การเติบโตของรายได้จากธุรกิจเดิม คิดเป็น 4%[7] ในไตรมาส 4
กำไรต่อหุ้นปรับลด อยู่ที่ $0.79 ในไตรมาส 4
กำไรต่อหุ้นปรับลด (adjusted) อยู่ที่ $0.90[2] เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/60
ยอดชำระหนี้ $204 ล้านในปี 2561 เกินกว่าเป้า
กำไรต่อหุ้นปรับลด (adjusted) ในปีงบการเงิน 2562 คาดว่าจะอยู่ในช่วง $3.15 - $3.45
เซนต์พอล, มินนีโซตา, 16 ม.ค. 2562 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- H.B. Fuller Company (NYSE: FUL) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4 และปีงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 1 ธ.ค. 2561
รายการสำคัญประจำไตรมาส 4 ปี 2561:
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่ที่ 146 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระดับ 70 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2560 ยอดชำระหนี้อยู่ที่ 204 ล้านดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2561 เกินกว่าเป้าหมายของบริษัทซึ่งอยู่ที่ 170 ล้านดอลลาร์
- รายได้สุทธิอยู่ที่ 768 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560 รายได้จากธุรกิจเดิมเติบโต 4% [7] โดยได้รับแรงหนุนจากการกำหนดราคาและการขยายตัวในอัตราเลขสองหลักของธุรกิจ Engineering Adhesives
- กำไรสุทธิอยู่ที่ 41 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ปรับลด ที่ 0.79 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับยอดขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/2560 ขณะที่กำไรสุทธิ (adjusted) อยู่ที่ 47 ล้านดอลลาร์ [2] หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (adjusted) ที่ 0.90 ดอลลาร์ [2] เพิ่มขึ้น 27%
- อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 2.4% และกำไรขั้นต้น (adjusted) [5] เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560
- Adjusted EBITDA อยู่ที่ 121 ล้านดอลลาร์ [2] เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการซื้อกิจการ กลยุทธ์การตั้งราคา และการสร้างกำลังผนึกของกิจการ ขณะที่เพิ่มขึ้น 8% เมื่อคำนวณแบบ pro-forma สำหรับธุรกิจ Royal [1]
- Adjusted EBITDA margin ปรับตัวขึ้น 15.7% [2] เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.7% [2] และเพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อคำนวณแบบ pro-forma โดยรวมถึง Royal [1]
- การผนวกรวมธุรกิจ Royal Adhesives เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีต้นทุนส่วนเพิ่ม 5 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 และพลังรวมทางต้นทุน (Cost Synergy) ที่ระดับ 15 ล้านดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2561
รายการคาดการณ์ประจำปีงบ 2562:
- คาดการณ์ว่าสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทายจะยังคงดำเนินต่อไปในจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่า ส่วนราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มทรงตัวจากปี 2561
- อัตราการเติบโตของรายได้จากธุรกิจเดิมอยู่ในช่วง 3-5% ขณะที่การเติบโตของรายได้สุทธิอยู่ในช่วง 1-2% อันเนื่องมาจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผันผวน ซึ่งคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะอยู่ในช่วง 2-3%
- กำไรต่อหุ้นปรับลด (adjusted) อยู่ในช่วง 3.15-3.45 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นราว 10% ณ จุดกึ่งกลาง
- Adjusted EBITDA อยู่ในช่วง 465-485 ล้านดอลลาร์ ปรับตัวขึ้นราว 6% ณ จุดกึ่งกลาง
- อัตราภาษีหลักอยู่ระหว่าง 26-29%
- รายจ่ายฝ่ายทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์
- การชำระหนี้คืนอยู่ที่ 200 ล้านดอลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดสัดส่วนหนี้ของบริษัท
ผลประกอบการที่สำคัญในไตรมาส 4 ปี 2561:
| ||||||||
($ ล้าน)
|
ปีที่รายงาน
|
Adjusted/Proforma
| ||||||
2561
|
2560
|
% เปลี่ยนแปลง
|
2561
|
2560
|
% เปลี่ยนแปลง
| |||
รายได้สุทธิ
|
768
|
678
|
+13%
|
768
|
7711
|
-0.3%
| ||
อัตรากำไรขั้นต้น
|
27.3%
|
24.9%
|
+240bps
|
28.1%5
|
26.6%5
|
+150bps
| ||
กำไรสุทธิ
|
41
|
(7)
|
N/A
|
472
|
372
|
+27%
| ||
กำไรต่อหุ้นปรับลด
|
$0.79
|
($0.13)
|
N/A
|
$0.902
|
$0.712
|
+27%
|
สรุปผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2561
รายได้สุทธิของไตรมาส 4/2561 อยู่ที่ 768 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560 โดยการเติบโตของรายได้จากธุรกิจเดิมอยู่ที่ 3.8%[7] โดยได้รับแรงหนุนจากการกำหนดราคาและการขยายตัวในอัตราเลขสองหลักของธุรกิจ Engineering Adhesives
อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.3% เมื่อเทียบกับ 24.9% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 และอัตรากำไรขั้นต้น (adjusted) อยู่ที่ 28.1% [5] เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกลยุทธ์การกำหนดราคา การผนึกกำลังในการหาแหล่งวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหาร (SG&A) อยู่ที่ 140 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 151 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และค่าใช้จ่าย Adjusted SG&A อยู่ที่ 131 ล้านดอลลาร์ [6] เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 117 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ของปี 2560 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากการซื้อกิจการ ค่าใช้จ่าย Adjusted SG&A ลดลง 2 ล้านดอลลาร์ เมื่อคำนวณแบบ pro-forma สำหรับธุรกิจ Royal [1]
กำไรสุทธิของไตรมาส 4/2561 อยู่ที่ 41 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.79 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด เทียบกับยอดขาดทุนสุทธิ 7 ล้านดอลลาร์ หรือ (0.13 ดอลลาร์) ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิ (adjusted) อยู่ที่ 47 ล้านดอลลาร์ [2] หรือ 0.90 [2] ดอลลาร์ต่อหุ้น (adjusted) เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 121 ล้านดอลลาร์ [2] เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นในทั้ง 5 ส่วนงานดำเนินงาน และ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 8% เมื่อคำนวณแบบ proforma ซึ่งรวมถึง Royal [8]
“กลยุทธ์ของเราคือการได้ส่วนแบ่งในตลาด Engineering Adhesives เพิ่มมากขึ้น การจัดการกำไรผ่านทางการกำหนดราคาอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากการสร้างกำลังผนึกของกิจการเพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จของ H.B. Fuller” จิม โอเวนส์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว “รายได้จากธุรกิจเดิมของเราเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งขับเคลื่อนโดยรายได้จากการกำหนดราคาและธุรกิจ Engineering Adhesives ที่เติบโตขึ้นในอัตราเลขสองหลัก อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของเรามากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้สำหรับไตรมาส 4 แม้มีปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทายเหล่านี้ แต่เรายังสามารถทำ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 8% เพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา และชำระหนี้ได้ถึง 204 ล้านดอลลาร์ในปี 2561 ซึ่งเกินเป้าหมาย 170 ล้านดอลลาร์ที่วางไว้”
สรุปผลการดำเนินงานตลอดปี 2561:
รายได้สุทธิสำหรับปีงบประมาณ 2561 อยู่ที่ 3,041 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2560 รายได้จากธุรกิจเดิมเติบโต 3.7% [7] เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้ปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการกำหนดราคา และการเติบโตในอัตราเลขสองหลักของธุรกิจ Engineering Adhesives
อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.5% ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2560 และอัตรากำไรขั้นต้น (adjusted) อยู่ที่ 27.9% [5] เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิสำหรับปีงบการเงิน 2561 อยู่ที่ 171 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.29 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 59 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.15 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลดในปีงบ 2560 กำไรสุทธิ (adjusted) อยู่ที่ 156 ล้านดอลลาร์ [2] หรือ 3.00[2] ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับ 127[2] ล้านดอลลาร์ หรือ 2.45[2] ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลดในปีงบการเงิน 2560 ขณะที่ Adjusted EBITDA อยู่ที่ 449 ล้านดอลลาร์ [2] เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 7% เมื่อคำนวณแบบ proforma ซึ่งรวมถึง Royal [8]
งบดุลและกระแสเงินสด:
ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปี 2561 บริษัทมีเงินสดในมืออยู่ที่ 151 ล้านดอลลาร์ และหนี้สินรวมเท่ากับ 2,248 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 70% ของอัตราดอกเบี้ยคงที่ เทียบกับเงินสดและหนี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 150 ล้านดอลลาร์ และ 2,364 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ของปี 2561 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาส 4 อยู่ที่ 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับ 70 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ และการจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้ดีขึ้น รายจ่ายฝ่ายทุนอยู่ที่ 22 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ของปี 2561 เทียบกับ 19 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
การคาดการณ์ทางการเงิน:
สำหรับปีงบการเงิน 2562 บริษัทคาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้น (adjusted) จะอยู่ในช่วง 3.15 - 3.45 ดอลลาร์ และ Adjusted EBITDA จะอยู่ในช่วง 465 - 485 ล้านดอลลาร์ การขยายตัวของรายได้จากธุรกิจเดิมตลอดทั้งปี คาดว่าจะอยู่ที่ 3-5% เมื่อเทียบกับปี 2561 ด้วยการเติบโตของรายได้สุทธิราว 1-2% ซึ่งรวมการประเมินผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 2-3% อัตราภาษีหลักของบริษัท ซึ่งไม่รวมผลกระทบของรายการที่แยกออกจากกัน คาดการณ์ว่าอยู่ระหว่าง 26-29% บริษัท H.B. Fuller คาดว่าจะลงทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ในรายการทุนในปี 2562
“ในปี 2562 เราจะมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้จากธุรกิจเดิมและปรับปรุงกำไรขั้นต้น พร้อมบรรลุเป้าหมายในการสร้างพลังรวมทางต้นทุนและรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนจ่ายหนี้มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ Engineering Adhesives จะยังคงเติบโตเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีกำไรมากขึ้นในปี 2562 และก้าวต่อไปข้างหน้า” นายโอเวนส์ กล่าว “สำหรับปัจจัยที่อ่อนไหวต่อผลการดำเนินงานนั้น เราคาดการณ์ว่า เงินดอลลาร์จะแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และเงินหยวนจะยังคงอ่อนค่าลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบนอกประเทศจีนจะค่อนข้างเป็นกลางในปี 2562 โดยขณะนี้ ความต้องการและราคาวัตถุดิบกำลังปรับตัวลดลงในจีน และแนวโน้มดังกล่าวอาจขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของโลกหากข้อพิพาททางการค้าและภาษียังคงดำเนินต่อไป ถ้าความต้องการและราคาของวัตถุดิบเริ่มปรับตัวลดลงในส่วนอื่นๆ ของโลก มูลค่ากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 อาจได้รับผลกระทบเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้น และ EBITDA สูงกว่าค่ากลางของช่วงที่เราคาดการณ์ไว้”
นายโอเวนส์กล่าวต่อไปว่า “เรามองว่า ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและจีนจะส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลการดำเนินงานปี 2562 ของเราประมาณ 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ระยะยาวของเราแต่เดิม ทั้งนี้ เมื่อปรับตามปัจจัยเหล่านี้แล้ว อัตราการเติบโตของ EBITDA ในปี 2561 และ 2562 จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ดั้งเดิมของเรา ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10-12% และเราคาดการณ์ว่า การเติบโตของ EBITDA ต่อปีจะอยู่ในช่วงเดียวกันนี้ไปจนถึงปี 2563 ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเวลาในการบรรลุเป้าหมาย EBITDA ที่ 600 ล้านดอลลาร์ไปประมาณหนึ่งปี เรายังคงดำเนินการเพื่อชำระหนี้ให้ได้ตามเป้าหรือสูงกว่าเป้าที่จำนวน 600 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2563 อันเป็นผลมาจากผลกำไรที่แข็งแกร่ง อัตราการแปลงกระแสเงินสดที่อยู่ในระดับสูง และโปรแกรมจัดการเงินทุนที่เราให้ความสำคัญ”
การคาดการณ์นี้ไม่รวมค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีประมาณ 15-20 ล้านดอลลาร์ในการผนวกรวมธุรกิจ Royal และธุรกิจอื่นๆ ที่ซื้อมาในปี 2560 และไม่รวมค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีราว 6-8 ล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการพัฒนา ERP การคาดการณ์ของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการออกกฎระเบียบเพิ่มเติมสืบเนื่องกับการปฏิรูปภาษีของสหรัฐ การพิสูจน์บัญชีกระทบยอดของข้อมูลทางการเงินแบบ non-GAAP ที่อยู่ในรายงานคาดการณ์ผลการดำเนินงานปี 2562 ของเรา ไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นตามข้อยกเว้น “unreasonable efforts” ของ Item 10(e)(1)(i)(B) of Regulation S-K ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
การประชุมทางโทรศัพท์:
บริษัทจะจัดการประชุมผู้ลงทุนผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 4 ในวันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562 เวลา 10.30 น.ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ผู้ที่สนใจสามารถร่วมฟังการประชุมและชมสไลด์การนำเสนอผลการดำเนินงานได้ทางเว็บแคสต์ โดยสามารถเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://investors.hbfuller.com/calendar และควรเข้าเว็บไซต์ก่อนที่การประชุมจะเริ่มประมาณ 15 นาที เพื่อลงทะเบียน รวมถึงติดตั้งและทดสอบซอฟต์แวร์ที่จำเป็น เว็บแคสต์และสไลด์จะถูกเก็บบันทึกไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทในภายหลัง สามารถฟังการประชุมย้อนหลังผ่านทางโทรศัพท์ได้หลังเสร็จสิ้นการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง โดยสามารถฟังได้จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2562 ทางหมายเลขโทรศัพท์ 1-877-344-7529 หรือ 1-412-317-0088 และใส่รหัสผ่าน 10127319
จำนวนเงินที่แสดงในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ รวมถึงงบการเงินและข้อมูลที่แนบมาด้วย ถือเป็นข้อมูลเบื้องต้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรายงานประจำปี Form 10-K ของบริษัทสำหรับปีที่สิ้นสุดวันที่ 1 ธันวาคม 2561 เมื่อมีการยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว
Regulation G:
ข้อมูลที่แสดงในเอกสารเผยแพร่ผลประกอบการฉบับนี้ ที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากการดำเนินงานตามส่วนงาน, กำไรขั้นต้น (adjusted), อัตรากำไรขั้นต้น (adjusted), ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหาร (adjusted), รายได้ก่อนภาษีเงินได้ (adjusted) และรายได้จากการลงทุนในหุ้น (adjusted), ภาษีเงินได้ (adjusted), อัตราภาษีที่แท้จริง (adjusted), กำไรสุทธิ (adjusted), กำไรต่อหุ้นปรับลด (adjusted) และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (adjusted EBITDA) ไม่ได้เป็นไปตามหลักการบัญชีพื้นฐาน (GAAP) และไม่ควรตีความว่าเป็นทางเลือกในการรายงานผลประกอบการให้สอดคล้องกับ GAAP คณะผู้บริหารได้รวมข้อมูล non-GAAP ไว้ด้วยเพื่อช่วยให้เข้าใจผลการดำเนินงานของบริษัทและส่วนการดำเนินงาน และเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลได้ ข้อมูล non-GAAP ที่ให้นี้อาจไม่สอดคล้องกับวิธีที่ใช้โดยบริษัทอื่นๆ ข้อมูล non-GAAP ทั้งหมดนี้ได้รับการกระทบยอดบัญชีกับรายงานผลประกอบการแบบ GAAP ในตารางด้านล่าง โดยยกเว้นมาตรการ non-GAAP ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต ซึ่งอยู่ในแนวโน้มปีงบการเงิน 2562 ของเรา ซึ่งยังไม่ทราบหรือยังไม่เกิดขึ้น
เกี่ยวกับ H.B. Fuller:
H.B. Fuller คือผู้นำด้านสารยึดติดมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2430 บริษัทมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สารยึดติด สารผนึก และสารเคมีชนิดพิเศษที่สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์และคุณภาพชีวิตของผู้คน H.B. Fuller มีรายได้สุทธิมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2561 โดยบริษัทได้รวบรวมบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และกระบวนการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดในโลก บริการที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ สุขอนามัย การแพทย์ การขนส่ง อากาศยาน พลังงานสะอาด บรรจุภัณฑ์ การก่อสร้าง งานไม้ อุตสาหกรรมทั่วไป รวมถึงธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ เรายังมอบโอกาสให้พนักงานของเราได้พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานด้วย รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hbfuller.com
H.B. Fuller คือผู้นำด้านสารยึดติดมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2430 บริษัทมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สารยึดติด สารผนึก และสารเคมีชนิดพิเศษที่สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์และคุณภาพชีวิตของผู้คน H.B. Fuller มีรายได้สุทธิมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2561 โดยบริษัทได้รวบรวมบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และกระบวนการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดในโลก บริการที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ สุขอนามัย การแพทย์ การขนส่ง อากาศยาน พลังงานสะอาด บรรจุภัณฑ์ การก่อสร้าง งานไม้ อุตสาหกรรมทั่วไป รวมถึงธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ เรายังมอบโอกาสให้พนักงานของเราได้พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานด้วย รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hbfuller.com
คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบสำหรับข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต:
ข้อความบางข้อความในเอกสารฉบับนี้ อาจถือเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต (Forward-Looking Statements) ภายใต้คำจำกัดความของกฎหมายหลักทรัพย์ส่วนบุคคล พ.ศ. 2538 (Private Securities Act of 1995) ข้อความเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ซึ่งรวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงข้อความดังต่อไปนี้: การซื้อกิจการ Royal อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินที่นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้; ธุรกิจหรือราคาหุ้นของเราอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการดังกล่าว; จำนวนหนี้สินที่เราก่อขึ้นเพื่อนำเงินไปสนับสนุนการซื้อกิจการ Royal, ความสามารถของเราในการชำระหนี้หรือรีไฟแนนซ์ หรือกู้ยืมเพิ่มในอนาคต, ความต้องการเงินสดจำนวนมากเพื่อนำมาให้บริการและชำระหนี้ และเพื่อจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นสามัญของเรา, และข้อจำกัดจากข้อตกลงหนี้ของเราที่ส่งผลกระทบต่อดุลยพินิจของทีมบริหารในการดำเนินธุรกิจ หรือความสามารถในการจ่ายเงินปันผล; ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับเงินปันผล และความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เราไม่สามารถเติบโต หากเรายังคงจ่ายเงินปันผลตามนโยบายเงินปันผลในปัจจุบัน; เราอาจไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการสร้างกำลังผนึกของกิจการ และดูแลให้เกิดประสิทธิภาพต่างๆ จากการซื้อและควบรวมกิจการภายในกรอบเวลาที่วางไว้ หรือไม่ได้เลย; เราอาจไม่สามารถประสบความสำเร็จในการผนวกรวมการดำเนินงานของ Royal เข้าเป็นส่วนหนึ่งในกิจการของเราเอง, หรือการผนวกรวมการดำเนินงานดังกล่าวอาจยากกว่า สิ้นเปลืองเวลาหรือมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้; ความสามารถในการดำเนินโครงการ Project ONE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ; ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมือง; ความต้องการผลิตภัณฑ์; ผลิตภัณฑ์และการตั้งราคาที่แข่งขันได้; ค่าใช้จ่ายและการประหยัดค่าใช้จ่ายจากแผนการปรับโครงสร้าง; ส่วนประสมผลิตภัณฑ์และภูมิศาสตร์; การหาวัตถุดิบได้และราคาของวัตถุดิบ; ความสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้าและซัพพลายเออร์รายใหญ่; การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายภาษีและกำแพงภาษี; การลดค่าเงินและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ; ผลกระทบจากการฟ้องร้องดำเนินคดีและเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม; ผลกระทบของคำวินิจฉัยด้านการบัญชีใหม่ๆ และค่าธรรมเนียมและค่าตรวจสอบบัญชี; และเรื่องที่คล้ายกัน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ สามารถพบได้ในแบบแสดงรายการข้อมูล 10-K สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 2 ธันวาคม 2560 ที่บริษัทยื่นต่อ SEC ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตทั้งหมดนั้นเป็นการประเมินที่ดีที่สุด ณ วันที่จัดทำเอกสารฉบับนี้ โดยอิงตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอาจได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในอนาคต นอกจากนี้ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยบริษัทและความหลากหลายของภูมิภาคที่บริษัททำธุรกิจ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดแน่ชัดเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของรายได้สุทธิ ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายได้, ผลกระทบของค่าเงิน, การเปลี่ยนแลงในส่วนประสมผลิตภัณฑ์ และราคาขาย อย่างไรก็ตาม ทีมผู้บริหารได้ประมาณการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยอื่นๆ ซึ่งการประมาณการที่ดีที่สุดเหล่านี้ได้ถูกรวมไว้แล้ว
ข้อความบางข้อความในเอกสารฉบับนี้ อาจถือเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต (Forward-Looking Statements) ภายใต้คำจำกัดความของกฎหมายหลักทรัพย์ส่วนบุคคล พ.ศ. 2538 (Private Securities Act of 1995) ข้อความเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ซึ่งรวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงข้อความดังต่อไปนี้: การซื้อกิจการ Royal อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินที่นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้; ธุรกิจหรือราคาหุ้นของเราอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการดังกล่าว; จำนวนหนี้สินที่เราก่อขึ้นเพื่อนำเงินไปสนับสนุนการซื้อกิจการ Royal, ความสามารถของเราในการชำระหนี้หรือรีไฟแนนซ์ หรือกู้ยืมเพิ่มในอนาคต, ความต้องการเงินสดจำนวนมากเพื่อนำมาให้บริการและชำระหนี้ และเพื่อจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นสามัญของเรา, และข้อจำกัดจากข้อตกลงหนี้ของเราที่ส่งผลกระทบต่อดุลยพินิจของทีมบริหารในการดำเนินธุรกิจ หรือความสามารถในการจ่ายเงินปันผล; ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับเงินปันผล และความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เราไม่สามารถเติบโต หากเรายังคงจ่ายเงินปันผลตามนโยบายเงินปันผลในปัจจุบัน; เราอาจไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการสร้างกำลังผนึกของกิจการ และดูแลให้เกิดประสิทธิภาพต่างๆ จากการซื้อและควบรวมกิจการภายในกรอบเวลาที่วางไว้ หรือไม่ได้เลย; เราอาจไม่สามารถประสบความสำเร็จในการผนวกรวมการดำเนินงานของ Royal เข้าเป็นส่วนหนึ่งในกิจการของเราเอง, หรือการผนวกรวมการดำเนินงานดังกล่าวอาจยากกว่า สิ้นเปลืองเวลาหรือมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้; ความสามารถในการดำเนินโครงการ Project ONE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ; ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมือง; ความต้องการผลิตภัณฑ์; ผลิตภัณฑ์และการตั้งราคาที่แข่งขันได้; ค่าใช้จ่ายและการประหยัดค่าใช้จ่ายจากแผนการปรับโครงสร้าง; ส่วนประสมผลิตภัณฑ์และภูมิศาสตร์; การหาวัตถุดิบได้และราคาของวัตถุดิบ; ความสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้าและซัพพลายเออร์รายใหญ่; การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายภาษีและกำแพงภาษี; การลดค่าเงินและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ; ผลกระทบจากการฟ้องร้องดำเนินคดีและเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม; ผลกระทบของคำวินิจฉัยด้านการบัญชีใหม่ๆ และค่าธรรมเนียมและค่าตรวจสอบบัญชี; และเรื่องที่คล้ายกัน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ สามารถพบได้ในแบบแสดงรายการข้อมูล 10-K สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 2 ธันวาคม 2560 ที่บริษัทยื่นต่อ SEC ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตทั้งหมดนั้นเป็นการประเมินที่ดีที่สุด ณ วันที่จัดทำเอกสารฉบับนี้ โดยอิงตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอาจได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในอนาคต นอกจากนี้ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยบริษัทและความหลากหลายของภูมิภาคที่บริษัททำธุรกิจ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดแน่ชัดเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของรายได้สุทธิ ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายได้, ผลกระทบของค่าเงิน, การเปลี่ยนแลงในส่วนประสมผลิตภัณฑ์ และราคาขาย อย่างไรก็ตาม ทีมผู้บริหารได้ประมาณการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยอื่นๆ ซึ่งการประมาณการที่ดีที่สุดเหล่านี้ได้ถูกรวมไว้แล้ว
No comments:
Post a Comment