ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังหาทางฟื้นฟูเศรษฐกิจท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จีนขอเชิญชวนทั่วโลกร่วมการปฏิวัติสีเขียว และได้ให้คำมั่นเพื่อปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2603
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ https://news.cgtn.com/news/2020-09-22/Xi-Jinping-China-aims-to-achieve-carbon-neutrality-by-2060-TZX22EfJiE/index.html
นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แถลงผ่านวิดีโอลิงก์ต่อการอภิปรายทั่วไปในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 75 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “โควิด-19 ได้ย้ำเตือนให้มนุษยชาติตระหนักว่า เราควรเริ่มการปฏิวัติสีเขียวและดำเนินการให้เร็ว เพื่อก่อให้เกิดวิถีชีวิตและการพัฒนาที่ดีกับสิ่งแวดล้อม”
ปธน.สี ได้เชิญชวนให้ทุกประเทศ “ดำเนินการอย่างแน่วแน่” เพื่อปฏิบัติตามความตกลงปารีสปี 2558 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเกือบ 200 ประเทศได้ให้คำมั่นเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสเมื่อสิ้นศตวรรษนี้ โดยเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้อุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศา
ปธน.สี กล่าวว่า จีนมีเป้าหมายเพื่อ “ปล่อยก๊าซ CO2 ถึงระดับสูงสุดก่อนปี 2573 และปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2603”
เขายังได้เรียกร้องให้ “เศรษฐกิจโลกฟื้นฟูอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในยุคหลังโควิด-19” และเชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมบรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ถ้อยแถลงของปธน.สี ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก โดยคุณท็อดด์ สเติร์น ผู้แทนด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งมีบทบาทเบื้องหลังข้อตกลงว่าด้วยสภาพภูมิอากาศระดับทวิภาคีกับจีนเมื่อปี 2557 กล่าวว่า “ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง วันนี้ที่ว่าจีนตั้งใจปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2603 นั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก” โดยเขายกให้ถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นความก้าวหน้าที่ “สร้างแรงจูงใจ”
ถ้อยแถลงของปธน.สี ยังเป็นที่ชื่นชมยินดีจากสหภาพยุโรปด้วยเช่นกัน โดยคุณฟรานส์ ทิมเมอร์มานส์ รองประธาน European Green Deal กล่าวว่า “ผมขอชื่นชมถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสี ที่ว่าจีนได้กำหนดช่วงเวลาที่การปล่อยก๊าซ CO2 จะถึงระดับสูงสุด และปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2603”
จีนใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุด และเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จีนจึงกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม
จีนกำลังปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและรูปแบบการเติบโต เพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมีคุณภาพ ในขณะเดียวกัน จีนก็ได้ยกให้การต่อสู้กับปัญหามลภาวะเป็นหนึ่งใน “สามศึกใหญ่” คู่กับการต่อสู้กับความเสี่ยงและความยากจน เพื่อให้จีนกลายเป็นสังคมที่เจริญรุ่งเรืองในระดับหนึ่งภายในปี 2563
ปธน.สี ได้ให้ความสำคัญเสมอมาต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสีเขียว
เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา สมัยที่เขาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ประจำมณฑลเจ้อเจียง เขาได้เสนอแนวคิดที่ว่า “ลำน้ำใสสะอาดและเขาเขียวชอุ่มเป็นทรัพย์สินที่ประเมินค่ามิได้” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแนวคิดยอดนิยมในการพัฒนาสีเขียวทั่วประเทศ
หลังจากที่ได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีจีนแล้ว ปธน.สี ได้เน้นย้ำเรื่องความสำคัญของการอนุรักษ์ระบบนิเวศอยู่บ่อยครั้งในหลาย ๆ โอกาส รวมถึงระหว่างการดูงานทั่วจีน
จีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเผชิญกับปัญหาร้ายแรงทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางน้ำ บัดนี้มีความคืบหน้าอย่างก้าวกระโดดในการพัฒนาสีเขียว และมีบทบาทต่อประเด็นนี้ในระดับสากล
จีนมีเป้าหมายเพื่อทำผลงานให้เหนือกว่าที่กำหนดไว้ในสัดส่วนสมทบที่คาดไว้ของแต่ละประเทศ (Intended Nationally Determined Contributions) ภายในปี 2573 ตามความตกลงปารีส อันเป็นผลจากความพยายามในการลดการใช้พลังงานและลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
การปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยของ GDP ได้ปรับตัวลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากปี 2548 ซึ่งนับเป็นความสำเร็จล่วงหน้าเมื่อประเมินจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าต้องลดจากปี 2548 ให้ได้ 40-45% ภายในปี 2563 สำหรับปี 2573 นั้นมีคำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยของ GDP ให้ได้ 60-65% จากปี 2548 โดยการปล่อยก๊าซ CO2 จะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2573
เมื่อปี 2562 การศึกษาสิ่งแวดล้อมของ NASA พบว่า ระหว่างปี 2543-2560 จีนมีการสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นใหม่กว่า 1 ใน 4 ของโลก ทำให้จีนนำเป็นอันดับหนึ่งของโลกในด้านนี้
เพื่อสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ปธน.สี จึงได้จัดตั้งกองทุน China South-South Climate Cooperation Fund ขึ้นเมื่อปี 2558 ในวงเงิน 2 หมื่นล้านหยวน (3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยประเทศที่กำลังพัฒนาเหมือนกันในการต่อสู้ในศึกเดียวกันนี้
เมื่อปีที่ผ่านมา จีนได้เปิดตัวกลุ่มพันธมิตร International Coalition for Green Development on the Belt and Road ขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 ของสหประชาชาติ ผ่านโครงการก่อสร้างสีเขียวตามประเทศแถบ Belt and Road
ปธน. สี กล่าวเมื่อวันอังคารว่า “เราขอเชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมมือร่วมใจเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างเปิดกว้าง มีนวัตกรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกคน และคว้าโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่มาพร้อมกับการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการปฏิรูปอุตสาหกรรมนี้ไว้ และให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในยุคหลังโควิด-19 และก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนสำคัญเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน”
No comments:
Post a Comment