Sea Cargo Charter สร้างเกณฑ์มาตรฐานใหม่สำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเลอย่างรับผิดชอบ การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใส และการตัดสินใจที่ดีขึ้นตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ของสหประชาชาติ
Global Maritime Forum องค์กรไม่แสวงผลกำไรระหว่างประเทศ ประกาศว่า กลุ่มบริษัทซื้อขายพลังงาน สินค้าเกษตร เหมืองแร่ และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก จะประเมินและเปิดเผยกิจกรรมการขนส่งตามข้อปฏิบัติเรื่องสภาพภูมิอากาศเป็นครั้งแรก
หน่วยงานต่างๆ ของสหประชาชาติประมาณการว่า อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของระบบการค้าโลก และปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วน 2-3% ของโลกในแต่ละปี
บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายสำคัญ โดยปริมาณการขนส่งน้ำมันดิบ ถ่านหิน แร่เหล็ก เมล็ดพืช และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของการค้าทางทะเลทั่วโลก ซึ่ง Sea Cargo Charter เป็นกรอบการทำงานระดับโลกที่สนับสนุนให้บริษัทต่างๆ เหล่านี้รวมการพิจารณาเรื่องสภาพภูมิอากาศเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการตัดสินใจเรื่องการเช่าเรือ เพื่อให้การขนส่งสินค้าทางทะเลเป็นไปตามแนวทางการแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้น
Sea Cargo Charter สร้างพื้นฐานร่วมกันเพื่อประเมินในเชิงปริมาณและเปิดเผยว่ากิจกรรมการขนส่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศหรือไม่ โดย Sea Cargo Charter มีความสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายสูงสุดที่ชาติสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) ของสหประชาชาติลงมติยอมรับ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศลงอย่างน้อย 50% ภายในปี 2050
“กระบวนการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นมาตรฐานจะช่วยลดความซับซ้อนบางประการที่เกี่ยวข้องกับการรายงาน และการรายงานที่เป็นมาตรฐานจะส่งเสริมแนวทางปฏิบัติในการติดตามการปล่อยมลพิษอย่างต่อเนื่องและโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้การขนส่งมีความยั่งยืน” Jan Dieleman ประธาน Cargill Ocean Transportation และประธานกลุ่มร่าง Sea Cargo Charter กล่าว
“อุตสาหกรรมชิปปิ้งทั้งอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้แนวทางที่โปร่งใส ซึ่งสนับสนุนโดย Sea Cargo Charter เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของภาคอุตสาหกรรม และสำหรับเราแล้ว เพื่อเผชิญกับความท้าทายร่วมกัน” Rasmus Bach Nielsen หัวหน้าฝ่าย Fuel Decarbonisation ของ Trafigura กล่าว
“Sea Cargo Charter เป็นย่างก้าวสำคัญในการวางรากฐานสำหรับอุตสาหกรรมชิปปิ้งที่ปลอดคาร์บอน ความร่วมมือเช่นนี้จากทั้งภาคอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญต่อการสนับสนุนให้ลูกค้าหันมาใช้บริการขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือปลอดมลพิษกันมากขึ้น ความร่วมมือเช่นเดียวกันนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อปลดล็อกโซลูชันในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพื่อระดมแรงสนับสนุนจากอุตสาหกรรมสำหรับการจัดทำกฎระเบียบที่จะช่วยสร้างสนามการลงทุนที่ท้าทายแต่เท่าเทียม โดยเราต้องการให้ IMO ใช้แผนยุทธศาสตร์ปี 2023 เพื่อวางกรอบเป้าหมายสำหรับภาคอุตสาหกรรมในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2050” Grahaeme Henderson ตำแหน่ง Global Head กลุ่มธุรกิจ Shell Shipping & Maritime กล่าว
ภาคีผู้ลงนามก่อตั้ง Sea Cargo Charter ประกอบด้วย Anglo American, ADM, Bunge, Cargill Ocean Transportation, COFCO International, Dow, Equinor, Gunvor Group, Klaveness Combination Carriers, Louis Dreyfus Company, Norden, Occidental, Shell, Torvald Klaveness และ Trafigura
“Sea Cargo Charter ช่วยให้ผู้นำจากภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลายใช้อิทธิพลของตนเองเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการเลือกการขนส่งทางทะเลที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศ” Johannah Christensen กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าโครงการและแผนงาน องค์กรไม่แสวงผลกำไรระหว่างประเทศ Global Maritime Forum กล่าว
บริษัทขนส่งสินค้าระดับโลกที่เป็นแกนนำการพัฒนา Sea Cargo Charter ประกอบด้วย Anglo American, Cargill Ocean Transportation, Dow, Norden, Total, Trafigura ร่วมด้วยบริษัทอุตสาหกรรมชั้นนำ ได้แก่ Euronav, Gorrissen Federspiel, Stena Bulk โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง Global Maritime Forum, Smart Freight Centre, University College London Energy Institute/UMAS และ Stephenson Harwood
No comments:
Post a Comment