Monday, September 23, 2019

“มาร์ส” เร่งจัดการปัญหาโลกร้อน เปิดตัวโครงการใหม่ #PledgeForPlanet

          - มาร์สประกาศพันธกิจใหม่ภายใต้โครงการ #PledgeForPlanet มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงให้มากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของความตกลงปารีส (Paris Agreement) นั่นคือ การสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส

          - มาร์สเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน รวมถึงผลักดันให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

          - แกรนท์ เอฟ. รี้ด ซีอีโอของมาร์ส สนับสนุนให้ทุกคน "ลงมือทำเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม"

          - โครงการ #PledgeForPlanet เปิดตัวพร้อมกับการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (UN Climate Action Summit) ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ และงาน Climate Week NYC โดยมีการจัดแสดงภาพฝาผนังของศิลปินดัง สตีเวน แฮร์ริงตัน ณ สวนสาธารณะไบรอันท์พาร์คในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งนักแสดงและนักร้องสาว วิกตอเรีย จัสติซ ได้มาชมผลงานพร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลงมืออย่างเร่งด่วน

       
มาร์ส (Mars) ประกาศพันธกิจใหม่เพื่อเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการเปิดตัวโครงการ #PledgeForPlanet โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงให้มากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของความตกลงปารีส นั่นคือ การสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส

          พันธกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่มาร์สประกาศครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นั่นคือ การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในการดำเนินงานภายในปี 2583 ปัจจุบัน ไฟฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งที่บริษัทใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และบริษัทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และเร็วๆนี้ในออสเตรเลีย มาร์สเล็งเห็นว่าภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญในการสกัดกั้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทจึงริเริ่มโครงการ #PledgeForPlanet เพราะเห็นว่าเราต้องไปให้ไกลขึ้นและเร็วขึ้นเพื่อสร้างโลกที่แข็งแรงสมบูรณ์ให้เราทุกคนเจริญเติบโตไปด้วยกัน

          ภายใต้โครงการนี้ มาร์สไม่เพียงเร่งจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นหุ้นส่วน ซัพพลายเออร์ และผู้คนทั่วโลกให้มาร่วมปฏิญาณตนปกป้องโลกและจัดการกับต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

          มาร์สเรียกร้องให้ซัพพลายเออร์ทุกรายเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ลงนามเข้าร่วมโครงการ RE100 ของ The Climate Group และมุ่งใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานโดยตรงในอนาคต โดยบริษัท Olam ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์จัดหาโกโก้และน้ำมันปาล์มให้กับมาร์ส ได้เข้าร่วมโครงการของมาร์สแล้ว

          แกรนท์ เอฟ. รี้ด ซีอีโอของมาร์ส กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามต่อสังคมอย่างแท้จริงและชัดเจน เช่นในธุรกิจของเรา เราเห็นแล้วว่าปัญหานี้อาจส่งผลต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยที่จัดหาวัตถุดิบส่วนใหญ่ให้กับเรา"

          "ความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานและอนาคตของเกษตรกรที่ทำงานให้เราคือสิ่งที่เราใส่ใจที่สุด แต่ในฐานะธุรกิจครอบครัวที่คิดเผื่อคนรุ่นหลังและมุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลก ความรับผิดชอบและความปรารถนาของเราจึงไม่ใช่แค่การบรรเทาความเสี่ยงเท่านั้น แต่เราตั้งใจทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อโลกใบนี้"

          โครงการใหม่ล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มาร์สได้ทุ่มเงินลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในการดำเนินกลยุทธ์ Sustainable in a Generation Plan เพื่อเร่งให้เกิดความก้าวหน้าในการรับมือกับภัยคุกคามของโลก ไม่จำกัดแค่การดำเนินงานโดยตรงของบริษัทเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วห่วงโซ่คุณค่าลง 27% ภายในปี 2568 และ 67% ภายในปี 2593

          คุณรี้ดกล่าวเสริมว่า "ในฐานะธุรกิจ เรามีความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยการเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ เราได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องให้แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ และเราทุกๆคนมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เราริเริ่มโครงการ #PledgeForPlanet เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนลงมือทำเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม"

          โครงการใหม่ตอกย้ำความรับผิดชอบร่วมกันของภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประชาชนทุกคนทั่วโลก ในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

          วิกตอเรีย จัสติซ นักแสดงและนักร้องสาว ผู้เคยเข้าร่วมการชุมนุม Moral Action on Climate Justice และผู้สนับสนุนมูลนิธิสหประชาชาติ (UN Foundation) ได้มีส่วนช่วยเปิดตัวโครงการ #PledgeForPlanet ด้วยการปฏิญาณตนปกป้องโลกและเซ็นชื่อลงบนภาพฝาผนัง

          เธอกล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค แต่การกระทำง่ายๆ สามารถสร้างผลกระทบมหาศาล ฉันจึงร่วมมือกับมาร์สปฏิญาณตนปกป้องโลก และใช้ชื่อเสียงของฉันในการกระตุ้นให้คนทั่วโลกทำเช่นเดียวกัน เราทุกคนมีบทบาทในการปกป้องโลกเพื่อคนรุ่นหลังในอนาคต"

          ภาพฝาผนังดังกล่าวซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินดัง สตีเวน แฮร์ริงตัน แสดงให้เห็นภาพโลกในอนาคตหากเราทุกคนช่วยกันลงมือทำอย่างเร่งด่วนเพื่อสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภาพดังกล่าวจัดแสดงต่อสาธารณชน ณ สวนสาธารณะไบรอันท์พาร์คในมหานครนิวยอร์ก ระหว่างงาน Climate Week NYC ก่อนจะย้ายไปจัดแสดงที่ M&M's World ในย่านไทม์สแควร์

          แฮร์ริงตัน ผู้เคยร่วมมือกับเจ้าของธุรกิจหลายรายรังสรรค์ผลงานศิลปะที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและลงมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า "เมื่อคิดถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจรู้สึกว่าเกินกำลังหรือหมดหนทางแก้ไข แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป หากเราทุกคนตั้งใจทำเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราก็สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ ผมสร้างสรรค์ภาพฝาผนัง #PledgeForPlanet เพราะต้องการดึงดูดและกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแสดงให้เห็นว่าโลกของเรายังมีหวังหากเราทุกคนร่วมกันลงมือทำอย่างเร่งด่วน"

          - โครงการ #PledgeForPlanet ได้รับแรงบันดาลใจจาก ActNow Climate Campaign ของสหประชาชาติ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ โครงการนี้มุ่งกระตุ้นให้ทุกคนลุกขึ้นมาปกป้องโลกให้แข็งแรงสมบูรณ์เพื่อคนรุ่นหลัง ส่วน ActNow Climate Campaign เป็นโครงการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยใช้เครื่องมืออินเทอร์แอคทีฟที่เรียกว่า ActNow "bot" ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอน เช่น ใช้รถให้น้อยลง ซื้อของที่ผลิตในท้องถิ่นและตามฤดูกาล และอาบน้ำ 5 นาที เป็นต้น โดยมาร์สได้นำ ActNow "bot" มาใช้ภายในบริษัทในเครือทั่วโลก

          - ภายใต้โครงการใหม่นี้ มาร์สได้ดึงอินฟลูเอนเซอร์ในโลกโซเชียลมาช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกมาร่วมปฏิญาณตนปกป้องโลกที่ www.mars.com/pledgeforplanet และแชร์คำปฏิญาณบนโลกออนไลน์โดยใช้แฮชแท็ก #PledgeForPlanet

          หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
          ภาพฝาผนังจะจัดแสดงที่สวนสาธารณะไบรอันท์พาร์คในวันที่ 23 กันยายน ก่อนที่จะย้ายไปยัง M&M's World ในย่านไทม์สแควร์ (1600 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ก)

          มีส่วนร่วมกับโครงการได้ที่ #PledgeForPlanet

          ซัพพลายเออร์รายแรกที่เข้าร่วมโครงการ #PledgeforPlanet ของมาร์ส
          ซันนี่ เวอร์กีส ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Olam กล่าวว่า "สภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นและเกิดบ่อยขึ้นทั่วโลกทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าเราต้องเร่งจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจึงยินดีเข้าร่วมโครงการ #PledgeforPlanet ของมาร์ส และหวังว่าจะได้สร้างความร่วมมือกันในส่วนนี้ สำหรับ Olam เราได้ปรับเปลี่ยนวิธีการปลูก สรรหา และแปรรูปสินค้าของเรา เพื่อลดผลกระทบที่เราก่อขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด และร่วมมือกับเกษตรกรในการปรับตัวเพื่อรับแรงกดดันจากสภาพภูมิอากาศ"

          การสนับสนุนที่มีต่อโครงการ #PledgeforPlanet
          คาร์เตอร์ โรเบิร์ตส์ ประธานและซีอีโอขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) กล่าวว่า "เมื่อพูดถึงผู้นำในการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศและรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แทบไม่มีบริษัทใดที่อุทิศตนให้กับเรื่องนี้ยาวนานกว่ามาร์ส และการเปิดตัวโครงการใหม่ในวันนี้ก็ตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าว มาร์สลุกขึ้นมากระตุ้นให้เราตระหนักว่าต้องสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ทั้งยังนำการดำเนินงานและห่วงโซ่คุณค่าขององค์กรมาแบกรับการต่อสู้ครั้งนี้ ทาง WWF จะร่วมมือกับมาร์สต่อไปเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายอื่นๆ"

          เอมี่ เดวิดเซ่น จาก The Climate Group กล่าวว่า "มาร์สเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปฏิญาณตนใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายใต้โครงการ RE100 ห้าปีต่อมา มาร์สยังคงเป็นผู้นำด้วยการกระตุ้นให้ซัพพลายเออร์เข้าร่วมโครงการและกำหนดเป้าหมายโดยอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งยังมีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ มาร์สตระหนักว่าความสามารถทางการแข่งขันในอนาคตขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพและใช้พลังงานสะอาด และตอนนี้เราต้องการให้บริษัทอีกหลายพันแห่งทำตามอย่างมาร์ส"

          มินดี้ ลับเบอร์ ซีอีโอและประธาน Ceres กล่าวว่า "โครงการ #PledgeForPlanet ของมาร์สสะท้อนความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และเป็นโครงการที่ควรได้รับการยกย่อง แผนการใหม่อันยิ่งใหญ่นี้ทำให้มาร์สยังคงเป็นผู้นำความพยายามในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกระตุ้นให้ผู้อื่นเพิ่มความเข้มข้นในการลดการปล่อยคาร์บอนและลงทุนในพลังงานหมุนเวียน Ceres ภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับมาร์สเพื่อสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และสร้างอนาคตที่คาร์บอนเป็นศูนย์"

          ทอม เมอร์เรย์ รองประธาน EDF+Business กล่าวว่า "เราได้รับแรงบันดาลใจจากมาร์สและบรรดาผู้นำธุรกิจที่เพิ่มความเข้มข้นในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการกระตุ้นให้ซัพพลายเออร์และลูกค้ามาร่วมต่อสู้ด้วยกัน เพื่อเอาชนะศึกนี้ บรรดาธุรกิจน้อยใหญ่ต้องลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เร่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด 100% และสนับสนุนนโยบายจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก"

          เกี่ยวกับ #PledgeForPlanet
          #PledgeForPlanet เป็นโครงการด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกที่ริเริ่มโดยบริษัท มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด เพื่อช่วยปกป้องโลกและจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ActNow Climate Campaign ของสหประชาชาติ โครงการนี้เรียกร้องให้ทุกคนช่วยกันปกป้องโลกผ่านการทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือเดินไปทำงาน เพื่อสร้างโลกที่แข็งแรงสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองสำหรับคนรุ่นหลัง โดยร่วมปฏิญาณตนได้ที่ www.mars.com/pledgeforplanet และแชร์คำปฏิญาณออนไลน์โดยใช้แฮชแท็ก #PledgeForPlanet

          เกี่ยวกับ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด
          มาร์ส เป็นธุรกิจครอบครัวที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยผลิตสินค้าและนำเสนอบริการอันหลากหลายทั้งสำหรับคนและสัตว์เลี้ยงแสนรัก มาร์สเป็นธุรกิจระดับโลกที่มียอดขายกว่า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นเจ้าของแบรนด์อันเป็นที่โปรดปรานของผู้คนทั่วโลก ได้แก่ M&M's(R), SNICKERS(R), TWIX(R), MILKY WAY(R), DOVE(R), PEDIGREE(R), ROYAL CANIN(R), WHISKAS(R), EXTRA(R), ORBIT(R), 5(TM), SKITTLES(R), UNCLE BEN'S(R) และ COCOAVIA(R) นอกจากนี้ มาร์สยังดูแลสัตว์เลี้ยงครึ่งหนึ่งของทั้งหมดทั่วโลกผ่านธุรกิจโภชนาการ สุขภาพ และบริการต่างๆ เช่น Banfield Pet Hospitals(TM), BluePearl(R), Linnaeus, AniCura, VCA(TM) และ Pet Partners(TM) บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ย่านแม็คลีนในรัฐเวอร์จิเนีย และดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ หลัก 5 ประการของบริษัท ได้แก่ คุณภาพ ความรับผิดชอบ ความสัมพันธ์ ประสิทธิภาพ และอิสระ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมงานกว่า 125,000 คนของมาร์สตั้งใจทำสิ่งต่างๆ ทุกวัน เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่โลกใบนี้ คนทุกคน และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดเติบโตไปด้วยกัน

          รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาร์สได้ที่ www.mars.com หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ลิงก์อิน อินสตาแกรม และยูทูบ

          วิดีโอ - https://mma.prnewswire.com/media/999242/Mars_Planet_Pledge_D.mp4

No comments:

Post a Comment