รายงานประจำปีว่าด้วยดัชนีราคายางธรรมชาติ Xinhua-HSF natural rubber series price indexes (2018-2019) เผยให้เห็นว่า อุปทานยางธรรมชาติในประเทศจีนมีแนวโน้มตึงตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 และอาจส่งผลให้ราคายางปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย China Economic Information Service (CEIS) ของสำนักข่าวซินหัว และ Haiken Group (HSF) ได้ร่วมกันเผยแพร่รายงานดังกล่าวที่งานประชุม 2019 Boao Forum for Entrepreneurs ซึ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในมณฑลไห่หนาน ทางใต้ของจีน
รายงานดังกล่าวเผยด้วยว่า อุปทานยางธรรมชาติในตลาดโลกจะยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อไปในระยะสั้น เนื่องจากกำลังการผลิตขนาดใหญ่ นอกจากนี้ที่งานประชุมเดียวกัน CEIS และ HSF ยังได้เปิดเผยรายงานอุตสาหกรรมหมากประจำปี 2018-2019 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หากอุปสงค์ไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าราคาซื้อผลหมากจะปรับตัวลดลงในเดือนธันวาคมปีนี้
ขณะเดียวกัน CEIS และรัฐบาลอำเภอเฉิงไม่แห่งมณฑลไห่หนาน ได้ออกรายงานดัชนีแนวโน้มอุตสาหกรรมกฤษณา ซึ่งเผยให้เห็นว่า ดัชนีแนวโน้มอุตสาหกรรมกฤษณาของจีนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 จะอยู่ที่ 130.19 จุด โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 100 จุด บ่งชี้ว่า บริษัทอุตสาหกรรมกฤษณาในประเทศมีการคาดการณ์เชิงบวกเกี่ยวกับการพัฒนาในอุตสาหกรรม
He Chunlong รองปลัดอำเภอเฉิงไม่ เปิดเผยว่า "อำเภอเฉิงไม่เป็นแหล่งปลูกกฤษณาที่ใหญ่ที่สุดของจีน (hometown of agarwood) โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา พื้นที่ปลูกกฤษณาในอำเภอมีอัตราการเติบโตที่ 10.17% ต่อปี"
Kuang Lecheng รองประธาน CEIS กล่าวว่า การจัดทำและออกดัชนียาง หมาก และกฤษณาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าเกษตรขึ้นชื่อของไห่หนาน
CEIS เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการบริหารและการดำเนินธุรกิจข้อมูลเศรษฐกิจของสำนักข่าวซินหัว โดยดูแลแพลตฟอร์มบริการข้อมูล 4 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ "Xinhua Finance" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลการเงินระดับประเทศ "Xinhua Silk Road" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับประเทศในแนวเส้นทาง Belt and Road เป็นหลัก "Xinhua Credit" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการข้อมูลเครดิตระดับประเทศ และแพลตฟอร์ม "Xinhua Indices"
Haiken Group เป็นรัฐวิสาหกิจเพียงแห่งเดียวของรัฐบาลมณฑลไห่หนาน ที่สนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ การเกษตรเขตร้อน การเลี้ยงปศุสัตว์ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว โลจิสติกส์การค้า และบริการทางการเงิน
ที่มา: China Economic Information Service (CEIS)
No comments:
Post a Comment