ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติทางการเงินชั้นนำเตรียมใช้ Google Cloud ขยายธุรกิจทั่วโลกตามกลยุทธ์ "cloud-first"
BlackLine (Nasdaq: BL) ประกาศความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อรองรับงานสำคัญๆ ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจทั่วโลก ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า BlackLine จะใช้แพลตฟอร์ม Google Cloud เพื่อเพิ่มศักยภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคลาวด์ เช่น แมชชีนเลิร์นนิ่งและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อยกระดับแพลตฟอร์มระบบอัตโนมัติทางการเงินของบริษัทด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ใหม่ล่าสุด
Pete Hirsch ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ BlackLine กล่าวว่า "ขณะที่เรากำลังขยายธุรกิจทั่วโลกและเปิดตัวฟังก์ชันใหม่ๆ เราจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นไปพร้อมกัน ดังนั้น BlackLine จะใช้พลังของระบบคลาวด์สาธารณะในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่และปรับปรุงโซลูชันที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และทันตามกำหนดส่งมอบ Google Cloud ทำให้ BlackLine มีพลังการประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัด ทั้งยังสามารถใช้เทคโนโลยีแบบโอเพนซอร์ส ปรับปรุงแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะชั้นนำของวงการ และนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในอนาคต"
กลยุทธ์ "cloud-first" ของ BlackLine เป็นกลยุทธ์แบบหลายด้าน โดยเน้น 3 ส่วนสำคัญดังนี้
- เพิ่มศักยภาพสูงสุดให้กับแพลตฟอร์มคลาวด์ของ BlackLine ในฐานะแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะแบบเรียลไทม์
- ยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ใช้ระบบคลาวด์ พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถด้านคลาวด์เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น
- ขยายธุรกิจเพื่อรองรับลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิมทั่วโลก
Rob Enslin ประธานฝ่ายปฏิบัติการลูกค้าทั่วโลกของ Google Cloud กล่าวว่า "Google Cloud ช่วยให้ BlackLine สามารถพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัลได้เร็วขึ้น ด้วยการใช้กลยุทธ์ cloud-first กับสินค้าและบริการของบริษัท รวมถึงใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิ่ง ที่สำคัญที่สุดคือ ลูกค้าของ BlackLine จะได้รับประโยชน์จากการปกป้องที่เพิ่มขึ้นและโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ซึ่งจำเป็นต่อการก้าวให้ทันโลกธุรกิจในปัจจุบัน"
BlackLine และ Google Cloud จะเดินหน้าขยายธุรกิจ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และพลิกโฉมธุรกิจสู่ระบบดิจิทัลต่อไป เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลทางการเงินที่อ่อนไหวของพวกเขายังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และเก็บไว้บน Google Cloud ความร่วมมือครั้งใหม่นี้เป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ของ BlackLine ในการตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพลิกโฉมการเงินไปสู่ระบบดิจิทัล ผ่านการพัฒนาโซลูชันที่ล้ำสมัยและการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้ให้บริการระบบคลาวด์และโซลูชันเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำตลาด
Therese Tucker ซีอีโอของ BlackLine กล่าวว่า "Google มีส่วนร่วมในคณะกรรมการที่ปรึกษาลูกค้าของเรามานานหลายปีแล้ว โดยได้แบ่งปันประสบการณ์การพลิกโฉมการเงินสู่ระบบดิจิทัลกับผู้นำรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรม และการใช้ Google Cloud จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของเราไปอีกขั้น"
กระบวนการย้ายไปสู่ Google Cloud ของ BlackLine ต้องใช้เวลาหลายปี และคาดว่าจะเริ่มในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
เกี่ยวกับ BlackLine
BlackLine, Inc. (Nasdaq: BL) เป็นผู้จัดหาโซลูชันคลาวด์ที่ช่วยพลิกโฉมการเงินและการบัญชีด้วยระบบอัตโนมัติ การรวมศูนย์ และการปรับปรุงการปิดงบการเงิน ขั้นตอนการทำบัญชีระหว่างบริษัท รวมถึงขั้นตอนการเงินและการบัญชีอื่นๆ สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลาง บริษัทได้รับการยอมรับจาก Gartner ให้เป็นผู้นำในรายงาน Magic Quadrant for Cloud Financial Close Solutions ประจำปี 2561 ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกตลาดคลาวด์ที่ช่วยยกระดับการควบคุมและระบบอัตโนมัติทางการเงิน
ด้วยจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และระบบทางการเงินอื่นๆ เช่น SAP, Oracle และ NetSuite ให้ดียิ่งขึ้น BlackLine จึงเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การมองเห็นแบบเรียลไทม์ การควบคุมและการปฏิบัติตามกฎ เพื่อรับประกันการปิดงบการเงินและการทำบัญชีอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ครบวงจรเพียงหนึ่งเดียว BlackLine ทำให้ลูกค้าสามารถพัฒนาโซลูชันและขั้นตอนที่ล้าหลังไปสู่การทำบัญชีแบบต่อเนื่อง ซึ่งมีระบบอัตโนมัติแบบเรียลไทม์และฟังก์ชันการควบคุมในการทำงานประจำวัน จึงช่วยปรับปรุงการเงินและการบัญชีให้ทันสมัยด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ ซึ่งรับประกันว่างบการเงินจะมีความถูกต้องและมีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น และการปิดงบการเงินจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัทกว่า 2,800 แห่งที่มีลูกค้าทั่วโลก ไว้วางใจให้ BlackLine ช่วยรับประกันความครบถ้วนของงบดุลและความน่าเชื่อถือของงบการเงิน ทั้งนี้ BlackLine มีสำนักงานใหญ่ในลอสแองเจลิส และมีสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในลอนดอน สิงคโปร์ และซิดนีย์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.blackline.com
ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อมวลชน
Ashley Dyer
BlackLine PR Director
อีเมล:Ashley.dyer@blackline.com
โทร. 818.223.9008
ข้อความคาดการณ์อนาคตของ BlackLine
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจมีข้อความคาดการณ์อนาคตภายใต้กฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 (Private Securities Litigation Reform Act of 1995) ในบางกรณีสามารถระบุข้อความเหล่านี้ได้จากคำศัพท์ต่างๆ เช่น "อาจ" "จะ" "น่าจะ" "อาจจะ" "คาดว่า" "วางแผน" "คาดการณ์" "เชื่อ" "ประมาณการณ์" "คาด" "ตั้งใจ" "มีโอกาส" "เดินหน้า" "ต่อไป" หรือคำที่มีความหมายเชิงลบของคำเหล่านี้ หรือคำเชิงเปรียบเทียบอื่นๆ ข้อความคาดการณ์อนาคตในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เกี่ยวข้องกับแผนการขยายธุรกิจและโอกาสต่างๆ ของบริษัท
ข้อความคาดการณ์อนาคตในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อ้างอิงจากแผนการ การประมาณการณ์ และการคาดการณ์ในปัจจุบันของ BlackLine และไม่ได้หมายความว่าแผนการ การประมาณการณ์ หรือการคาดการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง ข้อความคาดการณ์อนาคตอิงตามข้อมูลที่มีอยู่ ณ เวลาที่มีการจัดทำข้อความ และ/หรือ ความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจและสมมติฐานของฝ่ายบริหารในขณะนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน หากความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนเกิดขึ้นจริง หรือปรากฏว่าสมมติฐานไม่ถูกต้อง ผลการดำเนินงานหรือผลประกอบการที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่แสดงหรือระบุไว้ในข้อความคาดการณ์อนาคต ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวมีอยู่มากมายหลายประการ เช่น ความสามารถของบริษัทในการดำเนินกลยุทธ์ การดึงดูดลูกค้ารายใหม่ การเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ การเปิดตัวและจำหน่ายฟีเจอร์และโซลูชันใหม่ๆ รวมถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่นๆ ที่ระบุไว้ในเอกสารต่างๆ ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะๆ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่ระบุภายใต้หัวข้อ "Risk Factors" ในรายงานประจำปี Form 10-K ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมจะมีการแสดงในรายงานประจำไตรมาส Form 10-Q
ข้อความคาดการณ์อนาคตไม่ควรถือเป็นการรับประกันผลประกอบการหรือผลการดำเนินงานในอนาคต และไม่ควรยึดถือข้อความคาดการณ์อนาคตเหล่านี้มากเกินไป เราไม่มีภาระหน้าที่หรือข้อผูกมัดใดๆ ในการปรับปรุงหรือแก้ไขข้อความคาดการณ์อนาคต ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ สถานการณ์ความคืบหน้าในอนาคต หรืออื่นๆ เว้นแต่กฎหมายกำหนด
Friday, August 30, 2019
Hisense will Launch the Sonic Screen Laser TV at IFA 2019 in Berlin
Hisense, the leader of Chinese laser TV, will soon launch the sonic screen laser TV at the IFA in Berlin on September 6, 2019. This is another technological breakthrough of Hisense in the field of laser display after Trichroma(TM) Laser TV.
The Hisense sonic screen laser TV brings sound (40-18kHz) directly from the screen, and with the diaphragm of the Distributed-Mode Loudspeaker vibrating in a complex pattern over its entire surface, it guarantees consistent output level and undistorted time response in all directions. The greatest advantage of the Hisense sonic screen laser TV is the sense of synchronization combined with sound and image. The sound effects also perform better than common built-in TV speakers. The Hisense sonic screen laser TV is planned to be mass produced later this year.
Hisense started to actively lay out the laser display field in 2007, and officially launched the first ultra-short laser TV globally in 2014. In the past five years, Hisense has continuously deepened the technical innovation of laser TV and completed several technical iterations. Currently, Hisense has more than 600 international patents related to laser display. According to statistics, the sales volume of laser TVs of 80 inches or above accounted for 56% of the Chinese market from January to June 2019. Laser TVs has become the mainstream of large-screen TVs.
The Hisense sonic screen laser TV brings sound (40-18kHz) directly from the screen, and with the diaphragm of the Distributed-Mode Loudspeaker vibrating in a complex pattern over its entire surface, it guarantees consistent output level and undistorted time response in all directions. The greatest advantage of the Hisense sonic screen laser TV is the sense of synchronization combined with sound and image. The sound effects also perform better than common built-in TV speakers. The Hisense sonic screen laser TV is planned to be mass produced later this year.
Hisense started to actively lay out the laser display field in 2007, and officially launched the first ultra-short laser TV globally in 2014. In the past five years, Hisense has continuously deepened the technical innovation of laser TV and completed several technical iterations. Currently, Hisense has more than 600 international patents related to laser display. According to statistics, the sales volume of laser TVs of 80 inches or above accounted for 56% of the Chinese market from January to June 2019. Laser TVs has become the mainstream of large-screen TVs.
โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ “Oriental Suites Airport Osaka Rinku” เดือนธันวาคมนี้
- โรงแรมเชื่อมกับอาคาร Rinku Gate Tower โดยตรง และห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาทีเมื่อเดินทางด้วยรถไฟ เปิดให้จองห้องพักตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม
บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ (สำนักงานใหญ่: แขวงชิบุยะ กรุงโตเกียว, กรรมการบริหาร: ชุนโซ อาซึมะ) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ ประกาศว่า บริษัทเตรียมเปิดโรงแรมแห่งใหม่ "Oriental Suites Airport Osaka Rinku" (258 ห้อง) ในเดือนธันวาคม 2562 โดยเริ่มเปิดให้จองห้องพักตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา
โรงแรม Oriental Suites Airport Osaka Rinku ตั้งอยู่ในอาคาร Rinku Gate Tower ชั้นที่ 1, 2, 15, 16, 19-24 และ 26 ที่ตั้งของโรงแรมเอื้อต่อการเข้าถึงระบบรถไฟอย่างสะดวกสบาย (ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาที) ทั้งรถไฟ JR และรถไฟนันไค
โรงแรมเชื่อมกับสถานี Rinku-Town โดยตรง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Rinku Premium Outlets (มีร้านค้าราว 210 ร้าน ทั้งแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ) และอยู่ใกล้กับสถานที่ยอดนิยมอย่างสวนสาธารณะ Rinku Park และชายหาด Marble Beach
คอนเซปต์ของโรงแรมคือ "ผ่อนคลายในบรรยากาศการต้อนรับแบบญี่ปุ่น" ด้วยห้องพักที่มีพื้นที่กว้างขวางและตกแต่งแบบญี่ปุ่น เพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายสไตล์ญี่ปุ่น เนื่องจากโรงแรมให้ความสำคัญกับการพักผ่อนหย่อนใจเป็นหลัก
ลักษณะเด่นของโรงแรม
- โรงแรมตั้งอยู่ในทำเลทอง ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาทีเมื่อเดินทางด้วยรถไฟ โดยเชื่อมกับรถไฟ JR และรถไฟนันไคโดยตรง (สถานี Rinku-Town) นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ชายหาด แหล่งช็อปปิง แหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ
- ห้องพักราว 60% มีห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกกัน และมีพื้นที่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ภายในใช้โทนสีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมและตกแต่งแบบร่วมสมัยอย่างมีสไตล์ เพื่อสร้างบรรยากาศสงบและนุ่มนวล กลมกลืนกับการต้อนรับและความงดงามแบบฉบับญี่ปุ่น
- ห้องพักของโรงแรมตั้งอยู่บนชั้น 15, 16, 19-24 และ 26 แขกผู้เข้าพักจึงสามารถชมวิวจากมุมสูงอย่างเต็มตาทั้งกลางวันและกลางคืน
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
1. ล็อบบี้โรงแรม
ล็อบบี้ของโรงแรมตกแต่งด้วยฉากไม้สไตล์คุนิโกะ สร้างบรรยากาศสงบและนุ่มนวล กลมกลืนกับการต้อนรับและความงดงามแบบฉบับญี่ปุ่น
2. ห้องพักแสนสบาย
โรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 258 ห้อง โดย 200 ห้องจากทั้งหมดมีพื้นที่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ให้ความรู้สึกโล่งสบาย และใน 200 ห้องนี้ มีอยู่ 158 ห้องที่มีห้องนอนกับห้องนั่งเล่นแยกกัน ให้บรรยากาศ "เหมือนอยู่บ้าน" พร้อมเตียงขนาดกว้างกว่า 1,200 มิลลิเมตร
ห้องพักของโรงแรมมีการตกแต่งภายใน 2 แบบ ได้แก่ "Chic" และ "Stylish" โดยใช้โทนสีอบอุ่นและสะท้อนความกลมกลืนแบบญี่ปุ่น
3. ห้อง Oriental Suites (ขนาด 75 ตารางเมตร) จำนวน 7 ห้อง
จากห้องพักทั้งหมด 258 ห้อง มีอยู่ 7 ห้องที่เหมาะสำหรับการพักระยะยาวและปานกลาง โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกและการจัดห้องคล้ายกับอพาร์ตเมนต์พร้อมอยู่ มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร และห้องนอน
4. จุดเด่นหลัก: วิวอ่าวโอซาก้า
ห้องพักโรงแรมทั้งหมดอยู่บนตึกสูง จึงมีวิวที่งดงามทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับห้องพักทางฝั่งใต้ แขกผู้เข้าพักสามารถชมวิวยามค่ำคืนของสถานที่ท่องเที่ยวที่ประดับด้วยแสงไฟ อย่างชิงช้าสวรรค์ "Rinku no Hoshi" ส่วนห้องพักฝั่งตะวันตก แขกผู้เข้าพักจะมองเห็นท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ทำให้ได้ชมเครื่องบินขึ้นและลงจอดตลอดทั้งวัน
5. อาหารเช้า: เมนูต้นตำรับแบบฉบับ "อาหารเช้ากับซุป"
อาหารเช้าของโรงแรมประกอบด้วยเมนูซุปสามชนิดซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยมีทั้งสไตล์ญี่ปุ่น ตะวันตก และเอเชีย ตัวอย่างเช่น แขกผู้เข้าพักสามารถรับประทานรีซอตโตกับเครื่องเคียงต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารเช้าง่ายๆ และทำให้อุ่นท้อง
6. Express Cafe (ชั้น 2)
Express Cafe มีกาแฟให้เลือกหลากหลาย พร้อมเมนูของว่างและเครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้า กลางวัน และเย็น นอกจากนั้นยังมีมุมที่แขกผู้เข้าพักสามารถรับกาแฟและชาไปดื่มได้ฟรี
7. ถ่ายทอดความงดงามสไตล์ญี่ปุ่นผ่านผลงานศิลปะ การต้อนรับ และสุนทรียภาพแบบญี่ปุ่น
ล็อบบี้ชั้น 1 และโถงลิฟต์ชั้น 1 และ 2 ประดับด้วยผลงานศิลปะของโยชิโอะ โอคาดะ ศิลปินภาพพิมพ์บล็อกไม้สไตล์อุคิโยเอะร่วมสมัย และจิตรกรที่มีสไตล์เป็นของตัวเองผู้สร้างผลงานมากมายในญี่ปุ่น โดยมีผลงานศิลปะสามชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อโรงแรมแห่งนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ "Kabuki Picture" "Genji Monogatari" และ "Kaguyahime" ทางโรงแรมหวังให้แขกผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับ "สุนทรียภาพแห่งความงาม" ตามแบบฉบับญี่ปุน (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ชิโนบุ โนะ บิงะคุ) เพื่อส่งเสริมจินตนาการ สร้างความจรรโลงใจ ทำให้หวนนึกถึงความหลังและความทรงจำดีๆ และให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของภาพวาดญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณ
เกี่ยวกับ โยชิโอะ โอคาดะ
โยชิโอะ โอคาดะ เกิดที่จังหวัดเฮียวโงะ เขาเป็นผู้ชนะรางวัล Kodansha Publishing Culture Awards ครั้งที่ 4 ผลงานเด่นของเขาประกอบด้วย Ezoushi-Genji-Monogatari, Genji-Tamayura, Ezoushi-Mikatuki-Monogatari และ OKADA-Onna-Ezoushi
ข้อมูลโรงแรม Oriental Suites Airport Osaka Rinku
ที่อยู่: 1 Rinkuoraikita, Izumisano City, Osaka Prefecture 598-8511
เว็บไซต์: www.oriental-s-airport.com/en/
วันเปิดบริการ: ธันวาคม 2562
ขนาด: ตั้งอยู่ในอาคาร Rinku Gate Tower Building ประกอบด้วยล็อบบี้ (ชั้น 1) คาเฟ่และบาร์ (ชั้น 2) ห้องพัก (ชั้น 15, 16, 19-24 และ 26)
จำนวนห้องพัก: 258 ห้อง (ห้องเตียงเดี่ยวสำหรับสองคน 58 ห้อง, ห้องเตียงคู่ 193 ห้อง, ห้องสวีท 7 ห้อง)
สิ่งอำนวยความสะดวก: Express Cafe (อาหารเช้า 6.30-10.00 น. คาเฟ่ 10.00-17.00 น. บาร์ 17.00-22.00 น.)
การเดินทาง: เชื่อมกับรถไฟ JR และรถไฟนันไคโดยตรงที่สถานี Rinku-Town และห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาทีเมื่อเดินทางด้วยรถไฟ
ผู้ดำเนินการ: บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
โรงแรม Oriental Suites Airport Osaka Rinku ดำเนินการโดยบริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ HMJ International (สำนักงานใหญ่: แขวงชิบุยะ กรุงโตเกียว, กรรมการบริหาร: อัลลัน ทาคาฮาชิ) และบริหารโดยบริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ
ข้อมูลบริษัท: บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด
บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ เป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ โดยบริหารโรงแรม 19 แห่ง ที่มีห้องพักรวม 5,785 ห้องในญี่ปุ่น บริษัทบริหารโรงแรมพันธมิตรของ Tokyo Disney Resort(R) รวมถึงแบรนด์โรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น "Oriental" "Hilton" "Marriott" และ "Holiday Inn" ทั่วญี่ปุ่น
*จำนวนโรงแรมที่บริหาร: 19 แห่ง (จำนวนห้องพักรวม 5,785 ห้อง จำนวนพนักงานรวม 2,400 คน)
http://www.hmjkk.co.jp/
บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ (สำนักงานใหญ่: แขวงชิบุยะ กรุงโตเกียว, กรรมการบริหาร: ชุนโซ อาซึมะ) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ ประกาศว่า บริษัทเตรียมเปิดโรงแรมแห่งใหม่ "Oriental Suites Airport Osaka Rinku" (258 ห้อง) ในเดือนธันวาคม 2562 โดยเริ่มเปิดให้จองห้องพักตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา
วิวอาคาร Rinku Gate Tower โดยโรงแรมมีห้องพักรวมเก้าชั้น ได้แก่ ชั้น 15, 16, 19-24 และ 26 |
โรงแรมเชื่อมกับสถานี Rinku-Town โดยตรง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Rinku Premium Outlets (มีร้านค้าราว 210 ร้าน ทั้งแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ) และอยู่ใกล้กับสถานที่ยอดนิยมอย่างสวนสาธารณะ Rinku Park และชายหาด Marble Beach
คอนเซปต์ของโรงแรมคือ "ผ่อนคลายในบรรยากาศการต้อนรับแบบญี่ปุ่น" ด้วยห้องพักที่มีพื้นที่กว้างขวางและตกแต่งแบบญี่ปุ่น เพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายสไตล์ญี่ปุ่น เนื่องจากโรงแรมให้ความสำคัญกับการพักผ่อนหย่อนใจเป็นหลัก
ลักษณะเด่นของโรงแรม
- โรงแรมตั้งอยู่ในทำเลทอง ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาทีเมื่อเดินทางด้วยรถไฟ โดยเชื่อมกับรถไฟ JR และรถไฟนันไคโดยตรง (สถานี Rinku-Town) นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ชายหาด แหล่งช็อปปิง แหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ
- ห้องพักราว 60% มีห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกกัน และมีพื้นที่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ภายในใช้โทนสีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมและตกแต่งแบบร่วมสมัยอย่างมีสไตล์ เพื่อสร้างบรรยากาศสงบและนุ่มนวล กลมกลืนกับการต้อนรับและความงดงามแบบฉบับญี่ปุ่น
- ห้องพักของโรงแรมตั้งอยู่บนชั้น 15, 16, 19-24 และ 26 แขกผู้เข้าพักจึงสามารถชมวิวจากมุมสูงอย่างเต็มตาทั้งกลางวันและกลางคืน
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ล็อบบี้ของโรงแรมตกแต่งด้วยฉากไม้สไตล์คุนิโกะ สร้างบรรยากาศสงบและนุ่มนวล กลมกลืนกับการต้อนรับและความงดงามแบบฉบับญี่ปุ่น
ล็อบบี้โรงแรม และห้องพัก Superior Twin Bay (ขนาด 31.8 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อน) |
2. ห้องพักแสนสบาย
โรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 258 ห้อง โดย 200 ห้องจากทั้งหมดมีพื้นที่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ให้ความรู้สึกโล่งสบาย และใน 200 ห้องนี้ มีอยู่ 158 ห้องที่มีห้องนอนกับห้องนั่งเล่นแยกกัน ให้บรรยากาศ "เหมือนอยู่บ้าน" พร้อมเตียงขนาดกว้างกว่า 1,200 มิลลิเมตร
ห้องพักของโรงแรมมีการตกแต่งภายใน 2 แบบ ได้แก่ "Chic" และ "Stylish" โดยใช้โทนสีอบอุ่นและสะท้อนความกลมกลืนแบบญี่ปุ่น
3. ห้อง Oriental Suites (ขนาด 75 ตารางเมตร) จำนวน 7 ห้อง
จากห้องพักทั้งหมด 258 ห้อง มีอยู่ 7 ห้องที่เหมาะสำหรับการพักระยะยาวและปานกลาง โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกและการจัดห้องคล้ายกับอพาร์ตเมนต์พร้อมอยู่ มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร และห้องนอน
ห้องพัก Oriental Suite (ห้องนอนและห้องนั่งเล่น) |
ห้องพักโรงแรมทั้งหมดอยู่บนตึกสูง จึงมีวิวที่งดงามทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับห้องพักทางฝั่งใต้ แขกผู้เข้าพักสามารถชมวิวยามค่ำคืนของสถานที่ท่องเที่ยวที่ประดับด้วยแสงไฟ อย่างชิงช้าสวรรค์ "Rinku no Hoshi" ส่วนห้องพักฝั่งตะวันตก แขกผู้เข้าพักจะมองเห็นท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ทำให้ได้ชมเครื่องบินขึ้นและลงจอดตลอดทั้งวัน
5. อาหารเช้า: เมนูต้นตำรับแบบฉบับ "อาหารเช้ากับซุป"
อาหารเช้าของโรงแรมประกอบด้วยเมนูซุปสามชนิดซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยมีทั้งสไตล์ญี่ปุ่น ตะวันตก และเอเชีย ตัวอย่างเช่น แขกผู้เข้าพักสามารถรับประทานรีซอตโตกับเครื่องเคียงต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารเช้าง่ายๆ และทำให้อุ่นท้อง
Express Cafe และอาหารเช้าซุปสามชนิด / ภาพคาบูกิ |
6. Express Cafe (ชั้น 2)
Express Cafe มีกาแฟให้เลือกหลากหลาย พร้อมเมนูของว่างและเครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้า กลางวัน และเย็น นอกจากนั้นยังมีมุมที่แขกผู้เข้าพักสามารถรับกาแฟและชาไปดื่มได้ฟรี
7. ถ่ายทอดความงดงามสไตล์ญี่ปุ่นผ่านผลงานศิลปะ การต้อนรับ และสุนทรียภาพแบบญี่ปุ่น
ล็อบบี้ชั้น 1 และโถงลิฟต์ชั้น 1 และ 2 ประดับด้วยผลงานศิลปะของโยชิโอะ โอคาดะ ศิลปินภาพพิมพ์บล็อกไม้สไตล์อุคิโยเอะร่วมสมัย และจิตรกรที่มีสไตล์เป็นของตัวเองผู้สร้างผลงานมากมายในญี่ปุ่น โดยมีผลงานศิลปะสามชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อโรงแรมแห่งนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ "Kabuki Picture" "Genji Monogatari" และ "Kaguyahime" ทางโรงแรมหวังให้แขกผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับ "สุนทรียภาพแห่งความงาม" ตามแบบฉบับญี่ปุน (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ชิโนบุ โนะ บิงะคุ) เพื่อส่งเสริมจินตนาการ สร้างความจรรโลงใจ ทำให้หวนนึกถึงความหลังและความทรงจำดีๆ และให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของภาพวาดญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณ
เกี่ยวกับ โยชิโอะ โอคาดะ
โยชิโอะ โอคาดะ เกิดที่จังหวัดเฮียวโงะ เขาเป็นผู้ชนะรางวัล Kodansha Publishing Culture Awards ครั้งที่ 4 ผลงานเด่นของเขาประกอบด้วย Ezoushi-Genji-Monogatari, Genji-Tamayura, Ezoushi-Mikatuki-Monogatari และ OKADA-Onna-Ezoushi
ข้อมูลโรงแรม Oriental Suites Airport Osaka Rinku
ที่อยู่: 1 Rinkuoraikita, Izumisano City, Osaka Prefecture 598-8511
เว็บไซต์: www.oriental-s-airport.com/en/
วันเปิดบริการ: ธันวาคม 2562
ขนาด: ตั้งอยู่ในอาคาร Rinku Gate Tower Building ประกอบด้วยล็อบบี้ (ชั้น 1) คาเฟ่และบาร์ (ชั้น 2) ห้องพัก (ชั้น 15, 16, 19-24 และ 26)
จำนวนห้องพัก: 258 ห้อง (ห้องเตียงเดี่ยวสำหรับสองคน 58 ห้อง, ห้องเตียงคู่ 193 ห้อง, ห้องสวีท 7 ห้อง)
สิ่งอำนวยความสะดวก: Express Cafe (อาหารเช้า 6.30-10.00 น. คาเฟ่ 10.00-17.00 น. บาร์ 17.00-22.00 น.)
การเดินทาง: เชื่อมกับรถไฟ JR และรถไฟนันไคโดยตรงที่สถานี Rinku-Town และห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพียง 5 นาทีเมื่อเดินทางด้วยรถไฟ
ผู้ดำเนินการ: บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
โรงแรม Oriental Suites Airport Osaka Rinku ดำเนินการโดยบริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ HMJ International (สำนักงานใหญ่: แขวงชิบุยะ กรุงโตเกียว, กรรมการบริหาร: อัลลัน ทาคาฮาชิ) และบริหารโดยบริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ
ข้อมูลบริษัท: บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด
บริษัท โฮเทล แมเนจเมนท์ เจแปน จำกัด หรือ HMJ เป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ โดยบริหารโรงแรม 19 แห่ง ที่มีห้องพักรวม 5,785 ห้องในญี่ปุ่น บริษัทบริหารโรงแรมพันธมิตรของ Tokyo Disney Resort(R) รวมถึงแบรนด์โรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น "Oriental" "Hilton" "Marriott" และ "Holiday Inn" ทั่วญี่ปุ่น
*จำนวนโรงแรมที่บริหาร: 19 แห่ง (จำนวนห้องพักรวม 5,785 ห้อง จำนวนพนักงานรวม 2,400 คน)
http://www.hmjkk.co.jp/
Zoomlion เตรียมจัดแสดงอุปกรณ์ก่อสร้างอัจฉริยะรุ่นเด่น ที่งาน BICES 2019
บริษัท Zoomlion Heavy Industry Science & Technology Co., Ltd. (Zoomlion) เตรียมเข้าร่วมงาน 15th China Beijing International Construction Machinery, Building Material Machines and Mining Machines Exhibition & Seminar (BICES 2019) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยบริษัทเตรียมยกขบวนผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่เป็นไฮไลท์จำนวน 32 รายการจากกลุ่มสินค้า 6 ประเภทมาร่วมจัดแสดงภายในงาน พร้อมโชว์จุดแข็งและความสำเร็จด้านนวัตกรรมของแบรนด์
สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Zoomlion ที่จะนำมาจัดแสดงภายในงาน BICES 2019 ประกอบด้วยอุปกรณ์เคลื่อนย้ายดินรุ่นใหม่ รถกระเช้าระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม เครื่องจักรกลสำหรับงานคอนกรีตที่ได้มาตรฐานการปล่อยมลพิษ (sixth stage national emissions standards) ของจีน ตลอดจนผลิตภัณฑ์เครื่องชักรอก
"BICES 2019 จะเป็นเวทีให้ Zoomlion ได้โชว์นวัตกรรมเทคโนโลยีในภาคการผลิตอัจฉริยะ หรือ 'Intelligent Manufacturing' (IM) ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม เรามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงแก่ลูกค้า" คุณกัวะ ซือหง รองประธานบริษัท Zoomlion กล่าว
Zoomlion จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเครื่องมือเคลื่อนย้ายดินเป็นพิเศษที่งานแสดงสินค้าครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนาของบริษัท โดยทางแบรนด์จะเผยโฉมรถขุดดินรุ่นใหม่ในตระกูล E-10 series ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันวิจัยของ Zoomlion และศูนย์ R&D ของบริษัทในอเมริกาเหนือ ซึ่งนำเสนอความได้เปรียบในด้านโครงสร้าง ประสิทธิภาพ และระบบอัจฉริยะ อีกทั้งยังใช้พลังงานต่ำ อัตราความผิดพลาดต่ำ และประหยัดต้นทุนการบำรุงรักษา
เพื่อตอบรับแนวโน้มของตลาดในขณะที่จีนได้เริ่มใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษ sixth stage emission standards ทาง Zoomlion จึงเป็นผู้นำในการเปิดตัวเครื่องจักรกลสำหรับงานคอนกรีตรุ่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถปั๊มคอนกรีต รถผสมคอนกรีต รถปั๊มบูม และรถเครน
นอกจากนี้ Zoomlion จะจัดแสดงรถกระเช้า 10 รุ่น ซึ่งรวมถึงรถกระเช้าขากรรไกร บูมลิฟท์แขนหักศอก และบูมลิฟท์แขนตรง โดยรถกระเช้าขากรรไกร 5 รุ่นได้รับการออกแบบให้ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมซึ่ง Zoomlion พัฒนาขึ้นเองและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่รถยกทุกรุ่นใช้ระบบควบคุมทางไกลอัจฉริยะและระบบบริหารงานเช่าซึ่งสร้างสรรค์โดย Zoomlion ZValley
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวที่งาน BICES ได้แก่ บูมลิฟท์หักศอกรุ่น ZA14JE ที่มาพร้อมแขนไฟฟ้าสูง 14 เมตรโค้งงอได้ ทั้งยังรับน้ำหนักได้อย่างเหนือชั้น ตลอดจนฟีเจอร์อัจฉริยะชั้นนำของอุตสาหกรรม
ภายในงาน Zoomlion ยังเตรียมจัดแสดงแท่นเจาะแบบหมุนรุ่น ZR160C-3 ที่ทั้งทรงพลัง แข็งแกร่ง และไว้ใจได้ ตลอดจนยานพาหนะสำหรับงานอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรอีก 5 รุ่นด้วยกัน
Zoomlion จะจัดแสดงอยู่ที่บูธ S101
เกี่ยวกับ Zoomlion
บริษัท Zoomlion Heavy Industry Science & Technology จำกัด (000157.SZ) ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 ในฐานะบริษัทผลิตอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ที่ผสมผสานระหว่างเครื่องจักรกลทางวิศวกรรม เครื่องจักรกลทางการเกษตร และบริการทางการเงิน ปัจจุบัน บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยเกือบ 460 รายการ จาก 55 ไลน์ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุม 10 หมวดหลัก
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.zoomlion.com/
สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Zoomlion ที่จะนำมาจัดแสดงภายในงาน BICES 2019 ประกอบด้วยอุปกรณ์เคลื่อนย้ายดินรุ่นใหม่ รถกระเช้าระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม เครื่องจักรกลสำหรับงานคอนกรีตที่ได้มาตรฐานการปล่อยมลพิษ (sixth stage national emissions standards) ของจีน ตลอดจนผลิตภัณฑ์เครื่องชักรอก
Zoomlion เตรียมจัดแสดงอุปกรณ์ก่อสร้างอัจฉริยะรุ่นเด่น ที่งาน BICES 2019 |
"BICES 2019 จะเป็นเวทีให้ Zoomlion ได้โชว์นวัตกรรมเทคโนโลยีในภาคการผลิตอัจฉริยะ หรือ 'Intelligent Manufacturing' (IM) ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม เรามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงแก่ลูกค้า" คุณกัวะ ซือหง รองประธานบริษัท Zoomlion กล่าว
Zoomlion จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเครื่องมือเคลื่อนย้ายดินเป็นพิเศษที่งานแสดงสินค้าครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนาของบริษัท โดยทางแบรนด์จะเผยโฉมรถขุดดินรุ่นใหม่ในตระกูล E-10 series ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันวิจัยของ Zoomlion และศูนย์ R&D ของบริษัทในอเมริกาเหนือ ซึ่งนำเสนอความได้เปรียบในด้านโครงสร้าง ประสิทธิภาพ และระบบอัจฉริยะ อีกทั้งยังใช้พลังงานต่ำ อัตราความผิดพลาดต่ำ และประหยัดต้นทุนการบำรุงรักษา
เพื่อตอบรับแนวโน้มของตลาดในขณะที่จีนได้เริ่มใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษ sixth stage emission standards ทาง Zoomlion จึงเป็นผู้นำในการเปิดตัวเครื่องจักรกลสำหรับงานคอนกรีตรุ่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถปั๊มคอนกรีต รถผสมคอนกรีต รถปั๊มบูม และรถเครน
นอกจากนี้ Zoomlion จะจัดแสดงรถกระเช้า 10 รุ่น ซึ่งรวมถึงรถกระเช้าขากรรไกร บูมลิฟท์แขนหักศอก และบูมลิฟท์แขนตรง โดยรถกระเช้าขากรรไกร 5 รุ่นได้รับการออกแบบให้ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมซึ่ง Zoomlion พัฒนาขึ้นเองและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่รถยกทุกรุ่นใช้ระบบควบคุมทางไกลอัจฉริยะและระบบบริหารงานเช่าซึ่งสร้างสรรค์โดย Zoomlion ZValley
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวที่งาน BICES ได้แก่ บูมลิฟท์หักศอกรุ่น ZA14JE ที่มาพร้อมแขนไฟฟ้าสูง 14 เมตรโค้งงอได้ ทั้งยังรับน้ำหนักได้อย่างเหนือชั้น ตลอดจนฟีเจอร์อัจฉริยะชั้นนำของอุตสาหกรรม
ภายในงาน Zoomlion ยังเตรียมจัดแสดงแท่นเจาะแบบหมุนรุ่น ZR160C-3 ที่ทั้งทรงพลัง แข็งแกร่ง และไว้ใจได้ ตลอดจนยานพาหนะสำหรับงานอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรอีก 5 รุ่นด้วยกัน
Zoomlion จะจัดแสดงอยู่ที่บูธ S101
เกี่ยวกับ Zoomlion
บริษัท Zoomlion Heavy Industry Science & Technology จำกัด (000157.SZ) ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 ในฐานะบริษัทผลิตอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ที่ผสมผสานระหว่างเครื่องจักรกลทางวิศวกรรม เครื่องจักรกลทางการเกษตร และบริการทางการเงิน ปัจจุบัน บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยเกือบ 460 รายการ จาก 55 ไลน์ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุม 10 หมวดหลัก
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.zoomlion.com/
JA Solar Supplies Mono PERC Modules to a 33.1 MW PV Plant in Ukraine
JA Solar Co., Ltd, a world-leading manufacturer of high-performance photovoltaic products, announced that it supplied all high-efficiency mono PERC modules to a 33.1MW solar plant, named Scythia-Solar-2 in Ukraine, which has been successfully grid-connected in July 2019. The plant is one of the largest PV projects with mono PERC modules in the country, and is of great importance for the development of renewable energy in Ukraine.
Since entering the Ukraine market in 2015, JA Solar has been widely recognized for its high-quality products and has established cooperative relations with local industry-leading companies including Scythia-Solar-2 project's developer UDP Renewables, part of UFuture Investment Group, a Ukrainian private equity firm and group of companies based in Kyiv. Now JA Solar has strong module shipments in the region, representing more than 30% share of local solar market over the last 4 years.
With the collaboration of JA Solar and UDP Renewables in place, Scythia-Solar-2 marks the start of the second phase of the large-scale renewable energy project, Scythia-Solar. The plant is located in the Zaporizhia region of Ukraine, where the temperature difference is significant throughout the year. All the PV modules installed in the project are based on JA Solar's high-efficiency PERC technology. JA Solar's modules have passed rigorous long-term reliability test and environmental adaptability tests, along with excellent temperature coefficient and resistance to PID attenuation. The modules provide high reliability and excellent power generation efficiency under extreme weather conditions, ensuring the stable electricity generation of the power plant. The PV plant is expected to generate 42,000,000kWh of electricity and reduce carbon dioxide emissions by 51,000 tons per year, enabling it to power 13,300 households.
Mr. Jin Baofang, Chairman and CEO of JA Solar, expressed, "The Ukraine photovoltaic market is growing rapidly. To provide customers with highly reliable modules and excellent professional services, JA Solar will continue to upgrade its technology and enhance its service infrastructure to further strengthening and expanding its presence in the eastern European market."
Since entering the Ukraine market in 2015, JA Solar has been widely recognized for its high-quality products and has established cooperative relations with local industry-leading companies including Scythia-Solar-2 project's developer UDP Renewables, part of UFuture Investment Group, a Ukrainian private equity firm and group of companies based in Kyiv. Now JA Solar has strong module shipments in the region, representing more than 30% share of local solar market over the last 4 years.
With the collaboration of JA Solar and UDP Renewables in place, Scythia-Solar-2 marks the start of the second phase of the large-scale renewable energy project, Scythia-Solar. The plant is located in the Zaporizhia region of Ukraine, where the temperature difference is significant throughout the year. All the PV modules installed in the project are based on JA Solar's high-efficiency PERC technology. JA Solar's modules have passed rigorous long-term reliability test and environmental adaptability tests, along with excellent temperature coefficient and resistance to PID attenuation. The modules provide high reliability and excellent power generation efficiency under extreme weather conditions, ensuring the stable electricity generation of the power plant. The PV plant is expected to generate 42,000,000kWh of electricity and reduce carbon dioxide emissions by 51,000 tons per year, enabling it to power 13,300 households.
Mr. Jin Baofang, Chairman and CEO of JA Solar, expressed, "The Ukraine photovoltaic market is growing rapidly. To provide customers with highly reliable modules and excellent professional services, JA Solar will continue to upgrade its technology and enhance its service infrastructure to further strengthening and expanding its presence in the eastern European market."
UNISOC Releases Tiger T710, A High-Performance AI-enabled Edge Computing Platform
As a leading global supplier of mobile communications chipsets and IoT chipsets, UNISOC today announced the launch of its new AI-enabled edge computing platform, Tiger T710. Designed for a comprehensive range of AI applications in industrial, commerce, medical care, home, and education, the platform is set to accelerate the transition from traditional industrial society to smart society.
Representing a new generation of UNISOC AI solutions, Tiger T710 is based on octa-core architecture that consists of four 2.0GHz ARM Cortex-A75 and four 1.8GHz ARM Cortex-A55 cores. Using next-generation chip architectures, the UNISOC Tiger T710 boasts high-performance computing, high energy efficiency and reduced development time.
UNISOC Tiger T710 is the first chipset platform that adopts the innovative heterogeneous dual-core architecture NPU, allowing it to cope with increasingly complex application scenarios and meet greater demand for computing power. According to the latest AI Benchmark chip testing list released by the Swiss Federal Institute of Technology Zurich, the UNISOC Tiger T710 tops the leaderboard with an outstanding score of 28,097.
In addition to the powerful architecture and computing power, Tiger T710 shines in energy efficiency more than or equal to 2.5TOPS/W, which is 30% higher than the industry average. The powerful Tiger T710 supports multiple AI framework formats, including TensorFlow, TensorFlow Lite, Caffe, and multiple AI data formats, including quantization (INT4, INT8, INT16) and floating point (FP16). Compatible with Android NNAPI, Tiger T710 comes with UNICOS's proprietary SDK for more efficient development and deployment of third-party AI applications.
The UNISOC Tiger T710 is expected to be available globally starting in 2020.
About UNISOC
As a core subsidiary of Tsinghua Unigroup, UNISOC is a leading fabless semiconductor company committed to R&D of core chipsets in mobile communications and IoT. Its products cover mobile chipset platforms supporting 2G/3G/4G/5G communication standards and various chipset solutions in the field of IoT, RFFE, wireless connection, security, TV etc. With estimated 4,500 staff, 14 R&D centers and 7 customer support centers around the world, UNISOC is dedicated to becoming one of the top 3 mobile chipsets suppliers in terms of global market share, the largest chipset provider for IoT and connectivity devices and the leading 5G company in China. For more information, please visit www.unisoc.com.
Representing a new generation of UNISOC AI solutions, Tiger T710 is based on octa-core architecture that consists of four 2.0GHz ARM Cortex-A75 and four 1.8GHz ARM Cortex-A55 cores. Using next-generation chip architectures, the UNISOC Tiger T710 boasts high-performance computing, high energy efficiency and reduced development time.
UNISOC Tiger T710 is the first chipset platform that adopts the innovative heterogeneous dual-core architecture NPU, allowing it to cope with increasingly complex application scenarios and meet greater demand for computing power. According to the latest AI Benchmark chip testing list released by the Swiss Federal Institute of Technology Zurich, the UNISOC Tiger T710 tops the leaderboard with an outstanding score of 28,097.
In addition to the powerful architecture and computing power, Tiger T710 shines in energy efficiency more than or equal to 2.5TOPS/W, which is 30% higher than the industry average. The powerful Tiger T710 supports multiple AI framework formats, including TensorFlow, TensorFlow Lite, Caffe, and multiple AI data formats, including quantization (INT4, INT8, INT16) and floating point (FP16). Compatible with Android NNAPI, Tiger T710 comes with UNICOS's proprietary SDK for more efficient development and deployment of third-party AI applications.
The UNISOC Tiger T710 is expected to be available globally starting in 2020.
About UNISOC
As a core subsidiary of Tsinghua Unigroup, UNISOC is a leading fabless semiconductor company committed to R&D of core chipsets in mobile communications and IoT. Its products cover mobile chipset platforms supporting 2G/3G/4G/5G communication standards and various chipset solutions in the field of IoT, RFFE, wireless connection, security, TV etc. With estimated 4,500 staff, 14 R&D centers and 7 customer support centers around the world, UNISOC is dedicated to becoming one of the top 3 mobile chipsets suppliers in terms of global market share, the largest chipset provider for IoT and connectivity devices and the leading 5G company in China. For more information, please visit www.unisoc.com.
CleverTap จับมือ Phiture พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการรักษาลูกค้า
เมาท์เทนวิว, แคลิฟอร์เนีย--30 ส.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
กรอบแนวคิด AIC (Acknowledgment, Interest, and Conversion) Framework ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าอย่างครอบคลุม เพื่อเพิ่มมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า
CleverTap แพลตฟอร์มรักษาลูกค้าครบวงจร จับมือกับ Phiture บริษัทที่ปรึกษาด้าน Mobile Growth จากเบอร์ลิน พัฒนากรอบแนวคิด AIC เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า
CleverTap และ Phiture ร่วมกันออกแบบกรอบแนวคิด AIC เพื่อช่วยให้บริษัทพัฒนาแอปสำหรับผู้บริโภคเข้าใจความตื้นลึกหนาบางของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานมากขึ้น กรอบแนวคิดนี้แบ่งกิจกรรมของผู้ใช้งานเป็นสามชั้น ได้แก่ Acknowledgment (รับรู้) Interest (สนใจ) และ Conversion (ใช้งาน) โดยมี Conversion เป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงสุดสำหรับแอป นักการตลาดแบรนด์จะได้ทราบว่ากิจกรรมใดในแอปที่มีผลต่อการเติบโตของรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การรักษาผู้ใช้งานโดยรวม
กรอบแนวคิด AIC สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่บริการเรียกรถ สื่อ ความบันเทิง การท่องเที่ยว ไปจนถึงการซื้อตั๋ว ทั้งนี้ การติดตามขนาดของ A-I-C แต่ละชั้นอย่างสม่ำเสมอ และการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละชั้นเมื่อเวลาผ่านไป จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแข็งแรงและประสิทธิภาพของแอป กรอบแนวคิดนี้เป็นมาตรวัดที่มีประโยชน์ โดยสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในอนาคต
Sunil Thomas ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CleverTap กล่าวว่า "มาตรวัดอย่างผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน (DAU) และผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAU) ทำให้เห็นภาพการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานแบบกว้างๆ และไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่กรอบแนวคิด AIC ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน และจัดแคมเปญที่มีความเกี่ยวข้องเพื่อผลักดันผู้ใช้งานไปสู่อีกขั้นของวงจรชีวิตลูกค้า การขับเคลื่อนผู้ใช้งานจากชั้น Acknowledgment ไปสู่ชั้น Interest และจากชั้น Interest ไปสู่ชั้น Conversion จะช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน การได้เห็นผู้ใช้งานถดถอยจากชั้น Conversion มาสู่ชั้น Interest จะกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงแคมเปญการตลาดและอื่นๆ"
Uday Sodhi หัวหน้าธุรกิจดิจิทัลของ Sony Pictures Networks India กล่าวว่า "การรักษาลูกค้าและทำความเข้าใจการมีส่วนร่วมในแอปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจ OTT มาตรวัดที่มีอยู่เดิมให้มุมมองการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานแบบกว้างๆ แต่กรอบแนวคิด AIC มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจ OTT สามารถพัฒนากลยุทธ์การรักษาผู้ใช้งานที่ดีกว่าเดิม และกำหนดโมเดลการสร้างรายได้ที่ทรงพลัง นอกจากนี้ การรักษาผู้ใช้งานที่มีอยู่เดิมได้ดีขึ้นจะทำให้มูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย"
Andy Carvell หุ้นส่วนจาก Phiture กล่าวว่า "กรอบแนวคิด AIC เป็นดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีการแบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 3 ชั้นตามระดับการมีส่วนร่วม จากการวิจัยของเราพบว่า การใช้โมเดลนี้สามารถบอกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การใช้แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิผลมากขึ้นและรับประกันว่าสามารถกระตุ้นการเติบโต เราจะเดินหน้าพัฒนากรอบแนวคิด AIC ต่อไป ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ที่มีการเติบโตสูง และสร้างการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อทำให้กรอบแนวคิดนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น"
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบแนวคิด AIC ได้ที่บล็อกของ CleverTap
เกี่ยวกับ CleverTap
CleverTap คือแพลตฟอร์มรักษาลูกค้าชั้นนำ ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าสูงสุดตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า แบรนด์ต่างๆ มากกว่า 8,000 แบรนด์ทั่วโลก เช่น Vodafone, Star, Sony, Discovery, Fandango LATAM, Carousell และ Gojek ต่างไว้วางใจให้ CleverTap ช่วยยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานและการรักษาผู้ใช้งาน เพื่อเพิ่มพูนรายได้ในระยะยาว CleverTap ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมลงทุนชั้นนำหลายราย ได้แก่ Sequoia India, Tiger Global Management, Accel และ Recruit Holdings ทั้งนี้ บริษัทมีสำนักงานในซานฟรานซิสโก ซีแอตเทิล ลอนดอน สิงคโปร์ และมุมไบ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ clevertap.com หรือติดตามความเคลื่อนไหวทางลิงก์อินและทวิตเตอร์
เกี่ยวกับ Phiture
Phiture เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้าน Mobile Growth จากเบอร์ลิน ซึ่งทำงานร่วมกับทีมงานที่อยู่เบื้องหลังแอปชั้นนำมากมาย บริษัทใช้ Mobile Growth Stack ของตัวเองซึ่งเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม เพื่อส่งมอบ 4 บริการหลัก ได้แก่ App Store Optimization, Apple Search Ads, User Retention Services และ Growth Consulting สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://phiture.com/
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ
Ketan Pandit
ประชาสัมพันธ์ของ CleverTap
อีเมล: ketan@clevertap.com
กรอบแนวคิด AIC (Acknowledgment, Interest, and Conversion) Framework ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าอย่างครอบคลุม เพื่อเพิ่มมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า
CleverTap แพลตฟอร์มรักษาลูกค้าครบวงจร จับมือกับ Phiture บริษัทที่ปรึกษาด้าน Mobile Growth จากเบอร์ลิน พัฒนากรอบแนวคิด AIC เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า
CleverTap และ Phiture ร่วมกันออกแบบกรอบแนวคิด AIC เพื่อช่วยให้บริษัทพัฒนาแอปสำหรับผู้บริโภคเข้าใจความตื้นลึกหนาบางของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานมากขึ้น กรอบแนวคิดนี้แบ่งกิจกรรมของผู้ใช้งานเป็นสามชั้น ได้แก่ Acknowledgment (รับรู้) Interest (สนใจ) และ Conversion (ใช้งาน) โดยมี Conversion เป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงสุดสำหรับแอป นักการตลาดแบรนด์จะได้ทราบว่ากิจกรรมใดในแอปที่มีผลต่อการเติบโตของรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การรักษาผู้ใช้งานโดยรวม
กรอบแนวคิด AIC สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่บริการเรียกรถ สื่อ ความบันเทิง การท่องเที่ยว ไปจนถึงการซื้อตั๋ว ทั้งนี้ การติดตามขนาดของ A-I-C แต่ละชั้นอย่างสม่ำเสมอ และการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละชั้นเมื่อเวลาผ่านไป จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแข็งแรงและประสิทธิภาพของแอป กรอบแนวคิดนี้เป็นมาตรวัดที่มีประโยชน์ โดยสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในอนาคต
Sunil Thomas ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CleverTap กล่าวว่า "มาตรวัดอย่างผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน (DAU) และผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAU) ทำให้เห็นภาพการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานแบบกว้างๆ และไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่กรอบแนวคิด AIC ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน และจัดแคมเปญที่มีความเกี่ยวข้องเพื่อผลักดันผู้ใช้งานไปสู่อีกขั้นของวงจรชีวิตลูกค้า การขับเคลื่อนผู้ใช้งานจากชั้น Acknowledgment ไปสู่ชั้น Interest และจากชั้น Interest ไปสู่ชั้น Conversion จะช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน การได้เห็นผู้ใช้งานถดถอยจากชั้น Conversion มาสู่ชั้น Interest จะกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงแคมเปญการตลาดและอื่นๆ"
Uday Sodhi หัวหน้าธุรกิจดิจิทัลของ Sony Pictures Networks India กล่าวว่า "การรักษาลูกค้าและทำความเข้าใจการมีส่วนร่วมในแอปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจ OTT มาตรวัดที่มีอยู่เดิมให้มุมมองการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานแบบกว้างๆ แต่กรอบแนวคิด AIC มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจ OTT สามารถพัฒนากลยุทธ์การรักษาผู้ใช้งานที่ดีกว่าเดิม และกำหนดโมเดลการสร้างรายได้ที่ทรงพลัง นอกจากนี้ การรักษาผู้ใช้งานที่มีอยู่เดิมได้ดีขึ้นจะทำให้มูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย"
Andy Carvell หุ้นส่วนจาก Phiture กล่าวว่า "กรอบแนวคิด AIC เป็นดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีการแบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 3 ชั้นตามระดับการมีส่วนร่วม จากการวิจัยของเราพบว่า การใช้โมเดลนี้สามารถบอกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การใช้แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิผลมากขึ้นและรับประกันว่าสามารถกระตุ้นการเติบโต เราจะเดินหน้าพัฒนากรอบแนวคิด AIC ต่อไป ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ที่มีการเติบโตสูง และสร้างการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อทำให้กรอบแนวคิดนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น"
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบแนวคิด AIC ได้ที่บล็อกของ CleverTap
เกี่ยวกับ CleverTap
CleverTap คือแพลตฟอร์มรักษาลูกค้าชั้นนำ ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าสูงสุดตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า แบรนด์ต่างๆ มากกว่า 8,000 แบรนด์ทั่วโลก เช่น Vodafone, Star, Sony, Discovery, Fandango LATAM, Carousell และ Gojek ต่างไว้วางใจให้ CleverTap ช่วยยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานและการรักษาผู้ใช้งาน เพื่อเพิ่มพูนรายได้ในระยะยาว CleverTap ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมลงทุนชั้นนำหลายราย ได้แก่ Sequoia India, Tiger Global Management, Accel และ Recruit Holdings ทั้งนี้ บริษัทมีสำนักงานในซานฟรานซิสโก ซีแอตเทิล ลอนดอน สิงคโปร์ และมุมไบ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ clevertap.com หรือติดตามความเคลื่อนไหวทางลิงก์อินและทวิตเตอร์
เกี่ยวกับ Phiture
Phiture เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้าน Mobile Growth จากเบอร์ลิน ซึ่งทำงานร่วมกับทีมงานที่อยู่เบื้องหลังแอปชั้นนำมากมาย บริษัทใช้ Mobile Growth Stack ของตัวเองซึ่งเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม เพื่อส่งมอบ 4 บริการหลัก ได้แก่ App Store Optimization, Apple Search Ads, User Retention Services และ Growth Consulting สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://phiture.com/
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ
Ketan Pandit
ประชาสัมพันธ์ของ CleverTap
อีเมล: ketan@clevertap.com
CleverTap and Phiture Launch Framework for Improving Customer Engagement & Retention
MOUNTAIN VIEW, California--30 Aug--PRNewswire/InfoQuest
The Acknowledgment, Interest, and Conversion (AIC) Framework provides consumer brands with extensive audience insights to increase customer lifetime value
CleverTap, the full-stack customer retention platform, announced the launch of their AIC Framework for customer engagement, co-created with Phiture, a Berlin-based mobile consultancy.
Together, CleverTap and Phiture designed the AIC framework to enable fast-growing consumer app companies to better understand the depth and intensity of user interaction. The framework categorizes user activity into one of the three types of engagement layers: Acknowledgment, Interest, and Conversion — with Conversion being the highest-value action a user can take within an app. This allows brand marketers to recognize which in-app activities contribute to revenue growth, thereby improving overall user retention strategies.
The AIC framework can be applied across a range of industries — from urban ride-hailing, media, and entertainment, to travel and ticketing. Regularly monitoring the size of each of the A-I-C layers, and analyzing how the layers fluctuate over time, provides insight into the health and performance of the app. The framework is a useful dashboard metric, highlighting potential risks that could crop up in the future.
"Metrics like daily active users (DAU) and monthly active users (MAU) provide a very high view of user engagement. These broad metrics are not actionable. The AIC framework helps consumer brands segment their users into actionable cohorts and drives more relevant activity to move these users ahead in their lifecycle. Moving users forward from the Acknowledgment layer to the Interest layer, and from the Interest layer to the Conversion layer significantly improves their lifetime value. Looking at users dropping down from Conversion to the Interest layer will lead to effective reactivation campaigns and more," says Sunil Thomas, CEO and Co-founder of CleverTap.
"Customer retention and an understanding of their in-app engagement are integral to growth in the OTT business. While the existing metrics offer a relevant but macro view of user engagement, a more focused and solution-oriented framework like AIC will enable OTT players to curate enhanced user strategies and frame powerful revenue models. Better retention of existing users will also lead to improved customer lifetime value," says Uday Sodhi, Business Head – Digital, Sony Pictures Networks India.
"The AIC framework puts a new and highly relevant spin on dashboard KPIs by incorporating the relative value of actions a user might take and stratifying active users into 3 layers of increased engagement. In our research, we've found that applying this model can significantly inform the user engagement strategy and lead to the prioritization of more impactful initiatives that are guaranteed to drive growth. We will continue to evolve the AIC framework by working with high-growth consumer brands and generate additional learnings that will make the framework even more valuable," says Andy Carvell, Partner at Phiture.
To learn more about the AIC Framework, visit the CleverTap blog.
About CleverTap
CleverTap is a customer retention platform that helps consumer brands maximize user lifetime value. Over 8,000 consumer brandsaround the world, including Vodafone, Star, Sony, Discovery, Fandango LATAM, Carousell, and Gojek trust CleverTap to help them improve user engagement and retention thereby growing long term revenue. CleverTap is backed by leading venture capital firms including Sequoia India, Tiger Global Management, Accel, and Recruit Holdings, and operates out of San Francisco, Seattle, London, Singapore, and Mumbai. For more information, visit CleverTap.com or follow them on LinkedIn and Twitter.
About Phiture
Phiture is a Berlin-based mobile growth consultancy working with the teams behind leading apps. Using the company's industry-acclaimed Mobile Growth Stack as a strategic framework, Phiture offers 4 key services: App Store Optimization, Apple Search Ads, User Retention services, and Growth Consulting. For more information please visit https://phiture.com/
Press Contact:
Ketan Pandit
PR for CleverTap
ketan@clevertap.com
The Acknowledgment, Interest, and Conversion (AIC) Framework provides consumer brands with extensive audience insights to increase customer lifetime value
CleverTap, the full-stack customer retention platform, announced the launch of their AIC Framework for customer engagement, co-created with Phiture, a Berlin-based mobile consultancy.
Together, CleverTap and Phiture designed the AIC framework to enable fast-growing consumer app companies to better understand the depth and intensity of user interaction. The framework categorizes user activity into one of the three types of engagement layers: Acknowledgment, Interest, and Conversion — with Conversion being the highest-value action a user can take within an app. This allows brand marketers to recognize which in-app activities contribute to revenue growth, thereby improving overall user retention strategies.
The AIC framework can be applied across a range of industries — from urban ride-hailing, media, and entertainment, to travel and ticketing. Regularly monitoring the size of each of the A-I-C layers, and analyzing how the layers fluctuate over time, provides insight into the health and performance of the app. The framework is a useful dashboard metric, highlighting potential risks that could crop up in the future.
"Metrics like daily active users (DAU) and monthly active users (MAU) provide a very high view of user engagement. These broad metrics are not actionable. The AIC framework helps consumer brands segment their users into actionable cohorts and drives more relevant activity to move these users ahead in their lifecycle. Moving users forward from the Acknowledgment layer to the Interest layer, and from the Interest layer to the Conversion layer significantly improves their lifetime value. Looking at users dropping down from Conversion to the Interest layer will lead to effective reactivation campaigns and more," says Sunil Thomas, CEO and Co-founder of CleverTap.
"Customer retention and an understanding of their in-app engagement are integral to growth in the OTT business. While the existing metrics offer a relevant but macro view of user engagement, a more focused and solution-oriented framework like AIC will enable OTT players to curate enhanced user strategies and frame powerful revenue models. Better retention of existing users will also lead to improved customer lifetime value," says Uday Sodhi, Business Head – Digital, Sony Pictures Networks India.
"The AIC framework puts a new and highly relevant spin on dashboard KPIs by incorporating the relative value of actions a user might take and stratifying active users into 3 layers of increased engagement. In our research, we've found that applying this model can significantly inform the user engagement strategy and lead to the prioritization of more impactful initiatives that are guaranteed to drive growth. We will continue to evolve the AIC framework by working with high-growth consumer brands and generate additional learnings that will make the framework even more valuable," says Andy Carvell, Partner at Phiture.
To learn more about the AIC Framework, visit the CleverTap blog.
About CleverTap
CleverTap is a customer retention platform that helps consumer brands maximize user lifetime value. Over 8,000 consumer brandsaround the world, including Vodafone, Star, Sony, Discovery, Fandango LATAM, Carousell, and Gojek trust CleverTap to help them improve user engagement and retention thereby growing long term revenue. CleverTap is backed by leading venture capital firms including Sequoia India, Tiger Global Management, Accel, and Recruit Holdings, and operates out of San Francisco, Seattle, London, Singapore, and Mumbai. For more information, visit CleverTap.com or follow them on LinkedIn and Twitter.
About Phiture
Phiture is a Berlin-based mobile growth consultancy working with the teams behind leading apps. Using the company's industry-acclaimed Mobile Growth Stack as a strategic framework, Phiture offers 4 key services: App Store Optimization, Apple Search Ads, User Retention services, and Growth Consulting. For more information please visit https://phiture.com/
Press Contact:
Ketan Pandit
PR for CleverTap
ketan@clevertap.com
ไฮเซ่นส์ เตรียมเปิดตัว “Sonic Screen Laser TV” ในมหกรรม IFA 2019 ที่เบอร์ลิน
ชิงเต่า, จีน--30 ส.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ไฮเซ่นส์ (Hisense) ผู้ผลิต Laser TV ชั้นนำของจีน เตรียมเปิดตัว Sonic Screen Laser TV ในมหกรรม IFA ที่กรุงเบอร์ลิน ในวันที่ 6 กันยายนนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการบุกเบิกเทคโนโลยีจอเลเซอร์ของไฮเซ่นส์ หลังจากที่มีการเปิดตัว Trichroma(TM) Laser TV ไปก่อนหน้านี้
Sonic Screen Laser TV ให้เสียง (40-18kHz) โดยตรงจากจอทีวี โดยลำโพงแบบ Distributed-Mode Loudspeaker ที่มีการสั่นแบบซับซ้อนทั่วพื้นผิว รับประกันว่าเสียงที่ออกมาจะมีระดับสม่ำเสมอและไม่บิดเบือนในทุกทิศทาง จุดเด่นที่สุดของ Sonic Screen Laser TV คือความกลมกลืนของภาพและเสียง โดยให้เสียงดีกว่าลำโพงบิลด์อินในทีวีทั่วไป ทั้งนี้ ไฮเซ่นส์วางแผนว่าจะผลิต Sonic Screen Laser TV ระดับแมสในปลายปีนี้
ไฮเซ่นส์เริ่มบุกตลาดจอเลเซอร์ในปี 2550 และเปิดตัว Ultra-short Laser TV อย่างเป็นทางการครั้งแรกทั่วโลกในปี 2557 ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ไฮเซ่นส์เดินหน้าพัฒนานวัตกรรม Laser TV และประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคนิคมากมาย ปัจจุบัน ไฮเซ่นส์ครอบครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับจอเลเซอร์มากกว่า 600 รายการทั่วโลก ทั้งนี้ ข้อมูลสถิติระบุว่า ยอดขาย Laser TV ขนาด 80 นิ้วขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของยอดขายทีวีทั้งหมดในตลาดจีนในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 และ Laser TV ได้ก้าวขึ้นเป็นสินค้าหลักในกลุ่มทีวีจอใหญ่
ไฮเซ่นส์ (Hisense) ผู้ผลิต Laser TV ชั้นนำของจีน เตรียมเปิดตัว Sonic Screen Laser TV ในมหกรรม IFA ที่กรุงเบอร์ลิน ในวันที่ 6 กันยายนนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการบุกเบิกเทคโนโลยีจอเลเซอร์ของไฮเซ่นส์ หลังจากที่มีการเปิดตัว Trichroma(TM) Laser TV ไปก่อนหน้านี้
Sonic Screen Laser TV ให้เสียง (40-18kHz) โดยตรงจากจอทีวี โดยลำโพงแบบ Distributed-Mode Loudspeaker ที่มีการสั่นแบบซับซ้อนทั่วพื้นผิว รับประกันว่าเสียงที่ออกมาจะมีระดับสม่ำเสมอและไม่บิดเบือนในทุกทิศทาง จุดเด่นที่สุดของ Sonic Screen Laser TV คือความกลมกลืนของภาพและเสียง โดยให้เสียงดีกว่าลำโพงบิลด์อินในทีวีทั่วไป ทั้งนี้ ไฮเซ่นส์วางแผนว่าจะผลิต Sonic Screen Laser TV ระดับแมสในปลายปีนี้
ไฮเซ่นส์เริ่มบุกตลาดจอเลเซอร์ในปี 2550 และเปิดตัว Ultra-short Laser TV อย่างเป็นทางการครั้งแรกทั่วโลกในปี 2557 ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ไฮเซ่นส์เดินหน้าพัฒนานวัตกรรม Laser TV และประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคนิคมากมาย ปัจจุบัน ไฮเซ่นส์ครอบครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับจอเลเซอร์มากกว่า 600 รายการทั่วโลก ทั้งนี้ ข้อมูลสถิติระบุว่า ยอดขาย Laser TV ขนาด 80 นิ้วขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของยอดขายทีวีทั้งหมดในตลาดจีนในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 และ Laser TV ได้ก้าวขึ้นเป็นสินค้าหลักในกลุ่มทีวีจอใหญ่
ไมโครชิพ เปิดตัวโซลูชัน USB-PD ใหม่ รองรับเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ป้อนตลาด USB Type-C(TM) ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง
กรุงเทพฯ--30 ส.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
เสริมทัพด้วยวงจรรวม USB 3.1 PD SmartHub(TM) พร้อมฟีเจอร์ HostFlexing และ PDBalancing คู่กับคอนโทรลเลอร์ USB Type-C PD แบบสแตนอโลน
เพื่อให้นำไปใช้งานได้สะดวกขึ้น
USB Type-C ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเข้ามาของเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ก็ทำให้ชาร์จอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ได้
มากขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่เคย และเพื่อขจัดความซับซ้อนและปัญหาต้นทุนสูงที่มักมาพร้อมกับการใช้งาน USB Type-C แล้ว บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี
จำกัด (Nasdaq: MCHP) จึงได้เปิดตัว 2 โซลูชันใหม่ ที่จะเข้ามาทำให้การออกแบบ USB Type-C PD เป็นเรื่องง่ายขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานหลากหลายรูป
แบบ
ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x เป็นอุปกรณ์ USB 3.1 SmartHub ตัวแรก ๆ ของอุตสาหกรรมที่รองรับเทคโนโลยี Power Delivery (TID1212) และได้รับ
การรับรองมาตรฐาน USB-IF ส่งผลให้ชาร์จอุปกรณ์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังรองรับฟังก์ชั่น PD อันโดดเด่นอย่าง HostFlexing และ PDBalancing ด้วย ขณะที่
UPD301A เป็นคอนโทรลเลอร์ USB Type-C PD แบบสแตนอโลน ที่จะทำให้การชาร์จ USB Type-C PD เป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยตอบโจทย์การใช้งานหลายรูปแบบ ทั้ง
การชาร์จบนเบาะหลังรถยนต์ อุปกรณ์พกพา และจุดชาร์จสาธารณะ
ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่น 2 รายการที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกในเรื่อง USB Type-C PD นั่นคือ HostFlexing และ
PDBalancing โดยฟีเจอร์ HostFlexing จะทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์เชื่อมต่อที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้พอร์ท USB Type-C ทั้งหมดทำหน้าที่เป็น
พอร์ท "โน๊ตบุ๊ก" ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องหมายที่เข้าใจยากซึ่งปกติแล้วมีขึ้นเพื่ออธิบายคุณสมบัติของพอร์ท USB Type-C แต่ละจุด ขณะที่ฟีเจอร์
PDBalancing เปิดโอกาสให้บรรดาผู้ผลิตสามารถบริหารจัดการไฟฟ้าในระบบทั้งหมดผ่านระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนให้กับผู้บริโภค
เพราะทำให้ชาร์จอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี PD ได้มากขึ้นแต่ใช้พลังงานลดลง
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาศักยภาพในการชาร์จอุปกรณ์มือถือและสตรีมข้อมูลได้เร็วขึ้น ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x จึง
ผนวกรวมคุณสมบัติรองรับ USB Type-C PD เข้ากับอัตราการส่งข้อมูลผ่าน USB 3.1 ในระดับ 5 Gbps SuperSpeed เหมาะกับแท่นชาร์จ พีซีมอนิเตอร์ และสาระ
บันเทิงภายในยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ตระกูลนี้ประกอบด้วยรุ่น USB7050, USB7051, USB7052 และ USB7056 โดยมาพร้อมกับโครงแบบ USB หลายรูปแบบ เพื่อรองรับ
ความต้องการดีไซน์ PD และ USB Type-C ที่แตกต่างกันไป เช่น รุ่น USB7050 รองรับพอร์ท USB Type-C แบบ upstream และ downstream พร้อมเทคโนโลยี PD
รวมกัน 3 พอร์ท ขณะที่รุ่น USB7056 มีพอร์ท upstream จุดเดียว ขณะที่จุดอื่นเป็นพอร์ท Type-A downstream 5 พอร์ท นอกจากนี้ ยังรองรับแอปพลิเคชัน
ช่วยขับรถซึ่งมีอยู่ในมือถือทุกรุ่น ทำให้แสดงผลส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (GUI) จากมือถือขึ้นจอภาพบนรถยนต์พร้อมกับชาร์จอุปกรณ์มือถือได้ใน
คราวเดียวกัน
ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนต่างต้องการพลังงานมากกว่ามาตรฐาน BC 1.2 ทำให้นักออกแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์จำเป็นต้องใส่การชาร์จพลังงานสูงแบบ
พื้นฐานเข้าในระบบ โดย UPD301A ให้โซลูชั่นทำงานอิสระที่ใช้งานง่ายสำหรับการชาร์จโดยใช้ USB Type-C PD ในการใช้งานต่าง ๆ อุปกรณ์ดังกล่าวรองรับ
การทำงานทั้งแบบพอร์ตเดี่ยวและพอร์ตคู่ และใช้การกำหนดค่าแบบพินที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานง่าย UPD301 จะช่วยเติมเต็มตระกูล USB ของไมโครชิพให้
ครอบคลุม และต่อยอดโซลูชั่นที่แต่เดิมชาร์จไฟได้อย่างเดียว ให้รองรับการจัดการข้อมูล วิดีโอ และพลังงานเต็มรูปแบบ
"ฟังก์ชัน USB Type-C PD ในโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์พกพา กำลังแพร่หลายอย่างรวดเร็ว นักออกแบบระบบคอมพิวติ้งและระบบสาระบันเทิง
ภายในรถยนต์ จึงต้องเพิ่มการใช้งาน USB Type-C PD เข้ากับการออกแบบได้โดยง่าย" ชาร์ลส์ ฟอร์นี รองประธานหน่วยธุรกิจ USB and Networking ของ
ไมโครชิพ กล่าว "ตั้งแต่การจัดการข้อมูลบนฮับจนถึงการจ่ายพลังงานที่ทำงานอิสระ ไมโครชิพยังคงลงทุนในการพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์กลุ่ม USB Type-C
ของบริษัท เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า"
เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา
USB705x และ UPD301 มาพร้อมกับโซลูชั่นครบครัน ประกอบไปด้วยเครื่องมือปรับแต่งฮับ MPLAB(R) Connect Configurator, บอร์ดพัฒนา
evaluation boards พร้อมลายวงจรพิมพ์ในรูปแบบ schematics และไฟล์ Gerber เพื่อย่นเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ราคาและการวางจำหน่าย
UPD301A วางจำหน่ายแล้ววันนี้ สนนราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ดอลลาร์ เมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 ชิ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x ก็วาง
จำหน่ายแล้วเช่นกัน โดยมีรูปแบบและราคาเมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 ชิ้น ดังนี้:
อุปกรณ์ รองรับ PD upstream รองรับ PD Type-C downstream รองรับ Standard Type-C downstream* รองรับ Type-A downstream ราคา
USB7050** รองรับ 2 พอร์ท ไม่มี 2 พอร์ท 5.09 ดอลลาร์
USB7051 รองรับ 1 พอร์ท 1 พอร์ท 2 พอร์ท 4.95 ดอลลาร์
USB7052 รองรับ ไม่มี 2 พอร์ท 2 พอร์ท 4.82 ดอลลาร์
USB7056 รองรับ ไม่มี 1 พอร์ท 5 พอร์ท 5.35 ดอลลาร์
*Standard Type-C มีกำลังไฟ 15W เท่านั้น (ไม่มี PD)
**ได้มาตรฐานยานยนต์ (AEC-Q100)
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อพนักงานขายหรือตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับแต่งตั้งจากไมโครชิพ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ
และสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ได้ที่เว็บไซต์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของไมโครชิพ หรือติดต่อพันธมิตรจัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต
แหล่งข้อมูลและภาพ
ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):
ภาพการใช้งาน: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596552/sizes/l
แผนภาพบล็อก: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596807/sizes/l
เกี่ยวกับไมโครชิพ เทคโนโลยี
บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้นำด้านการจัดหาเซมิคอนดักเตอร์สำหรับโซลูชั่นควบคุมแบบฝังที่เป็นอัจฉริยะ เชื่อมต่อ และปลอดภัย
เครื่องมือพัฒนาที่ใช้งานง่าย ตลอดจนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์งานออกแบบได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง ลด
ต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โซลูชั่นของบริษัทให้บริการลูกค้ามากกว่า 125,000 รายในตลาดอุตสาหกรรม
ยานยนต์ ผู้บริโภค อวกาศและการป้องกันประเทศ การสื่อสารและการประมวลผล สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำ
เสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่
www.microchip.com
หมายเหตุ : ชื่อและโลโก้ The Microchip โลโก้ Microchip และ MPLAB เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในที่นี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ
เสริมทัพด้วยวงจรรวม USB 3.1 PD SmartHub(TM) พร้อมฟีเจอร์ HostFlexing และ PDBalancing คู่กับคอนโทรลเลอร์ USB Type-C PD แบบสแตนอโลน
เพื่อให้นำไปใช้งานได้สะดวกขึ้น
USB Type-C ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเข้ามาของเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ก็ทำให้ชาร์จอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ได้
มากขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่เคย และเพื่อขจัดความซับซ้อนและปัญหาต้นทุนสูงที่มักมาพร้อมกับการใช้งาน USB Type-C แล้ว บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี
จำกัด (Nasdaq: MCHP) จึงได้เปิดตัว 2 โซลูชันใหม่ ที่จะเข้ามาทำให้การออกแบบ USB Type-C PD เป็นเรื่องง่ายขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานหลากหลายรูป
แบบ
ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x เป็นอุปกรณ์ USB 3.1 SmartHub ตัวแรก ๆ ของอุตสาหกรรมที่รองรับเทคโนโลยี Power Delivery (TID1212) และได้รับ
การรับรองมาตรฐาน USB-IF ส่งผลให้ชาร์จอุปกรณ์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังรองรับฟังก์ชั่น PD อันโดดเด่นอย่าง HostFlexing และ PDBalancing ด้วย ขณะที่
UPD301A เป็นคอนโทรลเลอร์ USB Type-C PD แบบสแตนอโลน ที่จะทำให้การชาร์จ USB Type-C PD เป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยตอบโจทย์การใช้งานหลายรูปแบบ ทั้ง
การชาร์จบนเบาะหลังรถยนต์ อุปกรณ์พกพา และจุดชาร์จสาธารณะ
ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่น 2 รายการที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกในเรื่อง USB Type-C PD นั่นคือ HostFlexing และ
PDBalancing โดยฟีเจอร์ HostFlexing จะทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์เชื่อมต่อที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้พอร์ท USB Type-C ทั้งหมดทำหน้าที่เป็น
พอร์ท "โน๊ตบุ๊ก" ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องหมายที่เข้าใจยากซึ่งปกติแล้วมีขึ้นเพื่ออธิบายคุณสมบัติของพอร์ท USB Type-C แต่ละจุด ขณะที่ฟีเจอร์
PDBalancing เปิดโอกาสให้บรรดาผู้ผลิตสามารถบริหารจัดการไฟฟ้าในระบบทั้งหมดผ่านระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนให้กับผู้บริโภค
เพราะทำให้ชาร์จอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี PD ได้มากขึ้นแต่ใช้พลังงานลดลง
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาศักยภาพในการชาร์จอุปกรณ์มือถือและสตรีมข้อมูลได้เร็วขึ้น ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x จึง
ผนวกรวมคุณสมบัติรองรับ USB Type-C PD เข้ากับอัตราการส่งข้อมูลผ่าน USB 3.1 ในระดับ 5 Gbps SuperSpeed เหมาะกับแท่นชาร์จ พีซีมอนิเตอร์ และสาระ
บันเทิงภายในยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ตระกูลนี้ประกอบด้วยรุ่น USB7050, USB7051, USB7052 และ USB7056 โดยมาพร้อมกับโครงแบบ USB หลายรูปแบบ เพื่อรองรับ
ความต้องการดีไซน์ PD และ USB Type-C ที่แตกต่างกันไป เช่น รุ่น USB7050 รองรับพอร์ท USB Type-C แบบ upstream และ downstream พร้อมเทคโนโลยี PD
รวมกัน 3 พอร์ท ขณะที่รุ่น USB7056 มีพอร์ท upstream จุดเดียว ขณะที่จุดอื่นเป็นพอร์ท Type-A downstream 5 พอร์ท นอกจากนี้ ยังรองรับแอปพลิเคชัน
ช่วยขับรถซึ่งมีอยู่ในมือถือทุกรุ่น ทำให้แสดงผลส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (GUI) จากมือถือขึ้นจอภาพบนรถยนต์พร้อมกับชาร์จอุปกรณ์มือถือได้ใน
คราวเดียวกัน
ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนต่างต้องการพลังงานมากกว่ามาตรฐาน BC 1.2 ทำให้นักออกแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์จำเป็นต้องใส่การชาร์จพลังงานสูงแบบ
พื้นฐานเข้าในระบบ โดย UPD301A ให้โซลูชั่นทำงานอิสระที่ใช้งานง่ายสำหรับการชาร์จโดยใช้ USB Type-C PD ในการใช้งานต่าง ๆ อุปกรณ์ดังกล่าวรองรับ
การทำงานทั้งแบบพอร์ตเดี่ยวและพอร์ตคู่ และใช้การกำหนดค่าแบบพินที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานง่าย UPD301 จะช่วยเติมเต็มตระกูล USB ของไมโครชิพให้
ครอบคลุม และต่อยอดโซลูชั่นที่แต่เดิมชาร์จไฟได้อย่างเดียว ให้รองรับการจัดการข้อมูล วิดีโอ และพลังงานเต็มรูปแบบ
"ฟังก์ชัน USB Type-C PD ในโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์พกพา กำลังแพร่หลายอย่างรวดเร็ว นักออกแบบระบบคอมพิวติ้งและระบบสาระบันเทิง
ภายในรถยนต์ จึงต้องเพิ่มการใช้งาน USB Type-C PD เข้ากับการออกแบบได้โดยง่าย" ชาร์ลส์ ฟอร์นี รองประธานหน่วยธุรกิจ USB and Networking ของ
ไมโครชิพ กล่าว "ตั้งแต่การจัดการข้อมูลบนฮับจนถึงการจ่ายพลังงานที่ทำงานอิสระ ไมโครชิพยังคงลงทุนในการพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์กลุ่ม USB Type-C
ของบริษัท เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า"
เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา
USB705x และ UPD301 มาพร้อมกับโซลูชั่นครบครัน ประกอบไปด้วยเครื่องมือปรับแต่งฮับ MPLAB(R) Connect Configurator, บอร์ดพัฒนา
evaluation boards พร้อมลายวงจรพิมพ์ในรูปแบบ schematics และไฟล์ Gerber เพื่อย่นเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ราคาและการวางจำหน่าย
UPD301A วางจำหน่ายแล้ววันนี้ สนนราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ดอลลาร์ เมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 ชิ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x ก็วาง
จำหน่ายแล้วเช่นกัน โดยมีรูปแบบและราคาเมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 ชิ้น ดังนี้:
อุปกรณ์ รองรับ PD upstream รองรับ PD Type-C downstream รองรับ Standard Type-C downstream* รองรับ Type-A downstream ราคา
USB7050** รองรับ 2 พอร์ท ไม่มี 2 พอร์ท 5.09 ดอลลาร์
USB7051 รองรับ 1 พอร์ท 1 พอร์ท 2 พอร์ท 4.95 ดอลลาร์
USB7052 รองรับ ไม่มี 2 พอร์ท 2 พอร์ท 4.82 ดอลลาร์
USB7056 รองรับ ไม่มี 1 พอร์ท 5 พอร์ท 5.35 ดอลลาร์
*Standard Type-C มีกำลังไฟ 15W เท่านั้น (ไม่มี PD)
**ได้มาตรฐานยานยนต์ (AEC-Q100)
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อพนักงานขายหรือตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับแต่งตั้งจากไมโครชิพ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพ
และสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ได้ที่เว็บไซต์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของไมโครชิพ หรือติดต่อพันธมิตรจัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต
แหล่งข้อมูลและภาพ
ดูรูปภาพความละเอียดสูงได้ที่ Flickr หรือติดต่อกองบรรณาธิการ (สามารถนำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก):
ภาพการใช้งาน: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596552/sizes/l
แผนภาพบล็อก: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596807/sizes/l
เกี่ยวกับไมโครชิพ เทคโนโลยี
บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้นำด้านการจัดหาเซมิคอนดักเตอร์สำหรับโซลูชั่นควบคุมแบบฝังที่เป็นอัจฉริยะ เชื่อมต่อ และปลอดภัย
เครื่องมือพัฒนาที่ใช้งานง่าย ตลอดจนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์งานออกแบบได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง ลด
ต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบ และยังช่วยลดระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โซลูชั่นของบริษัทให้บริการลูกค้ามากกว่า 125,000 รายในตลาดอุตสาหกรรม
ยานยนต์ ผู้บริโภค อวกาศและการป้องกันประเทศ การสื่อสารและการประมวลผล สำนักงานใหญ่ของไมโครชิพตั้งอยู่ที่เมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา บริษัทนำ
เสนอการสนับสนุนด้านเทคนิคที่เป็นเลิศ พร้อมกับการขนส่งและคุณภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของไมโครชิพที่
www.microchip.com
หมายเหตุ : ชื่อและโลโก้ The Microchip โลโก้ Microchip และ MPLAB เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี จำกัด
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดที่ระบุถึงในที่นี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของ
ผลิตภัณฑ์ตระกูล USB705x และ UPD301A จากไมโครชิพ |
Simplify Power Delivery (PD) in Growing USB Type-C(TM) Charging Market with Two USB-PD Solutions from Microchip
BANGKOK--30 Aug--PRNewswire/InfoQuest
Expanding portfolio adds certified USB 3.1 PD SmartHub(TM) IC with HostFlexing and PDBalancing plus standalone USB Type-C PD
controller for simpler applications
USB Type-C has become increasingly popular, and with the introduction of Power Delivery (PD), it is now possible to charge more
types of devices - and charge faster - than ever before. To remove the traditional complexity and high costs associated with implementing
USB Type-C, Microchip Technology Inc. (Nasdaq: MCHP) today announced two new solutions that simplify USB Type-C PD designs for a range of
applications.
As one of the industry's first USB-IF-certified USB 3.1 SmartHub devices with integrated support for Power Delivery (TID1212), the
USB705x family enables fast device charging and introduces unique PD implementations called HostFlexing and PDBalancing. The UPD301A is a
standalone USB Type-C PD controller that significantly simplifies the implementation of basic USB Type-C PD charging functionality, making
it ideal for applications from rear seat charging in vehicles to portable equipment to public charging stations.
The USB705x family includes two unique features that simplify USB Type-C PD implementations - HostFlexing and PDBalancing.
HostFlexing simplifies the user's docking station experience by allowing all USB Type-C ports to function as the "notebook" port,
eliminating the need for cryptic labels that try and explain overall functionality of each USB Type-C port. PDBalancing provides a
methodology for manufacturers to manage overall system power through centralized control, ultimately saving money for consumers by being
able to charge a number of PD enabled devices with less overall power.
To meet consumer demand for faster mobile device charging and data streaming, the USB705x family combines native support for USB
Type-C PD with the 5 Gbps SuperSpeed data rates of USB 3.1. Ideal for docks, PC monitors and automotive infotainment, the family -
consisting of the USB7050, USB7051, USB7052 and USB7056 - provides a range of USB configurations to meet varying PD and USB Type-C design
needs. For example, the USB7050 supports three PD-enabled upstream and downstream USB Type-C ports, while the USB7056 provides only one
upstream port alongside five traditional Type-A downstream ports. The new hubs also support driver assistance applications that are
available on all mobile handsets, allowing the graphical user interface of a phone to be displayed on a vehicle's screen while
simultaneously charging the mobile device.
With smartphones increasingly requiring more than standard BC 1.2 power, designers of electronic systems need to be able to easily
implement basic high-powered charging in systems. The UPD301A provides a simple, standalone solution for implementing USB Type-C PD charging
in a variety of applications. The device supports both single and dual-port operation and uses a pin-configurable implementation that
focuses on ease of use. The UPD301 complements Microchip's expansive family of USB hubs and enables solutions from charge-only to full data,
video and power management.
"With the acceleration of USB Type-C PD in phones, PCs and portable devices, it's critical that designers of new computing systems
and automotive infotainment systems are easily able to add USB Type-C PD functionality to designs," said Charles Forni, vice president of
Microchip's USB and Networking business unit. "From hub-based data management to standalone power delivery, Microchip continues to invest in
evolving and growing our USB Type-C portfolio to support the varying needs of our broad customer base."
Development Tools
The USB705x and UPD301 come with a complete solution including the MPLAB(R) Connect Configurator hub configuration tool,
evaluation boards with schematics and Gerber files to reduce development time.
Pricing and Availability
The UPD301A is available today starting at US$1.50 in 10,000-unit quantities. The USB705x family is available today with options
and pricing for 10,000-unit quantities as follows:
Device PD upstream PD Type-C downstream Standard Type-C downstream* Type-A downstream Pricing
USB7050** Yes 2 ports None 2 ports US$5.09
USB7051 Yes 1 port 1 port 2 ports US$4.95
USB7052 Yes None 2 ports 2 ports US$4.82
USB7056 Yes None 1 port 5 ports US$5.35
*Standard Type-C means 15W power only (does not include PD).
**Automotive qualified (AEC-Q100)
For additional information, contact a Microchip sales representative, authorized worldwide distributor or visit Microchip's
website. To purchase products mentioned here, visit our purchasing portal or contact a Microchip authorized distributor.
Resources
High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):
Application image:www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596552/sizes/l
Block diagram: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596807/sizes/l
About Microchip Technology
Microchip Technology Inc. is a leading semiconductor supplier of smart, connected and secure embedded control solutions. Its
easy-to-use development tools and comprehensive product portfolio enable customers to create optimal designs which reduce risk while
lowering total system cost and time to market. The company's solutions serve more than 125,000 customers across the industrial, automotive,
consumer, aerospace and defense, communications and computing markets. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding
technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com .
Note: The Microchip name and logo, the Microchip logo, and MPLAB are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in
the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.
Expanding portfolio adds certified USB 3.1 PD SmartHub(TM) IC with HostFlexing and PDBalancing plus standalone USB Type-C PD
controller for simpler applications
USB Type-C has become increasingly popular, and with the introduction of Power Delivery (PD), it is now possible to charge more
types of devices - and charge faster - than ever before. To remove the traditional complexity and high costs associated with implementing
USB Type-C, Microchip Technology Inc. (Nasdaq: MCHP) today announced two new solutions that simplify USB Type-C PD designs for a range of
applications.
As one of the industry's first USB-IF-certified USB 3.1 SmartHub devices with integrated support for Power Delivery (TID1212), the
USB705x family enables fast device charging and introduces unique PD implementations called HostFlexing and PDBalancing. The UPD301A is a
standalone USB Type-C PD controller that significantly simplifies the implementation of basic USB Type-C PD charging functionality, making
it ideal for applications from rear seat charging in vehicles to portable equipment to public charging stations.
The USB705x family includes two unique features that simplify USB Type-C PD implementations - HostFlexing and PDBalancing.
HostFlexing simplifies the user's docking station experience by allowing all USB Type-C ports to function as the "notebook" port,
eliminating the need for cryptic labels that try and explain overall functionality of each USB Type-C port. PDBalancing provides a
methodology for manufacturers to manage overall system power through centralized control, ultimately saving money for consumers by being
able to charge a number of PD enabled devices with less overall power.
To meet consumer demand for faster mobile device charging and data streaming, the USB705x family combines native support for USB
Type-C PD with the 5 Gbps SuperSpeed data rates of USB 3.1. Ideal for docks, PC monitors and automotive infotainment, the family -
consisting of the USB7050, USB7051, USB7052 and USB7056 - provides a range of USB configurations to meet varying PD and USB Type-C design
needs. For example, the USB7050 supports three PD-enabled upstream and downstream USB Type-C ports, while the USB7056 provides only one
upstream port alongside five traditional Type-A downstream ports. The new hubs also support driver assistance applications that are
available on all mobile handsets, allowing the graphical user interface of a phone to be displayed on a vehicle's screen while
simultaneously charging the mobile device.
With smartphones increasingly requiring more than standard BC 1.2 power, designers of electronic systems need to be able to easily
implement basic high-powered charging in systems. The UPD301A provides a simple, standalone solution for implementing USB Type-C PD charging
in a variety of applications. The device supports both single and dual-port operation and uses a pin-configurable implementation that
focuses on ease of use. The UPD301 complements Microchip's expansive family of USB hubs and enables solutions from charge-only to full data,
video and power management.
"With the acceleration of USB Type-C PD in phones, PCs and portable devices, it's critical that designers of new computing systems
and automotive infotainment systems are easily able to add USB Type-C PD functionality to designs," said Charles Forni, vice president of
Microchip's USB and Networking business unit. "From hub-based data management to standalone power delivery, Microchip continues to invest in
evolving and growing our USB Type-C portfolio to support the varying needs of our broad customer base."
Development Tools
The USB705x and UPD301 come with a complete solution including the MPLAB(R) Connect Configurator hub configuration tool,
evaluation boards with schematics and Gerber files to reduce development time.
Pricing and Availability
The UPD301A is available today starting at US$1.50 in 10,000-unit quantities. The USB705x family is available today with options
and pricing for 10,000-unit quantities as follows:
Device PD upstream PD Type-C downstream Standard Type-C downstream* Type-A downstream Pricing
USB7050** Yes 2 ports None 2 ports US$5.09
USB7051 Yes 1 port 1 port 2 ports US$4.95
USB7052 Yes None 2 ports 2 ports US$4.82
USB7056 Yes None 1 port 5 ports US$5.35
*Standard Type-C means 15W power only (does not include PD).
**Automotive qualified (AEC-Q100)
For additional information, contact a Microchip sales representative, authorized worldwide distributor or visit Microchip's
website. To purchase products mentioned here, visit our purchasing portal or contact a Microchip authorized distributor.
Resources
High-res images available through Flickr or editorial contact (feel free to publish):
Application image:www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596552/sizes/l
Block diagram: www.flickr.com/photos/microchiptechnology/48545596807/sizes/l
About Microchip Technology
Microchip Technology Inc. is a leading semiconductor supplier of smart, connected and secure embedded control solutions. Its
easy-to-use development tools and comprehensive product portfolio enable customers to create optimal designs which reduce risk while
lowering total system cost and time to market. The company's solutions serve more than 125,000 customers across the industrial, automotive,
consumer, aerospace and defense, communications and computing markets. Headquartered in Chandler, Arizona, Microchip offers outstanding
technical support along with dependable delivery and quality. For more information, visit the Microchip website at www.microchip.com .
Note: The Microchip name and logo, the Microchip logo, and MPLAB are registered trademarks of Microchip Technology Incorporated in
the U.S.A. and other countries. All other trademarks mentioned herein are the property of their respective companies.
Microchip USB705x and UPD301A Family |
PUMA เปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ในนครนิวยอร์ก ผสมผสานเทคโนโลยี ศิลปะ และดนตรีอย่างไร้รอยต่อ พร้อมมอบประสบการณ์ช็อปปิ้งสุดพิเศษ
เวสต์ฟอร์ด, แมสซาชูเซตต์--30 ส.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
สตูดิโอปรับแต่งสินค้าและโซนปฏิสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยี พร้อมมอบประสบการณ์ช็อปปิ้งที่ผู้บริโภคไม่เคยสัมผัสมาก่อน
PUMA เปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกในอเมริกาเหนือวันนี้ ที่ 609 ฟิฟธ์แอเวนิว นครนิวยอร์ก ร้านแห่งใหม่นี้มุ่งเน้นเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด และเป็นพื้นที่จัดแสดงแบรนด์ PUMA แบบเสมือนจริง พร้อมมอบประสบการณ์ช็อปปิ้งที่ไม่เหมือนที่ไหนผ่านโซนกีฬาปฏิสัมพันธ์เชิงนวัตกรรม สตูดิโอปรับแต่งสินค้า และบริการต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันเชิงดิจิทัล ร้านแห่งใหม่นี้มีพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางฟุต โดยมีพื้นที่ค้าปลีกเชิงปฏิสัมพันธ์สองชั้น พร้อมทางเข้าหน้าร้านสูงพิเศษบริเวณด้านหน้าอาคารแบบโอบล้อมขนาด 160 ฟุต
"PUMA ตื่นเต้นที่ได้เปิดร้านเรือธงแห่งแรกในนครยิวยอร์ก ในทำเลที่ตั้งชั้นเยี่ยมในแมนฮัตตัน ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกับลูกค้าทั้งชาวอเมริกันและต่างชาติ" Bjoern Gulden ซีอีโอ PUMA SE กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าการลงทุนในร้านแห่งใหม่นี้ ในเมืองที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดันต้น ๆ ของโลก จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการเป็นแบรนด์กีฬาที่รวดเร็วที่สุดในโลก เรามุ่งขยายพรมแดนของกีฬา แฟชั่น และเทคโนโลยี โดยร้านแห่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงพันธกิจดังกล่าว"
- PUMA จับมือกับศิลปินและนักออกแบบชื่อดังเพื่อพัฒนาสตูดิโอปรับแต่งสินค้า PUMA x YOU สุดพิเศษในบริเวณร้าน ผู้บริโภคสามารถปรับแต่งรองเท้า เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ของ PUMA ได้ตามต้องการ โดยใช้สีทา สีชุบ สีย้อม การปะผ้า การปัก การถักสามมิติ การปรินท์เลเซอร์ การปักหมุด การอัพไซเคิลวัสดุ และวิธีการสร้างสรรค์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีศิลปินในพำนักรายใหม่ทุก ๆ สองสัปดาห์ รวมทั้งศิลปินคู่ค้า อย่างเช่น Sue Tsai, BWOOD, Maria Jahnkoy, Meme. และ Pintrill และจะประกาศรายชื่อศิลปินเพิ่มเติมในปีนี้
- เริ่มต้นสุดสัปดาห์วันแรงงานด้วยสุดยอดแห่งการปรับแต่งสินค้า ร้านแห่งใหม่นี้จะเปิด Chinatown Market University ซึ่งลูกค้าสามารถปรับแต่งเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์ PUMA โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์อันก้าวหน้าของ Chinatown Market นอกจากนี้ ทีมงาน Chinatown Market ยังจะเปิดสอนคลาส DIY และตกแต่งสินค้า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ นอกจากในร้านแห่งใหม่นี้ Chinatown Market University ซึ่งเป็นโครงการที่ทำร่วมกับ PUMA ยังจะไปจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดปี 2020
- เพื่อสะท้อนพันธกิจด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตของ PUMA ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ผู้มาเยือนสามารถนั่งรถแข่ง F1 ระดับมืออาชีพแบบจำลอง และทดลองขับรถแข่งในถนนนครนิวยอร์ก ในรูปแบบเดียวกับที่ Lewis Hamilton แบรนด์แอมบาสเดอร์ และ Max Verstappen นักแข่งรถ Aston Martin Red Bull ใช้ในการฝึกนอกสนาม
- สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล ผู้บริโภคสามารถทดลองรองเท้า PUMA รุ่นใหม่ได้บนเครื่องจำลองภายในร้านซึ่งจำลองมาจากสนามกีฬา San Siro พร้อมรับการโค้ชจากแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ PUMA และนักฟุตบอลระดับมืออาชีพอย่าง Antoine Griezmann และ Romelu Lukaku
- ในร้าน PUMA แห่งใหม่นี้ ลูกค้าสามารถชมสินค้าในสีและสไตล์ต่าง ๆ ผ่าน iMirror by NOBAL ซึ่งวางอยู่ทั่วร้าน กระจกดังกล่าวช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี RFID แสดงสีสันและสไตล์จากสินค้าที่ลูกค้าลองใส่ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถกดปุ่มที่กระจกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพนักงานและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมอีเวนท์ภายในร้านได้
- ผู้บริโภคสามารถพักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับที่นั่งแบบในสนามกีฬา พร้อมสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกม NBA2K บนหน้าจอ NBA2K ขนาดยักษ์ในโซนบาสเก็ตบอล ซึ่งใช้เทคโนโลยีสุดล้ำอย่างคิวอาร์โค้ดในสินค้าทุกชิ้น
"PUMA ยังคงเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งในอเมริกาเหนือ ร้านแห่งใหม่นี้เน้นย้ำพันธกิจของเราในตลาดที่สำคัญแห่งนี้" Bob Phillon ประธาน PUMA North America กล่าว "ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวในเมืองที่โดดเด่นแห่งนี้ หรือชาวนิวยอร์กแท้ ๆ เราตื่นเต้นที่ได้เปิดร้านในชุมชนที่มีชีวิตชีวาและหลากหลาย ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ 'Forever Faster' ของเรา"
ตลอดทั้งปีนี้ ร้านแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ในนิวยอร์กจะมีคอลเล็คชั่นพิเศษซึ่งออกแบบโดยแบรนด์แอมบาสเดอร์และนักกีฬา และจะจัดงานอีเวนท์และมอบประสบการณ์แบบนิวยอร์กแท้ ๆ ร้านแห่งใหม่นี้จะมีผลิตภัณฑ์ PUMA เต็มรูปแบบในประเภทต่าง ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ บาสเก็ตบอล มอเตอร์สปอร์ต กอล์ฟ เพอร์ฟอร์แมนซ์ ฟุตบอล และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
ผู้บริโภคสามารถสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในร้านระหว่างช่วงสุดสัปดาห์แกรนด์โอเพนนิ่ง ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมถึง 2 กันยายน โดยจะมีอีเวนท์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงภายในร้าน กิจกรรมออกกำลังกาย และสินค้าพิเศษช่วงสุดสัปดาห์ของการเปิดตัว
ร้าน PUMA บนถนนฟิฟธ์แอเวนิว จะเปิดให้บริการวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-20.00 น. ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ puma.com
สื่อมวลชนติดต่อ
Melissa Garbayo – NORTH AMERICA PR – PUMA – อีเมล: melissa.garbayo@puma.com
เกี่ยวกับ PUMA
PUMA เป็นแบรนด์กีฬาชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบ พัฒนา จัดจำหน่าย และโปรโมทรองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นเวลา 70 ปีมาแล้วที่ PUMA ได้ขับเคลื่อนกีฬาและวัฒนธรรมด้วยการสร้างสินค้าที่มุ่งเน้นความเร็วให้แก่นักกีฬาที่ว่องไวเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์สายเพอร์ฟอร์แมนซ์และไลฟ์สไตล์แนวสปอร์ตในประเภทต่าง ๆ ทั้งฟุตบอล การวิ่ง บาสเก็ตบอล กอล์ฟ และมอเตอร์สปอร์ต PUMA จับมือกับนักออกแบบและแบรนด์ชื่อดังเพื่อผสมผสานอิทธิพลของกีฬาเข้ากับวัฒนธรรมและแฟชั่นแนวสตรีท PUMA Group เป็นเจ้าของแบรนด์ PUMA, Cobra Golf และ stichd บริษัทจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศ และมีพนักงานกว่า 13,000 คนทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเฮอร์โซเกอโนฮาค ประเทศเยอรมนี ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.puma.com
PUMA เปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกในอเมริกาเหนือวันนี้ ที่ 609 ฟิฟธ์แอเวนิว นครนิวยอร์ก ร้านแห่งใหม่นี้มุ่งเน้นเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด และเป็นพื้นที่จัดแสดงแบรนด์ PUMA แบบเสมือนจริง พร้อมมอบประสบการณ์ช็อปปิ้งที่ไม่เหมือนที่ไหนผ่านโซนกีฬาปฏิสัมพันธ์เชิงนวัตกรรม สตูดิโอปรับแต่งสินค้า และบริการต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันเชิงดิจิทัล ร้านแห่งใหม่นี้มีพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางฟุต โดยมีพื้นที่ค้าปลีกเชิงปฏิสัมพันธ์สองชั้น พร้อมทางเข้าหน้าร้านสูงพิเศษบริเวณด้านหน้าอาคารแบบโอบล้อมขนาด 160 ฟุต
"PUMA ตื่นเต้นที่ได้เปิดร้านเรือธงแห่งแรกในนครยิวยอร์ก ในทำเลที่ตั้งชั้นเยี่ยมในแมนฮัตตัน ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกับลูกค้าทั้งชาวอเมริกันและต่างชาติ" Bjoern Gulden ซีอีโอ PUMA SE กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าการลงทุนในร้านแห่งใหม่นี้ ในเมืองที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดันต้น ๆ ของโลก จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการเป็นแบรนด์กีฬาที่รวดเร็วที่สุดในโลก เรามุ่งขยายพรมแดนของกีฬา แฟชั่น และเทคโนโลยี โดยร้านแห่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงพันธกิจดังกล่าว"
- PUMA จับมือกับศิลปินและนักออกแบบชื่อดังเพื่อพัฒนาสตูดิโอปรับแต่งสินค้า PUMA x YOU สุดพิเศษในบริเวณร้าน ผู้บริโภคสามารถปรับแต่งรองเท้า เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ของ PUMA ได้ตามต้องการ โดยใช้สีทา สีชุบ สีย้อม การปะผ้า การปัก การถักสามมิติ การปรินท์เลเซอร์ การปักหมุด การอัพไซเคิลวัสดุ และวิธีการสร้างสรรค์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีศิลปินในพำนักรายใหม่ทุก ๆ สองสัปดาห์ รวมทั้งศิลปินคู่ค้า อย่างเช่น Sue Tsai, BWOOD, Maria Jahnkoy, Meme. และ Pintrill และจะประกาศรายชื่อศิลปินเพิ่มเติมในปีนี้
- เริ่มต้นสุดสัปดาห์วันแรงงานด้วยสุดยอดแห่งการปรับแต่งสินค้า ร้านแห่งใหม่นี้จะเปิด Chinatown Market University ซึ่งลูกค้าสามารถปรับแต่งเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์ PUMA โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์อันก้าวหน้าของ Chinatown Market นอกจากนี้ ทีมงาน Chinatown Market ยังจะเปิดสอนคลาส DIY และตกแต่งสินค้า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ นอกจากในร้านแห่งใหม่นี้ Chinatown Market University ซึ่งเป็นโครงการที่ทำร่วมกับ PUMA ยังจะไปจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดปี 2020
- เพื่อสะท้อนพันธกิจด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตของ PUMA ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ผู้มาเยือนสามารถนั่งรถแข่ง F1 ระดับมืออาชีพแบบจำลอง และทดลองขับรถแข่งในถนนนครนิวยอร์ก ในรูปแบบเดียวกับที่ Lewis Hamilton แบรนด์แอมบาสเดอร์ และ Max Verstappen นักแข่งรถ Aston Martin Red Bull ใช้ในการฝึกนอกสนาม
- สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล ผู้บริโภคสามารถทดลองรองเท้า PUMA รุ่นใหม่ได้บนเครื่องจำลองภายในร้านซึ่งจำลองมาจากสนามกีฬา San Siro พร้อมรับการโค้ชจากแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ PUMA และนักฟุตบอลระดับมืออาชีพอย่าง Antoine Griezmann และ Romelu Lukaku
- ในร้าน PUMA แห่งใหม่นี้ ลูกค้าสามารถชมสินค้าในสีและสไตล์ต่าง ๆ ผ่าน iMirror by NOBAL ซึ่งวางอยู่ทั่วร้าน กระจกดังกล่าวช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี RFID แสดงสีสันและสไตล์จากสินค้าที่ลูกค้าลองใส่ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถกดปุ่มที่กระจกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพนักงานและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมอีเวนท์ภายในร้านได้
- ผู้บริโภคสามารถพักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับที่นั่งแบบในสนามกีฬา พร้อมสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกม NBA2K บนหน้าจอ NBA2K ขนาดยักษ์ในโซนบาสเก็ตบอล ซึ่งใช้เทคโนโลยีสุดล้ำอย่างคิวอาร์โค้ดในสินค้าทุกชิ้น
"PUMA ยังคงเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งในอเมริกาเหนือ ร้านแห่งใหม่นี้เน้นย้ำพันธกิจของเราในตลาดที่สำคัญแห่งนี้" Bob Phillon ประธาน PUMA North America กล่าว "ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวในเมืองที่โดดเด่นแห่งนี้ หรือชาวนิวยอร์กแท้ ๆ เราตื่นเต้นที่ได้เปิดร้านในชุมชนที่มีชีวิตชีวาและหลากหลาย ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ 'Forever Faster' ของเรา"
ตลอดทั้งปีนี้ ร้านแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ในนิวยอร์กจะมีคอลเล็คชั่นพิเศษซึ่งออกแบบโดยแบรนด์แอมบาสเดอร์และนักกีฬา และจะจัดงานอีเวนท์และมอบประสบการณ์แบบนิวยอร์กแท้ ๆ ร้านแห่งใหม่นี้จะมีผลิตภัณฑ์ PUMA เต็มรูปแบบในประเภทต่าง ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ บาสเก็ตบอล มอเตอร์สปอร์ต กอล์ฟ เพอร์ฟอร์แมนซ์ ฟุตบอล และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
ผู้บริโภคสามารถสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในร้านระหว่างช่วงสุดสัปดาห์แกรนด์โอเพนนิ่ง ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมถึง 2 กันยายน โดยจะมีอีเวนท์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงภายในร้าน กิจกรรมออกกำลังกาย และสินค้าพิเศษช่วงสุดสัปดาห์ของการเปิดตัว
ร้าน PUMA บนถนนฟิฟธ์แอเวนิว จะเปิดให้บริการวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-20.00 น. ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ puma.com
สื่อมวลชนติดต่อ
Melissa Garbayo – NORTH AMERICA PR – PUMA – อีเมล: melissa.garbayo@puma.com
เกี่ยวกับ PUMA
PUMA เป็นแบรนด์กีฬาชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบ พัฒนา จัดจำหน่าย และโปรโมทรองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นเวลา 70 ปีมาแล้วที่ PUMA ได้ขับเคลื่อนกีฬาและวัฒนธรรมด้วยการสร้างสินค้าที่มุ่งเน้นความเร็วให้แก่นักกีฬาที่ว่องไวเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์สายเพอร์ฟอร์แมนซ์และไลฟ์สไตล์แนวสปอร์ตในประเภทต่าง ๆ ทั้งฟุตบอล การวิ่ง บาสเก็ตบอล กอล์ฟ และมอเตอร์สปอร์ต PUMA จับมือกับนักออกแบบและแบรนด์ชื่อดังเพื่อผสมผสานอิทธิพลของกีฬาเข้ากับวัฒนธรรมและแฟชั่นแนวสตรีท PUMA Group เป็นเจ้าของแบรนด์ PUMA, Cobra Golf และ stichd บริษัทจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศ และมีพนักงานกว่า 13,000 คนทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเฮอร์โซเกอโนฮาค ประเทศเยอรมนี ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.puma.com
PUMA's New NYC Flagship Store Seamlessly Integrates Technology, Art, And Music For A One-Of-A-Kind Retail Experience
WESTFORD, Massachusetts--30 Aug--PRNewswire/InfoQuest
CUSTOMIZATION STUDIO AND TECH-DRIVEN ENGAGEMENT ZONES PROVIDE CONSUMERS A SHOPPING EXPERIENCE UNLIKE ANYTHING THEY'VE SEEN BEFORE
PUMA opens the doors to its first-ever North American flagship store today, located at 609 Fifth Avenue in New York City. With a focus on cutting-edge technology and products, the store showcases an immersive PUMA brand space—offering consumers a unique shopping experience through innovative sports engagement zones, a customization studio and digitally connected offerings. The store features 18,000 square feet of interactive retail space spanning two floors, with state-of-the-art double-height storefronts across 160 feet of wraparound frontage.
"PUMA is thrilled to open its first flagship in New York City, in a prime Manhattan location, that will allow us to connect with both our U.S. and international customers," said Bjoern Gulden Chief Executive Officer of PUMA SE. "I believe investing in this new store—in one of the fastest paced cities in the world—will help us in our pursuit to be the fastest sports brand in the world. We're committed to pushing the boundaries of sports, fashion and technology, and this store is the latest manifestation of that commitment."
- PUMA has partnered with renowned artists and designers to bring its exclusive PUMA x YOU customization studio to the store. Consumers can customize and personalize PUMA footwear, apparel and accessories using paints, dips, dyes, patchwork, embroidery, 3D-knitting, laser printing, pinning, material upcycling, and many other creative mediums. New artist residencies begin every two weeks — including collaboration partners like Sue Tsai, BWOOD, Maria Jahnkoy, Meme. and Pintrill, with additional artists announced later this year.
- Beginning Labor Day weekend with the kings of customization, the store will launch Chinatown Market University, where store patrons will be able to customize their PUMA apparel, footwear and accessories using Chinatown Market's state-of-the-art printing technology. The Chinatown Market team will also be teaching classes around various DIY and customization methods to help inspire the next generation of creatives. Beyond the flagship store, Chinatown Market University, a program being launched in collaboration with PUMA, will pop up in various forms through 2020.
- Highlighting PUMA's longstanding commitment to motorsports, consumers can hop into professional-grade F1 racing simulators and virtually race down the streets of New York City — the same ones the company's brand ambassador Lewis Hamilton and Aston Martin Red Bull Racing driver Max Verstappen use to train when they're not on the track.
- If soccer is more their speed, consumers can test the latest PUMA boots on the in-store simulator that mimics the pitch of San Siro Stadium, all the while being virtually coached by PUMA brand ambassadors and professional footballers Antoine Griezmann and Romelu Lukaku.
- Within PUMA's new store, customers can view products in alternate colors and styles through iMirror by NOBAL placed throughout the store. Mirror allows RFID product to bring up alternative selections based on the item the consumer tries on. In addition, consumers can press a button to notify an associate they need help at the mirror and sign up for in-store events.
- Consumers can kick back and enjoy the stadium seating and large screen NBA2K gaming experience in the basketball zone as well. The basketball zone is also going to feature state-of-the-art technology including QR codes located on all products.
"PUMA continues to see solid growth within North America and this new store reaffirms our commitment to this important market," said Bob Philion, President of PUMA North America. "From visitors that come to experience this iconic city, to lifelong New Yorkers, we're excited to open our doors in a vibrant and diverse community that aligns with our 'Forever Faster' mentality."
Throughout the year, the New York flagship will also feature exclusive collections designed by select brand ambassadors and athletes, and host unique events and experiences authentic to New York City. The flagship store will carry the full range of PUMA products including lifestyle, basketball, motorsport, golf, performance, soccer and kids.
Consumers can experience the store's unique offerings during the grand opening weekend, August 29 through September 2, with events which include in-store performances, fitness activations and exclusive opening weekend merchandise.
The PUMA Fifth Avenue store will be open Monday – Sunday 10 a.m. – 8 p.m. For more information please visit puma.com.
MEDIA CONTACT
Melissa Garbayo – NORTH AMERICA PR – PUMA – melissa.garbayo@puma.com
PUMA
PUMA is one of the world's leading Sports Brands, designing, developing, selling and marketing footwear, apparel and accessories. For 70 years, PUMA has relentlessly pushed sport and culture forward by creating fast products for the world's fastest athletes. PUMA offers performance and sport-inspired lifestyle products in categories such as Football, Running and Training, Basketball, Golf, and Motorsports. It collaborates with renowned designers and brands to bring sport influences into street culture and fashion. The PUMA Group owns the brands PUMA, Cobra Golf and stichd. The company distributes its products in more than 120 countries, employs more than 13,000 people worldwide, and is headquartered in Herzogenaurach/Germany. For more information, please visit http://www.puma.com .
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/967075/PUMA__5th_Ave_NYC.jpg
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/967076/PUMA_Logo.jpg
CUSTOMIZATION STUDIO AND TECH-DRIVEN ENGAGEMENT ZONES PROVIDE CONSUMERS A SHOPPING EXPERIENCE UNLIKE ANYTHING THEY'VE SEEN BEFORE
PUMA opens the doors to its first-ever North American flagship store today, located at 609 Fifth Avenue in New York City. With a focus on cutting-edge technology and products, the store showcases an immersive PUMA brand space—offering consumers a unique shopping experience through innovative sports engagement zones, a customization studio and digitally connected offerings. The store features 18,000 square feet of interactive retail space spanning two floors, with state-of-the-art double-height storefronts across 160 feet of wraparound frontage.
"PUMA is thrilled to open its first flagship in New York City, in a prime Manhattan location, that will allow us to connect with both our U.S. and international customers," said Bjoern Gulden Chief Executive Officer of PUMA SE. "I believe investing in this new store—in one of the fastest paced cities in the world—will help us in our pursuit to be the fastest sports brand in the world. We're committed to pushing the boundaries of sports, fashion and technology, and this store is the latest manifestation of that commitment."
- PUMA has partnered with renowned artists and designers to bring its exclusive PUMA x YOU customization studio to the store. Consumers can customize and personalize PUMA footwear, apparel and accessories using paints, dips, dyes, patchwork, embroidery, 3D-knitting, laser printing, pinning, material upcycling, and many other creative mediums. New artist residencies begin every two weeks — including collaboration partners like Sue Tsai, BWOOD, Maria Jahnkoy, Meme. and Pintrill, with additional artists announced later this year.
- Beginning Labor Day weekend with the kings of customization, the store will launch Chinatown Market University, where store patrons will be able to customize their PUMA apparel, footwear and accessories using Chinatown Market's state-of-the-art printing technology. The Chinatown Market team will also be teaching classes around various DIY and customization methods to help inspire the next generation of creatives. Beyond the flagship store, Chinatown Market University, a program being launched in collaboration with PUMA, will pop up in various forms through 2020.
- Highlighting PUMA's longstanding commitment to motorsports, consumers can hop into professional-grade F1 racing simulators and virtually race down the streets of New York City — the same ones the company's brand ambassador Lewis Hamilton and Aston Martin Red Bull Racing driver Max Verstappen use to train when they're not on the track.
- If soccer is more their speed, consumers can test the latest PUMA boots on the in-store simulator that mimics the pitch of San Siro Stadium, all the while being virtually coached by PUMA brand ambassadors and professional footballers Antoine Griezmann and Romelu Lukaku.
- Within PUMA's new store, customers can view products in alternate colors and styles through iMirror by NOBAL placed throughout the store. Mirror allows RFID product to bring up alternative selections based on the item the consumer tries on. In addition, consumers can press a button to notify an associate they need help at the mirror and sign up for in-store events.
- Consumers can kick back and enjoy the stadium seating and large screen NBA2K gaming experience in the basketball zone as well. The basketball zone is also going to feature state-of-the-art technology including QR codes located on all products.
"PUMA continues to see solid growth within North America and this new store reaffirms our commitment to this important market," said Bob Philion, President of PUMA North America. "From visitors that come to experience this iconic city, to lifelong New Yorkers, we're excited to open our doors in a vibrant and diverse community that aligns with our 'Forever Faster' mentality."
Throughout the year, the New York flagship will also feature exclusive collections designed by select brand ambassadors and athletes, and host unique events and experiences authentic to New York City. The flagship store will carry the full range of PUMA products including lifestyle, basketball, motorsport, golf, performance, soccer and kids.
Consumers can experience the store's unique offerings during the grand opening weekend, August 29 through September 2, with events which include in-store performances, fitness activations and exclusive opening weekend merchandise.
The PUMA Fifth Avenue store will be open Monday – Sunday 10 a.m. – 8 p.m. For more information please visit puma.com.
MEDIA CONTACT
Melissa Garbayo – NORTH AMERICA PR – PUMA – melissa.garbayo@puma.com
PUMA
PUMA is one of the world's leading Sports Brands, designing, developing, selling and marketing footwear, apparel and accessories. For 70 years, PUMA has relentlessly pushed sport and culture forward by creating fast products for the world's fastest athletes. PUMA offers performance and sport-inspired lifestyle products in categories such as Football, Running and Training, Basketball, Golf, and Motorsports. It collaborates with renowned designers and brands to bring sport influences into street culture and fashion. The PUMA Group owns the brands PUMA, Cobra Golf and stichd. The company distributes its products in more than 120 countries, employs more than 13,000 people worldwide, and is headquartered in Herzogenaurach/Germany. For more information, please visit http://www.puma.com .
Photo - https://mma.prnewswire.com/media/967075/PUMA__5th_Ave_NYC.jpg
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/967076/PUMA_Logo.jpg
ไฮเออร์ เปิดโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าจีนแห่งแรกในยุโรป
ไฮเออร์ (Haier) (600690:Shanghai) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในจีน ประกาศเปิดสายการผลิตของโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เมืองนาเบเรจเนีย เชลนี ประเทศรัสเซีย โรงงานแห่งใหม่นี้เชื่อมโยงลูกค้ากับโรงงานตลอดกระบวนการผลิต และคาดว่าจะสามารถผลิตเครื่องซักผ้าป้อนผู้ใช้ 200 ล้านคนทั่วรัสเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียกลางและยุโรป
กุ้ยเหว่ย ซุน ผู้จัดการทั่วไปของโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าไฮเออร์ในรัสเซีย กล่าวว่า "โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าของไฮเออร์ถือเป็นแห่งแรก เพราะยังไม่เคยมีบริษัทจีนรายใดตั้งโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าในยุโรปมาก่อน เราภูมิใจที่ได้เป็นผู้บุกเบิก และหวังว่าโรงงานแห่งนี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องซักผ้าที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดรัสเซีย"
ไฮเออร์เล็งพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมครบวงจร ตั้งเป้าขับเคลื่อนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารัสเซีย
โรงงานผลิตตู้เย็นที่มีอยู่เดิมและโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าแห่งใหม่จะเป็นแรงเสริมให้ไฮเออร์บรรลุเป้าหมายในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น อันจะนำไปสู่การสร้างห่วงโซ่การผลิตครบวงจรในท้ายที่สุด
"แรงเสริมที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคในรัสเซียและตัวบริษัทเอง เพราะการผลิตในประเทศจะช่วยลดต้นทุนลงอย่างมากและทำให้การกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย" คุณซุนกล่าว
ใช้กลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น มุ่งตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของตลาดรัสเซีย
โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าแห่งใหม่ใช้โมเดลการขยายธุรกิจในระดับสากลของไฮเออร์ที่เรียกว่า กลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น 3 ส่วน ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การผลิต และการตลาด
ไฮเออร์ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ครบวงจรเมื่อขยายธุรกิจในท้องถิ่น ในกรณีนี้ ไฮเออร์ได้ว่าจ้างนักวิจัยในท้องถิ่นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวรัสเซีย ซึ่งครอบคลุมถึงกิจวัตรประจำวันและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้ไฮเออร์สามารถปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นได้ดีขึ้นและมีความได้เปรียบในตลาด นอกจากนี้ กลยุทธ์ของไฮเออร์ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เครื่องซักผ้าไฮเออร์ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวรัสเซียคือ ไฮเออร์สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งานในท้องถิ่น
นอกจากนี้ การเปิดโรงงานผลิตเครื่องซักผ้ายังสร้างความเชื่อมั่นให้กับฝ่ายขายของไฮเออร์ในรัสเซีย เพราะโรงงานแห่งนี้จะทำให้ไฮเออร์กลายเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่มีความมั่นคงในระยะยาว และฝ่ายขายสามารถพึ่งพาได้อย่างอุ่นใจ
ในอนาคต ไฮเออร์จะเปิดโรงงานผลิตอีก 8 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมรัสเซีย เมื่อถึงเวลานั้น นิคมอุตสาหกรรมที่มีทั้งสายการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่พักอาศัย ศูนย์การแพทย์ ศูนย์การขนส่ง และศูนย์วัฒนธรรม จะสร้างคุณูปการมากมายให้กับคนในท้องถิ่น
ทั้งนี้ ไฮเออร์ได้พัฒนา Smart Cloud Solution ตามแนวคิด 5+7+N โดยเชื่อมโยง 5 รูปแบบการอยู่อาศัย ได้แก่ ห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ ห้องครัวอัจฉริยะ ห้องน้ำอัจฉริยะ ห้องซักรีดอัจฉริยะ และห้องนอนอัจฉริยะ เข้ากับ 7 โซลูชันสำหรับบ้านทั้งในส่วนของอากาศ น้ำ ความปลอดภัย การดูแลเสื้อผ้า ความบันเทิง สุขภาพ และข้อมูล ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย หรือ N (Needs)
เกี่ยวกับไฮเออร์
ไฮเออร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ของโลก โดยครองส่วนแบ่งในตลาดโลก 10.5% บริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์ Haier, Casarte และ Leader ในจีน, GE Appliances ในสหรัฐอเมริกา, Fisher & Paykel ในนิวซีแลนด์ และ AQUA ในญี่ปุ่น ปัจจุบัน ไฮเออร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็นผู้ประกอบการที่เปิดกว้าง เพื่อสร้างระบบนิเวศบ้านอัจฉริยะระดับโลกอย่างแท้จริง
กุ้ยเหว่ย ซุน ผู้จัดการทั่วไปของโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าไฮเออร์ในรัสเซีย กล่าวว่า "โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าของไฮเออร์ถือเป็นแห่งแรก เพราะยังไม่เคยมีบริษัทจีนรายใดตั้งโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าในยุโรปมาก่อน เราภูมิใจที่ได้เป็นผู้บุกเบิก และหวังว่าโรงงานแห่งนี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องซักผ้าที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดรัสเซีย"
ไฮเออร์เล็งพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมครบวงจร ตั้งเป้าขับเคลื่อนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารัสเซีย
โรงงานผลิตตู้เย็นที่มีอยู่เดิมและโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าแห่งใหม่จะเป็นแรงเสริมให้ไฮเออร์บรรลุเป้าหมายในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น อันจะนำไปสู่การสร้างห่วงโซ่การผลิตครบวงจรในท้ายที่สุด
"แรงเสริมที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคในรัสเซียและตัวบริษัทเอง เพราะการผลิตในประเทศจะช่วยลดต้นทุนลงอย่างมากและทำให้การกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย" คุณซุนกล่าว
ใช้กลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น มุ่งตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของตลาดรัสเซีย
โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าแห่งใหม่ใช้โมเดลการขยายธุรกิจในระดับสากลของไฮเออร์ที่เรียกว่า กลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น 3 ส่วน ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การผลิต และการตลาด
ไฮเออร์ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ครบวงจรเมื่อขยายธุรกิจในท้องถิ่น ในกรณีนี้ ไฮเออร์ได้ว่าจ้างนักวิจัยในท้องถิ่นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวรัสเซีย ซึ่งครอบคลุมถึงกิจวัตรประจำวันและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้ไฮเออร์สามารถปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นได้ดีขึ้นและมีความได้เปรียบในตลาด นอกจากนี้ กลยุทธ์ของไฮเออร์ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เครื่องซักผ้าไฮเออร์ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวรัสเซียคือ ไฮเออร์สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งานในท้องถิ่น
นอกจากนี้ การเปิดโรงงานผลิตเครื่องซักผ้ายังสร้างความเชื่อมั่นให้กับฝ่ายขายของไฮเออร์ในรัสเซีย เพราะโรงงานแห่งนี้จะทำให้ไฮเออร์กลายเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่มีความมั่นคงในระยะยาว และฝ่ายขายสามารถพึ่งพาได้อย่างอุ่นใจ
ในอนาคต ไฮเออร์จะเปิดโรงงานผลิตอีก 8 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมรัสเซีย เมื่อถึงเวลานั้น นิคมอุตสาหกรรมที่มีทั้งสายการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่พักอาศัย ศูนย์การแพทย์ ศูนย์การขนส่ง และศูนย์วัฒนธรรม จะสร้างคุณูปการมากมายให้กับคนในท้องถิ่น
ทั้งนี้ ไฮเออร์ได้พัฒนา Smart Cloud Solution ตามแนวคิด 5+7+N โดยเชื่อมโยง 5 รูปแบบการอยู่อาศัย ได้แก่ ห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ ห้องครัวอัจฉริยะ ห้องน้ำอัจฉริยะ ห้องซักรีดอัจฉริยะ และห้องนอนอัจฉริยะ เข้ากับ 7 โซลูชันสำหรับบ้านทั้งในส่วนของอากาศ น้ำ ความปลอดภัย การดูแลเสื้อผ้า ความบันเทิง สุขภาพ และข้อมูล ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย หรือ N (Needs)
เกี่ยวกับไฮเออร์
ไฮเออร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ของโลก โดยครองส่วนแบ่งในตลาดโลก 10.5% บริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์ Haier, Casarte และ Leader ในจีน, GE Appliances ในสหรัฐอเมริกา, Fisher & Paykel ในนิวซีแลนด์ และ AQUA ในญี่ปุ่น ปัจจุบัน ไฮเออร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็นผู้ประกอบการที่เปิดกว้าง เพื่อสร้างระบบนิเวศบ้านอัจฉริยะระดับโลกอย่างแท้จริง
การรถไฟรัสเซียสาธิตรถไฟไร้คนขับ Lastochka ที่งานมหกรรม PRO//Motion.EXPO
รองนายกรัฐมนตรีรัฐเซีย Maxim Akimov และประธานการรถไฟแห่งประเทศรัสเซีย (RZD) Oleg Belozyorov ทดลองนั่งรถไฟ Lastochka ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับขบวนแรกของรัสเซีย บนรางรถไฟทดลองในเมืองชเชอร์บินกา (Shcherbinka) ระหว่างงานมหกรรมการรถไฟนานาชาติ International Railway Salon PRO//Motion.EXPO เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา
นาย Akimov กล่าวว่า "สิ่งนี้คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ เพราะรถไฟ Lastochka สร้างขึ้นโดยวิศวกรของเรา ในศูนย์ทางเทคนิคของเรา โดยมีพันธมิตรหลายรายที่มาร่วมพัฒนารถไฟดังกล่าวร่วมกับการรถไฟแห่งรัสเซีย"
ขณะที่นาย Belozyorov กล่าวว่า "วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของการรถไฟแห่งรัสเซีย เราพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนควบคุมจนใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว ผมขอขอบคุณนักพัฒนาของเราทุกคน โดยเราใช้เฉพาะระบบของรัสเซียเท่านั้น นอกจากนี้ ผมพูดได้เลยว่าขณะนี้เรานำหน้าเพื่อนร่วมวงการในต่างประเทศไปหนึ่งปี การรถไฟรัสเซียมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยมีเหตุผลหลักคือเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อถือได้ของการคมนาคม โดยเฉพาะสำหรับผู้โดยสาร"
Belozyorov กล่าวเสริมว่า คนขับรถไฟไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าหน้าที่ของพวกเขาจะกลายเป็นการทำงานซ้ำซ้อน
"ความรับผิดชอบของพวกเขาจะเปลี่ยนไป แต่ระบบยังต้องมีคนคอยเฝ้าดู เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน"
เพื่อให้รถไฟ Lastochka สามารถเคลื่อนที่ด้วยระบบอัตโนมัติได้ รถไฟจึงต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพื่อให้สามารถทราบตำแหน่งรถไฟ ติดต่อกับศูนย์สั่งการ และตรวจจับสิ่งกีดขวาง โดยรถไฟ Lastochka สามารถทำงานตามตารางเวลาในโหมดไร้คนขับและจะเบรกโดยอัตโนมัติเมื่อตรวจพบสิ่งกีดขวาง
รถไฟ ES2G Lastochka เป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับที่สามารถควบคุมได้อัตโนมัติ ทั้งจากห้องคนขับโดยคนขับรถไฟ หรือจากศูนย์ควบคุมการคมนาคมโดยผู้ควบคุม ศูนย์ควบคุมถูกออกแบบมาเพื่อการควบคุมรถไฟไร้คนขับและการตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ตัวอย่างเช่น หากจำเป็น ผู้ควบคุมสามารถปิดระบบอัตโนมัติและควบคุมการเคลื่อนที่ของรถไฟจากระยะไกลได้
การรถไฟแห่งรัสเซียกำลังพัฒนาระบบรถไฟไร้คนขับที่ศูนย์โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สำหรับรถไฟรุ่นนี้อยู่ระหว่างการทยอยติดตั้งระบบล้อเลื่อน โครงสร้างพื้นฐานของสถานี และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเทคโนโลยี พร้อมกับอุปกรณ์พิเศษสำหรับการติดตามดูและควบคุมการจราจรจากระยะไกล โดยในปีหน้าจะมีการทดสอบโหมดอัตโนมัติภายใต้การควบคุมของคนขับ
ในอนาคต หากมีการผ่านร่างกฎหมายที่เหมาะสม เทคโนโลยีไร้คนขับอาจจะสามารถนำมาใช้งานในการให้บริการรถไฟหลายเส้นทาง โดยจะรองรับการจราจรปริมาณมาก ขณะที่มีช่วงเวลาเปลี่ยนขบวนระหว่างรถไฟโดยสารเพียงเล็กน้อย (เช่น รถไฟสาย Moscow Central Circle) และที่สถานีขนส่งสินค้า (รถจักรแบบสับราง)
นาย Akimov กล่าวว่า "สิ่งนี้คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ เพราะรถไฟ Lastochka สร้างขึ้นโดยวิศวกรของเรา ในศูนย์ทางเทคนิคของเรา โดยมีพันธมิตรหลายรายที่มาร่วมพัฒนารถไฟดังกล่าวร่วมกับการรถไฟแห่งรัสเซีย"
ขณะที่นาย Belozyorov กล่าวว่า "วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของการรถไฟแห่งรัสเซีย เราพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนควบคุมจนใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว ผมขอขอบคุณนักพัฒนาของเราทุกคน โดยเราใช้เฉพาะระบบของรัสเซียเท่านั้น นอกจากนี้ ผมพูดได้เลยว่าขณะนี้เรานำหน้าเพื่อนร่วมวงการในต่างประเทศไปหนึ่งปี การรถไฟรัสเซียมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยมีเหตุผลหลักคือเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อถือได้ของการคมนาคม โดยเฉพาะสำหรับผู้โดยสาร"
Belozyorov กล่าวเสริมว่า คนขับรถไฟไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าหน้าที่ของพวกเขาจะกลายเป็นการทำงานซ้ำซ้อน
"ความรับผิดชอบของพวกเขาจะเปลี่ยนไป แต่ระบบยังต้องมีคนคอยเฝ้าดู เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน"
เพื่อให้รถไฟ Lastochka สามารถเคลื่อนที่ด้วยระบบอัตโนมัติได้ รถไฟจึงต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพื่อให้สามารถทราบตำแหน่งรถไฟ ติดต่อกับศูนย์สั่งการ และตรวจจับสิ่งกีดขวาง โดยรถไฟ Lastochka สามารถทำงานตามตารางเวลาในโหมดไร้คนขับและจะเบรกโดยอัตโนมัติเมื่อตรวจพบสิ่งกีดขวาง
รถไฟ ES2G Lastochka เป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับที่สามารถควบคุมได้อัตโนมัติ ทั้งจากห้องคนขับโดยคนขับรถไฟ หรือจากศูนย์ควบคุมการคมนาคมโดยผู้ควบคุม ศูนย์ควบคุมถูกออกแบบมาเพื่อการควบคุมรถไฟไร้คนขับและการตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ตัวอย่างเช่น หากจำเป็น ผู้ควบคุมสามารถปิดระบบอัตโนมัติและควบคุมการเคลื่อนที่ของรถไฟจากระยะไกลได้
การรถไฟแห่งรัสเซียกำลังพัฒนาระบบรถไฟไร้คนขับที่ศูนย์โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สำหรับรถไฟรุ่นนี้อยู่ระหว่างการทยอยติดตั้งระบบล้อเลื่อน โครงสร้างพื้นฐานของสถานี และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเทคโนโลยี พร้อมกับอุปกรณ์พิเศษสำหรับการติดตามดูและควบคุมการจราจรจากระยะไกล โดยในปีหน้าจะมีการทดสอบโหมดอัตโนมัติภายใต้การควบคุมของคนขับ
ในอนาคต หากมีการผ่านร่างกฎหมายที่เหมาะสม เทคโนโลยีไร้คนขับอาจจะสามารถนำมาใช้งานในการให้บริการรถไฟหลายเส้นทาง โดยจะรองรับการจราจรปริมาณมาก ขณะที่มีช่วงเวลาเปลี่ยนขบวนระหว่างรถไฟโดยสารเพียงเล็กน้อย (เช่น รถไฟสาย Moscow Central Circle) และที่สถานีขนส่งสินค้า (รถจักรแบบสับราง)
Russian Railways Demonstrated Driverless Lastochka Train at the PRO//Motion.EXPO
Deputy Prime Minister of Russia Maxim Akimov and the Chairman of Russian Railways (RZD) Oleg Belozyorov took a test trip on Russia's first unmanned electric train Lastochka on the experimental railway ring in Shcherbinka during the International Railway Salon PRO//Motion.EXPO on August 28th.
"What we saw is a major technological breakthrough, because it was made by our engineers, in our technical centers together with different partners who worked on it with Russian Railways," Akimov said.
"It is a historic day for Russian Railways. We are very close to perfecting unmanned technology. I want to say thanks to all of our developers: we use only Russian systems. Moreover, I can say that we are one year ahead of our foreign colleagues. Russian Railways is committed to unmanned driving technology, primarily because it will increase safety and reliability in transportation, especially for passengers," said Belozyorov.
Belozyorov noted that train drivers should not worry about being made redundant:
"Their responsibilities will change, but people will still monitor the systems. We will all change together."
So that it could travel in the automatic mode, special equipment was added to the Lastochka that made it possible to position it on the infrastructure, communicate with the dispatch center, and detect obstacles. The train is able to follow its schedule in unmanned mode and, when it detects an obstacle, it automatically brakes.
The ES2G Lastochka is an unmanned electric train that can be controlled automatically, from the cockpit by a driver, or from the transportation control center by an operator. The control center is designed to operate unmanned trains and make decisions during emergencies. For example, if necessary, the operator can take the train out of automatic control and remotely control its movement.
Russian Railways is developing unmanned train systems at various infrastructure facilities. For this, the rolling stock, infrastructure of stations, and technological facilities are gradually being equipped with special equipment for remote monitoring and traffic control. In the coming year, a series of tests in automatic mode under the control of drivers will be carried out.
In the future, unmanned technologies, if the appropriate laws will be passed, may be introduced on railway lines with a large volume of traffic and a small transit interval between passenger trains (for example, the Moscow Central Circle), as well as at freight stations (shunting locomotives).
"What we saw is a major technological breakthrough, because it was made by our engineers, in our technical centers together with different partners who worked on it with Russian Railways," Akimov said.
"It is a historic day for Russian Railways. We are very close to perfecting unmanned technology. I want to say thanks to all of our developers: we use only Russian systems. Moreover, I can say that we are one year ahead of our foreign colleagues. Russian Railways is committed to unmanned driving technology, primarily because it will increase safety and reliability in transportation, especially for passengers," said Belozyorov.
Belozyorov noted that train drivers should not worry about being made redundant:
"Their responsibilities will change, but people will still monitor the systems. We will all change together."
So that it could travel in the automatic mode, special equipment was added to the Lastochka that made it possible to position it on the infrastructure, communicate with the dispatch center, and detect obstacles. The train is able to follow its schedule in unmanned mode and, when it detects an obstacle, it automatically brakes.
The ES2G Lastochka is an unmanned electric train that can be controlled automatically, from the cockpit by a driver, or from the transportation control center by an operator. The control center is designed to operate unmanned trains and make decisions during emergencies. For example, if necessary, the operator can take the train out of automatic control and remotely control its movement.
Russian Railways is developing unmanned train systems at various infrastructure facilities. For this, the rolling stock, infrastructure of stations, and technological facilities are gradually being equipped with special equipment for remote monitoring and traffic control. In the coming year, a series of tests in automatic mode under the control of drivers will be carried out.
In the future, unmanned technologies, if the appropriate laws will be passed, may be introduced on railway lines with a large volume of traffic and a small transit interval between passenger trains (for example, the Moscow Central Circle), as well as at freight stations (shunting locomotives).
Yili announces 2019 interim results with over RMB 45.07 billion in revenue and RMB 3.8 billion in net profit as it continues to expand its presence to Southeast Asia
Yili Group (600887.SH) announced its 2019 interim results on the evening of August 29th. The report shows in the first half of 2019, Yili realized a total operating revenue of RMB 45.07 billion, a year-on-year increase of RMB 5.13 billion, and a net profit of RMB 3.8 billion, a year-on-year increase of RMB 0.33 billion, further underlying Yili's strong growth momentum as the industry leader and pointing to its prospect and potential for sustainable development going forward.
Earlier this year, Yili pioneered in the industry with the vision of a "global health ecosystem" as it continues to deepen its global footprint with a view to integrating the best resources globally to better meet consumers' health and nutritional needs.
Yili continues to grow its footprint in Southeast Asia and Asia at large, offering more diverse product choices to local consumers. Yili's products have already entered such markets as Thailand, Indonesia, Singapore and Myanmar. Last year, Yili launched the Joyday ice cream in Indonesia, which is now available in major cities across the country and being introduced to more Southeast Asian countries with great popularity.
The acquisition of Thailand's largest local ice cream company, Chomthana, was a major breakthrough for Yili in terms of growing regional production capacity and gaining market access. Yili helped Chomthana improve on food quality, safety and sales model. Within one month of post-deal integration, Yili helped increase Chomthana's production capacity by more than 30%.
Yili's expansion in Southeast Asia is underpinned by mutually beneficial and win-win partnerships. Yili adheres to a localization strategy and works with local partners to effectively drive local economic development. 85% of Yili's employees in Indonesia and Thailand are local. Yili has created more jobs for the local community and brought about significant gains in local taxation and economic prosperity.
Source: Yili Group
Image Attachments Links:
http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=343701
Earlier this year, Yili pioneered in the industry with the vision of a "global health ecosystem" as it continues to deepen its global footprint with a view to integrating the best resources globally to better meet consumers' health and nutritional needs.
Yili continues to grow its footprint in Southeast Asia and Asia at large, offering more diverse product choices to local consumers. Yili's products have already entered such markets as Thailand, Indonesia, Singapore and Myanmar. Last year, Yili launched the Joyday ice cream in Indonesia, which is now available in major cities across the country and being introduced to more Southeast Asian countries with great popularity.
The acquisition of Thailand's largest local ice cream company, Chomthana, was a major breakthrough for Yili in terms of growing regional production capacity and gaining market access. Yili helped Chomthana improve on food quality, safety and sales model. Within one month of post-deal integration, Yili helped increase Chomthana's production capacity by more than 30%.
Yili's expansion in Southeast Asia is underpinned by mutually beneficial and win-win partnerships. Yili adheres to a localization strategy and works with local partners to effectively drive local economic development. 85% of Yili's employees in Indonesia and Thailand are local. Yili has created more jobs for the local community and brought about significant gains in local taxation and economic prosperity.
Source: Yili Group
Image Attachments Links:
http://asianetnews.net/view-attachment?attach-id=343701
Country Garden เปิดบ้านต้อนรับรมว.คลังมาเลเซีย ตอกย้ำความสัมพันธ์จีน-มาเลเซียแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ระหว่างการเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของ Country Garden ในประเทศจีน คุณลิม กวน เอ็ง รัฐมนตรีคลังมาเลเซีย ได้เสนอให้บริษัทพิจารณาเมืองยะโฮร์บาห์รู ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ Forest City Malaysia ให้เป็นหัวสะพานในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัยมากขึ้นมาสู่มาเลเซีย
Country Garden Holdings (HK 02007) บริษัทแม่ของ CGPV ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและผู้บริหารโครงการเมืองใหม่ Forest City ได้ให้การต้อนรับคุณลิม กวน เอ็ง รัฐมนตรีคลังของมาเลเซีย ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เพื่อร่วมหารือถึงโอกาสในการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางความร่วมมือระหว่างจีนกับมาเลเซียที่แน่นแฟ้นขึ้น
ในการเยี่ยมเยือนเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา คุณลิมรู้สึกประทับใจที่ Country Garden ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยในการเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีอนาคต คุณลิมจึงเสนอให้บริษัทพิจารณาเมืองยะโฮร์บาห์รู ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ Forest City ให้เป็นหัวสะพานในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัยมากขึ้นมาสู่มาเลเซีย
การเยี่ยมเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการกระชับความร่วมมือทางการค้าและโครงสร้างพื้นฐานระหว่างจีนกับมาเลเซียตามโครงการ Belt and Road Initiative ของจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการ Forest City
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา KA Petra บริษัทบริการทางทะเลของมาเลเซีย และ Hutchison Ports ผู้ประกอบการท่าเรือในฮ่องกง ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อทุ่มงบลงทุนกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการในเขตท่าเรือของเมืองยะโฮร์บาห์รู ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้าระหว่างเรือ "ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" และคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 1.8 หมื่นล้านริงกิตต่อปีให้แก่เศรษฐกิจมาเลเซีย ทั้งยังช่วยผลักดันให้เกิดการรวมตัวและการพัฒนาอุตสาหกรรมคลังสินค้า การขนส่ง การค้า สินเชื่อ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคใกล้เคียง
ในเดือนเดียวกัน จีนและมาเลเซียได้ประกาศพันธสัญญาใหม่อีกครั้งเพื่อสร้างทางรถไฟ East Coast Rail Link (ECRL) เชื่อมโยงสองประเทศด้วยรถไฟความเร็วสูง ขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และหน่วยงานรัฐของจีนและมาเลเซียได้ลงนามข้อตกลงเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านหุ่นยนต์ ยานยนต์ การผลิตอัจฉริยะ และ Internet of Things นอกจากนี้ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าที่สดใสระหว่างสองประเทศ คุณดาเรลล์ ไลคิง รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้กล่าวปราศรัยว่า รัฐบาลมาเลเซีย "จะสร้างความมั่นใจว่าจีนจะเข้ามาทำธุรกิจที่นี่ได้อย่างง่ายดาย"
นอกเหนือจากการยกระดับความร่วมมือทางการค้าและโครงสร้างพื้นฐานระหว่างจีนกับมาเลเซียแล้ว Forest City จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มเติมของรัฐบาลมาเลเซียในเมืองยะโฮร์บาห์รู โดยรัฐบาลมาเลเซียมีแผนการขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษอิสกันดาร์ขึ้นอีกสองเท่า ขณะที่ประธานาธิบดีมหาเธร์ให้ความสำคัญกับเขตนี้ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งต่อไปของมาเลเซีย ขณะเดียวกัน สำนักงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอิสกันดาร์ (IRDA) ได้เสนอให้ก่อสร้างเครือข่ายรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (BRT) เพื่อเชื่อมโยงเมืองใหญ่ๆ ในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
"Forest City อยู่ในภูมิภาคที่มีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล" คุณโจว จวิน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริหารแบรนด์ของ Forest City กล่าว พร้อมทั้งระบุว่าจะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะเพื่อดึงดูดบริษัทไฮเทคให้เข้ามาลงทุน โดยตั้งเป้าที่จะสร้างเมืองยั่งยืนซึ่งเป็นฐานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรธุรกิจและเป็นชุมชนที่น่าอยู่
เกี่ยวกับ Forest City
โครงการเมืองใหม่ Forest City ร่วมพัฒนาโดยบริษัท Country Garden และบริษัท Esplanade Danga 88 Sdn Bhd (EDSB) ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐยะโฮร์ Forest City ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอิสกันดาร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาอาเซียน โดยอยู่ติดกับจุดตรวจทูแอส Forest City ครอบคลุมพื้นที่ราว 30 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น 4 เกาะ รีสอร์ทพร้อมสนามกอล์ฟ และนิคมอุตสาหกรรม IBS ทั้งนี้ Forest City คือเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะสีเขียวที่ตั้งเป้าพัฒนา 8 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยวและ MICE, การดูแลสุขภาพ, การศึกษาและการฝึกอบรม, สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค, การเงินแบบ Nearshore Finance, อีคอมเมิร์ซ, เทคโนโลยีใหม่ และอุตสาหกรรมอัจฉริยะสีเขียว ผสานแนวคิดการออกแบบที่บูรณาการสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำงานในอุดมคติที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และเป็นแม่แบบเมืองแห่งอนาคต
ติดตามความคืบหน้าของโครงการ Forest City ได้ที่
https://720yun.com/t/5emn6w7mwnh4mz78fw?pano_id=N9cKWZOD1vaqsEFh
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Forest City ได้ที่
เว็บไซต์: http://www.forestcitycgpv.com
ลิงก์อิน: https://www.linkedin.com/company/forest-city-country-garden-pacificview
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/ForestCityCGPV
DBS ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำโรงเรียนนานาชาติพรีเมียมระดับภูมิภาค ลงทุนเพิ่ม 30 ล้านบาท ขยาย Facilities เทียบชั้นเวิลด์คลาส พร้อมดึงศักยภาพสูงสุดของนักเรียนเพื่อ เตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
- ห้องเรียนขนาดใหญ่กว่าโรงเรียนนานาชาติปกติ 50% พร้อมสนามฟุตบอลปูด้วยหญ้าระดับฟีฟ่า ลู่วิ่งมาตรฐานขนาด 400 เมตร สระว่ายน้ำ (น้ำเกลือ) ในร่มขนาดใหญ่ และ Facilities กว่า 40 จุดทั่วโรงเรียน ขึ้นแท่น Best Facilities of British School
- ล่าสุดทุ่มทุนเพิ่ม 30 ล้านบาท สร้างอาคารกีฬาในร่มโรงที่ 3, กันสาดบังแดดสเตเดี้ยมขนาดยักษ์, คาเฟ่ DBS รองรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อเติมเต็มความสะดวกและเอื้อต่อการเรียน ตามปรัชญาของโรงเรียนคือ สร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาและทักษะผู้นำที่มีคุณภาพและมีความสุข "Nurturing Global Leaders"
เด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) โรงเรียนนานาชาติชั้นนำที่สอนด้วยหลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษที่ดีที่สุดในโลก เดินหน้าขยาย Facilities สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็น Best British School ในระดับภูมิภาค ภายหลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดการเรียนการสอนนานาชาติในระดับ EY จนถึง Year 9 (ระดับอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 2) และขยายการศึกษาระดับชั้นเตรียมอนุบาล ภายใต้ชื่อ "DBS Mini Dragons" ที่เปิดรับเด็กอายุ 2-3 ขวบ เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนในทุกมิติ ทำให้วันนี้ DBS มีนักเรียน 400 คน
หลายคนไม่รู้ว่า การสอบ IGCSE และ A-Level เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ต้องมีสิ่งนี้!
ผศ.ดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมบริหารโรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) กล่าวว่า นักเรียนในช่วง Year 13 หรืออายุ 18 ปี ที่กำลังจะศึกษาจบระดับชั้นมัธยมศึกษา เป็นช่วงที่สำคัญมากในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยการสอบ IGCSE และ A-Level ซึ่งคุณสมบัติในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งในประเทศอังกฤษ, ยุโรป และทั่วโลกนั้น ต่างพิจารณาคัดเลือกนักเรียนจากเกณฑ์สำคัญสองส่วนหลักๆ คือ คุณสมบัติทางด้านวิชาการ และทักษะการเป็นผู้นำ หรือทักษะพิเศษต่างๆ อาทิ ความสามารถพิเศษ ความมี Passion ที่โดดเด่นอย่างชัดเจน และทักษะสังคม เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถสร้างกันได้ในช่วงเวลาข้ามคืน แต่ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่ในวัยเด็ก ดังนั้น DBS จึงสร้างแนวทางการดำเนินงานภายใต้ปรัชญา "สร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาและทักษะผู้นำที่มีคุณภาพและมีความสุข (Nurturing Global Leaders)" ซึ่ง DBS มีความแข็งแกร่ง 5 ประการคือ 1.ความเป็นเลิศทั้งทางด้านวิชาการ โดยมีหลักสูตรวิชาหลักคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็ง 2.ด้านหลักสูตรการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นจุดที่โดดเด่นแตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี ร้องเพลง การละคร ศิลปะ การเขียนโปรแกรมมิ่งและโค้ดดิ้ง โดยเฉพาะฟุตบอล ว่ายน้ำ ยิงธนู ดนตรี ที่มีนักเรียนของ DBS เป็นนักกีฬาระดับชาติและนานาชาติ 3.การเพิ่มการเรียนการสอนอีก 2 ชั่วโมงทุกวัน หรือที่เรียกว่าระบบ Extended Day ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทำให้ DBS เปี่ยมไปด้วยเด็กที่มีคุณภาพ เพราะวันเรียนที่ยาวขึ้นในช่วงเย็น จะเป็นนาทีทองที่ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ให้นักเรียนได้โฟกัสในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้าชมรม (Club) ต่างๆ และช่วงเวลาในการทำการบ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันต่อไป (Prep) ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องอยู่ภายใต้ดูแลอย่างใกล้ชิดของคุณครูผู้เชี่ยวชาญ 4.บุคลากรครูผู้สอนในระดับแนวหน้าของวงการศึกษาต่างประเทศที่เป็นเจ้าของภาษา และมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ โดยปัจจุบัน DBS ได้ครูที่ถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการการศึกษา และเป็นที่ต้องการของตลาดโรงเรียนนานาชาติทั่วโลก มาอยู่ที่ DBS กว่า 60 คน รวมถึงครูผู้ช่วยอีก 50 คน
เมื่อมีแต่หลักสูตรระดับเกรดเอ ก็ต้องมี Facilities คุณภาพเวิลด์คลาสมารองรับ
ดร.ต่อยศ กล่าวต่อว่า ข้อ 5 นี้คือ สิ่งที่ทำให้ DBS แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเนื้อที่กว่า 60 ไร่ เราได้ออกแบบอาคารเรียนเพื่อตอบโจทย์การเรียนการสอนตามหลักสูตรที่วางไว้ พื้นที่ใช้สอยที่โอ่โถง ห้องเรียนแต่ละห้องให้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าโรงเรียนนานาชาติทั่วไปถึง 50% ซึ่งเอื้อกับการเรียนการสอน และการดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อสานต่อพันธกิจในการเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำระดับภูมิภาค ในปีนี้ DBS ได้ให้ความสำคัญกับนโยบาย SUN & HEAT PROTECTION ซึ่งเป็นข้อกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนนานาชาติชั้นนำทั่วโลก นั่นคือ หากอุณหภูมิภายนอกสูงและรู้สึกเหมือน 40 องศาเซลเซียส จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้นักเรียนไปเรียนหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนจึงมีช่วงหน้าร้อนที่ยาวนาน และมีการคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อุณหภูมิในประเทศไทยจะสูงขึ้นจนอุณหภูมิอยู่ที่ 50 องศา ดังนั้นเพื่อคุณภาพชีวิตการศึกษาของนักเรียน DBS จึงลงทุนเพิ่มอีก 30 ล้านบาท ขยาย Facilities เน้นไปที่สิ่งอำนวยความสะดวกในร่ม เพื่อสร้างพื้นที่กิจกรรมภายในร่มให้นักเรียนได้สนุกกับกีฬาและการเล่นอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความร้อนที่จะมีผลต่อร่างกายในยามที่มีแดดร้อนจัด
ล่าสุด DBS กำลังสร้างอาคารกีฬาในร่มขนาดใหญ่เป็นอาคารหลังที่ 3 จากที่เคยมีอยู่เป็นอาคารกีฬาในร่มและในห้องแอร์ 2 หลัง เมื่อสร้างเสร็จ DBS จะมีอาคารกีฬามากที่สุดและมีขนาดรวมกันกว่า 3,600 ตารางเมตร จุคนได้ถึง 3,000 คน นอกจากนี้ยังได้สร้างกันสาดคลุมสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ เพื่อเป็นม่านบังแดดให้นักเรียนสามารถมีกิจกรรมกลางแจ้งโดยไร้ความกังวลเรื่องแสงแดด และสร้างออล-อิน-วัน คาเฟ่ ศูนย์รวมบริการเบเกอรี่ อาหาร และเครื่องดื่มสำหรับผู้ปกครอง ในขณะที่นั่งรอลูกเรียนหนังสือหรือทำกิจกรรมระหว่างวัน
การสร้างอาคารกีฬาในร่มแห่งที่ 3 กันสาดบังแดดสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ ออล-อิน-วัน คาเฟ่ จะทำให้ Facilites ของ DBS เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบถึงขีดสุดครอบคลุมกว่า 40 จุดทั่วโรงเรียน อาทิ สนามฟุตบอลปูด้วยหญ้าระดับฟีฟ่า ลู่วิ่งมาตรฐาน สระว่ายน้ำ (น้ำเกลือ) ในร่มขนาดใหญ่ ห้องยิมนาสติก สนามเทนนิส สนามซ้อมกอล์ฟ สนามกระโดดไกล สนามรักบี้ สนามเด็กเล่น 3 สนาม สนามทราย ห้องเรียนการแสดง 3 ห้อง ห้องเรียนดนตรี ห้องซ้อมดนตรีส่วนตัว 13 ห้อง สตูดิโอคอมพิวเตอร์ ห้องเวิร์คช็อปวิทยาศาสตร์ 2 ห้อง ห้องสมุด ห้องศิลปะ ห้องแสดงสินค้าและนิทรรศการ เป็นต้น
การันตีโดยมาตรฐานระดับโลกจาก ISAT และ CIS
ดร. เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารโรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล อีกท่าน เสริมว่า "นอกจากนี้ DBS ยังได้ผ่านมาตรฐานของการเป็นสมาชิกของสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (International School Association of Thailand - ISAT) และ Council of International School (CIS) ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำอันดับหนึ่ง ที่ประเมินคุณภาพและรับรองมาตรฐานทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติทั่วโลก การเรียนการสอนที่ DBS มุ่งเน้นความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ ครูผู้สอนต้องจบด้านการศึกษาและเป็นชาวอังกฤษทั้งหมด ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การสอน ที่มีคุณภาพเทียบกับโรงเรียนเอกชนชั้นนำในประเทศอังกฤษ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ และความร่วมมือกันระหว่างคุณครูและผู้ปกครองอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นการได้รับรองจากสองสถาบันนี้ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า DBS มีความพร้อมในการผลิตและสร้างผู้นำที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันบนเวทีระดับโลก สมกับคติของโรงเรียนคือ "Always to Greater Things"
การเรียนเป็นเลิศและการค้นพบ Passion ในตัวเอง คือกุญแจสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
มร. มาร์ค แม็คเวย์ (Mr. Mark McVeigh) ครูใหญ่โรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล ผู้มากประสบการณ์จากโรงเรียนชั้นนำทั้งในประเทศอังกฤษ และภูมิภาคเอเชีย ต่อยอดวิสัยทัศน์ของกลุ่มผู้ก่อตั้ง ตระกูลปาลเดชพงศ์ จึงมุ่งเน้นไปที่คุณภาพการเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการค้นพบความถนัดของตนเอง และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ มร. แมคเวย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยความแข็งแกร่งของการดำเนินงานภายใต้หลักปรัชญาความเป็นเลิศทั้ง 4 ด้าน (The Unique DBS Vision) ได้แก่ 1.การใช้หลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนจากโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศอังกฤษ ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านวิชาการและด้านกิจกรรม มาปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย รวมถึงการเสริมภาษาจีน และภาษาไทยเข้าไปในหลักสูตรเพื่อให้เข้ากับความต้องการของโลกอนาคต (Enhanced British Curriculum) 2.การส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีสัมฤทธิผลทางวิชาการเต็มศักยภาพ (Academic Excellence for All) 3.การพัฒนาและปลูกฝังทักษะความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship and Creative Thinking) เช่น ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าหาญในการตัดสินใจและลงมือทำ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในอนาคต และ 4.การปลูกฝังทักษะการสื่อสาร ทักษะการเป็นผู้นำ และวัฒนธรรมไทยที่เข้มแข็งให้กับนักเรียน (Global Perspective and Creative Thinking) ทำให้ที่ผ่านมา นักเรียน DBS มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านอย่างเห็นได้ชัด และมีนักเรียนที่สามารถคว้ารางวัลด้านวิชาการต่างๆ (Academic Awards) และรางวัลด้านกิจกรรมและกีฬา (Non-Academic Awards) ทั้งแบบบุคคลและทีมกว่า 30 คน ทำให้ DBS ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติที่สร้างผู้นำและผู้ประกอบการในอนาคตอันดับต้นๆ ซึ่งหากการก่อสร้าง Facilities ดังกล่าวแล้วเสร็จ DBS จะมีพื้นที่ในการฝึกฝนเด็กนักเรียนทั้งในร่มและกลางแจ้งได้อย่างเต็มอัตรา สามารถผลักดันศักยภาพนักเรียนให้ทะยานไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเพียบพร้อมทางวิชาการ หลักสูตรต่างๆ ครูผู้สอน และการขยาย Facilities นี้จะเพิ่มผลผลิตของนักเรียนคุณภาพจากที่มีอยู่เดิมให้มากยิ่งขึ้น
- ล่าสุดทุ่มทุนเพิ่ม 30 ล้านบาท สร้างอาคารกีฬาในร่มโรงที่ 3, กันสาดบังแดดสเตเดี้ยมขนาดยักษ์, คาเฟ่ DBS รองรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อเติมเต็มความสะดวกและเอื้อต่อการเรียน ตามปรัชญาของโรงเรียนคือ สร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาและทักษะผู้นำที่มีคุณภาพและมีความสุข "Nurturing Global Leaders"
เด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) โรงเรียนนานาชาติชั้นนำที่สอนด้วยหลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษที่ดีที่สุดในโลก เดินหน้าขยาย Facilities สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็น Best British School ในระดับภูมิภาค ภายหลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดการเรียนการสอนนานาชาติในระดับ EY จนถึง Year 9 (ระดับอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 2) และขยายการศึกษาระดับชั้นเตรียมอนุบาล ภายใต้ชื่อ "DBS Mini Dragons" ที่เปิดรับเด็กอายุ 2-3 ขวบ เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนในทุกมิติ ทำให้วันนี้ DBS มีนักเรียน 400 คน
หลายคนไม่รู้ว่า การสอบ IGCSE และ A-Level เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ต้องมีสิ่งนี้!
ผศ.ดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมบริหารโรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) กล่าวว่า นักเรียนในช่วง Year 13 หรืออายุ 18 ปี ที่กำลังจะศึกษาจบระดับชั้นมัธยมศึกษา เป็นช่วงที่สำคัญมากในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยการสอบ IGCSE และ A-Level ซึ่งคุณสมบัติในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งในประเทศอังกฤษ, ยุโรป และทั่วโลกนั้น ต่างพิจารณาคัดเลือกนักเรียนจากเกณฑ์สำคัญสองส่วนหลักๆ คือ คุณสมบัติทางด้านวิชาการ และทักษะการเป็นผู้นำ หรือทักษะพิเศษต่างๆ อาทิ ความสามารถพิเศษ ความมี Passion ที่โดดเด่นอย่างชัดเจน และทักษะสังคม เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถสร้างกันได้ในช่วงเวลาข้ามคืน แต่ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่ในวัยเด็ก ดังนั้น DBS จึงสร้างแนวทางการดำเนินงานภายใต้ปรัชญา "สร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาและทักษะผู้นำที่มีคุณภาพและมีความสุข (Nurturing Global Leaders)" ซึ่ง DBS มีความแข็งแกร่ง 5 ประการคือ 1.ความเป็นเลิศทั้งทางด้านวิชาการ โดยมีหลักสูตรวิชาหลักคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็ง 2.ด้านหลักสูตรการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นจุดที่โดดเด่นแตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี ร้องเพลง การละคร ศิลปะ การเขียนโปรแกรมมิ่งและโค้ดดิ้ง โดยเฉพาะฟุตบอล ว่ายน้ำ ยิงธนู ดนตรี ที่มีนักเรียนของ DBS เป็นนักกีฬาระดับชาติและนานาชาติ 3.การเพิ่มการเรียนการสอนอีก 2 ชั่วโมงทุกวัน หรือที่เรียกว่าระบบ Extended Day ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทำให้ DBS เปี่ยมไปด้วยเด็กที่มีคุณภาพ เพราะวันเรียนที่ยาวขึ้นในช่วงเย็น จะเป็นนาทีทองที่ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ให้นักเรียนได้โฟกัสในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้าชมรม (Club) ต่างๆ และช่วงเวลาในการทำการบ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันต่อไป (Prep) ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องอยู่ภายใต้ดูแลอย่างใกล้ชิดของคุณครูผู้เชี่ยวชาญ 4.บุคลากรครูผู้สอนในระดับแนวหน้าของวงการศึกษาต่างประเทศที่เป็นเจ้าของภาษา และมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ โดยปัจจุบัน DBS ได้ครูที่ถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการการศึกษา และเป็นที่ต้องการของตลาดโรงเรียนนานาชาติทั่วโลก มาอยู่ที่ DBS กว่า 60 คน รวมถึงครูผู้ช่วยอีก 50 คน
เมื่อมีแต่หลักสูตรระดับเกรดเอ ก็ต้องมี Facilities คุณภาพเวิลด์คลาสมารองรับ
ดร.ต่อยศ กล่าวต่อว่า ข้อ 5 นี้คือ สิ่งที่ทำให้ DBS แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเนื้อที่กว่า 60 ไร่ เราได้ออกแบบอาคารเรียนเพื่อตอบโจทย์การเรียนการสอนตามหลักสูตรที่วางไว้ พื้นที่ใช้สอยที่โอ่โถง ห้องเรียนแต่ละห้องให้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าโรงเรียนนานาชาติทั่วไปถึง 50% ซึ่งเอื้อกับการเรียนการสอน และการดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อสานต่อพันธกิจในการเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำระดับภูมิภาค ในปีนี้ DBS ได้ให้ความสำคัญกับนโยบาย SUN & HEAT PROTECTION ซึ่งเป็นข้อกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนนานาชาติชั้นนำทั่วโลก นั่นคือ หากอุณหภูมิภายนอกสูงและรู้สึกเหมือน 40 องศาเซลเซียส จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้นักเรียนไปเรียนหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนจึงมีช่วงหน้าร้อนที่ยาวนาน และมีการคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อุณหภูมิในประเทศไทยจะสูงขึ้นจนอุณหภูมิอยู่ที่ 50 องศา ดังนั้นเพื่อคุณภาพชีวิตการศึกษาของนักเรียน DBS จึงลงทุนเพิ่มอีก 30 ล้านบาท ขยาย Facilities เน้นไปที่สิ่งอำนวยความสะดวกในร่ม เพื่อสร้างพื้นที่กิจกรรมภายในร่มให้นักเรียนได้สนุกกับกีฬาและการเล่นอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความร้อนที่จะมีผลต่อร่างกายในยามที่มีแดดร้อนจัด
ล่าสุด DBS กำลังสร้างอาคารกีฬาในร่มขนาดใหญ่เป็นอาคารหลังที่ 3 จากที่เคยมีอยู่เป็นอาคารกีฬาในร่มและในห้องแอร์ 2 หลัง เมื่อสร้างเสร็จ DBS จะมีอาคารกีฬามากที่สุดและมีขนาดรวมกันกว่า 3,600 ตารางเมตร จุคนได้ถึง 3,000 คน นอกจากนี้ยังได้สร้างกันสาดคลุมสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ เพื่อเป็นม่านบังแดดให้นักเรียนสามารถมีกิจกรรมกลางแจ้งโดยไร้ความกังวลเรื่องแสงแดด และสร้างออล-อิน-วัน คาเฟ่ ศูนย์รวมบริการเบเกอรี่ อาหาร และเครื่องดื่มสำหรับผู้ปกครอง ในขณะที่นั่งรอลูกเรียนหนังสือหรือทำกิจกรรมระหว่างวัน
การสร้างอาคารกีฬาในร่มแห่งที่ 3 กันสาดบังแดดสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ ออล-อิน-วัน คาเฟ่ จะทำให้ Facilites ของ DBS เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบถึงขีดสุดครอบคลุมกว่า 40 จุดทั่วโรงเรียน อาทิ สนามฟุตบอลปูด้วยหญ้าระดับฟีฟ่า ลู่วิ่งมาตรฐาน สระว่ายน้ำ (น้ำเกลือ) ในร่มขนาดใหญ่ ห้องยิมนาสติก สนามเทนนิส สนามซ้อมกอล์ฟ สนามกระโดดไกล สนามรักบี้ สนามเด็กเล่น 3 สนาม สนามทราย ห้องเรียนการแสดง 3 ห้อง ห้องเรียนดนตรี ห้องซ้อมดนตรีส่วนตัว 13 ห้อง สตูดิโอคอมพิวเตอร์ ห้องเวิร์คช็อปวิทยาศาสตร์ 2 ห้อง ห้องสมุด ห้องศิลปะ ห้องแสดงสินค้าและนิทรรศการ เป็นต้น
การันตีโดยมาตรฐานระดับโลกจาก ISAT และ CIS
ดร. เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารโรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล อีกท่าน เสริมว่า "นอกจากนี้ DBS ยังได้ผ่านมาตรฐานของการเป็นสมาชิกของสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย (International School Association of Thailand - ISAT) และ Council of International School (CIS) ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำอันดับหนึ่ง ที่ประเมินคุณภาพและรับรองมาตรฐานทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติทั่วโลก การเรียนการสอนที่ DBS มุ่งเน้นความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ ครูผู้สอนต้องจบด้านการศึกษาและเป็นชาวอังกฤษทั้งหมด ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การสอน ที่มีคุณภาพเทียบกับโรงเรียนเอกชนชั้นนำในประเทศอังกฤษ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ และความร่วมมือกันระหว่างคุณครูและผู้ปกครองอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นการได้รับรองจากสองสถาบันนี้ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า DBS มีความพร้อมในการผลิตและสร้างผู้นำที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันบนเวทีระดับโลก สมกับคติของโรงเรียนคือ "Always to Greater Things"
การเรียนเป็นเลิศและการค้นพบ Passion ในตัวเอง คือกุญแจสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
มร. มาร์ค แม็คเวย์ (Mr. Mark McVeigh) ครูใหญ่โรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล ผู้มากประสบการณ์จากโรงเรียนชั้นนำทั้งในประเทศอังกฤษ และภูมิภาคเอเชีย ต่อยอดวิสัยทัศน์ของกลุ่มผู้ก่อตั้ง ตระกูลปาลเดชพงศ์ จึงมุ่งเน้นไปที่คุณภาพการเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการค้นพบความถนัดของตนเอง และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ มร. แมคเวย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยความแข็งแกร่งของการดำเนินงานภายใต้หลักปรัชญาความเป็นเลิศทั้ง 4 ด้าน (The Unique DBS Vision) ได้แก่ 1.การใช้หลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนจากโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศอังกฤษ ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านวิชาการและด้านกิจกรรม มาปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย รวมถึงการเสริมภาษาจีน และภาษาไทยเข้าไปในหลักสูตรเพื่อให้เข้ากับความต้องการของโลกอนาคต (Enhanced British Curriculum) 2.การส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีสัมฤทธิผลทางวิชาการเต็มศักยภาพ (Academic Excellence for All) 3.การพัฒนาและปลูกฝังทักษะความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship and Creative Thinking) เช่น ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าหาญในการตัดสินใจและลงมือทำ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในอนาคต และ 4.การปลูกฝังทักษะการสื่อสาร ทักษะการเป็นผู้นำ และวัฒนธรรมไทยที่เข้มแข็งให้กับนักเรียน (Global Perspective and Creative Thinking) ทำให้ที่ผ่านมา นักเรียน DBS มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านอย่างเห็นได้ชัด และมีนักเรียนที่สามารถคว้ารางวัลด้านวิชาการต่างๆ (Academic Awards) และรางวัลด้านกิจกรรมและกีฬา (Non-Academic Awards) ทั้งแบบบุคคลและทีมกว่า 30 คน ทำให้ DBS ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติที่สร้างผู้นำและผู้ประกอบการในอนาคตอันดับต้นๆ ซึ่งหากการก่อสร้าง Facilities ดังกล่าวแล้วเสร็จ DBS จะมีพื้นที่ในการฝึกฝนเด็กนักเรียนทั้งในร่มและกลางแจ้งได้อย่างเต็มอัตรา สามารถผลักดันศักยภาพนักเรียนให้ทะยานไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเพียบพร้อมทางวิชาการ หลักสูตรต่างๆ ครูผู้สอน และการขยาย Facilities นี้จะเพิ่มผลผลิตของนักเรียนคุณภาพจากที่มีอยู่เดิมให้มากยิ่งขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)