Monday, January 28, 2019

ADNOC ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Eni และ OMV ในด้านการกลั่นน้ำมันและการค้า


          - Eni เข้าถือหุ้น 20% ใน ADNOC Refining ขณะที่ OMV เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 15% หลังทั้งสองบริษัทผ่านกระบวนการคัดเลือกที่มีการแข่งขันกันสูง

          - ADNOC, Eni และ OMV จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนการค้าแห่งใหม่ขึ้น เพื่อเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านการค้าของ ADNOC

          - ความรู้และประสบการณ์การดำเนินงานที่กว้างขวางของ Eni และ OMV จะสนับสนุน ADNOC ในการผลักดันการขยายธุรกิจปลายน้ำตามกลยุทธ์ที่วางไว้

          - การเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้เป็นการสานต่อความร่วมมือในปัจจุบันระหว่าง ADNOC กับ Eni และ OMV ซึ่งมีปณิธานร่วมกันในการที่จะสร้างการเติบโตระยะยาวสำหรับทั้ง ADNOC Refining และบริษัทร่วมทุนการค้า

          บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company หรือ ADNOC) ประกาศลงนามในข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่ 2 ฉบับ ร่วมกับ Eni และ OMV ครอบคลุมธุรกิจ ADNOC Refining และบริษัทร่วมทุนการค้าแห่งใหม่ซึ่งหุ้นส่วนทั้งสามรายจะร่วมกันจัดตั้งขึ้น โดยพิธีลงนามได้รับเกียรติจากชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน มกุฎราชกุมารแห่งอาบูดาบี และรองผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คุณ จูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรีของอิตาลี และคุณ ฮาร์ตวิก โลเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของออสเตรีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ขณะที่ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการลงนามโดยดร. ดร. สุลต่าน อาเหม็ด อัล จาเบอร์ รัฐมนตรีแห่งรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซีอีโอของกลุ่มบริษัท ADNOC Group, คุณเคลาดิโอ เดสคัลซี ซีอีโอของบริษัท Eni และดร. ไรเนอร์ ซีเลอ ประธานคณะกรรมการบริหารและซีอีโอของบริษัท OMV

          (รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/813950/ADNOC_Eni_OMV.jpg )

          โดยในการซื้อขายหุ้นโรงกลั่นครั้งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตกลงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา Eni และ OMV จะเข้าถือหุ้น 20% และ 15% ในธุรกิจ ADNOC Refining ตามลำดับ ขณะที่ ADNOC ถือครองหุ้นส่วนที่เหลือทั้ง 65% ทั้งนี้ ADNOC Refining ซึ่งมีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 922,000 บาร์เรลต่อวัน และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันใหญ่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการที่ 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับเงื่อนไขเพิ่มเติมของข้อตกลงระบุด้วยว่า หุ้นส่วนทั้งหมดจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนการค้าขึ้น ซึ่ง Eni และ OMV จะถือหุ้นในอัตรา 20% และ 15% ตามลำดับ ขณะที่รายได้ซึ่ง ADNOC จะได้รับจากการขายนั้น ประมาณการว่าจะอยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคำนวณมูลค่าจากการขาย ณ วันที่ทำรายการซื้อขาย ธุรกรรมดังกล่าวสะท้อนขนาด คุณภาพ และศักยภาพในการเติบโตของสินทรัพย์ของ ADNOC Refining รวมถึงทำเลที่ได้เปรียบสำหรับการจัดส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันให้กับตลาดต่างๆ ในทวีปแอฟริกา เอเชีย และยุโรป

          Eni และ OMV มีประวัติผลงานอันยอดเยี่ยมในการสร้างมูลค่าสูงสุดจากการดำเนินงานโรงกลั่นคอมเพล็กซ์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่กว้างขวางในการบริหารและดำเนินโครงการมามอบให้กับหุ้นส่วนความร่วมมือ
เมื่อจัดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทร่วมทุนการค้าระดับโลกแห่งใหม่นี้จะกลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ของ ADNOC Refining ไปยังต่างประเทศ โดยมีปริมาณการส่งออกคิดเป็น 70% ของปริมาณการผลิต และจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มเติมต่อไป ขณะที่การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้น จะยังคงบริหารจัดการโดย ADNOC

          ดร. สุลต่าน อาเหม็ด อัล จาเบอร์ รัฐมนตรีแห่งรัฐของยูเออี และซีอีโอของ ADNOC Group กล่าว "เรามีความยินดีที่ได้เป็นหุ้นส่วนกับ Eni และ OMV ในธุรกิจการกลั่นและบริษัทการค้าแห่งใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางชี้แนะที่ชาญฉลาดของท่านผู้นำองค์กร เพื่อปลดล็อกและเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจของเรา"

          "ความร่วมมือรูปแบบใหม่เหล่านี้จะสนับสนุนความมุ่งมั่นของเราในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมปลายน้ำระดับนานาชาติ ด้วยความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของตลาดและตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว พร้อมช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าจากน้ำมันทุกบาร์เรลที่เราผลิตได้"

          "การทำงานร่วมกับหุ้นส่วนอย่างใกล้ชิดยังจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร ตลอดจนพัฒนาสินทรัพย์และปรับปรุงการดำเนินธุรกิจอีกด้วย" ดร. อัล จาเบอร์ กล่าว

          เมื่อพิจารณาจากความสามารถของ ADNOC Refining ในการสร้างกระแสเงินสดที่มีสภาพคล่องสูง หุ้นส่วนทั้งสามรายจึงมุ่งมั่นที่จะผลักดันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของ ADNOC Refining ในระยะสั้นจนถึงระยะกลาง นอกจากนี้ ทางหุ้นส่วนยังเห็นพ้องต่อแผนการจัดสรรเงินทุนที่ครอบคลุมเพื่อบรรลุการเติบโตด้วยเงินทุนของตนเอง ควบคู่กับนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่น่าดึงดูด

          ข้อตกลงใหม่ที่สำคัญเหล่านี้เป็นการสานต่อแนวทางของ ADNOC ในการขยายความร่วมมือหุ้นส่วนระยะยาว และการจัดการสินทรัพย์ในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการต่อยอดผลงานการเป็นหุ้นส่วนที่ประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาทั้งในอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุน ADNOC ในการเดินหน้าปฏิรูปบริษัทสู่การเป็นผู้เล่นในอุตสาหกรรมปลายน้ำระดับโลก ผ่านการขยายการดำเนินการด้านการกลั่นและปิโตรเคมีที่ Ruwais และคว้าส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ตามที่บริษัทได้ประกาศในการประชุม Downstream Investment Forum เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561

          นายเคลาดิโอ เดสคัลซี ซีอีโอของ Eni กล่าวว่า "ข้อตกลงเหล่านี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งของเรากับ ADNOC โดยในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เราสามารถสร้างศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจต้นน้ำระดับโลก พร้อมด้วยความสามารถด้านการกลั่นที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมีศักยภาพที่จะเติบโตยิ่งขึ้นต่อไป"

          "การทำข้อตกลงในครั้งนี้เปิดทางให้เราสามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และทำให้ Eni มีกำลังการกลั่นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 35% ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เราเคยประกาศไว้ว่าจะกระจายการลงทุนโดยรวมของ Eni ให้มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มความสมดุลในห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยืนหยุ่นมากยิ่งขึ้น"

          ดร. ไรเนอร์ ซีเลอ ประธานคณะกรรมการบริหารและซีอีโอของ OMV ได้สะท้อนความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน โดยระบุว่า "ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ ADNOC และอาบูดาบี การซื้อหุ้นใน ADNOC Refining และการตั้งบริษัทร่วมทุนการค้าระดับโลกจะช่วยสร้างสถานะที่แข็งแกร่งและครบวงจรให้กับ OMV ในอาบูดาบี รวมทั้งห่วงโซ่มูลค่าน้ำมัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การผลิตต้นน้ำ การกลั่นและการค้า ไปจนถึงปิโตรเคมี เรามั่นใจว่า ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและประสบการณ์การค้าที่กว้างขวางของเรา จะมีส่วนสนับสนุนการสร้างมูลค่าและการเติบโตของผลกำไรอย่างยั่งยืน"

          ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงเหล่านี้ ระบุว่า บริษัทร่วมทุนการค้าระหว่าง ADNOC, Eni และ OMV จะจัดตั้งขึ้นที่ตลาด Abu Dhabi Global Markets และคาดว่า การซื้อขายทั้งสินค้าที่ส่งมอบจริงและอนุพันธ์จะเริ่มได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2563 เมื่อขั้นตอน กระบวนการ และระบบที่จำเป็นทั้งหมดมีความพร้อม โดย Eni และ OMV จะมอบความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ในการดำเนินงาน และการสนับสนุนแก่ ADNOC เพื่อเร่งผลักดันการพัฒนาบริษัทร่วมทุนแห่งนี้ ซึ่งจะช่วยให้ ADNOC และหุ้นส่วนสามาถปรับปรุงระบบต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และจัดการการไหลของสินค้า (product flow) ระหว่างประเทศให้ดีขึ้น

          เมื่อเริ่มดำเนินการ บริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะช่วยชี้แนะการตัดสินใจด้านการดำเนินงานและกิจกรรมทางธุรกิจของ ADNOC Refining เพื่อรับประกันว่า ADNOC จะสร้างมูลค่าจากกิจกรรมการกลั่นและการค้าได้สูงสุด โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะขยายกิจการสู่ระดับโลกในเวลาต่อไป

          ความร่วมมือที่มีการประกาศในวันนี้ จะส่งเสริมให้โรงกลั่นคอมเพล็กซ์ Ruwais ของ ADNOC ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค Al Dhafra ของอาบูดาบี มีบทบาทความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานการกลั่นและปิโตรเคมีทั่วโลกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเน้นย้ำให้เห็นถึงความน่าดึงดูดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนและอุตสาหกรรมที่มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้

          ศักยภาพการเติบโตที่ไม่เหมือนใครของโรงกลั่นคอมเพล็กซ์ Ruwais เป็นผลมาจากทำเลที่ตั้งอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ ตลอดจนขนาดและองค์ประกอบของโรงกลั่นคอมเพล็กซ์ ที่ประกอบไปด้วยโรงผลิตก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน โรงผลิตเคมีภัณฑ์ โรงผลิตปุ๋ย และโรงผลิตก๊าซอุตสาหกรรม และได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือและโลจิสติกส์ระดับโลกและมีประสิทธิภาพ

          โรงกลั่นคอมเพล็กซ์ Ruwais จะได้รับการบูรณาการเพิ่มเติมต่อไป ในขณะที่ ADNOC เดินหน้าโครงการการลงทุนตามที่มีการประกาศให้ทราบก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยเร่งการจัดตั้งและการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในขั้นทุตยภูมิและตติยภูมิ ซึ่งนับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการขยายเศรษฐกิจและการกระจายการลงทุนของประเทศ

          ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกับ Eni และ OMV เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการปฏิรูปกลุ่มบริษัท ADNOC และกลยุทธ์การสร้างมูลค่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์พลังงาน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยรับประกันว่า ADNOC ยังคงเป็นบริษัทที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี โดยสามารถคว้าโอกาสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดและนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

          ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการตามข้อตกลงเหล่านี้จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ของปี 2562 โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทั่วไปและการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

          ที่มา: ADNOC

No comments:

Post a Comment