หนังสือ McKinsey Quarterly ฉบับเดือนสิงหาคม 2536 นั้น จอห์น สตัคกี และ เดวิด ไวท์ ได้บรรยายไว้มากมายเพื่อที่จะเตือนถึงอันตรายต่างๆนานาที่เกิดจากการทำธุรกิจแบบหลอมรวมในแบบแนวดิ่งของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ใจความหลักก็คือ "อย่าหลอมรวมแบบแนวดิ่ง หากการดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างหรือรักษาคุณค่าไว้"
บทความดังกล่าวได้บรรยายในรายละเอียดถึงกับดักที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งการตักเตือน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักเขียนคู่นี้ไม่ใช่แฟนตัวยงของโมเดลดังกล่าว
บริษัทต่างๆ ที่ดำเนินการตามกระบวนการหลอมรวมกันแนวดิ่งนั้น มีเหตุผลหลายประการด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในข้อได้เปรียบหลักๆก็คือ บริษัทที่ได้หลอมรวมกันในแนวดิ่งจะเป็นผู้ครอบครองห่วงโซ่อุปทานของตนเองและการดำเนินการเช่นนั้น จะก่อให้เกิดคุณค่าในทุกๆระดับ ในโมเดลธุรกิจที่ดีนั้น สมาชิกแต่ละรายของห่วงโซ่อุปทานจะเป็นผู้ผลิตสินค้าและให้บริการในรูปแบบที่แตกต่างกัน
การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นเรื่องค่อนข้างจะง่ายที่จะได้มาซึ่งความสำเร็จ ตราบใดที่ยังคงมีตลาดรองรับสินค้าใดๆก็ตามที่บริษัทได้ผลิตออกมา
ในอุดมคติแล้ว โมเดลของธุรกิจที่สมบูรณ์แบบจะมีบริษัทในแวดวงเข้ามาซื้อและใช้งานสินค้าหรือบริการที่ได้มีการผลิตขึ้นมา โดยบริษัทเองจะสามารถควบคุมราคาสินค้าได้ เพราะเมื่อวันทำการสิ้นสุดลง ภายหลังจากที่มีการสรุปยอดบัญชีแล้ว แผนกงานหนึ่งของบริษัทคงไม่คิดค่าใช้จ่ายเกินจริงกับแผนกงานอื่นๆ เพราะไม่ทราบว่าจะทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร?
การคิดราคาต่ำเกินจริงก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกเช่นกัน เนื่องจากบัญชีต่างๆต้องการความสมดุลในเรื่องค่าใช้จ่าย ในโลกธุรกิจแห่งอุดมคตินั้น จะมีการตกลงกันเรื่องราคาที่สามารถสร้างความพึงพอใจด้านการเงินให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การควบคุมห่วงโซ่อุปทานนับเป็นประเด็นที่ไม่สามารถให้ความสำคัญมากจนเกินไปได้ ในแง่ความสำคัญที่มีต่อรูปแบบการทำธุรกิจแบบหลอมรวมกันในแนวดิ่งที่ประสบความสำเร็จ การควบคุมดังกล่าวสามารถลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ และตรวจสอบตัวแปรต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของโมเดลธุรกิจแบบหลอมรวมแนวดิ่ง คือ ห่วงโซ่อุปทานนี้สามารถเป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใดก็ตามที่อุปสงค์ในขั้นตอนต่างๆไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อความสมบูรณ์ขององค์ประกอบโดยรวม
อย่างไรก็ดี กระบวนการดังกล่าวสามารถสัมฤทธิ์ผลได้จริง ซึ่ง Asia Plantation Capital เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในกรณีดังกล่าว ด้วยการนำแง่มุมบวกจากการผนวกรวมแนวดิ่งนี้ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดโดยการควบคุมทุกจุดเชื่อมต่อของห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อได้เปรียบต่างๆที่มี
ด้วยภาษิตที่ว่า "จากดิน....สู่น้ำมัน....สู่คุณ" ยังคงดังก้องไปยังทุกภาคส่วนของบริษัท Asia Plantation Capital และบริษัทพันธมิตร บริษัทเหล่านี้จึงได้นำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความยั่งยืน ความสามารถในการกลับสู่สภาพเดิม และสำนึกในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น
กระบวนการดังกล่าวเริ่มขึ้นจากการซื้อที่ดิน และสิ้นสุดลงด้วยการกลั่นกรองน้ำหอมอันสุดพิเศษ ทุกๆ ขั้นตอนระหว่างกระบวนการนั้นจะต้องได้รับการยืนยันว่า จุดเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานล้วนมีความปลอดภัย ซึ่ง Asia Plantation Capital จะเป็นผู้ดูแลเรื่องเหล่านี้
จากดิน...
Asia Plantation Capital ได้ปลูกต้นกฤษณาในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งไม้ดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ที่ถูกจัดว่าใกล้สูญพันธุ์ และได้อยู่ในทะเบียนรายชื่อเป็นพันธุ์ไม้ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งจัดทำโดย CITES ( Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora)
สู่น้ำมัน...
ต้นกฤษณา เมื่อได้รับเชื้อราชนิดหนึ่ง จะผลิตยางสีดำออกมาเพื่อรับมือกับเชื้อรานั้น ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างคุณค่าให้กับไม้กฤษณานี้ก็คือน้ำมันกฤษณา
น้ำมันกฤษณาได้ถูกนำไปใช้ประกอบพิธีทางศาสนาและวัฒนธรรมมาเป็นเวลาหลายพันปี น้ำมันกฤษณายังได้รับการชื่นชมในเรื่องกลิ่นที่มีความหอมและคุณสมบัติในทางยา
เมื่อนำมาสกัด น้ำมันกฤษณาสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันสกัดที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตน้ำหอม ซึ่งได้มีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
น้ำมันกฤษณาที่ Asia Plantation Capital ได้ผลิตขึ้นมาล้วนมีคุณภาพสูงสุด และด้วยการเป็นบริษัทที่คำนึงถึงการผนวกรวมแนวดิ่ง บริษัทจึงได้ตั้งโรงกลั่นน้ำมันขึ้นมาเอง นับเป็นการเชื่อมต่อสองกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทานเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว
Asia Plantation Capital เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกไม้กฤษณา (ซึ่งเป็นอีกจุดเชื่อมโยงหนึ่งในห่วงโซ่) และได้จัดตั้งทีมที่ปรึกษาด้านการวิจัยและการพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีที่เหมาะสม อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตและผลผลิต (ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทาน)
ทั้งนี้ ควรมีการระบุว่า ต้นกฤษณาไม่เพียงแต่สามารถผลิตน้ำมันกฤษณาได้เท่านั้น แต่ชิ้นไม้สับและกิ่งก้านของต้นกฤษณาก็เป็นที่ต้องการอย่างสูง และยังมีการนำไปใช้งานทั่วโลก เพื่อนำไปทำเป็นธูป หรือสามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์น้ำหอมได้อีกด้วยเช่นกัน
Asia Plantation Capital ได้ปลูกและบำรุงต้นอ่อนเอง โดยจะปลูกเฉพาะต้นที่สมบูรณ์ที่สุดและมีความแข็งแรงมากที่สุด ซึ่งถือเป็นการควบคุมกระบวนการตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มสุด เพราะการควบคุมเป็นสิ่งที่สำคัญ
ภายหลังจากที่ได้มีการกลั่นน้ำมันกฤษณาแล้ว ขั้นตอนต่อๆมาถือว่ามีความสำคัญ น้ำมันกฤษณาเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก และมูลค่าของอุตสาหกรรมส่วนหนึ่ง อยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ส่งถึงมือคุณ...
ปัจจุบัน ไม้กฤษณายังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อวงการน้ำหอม และคุณก็จะสังเกตเห็นได้ว่า น้ำมันกฤษณาเป็นส่วนประกอบของน้ำหอมยอดนิยมระดับโลกหลายยี่ห้อ โดยน้ำมันกฤษณาได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอมของศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Yves St Laurent, Dior และ Tom Ford ที่ได้รับความนิยม
นอกจากนี้ ในผลิตภัณฑ์น้ำหอมหน้าใหม่ก็ยังมีส่วนผสมของน้ำมันกฤษณาตามแบบฉบับของ Fragrance Du Bois ซึ่งเป็นน้ำหอมที่ไม่เหมือนใครและกลิ่นน่าหลงใหลที่เข้ามาตีตลาด
Fragrance Du Bois เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท Asia Plantation Capital และเป็นจุดเชื่อมโยงสุดท้ายในห่วงโซ่ Fragrance Du Bois มีบูติกในสิงคโปร์ และกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งบูติกอีกมากมาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตน้ำหอมที่ปรับแต่งกลิ่นของน้ำหอมและใส่เอกลักษณ์ลงไปในผลิตภัณฑ์Fragrance Du Bois นั้น ส่งผลให้บริษัทมีบทบาทสำคัญในวงการด้วยเวลาไม่นาน ด้วยความแตกต่างและนวัตกรรมในหัวใจของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่สรรค์สร้าง
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตน้ำหอมของ Fragrance Du Bois ใส่ใจมากที่สุด คือ คุณภาพของน้ำมันกฤษณาที่นำมาใช้งาน น้ำมันกฤษณาเหล่านั้นจะต้องได้รับการรับรองว่าบริสุทธิ์และปลอดสารพิษ 100% มีคุณภาพดีเยี่ยมและมีที่มาโปร่งใส ผู้ผลิตน้ำหอมจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าน้ำมันกฤษณาเหล่านั้นมาจากแหล่งใด และมีการผลิตอย่างไร
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ผู้ผลิตจะต้องรู้ว่าน้ำมันกฤษณาเหล่านั้นผลิต และมีที่มาถูกต้องตามหลักจริยธรรม โดยมีความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในแง่ของหลักปรัชญาทั้งหมด และอุปทานที่ได้รับการรับรองในการนำไปใช้ในห่วงโซ่
หากการควบคุมคือปัจจัยสำคัญของโมเดลการประกอบธุรกิจแนวดิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้ว ดูเหมือนว่า Asia Plantation Capital จะได้สร้างต้นแบบที่ดีที่สุด บริษัทต่างๆในเครือของ Asia Plantation Capital ได้ซื้อที่ดิน เป็นเจ้าของที่ดิน ปลูกต้นกฤษณา สกัดยางเรซิน รวมถึงทำชิ้นไม้สับและน้ำมัน ก่อนที่จะจัดส่งไปยังธุรกิจขนาดใหญ่ที่ร้านค้าปลีกของธุรกิจนั้นๆใช้งาน
เป็นเรื่องที่พออภัยได้หากคุณคิดว่า ผู้บริหารของ Asia Plantation Capital นั้น อ่านบทความของสตัคกีและไวท์ ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 2536 เพียงไม่นานก่อนที่ Asia Plantation Capital จะเริ่มดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์การประกอบธุรกิจแนวดิ่งที่ดูไม่ห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบเท่าใดนัก
ดูเหมือนว่าการใส่ใจในคำเตือนและหลีกเลี่ยงกับดักอันตราย ทำให้เกิดสิ่งที่พิเศษขึ้น นั่นก็คือโมเดลการประกอบธุรกิจสำหรับยุคนี้ที่เติมเต็มความต้องการหลากหลายรูปแบบของการลงทุนทางเลือกที่ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ได้แก่ คน โลก และผลกำไร
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาส่งอีเมลมาที่ pr@cachejournal.com
เกี่ยวกับ Asia Plantation Capital
Asia Plantation Capital จัดตั้งขึ้นในปี 2551 (เป็นธุรกิจเอกชนมาตั้งแต่ปี 2545) Asia Plantation Capital เป็นเจ้าของกิจการและผู้ให้บริการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์และธุรกิจเพาะปลูกหลากหลายรูปแบบในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Asia Plantation Capital Group
เกี่ยวกับ Fragrance Du Bois
Fragrance Du Bois เป็นแบรนด์น้ำหอมสุดหรูที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยถือกำเนิดขึ้นจากแก่นแท้ของธรรมชาติและรังสรรค์โดยเหล่านักผสมน้ำหอมรุ่นที่ห้า ผู้สานต่อการผลิตน้ำหอมแบบฉบับเมืองกราสส์ของฝรั่งเศสที่สืบทอดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 น้ำหอมทั้งหมดของ Du Bois ผลิตขึ้นจากน้ำมันกฤษณาบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% รวมถึงส่วนผสมอื่นๆที่มีความยั่งยืนจากพื้นที่เพาะปลูกภายใต้การควบคุมดูแลของบริษัทเจ้าของรางวัลการันตีคุณภาพอย่าง Asia Plantation Capital
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่:
Cache Journal Limited
Towers Point, Wheelhouse Road, Rugeley, WS15 1UN United Kingdom
Tel: +65 6299 4998
Email: pr@cachejournal.com
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20151021/8521507065-a
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20151021/8521507065-b
No comments:
Post a Comment