the accretion to earnings per share to differ materially from the company's non-GAAP expectations.
About Cardinal Health
Cardinal Health Inc. is a global, integrated healthcare services and products company, providing customized solutions for hospital systems, pharmacies, ambulatory surgery centers, clinical laboratories and physician offices worldwide. The company provides clinically-proven medical products and pharmaceuticals and cost-effective solutions that enhance supply chain efficiency. Cardinal Health connects patients, providers, payers, pharmacists and manufacturers for integrated care coordination and better patient management. With the acquisition of Medtronic's Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business the company will have approximately 50,000 employees in nearly 60 countries. Cardinal Health ranks among the top 15 on the Fortune 500. For more information, visit cardinalhealth.com , follow @CardinalHealth on Twitter and connect on LinkedIn at linkedin.com/company/cardinal-health .
Cautions Concerning Forward-Looking Statements
This release contains forward-looking statements addressing Cardinal Health's plans to acquire Medtronic's Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency businesses and other statements about future expectations, prospects, estimates and other matters that are dependent upon future events or developments. These statements may be identified by words such as "expect," "anticipate," "intend," "plan," "believe," "will," "should," "could," "would," "project," "continue," "likely," and similar expressions, and include statements reflecting future results, trends or guidance, statements of outlook and expense accruals. These matters are subject to risks and uncertainties that could cause actual results to differ materially from those projected, anticipated or implied. These risks and uncertainties include: the ability to retain the acquired businesses' customers and employees, the ability to successfully integrate the acquired businesses into Cardinal Health's operations, and the ability to achieve the expected synergies as well as accretion in earnings; competitive pressures in Cardinal Health's various lines of business; the amount or rate of generic and branded pharmaceutical price appreciation or deflation and the timing of and benefit from generic pharmaceutical introductions; the ability to maintain the benefits from the generic sourcing venture with CVS Health; the risk of non-renewal or a default under one or more key customer or supplier arrangements or changes to the terms of or level of purchases under those arrangements; uncertainties due to government health care reform including proposals to modify or repeal the Affordable Care Act; uncertainties with respect to U.S. tax or trade laws, including proposals relating to a "border adjustment tax" or new import tariffs; changes in the distribution patterns or reimbursement rates for health care products and services; the effects of any investigation or action by any regulatory authority; and changes in foreign currency rates and the cost of commodities such as oil-based resins, cotton, latex and diesel fuel. Cardinal Health is subject to additional risks and uncertainties described in Cardinal Health's Form 10-K, Form 10-Q and Form 8-K reports and exhibits to those reports. This release reflects management's views as of July 31, 2017. Except to the extent required by applicable law, Cardinal Health undertakes no obligation to update or revise any forward-looking statement.
"This business provides our customers with more product offerings and includes some well-established brands that fit naturally within our portfolio and are complementary to our current medical products business. We know these products and many of the employees well, and have seen that our team members share a common commitment to quality, customer service and the patients who we all ultimately serve," said George Barrett, chairman and CEO of Cardinal Health. "We are extremely excited about welcoming our new colleagues from around the world to Cardinal Health."
The Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business encompasses 23 product categories across multiple market sites of care, including numerous industry-leading brands, such as Curity, Kendall, Dover, Argyle and Kangaroo – brands used in nearly every U.S. hospital.
The company also previously announced that it expects the acquisition to be accretive to non-GAAP? diluted earnings per share from continuing operations by more than $0.21 per share in fiscal 2018, net of incremental annual financing-related interest expense, and includes up to $100 million of inventory step-up costs during the first few quarters following closing. As previously disclosed, the company still expects the acquisition to be accretive to non-GAAP diluted earnings per share by more than $0.55 per share in fiscal 2019, and increasingly accretive thereafter. By the end of fiscal 2020, the company assumes synergies will exceed $150 million.
The Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business will become part of Cardinal Health's Medical segment, which is led by Don Casey, the segment's chief executive officer. Integration efforts are off to a successful start and it is expected that all integration work and transitions will be completed over the next 18 months.
Goldman, Sachs & Co. and Perella Weinberg Partners LP served as Cardinal Health's financial advisors on this transaction, and Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP and Jones Day served as its legal advisors.
Non-GAAP financial measures (including footnote)
Footnote (1) Expected accretion to non-GAAP diluted earnings per share from continuing operations reflects: (A) earnings from continuing operations, excluding (1) LIFO charges/(credits), (2) restructuring and employee severance, (3) amortization and acquisition-related costs, (4) impairments and (gain)/loss on disposal of assets, (5) litigation (recoveries)/charges, net, and (6) loss on extinguishment of debt, each net of tax, (B) divided by diluted weighted average shares outstanding.
Cardinal Health presents non-GAAP diluted earnings per share from continuing operations on a forward-looking basis. The most directly comparable forward-looking GAAP measure is diluted earnings per share from continuing operations. Cardinal Health is unable to provide a quantitative reconciliation of this forward-looking non-GAAP measure to the most directly comparable forward-looking GAAP measure, because Cardinal Health cannot reliably forecast LIFO charges/(credits), restructuring and employee severance, amortization and acquisition-related costs (which Cardinal Health expects to increase significantly as a result of the acquisition of the Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency businesses), impairments and (gain)/loss on disposal of assets and litigation (recoveries)/charges, net, which are difficult to predict and estimate. Please note that the unavailable reconciling items could significantly impact Cardinal Health's future financial results. These items could cause earnings per share and the accretion to earnings per share to differ materially from the company's non-GAAP expectations.
About Cardinal Health
Cardinal Health Inc. is a global, integrated healthcare services and products company, providing customized solutions for hospital systems, pharmacies, ambulatory surgery centers, clinical laboratories and physician offices worldwide. The company provides clinically-proven medical products and pharmaceuticals and cost-effective solutions that enhance supply chain efficiency. Cardinal Health connects patients, providers, payers, pharmacists and manufacturers for integrated care coordination and better patient management. With the acquisition of Medtronic's Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency business the company will have approximately 50,000 employees in nearly 60 countries. Cardinal Health ranks among the top 15 on the Fortune 500. For more information, visit cardinalhealth.com , follow @CardinalHealth on Twitter and connect on LinkedIn at linkedin.com/company/cardinal-health .
Cautions Concerning Forward-Looking Statements
This release contains forward-looking statements addressing Cardinal Health's plans to acquire Medtronic's Patient Care, Deep Vein Thrombosis and Nutritional Insufficiency businesses and other statements about future expectations, prospects, estimates and other matters that are dependent upon future events or developments. These statements may be identified by words such as "expect," "anticipate," "intend," "plan," "believe," "will," "should," "could," "would," "project," "continue," "likely," and similar expressions, and include statements reflecting future results, trends or guidance, statements of outlook and expense accruals. These matters are subject to risks and uncertainties that could cause actual results to differ materially from those projected, anticipated or implied. These risks and uncertainties include: the ability to retain the acquired businesses' customers and employees, the ability to successfully integrate the acquired businesses into Cardinal Health's operations, and the ability to achieve the expected synergies as well as accretion in earnings; competitive pressures in Cardinal Health's various lines of business; the amount or rate of generic and branded pharmaceutical price appreciation or deflation and the timing of and benefit from generic pharmaceutical introductions; the ability to maintain the benefits from the generic sourcing venture with CVS Health; the risk of non-renewal or a default under one or more key customer or supplier arrangements or changes to the terms of or level of purchases under those arrangements; uncertainties due to government health care reform including proposals to modify or repeal the Affordable Care Act; uncertainties with respect to U.S. tax or trade laws, including proposals relating to a "border adjustment tax" or new import tariffs; changes in the distribution patterns or reimbursement rates for health care products and services; the effects of any investigation or action by any regulatory authority; and changes in foreign currency rates and the cost of commodities such as oil-based resins, cotton, latex and diesel fuel. Cardinal Health is subject to additional risks and uncertainties described in Cardinal Health's Form 10-K, Form 10-Q and Form 8-K reports and exhibits to those reports. This release reflects management's views as of July 31, 2017. Except to the extent required by applicable law, Cardinal Health undertakes no obligation to update or revise any forward-looking statement.
Sono Motors ภูมิใจเสนอ “Sion” รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทุกคน
Sono Motors บริษัทสตาร์ทอัพน้องใหม่จากมิวนิก ภูมิใจนำเสนอ "Sion" รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสุดคุ้มค่าและล้ำสมัยที่มาพร้อมแผงโซลาร์เซลล์ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของทุกคน
Sion สามารถวิ่งได้ไกลถึง 250 กิโลเมตร และมีราคาเพียง 16,000 ยูโร (ไม่รวมแบตเตอรี่) มาพร้อมฟีเจอร์เด่นอีกมากมาย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นรถสำหรับครอบครัวและคนเมือง
สำหรับแบตเตอรี่แยกขายในราคาไม่ถึง 4,000 ยูโร หรือจะเช่าเป็นรายเดือนก็ได้เช่นกัน
เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว Sono Motors ได้เปิดระดมทุนผ่านทาง Indiegogo และได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น
สำหรับการพัฒนาและผลิตรถยนต์สุดล้ำนี้ Sono Motors ได้ร่วมมือกับบรรดาผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ชั้นนำทั่วยุโรป
Sono Motors ต้องการยอดจองรถ 5,000 คัน เพื่อให้สามารถเริ่มการผลิตในจำนวนมากได้ทันเวลา คือภายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2562 โดยก่อนหน้านี้ต้องการยอดจอง 1,500 คันเพื่อเปิดตัว Sion
หนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ Sion คือระบบชาร์จไฟด้วยตัวเองที่เรียกว่า viSono โดยโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งมากับรถยนต์จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าและชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้มากขึ้นถึง 30 กิโลเมตรต่อวันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ระบบ biSono ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยระบบดังกล่าวจะช่วยดึงพลังงานไฟฟ้าออกมาจากแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถชาร์จไฟให้รถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นได้ ส่งผลให้ Sion กลายเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่
Sono Motors ได้รับการสนับสนุนจากเหล่านักลงทุนผู้ทรงเกียรติ ซึ่งมีวิสัยทัศน์เดียวกับเหล่าผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้
หลังงานเปิดตัว Sion เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา Sono Motors จะเริ่มทำการทดลองขับรถยนต์ในหลายเมืองทั่วยุโรป
การทดลองขับรถยนต์จะเริ่มขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมที่กรุงมิวนิก และต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 12 เมือง ใน 7 ประเทศ โดยบุคคลทั่วไปสามารถสัมผัสและทดลองขับขี่ Sion ได้ด้วยตัวเอง
http://www.sonomotors.com
เครดิตรูปภาพ: Sono Motors GmbH |
Sion สามารถวิ่งได้ไกลถึง 250 กิโลเมตร และมีราคาเพียง 16,000 ยูโร (ไม่รวมแบตเตอรี่) มาพร้อมฟีเจอร์เด่นอีกมากมาย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นรถสำหรับครอบครัวและคนเมือง
สำหรับแบตเตอรี่แยกขายในราคาไม่ถึง 4,000 ยูโร หรือจะเช่าเป็นรายเดือนก็ได้เช่นกัน
เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว Sono Motors ได้เปิดระดมทุนผ่านทาง Indiegogo และได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น
สำหรับการพัฒนาและผลิตรถยนต์สุดล้ำนี้ Sono Motors ได้ร่วมมือกับบรรดาผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ชั้นนำทั่วยุโรป
Sono Motors ต้องการยอดจองรถ 5,000 คัน เพื่อให้สามารถเริ่มการผลิตในจำนวนมากได้ทันเวลา คือภายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2562 โดยก่อนหน้านี้ต้องการยอดจอง 1,500 คันเพื่อเปิดตัว Sion
หนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ Sion คือระบบชาร์จไฟด้วยตัวเองที่เรียกว่า viSono โดยโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งมากับรถยนต์จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าและชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้มากขึ้นถึง 30 กิโลเมตรต่อวันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ระบบ biSono ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยระบบดังกล่าวจะช่วยดึงพลังงานไฟฟ้าออกมาจากแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถชาร์จไฟให้รถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นได้ ส่งผลให้ Sion กลายเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่
Sono Motors ได้รับการสนับสนุนจากเหล่านักลงทุนผู้ทรงเกียรติ ซึ่งมีวิสัยทัศน์เดียวกับเหล่าผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้
หลังงานเปิดตัว Sion เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา Sono Motors จะเริ่มทำการทดลองขับรถยนต์ในหลายเมืองทั่วยุโรป
การทดลองขับรถยนต์จะเริ่มขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมที่กรุงมิวนิก และต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 12 เมือง ใน 7 ประเทศ โดยบุคคลทั่วไปสามารถสัมผัสและทดลองขับขี่ Sion ได้ด้วยตัวเอง
http://www.sonomotors.com
The Solar Car for Everyone - SONO MOTORS Presented the Sion
The Munich based tech-start-up SONO MOTORS presented an innovative and cost-efficient electric vehicle with solar integration, suitable for everyday use.
With a range of 250km, price of 16,000 euros (battery excluded) and integrated mobility applications, the vehicle is especially appealing to families and city commuters.
The battery will be available for a monthly rent or one-time purchase. At current prices, the battery will cost less than 4,000 euros.
In summer 2016, Sono Motors initiated a campaign on Indiegogo and experienced an overwhelming support.
For the development and production of the vehicle, Sono cooperates with well-known contract manufacturers and system suppliers across Europe.
SONO MOTORS requires 5,000 reservations to start serial production on time, during Q2 of 2019. 1,500 reservations were acquired before the presentation of the SION.
One of the highlights of the SION is the self-charging function called viSono. Integrated solar cells generate electricity that is fed directly into the battery. This way up to an additional 30km per day will be made available.
Another unique feature is the biSono. This allows the operator to extract electricity from the battery and make it available to other users. Thus, the Sion becomes a mobile power station.
Sono Motors is supported by notable investors, who share the vision of the founders.
After the release event on July 27th, Sono Motors will start a test drive tour through Europe.
Kick-off will take place on August 18th in Munich and continues through at least 12 cities and 7 countries; people can test and experience the Sion during the tour.
http://www.sonomotors.com
Photo: SONO MOTORS GmbH |
With a range of 250km, price of 16,000 euros (battery excluded) and integrated mobility applications, the vehicle is especially appealing to families and city commuters.
The battery will be available for a monthly rent or one-time purchase. At current prices, the battery will cost less than 4,000 euros.
In summer 2016, Sono Motors initiated a campaign on Indiegogo and experienced an overwhelming support.
For the development and production of the vehicle, Sono cooperates with well-known contract manufacturers and system suppliers across Europe.
SONO MOTORS requires 5,000 reservations to start serial production on time, during Q2 of 2019. 1,500 reservations were acquired before the presentation of the SION.
One of the highlights of the SION is the self-charging function called viSono. Integrated solar cells generate electricity that is fed directly into the battery. This way up to an additional 30km per day will be made available.
Another unique feature is the biSono. This allows the operator to extract electricity from the battery and make it available to other users. Thus, the Sion becomes a mobile power station.
Sono Motors is supported by notable investors, who share the vision of the founders.
After the release event on July 27th, Sono Motors will start a test drive tour through Europe.
Kick-off will take place on August 18th in Munich and continues through at least 12 cities and 7 countries; people can test and experience the Sion during the tour.
http://www.sonomotors.com
TRIGO ขยายธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ โดยผนึกกำลังกับผู้นำตลาดสเปนอย่าง MAVE AERONAUTICA
TRIGO ได้เข้าซื้อหุ้นทั้ง 100% ของ MAVE AERONAUTICA จาก Joaquin Arregui ผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับแผนกลยุทธ์ควบรวมธุรกิจของ TRIGO ในตลาดผู้ให้บริการตรวจสอบคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ MAVE โดยการผลักดันบริษัทสเปนดังกล่าว ให้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทระดับโลก
MAVE คือผู้บุกเบิกธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสำหรับภาคอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในสเปน โดยให้บริการแอร์บัสและลูกค้ารายอื่นๆ ด้วยประสบการณ์อันช่ำชองในด้านโซลูชั่นตรวจสอบคุณภาพ รับรองคุณภาพ ประเมินวัดผล และการซ่อมบำรุงด้วยเครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้ คณะผู้ก่อตั้งบริษัท MAVE จะก้าวลงจากตำแหน่ง และ Antonio Gomez ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2016 จะก้าวขึ้นมาบริหารงานแทน
TRIGO เข้าสู่ตลาดการบินและอวกาศของสเปนในปี 2015 ผ่านทางการเข้าซื้อกิจการ GLOBALQ และเมื่อผนึกกำลังกับ MAVE แล้ว TRIGO จะสามารถสร้างรายได้ในภาคการขนส่งทางอากาศได้รวมกว่า 70 ล้านยูโรต่อปี จากการดำเนินงานในสเปน ฝรั่งเศส และเยอรมนี ตลอดจนอเมริกาเหนือและเอเชีย ทั้งนี้ หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อ B?llinger และ Euro-Symbiose ในปี 2016 แล้ว MAVE ถือเป็นบริษัทแห่งที่ 3 ที่ TRIGO ได้เข้าซื้อกิจการ นับตั้งแต่ ARDIAN ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนภาคเอกชนอิสระและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TRIGO ได้เริ่มให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ TRIGO ในช่วงกลางปี 2016 เป็นต้นมา โดย TRIGO จะเดินหน้าสานต่อแผนกลยุทธ์ในการควบรวมธุรกิจด้านบริการตรวจสอบคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศดังกล่าว ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการส่งมอบโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าต่างชาติที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมทั่วโลก
"TRIGO ขอต้อนรับ MAVE เข้าสู่กลุ่มธุรกิจของเรา" Matthieu Rambaud ซีอีโอของ TRIGO และ Benoit Leblanc รองประธานประจำภูมิภาคยุโรป กล่าว "พวกเราเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า การที่ MAVE เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ TRIGO ร่วมกับ GLOBALQ นั้น จะมอบประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าของเราในสเปนและประเทศอื่นๆ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรม พวกเรายินดีต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่จาก MAVE และตั้งตาคอยที่จะเห็นพวกเขาเพลิดเพลินกับโอกาสก้าวหน้าในสายงานภายในกลุ่มบริษัทของเรา"
"TRIGO คือผู้ซื้อที่เราใฝ่ฝันสำหรับอนาคตของ MAVE รวมถึงลูกค้าและพนักงานของบริษัท" Joaquin Arrequi ผู้ก่อตั้ง MAVE และ Carlos Maria-Tome Arnal รองประธานบริหาร กล่าว "TRIGO และ MAVE แบ่งปันคุณค่าร่วมกัน เราขอขอบคุณลูกค้าสำหรับความไว้วางใจใน MAVE และขอบคุณพนักงานสำหรับความสำเร็จที่ทำให้กับเราตลอดเวลาที่ผ่านมา และสำหรับความภูมิใจและความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความสำเร็จในอนาคตกับ TRIGO"
ข้อมูลเพิ่มเติม:
https://www.trigo-group.com/press_relations-10-en.htm?id=133&utm_source=prnewswire&utm_medium=pr-article&utm_campaign=mave
http://www.maveaeronautica.com
http://www.ardian.com
MAVE คือผู้บุกเบิกธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสำหรับภาคอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในสเปน โดยให้บริการแอร์บัสและลูกค้ารายอื่นๆ ด้วยประสบการณ์อันช่ำชองในด้านโซลูชั่นตรวจสอบคุณภาพ รับรองคุณภาพ ประเมินวัดผล และการซ่อมบำรุงด้วยเครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้ คณะผู้ก่อตั้งบริษัท MAVE จะก้าวลงจากตำแหน่ง และ Antonio Gomez ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2016 จะก้าวขึ้นมาบริหารงานแทน
TRIGO เข้าสู่ตลาดการบินและอวกาศของสเปนในปี 2015 ผ่านทางการเข้าซื้อกิจการ GLOBALQ และเมื่อผนึกกำลังกับ MAVE แล้ว TRIGO จะสามารถสร้างรายได้ในภาคการขนส่งทางอากาศได้รวมกว่า 70 ล้านยูโรต่อปี จากการดำเนินงานในสเปน ฝรั่งเศส และเยอรมนี ตลอดจนอเมริกาเหนือและเอเชีย ทั้งนี้ หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อ B?llinger และ Euro-Symbiose ในปี 2016 แล้ว MAVE ถือเป็นบริษัทแห่งที่ 3 ที่ TRIGO ได้เข้าซื้อกิจการ นับตั้งแต่ ARDIAN ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนภาคเอกชนอิสระและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TRIGO ได้เริ่มให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ TRIGO ในช่วงกลางปี 2016 เป็นต้นมา โดย TRIGO จะเดินหน้าสานต่อแผนกลยุทธ์ในการควบรวมธุรกิจด้านบริการตรวจสอบคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศดังกล่าว ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการส่งมอบโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าต่างชาติที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมทั่วโลก
"TRIGO ขอต้อนรับ MAVE เข้าสู่กลุ่มธุรกิจของเรา" Matthieu Rambaud ซีอีโอของ TRIGO และ Benoit Leblanc รองประธานประจำภูมิภาคยุโรป กล่าว "พวกเราเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า การที่ MAVE เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ TRIGO ร่วมกับ GLOBALQ นั้น จะมอบประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าของเราในสเปนและประเทศอื่นๆ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรม พวกเรายินดีต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่จาก MAVE และตั้งตาคอยที่จะเห็นพวกเขาเพลิดเพลินกับโอกาสก้าวหน้าในสายงานภายในกลุ่มบริษัทของเรา"
"TRIGO คือผู้ซื้อที่เราใฝ่ฝันสำหรับอนาคตของ MAVE รวมถึงลูกค้าและพนักงานของบริษัท" Joaquin Arrequi ผู้ก่อตั้ง MAVE และ Carlos Maria-Tome Arnal รองประธานบริหาร กล่าว "TRIGO และ MAVE แบ่งปันคุณค่าร่วมกัน เราขอขอบคุณลูกค้าสำหรับความไว้วางใจใน MAVE และขอบคุณพนักงานสำหรับความสำเร็จที่ทำให้กับเราตลอดเวลาที่ผ่านมา และสำหรับความภูมิใจและความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความสำเร็จในอนาคตกับ TRIGO"
ข้อมูลเพิ่มเติม:
https://www.trigo-group.com/press_relations-10-en.htm?id=133&utm_source=prnewswire&utm_medium=pr-article&utm_campaign=mave
http://www.maveaeronautica.com
http://www.ardian.com
TRIGO Doubles Size in Aerospace Quality Services by Joining Forces with Spanish Leader MAVE AERONAUTICA
TRIGO has acquired 100% of the capital of MAVE AERONAUTICA from founder Joaquin Arregui and other shareholders. This transaction is a major step in TRIGO's consolidation strategy in the European aerospace quality services market. It will strengthen MAVE's position by taking the mainly Spanish company to an international level.
MAVE is the pioneer of outsourced quality services for the aerospace sector in Spain, where it has been serving Airbus and other clients, with expertise in quality inspection, quality assurance, measurement and tooling maintenance solutions. MAVE founders will retire and the company will be managed by Antonio Gomez, General Manager since early 2016.
TRIGO has entered the Spanish aerospace market in 2015 via the acquisition of GLOBALQ. Together with MAVE, TRIGO will achieve more than 70 million euros of annual revenues in the aerospace and heavy transportation sector, with significant operations in Spain, France and Germany as well as North America and Asia. After the acquisition of B?llinger and Euro-Symbiose in 2016, the MAVE acquisition is the third one since ARDIAN, the private investment company, started backing TRIGO in mid-2016. TRIGO will continue to pursue its market consolidation strategy in quality services for the transportation industry, ultimately offering worldwide, efficient solutions to its international, innovation-driven customers.
"TRIGO is proud to welcome MAVE into the Group," said Matthieu Rambaud, TRIGO CEO and Benoit Leblanc, EVP Europe. "We strongly believe that the integration of MAVE within TRIGO, alongside GLOBALQ, will benefit to our clients of Spain and beyond in terms of efficiency, expertise and innovation capacity. We enthusiastically welcome our new colleagues of MAVE and are looking forward to seeing them enjoy new development opportunities within our Group."
"With TRIGO, we found the acquirer that we were dreaming about for the future of MAVE, its customers and its employees," added Joaquin Arregui, MAVE Founder and Carlos Maria-Tome Arnal, EVP. "TRIGO and MAVE share the same values. We thank our customers for trusting MAVE and our employees for having made our success possible so far, and for staying proud and focused on generating the success of tomorrow within TRIGO."
More information:
https://www.trigo-group.com/press_relations-10-en.htm?id=133&utm_source=prnewswire&utm_medium=pr-article&utm_campaign=mave
http://www.maveaeronautica.com
http://www.ardian.com
MAVE is the pioneer of outsourced quality services for the aerospace sector in Spain, where it has been serving Airbus and other clients, with expertise in quality inspection, quality assurance, measurement and tooling maintenance solutions. MAVE founders will retire and the company will be managed by Antonio Gomez, General Manager since early 2016.
TRIGO has entered the Spanish aerospace market in 2015 via the acquisition of GLOBALQ. Together with MAVE, TRIGO will achieve more than 70 million euros of annual revenues in the aerospace and heavy transportation sector, with significant operations in Spain, France and Germany as well as North America and Asia. After the acquisition of B?llinger and Euro-Symbiose in 2016, the MAVE acquisition is the third one since ARDIAN, the private investment company, started backing TRIGO in mid-2016. TRIGO will continue to pursue its market consolidation strategy in quality services for the transportation industry, ultimately offering worldwide, efficient solutions to its international, innovation-driven customers.
"TRIGO is proud to welcome MAVE into the Group," said Matthieu Rambaud, TRIGO CEO and Benoit Leblanc, EVP Europe. "We strongly believe that the integration of MAVE within TRIGO, alongside GLOBALQ, will benefit to our clients of Spain and beyond in terms of efficiency, expertise and innovation capacity. We enthusiastically welcome our new colleagues of MAVE and are looking forward to seeing them enjoy new development opportunities within our Group."
"With TRIGO, we found the acquirer that we were dreaming about for the future of MAVE, its customers and its employees," added Joaquin Arregui, MAVE Founder and Carlos Maria-Tome Arnal, EVP. "TRIGO and MAVE share the same values. We thank our customers for trusting MAVE and our employees for having made our success possible so far, and for staying proud and focused on generating the success of tomorrow within TRIGO."
More information:
https://www.trigo-group.com/press_relations-10-en.htm?id=133&utm_source=prnewswire&utm_medium=pr-article&utm_campaign=mave
http://www.maveaeronautica.com
http://www.ardian.com
Nobu Hospitality เตรียมรีแบรนด์โรงแรม The Epiphany Hotel ในเมืองพาโลอัลโต
Nobu Hospitality กลุ่มโรงแรมซึ่งก่อตั้งโดยโนบุ มัตสึฮิสะ เชฟชื่อดังระดับโลก, โรเบิร์ต เดอ นิโร นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ และเมียร์ เทเปอร์ โปรดิวเซอร์มือฉมังแห่งฮอลลีวู้ด มีความยินดีที่จะประกาศเปลี่ยนชื่อโรงแรม The Epiphany Hotel เป็น Nobu Hotel Epiphany ในวันที่ 2 ตุลาคม 2560
The Epiphany Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย มีห้องพักและห้องสวีทรวม 83 ห้อง รวมถึงพื้นที่จัดกิจกรรมและการประชุม และล่าสุดก็มีการเปิดร้านอาหาร Nobu Palo Alto ด้วย
เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ซีอีโอของ Nobu Hospitality กล่าวว่า "เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขยายธุรกิจในแถบเวสต์โคสต์ และ The Epiphany Hotel ก็เป็นส่วนเติมเต็มที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา โรงแรมแห่งนี้จะยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พร้อมกับรับวัฒนธรรมการดำเนินงานและหลักปรัชญาของ Nobu ไปใช้ควบคู่กัน"
โรงแรมแห่งนี้จะมอบประสบการณ์การพักผ่อนอันหรูหราด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดพิเศษมากมาย ทั้งห้องพักและห้องสวีทอันกว้างขวาง พร้อมระเบียงที่ชมวิวเมืองพาโลอัลโตและภูเขาซานตาครูซได้อย่างเต็มตา นอกจากนั้นยังมีบริการเสิร์ฟอาหารจากร้านอาหาร Nobu ถึงห้องพักตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยเครื่องอาบน้ำแบรนด์ Natura Bisse จากบาร์เซโลนา และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Nobu
ร้านอาหารของโรงแรมเพิ่งได้รับการพลิกโฉมให้เป็นร้านอาหาร Nobu ที่พร้อมเสิร์ฟทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็นทุกวัน นอกจากนั้นยังมีเมนูเด็ดจากเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เช่น Black Cod Miso และ Yellowtail Sashimi Jalapeno โดยแขกของโรงแรมจะได้รับสิทธิจองร้านอาหาร Nobu Palo Alto ก่อนใคร ทั้งยังสามารถสั่งอาหารไปรับประทานอย่างเป็นส่วนตัวในห้องพักก็ได้เช่นกัน
เกี่ยวกับ Nobu Hospitality
Nobu Hospitality ติดอันดับ "25 Most Innovative Brands" โดย Robb Report และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก Nobu เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยคุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์ และชื่อเสียง รวมถึงบริการจัดการโรงแรมและร้านอาหารครบวงจรทั่วโลก ภายใต้การบริหารงานของโนบุ มัตสึฮิสะ, โรเบิร์ต เดอ นิโร และเมียร์ เทเปอร์ แบรนด์ Nobu ได้ขยายธุรกิจครอบคลุมเมืองใหญ่ใน 5 ทวีปทั่วโลก และสร้างชื่อในฐานะจุดหมายปลายทางอันเหนือชั้น โรงแรมแห่งแรกในเครือ Nobu ตั้งอยู่ใน Caesars Palace Las Vegas และเปิดตัวในปี 2556 ตามมาด้วยโรงแรม Nobu Hotel City of Dreams Manila ที่เปิดตัวในปี 2557 และ Nobu Hotel Miami Beach ที่เปิดตัวในปี 2559 จากนั้นก็มี Nobu Ryokan Malibu, Nobu Hotel Shoreditch London และ Nobu Hotel Ibiza Bay ที่เปิดตัวในปี 2560 นอกจากนั้นยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในมาร์เบลลา ริยาด ลอสคาบอส ชิคาโก โทรอนโต และบาห์เรน
The Epiphany Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย มีห้องพักและห้องสวีทรวม 83 ห้อง รวมถึงพื้นที่จัดกิจกรรมและการประชุม และล่าสุดก็มีการเปิดร้านอาหาร Nobu Palo Alto ด้วย
เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ซีอีโอของ Nobu Hospitality กล่าวว่า "เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขยายธุรกิจในแถบเวสต์โคสต์ และ The Epiphany Hotel ก็เป็นส่วนเติมเต็มที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา โรงแรมแห่งนี้จะยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พร้อมกับรับวัฒนธรรมการดำเนินงานและหลักปรัชญาของ Nobu ไปใช้ควบคู่กัน"
โรงแรมแห่งนี้จะมอบประสบการณ์การพักผ่อนอันหรูหราด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดพิเศษมากมาย ทั้งห้องพักและห้องสวีทอันกว้างขวาง พร้อมระเบียงที่ชมวิวเมืองพาโลอัลโตและภูเขาซานตาครูซได้อย่างเต็มตา นอกจากนั้นยังมีบริการเสิร์ฟอาหารจากร้านอาหาร Nobu ถึงห้องพักตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยเครื่องอาบน้ำแบรนด์ Natura Bisse จากบาร์เซโลนา และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Nobu
ร้านอาหารของโรงแรมเพิ่งได้รับการพลิกโฉมให้เป็นร้านอาหาร Nobu ที่พร้อมเสิร์ฟทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็นทุกวัน นอกจากนั้นยังมีเมนูเด็ดจากเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เช่น Black Cod Miso และ Yellowtail Sashimi Jalapeno โดยแขกของโรงแรมจะได้รับสิทธิจองร้านอาหาร Nobu Palo Alto ก่อนใคร ทั้งยังสามารถสั่งอาหารไปรับประทานอย่างเป็นส่วนตัวในห้องพักก็ได้เช่นกัน
เกี่ยวกับ Nobu Hospitality
Nobu Hospitality ติดอันดับ "25 Most Innovative Brands" โดย Robb Report และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก Nobu เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยคุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์ และชื่อเสียง รวมถึงบริการจัดการโรงแรมและร้านอาหารครบวงจรทั่วโลก ภายใต้การบริหารงานของโนบุ มัตสึฮิสะ, โรเบิร์ต เดอ นิโร และเมียร์ เทเปอร์ แบรนด์ Nobu ได้ขยายธุรกิจครอบคลุมเมืองใหญ่ใน 5 ทวีปทั่วโลก และสร้างชื่อในฐานะจุดหมายปลายทางอันเหนือชั้น โรงแรมแห่งแรกในเครือ Nobu ตั้งอยู่ใน Caesars Palace Las Vegas และเปิดตัวในปี 2556 ตามมาด้วยโรงแรม Nobu Hotel City of Dreams Manila ที่เปิดตัวในปี 2557 และ Nobu Hotel Miami Beach ที่เปิดตัวในปี 2559 จากนั้นก็มี Nobu Ryokan Malibu, Nobu Hotel Shoreditch London และ Nobu Hotel Ibiza Bay ที่เปิดตัวในปี 2560 นอกจากนั้นยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในมาร์เบลลา ริยาด ลอสคาบอส ชิคาโก โทรอนโต และบาห์เรน
Subscribe to:
Posts (Atom)