Friday, May 29, 2020

ซิกน่าเผยผลสำรวจพบความเป็นอยู่ทางการเงินและสังคมลดลงในช่วงวิกฤตโควิด-19

 กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

- รายงานศึกษาผลกระทบฉบับแรกบ่งชี้ว่าผู้คนมีระดับภาวะความเหงาลดลง
- คะแนนความเป็นอยู่หลายด้านยังคงทรงตัวนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดจนถึงปัจจุบัน
- กิจวัตรในการทำงานอาจเปลี่ยนไปถาวร เมื่อมาตรการล็อกดาวน์ยุติลง


อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ในเครือบริษัทซิกน่าเผยแพร่รายงานการศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโรคโควิด-19 ของซิกน่าฉบับแรกในวันนี้ด้วยความร่วมมือกับบริษัทกันตาร์ (Kantar) โดยรายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานสำรวจภาวะความเป็นอยู่แบบรอบด้าน (360 Well-Being Survey) ประจำปีของซิกน่า และเป็นฉบับแรกจากการศึกษาชุดใหม่ของซิกน่าเพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อภาวะความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก

รายงานสำรวจภาวะความเป็นอยู่แบบรอบด้าน (360 Well-Being Survey) ติดตามการรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ ซึ่งรวมถึงดัชนีที่ครอบคลุมความเป็นอยู่ทางกายภาพ, ครอบครัว, สังคม, การเงิน และการทำงานนับตั้งแต่ปี 2557 จากการสอบถามผู้ร่วมตอบแบบสำรวจจำนวน 10,204 คน ในจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, สเปน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด

ดัชนีบ่งชี้ภาวะความเป็นอยู่ยังทรงตัว

รายงานวิจัยใหม่ฉบับนี้บ่งชี้ว่า ภาวะความเป็นอยู่ตามการรับรู้ของเรานั้นปรับตัวรับได้อย่างน่าประหลาดใจ โดยดัชนีความเป็นอยู่ทั่วโลกในภาพรวมระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ยังทรงตัวอยู่ที่ 62.5 จุด แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคและมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ดัชนีความเป็นอยู่ด้านการเงินและสังคมกลับลดต่ำลง โดยดัชนีด้านการเงินลดลง 1 จุด (จาก 55.8 สู่ 54.8) และด้านสังคมลดลง 0.8 จุด (จาก 63.2 มาอยู่ที่ 62.4) ส่วนดัชนีด้านการทำงานและครอบครัวยังคงที่ โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในบางส่วนที่สำคัญ

ดัชนีความเป็นอยู่ทางสังคมในสหราชอาณาจักรหดตัวลงมากสุดถึง 4.1 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของจำนวนผู้ที่รู้สึกว่า พวกเขามีเวลาเพียงพอในการพบปะเพื่อน (ลดลงจาก 31% เหลือ 17%), มีเวลาเพียงพอให้กับตัวเอง (จาก 43% เหลือ 34%) และรู้สึกว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโดยรวมที่นอกเหนือไปจากครอบครัว (จาก 25% เหลือเพียง 15%) ขณะที่ดัชนีความเป็นอยู่ด้านสังคมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลาย ๆ ด้าน แม้ต้องอยู่ภายใต้การประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ จำนวนผู้ที่รู้สึกว่ามีเวลาเพียงพอให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นจาก 40% มาเป็น 50% และผู้ที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (เพิ่มขึ้นจาก 34% เป็น 46%)

ดัชนีความเป็นอยู่ด้านการทำงานยังอยู่ในระดับทรงตัว (เพิ่มเพียงเล็กน้อยจาก 68.7 มาเป็น 69) โดยได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากคะแนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนผู้ที่รู้สึกว่าได้รับการเรียนรู้และฝึกอบรมเพื่อการพัฒนา (เพิ่ม 4% จาก 54% มาเป็น 58%) ขณะที่ความสมดุลในด้านชีวิตการทำงานที่ดีก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เพิ่ม 1% จาก 63% มาเป็น 64%) ส่วนดัชนีความเป็นอยู่ด้านครอบครัวยังคงอยู่ในระดับทรงตัวเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 66.3 มาเป็น 66.9 ทั้งนี้ สิงคโปร์และยูเออีเป็นประเทศที่มีดัชนีความเป็นอยู่ด้านครอบครัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง (เพิ่ม 2.6 และ 2.9 จุดตามลำดับ) นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบสำรวจจากทั่วโลกมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของความสามารถที่จะปกป้องความเป็นอยู่ของคู่สมรส (เพิ่มจาก 44% เป็น 47%) และของบุตร (เพิ่มขึ้น 3% จาก 48% เป็น 51%) รวมถึงมีความรู้สึกว่าได้ใช้เวลามากเพียงพอกับครอบครัว (เพิ่ม 2% จาก 43% เป็น 45%)

เจสัน แซดเลอร์ ประธานซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ กล่าวว่า: "แม้จะมีความกังวลด้านการเงินเพิ่มสูงขึ้น ดังที่เห็นได้จากการพูดคุยกับลูกค้าและคู่ค้าของเรา แต่ก็น่าพอใจที่ได้เห็นว่า คะแนนสภาวะโดยรวมของเรายังคงทรงตัว ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวรับสถานการณ์ของผู้คนที่เราได้เห็นมาในขณะกำลังพยายามมุ่งความสนใจไปที่มุมมองแง่บวกจากสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเผยแพร่รายงานศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโควิด-19 ฉบับที่สองเร็ว ๆ นี้ และผมก็กำลังเฝ้าดูว่า แนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปหรือไม่"

การทำงานที่บ้านเพิ่มความพึงพอใจในงาน , ความสัมพันธ์กับงาน และการสื่อสาร

แม้อาจต้องใช้เวลาไปกับการทำงานยาวนานขึ้น แต่ผู้คนก็ยังมองว่า การทำงานจากที่บ้านทำให้ชีวิตการทำงานของพวกเขาดีขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 76% ระบุว่าวันทำงานของพวกเขามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยมากถึง 90%, ในสเปน 80% และในยูเออี 79% ต่างก็ยอมรับในเรื่องดังกล่าว ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจวัตรการทำงานอาจจะเปลี่ยนไปถาวร เมื่อมาตรการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง

ผู้ตอบแบบสำรวจยังรู้สึกด้วยว่า พวกเขามีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นในขณะที่เกิดวิกฤตการณ์ครั้งนี้ โดย 64% เห็นด้วยว่า การทำงานจากบ้าน และการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อสื่อสารนั้นช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อเทียบกับ 9% ที่ระบุว่า ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ระดับความพึงพอใจสูงสุดอยู่ในตลาดเอเชีย ซึ่งมักพบว่ามีการทำงานที่ยืดหยุ่นน้อยกว่าเมื่อเทียกับยุโรปและอเมริกาเหนือ ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 79% ในยูเออี, 73% ในจีน, 68% ในไทย และ 65% ในสิงคโปร์ระบุว่า พวกเขาสามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้นในช่วงวิกฤตนี้

ดร .พุยฮัน จอยซ์ เชา นักจิตวิทยาคลินิกจาก Dimensions Center ให้ความเห็นว่า:

"ผลการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนเสริมสำคัญที่มาเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อผู้คน การจัดการกับวิกฤตเป็นเรื่องส่วนบุคคลมาก ๆ และหลายคนก็ต้องเผชิญกับความวิตกกังวล ความสับสนในระดับสูง หรืออาจมีความรู้สึกหวาดกลัว โดยผลการวิจัยเบื้องต้นเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า การรับมือในช่วงเวลาวิกฤตเป็นเรื่องซับซ้อน ผู้คนจะเริ่มปรับตัวอย่างช้า ๆ และเมื่อการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เริ่มผ่อนคลายลง เราก็อาจได้เห็นระดับความวิตกกังวลพุ่งสูงขึ้น เพราะผู้คนจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการกลับไปทำงาน หรือบุตรหลานจะกลับไปเรียนอย่างไร"

ภาวะความเหงาลดลง

รายงานผลการศึกษาเรื่องผลกระทบฉบับแรกนี้พบว่า ผู้คนมีภาวะความเหงาลดต่ำลง โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 8% ที่ระบุว่า พวกเขารู้สึกห่างไกลจากคนอื่นในเดือนเมษายน เทียบกับ 11% ในเดือนมกราคม และเมื่อถามว่า พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้นหรือไม่ 73% ตอบว่าใช่ในเดือนเมษายน เทียบกับ 69% ในเดือนมกราคม แม้หลายประเทศจะมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์แบบเบ็ดเสร็จ โดยระดับความใกล้ชิดในยูเออีดีขึ้นจาก 71% เป็น 80%, สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 79% และสเปนเพิ่มขึ้นจาก 81% เป็น 91%

ชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้คนประสบปัญหาในการเลิกงาน

ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 79% ระบุว่า พวกเขาต้องเผชิญกับการทำงาน "ตลอดเวลา" และสิ่งนี้เพิ่มขึ้นในเกือบทุกประเทศ โดยเพิ่มขึ้น 7% ในสหราชอาณาจักร (74%) และเพิ่มขึ้น 6% ในสิงคโปร์ (78%) และฮ่องกง (72%) นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจยังรู้สึกด้วยว่าวันทำงานของพวกเขามีเวลายาวนานขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 59% ระบุว่า พวกเขาทำงานนานขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 18% ที่คิดว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น โดยเพิ่มขึ้นเป็น 75% ในไทย, 65% ในยูเออี และ 64% ในจีน

ดร .ดอว์น ซู ผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจด้านสุขภาพของซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ เสริมว่า: "คะแนนด้านภาวะความเหงาที่ลดลงนั้นเป็นเรื่องคาดไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ด้านบวกจากเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่า ทัศนคติต่อการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้คนรู้สึกว่า การทำงานจากที่บ้านให้ผลด้านบวกหลายข้อ โดยเฉพาะในแง่ของการทำให้ความรับผิดชอบต่อครอบครัวและต่องานมีความสมดุล แม้จะมีชั่วโมงทำงานที่ยาวนานขึ้นก็ตาม"

ความต้องการ ด้านบริการสุขภาพเสมือนจริงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความต้องการในเรื่องของบริการด้านสุขภาพเสมือนจริง (virtual health) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 60% ระบุว่า พวกเขาสนใจใช้บริการดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 73% ในยูเออี, 72% ในจีน และ 67% ในไทย สำหรับการใช้บริการสุขภาพเสมือนจริงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ การดำเนินการนัดหมายเพื่อพบแพทย์ โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 52% ระบุว่า พวกเขาจะใช้อี-เฮลธ์ในการทำการนัดหมายในอนาคต โดยเพิ่มขึ้นเป็น 65% ในสเปน และอีก 39% ระบุว่า พวกเขาจะเลือกใช้บริการสุขภาพเสมือนจริงเพื่อการดูแลสุขภาพจิตในอนาคต ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 53% ในไทย และ 51% ในจีน

ดร .ซูกล่าวต่อไปว่า: "ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา จำนวนการนัดหมายผ่านบริการสุขภาพเสมือนจริงที่ลูกค้าของเราเข้ามาใช้นั้นเพิ่มขึ้น 6 เท่า จาก 233 รายในเดือนมกราคม มาเป็น 1,438 ในเดือนเมษายน และเราก็เชื่อว่า นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถาวร เราจึงลงทุนในโซลูชันด้านสุขภาพแบบครบวงจรตัวใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนจัดการสุขภาพทั้งกายและใจ และให้การรักษาในเวลาและสถานที่ที่ต้องการได้"

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยใช้แบบสำรวจทางออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสำรวจได้รับคัดเลือกมาจากฐานสมาชิกผู้ตอบแบบสำรวจออนไลน์ และผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด ขณะที่อายุ วัย และโควต้าเมืองที่อาศัยถูกกำหนดโดยใช้สัดส่วนประชากรของตลาดที่เกี่ยวข้อง การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 10 มกราคมถึง 24 กุมภาพันธ์ และวันที่ 22-27 เมษายน โดยมีการสัมภาษณ์ทางออนไลน์ 8,983 คนในเดือนมกราคม และ 1,221 คนในเดือนเมษายน ใน 8 ประเทศ และแบบสำรวจใช้เวลาทำ 20-25 นาทีโดยไม่มีการเปิดเผยชื่อ

เกี่ยวกับ ซิกน่า

ซิกน่า คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทด้านบริการสุขภาพระดับโลกที่มีความมุ่งมั่นต่อการปรับปรุงสุขภาพ, ความเป็นอยู่ และความสงบทางใจของผู้ที่เราให้บริการ ซิกน่าส่งมอบทางเลือก, การคาดคะเน, ความสามารถในการใช้จ่าย และการเข้าถึงการดูแลที่มีคุณภาพ ด้วยความสามารถที่ครอบคลุมและโซลูชันที่มีความเชื่อมโยงและออกแบบมาเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคลเพื่อมอบสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของบริษัทได้รับการจัดหาให้แต่เพียงผู้เดียวผ่านทางบริษัทลูกของซิกน่า คอร์ปอเรชั่น รวมถึง Cigna Health and Life Insurance Company, Cigna Life Insurance Company of New York, Connecticut General Life Insurance Company,  Express Scripts หรือบริษัทในเครือ และ Life Insurance Company of North America ผลิตภัณฑ์และบริการดังกล่าวครอบคลุมถึงบริการครบวงจรด้านสุขภาพ เช่น การแพทย์ ทันตกรรม พฤติกรรมสุขภาพ เภสัชกรรม สวัสดิการ การดูแลรักษาสายตา และบริการเสริมอื่นๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การคุ้มครองเป็นกลุ่มสำหรับภาวะทุพพลภาพ ชีวิต และอุบัติเหตุ ซิกน่ามีทีมงานด้านการขายอยู่ในกว่า 30 ประเทศและเขตแดน และมีลูกค้าที่เราให้บริการอยู่ประมาณ 170 ล้านรายทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิกน่า Cigna(R)  ได้ที่ www.cigna.com และติดตามเราได้ทางเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์

โลโก้ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200527/2814385-1LOGO

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

Chengdu is Becoming the Engine Driving Development in China

CHENGDU China--29 May--Xinhua-AsiaNet/InfoQuest

On April 28, the official website of Sichuan Provincial Government released the Reply and Approval from Sichuan Provincial People's Government for the Founding of the Eastern Chengdu New Area. According to the document, the Chengdu Eastern New Area will become a "new platform for the formation of the Chengdu-Chongqing Economic Circle".

Chengdu and Chongqing are two neighboring megacities located in western China, and citizens of the two cities share similar customs and dining habits. In January this year, the term "Chengdu-Chongqing Economic Circle" was coined, which the Chinese government intends to position as "important growth pole for high-quality development".

As one of the two core cities of the "Chengdu-Chongqing Economic Circle", Chengdu's expansion in recent years has garnered widespread attention across the globe. In October 2019, according to a ranking compiled by the Milken Institute, a think tank in the United States, which ranked 262 Chinese cities based on nine development indices, Chengdu even surpassed Shenzhen to top the list of Best-performing Chinese Cities.

"Data from the Best-performing Chinese Cities ranking sufficiently indicate that scientific and technological innovation is the cornerstone for the transformation of Chinese cities in the future." Huang Huayue, General Manager of the Research Department of the Milken Institute Asia Center and co-author of the report, pointed out that "Chengdu is building a hi-tech and modern industrial sphere with sound international reputation and increasing its economic clout in the development of China's western region, both of which fit the level of influence typical of a core city in a megalopolis."

In order to stimulate industrial impetus and potential, incubate and cultivate local technological and innovative enterprises, and attract more technological and innovative firms to set up presence in the city, Chengdu created a "Unicorn Island" in Tianfu New Area in the south of the city, which also happens to be the world's first industrial complex primarily engaged in the incubation and cultivation of unicorn companies. At present, the main structure of the complex Exhibition and Convention Center will soon finish construction, while the whole project is anticipated to come to fruition by 2022.

Other than the "Unicorn Island," the "Business and Innovation Centre for China-Europe Cooperation" is also rising fast into the limelight as the premier destination of choice in western China among technological and innovative companies around the globe. Currently, more than 50 world-famous organizations and corporations such as AWS Joint Innovation Center, Greater China HQ of Norwegian company Opera, French internet-of-things enterprise Sigfox and the Global Asia-Pacific HQ of U.K. firm Vertu.

On January 16 this year, the Chengdu-Israel Science and Technology Innovation Center was formally launched at the Business and Innovation Centre for China-Europe Cooperation. Dedicated to services such as international finance, international commerce for the hi-tech industry and international scientific and technological research outcome transformation for the biomedicine industry, the Center aims to meet the needs among Chengdu's local technological and innovative projects to bolster global communication.

The gathering and growth of enterprises bring along busier population and cargo traffic between cities and as the national central city closest to Europe, Chengdu's status as an international hub is also becoming increasingly apparent.

Chengdu Shuangliu International Airport is the Chinese mainland's number four aviation hub, where 127 international (regional) routes provide access to five continents. The Tianfu International Airport now under construction is expected to put into operation in 2021, which will position Chengdu as the third city in the Chinese mainland behind Beijing and Shanghai to possess two of its own international airports.

At the same time, Chengdu is also China's railway freight shipping center for access to Europe. The number of departure of the China-Europe Railway Express from Chengdu has maintained its top spot in the country for three straight years. Even under the impact of the COVID-19 epidemic, in January and February this year Chengdu's China-Europe Railway Express still recorded 267 departures, actually equating to a stunning 88% jump compared with the same period last year.

The city's crucial hub position is just as profound domestically. At present, the 280km-long Chengdu-Chongqing Hi-speed Railway Central Line, a third hi-speed rail between Chengdu and Chongqing, is being built, and upon completion the time required to travel between the two cities will drop from 90 minutes today to merely 50 minutes. This is yet another important measure beneficial to the formation of the "Chengdu-Chongqing Economic Circle" and the integration of the Chengdu-Chongqing City Cluster.

Chengdu is using a "new area" to create the eastern gateway advantageous to the formation of the dual-city economic circle. Perhaps the "Chengdu-Chongqing Economic Circle" is going to become China's next Yangtze River Delta Megalopolis and the key driver that propels sustained and robust growth of the Chinese economy in the next several decades, and meanwhile Chengdu is the main engine that will provide the core driving force.

Source: The Chengdu Eastern New Area

นครเฉิงตูเตรียมผงาดเป็นอภิมหานคร มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาจีน

เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ทางการของรัฐบาลมณฑลเสฉวนได้เผยแพร่เอกสารการตอบรับและอนุมัติการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจใหม่เฉิงตูตะวันออก (Eastern Chengdu New Area) ซึ่งระบุว่า เขตเศรษฐกิจแห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่ใหม่สำหรับการพัฒนาวงกลมเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่ง หรือ "Chengdu-Chongqing Economic Circle"

เฉิงตูและฉงชิ่งเป็นมหานครที่มีอาณาเขตติดกันในภาคตะวันตกของจีน โดยประชากรของทั้งสองเมืองมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมการกินที่คล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้มีการบัญญัติคำว่า "Chengdu-Chongqing Economic Circle" ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลจีนที่ต้องการสร้างพื้นที่ดังกล่าวให้เป็น “ขั้วความเจริญที่สำคัญเพื่อการพัฒนาที่มีคุณภาพ”

การขยายตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของนครเฉิงตู อันเป็นหนึ่งในสองเมืองหลักของ "Chengdu-Chongqing Economic Circle" ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก โดยในเดือนตุลาคม 2562 สถาบันมิลเคน (Milken Institute) ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองในสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับเมือง 262 แห่งในประเทศจีน โดยอ้างอิงจากดัชนีชี้วัดด้านการพัฒนา 9 ข้อ พบว่า เฉิงตูแซงหน้าเซินเจิ้นขึ้นเป็นเมืองที่ทำผลงานดีที่สุดของจีน (Best-performing Chinese Cities)

นายหวง หัวเยี่ยว์ ผู้จัดการแผนกวิจัยของศูนย์เอเชียสถาบันมิลเคน และผู้ร่วมเขียนรายงานฉบับดังกล่าว เผยว่า “ข้อมูลการจัดอันดับเมืองที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดของจีน เพียงพอที่จะชี้ว่า นวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นรากฐานของการปฏิรูปเมืองของจีนในอนาคต” และระบุด้วยว่า “นครเฉิงตูกำลังสร้างเขตอุตสาหกรรมไฮเทคสมัยใหม่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับสากล และกำลังขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจออกไปในการพัฒนาฝั่งตะวันตกของจีน ซึ่งทั้งสองปัจจัยนับเป็นแรงสนับสนุนสำหรับเมืองที่จะก้าวสู่ความเป็นอภิมหานคร”

เพื่อที่จะกระตุ้นแรงผลักดันและศักยภาพของอุตสาหกรรม บ่มเพาะและฟูมฟักองค์กรนวัตกรรมและเทคโนโลยีท้องถิ่น ตลอดจนดึงดูดบริษัทด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มาตั้งธุรกิจในเมืองมากขึ้น นครเฉิงตูจึงสร้าง "เกาะยูนิคอร์น" ในเขตเศรษฐกิจใหม่เทียนฝู่ทางตอนใต้ของเมือง ซึ่งปัจจุบันยังได้กลายเป็นศูนย์อุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกที่มุ่งเน้นการบ่มเพาะและฟูมฟักบริษัทระดับยูนิคอร์นเป็นหลัก ทั้งนี้ โครงสร้างหลักซึ่งได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม จะก่อสร้างแล้วเสร็จในไม่ช้า ขณะที่คาดว่า รวมทั้งโครงการจะบรรลุผลภายในปี 2565

นอกจาก "เกาะยูนิคอร์น" แล้ว ศูนย์นวัตกรรมและธุรกิจเพื่อความร่วมมือระหว่างจีนและยุโรป หรือ Business and Innovation Centre for China-Europe Cooperation ก็กำลังผงาดขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำในภาคตะวันตกของจีนที่บริษัทด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั่วโลกเลือกเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบัน มีบริษัทและองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 50 แห่ง เช่น ศูนย์นวัตกรรม AWS Joint Innovation Center สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเกรทเทอร์ของบริษัท Opera จากนอร์เวย์ Sigfox บริษัทด้าน IoT ของฝรั่งเศส และสำนักงานใหญ่ระดับโลกประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท Vertu จากสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเฉิงตู-อิสราเอลอย่างเป็นทางการภายใน Business and Innovation Centre for China-Europe Cooperation โดยศูนย์แห่งนี้มุ่งเน้นการบริการ เช่น การเงินระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทค และการแปรผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ ด้วยเป้าหมายที่จะตอบสนองบรรดาโครงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมท้องถิ่นของเฉิงตูที่ต้องการเพิ่มการติดต่อสื่อสารกับทั่วโลก

การรวมกลุ่มและการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ ทำให้เฉิงตูกลายเป็นเมืองที่คึกคักมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของประชากร และการขนส่งสินค้าระหว่างเมืองต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ในฐานะเมืองศูนย์กลางของจีนที่ใกล้ชิดกับยุโรปมากที่สุด เมืองเฉิงตูจึงยิ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดมากขึ้นในฐานะศูนย์กลางระหว่างประเทศ

โดยท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิวเป็นศูนย์กลางการบินอันดับ 4 ของจีน ด้วยเส้นทางการบินระหว่างประเทศ (ภูมิภาค) 127 เส้นทางไปยัง 5 ทวีป ขณะที่ท่าอากาศยานยานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2564 และจะทำให้เฉิงตูกลายเป็นเมืองแห่งที่สามในประเทศจีน ต่อจากปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ที่มีสนามบินนานาชาติสองแห่งตั้งอยู่ในเมือง

ในขณะเดียวกัน เฉิงตูยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากจีนไปยังยุโรป โดยมีขบวนรถไฟด่วนจีน-ยุโรป (China-Europe Railway Express) เดินทางออกจากเฉิงตูเป็นจำนวนมากที่สุดในประเทศจีนเป็นปีที่สามติดต่อกัน และแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ขบวนรถไฟด่วนจีน-ยุโรปที่ออกจากเฉิงตูในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ปีนี้ ก็ยังคงทำสถิติที่ 267 ขบวน ซึ่งพุ่งขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

เฉิงตูยึดตำแหน่งฮับที่สำคัญในประเทศไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยขณะนี้ ทางรถไฟความเร็วสูงสายกลางที่เชื่อมระหว่างเฉิงตูและฉงชิ่ง (Chengdu-Chongqing Hi-speed Railway Central Line) ระยะทาง 280 กม. ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงสายที่สามระหว่างเฉิงตูและฉงชิ่งนั้น กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างสองเมืองลดลงจาก 90 นาทีในปัจจุบัน เหลือเพียง 50 นาที การดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่จะส่งผลดีต่อการพัฒนา Chengdu-Chongqing Economic Circle และ Chengdu-Chongqing City Cluster

เฉิงตูกำลังใช้เขตเศรษฐกิจใหม่ หรือ "new area" ในการสร้างประโยชน์จากการเป็นประตูสู่ภาคตะวันออก เพื่อพัฒนาวงกลมเศรษฐกิจที่ครอบคลุมพื้นที่ของสองเมือง และอาจทำให้ "Chengdu-Chongqing Economic Circle" กลายเป็นอภิมหานครแห่งใหม่ของจีนในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ตลอดจนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า ในขณะที่เฉิงตูจะทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการส่งพลังขับเคลื่อน

ที่มา: The Chengdu Eastern New Area

หัวเว่ย ประกาศเปิดตัวระบบเก็บข้อมูลรุ่นใหม่ OceanStor Pacific Series สะท้อนมาตรฐานใหม่ของหน่วยเก็บมวลสูง

หัวเว่ย ได้ประกาศเปิดตัวระบบเก็บข้อมูลมวลสูงรุ่นใหม่อย่าง OceanStor Pacific Series ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูล AI, HPC, วิดีโอ และข้อมูลมวลสูงอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเชื่อถือได้ ด้วยการทลายขีดจำกัดเดิม ๆ ในทางสถาปัตยกรรม บริการ และสมรรถนะการทำงาน พร้อมงัดใช้อัลกอริทึม EC ที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และรองรับหลายโปรโตคอล ประกอบกับชุดฮาร์ดแวร์เฉพาะงาน หน่วยเก็บมวลสูงนี้นับเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเก็บข้อมูลมวลสูงที่รองรับกับอนาคต เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ปลดล็อกขุมพลังของข้อมูลในยุคอัจฉริยะได้อย่างเต็มกำลัง
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ส่งผลให้การผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นที่นิยมในโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ การผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นโอกาส และเปลี่ยนโอกาสเหล่านี้เป็นบริการ จนกลายเป็นผลกำไรในท้ายที่สุด ปัจจัยการผลิตใหม่นี้ทำให้องค์กรต่าง ๆ เร่งหาวิธีรวบรวมและเก็บข้อมูลประเภทต่าง ๆ ให้คุ้มค่ากับต้นทุน ทั้งข้อมูลเชิงโครงสร้างจากบริการหลัก และข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างปริมาณมากจาก 5G, IoT และ UHD โดยองค์กรต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้ เพื่อแปลงข้อมูลดังกล่าวเป็นความรู้และบริการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการผลิตต่อไป
ปีเตอร์ โจว ประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์หน่วยเก็บข้อมูลและการมองเห็นอัจฉริยะของหัวเว่ย กล่าวว่า “ข้อมูลมวลสูงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการพลิกโฉมองค์กรธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ปัจจุบัน มีข้อมูลเพียง 2% ทั่วโลกที่ถูกจัดเก็บ และมีข้อมูลเพียง 10% ที่กำลังถูกใช้เพื่อนำไปสร้างประโยชน์ ทุกวันนี้ องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับปัญหาขีดความสามารถไม่เพียงพอ การเก็บข้อมูลแยกกัน และความซับซ้อนในการบริหารจัดการเมื่อต้องรับมือกับข้อมูลมวลสูง OceanStor Pacific Series จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งเป็นการวางมาตรฐานใหม่ในการเก็บข้อมูลมวลสูงที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และยั่งยืน และช่วยให้เราก้าวขึ้นเป็นตัวเลือกที่ไว้วางใจได้ในการเก็บข้อมูลมวลสูง”
ชาง ไหเฟิง ประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์หน่วยเก็บมวลสูงของหัวเว่ย ได้อธิบายถึงทิศทางกลยุทธ์ของหัวเว่ยสำหรับตลาดหน่วยเก็บมวลสูง โดยมี 3 ข้อ ดังนี้
- เทคโนโลยีแถวหน้า: หัวเว่ยสร้างฮาร์ดแวร์ที่ทำงานเฉพาะทางมากมาย และงัดใช้นวัตกรรมซอฟต์แวร์สุดล้ำ เช่น อัลกอริทึมลดขนาดข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและรองรับหลายโปรโตคอล และความน่าเชื่อถือหลายระดับเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน
- นวัตกรรมธุรกิจ: หัวเว่ยงัดใช้เทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมในเรื่องการป้องกันและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล เพื่อเป็นผู้เล่นรายแรกในอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมโมเดลธุรกิจที่เน้นเรื่องความจุรองรับ โมเดลดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานทราบถึงสิ่งที่จะได้ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการจัดหา รวมถึง TCO และเกณฑ์การใช้งานสำหรับหน่วยเก็บมวลสูง
- ความเชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรม: หัวเว่ยได้รับพลังขับเคลื่อนจากข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรม ทำให้หัวเว่ยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมเร่งการพลิกโฉมองค์กรสู่ยุคดิจิทัล และปลดปล่อยขุมพลังของข้อมูลให้เป็นที่ปรากฏ
มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และคงทนถาวร: ตัวเลือกที่ไว้วางใจได้สำหรับข้อมูลจำนวนมาก
หัวเว่ยได้เปิดตัวอุปกรณ์จัดเก็บไฟล์รุ่นแรกในปี 2552 และได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากนับแต่นั้น โดยครองอันดับ 1 ในส่วนแบ่งตลาดจีนเป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน ติดต่อกัน OceanStor Pacific Series มีเป้าหมายที่จะกลายเป็นตัวเลือกที่ไว้วางใจได้สำหรับข้อมูลจำนวนมากด้วยการใช้ประโยชน์จากความรู้ทางเทคนิคตลอดหลายปีในด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่างเต็มที่ และสร้างนวัตกรรมใหม่ที่มีทั้งประสิทธิภาพ คุ้มราคา และไว้วางใจได้
- ประสิทธิภาพ: ซีรีส์นี้ทลายขอบเขตบริการเดิม ๆ เพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อหลายระบบทั้งไฟล์, HDFS และโปรโตคอลวัตถุ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพและการสูญเสียทางความหมายที่เกิดจากเกตเวย์แบบเดิม โดยในการวิจัยและพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้น ระบบการจัดเก็บข้อมูลของหัวเว่ยเพียงตัวเดียวทำการประมวลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในหลายเฟส ข้อมูลไม่จำเป็นต้องย้ายระหว่างระบบการจัดเก็บข้อมูลหลายระบบ ส่งผลให้พัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการบริการขึ้นอีก 25% และลดพื้นที่ลง 20% การทลายขอบเขตด้านสมรรถนะนี้ ทำให้ระบบไฟล์รุ่นใหม่นี้รองรับการใช้งานที่มีการใช้แบนด์วิดท์ และ OPS สูง ให้สอดรับกับโหลด HPC ที่นับวันยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น
- คุ้มค่า: ซีรีส์นี้เอาชนะกำแพงสถาปัตยกรรมด้วยนวัตกรรมโหมด vNode ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี EC ยืดหยุ่นรุ่นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ดิสก์ขึ้นเป็น 93% มากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมกว่า 40% โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ โหนดแบบใหม่ที่มีความหนาแน่นสูงและความจุใหญ่สามารถรองรับดิสก์ได้ 120 ตัวในขนาดเพียง 5U โดยมีความหนาแน่นกว่าเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บทั่วไป 2.67 เท่า และลดพื้นที่ลง 62.5% ข้อมูลประเภท hot data, warm data และ cold data จะถูกจัดเรียงเข้าใน SSD, HDD และ Blu-ray โดยอัตโนมัติตามต้องการ ซึ่งหมายความว่า ข้อมูลสามารถเดินทางได้อย่างอิสระโดยไม่มีการแทรกแซง
- คงทนถาวร: ซีรีส์มีกลไก 4 ระดับสำหรับข้อมูล อุปกรณ์ ระบบ และโซลูชัน เพื่อรับรองความไว้วางใจได้ในระดับสูง โดยระบบการตรวจสอบสภาพการทำงานย่อยและการประมวลผลเบื้องต้นนั้น ช่วยระบุความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง OceanStor Pacific Series ใช้กลไก DR แบบ active-active ข้ามคลัสเตอร์และ multi-active แบบสามจุดสำหรับการทำ DR ข้ามขอบเขต เพื่อรับประกันการให้บริการออนไลน์ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งการจัดเก็บภาพ วิดีโอออนไลน์ และการใช้งานด้านการผลิตอื่น ๆ
ระบบเก็บข้อมูล Huawei OceanStor มีการนำไปใช้ในกว่า 150 ประเทศ ครอบคลุมลูกค้ากว่า 12,000 รายในภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง การเงิน หน่วยงานรัฐบาล พลังงาน บริการสุขภาพ การผลิต และการคมนาคม โดย Huawei OceanStor เป็นตัวเลือกในอุดมคติสำหรับลูกค้าทั่วโลกที่กำลังมองหาวิธีจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลบริการของตน

เกี่ยวกับ Huawei
หัวเว่ย เป็นผู้นำของโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะ ด้วยโซลูชันครบวงจรที่ครอบคลุม 4 ขอบข่ายหลัก ได้แก่ เครือข่ายโทรคมนาคม ไอที อุปกรณ์อัจฉริยะ และบริการคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างแท้จริง
หัวเว่ย ให้บริการครบวงจรทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และบริการ โดยมาพร้อมศักยภาพอันโดดเด่นและความปลอดภัย เราทำงานร่วมกันอย่างเปิดกว้างกับพันธมิตรในระบบนิเวศ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนสำหรับลูกค้า สร้างพลังให้กับผู้คน เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตในบ้าน ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กรทุกขนาดและทุกรูปแบบ
นวัตกรรมของหัวเว่ยมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า เราลงทุนมหาศาลในการวิจัยพื้นฐาน และมุ่งมั่นกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า เรามีพนักงานกว่า 194,000 คน และดำเนินงานในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก หัวเว่ยเป็นบริษัทเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ. 2530 และพนักงานทุกคนเป็นเจ้าของบริษัทร่วมกันอย่างแท้จริง
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวเว่ยได้ที่ www.huawei.com หรือ
http://www.linkedin.com/company/Huawei
http://www.twitter.com/Huawei
http://www.facebook.com/Huawei
http://www.youtube.com/Huawei

ผลสำรวจของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เผยผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกหาข้อมูลโภชนาการในโซเชียลมีเดีย แต่ความเชื่อผิด ๆ ที่เผยแพร่เต็มโลกออนไลน์ทำให้พลาดข้อมูลโภชนาการที่ถูกต้อง

มีผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ทำแบบทดสอบความรู้เรื่องโภชนาการทั่วไปผ่านเกณฑ์ และมีเพียง 4 ใน 10 คนที่มั่นใจมากว่าตนเองมีความรู้เรื่องโภชนาการ



เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น (Herbalife Nutrition) บริษัทโภชนาการระดับโลก เผยแพร่ผลสำรวจความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโภชนาการในเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2563 (Asia Pacific Nutrition Myths Survey 2020) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกหาข้อมูลโภชนาการในโซเชียลมีเดียบ่อยที่สุด โดยเกือบ 7 ใน 10 (68%) ใช้โซเชียลมีเดียรวบรวมข้อมูลโภชนาการทุกเดือน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลและความเชื่อผิด ๆ ที่เผยแพร่เต็มโลกออนไลน์เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความรู้เรื่องโภชนาการที่ถูกต้อง

เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับความรู้เรื่องโภชนาการของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก และเปิดเผยความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโภชนาการที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบัน เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ได้ทำการสำรวจผู้บริโภค 5,500 คนในหลายตลาด ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม เมื่อเดือนมีนาคม 2563

ผู้ตอบแบบสำรวจต้องทำแบบทดสอบความรู้เรื่องโภชนาการทั่วไปที่แนบมาพร้อมกับแบบสำรวจ ซึ่งผลปรากฏว่ามีไม่ถึง 1 ใน 4 (23%) ที่ตอบคำถามถูกมากกว่าครึ่งหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกมีความรู้เรื่องโภชนาการในระดับต่ำ นอกจากนั้นยังมีไม่ถึง 4 ใน 10 (38%) ที่มั่นใจมากว่าตนเองมีความรู้เรื่องโภชนาการ

"แหล่งข้อมูลโภชนาการมีอยู่มากมายมหาศาล แต่ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโภชนาการก็เผยแพร่เต็มไปหมด ผู้บริโภคจึงเผชิญกับความท้าทายมากกว่าที่เคยในการรับข้อมูลที่ถูกต้อง และต้องแยกความจริงออกจากความเท็จให้ได้ การที่ผู้บริโภคทำแบบทดสอบความรู้เรื่องโภชนาการทั่วไปได้คะแนนต่ำ ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการรับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้" สตีเฟน คอนจี รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น กล่าว "ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการสำรวจทำให้เราต้องการเผยช่องว่างด้านข้อมูลโภชนาการและช่วยอุดช่องว่างนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความรู้เรื่องโภชนาการที่จำเป็น อันจะนำไปสู่การบรรลุผลลัพธ์สุขภาพตามที่ปรารถนา"

โซเชียลมีเดีย : แหล่งข้อมูลโภชนาการที่ใช้บ่อยที่สุด แต่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด

เมื่อถามผู้บริโภคว่าหาข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการจากแหล่งใด:

- 68% ใช้โซเชียลมีเดีย
- 64% ถามคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง
- 59% ดูในสื่อสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์อย่างน้อยเดือนละครั้ง

โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลโภชนาการที่ใช้บ่อยที่สุด แต่ผู้บริโภคกลับเชื่อมั่นน้อยที่สุดในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล

- ผู้บริโภคเพียง 3 ใน 10 (30%) มั่นใจมากในความถูกต้องของข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย
- ผู้บริโภคกว่า 7 ใน 10 (72%) มั่นใจมากในความถูกต้องของข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ
- ผู้บริโภคกว่าครึ่ง (54%) มั่นใจมากในความถูกต้องของข้อมูลจากบริษัทโภชนาการ

เมื่อถามถึงประโยชน์ของแหล่งข้อมูลโภชนาการ มีผู้บริโภคไม่ถึงครึ่ง (48%) ที่ระบุว่าข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมีประโยชน์มากหรือมากที่สุด โดยผู้บริโภคมองว่าข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ (74%) บริษัทโภชนาการ (60%) รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์ (53%) มีประโยชน์มากกว่า

ข้อมูลและความเชื่อผิด ๆ บนโลกออนไลน์ : ขัดขวางการเข้าถึงความรู้เรื่องโภชนาการที่ถูกต้อง

ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกกว่า 7 ใน 10 (72%) กล่าวว่า การได้รับความรู้เรื่องโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสมมีความสำคัญมากหรือมากที่สุด แต่มีผู้บริโภคไม่ถึง 3 ใน 10 (27%) ที่ได้รับข้อมูลโภชนาการอย่างเหมาะสม โดยอุปสรรคสำคัญประกอบด้วย

- ข้อมูลและความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโภชนาการที่เผยแพร่เต็มโลกออนไลน์ (40%)
- การขาดแคลนข้อมูลโภชนาการจากเว็บไซต์ของภาครัฐและหน่วยงานสุขภาพ (16%)
- การขาดแคลนข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ (16%)

อุดช่องว่างด้านความรู้เรื่องโภชนาการในเอเชียแปซิฟิก

เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพและบริษัทโภชนาการถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลโภชนาการที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีบทบาทมากขึ้นในการมอบข้อมูลและเครื่องมือที่จำเป็นให้แก่ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากที่สุดจากโภชนาการที่ดี

ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก (65%) สนใจรับคำแนะนำด้านโภชนาการจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น และกว่า 4 ใน 5 (83%) ต้องการรับคำแนะนำด้านโภชนาการเชิงรุกมากขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยเหตุนี้ ความพยายามร่วมกันของภาครัฐ สถาบันสุขภาพ และแวดวงโภชนาการ จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโภชนาการและประโยชน์ของโภชนาการที่ดี อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

เกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น

เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เป็นบริษัทโภชนาการระดับโลกที่มีความมุ่งหมายในการทำให้ผู้คนทั่วโลกมีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น บริษัทก่อตั้งขึ้นด้วยพันธกิจด้านโภชนาการ เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนด้วยโภชนาการและแผนการจัดการโภชนาการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 บริษัทร่วมกับผู้จำหน่ายอิสระเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น มีพันธะสัญญาในการนำเสนอทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญ ได้แก่ ภาวะการได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน สภาวะน้ำหนักเกิน การเพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรผู้สูงวัย ค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาสุขภาพของภาครัฐที่พุ่งสูงขึ้น และการเติบโตของธุรกิจผู้ประกอบการในทุกช่วงวัย ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในโรงงานของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคลจากผู้จำหน่ายอิสระ รวมถึงแนวทางในการสนับสนุนชุมชน ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น

ผลิตภัณฑ์ของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์โภชนาการเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการจัดการน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมสร้างพลังงานและเพื่อการกีฬา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม ซึ่งจัดจำหน่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัวของผู้จำหน่ายอิสระของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น และผ่านผู้จำหน่ายอิสระไปยังผู้บริโภคในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก สำหรับกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัทได้ให้การสนับสนุน เฮอร์บาไลฟ์ แฟมิลี่ ฟาวเดชั่น (Herbalife Family Foundation: HFF) และโครงการคาซ่า เฮอร์บาไลฟ์ เพื่อนำพาโภชนาการที่ดีไปสู่เด็ก ๆ ที่ขาดแคลน อีกทั้งยังให้การสนับสนุนนักกีฬา สโมสรกีฬา รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกรวมกว่า 190 ราย อาทิ คริสเตียโน โรนัลโด ทีมฟุตบอลแอลเอ กาแลคซี่ และทีมกีฬาระดับโอลิมปิคประเภทต่าง ๆ

ปัจจุบัน เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น มีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,300 คน และหุ้นของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของนิวยอร์ค (NYSE:HLF) โดยมียอดขายสุทธิ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถคลิกดูได้ที่เว็บไซต์ Herbalife.co.th หรือ IAmHerbalife.com

GCLSI ครองตำแหน่ง “Top Performer” ในรายงาน PV Module Reliability Scorecard ของ PVEL ติดต่อกันเป็นปีที่ 4

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท GCL System Integration ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์ ได้รับตำแหน่ง “Top Performer” ในรายงาน PV Module Reliability Scorecard ของ PVEL ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ในปีนี้ โดยผลการจัดอันดับได้รับการประกาศในงานสัมมนาออนไลน์ที่จัดร่วมกับ PV-tech

ผู้ผลิตโมดูลชั้นนำกว่า 70% และบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำ 90% ได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปให้ PVEL ทำการทดสอบความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ โดยอาศัยประสบการณ์และข้อมูลที่ PVEL สั่งสมมานานเกือบสิบปี การจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างเป็นกลางช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และอุปกรณ์ประกอบระบบที่เหมาะสำหรับการลงทุนและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

ทริสตัน เอเรียน โลริโก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ของ PVEL กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์ของ GCL SI คว้าตำแหน่ง Top Performer ในรายงาน PVEL PV Module Reliability Scorecard ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการทดสอบของ PVEL เป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือและคุณภาพ เราขอแสดงความยินดีกับ GCL SI ในความสำเร็จครั้งนี้”

เอริค หลัว ประธานบริษัท GCL SI กล่าวว่า “เรายินดีมากที่คว้าตำแหน่งท็อปเป็นครั้งที่ 4 โดยความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ของเราทำให้เราโดดเด่นในฐานะแบรนด์ในดวงใจของลูกค้า นักลงทุน และธนาคาร เราจะเดินหน้านำเสนอโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเชื่อถือได้ให้แก่ทั่วโลกต่อไป”

ปัจจุบัน GCL SI มีกำลังการผลิตโมดูล 8GW และบริษัทจะยกระดับบริการโดยอาศัยบิ๊กดาต้ารวมถึงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบโมดูลที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ GCL SI

บริษัท GCL System Integration Technology (002506 Shenzhen Stock) (GCLSI) เป็นส่วนหนึ่งของ GCL Group กลุ่มบริษัทพลังงานระดับโลกและบริษัทพลังงานเอกชนรายใหญ่ที่สุดในจีน ซึ่งมุ่งเน้นในด้านพลังงานใหม่ พลังงานสะอาด และบริการที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน GCL System Integration มีการดำเนินงานทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตโมดูล 5 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ และอีก 1 แห่งในเวียดนาม ซึ่งมีกำลังการผลิตโมดูล 8GW และกำลังการผลิตเซลล์ประสิทธิภาพสูงอีก 4.3GW ส่งผลให้บริษัทเป็นผู้ผลิตโมดูลรายใหญ่ระดับโลก รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gclsi.com/

Huawei Announces the Next-Gen OceanStor Pacific Series, Setting a New Benchmark for Mass Data Storage

Huawei announced the worldwide launch of the next-generation mass storage system -- OceanStor Pacific Series. The series delivers efficient, cost-effective, and reliable services for AI, HPC, videos, and other mass data scenarios by breaking architectural, service, and performance boundaries, and leveraging uncompromised multi-protocol interworking, next-generation elastic EC algorithm, and a series of dedicated hardware. This series marks a new standard for future-oriented mass data storage, helping enterprises fully unleash data power in the intelligent age.



The fourth industrial revolution has made digital production the currency of modern business models. Digital production turns data into opportunities, then these opportunities into services, and finally into profits. With this new production factor, enterprises must find a way of cost-effectively collecting and storing different types of data such as structured data from core services and mass unstructured data from 5G, IoT, and UHD. Enterprises use AI technologies to analyze and process the massive amounts of data to convert data into knowledge and services, improving production efficiency.

Peter Zhou, President of Huawei Data Storage and Intelligent Vision Product Line, said, "Mass data will play an increasingly important role in enterprise digital transformation. Today, only 2% of global data is stored, and only 10% of the data is being mined for further value. Enterprises are facing insufficient capacity, data silos, and complex management when dealing with mass data. Our OceanStor Pacific Series is designed to answer these pain points, setting a new benchmark for efficient, economical, everlasting mass data storage, and helping us become the trusted choice for mass data."

Shang Haifeng, President of Huawei Mass Storage Domain, elaborated on Huawei's three strategic directions for mass data scenarios:

- Leading technologies: Huawei builds a series of dedicated hardware and leverages software innovations such as multi-protocol interworking, efficient reduction algorithms, and multi-level reliability to meet scenario-specific needs.
- Business innovations: Huawei leverages industry-leading data redundancy protection and reduction technologies to be the first industry player to promote the business model for available capacity. This model enables users to know exactly what they are getting from the start, helping lower procurement costs, TCO, and the usage threshold of mass storage.
- Industry expertise: Driven by industry-specific requirements, Huawei constantly innovates its products, accelerates the digital transformation of enterprises, and unleashes data power.

Efficient, Economical, and Everlasting: The Trusted Choice for Mass Data

Huawei released its first generation of file storage in 2009 and has continuously invested in mass data storage ever since, ranking No. 1 in market share in China for four consecutive years. The OceanStor Pacific Series aims to become the trusted choice for mass data by fully utilizing years of know-how in software and hardware, and making groundbreaking innovations in efficiency, cost, and reliability.

- Efficient: This series breaks the service boundary to implement uncompromised interworking of file, HDFS, and object protocols, addressing performance and semantic loss issues caused by traditional gateways. In autonomous driving R&D, one Huawei storage system streamlines data processing across different phases. Data does not need to be migrated between multiple storage systems, improving service processing efficiency by 25% and reducing space by 20%. By breaking the performance boundary, the next-generation file system supports bandwidth- and OPS-intensive applications, adapting to increasingly complex HPC loads.
- Economical: This series breaks the architectural boundary with the innovative, high-reliability vNode mode along with the next-generation elastic EC technology. It yields a disk utilization of up to 93%, over 40% higher than the industry average, without compromising performance and reliability. Its brand-new node with high density and large capacity supports 120 disks in just a 5 U space with 2.67x density than general-purpose storage servers and 62.5% space reduction. Hot, warm, and cold data is automatically tiered onto SSDs, HDDs, and Blu-ray disks on demand, meaning that data can flow freely without intervention.
- Everlasting: The series provides a four-level mechanism for data, devices, systems, and solutions to ensure high reliability. Its comprehensive sub-health detection and pre-processing identify fault risks before they occur. The OceanStor Pacific Series uses cross-cluster active-active and three-site multi-active DR mechanisms for cross-region DR, ensuring 24/7 online services of banking images, online videos, and other production applications.

Huawei OceanStor storage has been deployed in more than 150 countries for more than 12,000 customers in a variety of sectors, including carriers, finance, government, energy, healthcare, manufacturing, and transportation. Huawei OceanStor storage is the ideal choice for worldwide customers looking to store and process their service data.

--Ends--

About Huawei

Huawei is a leading global provider of information and communications technology (ICT) infrastructure and smart devices. With integrated solutions across four key domains – telecom networks, IT, smart devices, and cloud services – we are committed to bringing digital to every person, home and organization for a fully connected, intelligent world.

Huawei's end-to-end portfolio of products, solutions and services are both competitive and secure. Through open collaboration with ecosystem partners, we create lasting value for our customers, working to empower people, enrich home life, and inspire innovation in organizations of all shapes and sizes.

At Huawei, innovation focuses on customer needs. We invest heavily in basic research, concentrating on technological breakthroughs that drive the world forward. We have more than 194,000 employees, and we operate in more than 170 countries and regions. Founded in 1987, Huawei is a private company fully owned by its employees.

For more information, please visit Huawei online at www.huawei.com or follow us on:

http://www.linkedin.com/company/Huawei 
http://www.twitter.com/Huawei 
http://www.facebook.com/Huawei 
http://www.youtube.com/Huawei

Overcoming Challenges to Offline Education, Mysavvytutor Advances with New On-Demand App

According to a United Nations' report, the COVID-19 outbreak has disrupted education for over 290.5 million students globally. A Singapore based online learning platform, Mysavvytutor (MST) believes this is the beginning of a shift to virtual learning. In response, MST has launched a new on-demand web-based app to ensure students can receive high-quality levels of education regardless of location.

"Due to a lack of flexible and transparent options, most people are sceptical about online education. They need an instant service that is flexible, transparent and personal. Therefore, to ensure peace of mind for learners and quality during these times and beyond, we have launched our new on-demand app," said Kelly Te, Founder of MST.

In answer to the concerns of online learning, the new on-demand service, developed by MST, brings high-quality brick and mortar institutions, educators and courses online for all. Through the app, students can choose a format, for example, one-on-one or group classes, while screening educator's profiles (e.g. experience, ratings, reviews, and prices) across multiple topics to accurately meet learners needs.

"We want to introduce a one-stop, collaborative, sustainable and vibrant learning experience to users of all ages, that combines e-learning and top-collaborations with leading educators in a flexible, transparent, and interactive way in real-time. With the on-demand virtual learning app, we provide educators with the opportunity to run classes online for their existing students independently and to grow internationally," added Kelly.

Aside from bridging gaps in learning, Mysavvytutor provides numerous online learning models and a suite of self-developed interactive tools. For example, users can browse categories or educators online to find courses that meet their unique educational needs and schedule classes immediately ("Learn Now"), or at a time which suits them ("Learn Later") to progress at their own pace. Meanwhile, educators can make use of virtual classrooms and performance analytics tools, such as the online whiteboard, to complement and enhance their offline programs.

From sign-in, students can enrol on private enterprise courses and participate in group webinars in a collaborative learning space. The service also comes with round-the-clock support and can provide reports and progress updates in real-time, allowing students to save time and focus their efforts.

A new collaborative online model

To ensure everyone has access to personalised, high-quality education, Mysavvytutor continuously looks to bring more educational partners online and has collaborated with over 20 institutions and partners since its January launch. Most recently, MST partnered with iWave, Inc., a financial technology corporation, to extend educational opportunities to the Philippines.

"In the second half of 2020, we look to welcome more partners, develop our suite of intuitive tools and games and expand our social, virtual learning and teaching environment to create a peer-shared co-learning space. Where learners and educators can connect with friends as they interact, play and celebrate achievements together," Kelly concluded.

About MySavvyTutor (MST)

Mysavvytutor (MST), was founded by Kelly Te and two other co-founders with over 30 years of combined experience in various industries, including education. MST creates a sustainable learning ecosystem for knowledge sharing and transfer, sophisticatedly designed for both learners and educators.

About iWave, Inc. (iWave)

iWave, Inc. (formerly known as Intelligent Wave Phils., Inc.)began as the Manila Representative Office of Intelligent Wave, Inc. of Tokyo, Japan in June 1990. iWave is engaged in software and technology development in addition to providing financial technology solutions and services to clients in the Philippines and other countries.



Mysavvytutor รุดหน้าด้วยแอปออนดีมานด์โฉมใหม่ มุ่งเอาชนะความท้าทายด้านการศึกษาแบบออฟไลน์

จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการศึกษาของนักเรียนกว่า 290.5 ล้านคนทั่วโลก ทำให้ Mysavvytutor (MST) แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์จากสิงคโปร์ เชื่อว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้แบบเสมือนจริง และด้วยเหตุนี้ MST จึงเปิดตัวแอปพลิเคชั่นบนเว็บแบบออนดีมานด์โฉมใหม่ออกมา เพื่อสร้างความมั่นใจว่านักเรียนจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพสูง โดยไม่ต้องคำนึงว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน

Kelly Te ผู้ก่อตั้ง MST กล่าวว่า "การขาดแคลนตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกเคลือบแคลงกับระบบการเรียนออนไลน์ และพวกเขาก็ต้องการบริการที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น โปร่งใส และเป็นส่วนตัว ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุณภาพให้กับผู้เรียนในช่วงเวลาเช่นนี้ เราจึงเปิดตัวแอปประเภทออนดีมานด์โฉมใหม่ออกมา"

เพื่อตอบโจทย์ความกังวลเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์ บริการออนดีมานด์โฉมใหม่ที่ MST พัฒนามานี้ ได้รวบรวมสถาบันการศึกษา เหล่าคณาจารย์ ตลอดจนหลักสูตรคุณภาพสูง เข้าไว้ในระบบออนไลน์เพื่อมอบให้กับทุกคน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบการเรียนได้ตามที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่ม ในขณะเดียวก็มีการคัดกรองคุณภาพของผู้สอน (ทั้งในด้านประสบการณ์, เรตติ้ง, รีวิว และราคา) ครอบคลุมหลายหลักเกณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนอย่างดีที่สุด

"เราต้องการนำเสนอประสบการณ์การเรียนรู้แบบครบวงจร, สามารถมีส่วนร่วม, ยั่งยืน และมีชีวิตชีวาให้กับผู้ใช้งานทุกวัย ผ่านการผสมผสานการเรียนรู้ออนไลน์และความร่วมมือกับผู้สอนชั้นนำด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่น โปร่งใส และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในเรียลไทม์ แอปการเรียนรู้เสมือนจริงแบบออนดีมานด์นี้ของเราจึงจะเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนออนไลน์ให้กับนักเรียนได้อย่างอิสระ และจะขยายการใช้งานออกไปทั่วโลกต่อไป" Kelly Te ระบุ

นอกเหนือไปจากการประสานช่องว่างด้านการเรียนรู้แล้ว Mysavvytutor ยังนำเสนอโมเดลการศึกษาออนไลน์และชุดเครื่องมือตอบโต้ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นเองอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ การเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเรียกดูหมวดหมู่หรือผู้สอนเพื่อค้นหาหลักสูตรที่ต้องการโดยเฉพาะและกำหนดเวลาเรียนได้ทันที ("Learn Now") หรือในเวลาที่เหมาะสม (Learn Later") ตามความต้องการของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ผู้สอนก็สามารถใช้ห้องเรียนเสมือนจริงและเครื่องมือวิคราะห์ประสิทธิภาพ เช่น กระดานไวท์บอร์ดออนไลน์ เพื่อเติมเต็มและยกระดับโปรแกรมการสอนออฟไลน์ของพวกเขาได้ด้วย

หลังจากลงชื่อเข้าใช้แล้ว นักเรียนจะสามารถลงทะเบียนเรียนหลักสูตรส่วนตัวและเข้าร่วมการสัมมนาแบบกลุ่มในพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันได้ นอกจากนี้ ยังมีบริการมอบการสนับสนุนตลอดเวลา ตลอดจนสามารถรายงานและอัพเดทความก้าวหน้าแบบเรียลไทม์ เพื่อให้นักเรียนประหยัดเวลาและมุ่งเน้นไปที่ความพยายามของพวกเขา

โมเดลความร่วมมือออนไลน์แบบใหม่

เพื่อรับประกันว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงการศึกษาที่เป็นส่วนตัวและมีคุณภาพสูง Mysavvytutor มุ่งมั่นที่จะนำพันธมิตรด้านการศึกษามาเข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น โดยได้ร่วมมือกับสถาบันและพันธมิตรแล้วมากกว่า 20 ราย นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อม.ค. ที่ผ่านมา และล่าสุด MST ก็เพิ่งเข้าไปร่วมมือกับ iWave, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินเพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับฟิลิปปินส์

"ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เราหวังว่าจะได้ต้อนรับพันธมิตรมากขึ้น ตลอดจนได้พัฒนาชุดเครื่องมือและเกมที่ใช้งานง่าย และขยายสภาพแวดล้อมด้านการเรียนการสอนเสมือนจริงให้กว้างขวางมากกว่านี้ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเพื่อน ๆ ของพวกเขาเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ เล่น และร่วมฉลองความสำเร็จไปด้วยกัน" Kelly กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ MySavvyTutor (MST)

Mysavvytutor (MST) ตั้งขึ้นโดย Kelly Te และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน ที่สั่งสมประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงในแวดวงการศึกษา MST สร้างระบบการเรียนรู้ที่ยั่งยืนสำหรับการแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ผ่านออกแบบอย่างมีชั้นเชิงสำหรับทั้งผู้เรียนและผู้สอน

เกี่ยวกับ iWave, Inc. (iWave)

iWave, Inc. (เดิมชื่อ Intelligent Wave Phils., Inc. ) เริ่มต้นมาในฐานะสำนักงานตัวแทนในกรุงมะนิลาของ Intelligent Wave, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2533 โดยบริษัทได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี รวมถึงการส่งมอบโซลูชั่นเทคโนโลยีทางการเงินและบริการแก่ลูกค้าในฟิลิปปินส์และประเทศอื่น ๆ



GCLSI Awarded as Top Performer in PVEL 2020 PV Module Reliability Scorecard for the 4th Consecutive Year

On May 28th, GCL System Integration, a world-leading solar solutions provider, was awarded as Top performer in PVEL 2020 PV Module Reliability Scorecard for 4 consecutive years. The scorecard was announced during a webinar co-hosted by PV-tech.

More than 70% of leading module manufacturers and 90% of top solar companies had chosen to send their products to PVEL for testing. With nearly ten years of experience and accumulated data, PVEL conducts testing that demonstrates solar technology's credibility. The independent reliability test provides efficient selection of PV modules and equipment for solar project development and financing.

Tristan Erion-Lorico, Head of PV Module Business (PVEL), said, "GCL SI products have achieved recognition as PV Module Top Performers in the PVEL PV Module Reliability Scorecard for the fourth consecutive year. Strong performance in PVEL's accelerated testing regime is an important indicator of reliability and quality, and so we congratulate GCL SI on these results."

Eric Luo, the chairman of GCL SI, said, "Having topped the chart for the fourth time, we appreciate being recognized for our creativity and vision which allows us to stand out as the preferred brand for customers, investors, and banks. GCL will continue to bring the reliable and highly efficient solar products to the world.

GCL SI currently has a module manufacturing capacity of 8GW. With big data support, driven by scientific and technological innovation, the company will optimize its service to provide more efficient and reliable modules.

About GCL-SI

GCL System Integration Technology Co. Ltd (002506 Shenzhen Stock) (GCLSI) is part of the GCL Group, a global energy conglomerate, China's largest non-state-owned Energy Company with a focus on new energy, clean energy, and related services. GCL System Integration currently has operations all over the world and has five-module production bases in mainland China and one in Vietnam, with a module capacity of 8GW, and an additional 4.3GW of high-efficiency cell capacity, making it a world-class module producer. For more information, please visit https://www.gclsi.com/



DERMALOG Temperature Check: Greater Safety for Medical Practices

Due to the corona pandemic, general practitioners and specialists face the challenge of maintaining their practice without putting patients and staff at increased risk of infection. In Frankfurt, Germany, a medical practice has implemented health protection measures using DERMALOG's non-contact fever detection.

With its Fever Detection Camera, DERMALOG has developed a solution that measures body temperatures fast and accurately when walking by and can significantly reduce the risk of infection spreading in many areas. General practitioner Matin Safi has chosen the Hamburg-based company's system as part of his hygiene concept.

At the entrance of Safi's medical practice in Frankfurt, patients and staff can make the contactless fever check by DERMALOG. The company's system measures body temperature within one second by scanning people's faces using state-of-the-art sensor technology. If an increased temperature is detected, the system displays an alert message. High accuracy, even from a distance of up to 2 meters, is another advantage of the camera. As an option, DERMALOG's temperature check includes automated mask detection. If a person enters a medical practice or a clinic without a face mask, the system displays a message informing the person that a mask is mandatory.

"In recent months, patients have frequently canceled or postponed appointments for fear of infection with Covid-19. Our comprehensive hygiene concept is designed to reduce this fear and minimize the risk of infection. The fever camera has an important role to play here," says Matin Safi.

Hospitals such as University Medical Center Hamburg-Eppendorf (UKE) and care facilities have implemented the DERMALOG thermal camera as part of their health protection measures. The fever detection of the Hamburg-based company is already being used in more than 50 countries. The system also protects retail stores, offices, manufacturing halls, sports grounds, event locations and hotels.



Thursday, May 28, 2020

ทรินา โซลาร์ คว้าตำแหน่งผู้ผลิตโมดูลระดับ "Top Performer" ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6

บริษัท ทรินา โซลาร์ จำกัด (Trina Solar) ผู้นำระดับโลกด้านโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ได้รับตำแหน่งผู้ผลิตโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ระดับ "Top Performer" ที่โดดเด่นด้วยโมดูลประสิทธิภาพสูงและเชื่อถือได้ จากการจัดอันดับของ PV Evolution Labs (PVEL) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการทดสอบอิสระชั้นนำในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ปลายน้ำทั่วโลก

ทรินา โซลาร์ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ระดับโลกเพียงสองแห่งที่คว้าตำแหน่งนี้เป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกัน นับตั้งแต่มีการจัดอันดับ Top Performer

การจัดอันดับอ้างอิงจากผลการทดสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ (Product Qualification Program: PQP) ที่นำเสนอในรายงาน PV Module Reliability Scorecard ประจำปี 2563 ของ PVEL โดยได้มีการตรวจสอบโรงงานผลิตโมดูลเป็นเวลา 18 เดือนก่อนล่วงเข้าสู่ปี 2563 รวมทั้งมีการประเมินประสิทธิภาพของโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ในด้านวัฏจักรอุณหภูมิ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในแต่ละวัน การรับน้ำหนักเชิงกลพลศาสตร์ การเสื่อมสภาพ รวมถึง PAN files และอื่น ๆ โดย PQP ออกแบบมาเพื่อยกย่องผู้ผลิตโมดูลที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งทั้งในด้านคุณภาพและความทนทานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อโมดูลและนักลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีแหล่งข้อมูลประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของโมดูลที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดการซัพพลายเออร์อย่างมีประสิทธิภาพ

ทริสตัน เอเรียน โลริโก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ของ PVEL กล่าวว่า "การทำผลงานยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องในรายงาน PV Module Reliability Scorecard ของ PVEL แสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตโมดูล เนื่องจากมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตจึงต้องยึดมั่นในมาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ไว้ในระดับสูง เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ยกย่องทรินา โซลาร์ ในฐานะ Top Performer อีกครั้งหนึ่ง และเราหวังว่าจะได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของทรินา โซลาร์ ในขณะที่บริษัทเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง"

หยิน หรงฟาง รองประธานบริหารและรองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรินา โซลาร์ กล่าวว่า "เรารู้สึกมีกำลังใจที่ได้รับตำแหน่ง Top Performer ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 จากการจัดอันดับขององค์กรอิสระชั้นนำอย่าง PVEL ทั้งนี้ ทรินา โซลาร์ สั่งสมความรู้ทางเทคนิคมานานกว่า 20 ปี และมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้วยการส่งมอบโมดูลที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงและประสิทธิภาพสูง พร้อมด้วยคุณภาพและความน่าเชื่อถือ"

"พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานระยะยาวที่มั่นคงและยั่งยืน เราหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นซัพพลายเออร์ที่พาร์ทเนอร์ในอนาคตไว้วางใจเลือก เราจะจัดหาโมดูลกำลังสูงเป็นพิเศษและมีความน่าเชื่อถือสูงอย่างเช่นโมดูล Vertex ให้แก่ลูกค้า โดยโมดูลประสิทธิภาพเยี่ยมเหล่านี้จะดึงดูดทั่วโลกให้หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์กันมากขึ้น เพราะสามารถลดต้นทุนอุปกรณ์ประกอบระบบ (BOS) และลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าปรับเฉลี่ย (LCOE)"

ลิงก์รูปภาพ: https://www.trinasolar.com/sites/default/files/067_4972_h_1.jpg
คำบรรยายภาพ: ทรินา โซลาร์ คว้าตำแหน่งผู้ผลิตโมดูลระดับ "Top Performer" ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6

เกี่ยวกับทรินา โซลาร์

ทรินา โซลาร์ คือผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2540 ในฐานะผู้พัฒนาโซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะสำหรับสถานีไฟฟ้าขนาดใหญ่ โซลูชันเชิงพาณิชย์และโซลูชันสำหรับครัวเรือน ระบบกักเก็บพลังงาน และโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ทรินา โซลาร์ ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงาน IoT (Internet of Things) และมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในภาคส่วนเกิดใหม่นี้ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.trinasolar.com

Trina Solar recognized as a "Top Performer" module manufacturer for sixth consecutive time

Trina Solar Co., Ltd ("Trina Solar" or the "Company"), the world's leading PV and smart energy total solution provider, has been recognized as a "Top Performer" for outstanding product reliability and performance among global PV module manufacturers by PV Evolution Labs (PVEL), the leading independent test laboratory for the global downstream solar industry.

The company is one of only two PV module manufacturers with worldwide reach to gain the recognition for the sixth consecutive time since the Top Performer designation was established.

The recognition is based on the results of the Product Qualification Program (PQP), presented in the 2020 PV Module Reliability Scorecard issued by PVEL, following factory inspections that took place over the 18 months leading up to 2020. With a focus on evaluating the performance of PV modules in terms of thermal cycling, damp heat, dynamic mechanical load, potential-induced degradation, PAN files, etc., the PQP was designed to independently recognize manufacturers who outpace their competitors in product quality and durability, and provide PV equipment buyers and power plant investors with independent, consistent reliability and performance data that supports effective supplier management.

Tristan Erion Lorico, head of PV Module Business at PVEL, said: "Consistent top performance in the PVEL PV Module Reliability Scorecard demonstrates a manufacturer's commitment to product quality. As new products are introduced manufacturers must adhere to strict quality control standards to maintain high levels of reliability and performance of their products. We are honored to recognize Trina Solar as a Top Performer again and we look forward to testing future Trina products as the company continues to innovate."

Yin Rongfang, vice general manager and executive vice president of Trina Solar, said: "It is encouraging to see Trina Solar being recognized as a Top Performer for the sixth time in a row by an authoritative third party such as PVEL. With more than 20 years' of technical know-how, Trina Solar is committed to sustainability through the delivery of high power, highly efficient and top-performing modules with proven quality and reliability.

"PV power represents a long-term, stable and sustainable solution. We look forward to becoming the supplier of choice for more prospective partners, providing them with highly reliable and ultra-high power modules, such as the Vertex module. These top-performing modules will continue to accelerate the adoption of PV power across the globe by further improving the balance-of-systems costs and levelized cost of electricity."

Photo link: https://www.trinasolar.com/sites/default/files/067_4972_h_1.jpg
Photo caption: Trina Solar has been recognized as a Top Performer for the sixth time in a row

About Trina Solar

Trina Solar is a world leading and total solutions provider for solar energy. Founded in 1997, Trina Solar develops proprietary smart PV solutions for large power stations as well as commercial and residential solutions, energy storage systems and photovoltaic modules. As the world's leading provider of integrated solar energy solutions, Trina Solar has also taken the lead in the world of energy IoT (internet of things). It is committed to becoming a global leader in this new and emerging sector. For more information, please visit www.trinasolar.com.


Jumeirah Al Naseem ขึ้นแท่นโรงแรมแห่งแรกของโลกที่ได้รับสัญลักษณ์ Bureau Veritas Safeguard Label อันทรงเกียรติ

- รีสอร์ตหรูระดับห้าดาวได้รับมาตรฐานด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสุขอนามัยที่เข้มงวด จากผู้นำระดับโลกด้านการทดสอบ ตรวจสอบ และรับรอง

- ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะปรากฏต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่แขกผู้เข้าพัก

- โรงแรมอื่นในเครือของ Jumeirah อยู่ในระหว่างกระบวนการรับรองที่เข้มงวดเช่นกัน

แขกที่เข้าพัก ณ โรงแรม Jumeirah Al Naseem ในดูไบ สามารถวางใจได้ถึงมาตรฐานสุขอนามัยระดับสูงสุด หลังจากที่รีสอร์ตห้าดาวแห่งนี้ได้รับตราสัญลักษณ์ Bureau Veritas Safeguard Label ซึ่งถือเป็นโรงแรมแห่งแรกของโลกที่ได้รับการรับรองอันทรงเกียรตินี้

Bureau Veritas ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านบริการการทดสอบ การตรวจสอบ และการรับรอง ได้พัฒนารายการตรวจสอบอย่างละเอียดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสุขอนามัยระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ประกอบการที่กลับมาเปิดดำเนินธุรกิจนั้นปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของท้องถิ่นและระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับแนวทางปฎิบัติที่ได้รับการยอมรับ

การตรวจสอบดังกล่าวเป็นการดำเนินการทั้งในรูปแบบทางไกลและภาคสนาม เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ประกอบการใช้มาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้รับตราสัญลักษณ์หากปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ครบทั้งหมด Bureau Veritas สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ด้วยการสร้างเว็บไซต์ระดับโลกขึ้นโดยเฉพาะเพื่อแสดงรายชื่อบริษัททั้งหมดที่ได้รับการรับรองจากผู้ตรวจสอบ https://restartwith.bureauveritas.com/

Jumeirah Group ได้ออกมาตรการป้องกันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อใช้กับโรงแรมในเครือทั่วโลก มาตรการเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างความปลอดภัยแก่แขกผู้เข้าพักและพนักงาน ประกอบด้วย การใช้หน้ากากป้องกัน การตรวจวัดอุณหภูมิทุกวัน และการฝึกอบรมด้านสุขอนามัยอย่างครอบคลุมสำหรับพนักงานทุกคน การรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัดในทุกพื้นที่ของโรงแรม รวมถึง ชายหาด สระว่ายน้ำ ยิม (เมื่อเปิดทำการ) การสูดอากาศบริสุทธิ์ในพื้นที่สาธารณะ การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อสูงสุด 3 ครั้งต่อวันขึ้นอยู่กับจำนวนผู้มาใช้บริการ และมารยาทการใช้ลิฟต์ที่เข้มงวดเพื่อให้แขกมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้ลิฟต์เดินทางได้คนเดียว

ภายในห้องพัก จะมีการทำความสะอาดอย่างละเอียด และระบายอากาศทุกวัน รวมถึงมีการจัดเตรียมชุดของใช้ด้านสุขอนามัยและการฆ่าเชื้อ เช่น หน้ากากอนามัย เจล และผ้าเช็ดทำความสะอาด สำหรับปลอกหมอนและผ้านวมจะผ่านกระบวนฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ขณะที่จะมีการเปลี่ยนหมอนและที่นอนหลังการเช็คเอาท์แต่ละครั้ง นอกจากนี้ ห้องพักจะถูกปล่อยว่างเป็นเวลา 3 วันหลังจากการเข้าพักแต่ละครั้ง โดยถือเป็นมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม อีกทั้งจะมีการพ่นฆ่าเชื้อห้องพักอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำไม่ได้หากมีผู้เข้าพักเป็นจำนวนมาก

สำหรับการรับประทานก็มีมาตรการป้องกันเพิ่มเติมเป็นพิเศษเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเชื้อภายในห้องอาหารอย่างเต็มรูปแบบก่อนการเปิดให้บริการแต่ละครั้ง บุฟเฟต์จะถูกเปลี่ยนเป็นอาหารตามสั่ง มีการเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ พร้อมจัดวางชุดของใช้ด้านสุขอนามัยไว้บนโต๊ะอาหารเพื่อให้แขกใช้ตามสะดวก

Jose Silva ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Jumeirah Group กล่าวว่า “ความปลอดภัยของแขกผู้เข้าพักและเพื่อนพนักงานเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด เรามีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับ Bureau Veritas โดยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อตรวจสอบการรับรอง HACCP สำหรับความปลอดภัยด้านอาหารของเรา รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบการปฎิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เรายิ่งต้องดำเนินการเพิ่มเติมอีกเพื่อให้มั่นใจว่าเรามีมาตรการป้องกันพร้อม และการได้รับสัญลักษณ์ Bureau Veritas Safeguard Label เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และแสดงความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการโรงแรมตามมาตรฐานสูงสุดระดับโลก Jumeirah Al Naseem เป็นโรงแรมแห่งแรกในโลกที่ได้รับสัญลักษณ์ Bureau Veritas Safeguard Label และเราจะร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Bureau Veritas ตลอดหลายสัปดาห์ข้างหน้าเพื่อรับรองโรงแรมอื่น ๆ ในเครือของเรา"

Marcel Hochar รองประธานอาวุโสของ Bureau Veritas ประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง กล่าวว่า "เป็นเวลาเกือบ 200 ปีแล้วที่ Bureau Veritas สานต่อภารกิจในการสร้างโลกแห่งความไว้วางใจ และเพื่อปรับตัวให้เข้ากับวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน เราจึงได้พัฒนาตราสัญลักษณ์ Bureau Veritas Safeguard Label ขึ้น เพื่อรับรองว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม รวมถึงระเบียบการทำความสะอาดและการฝึกอบรม สามารถทำให้ธุรกิจทั่วไป และโดยเฉพาะภาคธุรกิจโรงแรม สามารถกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งด้วยความมั่นใจ ตราสัญลักษณ์นี้ยังทำให้เรามีความสามารถในการตอบสนองต่อความคาดหวังใหม่ ๆ ของสังคมในแง่ของสุขภาพและความปลอดภัย”

เขากล่าวเสริมว่า "เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมกับ Jumeriah Group สำหรับความพยายามเชิงรุกในการสร้างความแตกต่างให้แก่แขกที่มาเยือน และแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการต้อนรับพวกเขาในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย"

รับชมรายละเอียดของมาตรการป้องกันทั้งหมดที่ดำเนินการโดย Jumeirah Group ได้ที่ www.jumeirah.com

#StaySafeWithJumeirah

เกี่ยวกับ Jumeirah Group:  www.jumeirah.com 

เกี่ยวกับ Bureau Veritas: https://middle-east.bureauveritas.com

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1173484/Jumeirah_Al_Naseem_Adults_Pool.jpg 
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1173485/Jumeirah_Al_Naseem__Aerial__Drone.jpg 
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1173486/Jumeirah_Al_Naseem___Room_View.jpg 
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1173487/Jumeirah_Al_Naseem_Sun_Loungers.jpg

Jumeirah Al Naseem in Dubai Becomes First Hotel in the World to Receive Prestigious Bureau Veritas Safeguard Label

- Five-star resort meets stringent health, safety and hygiene standards defined by the global leader in testing, inspection and certification

- Label to be used publicly to reassure guests and give them confidence in their stay

- Jumeirah's wider hotel portfolio also undergoing the rigorous certification process

Guests staying at Jumeirah Al Naseem in Dubai can be assured of the highest hygiene standards after the five-star resort was awarded Bureau Veritas' Safeguard label – the first hotel in the world to receive the prestigious certification.

Bureau Veritas – a world leader in testing, inspection and certification services – has developed detailed checklists with global health, safety and hygiene specialists to ensure that procedures in place for the resumption of operations meet local and international regulations, as well as recognised best practices.

Remote and field audits are carried out to ensure protective measures are implemented efficiently, with the label awarded if all requirements are met. Bureau Veritas provides reassurance to customers with a dedicated global website showing all the labelled entities approved by auditors - https://restartwith.bureauveritas.com/.

Jumeirah Group has implemented a series of protective measures in its hotels around the globe, designed to keep guests and colleagues safe. These include usage of protective masks, daily temperature checks and extensive hygiene training for all colleagues, strict social distancing across all areas of the hotel including beaches, pools and gyms (when open), tripling fresh air in public areas, sanitisation fogging – up to three times a day depending on footfall – and strict lift etiquette to ensure guests are travelling alone.

In guest rooms, housekeeping vigorously clean and aerate every day and provide sanitising and hygiene amenities including mask, gel and wipes. Pillows and duvets undergo a thermal hygiene process while pillow and mattress protectors are changed after each checkout. Rooms are left vacant for three days after each stay as an additional safety measure and, where this is not possible due to high occupancy, the room undergoes a complete sanitisation fogging process.

Exceptional dining experiences also feature additional precautionary measures, including full restaurant sanitisation before each service, buffets redefined as ? la carte, table distancing and hygiene amenities placed on each table for guests to utilise.

Jose Silva, Chief Executive Officer of Jumeirah Group, said: "The safety of our guests and colleagues has always been our utmost priority. We have a long-standing relationship with Bureau Veritas, working with them since 2018 to oversee our HACCP certification for food safety and implementing health, safety and environment compliance audits globally. The current situation requires us to go even further to validate the protective measures in place and achieving the Bureau Veritas Safeguard Label is an important step in restoring confidence and demonstrating our commitment to operate our hotels to the highest global standards. Jumeirah Al Naseem is the first hotel in the world to receive the Safeguard Label, and we will be working closely with Bureau Veritas over the coming weeks to certify our wider portfolio."

Marcel Hochar, Senior Vice President Middle East and Central Asia for Bureau Veritas, said: "For almost 200 years, Bureau Veritas' mission has been to shape a world of trust. Adapting to the current crisis, we have developed the Safeguard label to certify that appropriate safety standards, training and cleaning protocols are achieved to allow businesses in general and the hospitality sector in particular, to re-commence operations with confidence. With this label, we have the ability to address the new expectations of our society in terms of health and safety."

He added: "We are very proud to be associated with Jumeriah Group in its proactive endeavor to make a difference for guests and demonstrate its readiness to receive them in a healthy and safe environment."

For full details of all protective measures being taken by Jumeirah Group visit www.jumeirah.com.

#StaySafeWithJumeirah

About Jumeirah Group:  www.jumeirah.com 

About Bureau Veritas: https://middle-east.bureauveritas.com

Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1173484/Jumeirah_Al_Naseem_Adults_Pool.jpg 
Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1173485/Jumeirah_Al_Naseem__Aerial__Drone.jpg 
Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1173486/Jumeirah_Al_Naseem___Room_View.jpg 
Photo: https://mma.prnewswire.com/media/1173487/Jumeirah_Al_Naseem_Sun_Loungers.jpg

นครเฉิงตูเปิดประตูสู่โอกาส เชิญชวนนักลงทุนทั่วโลกร่วมสร้างเฉิงตูเป็นศูนย์กลางการบริโภคระดับสากล

หนังสือพิมพ์ National Business Daily รายงานว่า

นครเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เตรียมเผยรายชื่อสถานที่ใหม่ 100 แห่ง และสินค้าใหม่ 100 รายการในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการบริโภค โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามผลักดันให้นครเฉิงตูก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเพื่อผู้บริโภคในระดับสากล พร้อมมอบโอกาสให้แก่นักลงทุนทั่วโลกร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมืองไปด้วยกัน



โครงการยกระดับการบริโภคประกอบด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ 8 กุล่มหลัก ๆ ที่ครอบคลุมชีวิตเมืองหลากหลายด้าน ซึ่งรวมถึง การช็อปปิง กีฬา วัฒนธรรม และเทคโนโลยี โดยจะเชื่อมโยงเข้ากับสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมือง เช่น ย่านแลนด์มาร์กสำหรับการช็อปปิงอย่าง Chunxi Road ย่านเมืองเก่า Kuanzhai Alley ลานดนตรีกลางแจ้งที่สร้างขึ้นใหม่ และศูนย์เพาะพันธุ์แพนด้ายักษ์อันเป็นเอกลักษณ์ของนครเฉิงตู

ทั้งนี้ นครเฉิงตูจะจัดโรดโชว์เพื่อโปรโมตกิจกรรมทั้ง 8 กลุ่ม โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อาทิ ผู้อำนวยการกรมประชาสัมพันธ์ของเขตจินเจียง และ รองนายกเทศมนตรีเขตซวงหลิว จะร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการยกระดับย่าน Chunxi Road และสนามบินของเมือง

รายชื่อสถานที่และสินค้าดังกล่าวจะถูกรวบรวมไว้ในแผนที่ดิจิทัล ซึ่งจะเป็นแผนที่มัลติมีเดียที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในจีนนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยมีจุดประสงค์เพื่ออัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และสินค้าใหม่ ๆ ให้แก่นักลงทุนและพาร์ทเนอร์

นอกจากนี้ จะมีการประกาศแผนปฏิบัติการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายที่สอดรับกับกิจกรรมการบริโภครูปแบบใหม่เหล่านี้ด้วย โดยตามแผนกำหนดไว้ว่าในแต่ละปี นครเฉิงตูตั้งเป้าที่จะดึงดูดแบรนด์สินค้า 200 แบรนด์ให้เข้ามาเปิดสาขาแรกในจีนที่เมืองเฉิงตู และลงนามในโครงการส่งเสริมการบริโภคอีกว่า 40 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่ากว่า 100 ล้านหยวน 

นครเฉิงตูตั้งเป้าที่จะนำเสนอสถานที่ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพดึงดูดการบริโภค โดยสามารถสะท้อนเอกลักษณ์ของนครเฉิงตูและมีความเป็นสากลให้ได้กว่า 50 แห่งภายในปี 2565

นอกจากนี้ เหล่าผู้นำธุรกิจและคนดังทั้งในจีนและต่างประเทศ อาทิ ไซม่อน คอลลินส์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของไนกี้ มาร์ค ซาสเลิฟ เจ้าของสองรางวัล Emmy Award โทมิฮิโร่ ซาเอกุสะ ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต Ito-Yokado และหวัง อี้ไถ แร็ปเปอร์หนุ่มชาวเมืองเฉิงตู ได้กล่าวสนับสนุนเป้าหมายของเฉิงตูในการเป็นศูนย์กลางการบริโภคระดับสากลผ่านทางวิดีโอ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นครเฉิงตูได้ให้คำมั่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่าจะเผยแพร่รายชื่อสถานที่และสินค้าใหม่ ๆ ไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่องให้ได้รวม 1,000 สถานที่ และ 1,000 สินค้า ซึ่งรวมที่กล่าวถึงข้างต้น เพื่อสร้างโอกาสให้แก่บริษัทต่าง ๆ ตลอดจนนำเสนอทางเลือกมากขึ้นเพื่อชีวิตที่ดีของผู้อาศัยในนครเฉิงตูหลายล้านคน

Yakima Chief Hops แต่งตั้งซีเอฟโอคนใหม่ ท่ามกลางวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมฮอปส์และการผลิตเบียร์

Yakima Chief Hops ผู้ผลิตและจำหน่ายฮอปส์ที่ปลูกเอง 100% แต่งตั้ง คุณฮาเวิร์ด อัลเรด เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินคนใหม่ การแต่งตั้งครั้งนี้มีผลมาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่นานหลังเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งเป็นช่วงเวลาท้าทายของอุตสาหกรรม เนื่องจากโรงงานผลิตเบียร์หลายแห่งต้องถูกบังคับให้ยุติกิจการ และผู้ปลูกฮอปส์ทั้งหลายก็ต้องลดพื้นที่เพาะปลูกลง

คุณไรอัน  ฮอปกินส์ ซีอีโอของ YCH กล่าวว่า “การถูกขอให้มาช่วยนำทางให้กับบริษัทในช่วงเวลาที่กำลังเกิดโรคระบาดรุนแรงทั่วโลกนั้นจะเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่โอกาสที่จะได้เดินหน้าไปพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในระดับเดียวกับฮาเวิร์ดก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นหากไม่ใช่ในช่วงเวลานี้”

ในการเข้ามาร่วมงานกับผู้จำหน่ายฮอปส์ชั้นนำที่อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการอย่าง Yakima Chief Hops คุณอัลเรดจะนำประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง adidas Golf/Taylor Made, Sports Incorporated รวมถึงความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานด้านการเงินทั่วโลกมาใช้โดยมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท

บทบาทใหม่ของคุณอัลเรด เริ่มขึ้นในขณะที่อุตสาหกรรมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะบรรดาผู้ผลิตเบียร์ทั้งหลายต่างกำลังต้องการการสนับสนุนที่มีความยืดหยุ่น ส่วนผู้ปลูกฮอปส์ก็กำลังพิจารณาในเรื่องพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกเพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่อัลเรดและทีมผู้บริหารต้องดำเนินการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ดีเอาไว้

คุณสตีฟ คาร์เพนเตอร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายซัพพลายเชนของ YCH กล่าวว่า “ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและประสบการณ์ในแวดวงการเงินของฮาเวิร์ดนั้นได้ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ในขณะที่เรากำลังโฟกัสไปที่การสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ ผมยินดีมากที่ได้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม และฮาเวิร์ดก็เข้ากับวัฒนาธรรมของเราได้เป็นอย่างดี”

คุณอัลเรดเข้ามาร่วมงานกับ Yakima Chief Hops หลังจากที่คุณไรอัน ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของบริษัท และเขาก็ได้เข้ามาเติมเต็มความสมดุลของทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง ในขณะที่คุณฮอปกินส์ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารคนใหม่ คุณอัลเรดก็ได้เข้ามารับตำแหน่งพร้อมประสบการณ์ความชำนาญในการบริหารด้านการเงินที่ติดตัวมา เหมือนกันกับวัฒนธรรมของบริษัทที่มุ่งเน้นการบุกเบิกแนวคิดใหม่ ๆ โดยไม่ทิ้งสิ่งที่มีอยู่เดิม ผู้บริหารทั้งสองต่างยอมรับในมุมมองที่หลากหลายของกันและกันในการแสวงหาวิธีสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

Yakima Chief Hops

YCH คือผู้ผลิตและจำหน่ายฮอปส์ไปทั่วโลกจากผู้ปลูกของเราเอง 100% ที่มีพันธกิจในการเชื่อมโยงผู้ผลิตเบียร์กับเกษตรกรผู้ปลูกฮอปส์เข้าด้วยกัน YCH ดำเนินกิจการมานานกว่า 30 ปี เราเป็นมากกว่าผู้จำหน่ายฮอปส์ แต่ยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม คุณภาพ และการบริการลูกค้า นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของผู้ผลิตเบียร์ ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากโซลูชันและดำเนินการวิจัยระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม เราสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการสร้างสังคมที่มีความหมายผ่านการทำงานเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและชุมนุมรอบตัว เราเชื่อว่าเบียร์ที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่ในฟาร์ม ด้วยเหตุนี้ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์อันที่ระหว่างผู้เพาะปลูกและผู้ผลิตเบียร์ เมื่อฟาร์มฮอปส์สามารถเติบโตได้ดีแล้ว ผู้ผลิตก็จะสามารถผลิตเบียร์ได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน https://www.yakimachief.com/

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1173160/Yakima_Chief_Hops_welcomes_Howard_Allred.jpg
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1016498/Yakima_Chief_Logo.jpg

Hop Supplier Announces New CFO During Critical Time in Hop and Brewing History

Yakima Chief Hops, a 100% grower-owned hop supplier, welcomed new Chief Financial Officer Howard Allred shortly after the COVID-19 outbreak began. Effective March 23, Allred's onboarding came at a crucial time, as breweries shut their doors and hop growers cut back acreage.

"To be asked to navigate a company during a global pandemic is a great challenge," said Ryan Hopkins, CEO at YCH. "But onboarding someone with Howard's level of financial expertise could not have come at a better time." 

Joining a hop supplier at the forefront of innovation, Allred brings a wealth of experience with large, leading-edge brands including adidas Golf/Taylor Made, Sports Incorporated and Nike, Inc. He holds expertise in global financial operations, focusing on maintaining healthy relationships with stakeholders.

Allred's role began during a complex time in the industry. Breweries are seeking support through contract flexibility. Hop growers are reviewing acreage to balance supply and demand. Allred and the leadership team have had to make impactful decisions in order to promote financial well-being.

"Howard's steady leadership and vast financial experience is already paying dividends as we continue to focus on creating value for customers during these challenging times," said YCH's Chief Supply Chain Officer Steve Carpenter. "He is a welcome addition to our team and a good fit for our culture."

Joining shortly after former Chief Sales Officer Ryan Hopkins was announced CEO, Allred brings balance to the team. While Hopkins is a relative newcomer to the C-suite, Allred is a seasoned veteran of executive level financial management experience. Much like the company culture that embraces tradition while pioneering new ideas, they appreciate their diverse perspectives in the pursuit of maintaining a sustainable organization.

Yakima Chief Hops

YCH is a 100% grower-owned global hop supplier with a mission to connect brewers with family hop farms. Operating for more than 30 years, we have become more than a hop supplier. We are leaders of innovation, quality and customer service. We are a resource for brewers, providing solutions-based products and industry leading research. We are advocates of sustainability and meaningful social causes, working to support the environment and communities around us. Great beer starts in the field, and we strive to build relationships between growers and brewers that help farms grow better hops and brewers brew better beer.  https://www.yakimachief.com/

Photo - https://mma.prnewswire.com/media/1173160/Yakima_Chief_Hops_welcomes_Howard_Allred.jpg
Logo - https://mma.prnewswire.com/media/1016498/Yakima_Chief_Logo.jpg

"ฮาร์เบอร์ ซิตี้" (Harbour City) ฮ่องกง จับมือซูเปอร์สตาร์แนวแคนโตป๊อปอย่าง Sam Hui และ Aaron Kwok เปิดเวทีจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ให้ชมฟรี

เพื่อถ่ายทอดความเป็นเอกภาพ มิตรภาพอันอบอุ่น และการมองโลกในแง่ดี ตำนานวงการแคนโตป๊อปอย่าง Sam Hui Koon-kit และ Aaron Kwok Fu-shing เจ้าของฉายา 'ราชาเท้าไฟ' ได้จัดคอนเสิร์ตออนไลน์ที่รับชมได้ฟรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2563 และ 9 พฤษภาคม 2563 ตามลำดับ ที่โซนจุดชมวิว "Ocean Terminal Deck" ของฮาร์เบอร์ ซิตี้ (Harbour City) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง



ฮาร์เบอร์ ซิตี้ สนับสนุนคอนเสิร์ตออนไลน์และเผยแพร่พลังบวกไปทั่วโลก

โซน Ocean Terminal Deck รายล้อมไปด้วยทะเล พร้อมวิวอ่าววิคตอเรียแบบพาโนรามา 270 องศา ที่เปิดโอกาสให้เห็นวิวอันตื่นตาตื่นใจของเกาะฮ่องกงและเกาลูน ส่งผลให้โซนดังกล่าวเป็นแลนด์มาร์คและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮ่องกง คอนเสิร์ตดังกล่าวจัดขึ้นที่โซน Ocean Terminal Deck โดยมีวิวอ่าววิคตอเรียตัดกับเส้นขอบฟ้าสุดน่าทึ่ง ซึ่งซูเปอร์สตาร์ทั้งสองนี้ได้ทำการแสดงเพลงยอดฮิตของตน และได้เผยความงดงามของฮ่องกงให้ปรากฏออกมา

คอนเสิร์ตทั้งสองนี้ได้รับการสนับสนุนจากฮาร์เบอร์ ซิตี้ โดยช่อง HiEggo บน YouTube ได้จัดคอนเสิร์ต "2020 Sam Hui In The Same Boat Online Concert" ขณะที่ Aaron Kwok Love and Concern International Charity Fund Limited และช่อง HiEggo บน YouTube ได้ร่วมกันจัดคอนเสิร์ต Aaron Kwok "Cheer Up & Dance Online Charity Concert 2020" ซึ่งทางผู้จัดเปิดเผยว่า Sam Hui ได้จัดคอนเสิร์ตแบบไลฟ์สตรีมเป็นครั้งแรกโดยออกอากาศฟรีผ่าน YouTube และ Facebook และคอนเสิร์ตนี้มีผู้รับชมราว 2 ล้านราย ส่วนคอนเสิร์ตไลฟ์สตรีมของ Aaron Kwok มีผู้รับชมราว 14 ล้านราย มีช่องรับชมการแสดงสดกว่า 90 ช่องทั่วโลก และคอนเสิร์ตดังกล่าวมีผู้รับชมผ่าน Facebook ถึง 3 ล้านคนทั่วโลก การแสดงเพลงฮิตที่อัดแน่นด้วยพลังบวกเหล่านี้ ช่วยเชื่อมโยงผู้คนหลากหลายรุ่นทั่วโลก พร้อมเชิญชวนให้ฮ่องกงและทั่วโลกร่วมมือกันและมองโลกในแง่ดีเข้าไว้



'เจ้าพ่อวงการแคนโตป๊อป' สนับสนุนทีมผู้สร้างเพลง

Sam Hui ที่มาพร้อมกับกีตาร์โปร่ง ได้แสดงเพลงราว 20 เพลง ซึ่งรวมถึงเพลงฮิตของเขา ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการสะท้อนถึงความรักที่ชาวฮ่องกงมีต่อเมืองนี้ และแม้ว่าตัวเขาเองได้ย้ำว่าคอนเสิร์ตนี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตระดมทุน แต่เขาก็ได้บริจาคเงิน 250,000 ดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อช่วยเหลือทีมงานของบริษัทจัดอีเวนต์ดนตรีอย่าง Tom Lee Engineering ซึ่งร่วมงานกับเขามาหลายปีแล้ว



ราชาเท้าไฟวงการแคนโตป๊อประดมทุนช่วยนักเต้นและทีมสร้างภาพยนตร์

Aaron Kwok ได้เดินตามรอยคอนเสิร์ตออนไลน์นาน 1 ชั่วโมงที่เปิดให้ชมฟรีของ "เจ้าพ่อวงการแคนโตป๊อป" อย่าง Sam Hui โดยเขาได้จัดคอนเสิร์ตนาน 1 ชั่วโมงที่เปิดให้ชมฟรีเช่นกันที่โซน "Ocean Terminal Deck" ของฮาร์เบอร์ ซิตี้ ในเดือนพฤษภาคม คอนเสิร์ตดังกล่าวมีนักเต้นถึง 80 คนที่แสดงเคียงข้าง Aaron Kwok ขณะโชว์สเต็ปการเต้นเพลงฮิตของเขาเอง เพื่อระดมทุนให้กับนักเต้นและทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และนับจนถึงวันนี้ การแสดงดังกล่าวระดมทุนเบื้องต้นเข้ามูลนิธิการกุศลของเขาได้กว่า 4 ล้านดอลลาร์ และทางฮาร์เบอร์ ซิตี้ ก็ได้สมทบทุน 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อสนับสนุนโครงการนี้ด้วย

ดาวน์โหลดรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่ :

https://www.dropbox.com/sh/4bfc2t21aaao5lj/AAAkwqyGhF6VEwbFad-z-WB2a?dl=0

รับชมคอนเสิร์ตออนไลน์ได้ที่ :

เพจ Facebook ของ Harbour City: https://bit.ly/36fsFsA
ช่อง YouTube ของ Harbour City: https://www.youtube.com/channel/UCFATknqPry6JJ7teK-7hhFg
ช่อง YouTube HiEggo: https://bit.ly/2w9keRR

สายด่วนลูกค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ : +852-2118-8666 / www.harbourcity.com.hk

Canto-pop Superstars Sam Hui & Aaron Kwok hold Free Online Concert at Hong Kong's Harbour City

In the spirit of unity, togetherness and optimism, Canto-pop legends, Sam Hui Koon-kit and Canto-pop 'Dancing King' Aaron Kwok Fu-shing, held free online concerts, on 12 April, 2020 and 9 May, 2020 respectively at Harbour City "Ocean Terminal Deck", the observation deck of Hong Kong's largest shopping mall.

Harbour City supports online concerts and spreads positivity around the World

Surrounded by the sea with a 270-degree panorama view of Victoria Harbour and overlooking the breathtaking views of Hong Kong Island and Kowloon, Ocean Terminal Deck is an iconic landmark and tourist attraction. The concerts were staged on Ocean Terminal Deck, against backdrop of the incredible Victoria Harbour skyline. Performing their greatest hits, both stars captured the beauty of Hong Kong.



Fully supported by Harbour City, the YouTube channel HiEggo organized "2020 Sam Hui In The Same Boat Online Concert", while Aaron Kwok Love and Concern International Charity Fund Limited, and YouTube channel HiEggo jointly organized Aaron Kwok "Cheer Up & Dance Online Charity Concert 2020". According to the organizers, Sam Hui held his first live stream concert which was broadcast for free over YouTube and Facebook, attracted around 2 million. The viewership of Aaron Kwok's live-streamed concert hit around 14 million viewers, over 90 channels to watch live broadcast in the world, while the concert attracted 3 million Facebook streaming viewers worldwide. Those greatest hits with positive energy connected people all over the world through different generations, helped to call on Hong Kong and the World to work together and stay optimistic.

'God of Cantopop' supports music production team

Armed with his acoustic guitar, Sam Hui performed around 20 songs, including some of his greatest hits – all tributes to the affection Hong Kong people have for their city. Although he stressed that his concert was not a fund-raiser, he also donated HK$250,000 to help the staff of a music event company, Tom Lee Engineering, which has worked with him for many years.



Dancing King of Cantopop raise funds for dancers and film crews

Following in the footsteps of "God of Cantopop" Sam Hui's free one-hour online concert, Aaron Kwok also held a free one-hour concert at Harbour City "Ocean Terminal Deck" in May. 80 dancers performed alongside Aaron Kwok during his dance hits, to raise funds for dancers and film crews who have been affected by the pandemic. As of today, his performance raised initially more than 4 million dollars for his charitable foundation. To support this charity project, Harbour City has donated HK$1 million.

Download more photos:

https://www.dropbox.com/sh/4bfc2t21aaao5lj/AAAkwqyGhF6VEwbFad-z-WB2a?dl=0



View online concerts:

Harbour City Facebook page: https://bit.ly/36fsFsA
Harbour City YouTube channel: https://www.youtube.com/channel/UCFATknqPry6JJ7teK-7hhFg
HiEggo YouTube channel: https://bit.ly/2w9keRR

Customer Enquiries: +852-2118-8666 / www.harbourcity.com.hk