ZTE Corporation (0763.HK / 000063.SZ) ผู้ให้บริการรายใหญ่ของโลกด้านโซลูชั่นโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมือถือสำหรับองค์กรและผู้บริโภค พร้อมเผยการพัฒนาเชิงพาณิชย์ล่าสุดในด้านเทคโนโลยี 5G แบบ end-to-end ที่งาน Mobile World Congress (MWC) Shanghai 2019 ซึ่งจะเปิดฉากในวันที่ 26 มิถุนายน
ที่งานนี้ ZTE จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับหลักการ "สร้างเครือข่าย 5G ด้วยการดำเนินการพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 4 แนวทาง ได้แก่ บวก ลบ คูณ และ หาร" รวมทั้งจะนำเสนอความสำเร็จล่าสุด ตลอดจนจัดแสดงอุปกรณ์เทอร์มินัล 5G ในส่วนของโซลูชั่น 5G แบบ end-to-end, การใช้งาน 5G&4G ครอบคลุมทุกสถานการณ์, การติดตั้งใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์, ระบบอัจฉริยะเครือข่าย AI, เครือข่ายแบบ on-demand, ระบบนิเวศ 5G แบบเปิด และการใช้งานเด่น ๆ ในเชิงอุตสาหกรรม โดย ZTE ต้องการส่งข้อความไปทั่วโลก ว่า ZTE พร้อมแล้วสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในยุค 5G แบบ end-to-end
ZTE มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่าย 5G ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยยึดมั่นในหลักการ "บวก ลบ คูณ และ หาร"
- หลักการลบ: ด้วยเป้าหมายที่จะสร้าง "สุดยอดเครือข่ายที่เรียบง่าย" บริษัทจึงได้คิดค้นโซลูชั่นเครือข่ายย่อขนาด UniSite ซึ่งสามารถจับคู่ความแตกต่างเพื่อรองรับสถานการณ์ที่หลากหลาย อาทิ พื้นที่เขตเมืองที่หนาแน่น พื้นที่ในอาคาร ถนนสายต่างๆ พื้นที่เขตเมืองทั่วไป และอุโมงค์รถไฟความเร็วสูง โดยสัญญาณวิทยุ Ultra-band Radio (UBR) จะรวมย่านความถี่หลัก 3 ย่าน ได้แก่ 900 M, 1800 M และ 2100 M เข้าด้วยกัน ทำให้จำนวนของอุปกรณ์ในไซต์ลดลงถึง 2 ใน 3 และเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ RRU แบบบิวท์อิน เสาอากาศแบบเสาเดียวจึงสามารถรองรับ Sub3GHz ในย่านความถี่ที่หลากหลายทั้ง 2/3/4/5G เพื่อช่วยให้ติดตั้งเสาอากาศได้สะดวกง่ายดายที่สุด
ขณะเดียวกัน ด้วยเป้าหมายที่จะสนับสนุนการบูรณาการและการใช้งาน 4/5G ร่วมกันในระยะยาว อุปกรณ์สถานีฐานตัวแรกของอุตสาหกรรมจึงรองรับทั้ง 4/5G dual-mode และ 5G NSA&SA dual-mode ทำให้กลายเป็นเครือข่ายฮาร์ดแวร์แบบ 3 โหมดที่ช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถประสบความสำเร็จในการพัฒนาในระยะยาวได้
นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ต้องการสร้างและใช้งานเครือข่ายร่วมกัน จึงมีการเปิดตัวสถานีฐานที่มีแบนด์วิธขนาดใหญ่และครบวงจรบนคลื่น dual-200 MHz เพื่อช่วยประหยัดการลงทุนในเครือข่ายโดยรวม และเร่งการใช้ 5G เชิงพาณิชย์ให้เร็วขึ้น
เพื่อรวมสถาปัตยกรรมเครือข่ายให้เป็นเครือข่ายที่เรียบง่ายเพียงหนึ่งเดียว ZTE จึงได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม IT BBU ที่ใช้ได้กับทุกมาตรฐาน และมีความจุขนาดใหญ่พิเศษ โดยรองรับการรวมเครือข่ายแบบ multi-mode และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวด้วย baseband ที่เรียบง่ายที่สุด
ZTE ยังได้เปิดตัว 5G Common Core เชิงพาณิชย์เป็นรายแรกในอุตสาหกรรมเช่นกัน โดยรองรับการรวมเครือข่ายและการเข้าถึงเครือข่ายทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 2/3/4/5G/fixed, 3GPP R15 SA และ NSA อีกทั้งช่วยประหยัดงบลงทุนให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ 40%
บริษัทได้สร้างเครือข่ายการส่งข้อมูลที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น โดยเลเยอร์ของเครือข่ายถูกปรับให้เรียบง่ายด้วยผลิตภัณฑ์ครบวงจรแบบ all-in-one ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมโปรโตคอลแบบดั้งเดิมจาก 6 เลเยอร์ให้เหลือ 4 เลเยอร์ เพื่อเริ่มต้นการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ มีการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติที่หลากหลายกับเครือข่าย เพื่อการหาตำแหน่งที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว
โดยชิปแบบ 3-in-1 ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ทำหน้าที่รวม FlexE, NP (Network Processor) และ SA (Switching Access) เข้าด้วยกัน เพื่อลดการกินไฟของอุปกรณ์ลงกว่า 40% ต่อ Gbit
- หลักการบวก: +MEC เพื่อการใช้งาน edge และ +AI เพื่อเพิ่มความเป็นอัจฉริยะให้กับเครือข่าย โดย ZTE MEC รองรับการเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สายและเครือข่ายพื้นฐาน รวมทั้งระบบ 4G/5G/WiFi multiple ที่มอบขีดความสามารถในการตรวจจับสัญญาณไร้สายแบบเปิด สำหรับการใช้งาน 5G เชิงอุตสาหกรรม ขณะที่แพลตฟอร์มคลาวด์แบบ dual-core ยังปรับปรุงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้เป็นอย่างมาก
เซิร์ฟเวอร์ MEC แบบครบชุดของ ZTE สามารถจับคู่สถานการณ์การใช้งานที่ต่างกัน อีกทั้งยังสนับสนุนการเร่งการทำงานของฮาร์ดแวร์ให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการความหน่วงต่ำพิเศษ และแบนด์วิธที่สูงเป็นพิเศษของบริการ edge รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากร CPU และ footprint
ขณะที่ชุดอุปกรณ์ AI Engine ที่ ZTE พัฒนาขึ้นนั้น ถูกนำไปใช้ในเครือข่าย 5G แบบทุกสถานการณ์แล้ว เพื่อให้เกิด zero touch, การหาตำแหน่งที่ผิดพลาดอย่างรวดเร็ว และการเพิ่มประสิทธิภาพบนเครือข่าย รวมทั้งทำให้สามารถใช้งานเครือข่ายไร้สายด้วยระบบอัตโนมัติที่มี AI เป็นขุมพลัง
- หลักการหาร: ZTE จะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการแบ่งเครือข่าย (network slicing) เพื่อให้สามารถใช้เครือข่ายซ้ำได้ ตลอดจนลดต้นทุนในการสร้างเครือข่าย และ O&M, ลดการใช้งานที่มีข้อผิดพลาด และเพิ่มความเร็วออนไลน์ โดยระบบการแบ่งเครือข่าย 5G ของ ZTE สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ และมีศักยภาพในการให้บริการลูกค้าแนวตั้งที่มีความหลากหลายในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถให้บริการนับพันบริการบนหนึ่งเครือข่าย
- หลักการคูณ: เครือข่าย 5G เพิ่มจำนวนเป็นทวีคูณด้วยอุตสาหกรรมแนวตั้ง โดยเมื่อผนวกกับ AI, cloud computing, big data, edge computing และ Internet of Things เครือข่าย 5G จะสามารถใช้ได้กับอุตสาหกรรมแนวตั้งทุกกลุ่ม เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการในพื้นที่ใหม่ ๆ ของเครือข่าย 5G
สำหรับการออกใบอนุญาตเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ในจีนนั้น ZTE และผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่อีกสามรายได้เริ่มสร้างเครือข่ายอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งที่งาน MWC Shanghai 2019 ในครั้งนี้ ทาง ZTE จะนำเทคโนโลยี 5G ต่าง ๆ มาจัดแสดงที่บูธของผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ทั้งสามราย อาทิ การสาธิต MIMO สำหรับมัลติ-ยูสเซอร์ในสภาพแวดล้อมเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ, การสาธิตวิดีโอ 5G mmWave 16-channel 4K HD, การขับขี่ไร้คนขับด้วยรีโมท, ระบบควบคุมแบบแม่นยำด้วยรีโมทหุ่นยนต์, การสื่อสารแบบฮอโลกราฟฟิก 5G+AR และการมีปฏิสัมพันธ์ในพื้นที่เสมือนจริง และโทรศัพท์มือถือ 5G หลากหลายแบรนด์ที่สามารถเล่นเกมบนคลาวด์โดยใช้อุปกรณ์รับส่งข้อมูลทางอากาศ (air interface) แบบใหม่บนเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ของ ZTE
นอกจากการจัดแสดงในโถงนิทรรศการแล้ว ZTE ยังเตรียมนำประสบการณ์บริการที่ราบรื่นมาให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัส อาทิ การถ่ายทอดสด 8K VR และวิดีโอความคมชัดแบบ HD 16 ช่อง พร้อมกันนี้ จะมีการเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา ZTE Shanghai R & D Center ให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมด้วย โดยจะมุ่งเน้นการใช้งาน 5G เชิงอุตสาหกรรม 6 ด้านหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่ การถ่ายทอดสดแบบคมชัดพิเศษ 5G+8K, การวิเคราะห์วิดีโอบนเครือข่าย 5G แบบรอบด้าน, หุ่นยนต์ลาดตระเวน 5G, ระบบควบคุมน้ำอัจฉริยะ 5G, ห้องเรียนเสมือนจริง Class VR (เพื่อการศึกษา) และแพลตฟอร์ม AR ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งนวัตกรรม 5G เหล่านี้กำลังรอให้ลูกค้ามาเปิดประสบการณ์ด้วยตนเอง
ขณะเดียวกัน ZTE จะขนอุปกรณ์เทอร์มินัล 5G ที่หลากหลาย อาทิ 5G Smartphone, 5G Indoor Router, 5G Outdoor Router, 5G Mobile Wi-Fi Router, 5G Ethernet Box, 5G Module และอีกมากมาย มาจัดแสดงที่งาน MWC Shanghai 2019 เป็นครั้งแรกด้วย
ZTE มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลของทั้งอุตสาหกรรม และเสริมศักยภาพการเชื่อมต่อเครือข่ายอัจฉริยะ ซึ่งผลิตภัณฑ์ ZTE Axon 10 Pro 5G และ ZTE 5G Indoor Router MC801 จะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์อันน่าทึ่งบนเครือข่าย 5G ไม่ว่าจะเป็น AR, cloud gaming, วิดีโอความละเอียด 4K และความเร็วสูงแบบอัลตร้า รวมทั้งการถ่ายทอดสดที่ให้ภาพคมชัดถึงขีดสุดแบบ 5G+8K, การวิเคราะห์วิดีโอ 5G แบบรอบด้าน, หุ่นยนต์ลาดตระเวน 5G, ระบบความร่วมมือทางไกล cloud XR, ห้องเรียนเสมือนจริง Class VR (เพื่อการศึกษา) และการใช้งานเชิงอุตสาหกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย ภายใต้เครือข่าย 5G ในงาน MWC Shanghai 2019 ซึ่งจะนำเสนอประสบการณ์อินเทอร์เน็ตมือถือในยุค 5G ที่ได้รับการยกระดับให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ มีการเชื่อมต่อขนาดใหญ่ และความหน่วงต่ำ
พร้อมกันนี้ ZTE จะจัดแสดงกลุ่มผลิตภัณฑ์ IoT ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งาน 3 ประเภท ได้แก่ "บุคคล ยานพาหนะ และ บ้าน" ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้มองเห็นภาพอนาคตของการใช้ชีวิตสุดอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยส่วนบุคคล, บ้านอัจฉริยะ, การเดินทางอัจฉริยะ, ระบบติดตามยานยนต์และทรัพย์สิน, ผู้ช่วยที่สั่งการด้วยเสียง, mesh routers, T-Box, โซลูชั่นการวางเครือข่ายในรถยนต์ด้วยเทคโนโลยี C-V2X (cellular vehicle-to-everything) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ ZTE ได้ประกาศเปิดตัว ZTE Axon 10 Pro 5G ในจีน เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ฟินแลนด์ และออสเตรียในช่วงครึ่งปีแรก และเริ่มวางจำหน่ายในฟินแลนด์ และ UAE แล้วในขณะนี้ สำหรับลูกค้าในจีนนั้น จะได้สัมผัสกับ ZTE Axon 10 Pro 5G ในเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมกับการออกใบอนุญาตเครือข่าย 5G ในประเทศจีน
ขณะที่บนเวทีการประชุมทางการของงาน MWC Shanghai ครั้งนี้ ZTE จะร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับวิธีการทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ในยุค 5G ผ่านนวัตกรรม 5G และบนเทอร์มินัล 5G, พลังงานใหม่, การใช้งาน 5G MEC, รูปแบบและการดำเนินธุรกิจแบบแบ่งเครือข่าย 5G, AI ที่สนับสนุนการใช้งาน 5G และกลยุทธ์การสร้างเครือข่าย 5GC
นอกจากนี้ ZTE จะจัดงาน 5G Industry Development Summit Forum ในเวลา 14.30 น. ของวันที่ 26 มิถุนายน ที่โรงแรม Kerry Hotel Pudong เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือในอุตสาหกรรม 5G กับองค์กร ผู้ประกอบการ และพันธมิตรในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมเทคโนโลยีและการใช้งาน 5G
ด้วยความมุ่งมั่นต่อการส่งเสริมการใช้เครือข่าย 5G ในเชิงพาณิชย์ ZTE จึงได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการกว่า 60 รายทั่วโลกในด้าน 5G โดย ZTE มีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กว่า 200 รายที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอัจฉริยะ, นิวมีเดีย, Internet of Vehicles และสมาร์ทกริด และด้วยศักยภาพเต็มพิกัดในการให้บริการโซลูชั่น 5G แบบ end-to-end ทาง ZTE จึงพร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อรุกส่งเสริมการใช้งานและการให้บริการ 5G เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมพลิกโฉมสู่ดิจิทัล
เกี่ยวกับ ZTE
ZTE เป็นผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคมขั้นสูง อุปกรณ์เคลื่อนที่ และโซลูชั่นเทคโนโลยีระดับองค์กร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ผู้ให้บริการเครือข่าย ภาคธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ ZTE มุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมแบบบูรณาการครบวงจรให้แก่ลูกค้าตามนโยบายของบริษัท เพื่อมอบคุณค่าและความเป็นเลิศในยุคที่เทคโนโลยีโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ZTE จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซินเจิ้น (รหัสหุ้นในตลาดฮ่องกง: 0763.HK / รหัสหุ้นในตลาดเซินเจิ้น: 000063.SZ) บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมกว่า 500 ราย ในกว่า 160 ประเทศ ในแต่ละปี ZTE จัดสรรเงินรายได้ 10% ให้กับการวิจัยและพัฒนา ทั้งยังมีบทบาทเป็นผู้นำในองค์กรกำหนดมาตรฐานระดับโลก ทั้งนี้ ZTE ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นสมาชิกของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.zte.com.cn
สื่อมวลชนติดต่อ:
Margaret Ma
ZTE Corporation
โทร: +86 755 26775189
อีเมล: ma.gaili@zte.com.cn
No comments:
Post a Comment