จีน ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้ตอกย้ำความพยายามในการบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2603
คำมั่นสัญญาดังกล่าวได้รับการตอกย้ำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการประชุมสุดยอดผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Leaders Summit on Climate) เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของกระบวนการทางการเมือง ก่อนที่จะถึงการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 ในเดือนพฤศจิกายน ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร
"จีนยกให้ความร่วมมือในการสร้างอารยธรรมทางระบบนิเวศเป็นประเด็นสำคัญภายใต้โครงการ Belt and Road และมีการส่งเสริมโครงการสีเขียวมากมาย" ประธานาธิบดีจีนกล่าว พร้อมกับเสริมว่า จีนจะจัดการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพครั้งที่ 15 ในเดือนตุลาคมนี้
ควบคุมและจำกัดการใช้ถ่านหิน
นายสี จิ้นผิง กล่าวกับผู้นำประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมว่า จีนได้ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว "จีนได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างอารยธรรมทางระบบนิเวศ และแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสูงสุดภายในปี 2573 ก็กำลังดำเนินอยู่"
"ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564-2568) เราจะควบคุมการใช้ถ่านหินอย่างเคร่งครัด และจะค่อย ๆ จำกัดการใช้ถ่านหินในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15" นายสี จิ้นผิง กล่าวเสริม
ไฟฟ้าพลังงานถ่านหินยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักของจีน อย่างไรก็ตาม จีนให้คำมั่นว่าจะลดสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังงานถ่านหินให้ต่ำกว่า 56% ภายในปี 2564
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในทศวรรษหน้าและในอนาคต ได้ระบุว่า การใช้พลังงานต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวม จะลดลงราว 13.5% และ 18% ตามลำดับในช่วงเวลาดังกล่าว
ในการประชุมแผนงานเศรษฐกิจส่วนกลาง (Central Economic Work Conference) เมื่อช่วงสิ้นปี 2563 นั้น การลดการปล่อยคาร์บอนถือเป็นหนึ่งใน 8 งานหลักของจีนในปี 2564
นายสี จิ้นผิง ระบุว่างานดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ดี "จีนกำหนดระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวสั้นกว่าบรรดาประเทศพัฒนาแล้วอย่างมาก"
สำหรับเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนนั้น คาดว่าจีนจะเปลี่ยนผ่านจากจุดที่ปล่อยคาร์บอนสูงสุด ค่อย ๆ ลดลงมาสู่จุดเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน 30 ปี เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ที่คาดว่าจะใช้เวลานานถึง 60 ปี
เขาเน้นย้ำว่า ประเทศต่าง ๆ ควรรักษาสัญญาในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในการประชุมโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน (Copenhagen Summit) เมื่อปี 2552 นั้น จีนตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จีนจะใช้พลังงานที่ไม่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ระดับ 15% และลดความเข้มข้นของคาร์บอน 40-45% เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งข้อมูลสถิติของจีนในปี 2562 ระบุว่าจีนทำได้ 15.3% และ 48.1% ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าจีนบรรลุเป้าหมายและทำได้เกินเป้าหมายก่อนกำหนดเวลา
นอกจากนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยา ระบุว่า เมื่อเทียบกับปี 2548 จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมลดลง 48% ในปี 2562 ซึ่งหมายความว่าจีนบรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดในปี 2563
ความร่วมมือของทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญ
นายสี จิ้นผิง ได้ตอกย้ำความสำคัญของความร่วมมือของทั่วโลก โดยเรียกร้องให้ประชาคมโลกทำงานร่วมกันแทนที่จะกล่าวโทษกัน และรักษาสัญญาที่ให้ไว้แทนที่จะผิดสัญญา
ประธานาธิบดีจีนเตือนว่าแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควรมีความเข้มแข็งและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิง ได้ต้อนรับสหรัฐอเมริกากลับเข้าสู่กลุ่มความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกล่าวว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับนานาประเทศ รวมถึงสหรัฐ เพื่อยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
เขากล่าวเสริมว่า ประเทศพัฒนาแล้วควรพยายามอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้มีความสามารถมากขึ้นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นย้ำให้ยึดมั่นในหลักการร่วมกันแม้จะมีความรับผิดชอบแตกต่างกัน
นายสี จิ้นผิง เน้นย้ำหลายครั้งถึงความสำคัญของการยึดมั่นในระบบพหุภาคี ความเป็นเอกภาพ และความร่วมมือ เพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ จีนและประเทศในยุโรปทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พาสหรัฐถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement)
No comments:
Post a Comment