ท่ามกลางโลกที่สั่นคลอนอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาที่ทวีความรุนแรงขึ้น จีนได้เตรียมความพร้อมอย่างดีด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "วงจรคู่" (Dual Circulation) ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวกำหนดพิมพ์เขียวของประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า
ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบ "วงจรคู่" หรือ "พลวัตการพัฒนาแบบควบคู่" ประกอบด้วยวงกลมเศรษฐกิจสองวง ได้แก่ การค้าในประเทศและการค้าต่างประเทศ แต่ในเวลานี้มุ่งเน้นตลาดในประเทศมากกว่า ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อโต้แย้งว่าเศรษฐกิจจีนจะ "กลับเข้าข้างใน" และการมุ่งเน้นการค้าในประเทศหมายถึง "การปิดประตู" สู่โลกภายนอก
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ https://news.cgtn.com/news/2020-11-17/China-to-put-key-efforts-in-trade-at-home-as-opening-up-proceeds-VuTQkhNQVq/index.html
อันที่จริงแล้ว การเปิดกว้างถือเป็นแผนระยะยาวที่จีนไม่ได้ละทิ้ง โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้กล่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 12 ว่า "จีนจะบูรณาการเข้ากับตลาดโลกมากขึ้น" แทนที่จะปิดประตู จีนจะอ้าแขนรับทั่วโลกมากขึ้น
BRICS มาจากอักษรตัวแรกของชื่อประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ สำหรับการประชุมเมื่อวันอังคารจัดโดยรัสเซีย ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของกลุ่ม BRICS ในปีนี้
นายสี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนจะเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ ยกระดับการปฏิรูปในทุกมิติ ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
"การเสริมสร้างความเข้มแข็งของตลาดในประเทศไม่ได้ขัดต่อนโยบายเปิดกว้างของจีน" ศาสตราจารย์ เกาเหลียนคุย จาก EU Business School แสดงความเห็นผ่านบทความในหนังสือพิมพ์Global Times "รูปแบบการพัฒนาใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะเห็นได้จากการยกระดับอุตสาหกรรมและการขยายตลาดในประเทศ"
"เมื่อทำควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี เศรษฐกิจจีนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มีความได้เปรียบ ซึ่งนำไปสู่การทดแทนการนำเข้าในระดับหนึ่ง"
ในการประชุม BRICS นายสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชาติต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับโควิด-19 "เราต้องก้าวข้ามความแตกต่างและอคติ โดยอาศัยความสามัคคีและเหตุผล เพื่อผนึกกำลังต่อสู้กับโรคระบาด"
จีนตั้งเป้าเป็นกลางทางคาร์บอน
ในการประชุม BRICS นายสี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไม่เกินปี 2603 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าการจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ จีนต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงสู่ระดับใกล้ศูนย์ภายในปี 2593
จีนจะสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้นในระดับประเทศ และจะพยายามบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2573 โดยนายสี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่า "ทุกคนวางใจได้เลยว่าจีนจะทำตามคำมั่นสัญญาอย่างแน่นอน"
"เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนไม่เกินปี 2603 จีนต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ในทุกมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ พลังงาน และเทคโนโลยี" เหอ เจี้ยนคุน รองประธานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับซินหัว ซึ่งหมายความว่าพลังงานใหม่และพลังงานหมุนเวียนจะกลายมาเป็นกระแสหลัก
ข้อมูลจากทางการแสดงให้เห็นว่า ในปี 2561 จีนปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงกว่า 45.8% จากปี 2548 ซึ่งหมายความว่าจีนบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนก่อนกำหนดถึงสองปี
นอกจากนี้ รัฐบาลยังหาทางส่งเสริม "การพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" โดยจีนได้ส่งเสริมการซื้อขายสิทธิปล่อยคาร์บอนใน 7 มณฑลและเมือง ซึ่งรวมถึงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ มาตั้งแต่ปี 2554 เพื่อสร้างกลไกอิงตลาดในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นายสี จิ้นผิง กล่าวในการประชุมเมื่อวันอังคารว่า จีนพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อโลกให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาประเทศ
การสร้างความร่วมมือในกลุ่ม BRICS เพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่
สำหรับความร่วมมือในกลุ่ม BRICS นั้น นายสี จิ้นผิง เผยว่าจีนยินดีทำงานร่วมกับชาติสมาชิกอื่น ๆ ในกลุ่ม BRICS เพื่อเร่งสร้างความร่วมมือด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่
ประธานาธิบดีจีนประกาศในที่ประชุมว่า จีนจะจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมเพื่อรองรับความร่วมมือดังกล่าวในเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานนโยบาย การฝึกอบรมบุคลากร และการพัฒนาโครงการต่าง ๆ
กลุ่ม BRICS ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 เพื่อจัดระเบียบโลกให้มีความเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย และมีหลายขั้ว ขณะเดียวกันก็ช่วยกำหนดระบบเงินตราระหว่างประเทศที่มั่นคง คาดการณ์ได้ และมีความหลากหลายมากขึ้น
"BRICS เปรียบได้กับยาต้านพิษ G7 และสถาบันอื่น ๆ ที่สหรัฐอเมริกาครอบงำ" เฟรดดี เรดี นักวิจารณ์การเมืองจากลอนดอน กล่าว "กลุ่มความร่วมมือนี้เกิดขึ้นเพื่อแสวงหาสกุลเงินสำรองใหม่ของโลก ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงทันที ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลของกลุ่มนี้"
ประธานาธิบดีจีนยังเรียกร้องให้ประเทศในกลุ่ม BRICS เชิดชูค่านิยมพหุภาคี ตลอดจนปกป้องวัตถุประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงระเบียบโลกที่กำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ
นายสี จิ้นผิง เน้นย้ำว่า สวัสดิภาพของประชาชนยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด พร้อมกับเรียกร้องให้กลุ่มความร่วมมือช่วยกันสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อมวลมนุษยชาติ
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า โลกของเรากำลังถูกขนาบด้วยวิกฤตโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษ ซึ่งหมายถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ฉุดโลกทั้งใบเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 2470
"แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์มากมาย แต่เราเชื่อว่า "สันติภาพและการพัฒนา" ยังคงมีความสำคัญไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่เทรนด์โลกหลายขั้วและโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจก็ไม่มีวันย้อนกลับ" นายสี จิ้นผิง กล่าว
ที่มา: พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
No comments:
Post a Comment