Tuesday, February 23, 2021

ทำไม Famtech จะกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ในอีกไม่กี่ปีนี้

Famtech เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อช่วยให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองและมีความเป็นอยู่ที่ดี แม้คำว่า Famtech ไม่ได้แพร่หลายมากนัก แต่อุตสาหกรรมดังกล่าวก็มีอยู่จริง และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่สตาร์ทอัพและโครงการริเริ่มไม่แสวงผลกำไร เทคโนโลยีที่ว่านี้ช่วยครอบครัวต่าง ๆ ในการดูแลการเงิน ติดตามสุขภาพ วางแผนและบริหารการตั้งครรภ์ จ้างพี่เลี้ยงเด็ก ครู พยาบาล และอื่น ๆ โดยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ Famtech ได้รับความสนใจจากธุรกิจและผู้ใจบุญหลายราย

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ในปี 2563 ครอบครัวต่าง ๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากตลาดแรงงานที่หดตัว ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมา ส่งผลให้วันนี้ ครอบครัวจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่เคย และมีหลายคนที่เข้าใจสิ่งนี้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ก่อตั้งโครงการรวมกว่า 130 ราย ได้ร่วมกันเปิดตัว The Fam Tech Founders Collaborative เพื่อตอบสนองต่อวิกฤติโควิด-19

อีกเหตุผลหนึ่งคือ ชาวมิลเลนเนียลเริ่มมีครอบครัวเป็นของตัวเองโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย หาก 10 ปีที่แล้ว Babytech และ Femtech เป็นตลาดที่มีเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม บัดนี้เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว รายงานจาก Frost & Sullivan ระบุว่า ตลาด Femtech จะมีรายได้แตะหลัก 1.1 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2567 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 12.9% สำหรับตัวอย่างเทคโนโลยีที่ว่านี้ AMMA Pregnancy Tracker ซึ่งเป็นบริการสำหรับสตรีมีครรภ์และครอบครัวทั่วโลก เคยระดมทุนรอบ seed ได้ถึง 1.6 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุน Angel Investor ทั้งยังได้เงินลงทุนจากนักธุรกิจและผู้ใจบุญอย่าง Igor Rybakov ไปได้ 200,000 ดอลลาร์เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ทำให้สตาร์ทอัพแห่งนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4 เท่า แตะ 24.5 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงปีเดียว


Igor Rybakov นักธุรกิจและผู้ใจบุญ เผยมุมมองโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า

1. เปิดทางให้คนรุ่นใหม่! ในอีก 30 ปีข้างหน้า คนทั้งโลกกว่าครึ่งหนึ่งจะมีอายุไม่ถึง 30 ความเข้าใจชีวิตของคนอายุ 30 จะเป็นตัวกำหนดโลกในอนาคตของเรา และเพื่อตอบรับกับความท้าทายนี้ เราและพันธมิตรกำลังร่วมสร้างเครือข่าย RYBAKOV PLAYSCHOOL ซึ่งประกอบด้วยครูอนุบาลและประถมรวมกัน 10,000,000 คน เพื่อให้เด็กอายุ 3-12 ขวบได้พัฒนาทักษะรับศตวรรษที่ 21 โดยอนาคตของเรานั่งอยู่หลังโต๊ะเรียนวันนี้

2. ครอบครัวมีความสำคัญ ครอบครัวและชุมชนต่างต้องแบกรับผลกระทบจากการแพร่ระบาด คนที่มีการเชื่อมต่อกับสังคมมากกว่าจะพร้อมรับความท้าทายจากการล็อกดาวน์ได้ดีกว่า การสร้างสรรค์การเชื่อมต่อทางสังคมเพื่อความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรืองของทุกคนในโลกนี้ เป็นพันธกิจของโครงการ UNITED FAMILIES ซึ่งดำเนินการผ่านสมาพันธ์ UF ใน 160 ประเทศทั่วโลก โครงการดังกล่าวมีแผนให้การสนับสนุนคนกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก โดยใช้แฮชแท็กว่า #FamilyFirst

3. ต่อสู้ปัญหาการเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียม การทำงานทางไกลและเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมนั้น ทำให้หางานและเรียนรู้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลก โดยมูลนิธิ RYBAKOV FOUNDATION ขอส่งเสริมโซลูชันทางการศึกษาแก่ครอบครัวทั่วโลก โซลูชันเหล่านี้ช่วยให้ครอบครัวทั้งหลายมีทักษะในการไขว่คว้าหาอิสรภาพและป้องกันตัวเองจากการข่มเหง การชักใย และการควบคุมของธุรกิจและองค์กรที่ขัดกับผลประโยชน์ของครอบครัว การสนับสนุนชุมชนต่าง ๆ เป็นอีกขอบข่ายที่ทางมูลนิธิให้ความสนใจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

4. อนาคตไม่ใช่สิ่งที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นเอง เรากำลังทำให้เกิดขึ้น! IMPACTISM เป็นเทรนด์มาแรง โดยเป็นการกระทำทางสังคมรูปแบบใหม่ เพื่อเร่งให้คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีก้าวหน้าเร็วขึ้น IMPACTISM ถือกำเนิดจากการเป็นการกระทำทางสังคมรูปแบบใหม่ จนกลายเป็นการจัดการตนเองรูปแบบหนึ่งในเชิงรุก IMPACTISM จะก้าวขึ้นเป็นรากฐานสำหรับใช้สร้างพลังและชุมชนแบบ "เหนือชาติ" โดยจะอาศัยผู้มีส่วนร่วมในเครือข่ายที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก แต่มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการยกระดับสังคม

Igor Rybakov เป็นนักธุรกิจ นายทุน และผู้ใจบุญ ทั้งยังติดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของนิตยสาร Forbes ด้วย เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและร่วมเป็นเจ้าขององค์กรชื่อ TECHNONICOL ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในแวดวงวัสดุก่อสร้าง มีโรงงานถึง 54 แห่งใน 7 ประเทศทั่วโลก ตลอดจนเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีอย่าง PRYTEK และร่วมก่อตั้งมูลนิธิ Rybakov Foundation

No comments:

Post a Comment